สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

“จิวตี่”ติ่มซำตำรับเหลา 15 บาท แบบไม่ธรรมดา

       เข่งละ 15 บาท กลายเป็นบรรทัดฐานของราคาติ่มซำ แทบทุกยี่ห้อต้องพยายามคงราคานี้ไว้ให้ได้ เช่นเดียวกับ “จิวตี่ ติ่มซำ 100 ไส้” ที่เข้ามาแชร์กระแสตลาดติ่มซำ 15 บาท ทั้งขายส่ง และแฟรนไชส์ โดยดัดแปลงสูตรตำรับภัตตาคารสู่ตลาดขายถูก หมุนเวียนเมนูให้เลือกหลากหลาย วางกลยุทธ์คงคุณภาพไม่ขึ้นราคา
กิตติพงศ์ จิรสุขานนท์
       สำหรับนักชิมแล้ว หากพูดถึงเป็ดพะโล้ เป็ดย่าง ต้องนึกถึงร้าน "ตี่โภชนา" ของ “เกียรติก้อง จิรสุขานนท์” หรือที่ลูกค้าเรียกติดปากว่าคุณตี่ ร้าน "ตี่โภชนา" ซอยลาดพร้าว 71 ซึ่งเปิดมากว่า 15 ปีแล้ว
      
       นอกจากเมนูเป็ดแล้ว ยังได้เพิ่มเติมเมนูติ่มซำ โดยมอบหมายให้ “กิตติพงศ์ จิรสุขานนท์” ลูกชายเป็นผู้ดูแล ซึ่งเขาได้ขยายร้านใหม่ เปิดใน ซ.วัชรพล รวมถึงต่อยอดด้วยการพัฒนาเป็นธุรกิจขายส่งติ่มซำ เข่งละ 15 บาท ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม กับธุรกิจแฟรนไชส์ ใช้ชื่อว่า “จิวตี่ ติ่มซำ 100 ไส้”
      
       “พ่อของผมมีญาติเป็นเชฟติ่มซำอยู่ที่ท่องกี่ ภัตตาคาร กับโรงแรมแชงกรีล่า ซึ่งมาช่วยสอนทำติ่มซำให้ผม แต่ถ้าจะทำตามสูตรโรงแรมเลย ต้นทุนจะสูง ไม่สามารถขายแบบเข่งละ 15 บาทได้ ผมเลยนำมาปรับสูตร กับวัสดุ เช่น จากกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ก็เปลี่ยนมาใช้กุ้งเลี้ยงแทน แม้รสชาติจะสู้ต้นตำรับไม่ได้ แต่ก็ใกล้เคียงกัน อีกทั้ง รสชาติโรงแรมจะค่อนข้างจืด ก็ปรับให้จัดขึ้น เพื่อเหมาะกับลูกค้าแบบเข่งละ 15 บาท” กิตติพงศ์ อธิบายที่มาของธุรกิจติ่มซำที่รับผิดชอบ
คีออสแฟรนไชส์ “จิวตี่ ติ่มซำ 100 ไส้”
       แม้จะใช้ชื่อ “จิวตี่ ติ่มซำ 100 ไส้” แต่ไม่ได้หมายความว่า มาที่ร้านแล้ว จะมีให้เลือกกินถึง 100 ไส้ในทีเดียว หากแต่เป็นแนวคิดของ “กิตติพงศ์” ที่จะสลับสับเปลี่ยนเมนู ทุก 2 -3 เดือน /ครั้ง รวมทั้งหมดที่เคยออกมา กว่า 100 ไส้ โดยแต่ครั้งที่ออกมาจะมีประมาณ 20-30 เมนู ประกอบด้วย เมนูขาประจำที่ต้องคงไว้ เช่น ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า กับเมนูขึ้นคิดใหม่เลย และเมนูเดิมๆ ที่เคยคิดค้นไว้ นำกลับมาหมุนเวียน
      
