สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ซาลาเปาทอด ไอเดียลาว-ทำเงินในไทย


สำรวย เทพศิริวัฒน์ หรือ อ้อย ยึดอาชีพขาย “ซาลาเปาทอด” ควบ คู่กับอาหารอย่างอื่น
เช่น ทอดมันปลากรายสูตรปักษ์ใต้ ทางเจ้าตัวเล่าว่า ทำอาชีพค้าขายมานานหลายสิบปีแล้ว เริ่มจากหมูทอด
ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่คิดขึ้นมาเอง จะกรอบนอกนุ่มใน อร่อยกำลังดี ต่อจากนั้นก็ทำทอดมันปลากรายสูตรปักษ์ใต้ขายด้วย
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีมาก เพราะเครื่องแกงที่ใส่ผสมกับเนื้อปลาจะเป็นเครื่องแกงปักษ์ใต้

“พอ ดีไปเที่ยวที่ประเทศลาวกับครอบครัว ไปเห็นเขาทอดขนมบางอย่างขายกัน มีคนต่อคิวซื้อกันเยอะ ก็สงสัย ถามว่าขายอะไร
พ่อค้าลาวบอกว่าเป็นซาลาเปาทอด เราก็คุยโน่นถามนี่ ถามถึงสูตรซาลาเปาทอด เขาก็บอกนะ กลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็มาลองทำดู
โดยสูตรของลาวที่ชิมดูแล้วคิดว่าคงไม่ถูกปากคนไทยแน่ จึงปรับปรุงให้ถูกปากของคนไทยจนได้สูตรที่ลงตัว ทั้งตัวแป้งและไส้
จากนั้นก็ทำขาย แรก ๆ หลายคนสงสัยว่าคืออะไร พอซื้อไปทานก็บอกว่าอร่อย ก็มาเป็นลูกค้าประจำ”
คุณอ้อยเล่าถึงที่มาของการขายซาลาเปาทอดแบบนี้

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ในการทำขาย ก็มีพวก... เตาแก๊ส, ลังถึงขนาดกลาง, ตาชั่งเล็ก, ถ้วยตวง, ที่ตัดแป้ง, ผ้าขาวบาง, ที่ร่อนแป้ง,
เครื่องตีแป้ง, เครื่องปั่น, ตะกร้าโปร่ง, กะละมังพลาสติก, ถาดอะลูมิเนียม, หม้อ, กระทะ, ตะหลิว ฯลฯ
และเครื่องใช้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอย่างอื่น ที่สามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ส่วนผสม-วัตถุดิบในการทำซาลาเปาทอด ก็ มี...
แป้งสาลีตราบัวแดง, น้ำอุ่น, หัวเชื้อ, น้ำมันพืช, ไข่ไก่, น้ำตาลทราย, ยีสต์แห้ง, เกลือ, เนยขาว,
กระดาษลอกลายสีขาว (ตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 1 1/2 X 1 1/2)

ขั้นตอนการทำ “ซาลาเปาทอด”
เริ่ม จากเตรียมแป้ง 1 กก. แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 700 กรัม ร่อนให้ละเอียด
แป้งส่วนที่สอง 300 กรัมผสมกับผงฟู 2 ช้อนชา ร่อนให้ละเอียด แล้วคลุมด้วยผ้าขาวพักไว้สักครู่

นำ แป้งส่วนแรกผสมกับยีสต์ 2 ช้อนชา, น้ำสะอาด 1 1/2 ถ้วยตวง ตีด้วยเครื่องตีแป้ง ใช้ความเร็วปานกลางตีประมาณ 15 นาที
สังเกตดูว่าแป้งผสมเข้ากับน้ำและยีสต์ดีแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้ เสร็จแล้วนำไปใส่ภาชนะคลุมด้วยผ้าขาวบาง
ตั้งพักไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิห้องพอดี ๆ ไม่ร้อน-ไม่เย็นเกินไป

ขั้นต่อไปเอา
แป้งส่วนแรกมาผสมกับส่วนที่สอง ใส่ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ลงไปด้วย ทำการตีประมาณ 30 นาที
จับแป้งดูว่าเหนียวพอดีแล้วก็นำไปแช่ในตู้เย็นนานประมาณ 3 ชั่วโมง

จาก นั้นก็นำแป้งออกมาวางลงในถาดอะลูมิเนียมที่ทาด้วยเนยขาว นวดแป้งด้วยมือให้แป้งเนียนขึ้น
ใช้ที่ตัดแป้งตัดออกทีละแถว แล้วตัดอีกครั้งเป็นชิ้น ๆ ตามความต้องการ (วิธีการตัดเหมือนกับการตัดแป้งปาท่องโก๋)
ใช้มือคลึงแป้งบนถาด น้ำหนักมือต้องไม่หนักและเบาเกินไป มิฉะนั้นแป้งจะออกมารูปทรงไม่สวยงาม





ต่อไปการทำไส้ซาลาเปา “ไส้หมูสับ” ส่วนผสมก็ประกอบด้วย...
หมูสับ 1 กก. มันแกวหั่นฝอย 700 กรัม, กระเทียมบด 100 กรัม การทำก็นำส่วนผสมลงผัดในกระทะ
ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย 7 ช้อนโต๊ะ, ซีอิ๊วขาว 10 ช้อนโต๊ะ, ผงปรุงรสรสหมูนิดหน่อย, พริกไทยป่น
ผัดส่วนผสมทั้งหมดให้แห้ง แล้วนำขึ้นตั้งพักไว้สักครู่

“ไส้ครีม” ส่วนผสมก็ได้แก่...
น้ำตาลทราย 250 กรัม, มาการีน 200 กรัม, แป้งสาลี ร่อนสองครั้ง 75 กรัม, นมผง 500 กรัม, นมสด 50 กรัม,
แป้งคัส ตาร์ด 500 กรัม, ไข่ไก่ 4 ฟอง, กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา โดยนำส่วนผสมทั้งหมดผสมเข้าด้วยกัน
แล้วใส่หม้อตุ๋น กวนจนกระทั่งส่วนผสมเหนียวปั้นได้ ยกขึ้นทิ้งไว้ให้เย็น

ลำดับต่อ ไปเป็นขั้นตอนการปั้นซาลาเปา
นำแป้งที่แบ่งไว้เป็นก้อน ๆ มาแผ่ออกเป็นแผ่นกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว หรือขนาดอื่นตามชอบ
ตักไส้ตามที่ต้องการที่เตรียมไว้ใส่ลงตรงกลางแผ่นแป้ง แล้วค่อย ๆ ห่อแป้งเข้ามารวมกันให้มิดไส้
คลึงให้เป็นลูกกลม ๆ วางลงบนกระดาษขาวที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้แป้งขึ้นตัว
จากนั้นจึงนำไปใส่ลังถึงนึ่งประมาณ 15 นาที ก็เป็นอันเสร็จไปส่วนหนึ่ง

การออกจำหน่าย แบบทอด ไปขายไป ให้เตรียมซาลาเปาใส่กล่องพลาสติก
เวลาทอดให้ใส่น้ำมันพืชเยอะ ๆ ลงในกระทะ ใช้ไฟแรงปานกลาง ทอดครั้งละ 10 ลูก ใช้ตะแกรงกระชอนคอยคนอยู่ตลอด
พอซาลาเปามีสีเหลืองกรอบก็ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมที่จะจำหน่ายให้ลูกค้าได้

สำหรับสูตรที่ว่ามานี้ คุณอ้อยบอกว่าสามารถทำซาลาเปาทอดได้ประมาณ 200-210 ลูก
ราคาขายก็ลูกละ 5 บาทเท่านั้น โดยจะมีต้นทุนอยู่ที่ลูกละประมาณไม่เกิน 70%

ใครสนใจ “ซาลาเปาทอด” สูตรนี้ สูตรที่นำซาลาเปาขาว ๆ ไส้หมู-ไส้ครีมมาลงกระทะทอดเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ น่าสนใจ
อยากเห็นหน้าตา อยากลองชิมรสชาติ วันอังคารจะขายอยู่ที่ตลาดนัดสหกรณ์การเกษตร,
วันพุธ ขายที่กรมแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข, วันพฤหัสฯ ขายที่โรงพยาบาลโรคทรวงอก และวันศุกร์ ขายที่กรมประมง
หรือต้องการนำไปออกร้านในเทศกาลต่าง ๆ ก็ติดต่อคุณอ้อยได้ที่ โทร. 08-6994-9100.

เรื่องโดย เดลินิวส์ออนไลน์ 
ที่มา http://women.sanook.com


Read More...


“ฟักทองนมสด” เพื่อคนรักสุขภาพ



เรื่องสุขภาพ ยังคงเป็นเรื่องฮอตฮิตอยู่ตลอด ไม่ว่าแฟชั่นหรือแม้แต่การบ้านการเมืองจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย
คนเราก็ต้องดูแลและเอาใจใส่กับสุขภาพของตนเองอยู่เสมอ
มื้อนี้ "กุ๊กเล็ก" เลยของเอาใจแฟนนานุแฟนโดยเสนอเมนูของหวานกินเล่น แต่สรรพคุณไม่ใช่เล่นๆเลย
     
เนนูนี้มีชื่อว่า "ฟักทองนมสด" ซึ่งฟักทองมีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมายเช่น วิตามินเอ บี ซี และธาตุฟอสฟอรัส
และที่สำคัญสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้
     
หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป
     
นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล
เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย ส่วนนมสด
ก็อย่างที่รู้ๆกันเป็นอย่างดีว่า เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก
ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยในการเจริญเติบโตอีกด้วย บรรยายสรรพคุณมาเยอะแยะจนน้ำลายสอ เรามาลงมือทำกันเลยดีกว่า
     
       ส่วนผสม
       ฟักทองหั่นแล้ว 1 ถ้วย
       นมสด 2 ถ้วย
       น้ำตาล 1/2 ถ้วย
       น้ำเปล่า 1 ถ้วย
       เกลือ (เล็กน้อย)
     
ส่วนวิธีทำก็ง่ายแสนจะง่าย เพียงนำฟักทองมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำฟักทองมาหั่นเป็นชิ้นบางๆพอดีคำ
จากนั้นนำฟักทองที่หั่นแล้ว นมสด น้ำตาล และน้ำเปล่า ใส่ลงในหม้อแล้วตั้งไฟจนสุก
     
อย่าลืมโรยเกลือเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติเข้มข้นขึ้น จากนั้นตักใส่ถ้วยให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟได้เลย
รับรองว่าของว่างเมนูนี้ ที่อัดแน่นด้วยคุณค่าทางอาหารต้องโดนใจแฟนนานุแฟน อย่างแน่นอน
และขอแอบบอกไว้หน่อยว่าสำหรับคนที่กลัวอ้วนใช้นมสดแบบพร่องมันเนย และใช้น้ำตาลเทียมแทนก็ได้ไม่ว่ากัน

โดย กุ๊กเล็ก
อ้างอิง http://www.manager.co.th


Read More...


อร่อยง่ายๆ กับ “เกี๊ยวห่อแฮมชีส”



เวลาจะมีงานปาร์ตี้เล็กๆ หรือมีเพื่อนฝูงมาเที่ยวเล่นที่บ้านทีไร “กุ๊กเล็ก” ก็จะต้องคอยคิดหาเมนูทำง่ายกินง่าย
แต่รสชาติถูกปากทุกคนมาเตรียมไว้ บางทีคิดแล้วคิดอีกก็ยังไม่ถูกใจ บางเมนูก็ยุ่งยาก บางเมนูก็ส่วนผสมเยอะเสียจนวุ่นวายไปหมด
     
แต่พอ “กุ๊กเล็ก” ได้ไปเจอเมนู “เกี๊ยวห่อแฮมชีส” ของร้าน “พี่อ้อ” ก็พบว่าเมนูนี้แหละเหมาะที่สุดสำหรับงานเลี้ยงเล็กๆ ง่ายๆ
หรือแม้แต่จะทำไว้กินเล่นตอนว่างๆ ก็ยังได้ ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก เพราะมีส่วนผสมแค่สามอย่างเท่านั้นเอง
     
       ส่วนผสม     
       แผ่นเกี๊ยว 10 แผ่น (มากหรือน้อยกว่านั้นตามความต้องการ)
       ชีสแผ่น 1 ห่อ
       หมูแฮม 1 ขีด
     
วิธีทำ เริ่มจากนำแฮมมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ แล้วเอาชีสแผ่นซึ่งตัดแบ่งออกเป็นสามส่วน มาห่อแฮมที่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นั้น
แล้วจึงเอาแผ่นเกี๊ยวมาห่อชีสอีกทีให้มีลักษณะเหมือนลูกขนไก่ ขยำแผ่นเกี๊ยวนิดหนึ่งเพื่อเวลาเอาลงไปทอดในกระทะจะได้ไม่คลายตัว
     
หันไปเปิดแก๊สตั้งกระทะ ใส่น้ำมันให้พอท่วมเกี๊ยวที่จะนำลงทอด รอจนน้ำมันร้อนจัด แล้วจึงนำเกี๊ยวลงทอด
ขอบอกว่าน้ำมันต้องร้อนจัดจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะทำให้แผ่นเกี๊ยวสุกช้าและอมน้ำมันมากไป
พอเกี๊ยวสุกเหลืองดีแล้วจึงตักออกมาสะเด็ดหรือซับน้ำมัน จากนั้นยกเสิร์ฟตอนที่ยังร้อนๆ กินคู่กับน้ำจิ้มไก่อร่อยดี

โดย กุ๊กเล็ก
อ้างอิง http://www.manager.co.th


Read More...


