
ในตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับบริษัทยักษ์ใหญ่ลอกเลียนสูตรขนมของ SMEs รายย่อย จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างหนัก แต่กระนั้นก็เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงกันต่อไป
ทว่า สิ่งสำคัญที่คุณและคุณ ควรตระหนักและรับรู้ไว้ หากวันใดวันหนึ่งคุณโดนยักษ์ใหญ่เอาเปรียบ คุณจะต้องรับมือด้วยวิธีการใด พร้อมวิเคราะห์ปมดราม่าร้อนไปกับป๋าโหด อย่าง อ.ธันยวัชร์ ไชยตระกูลชัย หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนาม ขาโหดแห่ง SMEs นักการตลาดฝีปากกล้า ว่าเรื่องราวร้อนแรงเกี่ยวกับขนมปังกล้วยนี้ คุณตกหลุมพรางดราม่าการตลาดอยู่หรือไม่? แท้จริงแล้วงานนี้ ลอก ไม่ลอก? ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีคำตอบมาเสิร์ฟให้คุณแล้ว...

“เรื่อง ยักษ์ใหญ่ชื่อดังรังแก SMEs นั้น ถือว่าเป็นเรื่องดราม่าอยู่แล้ว ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่ทราบ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างเล่าเรื่องกันคนละแบบ แต่พล็อตเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ถือว่า ดราม่าจริงๆ แต่ในทางการตลาดนั้น SIAM BANANA ถือว่าเปิดตัวสินค้าได้ยอดเยี่ยมมาก” อ.ธันยวัชร์ กล่าวในเชิงการตลาด
ก่อนอื่น คุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สินค้าที่กำลังเป็นประเด็นอยู่นี้ อยู่กันคนละตลาด ซึ่งในส่วนของ เค้กสอดไส้คัสตาร์ด รสกล้วยของยักษ์ใหญ่ มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับโตเกียวบานาน่า และมีราคาถูกเพียง 12 บาท แต่ในส่วนของ SIAM BANANA จะสอดไส้กล้วยใส่ลงไปจริงๆ มีราคาสูงถึงชิ้นละ 27.50 บาท ซึ่งสินค้าของยักษ์ใหญ่ 2 ชิ้นยังไม่ได้ราคาของ SIAM BANANA ชิ้นเดียวเลย จึงส่งผลให้ความดราม่าบังเกิดขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่มองว่า สินค้ามีลักษณะคล้ายคลึงกัน และอยู่ในตลาดเดียวกัน ส่งผลให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และซื้อมาลิ้มลอง



“สินค้า ของทั้งสองฝ่าย มีวัตถุดิบและรสชาติที่แตกต่างกัน ซึ่งในส่วนของยักษ์ใหญ่มีความคล้ายคลึงกับของโตเกียว บานาน่า คือเป็นคัสตาร์ดรสกล้วย ส่วนของ SMEs นั้น จะใส่กล้วยเข้าไปจริงๆ ดังนั้น ถ้าลอกเลียนก็จะต้องเหมือนกันหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งไส้และราคา ซึ่งจุดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า สินค้าของทั้งสองฝ่ายมีตลาดที่แตกต่างกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น SIAM BANANA ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ช่องทางการจำหน่ายมีมากมาย” นักการตลาดอย่าง อ.ธันยวัชร์ วิเคราะห์รอบด้าน
ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีคนตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทในเครือของยักษ์ใหญ่ไม่ได้พูดคุยหารือกัน ขนาดบริษัทในเครือยังทำสินค้าออกมาขายแข่งกันเองเลย อย่างเช่น เกี๊ยว ก็ยังมีเกี๊ยวหลากหลายรูปแบบ ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดจากบริษัทในเครือส่วนหนึ่งได้ไปตกลงทำความเข้าใจกับ SMEs เอาไว้ โดยที่ยังไม่ได้คุยกับบริษัทในเครืออีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเขาสามารถทำได้แล้ว แต่ไม่ได้รายงานกันก่อน จึงเกิดเหตุการณ์อย่างที่เป็นกระแสอยู่ในปัจจุบัน

รวยเละ! ไม่ง้อร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่ วิธีง่ายง่ายๆ คุณทำได้แน่นอน
เหล่า SMEs (วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) ทั้งหลายต่างอยากนำสินค้าของตัวเองเข้าร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่ของประเทศ แต่ขาโหดแห่ง SMEs พูดโผงผางตามสไตล์ว่า อันที่จริงแล้ว คุณไม่จำเป็นที่จะต้องพยายามเอาสินค้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ โดยอันดับแรกที่ควรคำนึงถึง ก็คือ สินค้าของคุณเป็นสินค้าอะไร และจะต้องวางขายสินค้าในสถานที่ใดจึงจะเหมาะสม และคุณต้องตระหนักด้วยว่า หากคุณต้องการนำสินค้าไปวางไว้ในร้านสะดวกซื้อทั้งหมด 8,000 สาขา แต่กลับขายไม่หมด คุณไม่เจ๊งหรือ ?