       “การเปลี่ยนเมนู อยากให้ลูกค้ามีทางเลือกหลากหลาย โดยผมจะดูความต้องการของตลาด กับเป็นความต้องการของผมเองด้วย ที่อยากลองทำสูตรใหม่ ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ที่ของเรามีเจ้าเดียว เช่น กุ้งนึ่งนมสด หมี่หยกพันหมู 2 อย่าง กุ้งเสวย หมึกทองคำยัดไส้”
       สำหรับต้นทุนการผลิต ต่อเข่ง มีตั้งแต่ 5 บาทถึงเกือบ 15 บาท แล้วแต่เมนู แต่เมื่อมาเฉลี่ยกันอยู่ในระดับ 7-8 บาท โดยมียอดขายประมาณ 200 -300 เข่ง/วัน หากเป็นช่วงหน้าเทศกาลจะเพิ่มสูงถึงวันละ 500-600 เข่ง ส่วนกำลังผลิตเวลานี้ สามารถทำได้วันละกว่า 1,000 เข่ง
      
       กิตติพงศ์ เผยว่า ธุรกิจจะมุ่งขายส่ง แบบแช่แข็ง โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร เวลานี้มีราว 30 ราย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง เช่น สระแก้ว ส่งในราคาเข่งละ 9-11 บาท แล้วแต่ปริมาณการสั่ง ทั้งนี้ ลูกค้าเป็นผู้รับผิดชอบค่าขนส่งเอง
      
       ส่วนการขายแฟรนไชส์นั้น ยังจะไม่เน้นมากนั้น เพราะมองว่า เป็นภาระยากในควบคุมคุณภาพของสาขา แม้จะมีผู้สนใจติดต่อมาจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่จะบอกปัดไป ให้เข้าระบบขายส่งแทน ยกเว้น เพียง 2 ราย ที่ยอมปล่อยแฟรนไชส์ โดยอยู่ในห้างซีคอน สแควร์ กับที่ จ.สระแก้ว เนื่องจากทั้งสองรายมีความมุ่งมั่นจะทำธุรกิจนี้จริงๆ
      
       อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้อยากเป็นแฟรนไชส์จริงๆ ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 60,000 – 70,000 บาท สำหรับเป็นค่าคีออส และอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งนี้ คงต้องขอพิจารณาเป็นรายๆไป ว่าจะปล่อยแฟรนไชส์ให้หรือไม่ เพราะไม่เน้นในธุรกิจส่วนนี้อยู่แล้ว
       กิตติพงศ์ ระบุจุดเด่นติ่มซำของเขา อยู่ที่ความเหมาะสมระหว่างราคาถูก เข่งละ 15 บาท กับการคงคุณภาพรสชาติอร่อยไว้ได้ เนื่องจากทุกวันนี้ ธุรกิจติ่มซำ เข่งละ 15 บาท ที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ทว่า ผู้ผลิตทุกรายจะพบปัญหาเดียวกันคือ แบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหว เจ้าใหญ่บางรายต้องยอมขึ้นเป็นเข่งละ 16.5 บาท บางรายลดขนาด หรือเปลี่ยนวัตถุดิบ ผสมแป้งมากขึ้น เพื่อลดต้นทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อรสชาติ
      
       “ผมมีข้อได้เปรียบที่กำลังซื้อวัตถุดิบสูง ต่อครั้งจำนวนมาก เพราะใช้ทั้งร้านของพ่อ และร้านของตัวเอง ทำให้ต้นทุนต่ำ ประกอบกับการดัดแปลงเมนู เช่น เมนูขาเป็ดตุ๋นน้ำแดง ขาเป็ด คู่หนึ่งก็ 20 บาทแล้ว แต่เนื่องจากร้านพ่อขายอยู่เป็ดอยู่แล้ว เลยมีขาเป็ดมาทำเป็นเมนูตุ๋นน้ำแดง ซึ่งร้านอื่นๆ ทำไม่ได้แน่ ผมมองว่า ธุรกิจนี้ การคงราคาไว้ที่ 15 บาท แล้วยังรักษาคุณภาพไว้ได้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะถ้าขึ้น แม้จะขึ้นแค่ 1 -2 บาท แต่ลูกค้าจะเสียความรู้สึก”
      
