สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ชิมอาหารญี่ปุ่นแบบประยุกต์เลิศรส “ผักย่างกับซอสมิโซะ”

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีร้านอาหารเปิดใหม่  เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เชฟเป็นคนญี่ปุ่นที่เอาอาหารไปทำให้เก๋ และน่ารับประทาน ส่วนบรรยากาศของร้านก็ดีมาก  มีสาขาทั้งที่นิวยอร์ก ลอนดอน แต่ร้านอาหารที่ผมจะเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังนั้น เป็นร้านเปิดใหม่  ชื่อว่า ซูม่า เรสเตอรองท์ ตั้งอยู่ที่โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพ

อาหารของเขาแปลกและเอร็ดอร่อยมากครับ ผมไม่รู้จะเลือกจัดเซตเมนูอย่างไรดี เพราะว่ามีมากมายเหลือเกิน พอดีหันไปเห็นเซตเมนูสำหรับสองคนราคา  2,850 บาทต่อคน ผมคิดว่าน่าจะได้กินอะไรหลายอย่างดี ซึ่งปรากฏว่า ก็จริงอย่างที่
ผมคิด โดยผมได้เริ่มกินกันตั้งแต่ 11.00 น. เลยครับ  นอกจากอาหารเป็นเซตแล้ว เรายังสั่งอะไรมากินเพิ่มกันอีกด้วยนะครับ พวกผมจะเป็นอย่างนี้ครับ ต้องสั่งอย่างอื่นมากินด้วยไม่อย่างนั้นเหมือนไม่ได้กินเต็มที่ครับ

สิ่งแรกที่อยู่ในเซตเมนู คือ ปลาทูน่าทาทาร์กับมิโซซุปข้าวบาร์เลย์และรากบัวทอดกรอบ เขาทำดีมากเลย จานที่ใช้สวย รสชาติดีใช้ได้เลยครับ  แต่ไม่ดีเท่าจานที่ 2 ผมชอบมาก คือ ปลากะพงขาวแล่บางกับซอสยูซุน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิล ซอสยูซุ เป็นน้ำยำครับ มีน้ำมันเห็ดทรัฟเฟิลอยู่ในนั้น อาหารจานนี้เขาจัดมานิดเดียวเองนะครับ แต่ว่าอร่อยมาก แล้วก็เป็นอาหารที่จัดมาอย่างสวยงามจริง ๆ

กว่าจานต่อไปจะมา ผมเลยสั่ง ผักย่างกับซอสมิโซะ รวมทั้ง ซาซิมิ มาให้กินระหว่างรอด้วยครับ อร่อยมาก และก็มี หมูสามชั้นย่าง มาให้เรากิน เขาเอาหมูสามชั้นหมักก่อนแล้วเอามาเสียบไม้ย่าง ผมว่ารสชาติดีมากเลยครับ เสียอย่างเดียวที่น้ำจิ้มไม่ใช่น้ำจิ้มแจ่ว จะได้รสชาติเผ็ด ๆ ของไทย ซึ่งจะช่วยให้อร่อยมากยิ่งขึ้น

สำหรับจานที่ 3 ในเซตเมนูถัดมา เป็น เนื้อทาทากิแล่บางราดด้วยซอสยูซุโคซุ ทาทากิ ก็คือ เนื้อดิบนำไปราดด้วยซอสครับ มีหัวไชเท้าเล็กน้อย อาหารจานนี้เรากินกันคนละ 2 คำ  เพราะว่าอร่อยมาก เลยต้องแบ่งกันกินครับ จะได้รู้ว่ารสชาติที่อร่อยเป็นอย่างไร ที่ร้านเขาใช้เนื้อดีมากเลยนะครับ อร่อยจริง ๆ

หลังจากนั้นเป็น อาหารจานรวม เขาเสิร์ฟมาในจานยาว ๆ มีทั้งข้าวปั้นและปลาดิบรวม ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาฮามาชิ ข้าวห่อสาหร่ายไส้สไปซี่ทูน่า  รวมทั้ง ซูชิ อร่อยทุกอย่างเลยครับ ซอสที่ใช้จิ้มกินของเขาก็อร่อยมากครับ ยังมี หอยเชลล์ฮอกไกโดย่างเสิร์ฟพร้อมซีอิ๊วหวานและซอสแอปเปิลวาซาบิ ด้วยครับ จานนี้ได้กินกันคนละ 1 ชิ้นเท่านั้น อร่อยดีครับ

จากนั้นมีอีกสองอย่างที่สั่งครับ จานแรกเป็น ไก่ยากิโตริ คือ เนื้อไก่เสียบไม้สลับด้วยต้นหอมญี่ปุ่นทาด้วยน้ำซอสแล้วเอาไปย่าง อร่อยมากครับ  ส่วนอีกจานหนึ่งเป็น เนื้อย่างที่สั่งพิเศษ แต่ผมคิดว่าจานนี้เขาย่างสุกเกินไป

จานสุดท้ายก่อนที่เราจะกินขนมหวาน ก็คือ เนื้อสันในย่างซอสเผ็ด เขาเอาเนื้อสันในมาย่างแล้วเอาซอสที่มีรสเผ็ดนิด ๆ มาราด ผมคิดว่า เขาทำเนื้อย่างไม่เก่งเท่าที่เมืองนอกทำครับ เพราะเนื้อย่างที่เขาทำมาให้ผมกินนั้น สำหรับผมแล้วรู้สึกว่าจะสุกเกินไปนะครับ

เมนูที่ผมคิดว่ามันอร่อยกว่าที่อื่น ๆ ก็คือ ปลาแบล็คคอดหมักมิโซชิหรุเสิร์ฟพร้อมใบโฮบะ เขาเอาปลาแบล็คคอดมาหมักกับมิโซชิหรุแล้วเอาไปอบ มิโซชิหรุ คือ เต้าเจี้ยวของญี่ปุ่น บางครั้งก็หวาน บางครั้งก็เค็ม แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ ความหอม ที่นี่เขาทำไม่หวานจนเกินไป กำลังพอดีเลยครับ รสชาติกลมกล่อม เนื้อปลาแยกออกมาเป็นชิ้น ๆ ยังมีสีชมพู ๆ อยู่ อร่อยครับสำหรับอาหารจานนี้

ส่วน ของหวาน ที่นี่ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี เพราะว่าของหวานที่นี่มาเป็นถาดขนาดใหญ่ครับ มีทั้ง ลาวาเค้ก ไอศกรีม ฮันนี่เค้ก ผมกินไม่ได้เลยสักอย่างหนึ่ง เพราะเดี๋ยวน้ำตาลจะขึ้นไปมากกว่านี้ ผมให้เพื่อนผมกินหมดเลย เยอะมาก แต่เขาจัดมาอย่างสวยมากเลยครับ ผมเองก็อยากกิน แต่ผมกลัวว่าผมกินเข้าไปแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลแน่เลยครับ

ร้านนี้เป็นร้านที่สวยแล้วก็ใหญ่มาก ที่นั่งสามารถเลือกนั่งได้หลายที่ ผมไปกินมาสองสามครั้งแล้ว ครั้งสุดท้ายไปนั่งด้านนอกเขามีแอร์ด้วยนะครับ นั่งติดกับหินแล้วเขาก็มีร่มให้  แต่ผมว่าที่สวยงามและน่าไปนั่งที่สุดก็คือ ที่บริเวณบาร์ ซึ่งเขาตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

เพราะฉะนั้น ถ้าใครชอบอาหารญี่ปุ่นแบบประยุกต์ ควรจะไปลองลิ้มรสที่ร้านนี้ดูนะครับ ราคาผมคิดว่าไม่แพงจนเกินไปนัก  จะได้รู้ว่าอาหารญี่ปุ่นประยุกต์หน้าตาแปลก ๆ เป็นอย่างไรไงครับ.
.........................................
เข้าครัวกับหมึกแดง - สาคูแคนตาลูป
เครื่องปรุงน้ำสาคูแคนตาลูป
- น้ำเชื่อมสำเร็จ 150 กรัม
- เนื้อแคนตาลูปหั่นเต๋า 50 กรัม
- สาคูต้มสุก 80 กรัม
- เนื้อแคนตาลูปลูกกลม ๆ 50 กรัม
- เนื้อเมล่อนเป็นลูกกลม ๆ 50 กรัม
- น้ำแข็งป่น              ตามต้องการ
- นมสด 60  กรัม
- ใบสะระแหน่                สำหรับแต่งหน้า
วิธีทำ

1. ในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใส่น้ำเชื่อมสำเร็จ เนื้อแคนตาลูปหั่นเต๋าลงไปปั่นให้ละเอียดเข้ากันดี ตักออกพักไว้ในตู้เย็น

2. ในแก้วเสิร์ฟ ตักสาคูที่ต้มสุกแล้วลงไปในแก้วประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้ววางเนื้อแคนตาลูปตักเป็นลูกกลม ๆ 4-5 ลูก เนื้อเมล่อนตักเป็นลูกกลม ๆ 4–5 ลูก แล้วราดน้ำแคนตาลูปที่ปั่นไว้

3. ตักน้ำแข็งป่นใส่บนส่วนผสมที่อยู่ในแก้ว แล้วราดหน้าด้วยนมสด แต่งหน้าด้วยใบสะระแหน่ ยกเสิร์ฟทันที
.........................................
ชิมให้เป็น - ปลาแบค็คคอดหมักมิโซชิหรุเสิร์ฟพร้อมใบโฮบะ
อาทิตย์นี้จะขอพูดถึงปลาแบล็คคอดหมักมิโซชิหรุเสิร์ฟพร้อมใบโฮบะ  การที่เขาเอาปลาแบล็คคอดหมักกับเต้าเจี้ยวของญี่ปุ่นหรือมิโซชิหรุแล้วเอาไป อบ  เราต้องรู้ลักษณะของเขาว่าเขาอยากให้เป็นอย่างไร จะไปบอกว่า อาหารอย่างนี้ไม่ใช่ลิ้นคนญี่ปุ่นไม่ได้ รสชาติที่แท้จริงของคนญี่ปุ่นจะต้องกลมกล่อมเท่ากัน

ซึ่งจริง ๆ แล้ว อาหารชนิดนี้จะต้องมีรสชาติเค็ม หอม และหวานนิด ๆ จะได้ไม่ทำให้ความหวานของเนื้อปลาที่อบเจือจางไม่ได้รสชาติที่แท้จริงของปลา ร้านนี้เขาทำเก่งมาก เพราะไม่ทำให้หวานจนเกินไป จึงทำให้ได้รสชาติที่อร่อยจริง ๆ ครับ  ยังมีรสหวานของเนื้อปลาอยู่ ผมอยากใส่กระเป๋าเอากลับบ้านสักสามสี่ชิ้น เพราะว่าเขาทำเป็น และเขาทำได้สมดุลกันดีอาหารถึงออกมาอร่อย นี่แหละครับชิมให้เป็น.