ขนมปังหน้าหมู 3 สูตร



วิธีทำขนมปังหน้าหมูกรอบอร่อย พร้อมน้ำจิ้มอาจาดไว้เป็นของว่างอย่างง่าย

เครื่องปรุง
ขนมปัง 5 แผ่น
หมูสับ 200 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนชา
ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
พริกไทย 1/2 ช้อนชา
ผักชี 1 ต้น
น้ำมันพืชสำหรับทอด 2 ถ้วย

วิธีทำขนมปังหน้าหมู
1. นำขนมปังมาตัดออกเป็นแผ่นละ 4 ชิ้น

2. นำหมูสับมาปรุงรสด้วยเครื่องปรุงต่างๆ ได้แก่
น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย และพริกไทยป่น แล้วคนให้เครื่องปรุงทั้งหมดเข้ากัน

3. ตัดก้านผักชี นำไปล้างให้สะอาดแล้วซอยหยาบๆ พักไว้
จากนั้น ตอกไข่ใส่ในหมูสับที่ปรุงรสไว้ คนให้เข้ากัน แล้วจึงนำผักชีที่ซอยไว้ผสมลงไป

4. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันสำหรับทอดลงไป รอจนน้ำมันเริ่มร้อน
ตักหมูสับที่ปรุงไว้มาทาหน้าขนมปังให้ทั่ว นำไปทอดโดยคว่ำหน้าลง

5. ทอดหน้าหมูจนเหลืองดีจึงกลับด้าน รอจนขนมปังเหลืองกรอบ กลับด้านอีกครั้งหนึ่ง
แล้วตักขึ้นพักบนกระดาษซับให้สะเด็ดน้ำมัน


เครื่องปรุงอาจาด
แตงกวา 1 ลูก
หัวหอมแดง 2 หัว
พริกชี้ฟ้า 1 เม็ด
น้ำตาลทราย 2½ ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำร้อน 2 ช้อนชา

วิธีทำอาจาด
1. ตัดขั้วแตงกวา เด็ดขั้วพริกชี้ฟ้า ปลอกเปลือกหัวหอมแดง นำไปล้างน้ำให้สะอาด 
จากนั้น ผ่าครึ่งแตงกวาแล้วหั่นเป็นชิ้นบางๆ ซอยหัวหอมแดงและพริกชี้ฟ้า พักไว้

2. เอาน้ำตาลและเกลือป่นใส่ถ้วย เติมน้ำร้อนคนให้ละลาย จากนั้น ใส่น้ำส้มสายชูลงไป คนให้เข้ากัน
แล้วจึงนำแตงกวา หัวหอมแดง และพริกชี้ฟ้าที่หั่นไว้ใส่ลงไป คนให้ทั่ว เตรียมเสริฟพร้อมขนมปังหน้าหมู

วิธีเสิร์ฟ
จัดขนมปังหน้าหมูใส่จาน เสิร์ฟพร้อมกับอาจาดที่เตรียมไว้ได้เลยค่ะ




ขนมปังหน้าหมู

เครื่องปรุง
เนื้อหมู บด 1½ ถ.
ไข่ตีเข้ากัน 1 ฟอง น้ำ 2 ชต.
ซีอิ้วขาว 1 ชต.
รากผักชี หั่นละเอียด 1 ชช.
เกลือป่น พริกไทย ป่น อย่างละ 1/8 ชช.
กระเทียม 5 กลีบ
ขนมปัง 10 แผ่น
พริกแดงหั่นฝอย 1 เม็ด
ผักชีเด็ดเป็นใบ 2 ชต.
น้ำมันสำหรับทอด 4 ถ.

วิธีทำ
1. ผสมเนื้อหมู ไข่ 1/2 ฟอง น้ำ ซีอิ้วขาว และรากผักชี พริกไทย กระเทียม เกลือ ที่โขลกละเอียดแล้ว นวดให้เข้ากัน

2. ตัดขนมปังเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเท่าๆกัน แผ่นละ 4 ชิ้น หรือจะตัดทแยงมุมเป็นชิ้นสามเหลี่ยมก็ได้ ผึ่งขนมปังให้แห้งสักครู่
ใช้ช้อนตักเนื้อหมูที่ผสมประมาณ 1 ชช. ป้ายบนขนมปังให้ตรงกลางนูนแต่งขอบให้เรียบ ทาไข่ข้างบน แต่งด้วย ผักชี พริกแดง

3. ใส่น้ำมันในกระทะตั้งไฟให้ร้อน ใส่ขนมปังคว่ำหน้าลงทอดพอเหลือง ตักขึ้นใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำมัน

4. จัดเสิร์ฟกับแตงกวาหั่นแว่น หรือรับประทานกับอาจาด

เครื่องปรุง อาจาด
น้ำส้มสายชู น้ำ น้ำตาลทราย อย่างละ1/4 ถ.
เกลือป่น 1 ชช. แตงกวา 5 ลูก
หอมแดงซอย 2 หัว พริกแดง 1 เม็ด

หั่นแตงกวาหนา 1/2 ซม. ถ้าลูกใหญ่ผ่าตามยาว 2-4 ชิ้น จัดใส่ถ้วยเสิร์ฟ ใส่หอมซอย พริกแดง
น้ำปรุงรสทำจากผสมน้ำส้ม น้ำ น้ำตาลทราย เกลือ ตั้งไฟให้เดือด ยกลง ปล่อยให้เย็น จัดเสิร์ฟกับขนมปังหน้าหมู




ขนมปังหน้าหมู

ส่วนผสม
ขนมปังแซนวิช 1 แถว   
เนื้อหมูบด 3 ขีด
ไข่ไก่ 2 ฟอง      
ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ   
รสดี 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชีเด็ดเป็นใบ 30 ใบ   
แครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วย
แป้งมัน 1 ช้อนชาน้ำปลา 1ช้อนชา   
น้ำมันพืชสำหรับทอด
โขลก รากผักชี กระเทียม พริกไทย

วิธีทำ
1. ตัดแผ่นขนมปังเป็นแผ่นเล็ก ๆ ผึงแดดให้หมาด ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
2. หมักหมูบดกับรากกระเทียมพริกไทย ซีอิ๊วขาว น้ำตาล น้ำปลา แป้งมัน รสดี
3. ใส่แครอทหั่นคนจนเข้ากัน หมักไว้ประมาณ 10 นาที
4. ตักส่วนผสมหมูหมักทาบนขนมปังให้ทั่วแผ่นด้านใดด้านหนึ่ง
5. ตั้งน้ำมันให้ร้อน นำขนมปังชุบไข่ลงทอดในกระทะพอเหลือง กลับด้านทอดจนกระทั่งให้สุกทั้งสองด้าน

น้ำจิ้ม
1. น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วย
2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
3. เกลือป่น 1 ช้อนชา
4. แตงกวา 2 ผลหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
5. พริกสดหั่นเป็นแว่น 1 เม็ด
6. หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย

วิธีทำ
1. ผสมน้ำส้มสายชู กับน้ำตาลทราย เกลือป่น ตั้งไฟพอละลายทิ้งให้เย็น
2. ใส่แตงกวา พริกสด หอมแดงเล็ก
3. ชิมให้ได้  3  รส

ที่มาข้อมูล
http://www.ucancookthai.com
http://www.geocities.com
http://www.lks.ac.th

Read More...


ขนมลืมกลืน 3 สูตร

ขนมลืมกลืน



ส่วนผสมตัว
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 - 3 1 / 2 ถ้วย
น้ำเปล่า 5 ถ้วย
พิมพ์วุ้นหรือพิมพ์กระดาษฟอยด์

วิธีทำ
1. ตวงน้ำตาลทรายผสมกับน้ำเปล่า ใส่หม้อต้มเป็นน้ำเชื่อมให้เดือด ยกลง กรอง เตรียม
2. ตวงแป้งใส่หม้อ ค่อย ๆใส่น้ำเชื่อมลงนวดให้แป้งละลายยกตั้งไฟอ่อนกวนจนแป้งสุกใส,ข้นเหนียว ตักหยอดใส่พิมพ์ให้เต็ม

ส่วนผสมหน้า
หัวกะทิข้น 1 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1.นำหัวกะทิผสมแป้งทั้ง 2 ชนิดและเกลือ ใส่หม้อนวดให้แป้งละลายยกตั้งไฟกวนจนเดือดและข้น
ใช้ช้อนกาแฟเล็ก ๆ ตักหยอดลงบนตัวขนมเล็กน้อย หรือจะเอากะทิใส่กรวยบีบเป็นรูปหยดน้ำ ก็ได้

หมายเหตุ
ตัวแป้งขนมเมื่อกวนเสร็จแล้วต้องรีบหยอด เพราะแป้งจะแข็งตัวเร็วทำให้หยอดแล้วไม่เรียบ
วิธีแก้ไขคือ
1. ให้ตวงส่วนผสมตัวแป้งครั้งละ1/2 ส่วนแล้วกวนมาหยอด
2. ให้ต้มน้ำเดือดใส่หม้อใบใหญ่ แล้วเอาหม้อแป้งที่กวนแล้วลงแช่ไว้ขณะตักแป้งหยอดใส่พิมพ์



ขนมลืมกลืน

ส่วนผสม
แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง
น้ำลอยดอกไม้ 5 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1. ผสมแป้งถั่วเขียวกับน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ใส่ลงในกระทะทองคนให้เข้ากัน
ใส่น้ำลอยดอกไม้ คนให้เข้ากัน ยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆกวนจนแป้งสุกใส

2. หยอดขนมลงในพิมพ์หรือถ้วยตะไล

3. ผสมหัวกะทิแป้งข้าวเจ้าใส่ลงในกระทะทอง กวนด้วยไฟอ่อนๆ
ใส่เกลือ คนจนแป้งสุกและกะทิข้น หยอดหัวกะทิลงบนตัวขนม จัดใส่ภาชนะ



ลืมกลืนสีสวยหน้าครีมสด



สิ่งที่ต้องเตรียม
แป้งถั่วเขียว 50 กรัม
น้ำ 650 ซีซี
น้ำตาลทราย 150 ซีซี
เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
สีผสมอาหาร สีชมพู, สีฟ้า,สีม่วงออร์คิด, สีเหลือง สีเขียว และสีส้ม  
วิปปิ้งครีม ต้นตำรับ ตรามารีน่า 1 กล่อง
ถั่วเขียวเลาะเปลือก ตราข้าวทองแช่น้ำจนพองคั่ว จนมีกลิ่นหอมสำหรับโรยหน้า  

วิธีทำ
- ผสมแป้งถั่วเขียวกับน้ำ น้ำตาลทราย และเกลือป่นในภาชนะ นำขึ้นตั้งไฟ คนผสมด้วยตะกร้อมือ ใช้ไฟปานกลาง
คนผสมจนส่วนผสมสุกใส ยกลง แบ่งผสมสี ตักหยอดลงในพิมพ์หัวใจ ขณะร้อนๆ จนเต็มพิมพ์

- ตีผสมวิปปิ้งครีมต้นตำรับ ตรามารีน่า ใช้หัวตีรูปตะกร้อ ความเร็วสูงสุด 2 นาที และลดความเร็วต่ำ 2 นาที
ตักใส่ถุงบีบ บีบลงบนหน้าขนมลืมกลืนที่เย็นสนิทแล้ว โรยหน้าด้วยถั่วเขียวเลาะเปลือก ตราข้าวทอง พร้อมรับประทาน

Cook tipการทำขนมลืมกลืน
ขนมลืมกลืนเป็นขนมไทยชนิดหนึ่ง ที่หน้าตาคล้ายตะโก้แต่มีส่วนผสมของตัว แป้งที่ไม่เหมือนกัน
ขนมลืมกลืนมีดีที่ตัวแป้ง ถ้าแป้งอร่อยก็จะสมกับชื่อลืมกลืน

การทำตัวแป้งลืมกลืน เมื่อผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันนำแป้งขึ้นตั้งไฟ ให้หมั่นกวนส่วนผสมอยู่ตลอดเวลา
จะทำให้ได้เนื้อขนมที่เนียมนุ่ม และตัวแป้งจะใสได้ที่ เมื่อนำมาทำขนมจะได้ขนมลืมกลืนที่นุ่มเหนียว เนื้อเนียนใสอร่อยทีเดียว

และเสริม cook tip อีกอย่าง ในการทำหน้าขนมที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน
เรามีสูตรเฉพาะจะใช้ วิปปิ้งครีมต้นตำรับ ตรามารีน่า เป็นส่วนผสมแทนหน้ากะทิทั่วไป
หน้าขนมของเราก็จะได้รสชาติที่หวานมันเข้มข้นอร่อย กินกันจนลืม

ที่มา 
http://www.lks.ac.th
http://www.yingsakfood.com
http://v2.zmeal.com/board


Read More...