       ทั้งนี้ เขายังมองว่า ธุรกิจติ่มซำแบบ เข่งละ 15 บาท จะได้รับความนิยมต่อไป เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการสูง โดยแผนธุรกิจของเขา จะเน้นออกเมนูใหม่ๆ สม่ำเสมอ เน้นของทะเลมากขึ้น เพราะผู้บริโภคเริ่มเบื่อเนื้อหมู นอกจากนั้น ยังมีแผนเปิดร้านใหม่ สำหรับขายติ่มซำโดยเฉพาะอีกด้วย
      
       *********************
      
       โทร.0-1819-0482

Read More...


‘Inthanin’ ร้านกาแฟในปั๊มบางจาก ชูแฟรนไชส์การันตีความสำเร็จ

       ร้านกาแฟเป็นอีกหนึ่งธุรกิจในฝันของ ใครหลายคน แต่ในยุคเศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ การจะลงทุน ความเชื่อมั่นถึงความสำเร็จ บวกความเสี่ยงต่ำ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจ ฉะนั้น เมื่อ “บางจาก” บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของไทย พัฒนาร้านกาแฟ รูปแบบแฟรนไชส์ ในชื่อ “อินทนิล” (Inthanin) จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในการลงทุน
       

       ยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้อำนวยการอาวุโส สายตลาดค้าปลีก บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ผู้รับผิดชอบโครงการแฟรนไชส์ร้านกาแฟ Inthanin เผยแนวคิดการเปิดแฟรนไชส์ ว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ เข้ามาในปั๊มน้ำมัน ไม่ได้เติมน้ำมันเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการใช้บริการอื่นๆ หนึ่งในนั้น คือ ดื่มกาแฟ ซึ่งแต่เดิมปั๊มบางจากแต่ละแห่ง จะมีร้านกาแฟแต่ละยี่ห้อ แต่ละรูปแบบให้บริการแตกต่างกันไป ฉะนั้น เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของปั๊มบางจาก จึงเกิดแนวคิดสร้างร้านกาแฟแบรนด์ของตัวเอง
ยอดพจน์ วงศ์รักมิตร
       “การออกแบบร้าน เราทำการวิจัยและพัฒนา เก็บข้อมูลจากคู่แข่ง ร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันต่างๆ และในห้างสรรพสินค้า ทั้งในและต่างประเทศ ใช้เวลากว่า 6 เดือน จนได้บทสรุปเป็นร้านที่เน้นบรรยากาศอบอุ่นและร่มรื่น ส่วนความชำนาญในเชิงธุรกิจกาแฟ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัท กอจาก จำกัด ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการผลิตสูตร และเมล็ดพันธุ์กาแฟมากว่า 10 ปี โดยวัตถุดิบเมล็ดกาแฟที่ใช้ในร้าน เป็นพันธุ์อาราบิก้า ทั้งหมดปลูกภายในประเทศจากดอยคำ เป็นผลิตภัณฑ์ในโครงการหลวง ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมอาชีพคนไทย สอดคล้องกับแนวคิดของบางจากที่ต้องการให้แฟรนไชส์นี้ เป็นของคนไทย เพื่อคนไทย”
       

       จุดเด่นประการสำคัญของ Inthanin คือ ความน่าเชื่อถือของแฟรนไชส์ ผู้ลงทุนสามารถเชื่อใจในความสำเร็จได้สูง เนื่องจากธุรกิจนี้ จุดประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมแบรนด์บางจากมากกว่าเน้นผลตัวเงิน เพราะ มูลค่ารายได้รวมของบริษัทฯ บางจากต่อปีกว่า 90,000 ล้านบาท มาจากส่วนแฟรนไชส์ แค่เกือบ 10 ล้านบาท ดังนั้น ทางบริษัทฯ ไม่คิดนำชื่อเสียงมาเสียกับการเปิดขายแฟรนไชส์ ฉะนั้น ทุกสาขาที่เปิด ต้องพยายามผลักดันให้ได้มาตรฐานเดียวกัน และประสบความสำเร็จครบทั้งหมด
      