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ :หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


ชวนชิม "ขาหมู" สูตรเด็ด ลิ้มรสน้ำชาแท้ตำรับญี่ปุ่น

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

หลังจากวิกฤติน้ำท่วมผ่านไปแล้ว สิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ก็คือ ผมอยากจะเขียนถึงร้านที่ถูกน้ำท่วม เพราะเขาจะได้ฟื้นตัวกลับมาทำอาหารที่อร่อยให้พวกเราได้กินกันเหมือนเดิม โดยวันนี้ผมจะเขียนถึงร้านอร่อยสองร้านด้วยกัน

ร้านแรกที่ผมจะพาไปกินอยู่ที่เมืองทองธานีครับ เป็นร้านข้าวขาหมูที่อร่อย ชื่อว่า ร้านขาหมูเมือง ทอง คงไม่ต้องบอกนะครับว่าจะมีอะไรให้กินบ้าง อย่างแรกที่เข้าร้านมาแล้วต้องสั่ง ก็คือ คากิ ซึ่งมีให้กินแน่ ๆ แล้วคากิของเขาไม่ได้มันอย่างเดียวนะครับ แต่ทั้งมันและนุ่ม รสชาติดี เมื่อกินเข้าไปแล้วเหมือนจะละลายในปากของเราเลยครับ

จากนั้น มี หมูกรอบ ที่อร่อยมาก หนังของหมูกรอบจะไม่ฟูครับ เกือบเหมือนของฮ่องกงเลย เมื่อกินขาหมู ก็ต้องกินกับข้าว ฉะนั้นเวลาไปกิน ผมจะสั่งข้าวมาเป็นจาน ๆ เลย แล้วก็สั่งกับ มีทั้งคากิ หมูกรอบ ขาหมู แล้วก็จะมีแกงจืดด้วย

สิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องไม่ลืมนะครับว่าที่นี่เขามี หน่อไม้ต้มกระดูกหมู ที่อร่อยมาก ๆ ด้วย โดยมากแล้วจะเป็นผมที่กินอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นเขาไม่รู้ว่าอาหารจานนี้อร่อยแค่ไหน รสชาติเข้มข้นดีครับ หน่อไม้ของเขาเป็นหน่อไม้ที่กรอบแล้วก็มัน ความมันของหน่อไม้จะคล้าย ๆ มันแกว แต่จะมีรสชาติที่ดีกว่ามาก

มีอาหารอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะไม่ทราบว่าที่นี่เขามี กวย จั๊บน้ำข้น ให้กินด้วย ต้องไปกินนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้หากวยจั๊บน้ำข้นอร่อย ๆ ยากมาก แต่ร้านนี้เขาทำได้ดี ขนาดไม่มีสิ่งที่ผมชอบ นั่นคือลิ้นหมู เพราะทางร้านบอกว่าสมัยนี้คนเขาไม่กินลิ้นหมูกันก็ตาม แต่เพื่อน ๆ คงทราบดีนะครับว่าความสม่ำเสมอของอาหารและรสชาติของเขาเหมือนเดิมมาตลอด เพราะเขาทำแบบครอบครัว ไม่ต้องจ้างเชฟมาทำ ช่วยกันทำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมมีความสุขครับ เวลามีการถ่ายทำโทรทัศน์ที่บ้าน ผมจะส่งคนไปซื้อขาหมู กวยจั๊บน้ำข้น และหน่อไม้ต้มกระดูกหมู แต่ไม่ได้ซื้อเป็นข้าวขาหมูมานะครับ จะซื้อแยกกัน

ถ้าเพื่อน ๆ ผ่านไปแถวนั้น อย่าลืมแวะไปชิมกันนะครับ ร้านจะอยู่ด้านหน้าซอยที่เข้าไปมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้วจะอยู่ซ้ายมือ อาจจะหาที่จอดรถยากเล็กน้อย เพราะต้องจอดตามข้างทาง ที่ร้านจะไม่มีที่จอดรถ

อีกร้านหนึ่งที่ผมจะพูดถึง เขามีหลายสาขาในกรุงเทพฯ (รู้สึกว่าจะมีประมาณ 8 สาขา) ยังไงก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของเขาอีกทีนะครับว่ามีสาขาอยู่ที่ ไหนบ้าง

ร้านที่ผมพูดถึงนี้เป็นร้านน้ำชา ชื่อว่า ชาโฮ เป็นร้านขายน้ำชาแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ มีน้ำชาหลายชนิดที่น่ากิน เขามีเมนูให้เลือกเยอะแยะ แต่ผมจะพูดถึงชาที่ผมชอบมากก่อนแล้วกันนะครับ นั่นก็คือ มัตฉะ ซึ่งทำมาจากชาเขียว เป็นชาที่แพงที่สุดในร้านเลย รู้สึกว่าจะราคาราว ๆ 380 บาท

ผมได้ดื่มมัตฉะถ้วยเดียวนะครับ ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ใครเมามาแล้วดื่มมัตฉะเข้าไป 380 บาท หายเมาเลยครับ โดยจะต้องกินกับขนมดังโงะชาเขียวครับ อร่อยมาก ที่นี่เขามีผงชาขายด้วยนะครับ ตั้งแต่ราคาแพงที่สุด มีคุณภาพดีไปจนถึงราคาไม่แพง แต่คุณภาพก็ดีเช่นกัน

ส่วนขนม เขาทำเองหลายอย่าง แต่ขนมที่ผมชอบมากมีอยู่ 2 อย่าง คือ ขนมดังโงะ และ เค้กเครป กับซอสช็อกโกแลต ซึ่งเป็นแป้งแผ่นบาง ๆ กลม ๆ แล้วเอาวิปปิ้งครีมมาใส่ระหว่างชั้น แล้วหั่นมาเป็นชิ้นสามเหลี่ยม เสิร์ฟกับช็อกโกแลต กินกับน้ำชา อร่อยมากเลยครับ

ที่นี่มี ชาเขียวลาเต้ และ ชาเขียวกับช็อกโกแลตขาว ซึ่งเมื่อคุณกินเข้าไปแล้วจะเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ เสียก่อน แล้วค่อยแวะไปจิบน้ำชาและของหวานแก้เลี่ยนที่ร้านชาโฮก็ได้นะครับ รสชาติของเขาได้มาตรฐานทุกสาขาเลยครับ.
ต้มยำขาหมูเยอรมัน - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุง
-น้ำเปล่า 1ลิตร
-ขาหมูเยอรมันทอดแล้วหั่นเป็นชิ้น 500กรัม
-ข่าทุบ 3-4แว่น
-ตะไคร้หั่นท่อนทุบ1ต้น
-ใบมะกรูดฉีก 2-3ใบ
-พริกขี้หนูบุบ 10เม็ด
-น้ำปลา 3-5ช้อนโต๊ะ
-น้ำมะนาว 3-5ช้อนโต๊ะ
-เห็ดภูฏาน 100กรัม
-ผักชีใบเลื่อย 1/4ถ้วยตวง
-ผักชีเด็ดเป็นใบ 1/4ถ้วยตวง
-พริกขี้หนูแห้งทอดตามต้องการ
วิธีทำ

1. นำหม้อใส่น้ำเปล่า ตั้งไฟให้เดือด ใส่ขาหมูลงไปเคี่ยวจนนุ่มให้น้ำมีกลิ่นหอมของขาหมู

2. ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดฉีก  และพริกขี้หนูบุบ (ถ้าชอบเผ็ด) ลงไปต้มให้หอม ใช้เวลาประมาณ 30-60 วินาที

3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำมะนาว

4. ใส่เห็ดภูฏานลงไป ต้มให้เดือดอีกครั้ง ชิมรสให้ออก เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ใส่ผักชีใบเลื่อย ผักชีเด็ดใบ และพริกขี้หนูแห้งทอด เสิร์ฟกับข้าวสวยร้อน ๆ
กวยจั๊บ - ชิมให้เป็น
เมื่อตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยเห็นกวยจั๊บน้ำใส อาจจะเป็นเพราะว่าคนเรานั้นเริ่มจะขี้เกียจ ทำให้สมัยนี้ก็เลยเอาเส้นกวยจั๊บไปแช่น้ำแล้วก็ต้มจนกระทั่งเส้นนุ่ม แล้วเอามาสะเด็ดน้ำทำเหมือนก๋วยเตี๋ยว จากนั้นก็เอาน้ำใส ๆ ใส่เข้าไป ใส่เครื่องแค่นี้ก็เสร็จแล้ว

ซึ่งความจริงแล้วกวยจั๊บน้ำใสจะไม่มีทางอร่อยเท่ากวยจั๊บน้ำข้นได้เลย เพราะกวยจั๊บน้ำข้นจะต้องต้มจนกระทั่งแป้งเละ และตัวน้ำซุปของน้ำกวยจั๊บเองก็ต้องต้มจนกระทั่งข้น สีจะออกคล้ำ ๆ น้ำตาลดำ ๆ นิด ๆ และเครื่องที่จะใส่นั้นสำคัญมาก โดยเครื่องในหมูที่เราใส่เข้าไปนั้นจะต้องทำให้สะอาด ซึ่งจะต้องทำเป็น เพราะถ้าล้างไม่เป็น เครื่องในจะมีกลิ่นเหม็นคาว ไข่ต้มสี   คล้ำ ๆ ก็เช่นกัน ต้องหั่นเป็นเสี้ยวมา และที่สำคัญต้องมีเต้าหู้ด้วย เครื่องต้องครบ

ผมยังบ่นกับที่ร้านเลยว่า ทำไมไม่มีลิ้นให้ผมกิน เขามีหมูกรอบ ตับ ไต ไส้พุง ทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไม่มีลิ้น เพราะว่าโลกของเราเปลี่ยนไปแล้ว อย่าลืมนะครับว่าจะชิมให้เป็นต้องรู้ว่าแท้จริงแล้วอาหารนั้นจะต้องมีอะไร ใส่เข้าไปบ้าง ทำให้กวยจั๊บเมื่อก่อนอร่อยกว่านี้ครับเพราะว่าครบเครื่องจริง ๆ และจะต้องเป็นน้ำข้นถึงจะเป็นกวยจั๊บของจริงที่มีมาแต่โบราณครับ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


ชวนชิมหลากเมนู ''อาหารอีสาน'' อร่อยครบรส...แซบถึงใจ

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

คุณเอี๊ยดกับผมเป็นเพื่อนกันมานานมากตั้งแต่ผมกลับจากเมืองนอกใหม่ ๆ คุณเอี๊ยดมีร้านหอยทอด ผัดไทย และอีกหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมีหลายสาขาพอสมควร โดยแม่ครัวของคุณเอี๊ยดเป็นคนที่ทำอาหารได้อร่อยมาก ผมลองชิมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

และผมมีเพื่อนที่อยู่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเขาทำอาหารอีสานได้อร่อยมาก มีร้านอยู่ที่ขอนแก่นด้วย พอเขามากรุงเทพฯ ผมเลยแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน คุณเอี๊ยดจึงขอซื้อสูตรอาหารจากเพื่อนผมมาทำร้านอาหารที่ ถนนรัตนาธิเบศร์ ผมเลยตั้งชื่อร้านให้ว่า เอี๊ยดตำแหลก

ที่ร้านนี้มีอะไรกินบ้าง ผมขอเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังนะครับ อย่างแรกมี ปลาทับทิมเผา ที่ยัดไส้ด้วยสมุนไพรต่าง ๆ แล้วเอาเกลือทา จากนั้นจึงนำไปย่างไม่ให้ปลาแห้งจนเกินไป อร่อยมากครับ เนื้อปลานุ่ม เพราะได้ปลาที่สด ซึ่งจะทำให้ได้รสชาติที่หวานครับ

คอหมูย่าง ที่นี่อร่อยมาก เพราะเนื้อนุ่มเหลือเกินครับ แต่ผมขอพูดเรื่องน้ำจิ้มสักเล็กน้อยที่นี่มีน้ำจิ้มหลายอย่างเหลือเกินครับ มีทั้งแจ่ว น้ำจิ้มซีฟู้ด แจ่วมะเขือเทศ