“พายกล้วยตาก” ขนมอบไทย



“ทาร์ตงาดำกล้วยตาก” เป็นเบเกอรี่สไตล์ฟิวชั่น ที่มีรสชาติและกลิ่นหอมอย่างไทยเต็มคำ
แต่อยู่ในรูปลักษณ์หน้าตาที่สวยงามน่ากินสไตล์ขนมฝรั่ง

เริ่มจากบุบงาดำรวมกับแป้งทำเป็นพาย กวนไส้คัสตาร์ดหรือสังขยากะทิหยอดกลิ่นวานิลลาเล็กน้อยพอหอม
แล้วซอยกล้วยตากอบน้ำผึ้งโรยแต่งหน้าเพิ่มรสชาติ หรือถ้าใครอยากเพิ่มความเป็นไทยให้มากขึ้น
ลองเติมธัญพืชใส่ในไส้สังขยา หรือจะเปลี่ยนกลิ่นวานิลลาเป็นกลิ่นใบเตยก็ดูจะเข้าท่าไม่น้อย


ส่วนผสม (สำหรับ 8 - 10 ที่)
เตรียม 10 นาที ปรุง 50 นาที (ไม่รวมเวลาแช่เย็น)
    * แป้งสาลีอเนกประสงค์(1) 1 ถ้วย
    * งาดำ 2 ช้อนโต๊ะ
    * น้ำตาลไอซิ่ง 1/2 ถ้วย
    * เนยสดชนิดจืด 1/2 ถ้วย
    * ไข่แดง 1 ฟอง
    * น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
    * หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
    * นมข้นจืด 1/2 ถ้วย
    * น้ำตาลทรายขาว 3 ช้อนโต๊ะ
    * ไข่แดง 1 ฟอง
    * แป้งสาลีอเนกประสงค์ (2) 2 ช้อนโต๊ะ
    * กลิ่นวานิลลา 1/2 ช้อนชา
    * กล้วยตากสำหรับแต่งหน้า
    * งาขาวและดำสำหรับโรยหน้า


วิธีทำ

1. บุบงาดำให้พอแหลกผสมกับแป้งสาลี (1) และน้ำตาลไอซิ่ง หั่นเนยสดให้เป็นชิ้นเต๋าเล็ก ใส่ลงในแป้ง
ใช้ส้อมตะกุยให้เข้ากันเป็นชิ้นเล็กๆคล้ายเกล็ดขนมปัง ผสมไข่แดงกับน้ำให้เข้ากัน เทใส่แป้งให้ทั่ว แล้วเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน
ใช้มือปั้นเบาๆให้เป็นก้อน ห่อกระดาษไขแช่เย็นไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง
 
2. นำแป้งพายที่แช่เย็นไว้ออกมารีดให้เป็นแผ่นบางประมาณ 2 – 3 มิลลิเมตร กรุใส่พิมพ์(เวลากรุแป้งพายจะขาดง่าย ให้นำเศษมาปะได้)
ใช้ส้อมจิ้มแป้งให้ทั่ว ตัดกระดาษฟอยล์วางบนแป้งแล้วตักข้าวสารหรือถั่วเมล็ดแห้งใส่ เพื่อทับไม่ให้เวลาอบแล้วแป้งพายพองเสียรูป
 
3. นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นาน 30 นาที นำออกจากเตา ยกกระดาษฟอยล์ออกจากพาย และเคาะพายออกจากพิมพ์
วางบนตะแกรงนำเข้าอบต่ออีกประมาณ 10 นาที จนสุกเหลืองดี พักไว้จนเย็นสนิท
 
4. ใช้ตะกร้อมือตีไข่แดง น้ำตาลทรายและแป้งสาลี (2) รวมกันในชามผสมพักไว้ ใส่กะทิและนมข้นจืดลงในหม้ออุ่นให้ร้อน
ค่อยๆเทกะทิลงผสมกับส่วนผสมไข่แดง โดยต้องตีให้เข้ากันตลอดเวลา เมื่อเข้ากันดี
 เทส่วนผสมทั้งหมดกลับลงในหม้อนำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนตลอดเวลาจนคัสตาร์ดเริ่มข้นขึ้น
ปิดไฟ เทใส่ชามพักไว้ให้เย็นสักครู่จึงตักใส่พายที่อบไว้ให้เกือบเต็ม
 
5. ซอยกล้วยตากเป็นชิ้นเล็กๆ วางบนคัสตาร์ดให้สวยงาม นำไปแช่เย็นประมาณ 1 ชั่วโมง
ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยงาดำและงาขาวตามชอบ 

credit :
ที่มา http://www.healthandcuisine.com

Read More...


"ขนมปังหน้ากุ้ง" ถูกลิ้นถูกใจ



ช่วงเวลายามบ่ายของวันหยุด อาจเป็นช่วงเวลาสำราญที่หลายๆคนใช้เอนหลังงีบหลับพักสายตาสบายๆ
แต่คนชอบกินอย่าง "กุ๊กเล็ก" กลับชอบเข้าครัวทำขนมหรือทำอาหารอร่อยๆ ประเคนลิ้นตัวเองและคนรอบข้างมากกว่า
อย่างวันนี้ที่เข้าครัวมาทำของว่างกินเล่นอร่อยๆ อย่าง "ขนมปังหน้ากุ้ง"
ที่ได้สูตรมาจาก "เดอะ คลิฟฟ์ อ่าวนาง รีสอร์ท" โรงแรมในจังหวัดกระบี่ ที่เชื่อว่าคงถูกลิ้นหลายๆคนแน่นอน
     
       ส่วนผสม     
       ขนมปังฝรั่งเศสหั่นเป็นแว่นๆ 4 ชิ้น
       กุ้งสด 8 ตัว
       ไข่ไก่ 1 ฟอง
       ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
       รากผักชี 2-3 ราก
       กระเทียม 2-3 กลีบ
       น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา
       พริกไทย พอประมาณ
       น้ำมันพืชสำหรับทอดขนมปัง
     
       ส่วนผสมน้ำจิ้ม   
       น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
       เกลือ 1/4 ช้อนชา
       พริกชี้ฟ้าแดง 2-3 เม็ด
       หอมแดง 1 หัว
       กระเทียม 3-4 กลีบ
     

วิธีทำ
นำขนมปังฝรั่งเศสมาหั่นเป็นแว่นๆ ความหนาประมาณ 2-3 ซ.ม. เสร็จแล้วหันไปแกะเนื้อกุ้งมาสับให้ละเอียด
 โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทยให้ละเอียด แล้วนำมาผสมกับเนื้อกุ้งสับ
จากนั้นตอกไข่ไก่เลือกเอาแต่ไข่แดง ผสมซีอิ๊วขาวและน้ำมันงา นวดเข้ากับกุ้งสับจนเข้าเนื้อ
แล้วจึงนำเนื้อกุ้งที่นวดจนเหนียวแล้วนั้นมาทาบนหน้าขนมปัง แล้วเตรียมทอดตั้งกระทะให้ร้อนด้วยไฟปานกลาง
ใส่น้ำมันพืชให้พอท่วมขนมปัง รอจนน้ำมันร้อนจัดดีแล้วแล้วจึงนำขนมปังลงไปทอด
หากน้ำมันยังไม่ร้อนจัดจะทำให้ขนมปังอมน้ำมัน เมื่อทอดจนขนมปังเป็นสีเหลืองดีแล้วจึงตักขึ้น
พักไว้จนสะเด็ดน้ำมัน หรือจะใช้กระดาษซับน้ำมันออกก็ได้
     
เพิ่มรสชาติความอร่อยให้ขนมปังหน้ากุ้งด้วยน้ำจิ้มรสเด็ด เริ่มจากโขลกพริกชี้ฟ้า กระเทียม หอมแดงให้ละเอียด
นำน้ำส้มสายชูขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และส่วนผสมที่โขลกแล้วลงไปเคี่ยวรวมกัน
เป็นอันได้น้ำจิ้มขนมปังหน้ากุ้ง กินเป็นของว่างแสนอร่อยยามบ่าย

credit :
โดย กุ๊กเล็ก
อ้างอิง http://www.manager.co.th

Read More...


เปิด 3 สูตร ‘เมนูผัด’ ‘อาหารเจ’ พร้อมทำเงิน



“ช่องทางทำกิน” วันนี้ยังคงเป็นข้อมูลอาชีพ “ขายอาหารเจ” รับ “เทศกาลกินเจ” ที่ใกล้จะมาถึง
โดยวันนี้มีเมนูประเภท “ผัด” มาเปิดสูตรอีก 3 สูตรคือ...“ผัดหมี่เจ-ผัดโปรตีนเกษตรเจ-ผัดมะเขือยาวเจ”
 
อุไรวรรณ ติยะวัฒน์วิทยา เจ้าของ  วินรถสองแถวรับ-ส่งในซอยย่านจรัญสนิทวงศ์ 37 เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการทำอาหารเจ
เธอเล่าว่า ช่วงเทศกาลกินเจจะเป็นช่วงที่อาหารเจได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งก็เคยมีความคิดที่จะทำขายเหมือนกัน
แต่คนในครอบครัวห้ามไว้ เพราะไม่อยากให้เหนื่อยมาก และเพราะความใจดีชอบช่วยคน ถ้าทำขายก็คงจะได้กำไรไม่คุ้มเหนื่อย
ประกอบกับอายุมากแล้ว จึงไม่ทำขาย แต่เปลี่ยนเป็นทำแจก 1 วันในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งก็ทำแจกแบบนี้ติดต่อกันมานานกว่า 20 ปีแล้ว
 
อย่างไรก็ตาม วันนี้คุณอุไรวรรณจะเปิดสูตรเมนูอาหารเจให้ 3 สูตรคือ...
 
ผัดหมี่เจ” ส่วนประกอบหลักคือ เส้นหมี่เหลืองกลม ๆใหญ่ ๆ ราคา กก.ละไม่เกิน 25 บาท, หัวไชโป๊สับฝอย, เต้าหู้หั่น, เห็ดหอม, คะน้า,
กะหล่ำ ปลี, แครอท, เห็ดฟาง ส่วนเครื่องปรุงรสนั้นก็มี    ชูรสเจ, ซีอี๊วขาว, ผงปรุงรสเจ (แบบก้อน-นำไปละลายน้ำ), น้ำตาลทราย และน้ำเห็ดหอมปั่น
       
การผัดหมี่เจนั้น คุณอุไรวรรณบอกว่า ง่ายมาก แต่ว่าผัดแล้วจะอร่อยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปรุงรสเป็นหลัก
โดยคนทานนั้นส่วนมากจะเน้นทานผักและเต้าหู้มากกว่าเส้น การผัดนั้นก็ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช รอให้ร้อนก็ใส่หัวไชโป๊ลงไป
ใส่เห็ดหอม เห็ดฟาง ลงไปผัดให้เข้ากัน จากนั้นใส่เส้นหมี่ลงผัด ตามด้วยผักต่าง ๆ แล้วก็ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงตามชอบ
โดยเน้นให้มีรสชาติกลมกล่อมพอดี ๆ ผัดต่อไปสักพักจนผักสุก เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
 
เคล็ดลับความอร่อยของอาหารเจคุณอุไรวรรณ คือการใช้น้ำเห็ดหอมปั่นเป็นส่วนผสมด้วย
 ซึ่งการทำก็นำเห็ดหอมไปแช่น้ำจนนิ่ม จากนั้นนำไปปั่นกับน้ำพอประมาณ ปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปต้มให้สุก
ปรุงรสกับซีอิ๊วขาวพอประมาณ เท่านี้ก็ใช้ได้ ซึ่งน้ำเห็ดหอมนี้ทำแล้วสามารถเก็บใส่ตู้เย็นไว้ใช้คราว  ต่อ ๆ ไปได้
 
คุณอุไรวรรณบอกว่า ผัดหมี่เจนั้น 1 กก. จะลงทุนไม่เกิน 60 บาท ขายได้ประมาณ 200 บาท ซึ่งเป็นสัดส่วนกำไรที่น่าสนใจทีเดียว
ส่วนอาหารเจอื่น ๆ โดยทั่วไปจะมีกำไรครึ่งหนึ่งจาก ราคาที่ตั้งขาย
   
ต่อไปเป็น “ผัดโปรตีนเกษตร เจ
เคล็ดลับที่ทำโปรตีนเกษตรอร่อยนั้น คุณอุไรวรรณ บอกว่า ก่อนอื่นต้องนำไปแช่น้ำแล้วตากแดดให้แห้งสนิท
จากนั้นทอดโปรตีนเกษตรให้กรอบ แล้วจึงนำไปผัด อย่าทิ้งไว้นาน เพราะถ้าทิ้งไว้นานแล้วโปรตีนจะไม่กรอบเลย
         
เมื่อทอดโปรตีนเกษตรเสร็จแล้ว ก็ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอประมาณ เมื่อน้ำมันร้อนใส่พริกแกงพอประมาณลงไปผัด
แล้วใส่โปรตีนเกษตรที่ทอดแล้วลงไป ปรุงรสด้วยผงปรุงรสก้อน-ละลายน้ำ, น้ำมันหอย,  ชูรสเจ, น้ำตาลปี๊บ และงาขาว
ชิมรสดูให้ได้ที่ แล้วผัดไปเรื่อย ๆ ให้เข้ากัน ระหว่างผัดอย่าให้ไฟแรงไป เพราะจะไหม้ เมื่อส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้ว ตักใส่จาน
โรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดงหั่นฝอย และใบมะกรูดหั่นฝอยพอประมาณ  เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว

     

อีกสูตรคือ “ผัดมะเขือยาวเจ” เป็นเมนูเจยอดฮิตอีกเมนูหนึ่ง
คุณอุไรวรรณบอกว่า ผัดมะเขือยาวเจจะอร่อยได้นั้น จะต้องหักมะเขือยาวเป็นท่อน ๆ แทนการหั่น
เพราะ การปรุงรสต่าง ๆ จะซึมเข้าเนื้อมะเขือยาวได้ดีกว่าการหั่น โดยมะเขือยาวที่หักแล้วให้แช่น้ำและใส่เกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อไม่ให้มะเขือยาวดำ
 
การผัดก็เริ่มต้นด้วยการตั้งกระทะใส่น้ำมัน เมื่อน้ำมันร้อนใส่หัวไชโป๊ลงผัด ใส่พริกแกงพอประมาณ ใส่มะเขือยาวที่เตรียมไว้ลงผัด
เติม น้ำเล็กน้อย ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว, น้ำเห็ดหอมปั่น, เกลือ, ชูรสเจ ชิมรสให้ออกรสกลมกล่อมพอดี ๆ แล้วปิดฝาครอบลงไปเพื่อให้มะเขือสุก
เมื่อมะเขือสุกแล้ว โรยใบโหระพาลงไป แล้วผัดให้เข้ากัน เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมรับประทานหรือจำหน่าย             
 
ใครที่กำลังคิดจะทำ “อาหารเจ” ขาย บางที “เมนูผัด” 3 เมนูที่ว่ามาอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี ก็ลองนำสูตรไปฝึกฝนทำกันดู
หรือใครอยากจะสอบถามเพิ่มเติม อยากจะขอคำแนะนำจากคุณอุไรวรรณ ติยะวัฒน์วิทยา
ก็ลองโทรศัพท์ไปที่หมายเลข โทร. 0-2412-5518 (ช่วงเวลา 15.00-19.00 น.   เท่านั้น).

credit :
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ที่มา http://www.dailynews.co.th

Read More...


‘กระทงลูกมะพร้าว’ ไอเดียแปลกดีมีเงินใช้ !!!



ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 คืน “ลอยกระทง” เวียนมาถึง ก็จะเป็นช่วงทำเงินของคนมีฝีมือทำกระทง ซึ่งก่อนจะถึงคืนลอยกระทงปีนี้ที่ตรงกับคืนวันที่ 2 พ.ย. ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำ “กระทงจากลูกมะพร้าว” อีกรูปแบบของกระทงวัสดุธรรมชาติมาเล่าสู่ ซึ่งกระทงรูปแบบนี้แม้ไม่ใช่วันลอยกระทงก็ขายได้...

กิตติวัฒน์ เมธาพัฒน์อธิกุล เป็นเจ้าของไอเดียนำ “ลูกมะพร้าว” มาสร้างสรรค์ดัดแปลงทำเป็น “กระทง” กลายเป็นกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติที่ไม่เหมือนใคร-ไม่มีใครเหมือน โดยเจ้าของผลงานบอกว่ากระทงจากลูกมะพร้าวนี้ทำขึ้นจำหน่ายเป็นรายได้เสริม เพราะอาชีพหลักจริง ๆ เป็นช่างคอมพิวเตอร์ รับดูแลคอมพิวเตอร์ตามสำนักงานต่าง ๆ ซึ่งคอมพิวเตอร์นั้นไม่ได้เสียทุกวัน จึงมีเวลาว่างอยู่บ้าง

เนื่องจากที่บ้านมีสวนมะพร้าว มีมะพร้าวมาก เมื่อแก่แล้วก็จะหล่นจากต้น แล้วจะมีคนมารับซื้อในราคาลูกละ 5 บาท ตอนหลังก็มาคิดว่าน่าจะนำมะพร้าวเหล่านี้มาทำให้เกิดมูลค่าได้มากขึ้น พอดีเห็นลูกมะพร้าวแก่ที่หล่นลงในน้ำมันลอยน้ำ ประกอบกับใกล้ช่วงเทศกาลลอยกระทงพอดี จึงเกิดไอเดียทำกระทง

“เริ่ม ลงมือทดลองทำ โดยเริ่มจากนำลูกมะพร้าวมาตัดครึ่ง ลองไปลอยน้ำดู จากนั้นก็เริ่มดัดแปลงทำเป็นรูปทรงแบบกระทง กว่าจะลงตัวก็ใช้เวลาอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ทำไปให้ผู้ใหญ่ช่วยดูว่าน่าจะขายได้ไหม แล้วก็นำไปลงประกาศขายทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี”

สำหรับกระทง จากลูกมะพร้าวนี้ นอกจากจะเป็นกระทงที่รักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังสามารถนำไปรีไซเคิล หรือเฉพาะเจาะจงที่จะทำเพื่อใช้เป็น “กระถางแขวนใส่กล้วยไม้” ได้อีกด้วย


อุปกรณ์ หลัก ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการทำกระทงลูกมะพร้าวจะมีดังนี้คือ... เลื่อยสำหรับเลื่อยไม้ (จะเป็นเลื่อยมือหรือไฟฟ้าก็ได้), ปากกา, คัตเตอร์ และสีย้อมไม้ (ใช้สีเหลืองสด)

ส่วนลูกมะพร้าวต้องใช้มะพร้าวแก่ ซึ่งจะสามารถเก็บไว้ได้นาน และลอยน้ำ ได้ดี

ขั้น ตอนการทำ เริ่มจากการนำมะพร้าวแก่มาล้างทำความสะอาด ล้างพวกเศษดินและคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามเปลือกของลูกมะพร้าวออกด้วยน้ำ แล้วนำไปตากให้แห้ง

จากนั้นก็นำมะพร้าวที่ทำความสะอาดและตากแห้งดี แล้วมาเลื่อยตัดครึ่งทั้ง เปลือก แล้วนำมะพร้าวที่ตัดครึ่งไปตากแดดทิ้งไว้อีกครั้ง เพื่อให้เนื้อมะพร้าวที่ติดอยู่ร่อนหลุดออกจากกะลา

ลำดับถัดมา นำมะพร้าวที่เนื้อหลุดออกไปแล้วมาใช้ปากกาทำการร่างลายกลีบกระทงลงบนเปลือก ด้านนอกตามต้องการ จะทำกลีบเล็กหรือกลีบใหญ่ก็ได้ เมื่อร่างเสร็จก็ใช้คัตเตอร์ตัดตามลายที่ร่างไว้ แล้วลอกเปลือกมะพร้าวตรงส่วนที่ตัดออกให้เห็นถึงกะลา จากนั้นก็ใช้คัตเตอร์ปาดส่วนปลายแหลมของกลีบเอาเปลือกที่ติดกะลาออกไปประมาณ 2 เซนติเมตร เท่านี้ก็จะได้กลีบนอกของกระทง

ต่อไปมาถึงขั้นตอนการ ทำกลีบชั้นในของกระทงลูกมะพร้าว ซึ่งเมื่อเราทำกลีบกระทงด้านนอกเสร็จแล้ว ก็จะเห็นกะลา ก็ใช้เลื่อยสำหรับเลื่อยไม้ทำการเลื่อยตัดกะลาด้านในให้เป็นกลีบกระทงสลับ กับกลีบนอก เมื่อตัดเสร็จก็ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด แล้วใช้สีย้อมไม้ทาให้ทั่ว หรือจะใช้สีทองหรือสีเงินทาด้านในเพื่อความสวยงามด้วยก็ได้ เสร็จแล้วก็ตกแต่งด้วยกากเพชร เท่านี้ก็จะได้    “กระทงจากลูกมะพร้าว”

แต่ ก่อนจะขาย ก็ต้องทำการประดับตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้นเสียก่อน ซึ่งก็อาจจะตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้หรือดอกไม้อื่น ๆ ให้มีสีสันสวยงาม แล้วปักธูป-เทียน ก็พร้อมขายได้


ราคา ขายก็จะตั้งได้ตามขนาดของกระทง ซึ่งผลงานกระทงจากลูกมะพร้าวของกิตติวัฒน์จะมี 2 ขนาด คือเล็กและใหญ่ ขนาดเล็กกว้างประมาณ 6 นิ้ว ขนาด ใหญ่กว้างประมาณ 9 นิ้ว ราคากระทงที่ตกแต่งเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ 40-50 บาท ส่วนราคาขายส่งเฉพาะตัวกระทงอยู่ที่ 20-30 บาท แต่ต้องสั่งอย่างน้อย 10 ชิ้นขึ้นไป

“หลังจากผ่านช่วงเทศกาลลอยกระทงไปแล้ว เราก็ยังสามารถขายกระทงที่ทำจากลูกมะพร้าวได้ต่อ โดยทำการเจาะรู นำลวดที่ใช้ทำกระถางต้นไม้แบบแขวนมาใส่เข้าไป ก็จะเป็นกระถางต้นไม้สำหรับใส่ต้นกล้วยไม้ได้” ...กิตติวัฒน์ บอก

วัน ลอยกระทงที่ใกล้จะมาถึง เจ้าของผลงาน “กระทงลูกมะพร้าว” รายนี้จะนำผลงานไปขายที่บริเวณ สน.เพชรเกษม แถวท่าน้ำวัดม่วง ส่วนถ้าใครสนใจสั่งซื้อไปขายในช่วงเทศกาลลอยกระทง ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-8011-1646 ซึ่งกระทงลูกมะพร้าวนี้ก็เป็นอีกไอเดีย “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจเช่นกัน.


Read More...


'สาคูแคนตาลูปนมสด' : ขนมผลไม้..แปลกใหม่-ขายดี



“สาคู แคนตาลูปนมสด” เป็นขนมหวานที่ประยุกต์จากสาคูน้ำกะทิ ขนมบ้าน ๆ ที่แสนจะธรรมดา พัฒนาปรับปรุงเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ขนม ทั้งรสชาติและตัวขนม ผสมผสานเข้ากันจนลงตัวพอดี แถมยังเติมแต่งด้วยผลไม้ เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ จนเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้า ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาเล่าสู่...

ดวงใจ จิระวัฒนานันท์ เจ้าของธุรกิจขนมผลไม้นมสด “ซอฟท์ฟรุท” (Soft – Fruit) เล่าให้ฟังว่า สูตรขนมเพื่อสุขภาพนี้พี่สาวเป็นคนคิด เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เพื่อนำไปถวายพระสงฆ์ รวมถึงแบ่งปันให้กับญาติ ๆ เพื่อน ๆ และผู้ที่มาร่วมทำบุญ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่าสูตรขนมดังกล่าวนี้จะกลายเป็นอาชีพหลัก เพราะก็มีงานประจำที่มั่นคงทำอยู่แล้ว แต่หลังจากทำขายเป็นอาชีพเสริมอยู่ระยะหนึ่งก็เล็งเห็นว่าธุรกิจตัวนี้น่าจะ ไปได้สวย จึงลาออกจากงานประจำ เพื่อมาสร้างธุรกิจนี้อย่างจริงจังตั้งแต่เมื่อเดือน ส.ค. 2552 ที่ผ่านมา

“คน ที่ได้ชิมขนมของเราเขาชอบ มีร้านค้ามาขอให้ทำไปวางขายที่ร้านของเขา จึงทำแบบสมัครเล่นเป็นอาชีพเสริมอยู่ 5 ปี จนมีลูกค้าประจำ ทำให้มั่นใจถ้าทำเต็มตัวน่าจะไปรอด จึงลาออกจากงานมาลุยเต็มตัว”

จุดเด่นของขนมชนิดนี้คือความสด หอมหวาน จากส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มาจากธรรมชาติ ที่ผสมกัน
แล้วเกิดเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ลงตัว กินแล้วชื่นใจ และยังให้คุณค่าอาหารครบหมู่  โดยรสชาติไม่หวานเกินไป

สำหรับ ส่วนผสมหลัก ๆ ที่ใช้ในการทำ “สาคูแคนตาลูปนมสด” ก็ได้แก่ นมสดพาสเจอร์ไรส์, แคนตาลูป, สาคูเม็ด, มะพร้าวอ่อน, ลูกตาลอ่อน, น้ำสะอาด และน้ำตาลทราย

ส่วนอุปกรณ์ก็เป็นพวกหม้อสแตนเลสหลายขนาด, ทัพพี, ไม้พาย, เตาแก๊ส, ผ้าขาวบาง, ตะแกรง, กระชอน, ที่ตักผลไม้หรือพิมพ์กดวุ้น และอุปกรณ์เครื่องครัวเบ็ดเตล็ด

ขั้นตอนการทำ “สาคูแคนตาลูปนมสด” เริ่มจากการทำน้ำเชื่อมเข้มข้นเตรียมเอาไว้ก่อน ใช้น้ำสะอาด ผสมกับน้ำตาลทราย อันตราส่วน 1 : 1 ใส่หม้อแล้วนำขึ้นตั้งไฟให้เดือดจัดสักครู่  จึงยกลงทิ้งไว้ให้เย็น

ขั้น ต่อไปนำน้ำสะอาดใส่หม้อพอประมาณ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง ระหว่างรอน้ำเดือด ให้เทสาคูเม็ดใส่กระชอนตาห่าง ร่อนเอาฝุ่นผงออก แล้วทำการล้างสาคู โดยการเปิดน้ำก๊อกให้ไหลผ่านตะแกรง

ห้ามใช้มือลูบ เพราะจะทำให้เม็ดสาคูเสียหาย !!

พอ น้ำเดือด เทสาคูใส่ลงไปในหม้อ ใช้ทัพพีคนให้สาคูกระจายอย่างรวดเร็ว  ทำการคนไปเรื่อย ๆ จะได้โดนความร้อนทั่วถึง เวลาสาคูพองจะได้พองเสมอกัน และเป็นการกันสาคูติดหม้อด้วย พอสาคูพองขึ้น น้ำจะค่อย ๆ ลดลงไป หากสาคูเม็ดยังไม่ใสให้เติมน้ำต้มต่อ ให้สังเกตดูจุดขาวตรงกลางในเม็ดสาคูจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ จนเม็ดสาคูใส จึงใส่น้ำตาลตามลงไปในหม้อสาคูเล็กน้อย เพื่อให้ตัวสาคูมีความหวานในตัวบ้าง

ระหว่าง ที่รอสาคูสุก นำแคนตาลูปที่เตรียมไว้มาผ่าครึ่ง ทำการคว้านเอาเม็ดกับไส้ออกให้หมด  ใช้ที่ตักผลไม้ตักเป็นลูกกลม ๆ ถ้าไม่มีที่ตักก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้น ๆ หรือจะใช้พิมพ์กดวุ้นกดเป็นรูปแบบที่สวยงามก็ได้

ส่วนมะพร้าว ใช้ช้อนหรือที่ตักทำการตักเป็นชิ้นพอคำ และลูกตาลก็ใช้ที่กำลังดี ไม่อ่อน-ไม่แก่เกินไป ปอกเปลือกแล้วนำไปล้าง หั่นเป็นชิ้นยาวขนาดตามต้องการ แล้วเก็บไว้ในตู้เย็น เตรียมไว้

พอสาคูเม็ดใสดีแล้ว  ยกลงจากเตา เทใส่กระชอนอีกครั้งแล้วล้างเอาเมือกแป้งออกด้วยน้ำเย็น สาคูจะร่วนไม่เกาะติดกัน  ตักสาคูใส่ภาชนะที่สะอาด  ค่อย ๆ เทนมสดใส่ตามลงไป  คนให้สาคูกับนมสดเข้ากัน  ตามด้วยลูกตาล และมะพร้าวอ่อน ถ้านมสดน้อยไปก็สามารถเติมได้ตามชอบ ลองชิมดู หากหวานไม่พอให้เติมน้ำเชื่อมที่ทำเตรียมไว้ลงไป มาก-น้อยก็ตามชอบ แล้วนำไปแช่ไว้ในตู้เย็น

เวลาเสิร์ฟ ตักสาคูใส่ถ้วย ตามด้วยแคนตาลูป  ลูกตาล และมะพร้าว ก็จะได้ขนมที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน กินแล้วชื่นใจ และไม่อ้วน ซึ่งดวงใจบอกว่าขนมผลไม้นมสดของเธอเป็นสูตรเฉพาะ จะพิเศษตรงรสชาติขนมที่มีความหอมหวานโดยไม่ต้องพึ่งกะทิ เพราะใช้น้ำนมสด และไม่ใส่สารกันบูด สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ 3 วัน อย่างไรก็ตาม ทางร้านจะเน้นมากที่ความสด ผลิตวันต่อวัน ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ราคาขาย “สาคูแคนตาลูปนมสด” หรือขนมผลไม้นมสดนี้ เมื่อบรรจุถ้วยพลาสติกขนาด 100 กรัม ขายปลีกถ้วยละ 30-35 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่นำไปขาย

“สาคู แคนตาลูปนมสด” นี้ นอกจากขายทั่วไปแล้วยังสามารถนำไปใช้ในงานจัดเลี้ยงต่าง ๆ หรืองานสัมมนา และปกติแล้วดวงใจก็จะนำสินค้าออกขายตามงานแฟร์ ออกบูทตามงานต่าง ๆ ส่วนถ้าใครต้องการสั่งไปใช้หรือนำไปขายต่อ ก็ติดต่อสอบถามกับดวงใจที่ โทร.08-1558-0028, 08-6572-5959 ได้ทุกวัน

นี่ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าพิจารณา 


Read More...