       ผู้อำนวยการอาวุโส อธิบายต่อว่า ร้านกาแฟ Inthanin วางแผนการตลาดในปีแรก คือ การแจ้งเกิด โดยเปิดสาขาแรก ที่เจริญนคร เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2548 ถึงขณะนี้ รวมแล้ว มี 31 สาขา อยู่ในปั๊มบางจากพื้นที่กรุงเทพฯ และใกล้เคียง ส่วนแผนตลาดในปีนี้ (2550) คือ การตอกย้ำแบรนด์ โดยเป้าจะขยายเพิ่มอีก 15-20 สาขา แบ่งเป็นขยายภายในปั๊มบางจาก พื้นที่กรุงเทพฯ และเขตล้อมรอบ ประมาณ 15 จุด และนอกปั๊มบางจาก อีก 5 จุด
       “ปีนี้วางเป้าแค่ 15 สาขา เนื่องจากปั๊มที่เราเลือกนำเสนอให้แฟรนไชซี จะคัดเฉพาะปั๊มที่มียอดขายน้ำมันสูง เดือนละ 300,000 – 700,000 ลิตร มีรถเข้าใช้บริการวันละ 500-1,000 คัน เป็นการการันตีว่า แฟรนไชส์ต้องประสบความสำเร็จแน่ ๆ ซึ่งปั๊มบางจากในพื้นที่กรุงเทพฯ และเขตรอบ จำนวนทั้งหมดประมาณ 200 สาขา มียอดขายระดับนี้ แค่ประมาณ 15 สาขา ส่วนการขยายนอกปั๊ม 5 จุดนั้น เกิดจากเสียงเรียกร้องของผู้อยากลงทุน ผ่านมาทางทีมตรวจสอบของเรา เนื่องจากเรามีข้อจำกัดด้านพื้นที่ แต่ถ้าเขามีพื้นที่น่าสนใจจริงๆ เหมาะสมกับแบรนด์ Inthanin เช่น ในห้างฯ หรืออาคาร พร้อมจะทำตามกติกาของแฟรนไชส์ เราก็พร้อมเปิดโอกาสตรงนี้ไว้ให้”
       

       ยอดพจน์ เสริมว่า รายรับจากส่วนแฟรนไชส์เข้าบริษัทฯ ในปี 2549 อยู่ที่ประมาณ 7 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 แผนตลาดจะเข้าสู่การขยายสาขาให้กว้างขึ้น สู่ปั๊มบางจากทั่วประเทศ ซึ่งเวลานี้มีอยู่ 560 แห่ง โดยมั่นใจว่า จากการขยายสาขาในปี 2549 ต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2550 จะทำให้แบรนด์เข้มแข็ง ผู้บริโภคจดจำได้ ส่งให้เมื่อถึงสิ้นปี 2551 จะมีแฟรนไชส์ Inthanin รวมแล้วกว่า 100 สาขา สอดรับไปกับแนวทางการปรับโฉมปั๊มบางจากทั่วประเทศ เพื่อสร้างแบรนด์ให้มีความสดใส และทันสมัยมากขึ้น สำหรับตอบสนองคนรุ่นใหม่
      