อย่างเมื่อเขาเอาปลาเผามาเสิร์ฟ ก็จะมีน้ำจิ้มแจ่วมาให้ และมีมะเขือเผามาให้ด้วยครับ ของแปลกที่เขานำมาให้ผมกิน มีทั้ง ผักเคียงที่เยอะมากมาย รวมทั้ง ข้าวเหนียวที่ห่อมาอย่างสวยงามน่ากินมาก นอกจากจะมีปลาทับทิมเผาแล้ว ยังมี ปลาช่อนนึ่ง เสิร์ฟกับแจ่วมะเขือเทศและแจ่วธรรมดาด้วย ผมกินอย่างสนุก สนานเลยครับ

จากนั้น มี ไก่บ้านทอดน้ำปลา อร่อยมากเช่นกันครับ ผมนั่งแทะอยู่คนเดียวเลย เนื้อไก่รสชาติไม่เค็มเกินไป รวมทั้ง เนื้อกับหนังยังกรอบอยู่เลยครับ แต่เนื้อไก่ของเขาจะเหนียวนิด ๆ สู้ฟันเล็กน้อย  แล้วต้องกินกับขนมจีนนิดหนึ่งนะครับถึงจะอร่อย

ตามมาด้วยส้มตำซึ่งเป็นเมนูที่ขาดไม่ได้ มีทั้ง ส้มตำไทย ส้มตำลาว และ ส้มตำปูม้า เรื่องส้มตำไม่ต้องพูดอะไรมากครับ อร่อย แซบที่ครกครับ ถ้าใครไม่ชอบกินรสเผ็ดมาก ตอนสั่งต้องบอกเขาด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวจะกินกันไม่ได้ เพราะแม่ครัวที่นี่จะตำรสชาติจัดจ้านครับ

เมนูโปรดของผมจริง ๆ ก็คือ ตำแหลกผลไม้  ทำไมถึงเรียกว่าตำแหลกผลไม้ ทราบหรือไม่ครับ ก็เพราะเขาเอาผลไม้ต่าง ๆ มาตำแหลกแบบทางภาคอีสาน ถ้าเป็นผมจะใส่ปูกับปลาร้าเข้าไปด้วย แต่ที่ร้านใส่แต่ปลาร้าเท่านั้นครับ  ตำได้อร่อยมาก เป็นเมนูเพื่อสุขภาพด้วยนะครับ เพราะปลาร้าเขาต้มมาเป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวเรื่องพยาธิครับ

อาหารอีสานเป็นสิ่งที่ผมชอบมากเลย แต่คนไทยมักจะบอกว่าอย่ากินอะไรหวาน ซึ่งความจริงแล้วในอาหารอีสานไม่มีอะไรหวาน เลยนะครับ ฉะนั้นถ้าไปที่ร้านเอี๊ยดตำแหลกจะมีของหวาน ๆ อยู่เหมือนกัน เช่น ส้มตำไทย ก็ต้องหวานหน่อยหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ จะต้อง เปรี้ยว เค็ม หวาน เท่า ๆ กัน แต่ถ้าไปสั่งส้มตำลาว ก็คงต้องไปบอกให้เขาใส่น้ำตาลด้วย เพราะส้มตำลาว จะไม่มีน้ำตาลใส่เลยเด็ดขาดครับ ใครไม่ถนัดรสชาติแบบนั้นก็ต้องบอกพนักงานตอนที่เขามารับรายการอาหาร แต่ถ้าใครที่ชอบรสชาติแท้ ๆ ก็ไม่ต้องบอกอะไร สั่งแต่ชื่ออาหารที่อยากกินครับ

ส่วนตำแหลกผลไม้จะมีความหวานอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่น้ำตาลเข้าไป เขาต้องใช้พริกแห้งในการตำจะได้เผ็ด แซบ อร่อย ส่วนส้มตำปูควรจะเป็นแบบ
ไทย ๆ เพราะผมว่าส้มตำปูแบบอีสานไม่ค่อยอร่อย ตรงนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะครับ

ลองแวะไปดู ร้านนี้มีอาหารมากมายหลายอย่างให้ได้เลือกชิมกัน แต่ผมเพียงเรียนให้ทราบนิดเดียวว่าไก่บ้านทอดน้ำปลาของเขาอร่อยมากครับ  ส่วนอาหารประเภทตำต่าง ๆ สุดยอด เรื่องน้ำจิ้มของเขายิ่งดีใหญ่เลยนะครับ มีให้เลือกหลายอย่าง อร่อยมากครับ และผมก็ชอบมากด้วย เพราะฉะนั้นอยากจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้ลองไปชิมกันครับ.
ชิมให้เป็น
คนส่วนมากชอบเข้าใจผิดว่า อาหารอีสาน อย่างแจ่ว จะต้องทำให้ถูกปากคนกรุงเทพฯ หรือคนที่ไม่ใช่คนที่มาจากภาคอีสาน ความจริงแล้วต้องไปถามคนอีสานดูนะครับว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าชิมให้ เป็น ผมขอบอกเลยว่าแจ่วนั้นทำจากอะไรบ้าง

ความจริงแล้ว จะมีน้ำปลาหรือปลาร้า พริกแห้งหรือพริกป่นก็ได้นะครับ รวมทั้ง น้ำส้มมะขาม (น้ำมะขามเปียก) หรือจะเป็นมะนาวก็ได้ครับ ต้องมีต้นหอมด้วย บางครั้งจะใส่ใบสะระแหน่ หรือผักชีใบเลื่อยเข้าไปด้วยสักเล็กน้อย จากนั้นผสมให้เข้ากันแล้วก่อนยกเสิร์ฟก็ค่อยโรยข้าวคั่ว ไม่ใช่โรยแล้วแช่ไว้นาน ๆ นะครับ เพราะจะทำให้ข้าวคั่วอืดได้

หลายคนสงสัยที่ผมไม่ได้เอ่ยขึ้นมาเลยก็คือ น้ำตาล ใช่หรือไม่ครับ ความจริงแล้ว แจ่วจะไม่มีน้ำตาลนะครับ และรสชาติก็ไม่ควรจะหวานด้วย เดี๋ยวคนอีสานเขาจะหาว่าคนกรุงเทพฯ กินไม่เป็นเด้อ ผมเองก็คิดเหมือนคนอีสาน เพราะคนกรุงเทพฯ กินไม่เป็น ชอบใส่น้ำตาล

แต่ถ้าอยากจะใส่น้ำตาล ก็ใส่ได้ตามใจชอบ เพราะคนเราชอบกินรสชาติไม่เหมือนกัน  แต่ผมเองก็ยังอยากให้ลองกินแบบอีสานดูนะครับ ผมว่ารสชาติแซบกว่ากันตั้งเยอะ รวมทั้งจะได้ชิมให้เป็นด้วยนะครับ
ซุปปูแบบจีน - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุง
-น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
-ต้นหอมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
-ขิงสับ 1 ช้อนชา
-เห็ดหูหนูสับหยาบ 30 กรัม
-หน่อไม้จีน 30 กรัมซอยเป็นเส้น
-เนื้อปู 50 กรัม
-น้ำซุป 1 ลิตร
-จิ๊กโฉ่  พอประมาณ
-ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1 ช้อนชา
-พริกไทยขาวป่น 1/2 ช้อนชา
-พริกไทยดำป่น 1/2 ช้อนชา
-แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
-ไข่ไก่ 2 ฟอง
- น้ำมันงา 2 ช้อนชา
- เนื้อปูเป็นก้อน สำหรับโรยหน้า
- ใบผักชี สำหรับโรยหน้า
วิธีทำ

1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไป พอร้อนใส่ต้นหอมสับ ขิงสับลงไป ผัดพอหอม

2. ใส่เห็ดหูหนูสับหยาบ หน่อไม้จีนซอยเป็นเส้น และเนื้อปูลงไปผัดให้เข้ากัน

3. เติมน้ำซุปลงไป ต้มให้เดือด

4. ปรุงรสด้วย จิ๊กโฉ่ ซีอิ๊วขาว เกลือป่น พริกไทยขาวป่น พริกไทยดำป่น คนให้เข้ากัน

5. ชิมรสให้ออก เปรี้ยว เค็ม ๆ และหวานจากผักและน้ำซุป

6. ในชามผสม ใส่แป้งมันผสมกับน้ำซุป คนให้แป้งละลาย แล้วเทลงไปในหม้อซุป คนให้เข้ากัน ต้มพอเดือดและซุปข้นขึ้น

7. ตอกไข่ใส่ชามผสม ตีพอเข้ากัน แล้วเทไข่ลงไปในหม้อ พักไว้ประมาณครึ่งนาที แล้วคนให้ไข่แตกกระจายให้ทั่ว และเป็นเส้น ๆ ใส่น้ำมันงาลงไป คนพอเข้ากัน ปิดไฟ

8. ตักซุปใส่ถ้วย แต่งหน้าด้วยเนื้อปูเป็นก้อน ใบผักชี เสิร์ฟกับจิ๊กโฉ่
ความอร่อย     ความสะอาด     คุณภาพของวัตถุดิบ   การบริการ    ราคา ความเผ็ด
ที่อยู่ : 35/37-38 ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.บางกระสอ
อ.เมือง นนทบุรี  11000
โทรศัพท์ : 0-2969-9959
เวลาเปิด :  เปิด  10.00–22.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ที่ 4 ของเดือน
*มีห้องสำหรับจัดเลี้ยง*
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


หอมน่าชิม ซี่โครงหมูทอดใบมะกรูด อร่อยเคียงคู่ปลาทูฟูผัดพริกขิง

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยบอกเอาไว้ว่า จะเขียนถึงร้านอาหารที่ถูกน้ำท่วมเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ไปอุดหนุนเขา เพื่อเขาจะได้มีกำลังใจทำอาหาร
อร่อย ๆ ให้เราทาน วันนี้จึงอดไม่ได้ที่จะพูดถึงร้าน เจ้น้อยกระโทก ซึ่งเขามีสาขาแรกอยู่ที่โคราช ผมไปกินบ่อยครั้งเหลือเกิน และผมก็เพิ่งจะทราบว่าที่จังหวัดปทุมธานี ย่านเมืองเอกก็มีร้านเจ้น้อยกระโทกเหมือนกัน เป็นอีกสาขาหนึ่งครับ  ผมไปกินก่อนที่น้ำจะท่วม ซึ่งก็หลายเดือนมาแล้ว แต่ผมเพิ่งจะเขียนให้ในช่วงนี้ ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ครับ

ร้านนี้อร่อยเหมือนที่โคราชเลยครับ แต่ว่าเขาไม่ได้มีอาหารหลากหลายเหมือนที่โคราชนะครับ แต่ในละแวกนั้นคนก็รู้จักร้านของเขากันพอสมควร วันที่ไปผมได้กิน ซี่โครงหมูทอดใบมะกรูด ซึ่งเขาเอาไปหมักกับซอสอะไรไม่รู้เหมือนกันและเอาไปทอด แต่ทอดไฟไม่แรงนักนะครับ แต่เขาคงหมักนานเหมือนกัน เพราะเมื่อผมชิมดูแล้ว เนื้อนุ่มและอร่อยมาก ใช้ได้เลยครับ ผมเป็นคนที่ชอบแทะกระดูกด้วย เคี้ยวมันดีครับ

นอกจากนั้นยังมีอาหารพิเศษให้ผมทานอีก เป็น ปลาทูฟูผัดพริกขิง ต้องเรียนตามตรงนะครับว่า สำหรับใครที่อยากจะทำแบบนี้ คือ ปลาทูสมัยนี้ราคาไม่ได้ถูกเลยที่จะเอามาทำเป็นปลาทูฟู อาหารจานนี้จึงมีราคาค่อนข้างแพงสักเล็กน้อย แต่ต้องบอกว่ารสชาติอร่อยและหอมมากเลยครับ