‘ซูชิข้าวกล้อง’ : คิดจุดต่าง-สร้างจุดขาย


อาหาร ว่างประเภท “ซูชิ” ปัจจุบันมีการทำขายทั้งตามข้างทาง ตลาดนัด หรือในห้างสรรพสินค้า มีตั้งแต่ราคาย่อมเยาไปจนกระทั่งราคาภัตตาคาร ซึ่งใครคิดจะทำขายบ้างก็คงต้องฉีกแนวเพื่อหา กลุ่มลูกค้าของตนเอง และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจมานำเสนอ นั่นก็คือ “ซูชิข้าวกล้อง”

“ชูซิข้าวกล้อง” เกิดขึ้นจากแนวคิด ความสุขในการทำ ไม่เครียดในการขาย ของผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนเอกชนคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า “ชูชื่น พลอยเกษม” หรือ คุณต๋อย เจ้าของซูชิข้าวกล้อง “มิโดริ” ซึ่งเจ้าตัวเล่าว่า ซูชิข้าวกล้องนี้เกิดขึ้นจากการทำแจกในหมู่เพื่อน ๆ จนมีการเชียร์ให้ทำขาย และมีการคิดให้เป็นซูชิเพื่อสุขภาพ โดยใช้ข้าวกล้องที่มีประโยชน์ โดยเมื่อทำออกมาแล้วมีรสชาติไม่แตกต่างไปจากของต้นตำรับ

การทำ “ซูชิข้าวกล้อง” ขาย คุณต๋อยจะทำวันต่อวัน โดยวางขายในโรงเรียนที่ลูกเรียนอยู่ ปกติจะมี 12-13 หน้า อาทิ สลัดทูน่า, สลัดกุ้ง, สลัดปู, สาหร่ายปู, ไข่กุ้งส้ม, ปลาไหล, กุ้งต้ม, ปูอัด, ครีบหอยเชลล์, ปลาหมึก ฯลฯ โดยส่วนผสมที่เป็นหน้าต่าง ๆ ของซูชินั้น หาซื้อได้ในห้างสรรพสินค้าที่มีการขายเครื่องปรุงอาหาร
ราคาขายส่วนใหญ่ชิ้นละ 10 บาท ยกเว้นหน้าไข่หวาน มากิหมู-มากิปู ขายชิ้นละแค่ 5 บาท

การ หุงข้าวทำซูชิ หรือข้าวปั้น ถ้าใช้ข้าวประมาณ 16 กระป๋องตวงข้าวเล็ก ๆ จะทำได้ประมาณ 300 ชิ้น  โดยสัดส่วนหรือส่วนผสมตัวข้าวโดยประมาณคือ ข้าวญี่ปุ่น 60% ข้าวกล้อง 20%  และข้าวหอมมะลิอีก 20%

เทคนิคการหุง ข้าว นั้น คุณต๋อยบอกว่า ข้าวไทยจะมีปัญหามากกว่าข้าวญี่ปุ่น เพราะมีทั้งข้าวใหม่และข้าวเก่าที่ใช้ปริมาณน้ำในการหุงไม่เท่ากัน แต่โดยพื้นฐานของสูตรแล้ว จะทยอยหุงคราวละ 4 กระป๋อง โดยจะใช้น้ำ 5 กระป๋อง โดยถ้าหุงออกมาแล้วข้าวแฉะเกินไป ก็ต้องลดปริมาณน้ำในคราวต่อไป ถ้าแข็งก็ต้องเพิ่มน้ำมากขึ้น ทดลองทำอย่างนี้ก่อนจนกว่าจะได้มาตรฐานการใส่น้ำสำหรับข้าวที่ซื้อมาแต่ละ ลอต

หน้าสลัด จะมี 3 หน้าคือ สลัดทูน่า สลัดกุ้ง และสลัดปู ส่วนผสมของสลัดคือ แตงกวา แครอท  ผสมน้ำสลัด  และทูน่า หรือกุ้ง หรือปูอัด

ซู ชิมากิหมู หมูต้องหมักกับซีอิ๊ว และกระเทียม แล้วนำไปทอด  ซึ่งเวลาห่อกับข้าวจะใส่ซอสมายองเนสด้วย เพื่อความอร่อย อย่างไรก็ตาม รูปแบบของการห่อนั้นขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของแต่ละคน

หน้าไข่ หวาน สัดส่วนคือไข่ไก่ 3 ฟอง  ผสมกับสาเก 1.5 ช้อนตวง และน้ำตาลทราย 1.5 ช้อนตวง นำไปทอดในกระทะซึ่งใส่เนยลงไปในน้ำมันเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติความหอมให้ กับไข่หวาน การทอดไข่หวานนั้นต้องใช้ไฟในระดับอ่อนสุด เพื่อให้สุกทั่ว

การ ห่อซูชิ ห่อได้หลายแบบ  ถ้าเป็นแบบกลม ๆ และ รี ๆ โดยเป็นแบบสาหร่ายพันข้าวนั้น  ใช้เสื่อญี่ปุ่น และแผ่นสาหร่ายสำหรับทำซูชิเป็นอุปกรณ์และวัสดุสำคัญ โดยตักข้าวกะในปริมาณที่พอดี ๆ ม้วนออกมาแล้ว สามารถตัดออกเป็นชิ้น ๆ โดยกะให้ตัดออกมาได้ประมาณ 8 ชิ้น

หน้าซูชิที่ใช้ข้าวปั้นแบบกลม ๆ คือ  หน้าปลาไหล, ไข่กุ้งส้ม, ปลาหมึก, สลัดหน้าต่าง ๆ และหน้าสาหร่ายที่โรยงาขาวคั่วไว้ด้านบน ซึ่งงาขาวคั่วสำหรับโรยหน้าสาหร่าย และสำหรับการทำอุระมากิซูชิ ซึ่งเป็นการห่อด้วยการนำสาหร่ายไว้ด้านในเอาข้าวไว้ด้านนอก เมื่อหั่นออกมาแล้วนำไปคลุกงานั้น งาที่ใช้ต้องคั่ววันต่อวัน

ส่วนซูชิที่พันออกมาเป็นแบบรี ๆ คือ หน้าปลาหมึก

ซู ชิที่เป็นมากิหมู–ปูอัด จะบิดออกมาให้เป็นแบบสามเหลี่ยม เพราะต้องการจัดเรียงซูชิให้เป็นรูปดอกไม้ โดยจะต้องวางไส้ด้านใน มีแตงกวา และแครอท และเพิ่มมายองเนสลงไปเพื่อรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น

หน้าไข่หวาน ปูอัด และกุ้งต้มนั้น จะต้องปั้นข้าวออกเป็นชิ้น ๆ  ลักษณะออกรี ๆ วางหน้าต่าง ๆ ไว้ด้านบน แล้วพันด้วยสาหร่ายด้านบน
การ ทำ “ซูชิข้าวกล้อง” ของคุณต๋อยนั้น จะทำวันต่อวัน เน้นใช้วัสดุ-วัตถุดิบที่ต้องสดและสะอาดเป็นหัวใจสำคัญของการขาย ขณะที่การตั้งราคาขายนั้นก็ตั้งในระดับที่ซื้อง่าย-ขายคล่อง เอากำไรแบบพอประมาณ พอดี ๆ ไม่เน้นทำกำไรมาก เพราะคุณภาพอาจจะลดลง

ใครสนใจ “ซูชิข้าวกล้อง” ต้องการติดต่อ คุณต๋อย-ชูชื่น พลอยเกษม ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์   08-1257-9820 และ 08-9815-4711 ส่วนใครที่คิดจะทำซูชิขาย นอกจากสูตรการทำที่เป็นสแตนดาร์ดโดยทั่วไปแล้ว ก็อย่าลืมคิดหา “จุดเด่น-จุดแปลกใหม่” เพื่อเป็น “จุดขาย” ด้วย !!.


Read More...


‘ข้าวซอย-น้ำเงี้ยว’มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็เวิร์ก



“ช่วง นี้นักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นเหนือไปสัมผัสอากาศหนาว และหลายคนก็จะถือโอกาส  รับประทานอาหารประจำถิ่นอย่าง “ข้าวซอย” ให้จุใจ อย่างไรก็ตาม ข้าวซอยนี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายอยู่ทางเหนือเท่านั้น ขอเพียงมีสูตรเด็ดเคล็ดอร่อย ก็ทำขายในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ได้ อย่างที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ภัคพงศ์ พึ่งกัน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารชื่อ “รสมือแม่” อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าตัวบอกว่า เดิมเคยเปิดร้านขายอาหารเหนืออยู่ที่เชียงใหม่ ภายหลังต้องหยุดเพราะเข้ามาทำงานเป็นสัตวแพทย์อยู่ในกรุงเทพฯ พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯก็เห็นว่าอาหารเหนือนั้นหากินยาก จึงคิดจะเปิดร้านขายอาหารเหนือ และได้ขอให้คุณแม่ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารเหนือมานานลงมาอยู่ที่ กรุงเทพฯ เพื่อช่วยในเรื่องนี้

ร้านอาหารเหนือที่เปิดใหม่นี้ก็ใช้ ชื่อร้านว่า “รสมือแม่” ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยเปิดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเน้นให้คนกรุงเทพฯได้รู้ถึงรสชาติของอาหารเหนือที่แท้จริง และให้คนที่ชอบได้กินกันบ่อยขึ้น ที่สำคัญอาหารที่ร้านนี้ทุกเมนูจะไม่ใส่ผงชูรส โดยที่ร้านจะมีสโลแกนว่า “พ่อแม่ใส่ใจแทนการใส่ผงชูรส”


สำหรับอาหารเหนือที่ขึ้นชื่ออย่าง “ข้าวซอย” และ “น้ำเงี้ยว” เป็นเมนูที่ทำไม่ยาก แต่อาจจะมีขั้นตอนการทำที่เยอะหน่อย ซึ่งความอร่อยนั้นอยู่ที่ “พริกแกง” เพราะฉะนั้นพริกแกงที่ร้านนี้ใช้ทำทั้งสองเมนู จะทำขึ้นเอง ไม่ซื้อสำเร็จรูป และที่สำคัญข้าวซอยและน้ำเงี้ยวจะต้องทำใหม่ ๆ ทุกวัน จะทำพอดีขายวันต่อวัน

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำพริกแกงข้าวซอย ตามสูตรของร้านนี้มีดังนี้... พริกแห้ง 2 ขีด, กระเทียม 3 ขีด, หอมแดง 3 ขีด, ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 2 ขีด, ขิง 1 ขีด, กะปิ 1.5 ขีด, เม็ดผักชียี่หร่า 1/2 ขีด, ผง   กะหรี่ 2 ช้อนโต๊ะ, ผงขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ

จากสูตรนี้สามารถทำพริกแกงได้ประมาณ 1 กิโลกรัม

วิธี การทำพริกแกง เริ่มจากนำวัตถุดิบทุกอย่างมาทำการปั่นให้ละเอียด โดยแยกปั่นแต่ละอย่าง จากนั้นก็นำวัตถุดิบทุกอย่างที่ปั่นละเอียดแล้วมาเทใส่รวมกันในครก ทำการโขลกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เท่านี้ก็จะได้พริกแกงพร้อมสำหรับทำข้าวซอย โดยพริกแกงข้าวซอยจะออกทางหอมกลิ่นผงกะหรี่

เมื่อได้พริกแกงก็มาถึง วิธีทำ “น้ำแกงข้าวซอย” เริ่มจากนำหัวกะทิใส่กระทะตั้งไฟปานกลาง ทำการเคี่ยวให้หัวกะทิแตกมัน จากนั้นก็นำพริกแกงที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงไปผัดรวมกับหัวกะทิ พอเริ่มหอมก็ให้นำเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ใส่ลงไปผัดด้วยประมาณ 15 นาที

เนื้อ วัวที่ใช้ทำควรจะใช้เนื้อส่วนน่องลาย เพราะเป็นเนื้อส่วนที่มีเอ็นติดแทรกอยู่ในเนื้อ เวลาทำออกมาจะอร่อยมาก ส่วนถ้าเป็นเนื้อไก่นั้นจะใช้เนื้อส่วนน่องมาทำ โดยเลือกใช้น่องที่มีขนาด 8-9 น่องต่อกิโลกรัม

ขั้นตอนต่อไป นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่เกลือและน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย พอกะทิเดือดก็นำเนื้อหรือไก่ที่ผัดกับพริกแกงใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ

ถ้าเป็นเนื้อจะใช้เวลาในการ เคี่ยวเป็นชั่วโมงเพื่อให้เนื้อเปื่อยนุ่ม แต่ถ้าเป็นน่องไก่จะใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1/2 ชั่วโมงเท่านั้น เท่านี้ก็จะได้น้ำแกงสำหรับใส่เส้นข้าวซอย