       ในด้านการลงทุนแฟรนไชส์ Inthanin แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ 25 ตารางเมตร , 35 ตารางเมตร และ 50 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 500,000 – 900,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน คาดคืนทุนภายใน 3 ปี โดย 31 สาขาที่เปิดมา จำนวน 25 สาขา ประสบความสำเร็จสูง มียอดขายต่อเดือน 60,000 – 130,000 บาท มีลูกค้าเข้าร้านวันละ 50-60 คน ต่อคนใช้จ่ายประมาณ 100 บาท ขณะที่อีก 6 สาขา ยอดขาย 45,000 – 60,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่บริษัทฯ กำหนดไว้เล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นล้มเหลว ซึ่งบริษัทฯ กำลังช่วยเสริมการตลาด และให้คำปรึกษา เพื่อกระตุ้นยอดขายต่อไป
       ผู้อำนวยการอาวุโสฯ เผยถึงแผนส่งเสริมการตลาดให้แฟรนไชซีในปีนี้ วางงบไว้จำนวน 2 ล้านบาท ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น จัดโปรโมชั่น 2 เดือนแรกสำหรับเปิดสาขาใหม่ การจัดอบรมพนักงาน มอบคูปองสะสมไว้เติมน้ำมันปั๊มบางจาก คูปองส่วนลดในร้าน และออกงานแสดงสินค้าแนะนำแบรนด์ ปีละ 2 ครั้ง เป็นต้น นอกจากนั้น ได้หาสินค้าอื่นๆ เข้ามาเป็นพันธมิตรขายในร้าน ล่าสุด คือ ไส้กรอกอีซี่
      
       สำหรับเครื่องดื่มในแฟรนไชส์ Inthanin แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ กาแฟร้อน กาแฟเย็น น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มอื่นๆ ส่วนหมวดอาหารว่าง มี 3 ประเภท คือ วาฟเฟิ้ล ขนมปังปิ้ง และโรตี รวมทั้งหมดมีกว่า 30 รายการ ราคาอยู่ระดับกลาง เช่น กาแฟ แก้วละ 35-45 บาท โดยเฉลี่ยแฟรนไชซี่จะมีกำไรจากยอดขายต่อหน่วยประมาณ 50%
       

       ยอดพจน์ ทิ้งท้ายว่า จากการสำรวจตลาดธุรกิจร้านกาแฟ ในปีที่แล้ว มีอัตราการเติบโต 10-15% และในปีนี้ แนวโน้มจะเติบโตในระดับใกล้เคียงเดิม อีกทั้ง พฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยทุกวันนี้ การดื่มกาแฟกลายเป็นวัฒนธรรมที่แทรกเข้าอยู่ในชีวิตประจำวันแล้ว ดังนั้น จึงมั่นใจว่า ธุรกิจร้านกาแฟตลาดยังไม่อิ่มตัว และไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจแฟชั่นที่มาเร็วไปเร็ว
      
       ส่วนผู้ที่จะประสบความสำเร็จในแฟรนไชส์ Inthanin คุณสมบัติสำคัญที่สุด ต้องรักงานบริการ ตามด้วยมีความตั้งใจจริง ยอมรับที่จะทำตามกฎระเบียบของแฟรนไชส์ได้ และมีเงินทุนประมาณ 1 ล้านบาท รวมถึง มีพนักงานขายหน้าร้าน ที่สามารถบริการลูกค้า ได้ประทับใจ
       

       *********************
      
       
ตารางลงทุนแฟรนไชส์ร้านกาแฟ Inthanin
*Franchise Fees 60,000 บาท / สัญญา 3 ปี
*Royalty Fees 20,000 บาท / ปี
*ค่าสิทธิรายเดือน (ขึ้นกับขนาดร้าน)
-25 ตารางเมตร 7,500 บาท/เดือน
-35 ตารางเมตร 8,000 บาท/เดือน
-50 ตารางเมตร8,500 บาท/เดือน
*ส่วนแบ่งรายได้ 5% ของยอดขายที่เกิน 60,000 บาท/เดือน และเพิ่ม 1% ทุกๆ 10,000 บาท
*เงินลงทุนเริ่มต้น 500,000 – 900,000 บาท (ขึ้นกับขนาดร้าน)

      
       ***********************
      
       โทร.0-2335-4219 , 081-848-5606 หรือ www.bangchak.co.th

Read More...