จานต่อมาเป็น ปลากะพงทอดน้ำปลา ซึ่งปลากะพงนั้นเขาทอดได้ดีจริง ๆ ครับ เพราะว่าเขาไม่ทอดจนกระทั่งแห้งเกินไป เวลากินต้องเอาน้ำปลาผสมกับน้ำมันร้อน ๆ ครับ เอาไปราดบนปลา ที่นี่เขาเสิร์ฟกับยำมะม่วงด้วยนะครับ แต่ผมไม่กินกับยำมะม่วง ผมกินกับพริกน้ำ ปลาของโปรดของผม เมื่อกินเข้าไปแล้วผมมีความสุขมากเลยครับ

ส่วน แกงขี้เหล็ก มีอยู่ 2 ที่เท่านั้นครับที่ผมชอบกิน ถ้าในกรุงเทพฯ คือ ร้านนี้ครับ กับอีกร้านหนึ่ง คือ ร้านนัดพบ ตรงถนนพิบูลสงครามใกล้ ๆ กับสะพานพระราม 5 ซึ่งที่ร้านเจ้น้อยกระโทกนี่ แกงขี้เหล็กอร่อยมาก แต่ไม่แน่ใจวันนั้นที่ผมกินเป็นแกงขี้เหล็กหมูย่างหรือเปล่า อร่อยมากเลยครับ

ยังมี ยำหมูย่างกระเทียมโทน เขาใช้หอมแดงและหอมแขกมาทำครับ จึงมีชิ้นใหญ่ดูสวยงาม น่ากินมาก  กลิ่นก็หอมน่ารับประทาน เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

ถ้าไปร้านนี้ เมนูที่ขาดไม่ได้ ต้องสั่งมากิน ก็คือ น้ำพริกปลาร้าผัดแห้ง ครับ โดยน้ำพริกปลาร้าที่เขาเอามาให้ผมกินนั้น ผมต้องกินคลุกกับข้าวร้อน ๆ ไม่กินกับข้าวเหนียวเพราะกลัวอ้วนครับ แต่ว่าขอลองเล็กน้อย เพราะมีน้ำพริกปลาร้าที่อร่อย ต้องปั้นข้าวเหนียวกินกับมือนะครับถึงจะอร่อย

มี วุ้นเส้นผัดดอกขจร อาหารจานนี้ผมไม่เคยกินเลย แต่เขาผัดได้อร่อยมาก วุ้นเส้นไม่เละ ยังเป็นเส้น ๆ อยู่เลยครับ สิ่งที่ประหลาดใจที่สุดที่ผมได้กินในวันนั้น เขาบอกเป็น ต้มจืดเกี้ยมไฉ่กระดูกหมูรสแซบ ผมจึงถามกลับไปว่าแล้วอย่างนี้จะเป็นต้มจืดได้อย่างไร

วิธีทำก็คือ เขาจะเอาเกี้ยมไฉ่มาทำให้เค็มก่อน เพราะเกี้ยมไฉ่โดยปกติจะมีรสเปรี้ยว จากนั้น เขาจะเอามาใส่แล้วทำเป็นต้มยำ โดยใส่ซี่โครงหมูเข้าไปในนั้น ต้มไปจนกว่าจะเข้ากันแล้วใส่ทั้งพริกสดและพริกแห้งทุบครับ เมื่อผมลองชิม อยากบอกว่าอร่อยเหลือเกินครับ

ร้านนี้ทำอาหารได้อร่อยจริง ๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะติเขาตรงไหนดี ทำให้ผมเขียนชิมให้เป็นยากขึ้นครับ เพราะไม่รู้จะพูดถึงอาหารอะไรดี อย่างไรก็ตาม น้ำที่ท่วมก็แห้งแล้ว เพื่อน ๆ ที่อยู่แถวเมืองเอกหรือแถวอื่นถ้ามีโอกาสไปแถว ๆ นั้น ลองแวะไปชิมได้นะครับ เขามีบริการส่งถึงบ้านด้วย ใครที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นเขาทำอาหารตามสั่งส่งไปให้ได้เลยครับ ซึ่งที่นั้นทุกคนก็รู้จักร้านนี้กันดี

ร้านนี้มี 2 ชั้น และเป็นครัวเปิด  ถ้าไปตอนอากาศเย็น ๆ แล้วนั่งชั้นบน สั่งเบียร์เย็น ๆ มาดื่ม หรือจะจิบไวน์ไปด้วย ผมว่าบรรยากาศดีมาก ๆ ครับ  อย่าลืมแวะไปนะครับ  และหวังว่าเมื่อน้ำแห้งทุกสิ่งทุกอย่างคงเรียบร้อย กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันนะครับ.
ปลาดุกฟู - ปลาทูฟู - ชิมให้เป็น
การที่เราจะรู้ถึงลักษณะของปลาดุกฟูว่า ปลาดุกฟูนี้ทำมาจากอะไร ความจริงแล้ว เขาจะเอาเนื้อปลาดุกที่เอาไปย่างหรือเผาแล้วใช้ส้อมขูดเนื้อปลาให้ออกมาเป็น ชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาไปทอดกับน้ำมันให้ฟูขึ้นมาและมีความกรอบ 

แต่ถ้าเป็นปลาทูฟูก็ต้องเอาปลาทู ซึ่งอาจจะเป็นปลาทูนึ่งหรือปลาทูสดก็ได้นะครับ ถ้าเป็นปลาทูนึ่งจะเค็มเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นปลาทูสดต้องเอาไปย่าง แล้วเอาไปทำให้ฟูโดยการทอดเสียก่อน  ที่ร้านนี้เขาใช้ปลาทูเพราะว่าเขาอยากให้คนกินได้กลิ่นหอม ๆ ครับ

หลังจากนั้น เขาจะทำน้ำแกง เรียกว่า น้ำพริกขิง  ซึ่งใช้เครื่องแกงแดง น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ถั่วฝักยาว เอาไปผัดจนกระทั่งเหนียว จากนั้น เอาปลาทูฟูที่ทอดเสร็จเรียบร้อยแล้วลงไปรวน เป็นการทำที่จะยังคงไว้ซึ่งความกรอบ เพราะว่าน้ำตาลจะเคลือบทำให้ปลาทูยังกรอบอยู่

นี่คือความเข้าใจในวิธีการทำว่ารสชาติของอาหารที่ทำควรจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมถึงได้อร่อยนัก นั่นเป็นเพราะความหอม และความเค็มของปลาทู รวมทั้งรสชาติของเครื่องแกงที่ใส่เข้าไป ฉะนั้น ต้องรู้วิธีการทำที่ถูกต้อง ถึงจะชิมให้เป็นอย่างไรครับ.
เข้าครัวกับหมึกแดง - ขนมจีนน้ำยาเห็ด
เครื่องปรุง เครื่องแกง
- พริกแห้งแช่น้ำให้นุ่มแล้ว 9 เม็ด

- กระเทียม 1  หัว

- หอมแดง 5  หัว

- กระชายซอย 1/4 ถ้วยตวง

- ข่าซอย 3  แว่น

- ตะไคร้หั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ

- ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ

- เนื้อปลาช่อนต้มสุกแล้ว 1/2 ถ้วยตวง

- เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ

1. โขลกพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง กระชาย ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด เนื้อปลาช่อนต้มสุกแล้วและเกลือ เข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักออกพักไว้
เครื่องปรุงน้ำยาเห็ด

- เครื่องแกงที่โขลกไว้ 4 ช้อนโต๊ะ

- หัวกะทิ 1/2 ถ้วย

- หางกะทิ 2 ถ้วย

- ใบมะกรูดฉีก 2 ใบ

- เห็ดหอมญี่ปุ่น 80 กรัม

- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

- น้ำตาลปี๊บ 1  ช้อนโต๊ะ

- เกลือ 1     ช้อนชา

- ขนมจีน 200 กรัม

- ผักกาดดองซอย 80  กรัม

- ถั่วงอก 80 กรัม

- ถั่วฝักยาวซอย 80 กรัม

- ใบแมงลัก 50   กรัม
วิธีทำ

1. นำเครื่องแกงที่โขลกไว้ ลงผัดกับหัวกะทิในหม้อ (ใช้ไฟอ่อน) ผัดจนกะทิแตกมัน แล้วใส่หางกะทิที่เหลือลงไปต้มจนเดือด ใส่ใบมะกรูดฉีกลงไป

2. พอน้ำแกงเดือด ใส่เห็ดหอมญี่ปุ่นลงไป ปรุงรส ด้วยน้ำปลา น้ำตาล เกลือ ออกรสเค็มนำหวานตาม   นิด ๆ และรอจนน้ำแกงเดือดอีกรอบปิดไฟ พักไว้

3. จัดขนมจีนลงจานเสิร์ฟและผักที่เตรียมไว้ ผักกาดดองซอย ถั่วงอก ถั่วฝักยาวซอย ใบแมงลัก แล้วนำขนมจีนน้ำยาที่ทำไว้ราด เสิร์ฟร้อน ๆ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


‘เมนูปลานิล’ สูตรใหม่ ๆ น่าทำขาย

.
.
.
.
 
 
 