สำหรับการเตรียม “เส้นข้าวซอย” นั้น ก็แค่ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำเส้นลงลวกให้เส้นนิ่ม ใส่ชาม ใส่น้ำแกงที่เตรียมไว้ลงไป แล้วก็จะใส่เส้นบะหมี่ที่ทอดกรอบอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่เส้นข้าวซอยนั้นถ้าจะให้ได้รสชาติข้าวซอยเมืองเหนือแท้ ๆ จะต้องใช้เส้นข้าวซอยโดยเฉพาะ ซึ่งทางร้านนี้จะมีแหล่งสั่งซื้อจากจังหวัดเชียงใหม่

“ข้าวซอย” นั้นต้องเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง อย่างผักกาดดองหั่นเป็นชิ้น, หอมแดงหั่นเป็นชิ้น และมะนาวหั่นซีก

หาก ใช้พริกแกงประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อวัวหรือน่องไก่ 5 กิโลกรัม และกะทิ 4 กิโลกรัม จะสามารถทำข้าวซอยได้ประมาณ 45 ชาม ราคาขายของร้าน “รสมือแม่” อยู่ที่ชามละ 40 บาท

ภัคพงศ์ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำเงี้ยว” ด้วยว่า สำหรับพริกแกงที่ใช้ทำน้ำเงี้ยวก็จะใช้วัตถุดิบเหมือนพริกแกงข้าวซอย เพียงแต่พริกแกงของน้ำเงี้ยวนั้นไม่ต้องใส่ขิงและผงกะหรี่ ส่วนวิธีการทำก็เหมือนกัน

การทำน้ำเงี้ยว เริ่มจากนำพริกแกงมาผัดกับน้ำมันให้พอหอม จากนั้นก็ใส่หมูลงไปผัดให้พอมีกลิ่นหอม ทำการตั้งน้ำต้มกระดูกหมู พอเดือดก็ใส่หมูที่ผัดกับพริกแกงลงไปในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ ใส่เลือดไก่และมะเขือเทศลงไป ปรุงรสตามต้องการ ก็จะได้น้ำเงี้ยวสำหรับราดเป็น “ขนมจีนน้ำเงี้ยว” เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่าง ผักกาดดองหั่นฝอย, กะหล่ำปลีหั่นฝอย และพริกแห้งทอด


นอกจากข้าวซอยและน้ำเงี้ยวแล้ว ร้านรสมือแม่ยังมีอาหารเหนืออีกหลายเมนู อาทิ น้ำพริกอ่อง, ไส้อั่ว, แกงฮังเล, แกงอ่อม, แกงแค ฯลฯ และยังมีเมนู “สเต๊ก” ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไปที่ร้านนี้มักจะสั่งทานกัน


Read More...


'จานด่วนมังสวิรัติ' : 'เพื่อสุขภาพ' เป็นจุดขาย



“อาหาร มังสวิรัติ” เป็นอาหารอีกประเภทที่เริ่มแพร่หลายในชีวิตประจำวันของคนไทยที่ไม่อยากรับ ประทานเนื้อสัตว์ ต้องการรักษาสุขภาพหรือดูแลรูปร่างให้ดูดีไม่มีไขมันส่วนเกิน ซึ่งก็กลายเป็นอีกช่องทางสร้างอาชีพ-สร้างรายได้ที่น่าสนใจ และวันนี้ทางทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอ..

ประภา อภิพัฒนา หรือ คุณเจี๊ยบ เจ้าของร้านอาหาร “รวมมิตร” ซึ่งขายอาหารหลายประเภท อาทิ อาหารตามสั่ง, ก๋วยเตี๋ยวหลอด, บะหมี่กวางเจา, หมูสะเต๊ะ รวมถึง “อาหารมังสวิรัติ” อยู่ที่ย่านถนนพุทธบูชา กรุงเทพฯ เจ้าตัวบอกว่า สืบทอดกิจการร้านอาหารจากรุ่นคุณยายซึ่งขายอาหารมานานกว่า 30 ปี ซึ่งร้านอาหารของตนนั้นจะเน้นวัตถุดิบที่ปลอดภัย ไม่ใช้ผงชูรส

สำหรับ เมนูอาหารมังสวิรัตินั้น คุณเจี๊ยบแนะนำ “จานด่วน” 3 เมนู ได้แก่ สปาเก๊ตตี้ผัดเห็ด/ ผักโขม, ข้าวกระเพราเห็ด 3 อย่าง, หมี่กระเฉดมังสวิรัติ โดยเป็นเมนูที่ทำขึ้นสำหรับออกงานให้กับโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งลูก ๆ คุณเจี๊ยบเรียนอยู่ แต่วันนี้เธอได้บอกเล่าวิธีทำผ่านทีมงานคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน”

เริ่ม ที่  “สปาเก๊ตตี้ผัดเห็ด/ ผักโขม” มีส่วนประกอบของ เส้นสปาเก๊ตตี้, เห็ดออรินจิ, ผักโขมจีน, แครอท, โหระพา, หอมใหญ่, กระเทียม, พริกขี้หนูแห้งทอด, น้ำมันมะกอก, เนยกระเทียม

เน้นวัตถุดิบคุณภาพดี และวิธีทำถูกต้อง โดยเริ่มที่เส้นสปาเก๊ตตี้ ก่อนใช้ต้องลวกไม่ให้สุกจนเกินไป หมายความว่าแกนข้างในต้องไม่สุก เพราะถ้าลวกสุกทั้งเส้น จะทำให้เส้นเละมากหลังผัด, เห็ดออรินจิ ซึ่งเป็นเห็ดญี่ปุ่น หรือเห็ดเกาหลี เนื้อจะแน่นมาก เพียงแต่ราคาค่อนข้างสูง โดยเฉลี่ยราคา กก.ละกว่า 200 บาท เห็ดนี่ต้องล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ,  ผักโขมจีน ต้องลวกก่อน และเพื่อความสดกรอบต้องนำไปแช่น้ำแข็งเอาไว้ก่อนใช้  ส่วนน้ำมันมะกอก ต้องเลือกใช้ประเภทสำหรับผัดหรือทอดเท่านั้น ซึ่งเป็นคนละประเภทกับที่ใช้ทำน้ำสลัด

วิธีทำ “สปาเก๊ตตี้ผัดเห็ด/ ผักโขม” ตั้งกระทำใส่น้ำมันมะกอก ใส่เห็ดลงไปผัด จากนั้นใส่เนยและกระเทียมสับพอประมาณลงไปผัดด้วย ผัดให้เข้ากันและมีกลิ่นหอมของเนยและกระเทียม ก็ตักขึ้นมาพักไว้

ขั้น ต่อไปคือ ตั้งกระทะเจียวหอมหัวใหญ่และกระเทียมให้สุกดี ที่ต้องเน้นให้สุกเพราะถ้าเจียวไม่สุกหอมใหญ่จะเผ็ด กระเทียมก็จะเผ็ดและมีรสระคาย เมื่อเจียวทั้งกระเทียมและหอมใหญ่สุกแล้ว ใส่เส้นสปาเก๊ตตี้ลงไป ตามด้วยแครอทหั่นฝอย จากนั้นตามด้วยเห็ดที่ทำเตรียมไว้ และผักโขมจีนลวก ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส และเกลือทะเลที่มีแร่ธาตุอื่น ๆ นอกเหนือจากโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
เมื่อผัดเข้ากันจน สุก ปรุงรสจนมั่นใจว่าใช้ได้แล้ว ก็ตักขึ้นได้เลย เวลาเสิร์ฟนั้นโรยหน้าด้วยใบโหระพาใบใหญ่ และพริกขี้หนูแห้งทอด เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย  เมนูนี้มีต้นทุนอยู่ที่จานละประมาณ 50 บาท

ต่อ ด้วย “ผัดกระเพราเห็ด 3 อย่าง” ซึ่งมีส่วนประกอบของ เห็ดฟาง, เห็ดหูหนู และเห็ดนางรม, แครอทหั่นฝอย, ใบกระเพรา, กระเทียมสับ และพริกขี้หนู

วิธี ทำ ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันรำข้าว เจียวกระเทียมให้สุก จากนั้นใส่พริกขี้หนูสับลงผัดให้สุก (ถ้าผัดไม่สุก พริกขี้หนูจะเหม็นเขียว) ใส่เห็ด 3 ชนิดที่เตรียมไว้ลงไปผัดด้วย โดยใส่เห็ดนางรมลงไปก่อน เพราะสุกยากกว่าเพื่อน ตามด้วยเห็ดฟาง เห็ดหูหนู และแครอทหั่นฝอย ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายแดง (ให้รสชาติหวานกลมกล่อม-ส่วนน้ำตาลทรายขาวรสชาติจะหวานแหลม), น้ำมันหอย และซอสปรุงรส ผัดจนเข้ากัน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

เมนู “ผัดกระเพราเห็ด 3 อย่าง” นี้มีต้นทุนอยู่ที่จานละประมาณ 30 บาท

อีก เมนู “หมี่กะเฉดมังสวิรัติ” ส่วนประกอบก็มี เส้นหมี่อบแห้ง, ผักกระเฉด, โปรตีนถั่วเหลืองเกษตรชนิดเล็ก, พริกขี้หนูสับ, กระเทียมสับ, เห็ด (ตามฤดูกาล)

วิธีทำ  แช่เส้นหมี่อบแห้งไว้นาน 3 นาทีเพื่อให้เส้นนุ่ม  จากนั้นตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน เจียวกระเทียมและพริกให้สุก เหมือนกับวิธีทำกระเพราเห็ด 3 อย่าง จากนั้นใส่เห็ดลงไปผัดจนสุก ใส่เส้นหมี่ และผัดกระเฉดตามลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว, ผงซุปเห็ดหอม และน้ำตาลทรายแดง ผัดให้เข้ากันจนสุก เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว  โดยมีต้นทุนจานละประมาณ 40 บาท

ในการขายทุกเมนู ก็บวกส่วนกำไรเข้าไปอีกจานละ 10-15 บาท

ร้าน รวมมิตรของคุณเจี๊ยบ ตั้งอยู่ที่ 9/266-267 หมู่บ้านสวนริมคลอง (บางมด) ถนนพุทธบูชา กรุงเทพฯ เปิดขายเวลา 07.00-19.00 น. ทุกวัน ยกเว้นวันเสาร์-อาทิตย์กลางเดือน หมายเลขโทรศัพท์คือ 0-2869-3944-5 ใครจะลองชิมก็เชิญได้ ส่วนใครที่ได้ไอเดีย “ช่องทางทำกิน” จาก “อาหารมังสวิรัติ” แล้ว...ก็อย่ารอช้า !! 


Read More...


‘อเมริกันคุกกี้’ ขายได้ทั้งปี-ขายดีปีใหม่


ใกล้ เทศกาลปีใหม่เข้ามาทุกที ซึ่งปีใหม่นอกจากจะเป็นช่วงเวลาที่คึกคักแล้ว ยังเป็นช่วงตระเตรียมส่งความสุข ความปรารถนาดี ในหลาย ๆ รูปแบบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้กับเทศกาลปีใหม่คือของขวัญ ซึ่งในบรรดาขนมที่นิยมใช้เป็นของขวัญนั้น ก็รวมถึง “คุกกี้” และวันนี้ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอ...

“ส้ม-คิสราภัธต์ ศรีโรจน์” เจ้าของร้าน “เบเกอรี่ บาย คิสรา” ซึ่งรับทำเบเกอรี่โฮมเมด อาทิ คุกกี้ ขนมปัง เค้ก ปัจจุบันได้คิดทำ “อเมริกัน คุกกี้” จำหน่ายด้วย ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าอเมริกันคุกกี้นี้เป็นสูตรใหม่ เพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาได้ไม่นาน นอกเหนือจากคุกกี้ข้าวโอ๊ต คุกกี้รัมเรซิ่น คุกกี้เนย คุกกี้ธัญพืช คุกกี้งาดำ คุกกี้กาแฟ

“ที่มาของการทำเบเก อรี่โฮมเมด คือการไปเรียนที่สถาบันที่สอน    เบเกอรี่ จากนั้นก็มาปรับวิธีทำ และสร้างสูตรให้เป็นของตัวเอง โดยสูตรของเรานั้น คุกกี้จะไม่หวานมาก ทานเพลิน ๆ” ส้มบอก

สำหรับอเมริกันคุกกี้ สูตรนี้จะมี “เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบกรอบ” และ “ลูกเกดเหลือง-ดำ” เป็นตัวชูโรง โดยแต่งกลิ่นด้วยกลิ่นอัลมอนด์ให้  น่าทานยิ่งขึ้น โรยหน้าด้วยช็อกโกแลตชิพ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าครบสูตรแบบ  
อเมริกันคุกกี้จริง ๆ ซึ่งนอกเหนือจากซื้อทานเอง ซื้อฝากผู้อื่น ยังใช้เป็นของขวัญช่วงเทศกาลปีใหม่ได้ด้วย

ราย ละเอียดของอเมริกันคุกกี้สูตรนี้ มีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม, แป้งสาลีเค้ก 150 กรัม, เกลือป่น 14  ช้อนชา, เบกกิ้งโซดา 14  ช้อนชา, วานิลลาผง 12  ช้อนชา, นมผง 20 กรัม, ช็อกโกแลตไรซ์ 50 กรัม, เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบกรอบทุบ 100 กรัม, มะพร้าวอบ 20 กรัม, ลูกเกดเหลือง–ดำหั่นหยาบ 50 กรัม, เนยสดชนิดเค็ม 100 กรัม, เนยขาว 125 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม, น้ำตาลทรายแดง 50 กรัม, น้ำหอมกลิ่นอัลมอนด์ 1 ช้อนชา และไข่ไก่ 1 ฟอง

นอกจากนี้ ยังใช้ช็อกโกแลตชิพ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ครึ่งซีก สำหรับแต่งหน้าคุกกี้ด้วย

วิธี ทำ  เริ่มจากร่อนแป้งสาลีทำเค้ก และแป้งสาลีอเนกประสงค์ เบกกิ้งโซดา เกลือป่น นมผง และวานิลลาผงเข้าด้วยกัน จากนั้นผสมช็อกโกแลต ไรซ์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลูกเกด และมะพร้าวอบ ลงในแป้ง