“Great Steak” สเต็กริมทางเซ็ตระบบสร้างอาชีพเสริม

       สเต็กอาหารที่เสิร์ฟอยู่บนโรงแรม หรือร้านอาหารชั้นนำมาเป็นเวลานาน แต่เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา สามารถหาสเต็กรับประทานกันได้ทั่วไปทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ริมถนน สเต็กราคาถูกที่เริ่มต้นที่ 49 บาท กลายเป็นอาหารหลักอีกมื้อหนึ่งคนไทยไปแล้ว และการแข่งขันในตลาดของสเต็กราคาถูกเริ่มต้นขึ้น เพราะมีผู้สนใจเข้าสู่ตลาดนี้กันมากขึ้น ทั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ
       สำหรับ Great Steak & Grill ของนายสาธิต เอื่ยมพิกุล เจ้าของกิจการอาหารแช่แข็งประเภท เนื้อสุกร เนื้อโคขุน เนื้อปลาแซลมอน บาร์บีคิว ขาหมูเยอรมัน ซี่โครงอ่อนบาร์บีคิว ไส้กรอกเยอรมัน ฯลฯ และที่มาของร้านสเต็กเกิดมาจากนายสาธิตต้องการขยายกิจการสินค้าแช่แข็งทำ อยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่นำมาทำสเต็กอยู่แล้ว และการเปิดร้านสเต็กจะเป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยกระจายสินค้าให้กว้างขึ้น เพราะที่ผ่านมาได้เคยเปิดร้านหมูกะทะอยู่แล้วแห่งหนึ่งในย่านประชานิเวศน์
      
       ในส่วนของ Great Steak & Grill เปิดขึ้น มาโดยต้องการหาผู้ร่วมธุรกิจ ที่ไม่ใช่ลักษณะแฟรนไชส์ แต่เป็นการขายแนวคิด คอนเซ็ปต์ และขายตัววัตถุดิบที่ได้มีการทำขึ้นมาสำเร็จรูป ไม่ว่าจะ เป็นการหมักเนื้อสัตว์ การสไลด์ให้เนื้อ หมู ปลา ทุกชิ้นให้มีขนาดเท่ากัน การเตรียมน้ำราดสำเร็จรูปให้ โดยผู้ที่สนใจที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจมาเรียนรู้ขั้นตอนและเคล็ดลับบางอย่าง สามารถเปิดร้านสเต็กได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายค่าเรียน หรือ ค่าแฟรนไชส์ เพียงแค่สั่งซื้อวัตถุดิบ
       “ทั้งนี้ ที่เราไม่เปิดขายในลักษณะของแฟรนไชส์ เนื่องจากเราเองเปิดร้าน Great Steak & Grill เพียงแค่ 1-2 เดือน เท่านั้น และไม่มีความรู้เรื่องของแฟรนไชส์เพียงพอ และเพื่อเปิดโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการจะมีร้านสักร้านที่เป็นรูปแบบของตัว เอง และเป็นการส่งเสริมให้กับผู้ที่ต้องการจะมีอาชีพไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่อจ่ายค่าแฟรนไชส์ โดยไม่รู้ว่ากิจการของตนเองจะไปได้หรือไม่”
       

       สำหรับรูปแบบร้านสเต็ก Great Steak & Grill ได้มีการวางระบบโดยที่เจ้าของไม่จำเป็นต้องมาอยู่เฝ้าหน้าร้าน และทุกอย่างถูกควบคุมไว้แล้วด้วยระบบที่ได้มีการเซ็ตขึ้นมา เหมาะสำหรับผู้ที่มีงานประจำและต้องการหารายได้เสริมหรือ เป็นแนวทางก่อนที่จะตัดสินใจลาออกจากงาประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว และที่สำคัญเป็นการเปิดร้านอาหารโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพ่อครัวหรือแม่ครัว ที่มีฝีมือ ทุกอย่างทำออกมาสำเร็จรูปให้เจ้าของสามารถเช็คได้ เพียงแค่ฝึกผู้ช่วยขึ้นมาก็เปิดร้านได้เลย
       นายสาธิต เล่าว่า สเต็กของ Great Steak & Grill ราคาเริ่มต้นที่ 39 บาท เป็นชุดสลัด และสูงสุด 99 บาท สเต็กปลา ส่วนสเต็กหมูทั่วไปอยู่ที่จานละ 59 บาท สเต็กไก่ จานละ 49 บาท ถ้าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ทำสเต็กในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ราคาของเราจะสูงกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบน้ำหนักจะมากกว่า หรือความนุ่มของเนื้อจะมีความนุ่มกว่า จึงมั่นใจว่าผู้ร่วมธุรกิจกับเราจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่าง แน่นอน
      