ทั้งนี้ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นการส่งเสริมการบริโภคปลานิลที่เป็นอาหารโปรตีนชั้นดี ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายในการนำปลานิลมาปรุงอาหารรับประทาน ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ทำการคิดค้นเมนูปลานิลเมนูใหม่ ๆ ที่สามารถเปลี่ยนเนื้อปลาธรรมดา ๆ ให้เป็นเมนูที่สุดพิเศษเทียบเท่ากับเมนูปลาราคาแพง
ผศ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เมนูที่คิดขึ้นตอนนี้มีอยู่ 2  เมนูคือ “ปลานิลนึ่งน้ำมะกรูด” และ “ข้าวม้วนปลานิลปรุงรสสมุนไพร” โดยทั้ง 2 เมนูนี้มีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก คนทั่วไปสามารถทำกันเองได้ในครอบครัว ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้วยังได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน  และก็ยังสามารถนำสูตรไปปรับทำขายเป็นอาชีพได้
หลายคนอาจคิดว่าเนื้อปลานิลมีกลิ่นคาว แต่จริง ๆ แล้วปลาทุกชนิดล้วนมีกลิ่นคาวทั้งนั้น เพียงแต่ในการนำมาประกอบอาหารก็จะต้องมีวิธีการและเคล็ดลับเพื่อดับกลิ่นคาว ซึ่ง 2 เมนูปลานิลที่ว่ามาข้างต้นนั้น ใช้ “มะกรูด” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงที่เป็นสมุนไพรของไทย มาดับกลิ่นคาว และสามารถเพิ่มรสชาติอาหารให้แปลกใหม่ไม่จำเจอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำหลัก ๆ ก็เป็นอุปกรณ์เครื่องครัวที่สามารถหาได้จากในครัวเรือนทั่วไป
“ปลานิลนึ่งน้ำมะกรูด” ส่วนผสมประกอบด้วย... ปลานิล แล่เอาแต่เนื้อ 300 กรัม, หน่อข่าอ่อน 10  หน่อ, น้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือป่น ฝ ช้อนชา ขั้นตอนการทำเริ่มจากปลอกหน่อข่าอ่อน  ใช้มีดซอยที่หัวข่าบาง ๆ  จากนั้นแล่ปลานิลเอาแต่เนื้อให้เป็นชิ้นยาวบาง ๆ แล้วนำมาพันที่ข่าอ่อน เสร็จแล้วผสมน้ำมะกรูดกับเกลือให้เข้ากัน ราดลงที่เนื้อปลาที่พันข่าอ่อนแล้ว นำไปนึ่งราว 10 นาที ก็พร้อมเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม รับประทานกับผักนึ่ง เช่น ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ฟักทอง บวบ
สำหรับ “สูตรน้ำจิ้ม” ส่วนผสมก็มี... พริกชี้ฟ้าแดงสับ  1  ช้อนชา, ต้นผักชีหั่น  1  ช้อนโต๊ะ, น้ำต้มสุก  2  ช้อนโต๊ะ, น้ำมะกรูด 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย  1 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 1  ช้อนชา เมื่อเตรียมส่วนผสมเรียบร้อย ก็ให้นำน้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมะกรูด ผสมคนให้เข้ากันก่อน จากนั้นใส่พริกชี้ฟ้าแดงสับ ต้นผักชีหั่น และน้ำต้มสุกเล็กน้อย คนให้ส่วนผสมข้ากันอีกครั้ง  ชิมให้ได้ 3 รส เปรี้ยว-เค็มหวาน น้ำจิ้มนี้ก็ใช้ราดที่เนื้อปลานิลพันข่าอ่อนที่นึ่งสุกแล้ว จากนั้นก็รับประทานได้เลย
ถัดมาเป็นเมนู “ข้าวม้วนปลานิลปรุงรสสมุนไพร”  ส่วนผสมที่ใช้ก็มี...   ข้าวกล้องหุงสุก  2 ถ้วย, เนื้อปลานิลนึ่งเอาแต่เนื้อ ฝ ถ้วย, หอมแดงซอย  2  ช้อนโต๊ะ, ตะไคร้ซอย  2  ช้อนโต๊ะ, ขิงอ่อนซอย 1  ช้อนโต๊ะ, พริกชี้ฟ้าซอย  1  เม็ด, ใบมะกรูดซอย  2  ใบ, ผักชีเด็ดใบ  1  ต้น, น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะขามเปียก  3 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา  2  ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว
1 ช้อนโต๊ะ และแผ่นสาหร่าย โดยวิธีทำเริ่มจากทำน้ำปรุงรสก่อน... นำน้ำตาลปี๊บ, น้ำมะขาม, น้ำปลา ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดก็ยกลงใส่น้ำมะนาวชิมรสให้เข้มข้นจัดจ้านเพื่อดับคาว แล้วตั้งพักไว้ จากนั้นนำเนื้อปลานิลนึ่งสุก หอมแดง ตะไคร้ ขิง พริกชี้ฟ้า ใบมะกรูด ที่ซอยไว้แล้ว ใส่ลงภาชนะ นำน้ำปรุงรสที่ทำเตรียมไว้ใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยใบผักชี พักไว้
ต่อไปเป็นขั้นตอนการม้วนข้าว ขั้นตอนนี้เหมือนกับการห่อซูชิ ต้องมีอุปกรณ์ช่วย 1 อย่างคือเสื่อม้วนข้าวญี่ปุ่น การม้วนเริ่มจากนำแผ่นสาหร่ายวางลงบนเสื่อม้วนข้าว แล้วตักข้าวกล้องที่หุงเตรียมไว้ประมาณ 1 ทัพพีใส่ลงบนแผ่นสาหร่ายด้านล่างหรือด้านคนม้วน เกลี่ยข้าวให้ทั่วเกือบ ฝ ของพื้นที่แผ่นสาหร่าย  ตักส่วนผสมปลาที่คลุกเตรียมไว้มาใส่เป็นแนวตามขวาง ม้วนข้าวให้เป็นก้อนกลมจากนั้นใช้มีดคม ๆ ตัดข้าวม้วนสาหร่ายออกเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการ
“เคล็ดลับการเตรียมปลาไม่ให้มีกลิ่นคาว” ผศ.พงศ์ศักดิ์บอกว่า ควรนำปลาไปทาเกลือก่อน จากนั้นเช็ดให้แห้ง มีดที่ใช้ทำต้องคม ตอนแล่เนื้อปลาต้องคอยเช็ดมีดตลอดเพื่อจะทำให้ได้เนื้อปลาที่ออกมาสวยงามและ ไม่มีกลิ่นคาว

“เมนูปลานิลสูตรใหม่” ทั้ง 2 สูตรที่ว่ามานี้ ถือเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพด้วย รวมถึงอาจถูกใจผู้ที่ชื่นชอบข้าวม้วนสาหร่ายแบบญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี สำหรับผู้ที่รู้จักนำไปฝึกทำ ต่อยอดดัดแปลงตามความเหมาะสม และหากใครต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ต้องการติดต่อ ผศ.พงศ์ศักดิ์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-9600-0993  หรือที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โทร.0-2549-4990-2
...............................................................................................................................
คู่มือลงทุน...เมนูปลานิลสูตรใหม่
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบการลงทุน
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้  ตั้งราคาขายให้มีกำไรราว 40%
แรงงาน  1-2 คนขึ้นไป
ตลาด  ย่านขายอาหาร, ย่านชุมชน
จุดน่าสนใจ จุดขายคือเมนูสุขภาพสูตรใหม่

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี ชุมขำ  : เรื่อง / วรัญญู  เหมือนเดช : ภาพ

Read More...


ข้าวแช่ชาววัง ทำเงินชื่นใจคลายร้อน

.
.
.
.
 
 

คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” วันนี้ ทางทีมงานมีสูตร “ข้าวแช่ชาววัง” จากงานวัฒนธรรมสัญจร “สืบสาน ตำนานข้าวแช่ (ชาววัง) เมืองเพชร วัฒนธรรมผสมไทย-มอญ ที่ลงตัว” ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 24-25 ก.พ. ที่ จ.เพชรบุรี มาฝากกัน โดยข้าวแช่นี้เป็นอีกหนึ่งอาหารยอดนิยมในช่วงฤดูร้อน ใครฝึกฝนฝีมือจนทำได้อร่อย ก็อาจสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ...
 
คุณยายพันธ์ทิพ ศุภจิต วัย 84 ปี ซึ่งสันทัดกรณีเรื่อง “ข้าวแช่ชาววัง” ให้ความรู้ว่า การทำข้าวแช่นั้นต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ หม้อ กระทะ ซึ้ง กระชอน ผ้าขาวบาง ฯลฯ หากซื้อเต็มชุดก็น่าจะใช้งบราว 5,000 บาทขึ้นไป

วิธีทำข้าวแช่ เริ่มที่ทำ “ข้าวสุกที่ใช้ทำข้าวแช่” โดยหุงข้าวด้วยน้ำมาก ๆ (ปัจจุบันใช้ข้าวหอมมะลิ) พอข้าวสุกเป็น “ตากบ” คือยังเป็นไตแข็งข้างในเมล็ด ก็นำมาเทลงกระชอน ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นก็นำไปแช่ในน้ำเย็น แล้ว “ขัดข้าว” โดยใช้มือสองข้างกอบข้าวขึ้นมาสีกันไปมา หรือใช้นิ้วมือถูข้าวไปมาบนตะแกรง ขัดเมล็ดข้าวอย่างเบามือ ให้เมล็ดข้าวเกลี้ยงเกลา ล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งจนเห็นว่าน้ำที่ล้างใสดีแล้ว จึงเทข้าวเกลี่ยลงบนผ้าขาว แล้วนำไปนึ่งให้สุกอีกทีหนึ่ง

ต่อไปเป็นการทำ “น้ำข้าวแช่” นำน้ำเปล่ามาอบด้วยเทียนควั่น, ดอกกระดังงา, ดอกมะลิ, ดอกชมนาด และดอกกุหลาบมอญ อย่างน้อย 1 คืน โดยน้ำที่อบจนหอมนี้ให้เก็บในโถกระเบื้องหรือหม้อดินที่มีฝาปิดสนิท เพื่อเก็บกลิ่นหอมไว้

“กับข้าวแช่” จะมีหลายอย่างคือ ลูกกะปิทอด เป็นหัวใจสำคัญของข้าวแช่ชาววัง ข้าวแช่ของใครมีฝีมือก็พิจารณากันที่ลูกกะปิทอดนี่เอง นอกจากนี้ก็มี พริกหยวกสอดไส้, ปลายี่สกผัดหวาน, หมูสับกับปลากุเลา (หรือปลาเค็ม) และที่ลืมไม่ได้เลยสำหรับการทำข้าวแช่คือ ผักสดแกะสลัก ซึ่งกับข้าวแช่ส่วนใหญ่เป็นของทอด ก็จะต้องมีผักที่ให้กลิ่นหอม และออกรสเปรี้ยวและขื่นนิด ๆ ไว้ตัดรส อาทิ แตงกวา, กระชาย, ต้นหอม และพริกชี้ฟ้าสด

สำหรับการทำ ลูกกะปิทอด ส่วนประกอบหลัก ๆ ตามสูตรนี้ก็มี กระชาย 7 ราก, ตะไคร้ 2 ต้น, ข่า 5 แว่น, ผิวมะกรูด 1 ช้อนชา, รากผักชี 1 ช้อนชา, หอมแดง 9 หัว, กระเทียม 10 กลีบ, กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ, เนื้อปลาดุกย่าง 1 ตัว, ปลาฉลาดย่าง 2 ตัว, น้ำปลา และน้ำตาล อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 3 ฟอง, แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำก็โขลกกระชาย ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด รากผักชี หอมแดง กระเทียม ให้ละเอียด ใส่กะปิ เนื้อปลา โขลกให้เข้ากัน ผัดกับหัวกะทิในกระทะใบใหญ่ด้วยไฟอ่อน ๆ ให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ผัดจนแห้ง ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ ให้เท่ากัน พักไว้ ตอกไข่ใส่ภาชนะ ตีไข่ให้แตก ใส่แป้ง คนให้เข้ากัน นำกะปิที่ปั้นไว้มาชุบ แล้วนำไปทอดให้เหลือง เป็นอันเสร็จ

พริกหยวกสอดไส้ ตามสูตร ใช้หมูสับ 500 กรัม, กุ้งสับ 10 ตัว, กระเทียมพริกไทยโขลกรวมกัน 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1.5 ช้อนชา, ไข่ไก่ 5 ฟอง และพริกหยวกกับหมูสับพอประมาณ วิธีทำเริ่มจากเคล้าหมู กุ้ง กระเทียม พริกไทย ให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ตอกไข่ 1 ฟองลงไปผสม ปั้นเป็นแท่งยาว ทอดจนสุก แล้วนำไปใส่ในพริกหยวกที่คว้านไส้ออก นึ่งในลังถึงที่น้ำเดือด 5 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น บีบน้ำออกให้หมด พักไว้ ตอกไข่ที่เหลือ ตีพอแตก ใช้มือชุบไข่แล้วโรยไปมาในกระทะที่ตั้งไฟอ่อน ใส่น้ำมันพอลื่น พอไข่สุกก็ลอกเป็นชิ้น ๆ ใช้ห่อพริกให้รอบ ทำจนครบจำนวนพริกหยวกที่เตรียมไว้

ปลายี่สกผัดหวาน ส่วนประกอบคือเนื้อปลายี่สก และน้ำตาลทราย วิธีทำนำเนื้อปลายี่สกผัดกับน้ำตาลจนเหนียวหนึบ แล้วใช้ปลายส้อมตะกุยแบ่งเป็นคำ จะได้เนื้อปลาเป็นปุย หอมกลิ่นน้ำตาล เคี้ยวสนุกปาก หรือมีอีกเทคนิคหนึ่งคือ ย่างปลายี่สกให้สุกเสียก่อน แล้วยีให้เนื้อเป็นปุย จากนั้นจึงนำไปผัด ต้องผัดให้เหนียวจนปั้นเป็นก้อนได้ถึงจะอร่อย แต่อย่าผัดนานเกินไป จะแข็ง ซึ่งกับข้าวแช่ชนิดนี้เป็นต้นตำรับแบบฉบับข้าวแช่เมืองเพชรบุรี