ตีผสมเนยเค็มกับเนยขาว น้ำตาลทราย และน้ำตาลทรายแดง ด้วยหัวตีรูปใบไม้ ด้วยความเร็วต่ำ จนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ใส่น้ำหอมกลิ่นอัลมอนด์ และไข่ไก่ ตีผสมจนเข้ากันทันที และค่อย ๆ ใส่แป้งที่ร่อนไว้ ตีผสมจนเข้ากัน

นำ เนื้อแป้งคุกกี้ที่ตีเข้ากันแล้ว ปั้นเป็นรูปคุกกี้ตามขนาดต้องการ โดยมีน้ำหนักชิ้นละ 50 กรัม วางลงบนถาดที่เตรียมไว้ โดยต้องทาเนยบนถาดก่อน แต่งหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ และช็อกโกแลตชิพ

จากนั้นนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ใช้ไฟบน-ล่าง นานประมาณ 8-10 นาที

เมื่อ ครบเวลานำออกจากเตา พักให้เย็น แล้วนำเข้าเตาอบต่ออีกครั้ง อบที่อุณหภูมิ 300 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 7 นาที หรือสังเกตดูว่าคุกกี้มีสีออกเหลืองกรอบ

นำออกจากเตา รอให้คุกกี้พออุ่น ๆ จึงบรรจุลงภาชนะ

คุณ ส้มแนะนำว่า คุกกี้นี้ถ้าทานกับชาร้อนอังกฤษ หรือกาแฟร้อนจะอร่อยมาก และถ้าต้องการทานคุกกี้ให้อร่อยยิ่งขึ้น แนะนำให้เก็บไว้ในตู้เย็น และหยิบทานตามต้องการ เมื่อแช่ตู้เย็นคุกกี้จะกรอบอร่อยมาก และยังทำให้อายุคุกกี้เก็บไว้ได้นานมากขึ้น

ส่วนราคาขาย “อเมริกันคุกกี้” นั้น อยู่ที่ กก.ละ 700 บาท โดยมีกำไรประมาณ 30% ซึ่งเหตุที่ขายในราคาสูง เพราะใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ

ใคร สนใจ “อเมริกันคุกกี้” และเบเกอรี่อื่น ๆ ของ ส้ม-คิสราภัธต์  ศรีโรจน์ ติดต่อได้ที่ โทร.08-1909-0983, 08-1915-3482, 08-0616-9238 ส่วนใครพอมีฝีมือทางการทำขนม-ทำเบเกอรี่ และกำลังคิดจะทำขายรับเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึง บางที “คุกกี้” อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี !!. 


Read More...


'กล้วยเมืองลุง' ทำเงินด้วย 'สแน็กพื้นบ้าน'



“กล้วย” จึงจัดเป็นผลไม้ลำดับต้น ๆ ที่คนไทยรู้จักและนิยมรับประทานในทุกพื้นที่ รวมถึงมีการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการแปรรูปกล้วยเป็นอาหารทานเล่นประเภท “สแน็ค” ของกลุ่มแม่บ้านลำสินธุ์ มานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

ประทิน นาคมิตร ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์ จ.พัทลุง เล่าว่า ชาวสวนในชุมชนนี้จะนิยมปลูกกล้วยน้ำว้าและกล้วยไข่ควบคู่กับการทำสวนยางพารา เพราะให้ผลผลิตดีและขายได้ราคา แต่เมื่อปี 2530 ราคากล้วยตกต่ำขายไม่ออก จึงมีการแปรรูปกล้วยไข่เป็นกล้วยกรอบแก้วรสต่าง ๆ และเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในท้องถิ่น ต่อมามีการขอคำแนะจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ เพื่อปรับให้การทำงานของกลุ่มเป็นระบบ จนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จนสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง และพัฒนาเรื่อยมาจนเป็น “กล้วยเมืองลุง” ในปัจจุบัน

“ทั้งอุตสาหกรรม พัฒนาชุมชน เกษตรอำเภอ อบต. เข้ามาสนับสนุนความรู้ทางวิชาการ เงินทุนจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ ทำให้สมาชิกมีกำลังใจในการทำงาน ขณะเดียวกันเราก็ขยันหาความรู้ เข้าอบรมสัมมนา ศึกษาดูงาน โรดโชว์กับหน่วยงานราชการ นำประสบการณ์ที่ได้มาพัฒนาปรับปรุงสินค้าจนได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน โอทอป 4 ดาว และได้วางจำหน่ายในห้างเทสโก้ โลตัส สาขาพัทลุง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทำให้เรามีทุนในการพัฒนาสินค้าให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นอีก”

จุดเด่นของ “กล้วยเมืองลุง” คือมีหลายรสชาติให้เลือก อาทิ รสมาตรฐาน รสหวาน รสเค็ม รสบาร์บีคิว รสปาปริก้า รสสาหร่าย แต่ละรสชาติก็จะแตกต่างกันไป โดยที่การผลิตจะเน้นความสะอาด ปลอดภัย ไม่ใส่สารกันบูด และเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การเลือกกล้วยไข่ ต้องเป็นกล้วยก่อนแก่เท่านั้น รสชาติจะหวานกรอบ

อุปกรณ์ในการทำก็มี... กระทะ, เตาแก๊ส, ไม้พาย, กระด้ง, กะละมังใหญ่, เครื่องหั่นกล้วย, ตะแกรง, ทัพพี, เครื่องปั่นไฟฟ้า, กระดาษซับมัน, มีด, เขียง และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ด ส่วนวัตถุดิบก็มี... กล้วยไข่ก่อนแก่, น้ำมะนาว, น้ำมันปาล์ม, น้ำตาลไอซิ่ง (มีส่วนผสมของแป้งสาลี 3 % ช่วยลดความชื้น), พริกไทยป่น, เกลือ
ขั้นตอนการทำ “กล้วยไข่เมืองลุง” (หากต้องการรสชาติแบบไหนก็เพิ่มส่วนผสมนั้น ๆ ลงไป) เริ่มจากนำกล้วยไข่สดก่อนแก่มาล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้ง จากนั้นนำไปปอกเปลือกแช่ในน้ำมะนาวอ่อน ๆ เพื่อไม่ให้ผิวกล้วยดำ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกที ก่อนนำไปสไลด์เป็นแผ่นบาง ๆ ลงกระทะน้ำมันที่ความร้อน 160 องศา

ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที สังเกตว่ากล้วยมีสีเหลืองทองจึงตักขึ้นใส่ตะแกรงวางให้สะเด็ดน้ำมัน พักไว้จนเย็น ก่อนนำมาปรุงแต่งรสชาติตามต้องการ จากนั้นนำเข้าตู้อบอีก 3-10 นาที ซับน้ำมันและไล่ความชื้นเพื่อป้องการเชื้อรา ก่อนแพ็กลงบรรจุภัณฑ์เตรียมจำหน่าย ซึ่งลูกค้าสามารถเก็บไว้รับประทานได้นานถึง 3 เดือน

สำหรับการปรุง เป็นรสต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น รสสาหร่าย ก็ให้นำสาหร่ายอบแห้งที่เตรียมไว้มาฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดพอประมาณ จากนั้นก็นำไปคลุกเคล้ากับกล้วยตอนที่ทอดเสร็จแล้ว ปรุงรสเพิ่มเติมด้วย พริกไทยป่น เกลือป่น และน้ำตาลไอซิ่ง ทำการผสมคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันทั่ว ก็จะได้กล้วยไข่เมืองลุง รสสาหร่าย

ผลิตภัณฑ์ “กล้วยเมืองลุง” หรือ Phatthalung Banana Chips เจ้านี้มีทั้งแบบม้วน แบบแว่น แบบสไลด์ และแบบแท่ง บรรจุในถุงใสน้ำหนัก 150 กรัม และซองสีเขียวน้ำหนัก 140 กรัม ราคาส่ง 16 บาท ส่วนราคาขายปลีกขึ้นอยู่กับพื้นที่ เริ่มต้นที่ 20 บาท 25 บาท และ 35 บาท

ปัจจุบัน วิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์มีสมาชิกกว่า 160 ชีวิต แบ่งหน้าที่กันตามความถนัด ผลิตสินค้าหลากหลายชนิด เฉพาะ “กล้วยเมืองลุง” สร้างรายได้เสริมให้กับสมาชิกเดือนละ 4-5 พันบาทต่อคน อีกทั้งชาวสวนกล้วยไข่ก็พลอยมีรายได้ดีจากการขายกล้วยดิบอีกด้วย

หาก สนใจต้องการศึกษาวิธีการแปรรูปกล้วยไข่ติดต่อได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านลำสินธุ์ 104 หมู่ที่ 3 ต.ลำสินธุ์ อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง โทร. 0-7460-5659, 08-6292-1923 แล้วจะได้รู้ว่า “กล้วย” ก็มิใช่ผลไม้บ้าน ๆ เชย ๆ ใครอาจจะมองว่าก็แค่ “กล้วย” แต่เมื่อบวกไอเดียดี ๆ เข้าไป ก็อาจทำให้ “รวย” ได้ !!


Read More...


ขนมเปี๊ยะอบเทียน' ขายได้ทั้งปี-ขายดีเทศกาล



“ช่อง ทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูลอาชีพการทำ-การขายของกินที่รู้จักกันในวงกว้าง ราคาไม่แพง สามารถขายได้ตลอดทั้งปี และยิ่งขายดีในช่วงเทศกาล มานำเสนอ นั่นก็คือ “ขนมเปี๊ยะอบเทียน”

ธนพร ปิยะชัยศิริกุล หรือ คุณใหญ่ เป็นเจ้าของธุรกิจ “ขนมเปี๊ยะอบเทียน” ที่ใช้ชื่อว่า “จันทร์เอ๋ย” เจ้าตัวเล่าว่า ดำเนินธุรกิจนี้มาประมาณ 3 ปีแล้ว ด้วยความที่เป็นคนชอบทานขนมเปี๊ยะมาก และอยากจะมีขนมเปี๊ยะสูตรของตนเอง จึงเริ่มศึกษาการทำธุรกิจนี้เรื่อยมา พร้อมกับการทำขายไปในตัวด้วย
เมื่อ มองว่าขนมเปี๊ยะเป็นตลาดขนมที่ขายได้เรื่อย ๆ และเป็นที่นิยมในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ อาทิ ปีใหม่ ตรุษจีน  ในช่วงปลายปี 2552 จึงเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการสร้างตราสินค้า พร้อม ๆ ไปกับความพยายามในการหาตลาดใหม่ ๆ ขึ้นมา ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีมากในระดับหนึ่ง

การลงทุนทำขนม เปี๊ยะขายนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากการทำขนมอื่น ๆ สำหรับขนมเปี๊ยะนั้นหลัก ๆ เป็นการลงทุนเครื่องกวนแป้ง สำหรับกวนไส้ถั่วเหลือง ซึ่งหากสามารถกวนได้ด้วยตนเองก็ไม่ต้องลงทุนซื้อ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ราคาค่อนข้างสูง ส่วนเครื่องตีแป้งไม่ต้องใช้ เพราะขนมเปี๊ยะส่วนใหญ่จะใช้มือและใช้ไม้คลึงแป้งนวด สิ่งอื่นที่ต้องลงทุนซื้อคือเตาอบ และตู้อบควันเทียน ซึ่งตู้อบควันเทียนนั้นประยุกต์ใช้ตู้กับข้าวแทนก็ได้

วิธีทำขนม เปี๊ยะอบเทียน เริ่มที่ส่วนผสมของ แป้งชั้นใน ตามสูตรใช้แป้งสาลีเอนกประสงค์ 350 กรัม ต่อเนยขาว 160 กรัม  โดยผสมแป้งและเนยขาวให้เข้ากัน แล้วแบ่งแป้งให้ได้ 40 ชิ้น หรือ 40 ก้อน

สำหรับ ส่วนผสมของ แป้งชั้นนอก ตามสูตรคือ แป้งสาลีเอนกประสงค์ 250 กรัม ต่อน้ำมันพืช 100 กรัม, น้ำตาลทราย 75 กรัม, น้ำเปล่า 75 กรัม, ไข่แดงสำหรับทาหน้า 2 ฟอง  และไข่เค็ม 10 ฟอง วิธีทำคือละลายน้ำตาล น้ำเปล่า น้ำมันพืช ให้เข้ากัน ผสมกับแป้ง นวดให้เข้ากัน จนแป้งเนียน พักไว้ 10 นาที แบ่งแป้งเป็นก้อนให้ได้ 40 ก้อนเช่นกัน

ลำดับถัดมานำแป้งชั้นนอกหุ้มแป้งชั้นใน คลึงเป็นแผ่นยาว ม้วนเป็นแท่ง แล้วตัดแบ่งออกเป็น 2-4 ชิ้น

จาก นั้นนำแป้งมาคลึงเป็นแผ่นกลม แล้วนำมาใส่ไส้ พร้อมไข่แดงของไข่เค็มซึ่งตัดออกเป็น 4 ชิ้น แป้งแต่ละชุดใส่ไข่เค็ม 1 ชิ้น ใส่ลงไปพร้อมไส้ถั่วเหลืองลงตรงกลาง แล้วหุ้มแป้งให้มิด ทาหน้าด้วยไข่แดง เพื่อทำให้ขนมน่าทาน นำเข้าเตาอบแล้วอบที่ความร้อนประมาณ 200 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 10-15 นาที จนกระทั่งสุก จากนั้นนำขนมเข้าอบเทียนประมาณ 1-2 คืน

ใน ส่วนของ ไส้ขนมเปี๊ยะ ซึ่งเป็นไส้ถั่วเหลืองนั้น ส่วนผสมประกอบด้วยถั่วเขียวกะเทาะเปลือกเป็นหลัก ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือ และใช้น้ำมันพืชด้วย วิธีทำเริ่มที่แช่ถั่วเขียวกะเทาะเปลือก นำไปต้มจนเปื่อย และน้ำเริ่มแห้ง เติมน้ำตาลทรายพอประมาณ และเกลือนิดหน่อย กวนจนกระทั่งแห้ง จึงเติมน้ำมันพืช กวนจนแห้งอีกครั้ง ก็พร้อมใช้เป็นไส้ขนมเปี๊ยะ