พร้อมกันนั้น ธุรกิจหลายประเภทยังมีการทำ Viral Marketing โดยอาศัยเทคนิคการทำการตลาดที่ใช้สื่อ Social Networks ที่มีอยู่แล้ว กล่าวคือ เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้คนรู้จักแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ โดยสร้างเรื่องราวให้โดนใจ น่าคอมเมนต์ น่าแชร์ มีความเป็นดราม่า เป็นพลังบอกต่อให้มาซื้อสินค้าได้เป็นอย่างดี และในกรณีนี้ก็อาจมีความเป็นไปได้ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังทำ Viral Marketing อยู่

ธัน ยวัชร์ ไชยตระกูลชัย นักการตลาดชื่อดัง แนะนำทางออกให้แก่เหล่า SMEs ในกรณีที่คุณกำลังจะโดนยักษ์ทับรอย โดยมีข้อพึงตระหนัก ดังนี้
1. เวลาที่เหมาะสมที่คุณจะนำสินค้าเข้าสู่ตลาดมหาชน อยู่ ณ เวลาใด
2. ความพร้อม ของคุณเพียงพอแล้วหรือยัง
3. สิ่งที่คุณต้องระมัดระวัง คืออะไร
4. อย่านำไข่ไว้ในตะกร้าเดียว โดยหมายความว่า หากจะนำสินค้าออกขาย อย่าคิดเพียงแต่จะนำไปขายที่ยักษ์ใหญ่เพียงอย่างเดียว จงคิดถึงช่องทางอื่นๆให้เหมาะสมพอดิบพอดีกันด้วย เช่น ขายในร้านค้าปลีกอื่นๆ ขายในร้านค้าออนไลน์ ฯลฯ

1. ขาดความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการทำสัญญากับคู่ค้ารายใหญ่ โดยมีความเข้าใจที่ว่ารายละเอียดในการทำสัญญาของธุรกิจรายใหญ่ ย่อมเหมือนๆ กันกับ SMEs รายอื่น ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ธุรกิจขนาดเล็ก เข้าใจไปเสียเองว่า สัญญาที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทำขึ้น ธุรกิจเล็กรายอื่นๆ เขาก็ทำกัน และเชื่อว่าสัญญาที่ว่านี้เหมาะสมแล้ว แต่อันที่จริง ด้วยสัญญานั้นอาจทำให้ธุรกิจรายเล็กโดนเอาเปรียบอยู่ก็เป็นได้ และเมื่อรู้ตัวว่า เสียรู้ไปแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้มาก เพราะหวั่นว่ารายใหญ่จะยกเลิกออเดอร์
2. ขาดอำนาจต่อรอง เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าย่อมมีความสามารถทางกำลังเงินและมีบุคคลที่เชี่ยวชาญ ทางกฎหมายและคดีความ ซึ่งในบางครั้ง ผู้ที่มีความรู้มากๆ ก็ยังขาดอำนาจต่อรอง เพราะถ้าต่อรองมากๆ แล้ว อาจโดนลดออเดอร์หรือยกเลิกออเดอร์จากรายใหญ่ได้

หากเกิดเหตุการณ์ธุรกิจรายใหญ่ลอกเลียนสินค้าธุรกิจรายเล็กจริง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ภาครัฐไม่มีกลไกที่จะปกป้องประชาชนที่ขาดกำลัง เช่น หาก SMEs รายเล็กจะไปต่อสู้ขอความยุติธรรม ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการต่อสู้ทางคดีความต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากๆ และมีโอกาสแพ้สูง ซึ่งเป็นปัญหาทางสังคมอย่างหนึ่ง
“รัฐบาลควรเข้ามาดูแล พร้อมหาทางออกให้กับภาคประชาชน ที่กำลังถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมไม่เคยเหลียวแลคนในวงการนี้เลย” นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังทิ้งทายถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง.
สุดท้าย ใครกันแน่ที่โดนหลอก...ยักษ์ใหญ่ รายเล็ก หรือ คุณ? ลองตรองดูเถิด!
credit by : http://www.thairath.co.th/content/495327
Read More...