หมูสับกับปลาเค็ม ส่วนประกอบมี เนื้อหมูติดมัน, ปลาเค็ม, กระเทียม และไข่ไก่ วิธีทำใช้เนื้อหมูติดมันสับละเอียดมาคลุกผสมกับเนื้อปลาเค็มทอดสุกที่ยี เตรียมไว้ ใส่กระเทียมสับปรุงรสให้มีรสเค็มนำ แล้วจึงปั้นเป็นก้อน เล็ก ๆ ก่อน จากนั้นก็นำไปชุบไข่แล้วทอด กับข้าวแช่ชนิดนี้ให้รสเค็มตัดรสกับข้าวแช่อื่น ๆ ที่ให้รสหวานนำ

นอกจากนี้ก็อาจจะมี เนื้อเค็มฝอย ด้วย วิธีทำคือใช้เนื้อเค็มปิ้งให้สุก ฉีกเป็นเส้นฝอย ๆ แล้วนำไปผัดกับน้ำตาลจนแห้ง โรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อวัว ก็เปลี่ยนเป็น “หมูฝอย” แทน

สำหรับวิธีรับประทานข้าวแช่ เริ่มจากนำข้าวใส่น้ำลอยดอกไม้ให้สัดส่วนน้ำมากกว่าข้าว ใส่น้ำแข็งเล็กน้อยพอชื่นใจ เวลาตักกับข้าวใส่ปากแล้วตักข้าวแช่ตามก็จะได้รสชาติทั้งเย็นฉ่ำ และอร่อยกลมกล่อม

ราคาขายข้าวแช่นั้น ในท้องตลาดขายชุดละประมาณ 35 บาทขึ้นไป ซึ่งในแต่ละชุดจะมีข้าวสุก, น้ำข้าวแช่ และกับข้าว 4-5 อย่างประกอบกัน ซึ่งคุณยายพันธ์ทิพบอกว่า หากจัดชุดข้าวแช่แบบเต็มเครื่องราคาจะอยู่ที่ชุดละประมาณ 150-170 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบ (ไม่รวมทุนอื่น ๆ) ชุดละประมาณ 50-70 บาท โดยต้นทุนวัตถุดิบข้าวแช่นั้นไม่สูง แต่การทำให้อร่อยก็ต้องใช้ฝีมือ ใช้ความพิถีพิถัน และใช้เวลาในการทำนาน จึงสามารถตั้งราคาขายได้สูงพอสมควร
 
ที่ว่ามาก็เป็นสูตรการทำ “ข้าวแช่ชาววัง” จากการให้ข้อมูลของ คุณยายพันธ์ทิพ ศุภจิต ใครสนใจก็ลองนำไปฝึกฝนฝีมือกันดู ซึ่งอาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีก็ได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนอย่างตอนนี้.

 ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล

Read More...


ขนมเปี๊ยะ ไม่มีหน้าร้านก็ขายได้

.
.
.
.
 
 



อาชีพอิสระที่ทำงานอยู่กับบ้าน แล้วส่งงานไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายคนอยากทำ แต่คนที่จะทำอย่างนี้ได้นั้นก็ต้องมีฝีมือ กรณีนี้ก็รวมถึงอาชีพการทำขนมขายด้วย อย่างการทำ “ขนมเปี๊ยะ” นี่ก็อยู่ในข่าย ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

กบ-นวรัตน์ กิจชนะถาวร น้องสาวคุณติ๋ม ผู้ทำขนมเปี๊ยะ “เปี๊ยะ by ปิ่งปิ่ง” เล่าให้ว่า ทางครอบครัวถนัดทำอาหาร พอมาถึงรุ่นหลังก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร พี่สาวกับพี่เขยที่ทำขนมเปี๊ยะขายก็มีอาชีพรับส่งเด็กนักเรียนมานานนับสิบปีแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่ แต่เพราะหลังส่งเด็กตอนเช้าก็จะมีช่วงว่าง กว่าจะถึงเวลารับเด็กอีกที ซึ่งอาจจะเพราะซึมซับจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับเป็นคนชอบกินและชอบทำ ช่วงกลางวันทั้งสองจึงมักจะช่วยกันทำขนม ทำของกินเตรียมไว้ให้ลูกหลาน และเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนฝูงพี่น้องและคนรอบข้างได้ชิมกัน จนเขาติดใจต้องออกปากขอซื้อ และสั่งทำเพื่อเอาไปเป็นของฝากของขวัญให้เพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง แล้วก็พูดกันปากต่อปาก จนต้องทำขายในที่สุด

“ทำขนมเปี๊ยะที่บ้านแล้วส่งไปขายตามร้านกาแฟและร้านขนมมาหลายปีแล้ว ไม่ได้มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เพราะลำพังขนมเปี๊ยะอย่างเดียวคงไม่พอที่จะจัดหน้าร้านให้สวยงามและชวนซื้อ แต่ขนมเปี๊ยะที่ทำขายกันก็แตกต่างจากขนมเปี๊ยะทั่วไป ทั้งตัวแป้งและไส้ที่หอม รสชาติกลมกล่อมเข้ากันพอดี เป็นสูตรเฉพาะที่พี่สาวและพี่เขยคิดทำขึ้นมา วัตถุดิบที่ใช้จะเลือกคุณภาพเกรดเอ ทุกวันจะมีออร์เดอร์จากหน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ สั่งไปใช้ในงานอบรมสัมมนา เป็นอาหารว่างทานกับน้ำชากาแฟ บ้างก็จะสั่งจัดเป็นกระเช้าและกล่องเพื่อใช้เป็นของฝากของขวัญช่วงเทศกาล”

แม้กระบวนการทำขนมเปี๊ยะจะค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยาก แต่กบซึ่งรับหน้าที่เป็นฝ่ายการตลาด บอกว่า ถึงจะทำไม่ง่ายแต่ขนมเปี๊ยะของที่บ้านก็จะทำกันใหม่สดทุกวัน และสามารถเก็บไว้ได้หลายวัน จะทำไส้เดียวคือถั่วกวน-ไข่เค็ม และจะแพ็กใส่กล่องแบบที่สามารถใส่ในไมโครเวฟได้ เพราะต้องการเน้นให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า

เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำ “ขนมเปี๊ยะ” จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ทั่วไป

ส่วนผสมที่ใช้การทำตัวแป้งขนมเปี๊ยะ หลัก ๆ ก็มี... แป้งสาลีอเนกประสงค์, น้ำมันพืช, เกลือ, น้ำสะอาด

สำหรับส่วนผสมของไส้ ก็มี... ถั่วเขียวซีก, น้ำตาลทราย, น้ำกะทิ, ไข่เค็ม และไข่แดง

ขั้นตอนการทำก็เหมือนกับการทำขนมเปี๊ยะทั่ว ๆ ไป ก่อนอื่นจะต้องมี “แป้งใน” กับ “แป้งนอก” เริ่มจากต้องนวด “แป้งใน” ก่อน ซึ่งเป็นการนวดผสมระหว่างแป้งสาลี 1 กก. และน้ำมันพืช หรือเนย 400 กรัม เมื่อนวดจนเข้ากันแล้ว ให้แบ่งแป้งออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือ เตรียมไว้

ในส่วนของ “แป้งนอก” เป็นการผสมระหว่างแป้งสาลี 1.5 กก., น้ำมันพืช 800 กรัม, น้ำตาลทราย 300-400 กรัม, เกลือนิดหน่อย และน้ำเปล่า 1,100 กรัม นวดด้วยเครื่องให้เข้ากันจนแป้งเนียน แล้วปั้นออกมาเป็นก้อน ๆ ขนาดเท่ากับหัวแม่มือ เช่นเดียวกับแป้งใน

“ไส้ถั่วกวน” ใช้ถั่วเขียวผ่าซีก 1 กก. แช่น้ำ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าแช่น้ำร้อนได้จะดีมากเพราะถั่วจะนิ่ม) แล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นบดให้ละเอียด และกวนกับน้ำตาลทราย 700-800 กรัม และกะทิอีก 400 กรัม จนเข้ากัน ส่วน “ไข่เค็ม”
นั้น ใช้ไข่แดงจากไข่เป็ดเค็มนำไปนึ่งให้สุกอีกที

การทำเป็นขนมเปี๊ยะ นำแป้งในและแป้งนอกที่ปั้นเป็นก้อนกลมมารีดออกเป็นแผ่น ๆ วางทับซ้อนกัน โดยแป้งนอกห่อแป้งใน รีดแล้วพับ พับแล้วรีด เพื่อให้เกิดชั้นขึ้นมา เมื่อได้ชั้นตามสมควรแล้วก็ใส่ไส้ถั่วและไข่เค็ม

ใส่ไส้แล้วก็ห่อแป้งปิดให้เรียบร้อย นำเข้าเตาอบ ที่ความร้อน 250 องศาฯ ราว 10 นาที นำออกมาทาไข่แดง แล้วนำเข้าอบต่ออีก 20 นาที ขนมจะสุกได้ที่ จะออกมาเป็นสีเหลืองนวล น่ารับประทาน

ผึ่งให้เย็นด้วยการเป่าพัดลม ก่อนจะแพ็กใส่กล่อง

จากสูตรแป้งขนมเปี๊ยะข้างต้น เป็นสูตรคร่าว ๆ ของการผสมแป้ง ซึ่งในการทำขายนั้น เมื่อนวดแป้งออกมาแล้ว แบ่งสูตรแป้งออกเป็นส่วนละ 550 กรัม จะปั้นเป็นขนมเปี๊ยะได้ประมาณ 120 ชิ้น

ราคาขายนั้น กล่องใหญ่ 22 ชิ้น 140 บาท กล่องเล็ก 13 ชิ้น 80 บาท และกล่องจิ๋ว 4 ชิ้น 25 บาท โดยต้นทุนเฉพาะในส่วนวัตถุดิบจะประมาณ 60% ของราคาขาย

ใครสนใจขนมเปี๊ยะ “เปี๊ยะ by ปิ่งปิ่ง” ต้องการติดต่อกับกบ หรือคุณติ๋ม ซึ่งครอบครัวยังมีการทำ “เค้กกล้วยหอม” ส่งขายด้วย ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-6615-9775 หรือ 08-1777-4266 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” เกี่ยวกับการทำขนมขาย โดยไม่ต้องลงทุนเปิดร้านเอง ฝึกฝีมือดี ๆ ทำ “ขนมเปี๊ยะ” ขาย ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ขายได้!!.

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : www.dailynews.co.th)

Read More...


“ถ้วยฟูสมุนไพร” ต่อยอดภูมิปัญญาสร้างเงิน

.
.
.
.
 
 
 



แม้ “ขนมถ้วยฟู” จะเป็นขนมธรรมดาที่มีมาแต่โบราณ และยุคนี้ก็ยังหารับประทานได้ไม่ยาก แต่ผู้ประกอบการขายขนมรายนี้ก็ใช้ขนมถ้วยฟูนี้สร้างรายได้ได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการสืบสานคุณค่าต่อยอดภูมิปัญญารุ่นต่อรุ่น พัฒนาสูตรเป็น “ขนมถ้วยฟูสมุนไพร” จนขนมถ้วยฟูกลายเป็นสินค้าโอทอปที่มีชื่อเสียง เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” กรณีศึกษาน่าสน...
                               