       สำหรับร้าน Great Steak & Grill เปิดมา 1- 2 เดือน ผลตอบรับออกค่อนข้างดี ซึ่งสามารถขายได้วันละสูงสุดประมาณ 6,000 บาทถึง 7,000 บาท โดยร้านเปิดอยู่ในตลาดหลังกระทรวงการคลังได้ลูกค้ากลุ่มข้าราชการ และพนักงานในย่านใกล้เคียง ซึ่งขายได้เฉพาะช่วงพักเที่ยงและตอนเย็นมีกลุ่มนักเรียนที่มาเรียนพิเศษใน ย่านนั้น ดังนั้นวันหนึ่งขายได้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง
       ส่วนโอกาสคืนทุนของการเปิดร้านสเต็กขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งว่ามี กลุ่มลูกค้าจำนวนมากน้อยเพียงใด ทำเลที่เหมาะสมเป็นย่านสถาบันการศึกษา ย่านออฟฟิศ สำนักงาน ส่วนผลตอบแทนกำไรเมื่อหักต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 40-45% แม้ว่าราคาหมูซึ่งเป็นวัตถุดิบมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นสเต็กจากร้านเราก็ยังสามารถทำกำไรได้ในระดับเท่าเดิม เพราะเป็นผู้ค้าส่งวัตถุดิบสามารถทำราคาได้
      
       "โดยสูตรสเต็กของ Great Steak & Grill เป็นสูตรที่มาจากประสบการณ์ของตัวเอง และอาศัยความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพและเป็นตัวแทนขายส่ง วัตถุดิบอยู่แล้ว ทำให้ได้สเต็กแตกต่างจากรายอื่นๆในราคาที่ไม่แพงมาก การลงทุนเปิดร้านสเต็กในครั้งนี้ จะต้องใช้เงินขั้นต่ำประมาณ 30,000 บาท ใช้พื้นที่ 30 ตารางเมตร สำหรับ 40ที่นั่ง"
       การจัดส่งทางบริษัทจะจัดส่งให้ฟรีเฉพาะในกรุงเทพฯ และต้องสั่งสินค้าขั้นต่ำ 10,000 บาท ส่วนในต่างจังหวัดผู้ซื้อต้องเสียค่าจัดส่งเอง โดยวัตถุดิบจะต้องเก็บไว้ในอุณหภูมิเยือกแข็ง -20 องศาเซลเซียส สามารถเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน ถ้าต้องการใช้ชื่อร้าน Great Steak & Grill ต้องใช้วัตถุดิบหลักที่ทางบริษัทมีจำหน่าย ยกเว้นกรณีที่บริษัทไม่สามารถหาของให้ได้เกิน 14 วัน
      
       สนใจโทร. 081-869-3013
       


Read More...