“ขนมเปี๊ยะอบเทียน” นี้ มีจุดเด่นคือไม่ใส่สารกันบูด แต่สามารถเก็บไว้รับประทานให้หมดได้ภายใน 3 วัน โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น แต่หากใส่ตู้เย็นจะเก็บไว้ได้นานขึ้น แต่ก็ไม่ควรเกิน 1 สัปดาห์

สำหรับราคาขายนั้นมี 3 ราคาตามปริมาณการบรรจุแพ็คเกจคือ ขนมเปี๊ยะ 8 ชิ้น ราคา 60 บาท, 14 ชิ้น ราคา 100 บาท  และบรรจุ 24 ชิ้น ราคา 170 บาท

ธนพรแนะนำว่า วิธีขายขนมเปี๊ยะให้ขายได้คล่องนั้นขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ ซึ่งแม้ว่าขนมเปี๊ยะ ส่วนมากจะขายดีมากในช่วงเทศกาล แต่ในแต่ละปีจะมีเทศกาลไม่กี่ครั้ง ดังนั้นในแต่ละวันจะต้องหาตลาดขายให้ได้มากที่สุด เช่นหมุนเวียนขายไม่ต่ำกว่าวันละ 3 แห่ง หรือมากกว่านั้น เพื่อจะได้กระจายขนมเปี๊ยะออกไปให้ได้มากที่สุด และการได้ส่งออกไปขายหลาย ๆ ที่ภายในวันเดียวนั้น หมายความว่าขนมเปี๊ยะจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น

นอก จากนี้ การทำตราสินค้าที่ทันสมัย และมีหมายเลขโทรศัพท์แจ้งบอกลูกค้าไว้ที่บรรจุภัณฑ์ด้วย เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตัวเองไปในตัว ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน


ใครสนใจขนมเปี๊ยะอบเทียน  “จันทร์เอ๋ย” ต้นตำรับชาววัง ต้องการติดต่อ คุณใหญ่-ธนพร ปิยะชัยศิริกุล ติดต่อได้ที่ โทร.08-5353-3863 และ 08-7697-7678 หรือ http://topdessert.igetweb.com


Read More...


'ลูกหยีกวน' ของฝากสร้างอาชีพ





“ลูก หยี” เป็นหนึ่งในของฝากที่ขึ้นชื่อของปักษ์ใต้ เป็นผลไม้พื้นเมืองของภาคใต้ รับประทานได้เมื่อสุก  ตอนเป็นผลดิบจะมีสีเขียว เมื่อสุกเปลือกสีดำ เนื้อในสีน้ำตาล รสหวานอมเปรี้ยว ถ้ากินสุก ๆ เพียงแกะเปลือกสีดำออกก็รับประทานได้แล้ว แต่ถ้าอยากเพิ่มความอร่อยก็นำมาปรุงรสแปรรูปในลักษณะต่าง ๆ  เช่นทำเป็น “ลูกหยีกวน” ซึ่งทางทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลในเชิงอาชีพมานำเสนอให้พิจารณากัน...

อาจารย์สาลี ชนะสิทธิ์  วัย 60 ปี ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมพัทลุงวิทยา ในฐานะทายาทผู้สืบทอดธุรกิจ “ลูกหยีแม่หนูดำ” เล่าให้ฟังถึงที่มาของธุรกิจนี้ว่า เจ้าของสูตรที่แท้จริงคือ คุณป้าหนูดำ เยาวนานนท์
ซึ่งเป็นป้าแท้ ๆ ที่ยึดอาชีพนี้มากว่า 50 ปี สมัยเด็ก ๆ อาจารย์จะคอยเป็นลูกมือแกะลูกหยี ทำโน่นทำนี่ให้คุณป้าเสมอ จนทำให้ซึมซับเคล็ดลับและวิธีการแปรรูปลูกหยีเรื่อยมา

“สมัยนั้นทำ กันเฉพาะในครัวเรือน วางขายหน้าบ้าน ซึ่งได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าขาประจำทั้งในจังหวัดพัทลุงและใกล้เคียงมาอุดหนุน ทำกันเรื่อยมาจนกระทั่งท่านอายุมาก บวกกับร่างกายไม่แข็งแรง แต่อยากให้อาชีพนี้ตกทอดเป็นมรดกของคนในครอบครัว ในฐานะหลานสาวที่คลุกคลีกับการทำลูกหยีมาตลอด เรายินดีที่จะสืบถอดธุรกิจนี้ และเริ่มทำอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนปัจจุบัน”

และเพื่อ เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และรักษามาตรฐานผลิตภัณฑ์ อาจารย์สาลียังได้ต่อยอดสินค้า ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้คุณภาพ จนผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) พัฒนาสินค้าจนได้รับเลือกเป็นสินค้าโอทอประดับ 5 ดาว  เป็นสินค้าเด่นประจำจังหวัดพัทลุง อีกทั้งยังปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเหมาะจะซื้อเป็นของฝากอีด้วย
เคล็ด ลับความอร่อยของ “ลูกหยีกวน” อาจารย์สาลีบอกว่าอยู่ที่ประสบการณ์การปรุงรส ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งสูตรจะไม่กำหนดเป็นอัตราส่วนตายตัว เพราะลูกหยีสดที่รับซื้อมาแต่ละปีรสชาติจะต่างกัน หวานบ้างเปรี้ยวบ้าง ดังนั้น สูตรการปรุงรสจะเกิดจากความคุ้นเคย การทำทุกครั้งจะต้องชิมและปรุงรสให้ได้ที่

วัตถุดิบ/ส่วนผสม ประกอบด้วย ลูกหยีสด, แบะแซ, น้ำผึ้งรวง, เกลือ, น้ำตาลทราย, พริกขี้หนูป่น และน้ำสะอาด ส่วนอุปกรณ์ก็มีอาทิ เครื่องกะเทาะเปลือกและเม็ดลูกหยี (หรือใช้ถุงผ้าก็ได้), กระทะ, เตาแก๊ส, ตะหลิว, ไม้พาย, ถาด, กระด้ง และเครื่องไม้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่หยิบฉวยเอาได้จากในครัวเรือน

ขั้น ตอนการทำ “ลูกหยีกวน” เริ่มจากนำลูกหยีสดไปตากแดดประมาณ 2 วัน แล้วก็กะเทาะเอาเปลือกและเมล็ดออก ถ้าไม่มีเครื่องกะเทาะก็ให้นำลูกหยีที่ตากได้ที่แล้วมาใส่ในถุงผ้าที่เตรียม ไว้ แล้วทำการฟาดหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เปลือกแตก เสร็จแล้วก็เทลูกหยีใส่กระด้ง ทำการร่อนเอาเปลือกออก ถ้ามีเศษเปลือกติดค้างต้องแกะให้เกลี้ยง ก่อนจะทำการแกะเมล็ดออก แล้วนำลูกหยีไปเกลี่ยในกระด้งให้ทั่ว นำออกตากแดดอีก 2 วัน แล้วนำลูกหยีที่ตากแดดแห้งดีแล้วเก็บใส่ถุงมัดปากให้ดี ตั้งพักไว้

ต่อ ไปเป็นขั้นตอนการทำน้ำเชื่อม นำน้ำสะอาด น้ำผึ้งรวง แบะแซ น้ำตาลทราย เกลือ และพริกขี้หนูป่น ใส่ลงในกระทะพร้อมกัน ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง  เคี่ยวประมาณ 10 นาที จนเป็นน้ำเชื่อมเหนียวเข้มข้น

เมื่อเคี่ยวน้ำเชื่อมได้ที่ ดีแล้ว ก็นำลูกหยีที่เตรียมไว้ใส่ลงในกระทะน้ำเชื่อม ทำการคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน  ยกลง พอเริ่มอุ่น ๆ ก็นำไปปั้นเป็นเม็ดกลม ๆ พอดีคำ แล้วนำไปตากแดดอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นห่อด้วยกระดาษ และใส่ลงบรรจุภัณฑ์ พร้อมจำหน่าย โดยสามารถเก็บไว้ได้นานถึงประมาณ 3 เดือน

สินค้า ของอาจารย์สาลีมีให้เลือก 3 ประเภทคือ ลูกหยีกวน ลูกหยีสด ลูกหยีทรงเครื่อง ราคาขายแตกต่างกันไปตามขนาด และบรรจุภัณฑ์ แต่เฉลี่ยอยู่ที่ขีดละ 40 บาท มีต้นทุนประมาณ 70%


ร้านลูกหยีแม่หนูดำ อยู่ที่เลขที่ 52/2 ถ.ประชาบาล ต.คูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พัทลุง, ที่สนามบินหาดใหญ่ และโซนโอทอป ห้างเทสโก้โลตัส สาขาพัทลุง ส่วนในกรุงเทพฯมีขายที่ร้านโครงการหลวง ใกล้โรงพยาบาลศิริราช และมีบริการส่งสินค้าทางไปรษณีย์ทั่วประเทศด้วย ใครต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ต้องการสั่งซื้อ ต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อ ติดต่อที่ โทร.0-7462-6414 หรือ 08-6627-0867

credit : เดลินิวส์ -- ช่องทางทำกิน

Read More...


รสชาติเป็นหนึ่ง "โรตีแต้จิ๋ว" บางน้อย

บรรยากาศร้านโรตีแต้จิ๋ว ที่ตลาดน้ำบางน้อย
       ชีวิตคนกรุงที่ต้องทำงานทุกวันจันทร์ -ศุกร์ พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร ก็มักที่จะอยากขอไปพักผ่อนสมองและหาความสุขใส่ตัวแบบสนุกสนาน อย่างการออกไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ กุรง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมากโข อย่างที่ "ผ่านมาแวะกิน" ก็ได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดไปเที่ยวตลาดน้ำบางน้อย ที่จ.สมุทรสงคราม มาขอบอกว่าเป็นตลาดน้ำที่มีอายุอานามเก่าแก่กว่า 100 ปี ที่ถูกลืมเลือนมานานหลายสิบปี
    
       จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา ชาวบางน้อยได้ร่วมมือร่วมใจกันฟื้นฟูตลาดขึ้นมาและเปิดตลาดให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีการรักษาสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ร่วมกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาวบางน้อยให้คงไว้ ซึ่งวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ทำมาค้าขายทั้งบนบกและทางน้ำ

คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ โชว์การทำโรตีแต้จิ๋ว
       ในทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ชาวบ้านจะเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวได้มา เดินเที่ยวชมถ่ายภาพบ้านเรือนริมน้ำสวยๆ และมาเลือกซื้อหาของใช้ ของกินมากมายที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขายกัน แล้วถ้ามาตลาดน้ำบางน้อยก็ต้องไม่พลาดที่จะมากินของกินแสนอร่อยที่หากินยาก มากกับ"โรตีแต้จิ๋ว" ที่ร้านสมัยศิลป์
    
       คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ เจ้าของร้านบอกเล่าให้ฟังว่า โรตีแต้จิ๋ว หรือที่เรียกว่าหลั่วก๊วย เป็นขนมที่ทำกินกันภายในครอบครัว โดยมีคุณย่า (อาม่า) คิดขึ้นเพื่อใช้สำหรับไหว้เจ้าในพิธีส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ (ก่อนวันตรุษจีน 6 วัน) และคุณป้าก็เลยนำมาทำขายเพื่อให้คนอื่นได้กินขนมอร่อยๆ แบบนี้บ้าง และเรียกชื่อขนมให้คนจำง่ายๆ ว่าโรตีแต้จิ๋ว เพราะเป็นสูตรการทำสไตล์คนจีนแต้จิ๋ว

โรตีแต้จิ๋วชวนกิน
       การทำโรตีแต้จิ๋ว ประกอบด้วย แป้งข้าวเหนียวที่เอามานวดกับน้ำ แล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนที่จะเอามาตบๆ ให้เป็นแผ่นกลมๆ ไม่ใหญ่นัก แล้วก็นำลงไปทอดในกระทะให้แป้งสุก แล้วก็นำขึ้นมาห่อ ซึ่งจะใส่ถั่วลิสงที่ทางร้านอบเองแบบสดใหม่ลงไป ใส่น้ำตาลทรายแดงและงาขาวลงไป และห่อม้วนเป็นชิ้นๆ นำใส่กระทงใบตองขายในราคา 3 ชิ้น 20 บาท ชิมแล้วถูกปากตรงที่แป้งเนื้อนิ่มนุ่มเหนียว หวานหอมงาและกรุบกรอบถั่วที่อบแบบสดใหม่หอมๆ
    
       เอาเป็นว่าถ้าใครอยากพักผ่อนกับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯ ตลาดน้ำบางน้อยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ในบรรยากาศตลาดพื้นบ้านผสมผสานไปกับความร่วมสมัยแต่พองาม ที่ใครมาเที่ยวแล้ว หากอยากลิ้มรสของกินหายากรสชาติเป็นหนึ่ง ที่ร้านสมัยศิลป์เขามีโรตีแต้จิ๋วรสอร่อยรอคอยอยู่

บรรยากาศโต๊ะนั่งสบายๆ

    
       "โรตีแต้จิ๋ว" ร้านสมัยศิลป์ ตั้งอยู่ในตลาดน้ำบางน้อย เลขที่ 70 หมู่ 8 ต.กระดังงา อ.บางคนที จ.สมุทรสมคราม การเดินทางถ้ามาจากรุงเทพฯ เพียงขับรถตรงมาตามทางที่มา จ. สมุทรสาคร แต่ไม่ต้องเข้าตัวเมืองสมุทรสาคร ให้ขับตรงต่อมาที่สมุทรสงครามเข้าทางเดียวกับตลาดน้ำอัมพวา และขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ ประมาณ 4 กม. ก็จะถึงตลาดน้ำบางน้อย สามารถจอดรถได้ที่วัดเกาะแก้ว ร้านเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. โทร. 0-3473-0870

credit :  http://www.manager.co.th/

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.