ป้อ-ฐาปนี กิจแก้วมรกต และ บีม-ภาคภูมิ เพียรรัตน์พิมล คู่รักหนุ่มสาว เป็นผู้รับช่วงของบ้านขนมมรกต จ.สระแก้ว โดยป้อเล่าให้ฟังว่า สูตรขนมถ้วยฟูสมุนไพร เป็นสูตรของอาม่า คุณแม่เป็นคนนำมาสืบทอดพัฒนาปรับปรุงสูตรให้แตกต่างจากสูตรโบราณ ใช้สีต่าง ๆ ที่มาจากธรรมชาติ และใส่กะทิลงไปเพื่อเพิ่มความหอมมันอร่อย แต่ยังคงความเหนียวนุ่มและรสชาติกลมกล่อมของความเป็นโบราณอยู่ นี่เป็นขนมงานมงคล ช่วงเทศกาลงานบุญจะมีออร์เดอร์มาก

“ป้อเรียนจบการโรงแรม เช่นเดียวกับบีม ทำงานหาประสบการณ์อยู่หลายเดือน ก็ไม่ชอบ ไม่อิสระ แถมเงินเดือนที่ได้ก็นิดเดียว คุณแม่เลยแนะนำว่าให้ลองทำขนมขายมั้ย เพราะมันเป็นธุรกิจของเราเอง เป็นเจ้านายตัวเอง ได้เงินดี อยากหยุดวันไหนก็หยุดได้ ตั้งแต่เล็กจนโตป้อก็อยู่กับขนมถ้วยฟูมาตลอด เรียกว่าเราทำเป็นทุกกระบวนการ อีกทั้งส่วนตัวก็ชอบขายของ ก็เลยสนใจอยากจะมาขยายสาขาที่กรุงเทพฯ เพราะคุณแม่มีลูกค้าที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว ส่วนแฟนก็มีความคิดเหมือนกัน จึงออกจากงานมาช่วยกันทำขนมขาย มาต่อยอดขนมถ้วยฟูสมุนไพร”

บีมเสริมว่า ขนมถ้วยฟูที่ทำขายนั้น ไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์อะไรเลย อาศัยการบอกต่อของลูกค้า ซึ่งก็คิดว่าสิ่งที่ทำให้ลูกค้าซื้อขนมจำนวนมากคือรสชาติที่กลมกล่อม อร่อยแตกต่างจากเจ้าอื่น ใช้วัตถุดิบที่คัดคุณภาพดี โดยใช้แป้งสดโม่เองทุกวัน ใช้สีธรรมชาติ ไม่ใส่สารกันบูดและไม่ใส่ผงฟู จะทำแป้งเชื้อข้าวหมากเอง ขนมจะอร่อยเหนียวนุ่ม

ขนมถ้วยฟูสีขาวจะเป็นสูตรโบราณที่ไม่ใส่สี ส่วนขนมสีชมพูสีที่ใช้ได้จากเปลือกไม้ฝาง, สีเหลืองได้จากเนื้อตาล, สีม่วงได้จากดอกอัญชัน, สีเขียวได้จากใบเตยหอม

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำขนมถ้วยฟู หลัก ๆ ก็มี... เตาแก๊สสำหรับนึ่งขนม, ลังถึงขนาดใหญ่, เครื่องโม่แป้งไฟฟ้า, หม้อหลายขนาด, ถาด, กะละมัง, กระบวย, ผ้าขาวบาง, ทัพพี, ถ้วยตะไลใบเล็ก, กระด้ง เป็นต้น

ส่วนผสมในการทำ “ขนมถ้วยฟูสมุนไพร” ตามสูตรนี้ก็มี ข้าวสารคัดพิเศษ, น้ำตาลทราย, หัวกะทิสด, แป้งเชื้อข้าวหมาก, น้ำลอยดอกมะลิสด, เทียนอบขนม และเนื้อตาลยีเรียบร้อยแล้ว น้ำใบเตยหอมคั้นเข้มข้น น้ำดอกอัญชันคั้นเข้มข้น เปลือกไม้ฝาง สำหรับใช้แต่งสีขนม

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำข้าวสารมาซาวล้าง นำขึ้นใส่ภาชนะ ใส่น้ำสะอาดให้ท่วมแช่ทิ้งไว้ค้างคืน จากนั้นจึงนำไปโม่ แล้วตั้งทิ้งไว้ให้แป้งตกตะกอน รินน้ำใส ๆ ข้างบนทิ้ง เทน้ำแป้งใส่ถุงแป้ง ทับน้ำให้แป้งแห้งพอหมาด ๆ ก็จะได้ก้อนแป้งข้าวเจ้าสด พักไว้ นำน้ำกะทิมาผสมกับน้ำตาลทรายตั้งไฟพอละลาย ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำขึ้นตั้งไฟอีกสักครู่ ยกลงตั้งพักไว้ให้เย็น ระหว่างนั้นนำแป้งเชื้อข้าวหมากมาบดละเอียด แล้วนวดผสมกับแป้งข้าวเจ้าสดที่ทำไว้ และนวดผสมเข้ากับน้ำหัวกะทิทีละน้อยจนนุ่มมือและเนียนเข้ากันดี จึงเติมกะทิที่เหลือทั้งหมดเพื่อเป็นการคลายตัวเนื้อแป้งขั้นต่อไป จัดแบ่งแป้งเป็นส่วน ๆ ตามจำนวนสีที่จะใช้ ใส่สีแต่ละสีตามแป้งแต่ละส่วน นวดให้สีผสมกลมกลืนกับเนื้อแป้งเชื้อ จากนั้นก็นำแป้งที่นวดผสมเสร็จแล้วเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด นำไปตั้งพักไว้ในที่ที่มีแดดส่องหรือที่อุ่น ๆ ประมาณ 4-5 ชั่วโมง เพื่อรอให้แป้งขึ้นตัว ทั้งนี้ การทำขนมถ้วยฟูแบบโบราณต้องใจเย็น ๆ ต้องรอจนแป้งขึ้น จนเป็นฟองปุด ๆ (ขนมถ้วยฟูสมัยใหม่จะย่นย่อเวลาหมักแป้งด้วยการใส่ผงฟูบ้าง ยีสต์บ้าง)
เตรียมลังถึงสำหรับนึ่ง ใส่น้ำประมาณ 3/4 ของลังถึง ตั้งไฟให้น้ำเดือด นำลงมาเรียงถ้วยตะไลให้ระยะห่างพอดี อย่าให้เบียด มิฉะนั้นขนมจะไม่สวย ต้องให้ไอน้ำขึ้นมาในลังถึงได้ทั่ว ยกขึ้นตั้งไฟให้น้ำเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีให้ถ้วยร้อน จากนั้นจึงยกลงเพื่อจะนำส่วนผสมแป้งที่ได้ที่ดีแล้วใส่ถ้วย โดยใช้ทัพพีคนแป้งเบา ๆ  ตักใส่กระบวยหยอดใส่ถ้วยตะไลเกือบเต็ม ก่อนจะวางเรียงบนลังถึง นำขึ้นนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 5 นาที  แล้วลดไฟลงนึ่งต่ออีก 10  นาที  ขนมจะสุกพอดี ยกลง นำถ้วยขนมแช่ในภาชนะที่มีน้ำเย็นเพื่อสะดวกต่อการแคะ ขนมจะออกมาหน้าตาสวยงามน่ารับประทาน

ป้อและบีมร่วมกันบอกว่า ความอร่อยของขนมถ้วยฟูอยู่ที่ความสดใหม่ ความนุ่มเหนียวของเนื้อขนม กลิ่นหอม และรสชาติที่กลมกล่อม โดย “ขนมถ้วยฟูสมุนไพร” เจ้านี้ จะจัดขายเป็นกล่อง กล่องหนึ่งมี 10 ถ้วย ราคา 25 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% ของราคา
     
บ้านขนมมรกต อยู่ที่ซอยอุดมโชค (บางศรีเมือง 18) จ.นนทบุรี นอกจากขนมถ้วยฟูแล้วก็ยังมีขนมน้ำดอกไม้ด้วย โดยตั้งโต๊ะขายอยู่ที่ท่าน้ำนนท์ใกล้ร้านเกาเหลาติดป้ายรถเมล์ตั้งแต่เช้า ถึงบ่าย และวันพฤหัสฯจะมีขายที่กรมป่าไม้ วันศุกร์มีขายที่กรมประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงรับสั่งทำ-รับสั่งทำขายส่งด้วย โดยต้องสั่งล่วงหน้า 1 วัน ซึ่งใครต้องการติดต่อป้อและบีมก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-8185-3650 และ 08-8092-1898 ทั้งนี้ ยุคนี้เป็นยุคที่ขนมอนุรักษ์ได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งก็รวมถึงขนมถ้วยฟู และยิ่งมีการพัฒนาต่อยอด ก็สามารถจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ธรรมดาได้.
   
(ชมคลิปวิดีโอ ช่องทางทำกิน ได้ที่ www.dailynews.co.th)
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี ชุมขำ เรื่อง / วรัญญู เหมือนเดช ภาพ

Read More...


‘ไส้กรอก(อีสาน)เนื้อ’ สร้างเงินด้วยสูตรพลิกแพลง

.
.
.
.



“ไส้กรอกอีสาน” เป็นอาหารเลื่องชื่อที่ไม่เพียงนิยมเฉพาะภาคอีสานเท่านั้น  หากแต่ยังได้รับความนิยมจากคนทั่วทุกภาค การทำไส้กรอกอีสานขายจึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งหากใครทำขายโดยพลิกแพลงไส้กรอกอีสานให้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเองขึ้นมา ก็น่าจะยิ่งน่าสนใจ อย่างเช่น “ไส้กรอกเนื้อ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...
.....................................................................................
ชนิตา มินยา ซึ่งทำผลิตภัณฑ์ ไส้กรอกเนื้ออิสลาม  ขาย เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า ความจริงแล้วเธอมีอาชีพเป็นแม่บ้าน เลี้ยงดูลูกสาวและลูกชายอยู่กับบ้าน แต่พอลูกเริ่มโตค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เธอจึงเริ่มทำอาชีพเสริมเพื่อช่วยเหลือครอบครัวด้วยการขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ แถวถนนรามคำแหง กำไรจากการขายลูกชิ้นก็พอจะได้ค่ากับข้าวในแต่ละวัน ต่อมาเธอก็คิดเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายให้เป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า จึงคิดจะทำไส้กรอกเนื้อขายในสไตล์อิสลาม เพราะคิดว่าน่าจะไปได้ดี เพราะไม่ค่อยมีคนทำขาย จึงได้ทดลองทำ
ในการทำนั้นก็ดัดแปลงปรับปรุงพลิกแพลงจากสูตรไส้กรอกอีสาน จนได้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง  แล้วให้เพื่อนบ้าน คนในครอบครัว ช่วยกันชิมและติชม จนรสชาติอยู่ตัวคงที่จึงเริ่มทำขาย ทำให้ที่ร้านมีลูกค้าเพิ่มขึ้น   “เมื่อจะทำแล้วก็ต้องทำให้ ก็ทำไส้กรอกเนื้อสูตรที่ตัวเองดัดแปลงขึ้นขายมาประมาณ 2  ปีแล้ว โดยขายควบคู่ไปกับลูกชิ้นปิ้ง ขายอยู่แถวสะพานลอยที่หน้าปาก ซอยรามคำแหง 184   รายได้ก็พออยู่พอกินสำหรับครอบครัว แต่ตอนหลังมาประสบปัญหาเรื่องสถานที่ขาย ที่มักจะถูกไล่ บางวันทำของออกไปแล้วไม่มีที่ขาย ก็ไม่มีรายได้ ของก็เสียหาย จึงคิดหาช่องทางขายทางอื่น ด้วยการทำขายส่ง อาศัยว่าแม้จะกำไรน้อยหน่อย แต่ขายได้ปริมาณมากหน่อย ก็พอจะอยู่ได้ไม่เดือดร้อน นอกจากไส้กรอกเนื้อแล้ว ก็ยังมีไส้กรอกวุ้นเส้นที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย ปัจจุบันนอกจากจะทำขายเองแล้ว ก็ส่งขายที่ตลาดมีนบุรี และละแวกใกล้เคียง” ชนิตากล่าว      
สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำไส้กรอก หลัก ๆ ก็มี เครื่องยัดไส้หรือเครื่องกรอกไส้, ถาด, ตาชั่ง, เตาถ่าน, หม้อ, กะละมัง, มีด, เขียง, กรรไกร, เชือกป่านหรือเชือกฝ้าย และเครื่องมือเบ็ดเตล็ดจากในครัว
ส่วนผสม “ไส้กรอกเนื้อ” ตามสูตรนั้นหลัก ๆ ก็มี เนื้อวัวอย่างดี 1ฝ กิโลกรัม, มันพื้นท้อง 2 กิโลกรัม, กระเทียม  2 กิโลกรัม, พริกไทยป่น 2 ขีด, ข้าวสุก, รากผักชีสับ, เกลือ, ไส้เทียม และสีผสมอาหารนิดหน่อย   ขั้นตอนการทำ “ไส้กรอกเนื้อ” เริ่มการนำเนื้อและมันพื้นท้องมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปเข้าเครื่องบดรวมกันให้พอหยาบ ๆ  ตั้งพักเตรียมไว้ จากนั้นให้นำกระเทียมมาบดทั้งเปลือกให้ละเอียด แล้วเติมข้าวสุกที่เตรียมไว้ตามลงไปในกระเทียมบด จากนั้นทำการคลุกเคล้าให้ทั่ว ก่อนจะนำไปใส่ลงในเนื้อบดที่เตรียมไว้
เติมเกลือ พริกไทย รากผักชีตามลงไป ใช้มือเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันให้ทั่ว แล้วนวดรวมกันประมาณ  15  นาที ระหว่างนวดส่วนผสมให้เหยาะสีผสมอาหารลงไปนิดหน่อย เพื่อให้มีสีสันน่ารับประทาน
เมื่อนวดส่วนผสมได้ที่แล้ว ก็นำส่วนผสมที่ได้ไปใส่ถุงพลาสติก  ผูกปากให้แน่น นำไปใส่ไว้ในถังพลาสติกทิ้งไว้ 1 คืน พอเช้าก่อนจะนำไปกรอกใส่ไส้ ก็นำไส้เทียมมาล้างเอาเกลือออก แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ไส้เทียมเกิดความยืดหยุ่น  เสร็จแล้วขยำล้างไส้เทียมให้สะอาดอีกรอบ ก่อนจะนำไปใช้กรอกไส้    
ขั้นตอนการกรอกไส้  นำอุปกรณ์ที่จะใช้มาเตรียมให้พร้อม มีกรรกไกร ถาด เชือกป่าน นำส่วนผสมที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงในเครื่องยัดไส้ นำไส้เทียมใส่ตรงก๊อกเปิด-ปิดเพื่อทำการกรอกส่วนผสมลงไปในไส้ เมื่อกรอกเสร็จแล้วใช้เชือกมัดเป็นปล้องขนาดยาว 5 นิ้ว ก่อนจะนำไปตามแดด หากต้องการให้มีรสชาติเปรี้ยวน้อย ก็ตากทิ้งไว้  1 ชั่วโมง ถ้าต้องการเปรี้ยวมากก็ให้ตากแดดนาน 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะนำไปจำหน่าย ทั้งแบบปลีกและส่ง
ชนิตายังบอกอีกว่า ไส้กรอกเนื้อนี้หากนำมาย่างขายเองก็จะต้องมีเครื่องเคียงด้วย ได้แก่ กะหล่ำปลี ขิง และพริกขี้หนู ที่สำคัญคือไส้กรอกเนื้อที่ทำจะไม่ใส่สารกันบูด แต่เน้นใช้วัตถุดิบที่ใหม่ สะอาด สำหรับราคาขาย ถ้าย่างขายเองขายชิ้นละ 12 บาท ส่วนราคาขายส่งชิ้นละ  6  บาท ซึ่งทั้งสองรูปแบบเมื่อเฉลี่ยแล้วก็มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% ของราคา
.....................................................................................
ใครสนใจ “ไส้กรอกเนื้อ” เจ้านี้ ต้องการไปอุดหนุน อยากลองรับประทานอาหารอีสานสไตล์อิสลามรูปแบบนี้ ก็ไปได้ที่ปากซอยรามคำแหง 184 กรุงเทพฯ หรือต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อเป็น “ช่องทางทำกิน” อีกขั้นหนึ่ง ก็ติดต่อสอบถามกับ ชนิตา ได้ที่ โทร.08-4154-8820  
.....................................................................................
คู่มือลงทุน...ไส้กรอกเนื้อ
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 7,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา
รายได้  6 บาท และ 12 บาท / ชิ้น
แรงงาน  1 คนขึ้นไป
ตลาด  ชุมชน ตลาด ส่งร้านอาหาร
จุดน่าสนใจ พลิกแพลงสร้างจุดขายใหม่

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี  ชุมขำ : เรื่อง / จามิกรณ์  ศรีคำ : ภาพ

Read More...


ไอศกรีมสมุนไพร(2) ชื่ออัญมณี-ดีต่อสุขภาพ

.
.
.

 
 
 
 
   
เมื่ออาทิตย์ที่ 22 เม.ย. 2555 “ช่องทางทำกิน” ได้นำเสนอข้อมูล “ไอศกรีมสมุนไพร” ที่ตั้งชื่อตามอัญมณี ดีต่อสุขภาพ สูตรของคณาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ไปแล้ว 2 สูตรคือ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร) และ เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว) อาทิตย์ที่ 29 เม.ย.นี้มาต่ออีก 3 สูตร ตามที่แจ้งไว้ ดังนี้...
......................................................................
3 สูตรไอศกรีมสมุนไพรวันนี้ ประกอบด้วย... บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) ซึ่งอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วคือ ถังปั่นไอศกรีม เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และอุปกรณ์สำหรับชั่งตวง เครื่องชั่งน้ำหนัก ถ้วยตวงน้ำ ถ้วยตวงของแห้ง เป็นต้น ซึ่งที่ต้องใช้ทั้งเครื่องชั่งน้ำหนัก และถ้วยตวงควบคู่กัน ก็เพราะส่วนผสมบางอย่างต้องใช้ในปริมาณสัดส่วนที่แน่นอน
ไอศกรีม บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง) สีเหลือง ส่วนผสมไอศกรีม 1 กก.  มีฟักทองนึ่ง 130 กรัม, น้ำกะทิ 760 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 30 กรัม, น้ำตาลปี๊บ 45 กรัม, เกลือ 1 กรัม, หางนมผง 30 กรัม, สารคงตัว 4 กรัม (อาทิ เจลาติน)  และไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 2) 1 ฟอง
วิธีทำ  คั้นมะพร้าวขูดขาวให้ได้น้ำกะทิ 760 กรัม ผสมกับน้ำตาลปี๊บ และเกลือ ตั้งไฟที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส ในอีกด้านก็ผสมหางนมผง น้ำตาลทรายขาว และสารคงตัวเข้าด้วยกัน แล้วจึงค่อย ๆ เติมลงในน้ำกะทิที่ตั้งไฟ คนจนละลายเข้ากันดี อุ่นให้ได้อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส เสร็จแล้วนำเข้าเครื่องปั่น ใส่ไข่แดง ปั่นต่อด้วยความเร็วสูงสุด นาน 1 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นเทใส่หม้อสแตนเลส  ยกขึ้นตั้งไฟเพื่อพาสเจอร์ไรซ์ ตั้งไฟให้ได้อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 2 นาที  แล้วรีบนำไปแช่เย็นจัด บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จากนั้นจึงนำออกมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม เพิ่มเนื้อไอศกรีมด้วยเนื้อฟักทองนึ่ง จากนั้นนำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
ต่อไปเป็นไอศกรีม มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ) สีเทา ส่วนผสมไอศกรีมขนาด 1 กก. ประกอบด้วย งาดำคั่ว บดหยาบ 25 กรัม, นมถั่วเหลือง รสหวาน 840 กรัม, นมผง 36 กรัม, สารคงตัว 4 กรัม (อาทิ เจลาติน) และน้ำตาลทราย 120 กรัม
วิธีทำ นำนมถั่วเหลืองขึ้นตั้งไฟแบบหม้อตุ๋น คนด้วยทัพพีสแตนเลส จนได้อุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส ในอีกด้านก็เตรียมส่วนผสม (ของแห้ง) ได้แก่ นมผง สารคงตัว และน้ำตาลทราย ผสมให้ส่วนผสมกระจายตัวทั่วกันดี จากนั้นจึงเติมส่วนผสมของแห้งนี้ลงไปในนมถั่วเหลืองที่ตั้งไฟ คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วนำมาใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่นนาน 1 นาที จากนั้นนำไปพาสเจอร์ไรซ์ โดยการอุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ  80 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 นาที แล้วรีบนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที  บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น เสร็จแล้วก็นำออกมาปั่นด้วยเครื่องปั่นไอศกรีม เพิ่มเนื้อไอศกรีมด้วยงาดำคั่วบด คนให้เข้ากับไอศกรีมอย่างเบามือ แล้วนำเข้าแช่ในช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
อีกสูตรคือไอศกรีม ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) สีแดง ส่วนผสมไอศกรีมขนาด 1 กก. ประกอบด้วย น้ำลูกหม่อน 497 กรัม, นมสด 397 กรัม, น้ำตาลทราย 50 กรัม, น้ำผึ้ง 50 กรัม และสารคงตัว 6 กรัม (อาทิ เจลาติน)
วิธีทำ ผสมน้ำผึ้งกับนมสด ตุ๋นที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ใส่สารคงตัวที่ผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทราย คนให้ละลาย อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส แล้วนำขึ้นมาใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่น 1 นาที เสร็จแล้วนำไปพาสเจอร์ไรซ์ โดยการตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา  2  นาที  แล้วรีบนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที  บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จากนั้นนำออกมาผสมกับน้ำลูกหม่อนที่แช่เย็น แต่งรสเปรี้ยวเล็กน้อย สุดท้ายนำมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม แล้วนำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
ทั้งนี้ ทางอาจารย์ที่ให้ข้อมูลมาบอกว่า ไอศกรีมตามสูตรดังกล่าวนี้ จากการใช้ส่วนผสมที่เน้นคุณค่าของสมุนไพร มีส่วนผสมของนมสดหรือผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนน้อย ก็ทำให้จัดเป็นกลุ่มไอศกรีมที่มีไขมันค่อนข้างต่ำ
สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในการทำไอศกรีม 2 กก. หากบรรจุถ้วยขนาด 4 ออนซ์ จะบรรจุได้ประมาณ 40 ถ้วย มีต้นทุนรวมประมาณไม่เกิน 16 บาท ส่วนราคาขายนั้นสามารถตั้งได้ที่ราคาถ้วยละ 20-25 บาท แล้วแต่ทำเลในการขาย
......................................................................
แฟน “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจ “ไอศกรีมสมุนไพร” สูตรของสาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร  คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2287-9722 ในวันและเวลาราชการ

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
..................................................
คู่มือลงทุน...ไอศกรีมสมุนไพร
ทุนอุปกรณ์    ประมาณ 10,000  บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 16 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์
รายได้  20-25 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์
แรงงาน  1-2 คนขึ้นไป
ตลาด  ชุมชน, สถานศึกษา, สำนักงาน
จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพใช้เป็นจุดขายที่ดีได้

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.dailynews.co.th/

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.