'i-frezh' ไอศกรีมโยเกิร์ต แฟรนไชส์รับลมร้อน

ธารทิพย์ ศุขสายชล (คนกลาง) เจ้าของธุรกิจ
       อุณหภูมิที่ร้อนระอุในช่วงเดือน เมษายน ที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกปี อาหารและเครื่องดื่มช่วยดับร้อนในช่วงเดือนเมษายน คงไม่พ้นไอศกรีมเย็น และสำหรับคนรักษ์สุขภาพปัจจุบันมีไอศกรีมเพื่อสุขภาพอย่างไอศกรีมโยเกิร์ต เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ให้สาวที่ห่วงใยเรื่องรูปร่างได้ทานไอศกรีมในเพื่อดับร้อนกันแบบไม่ต้องกลัว เรื่องไขมันส่วนเกิน
ไอศกรีมถ้วยขนาดปกติ 36 บาท
       สำหรับไอศกรีมโยเกิร์ตจัดเป็นไอศกรีมประเภท soft serve ที่ต้องกดไอศกรีมออกมาจากเครื่อง ซึ่งไอศกรีมในกลุ่ม soft serve เมืองไทยไม่ค่อยแพร่หลายเหมือนกับกับไอศกรีมประเภท hard serve หรือไอศกรีมตักที่สามารถหาซื้อทานได้ทั่วไป ส่วนจุดขายของไอศกรีมโยเกิร์ตอยู่ที่ส่วนผสมของโยเกิร์ตที่เป็นส่วนผสมหลัก ในไอศกรีม ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในต่างประเทศ เพราะด้วยคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพของโยเกิร์ต ส่งผลให้ไอศกรีมโยเกิร์ตได้รับความนิยมไปด้วยเช่นกัน
     
       ส่วนตลาดไอศกรีมโยเกิร์ตในประเทศไทยเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะมีผู้ผลิตไอศกรีมโยเกิร์ตออกจำหน่ายทั้งที่เป็นแบรนด์ในประเทศและแบ รนด์จากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์จากประเทศเกาหลีเปิดตัวให้เห็นกันได้ทั่วไปในย่าน ธุรกิจ และสำหรับไอศกรีมโยเกิร์ตแบรนด์คนไทยที่คุ้นหน้าคุ้นตากัน ก็คงจะเป็นแบรนด์ i-frezh ที่มี ธารทิพย์ ศุขสายชล เจ้าของที่พลิกผันตัวเอง จากการทำงานให้กับบริษัทชื่อดังด้านการส่งออกมาทำกิจการของตนเอง โดยเลือกทำไอศกรีมโยเกิร์ตด้วยเหตุผล เพราะเป็นธุรกิจอาหารที่ยังมีช่องว่าง เนื่องจากยังถือได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับตลาดเมืองไทย
ท็อปปิ้ง ผลไม้ชนิดต่างๆ ในตู้แช่
       ธารทิพย์ เล่าว่า ได้เริ่มเปิดตัวไอศกรีมโยเกิร์ต i-frezh เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยการออกงานแสดงสินค้า พร้อมกับเปิดตัวแฟรนไชส์ของ i-frezh ในงานซึ่งมีผู้ให้ความสนใจค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีผู้สนใจและซื้อแฟรนไชส์ พร้อมที่จะเปิดให้บริการจำนวน 10 สาขา และที่เลือกขยายสาขาในรูปของแฟรนไชส์ เพราะเล็งเห็นว่าตลาดยังมีช่องว่างอีกมากสำหรับตัวไอศกรีมโยเกิร์ต จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ และที่สำคัญเราต้องการจะทำหน้าที่ในการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อซัพพร็อตเรื่องการตลาดและต้องการจะทุ่มเทเวลาไปกับการสร้างแบ รนด์i-frezh ให้แข็งแรง
     
       สำหรับลักษณะของไอศกรีมโยเกิร์ต เป็นไอศกรีมที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตสูตรไร้ไขมัน โดยการนำเข้าผงโยเกิร์ตจากประเทศอิตาลี และมีส่วนผสมของนมสด มีการตกแต่งหน้าด้วยผลไม้สดและอื่นๆ และผลไม้ตามฤดูกาล สูตรในการทำไอศกรีมเป็นสูตรที่ได้ศึกษามาจากผู้เชี่ยวชาญในการทำไอศกรีม โยเกิร์ตในประเทศอิตาลี ซึ่งได้ทำการซื้อสูตรมาและนำมาปรับบางส่วนให้เหมาะสมกับรสชาติที่คนไทยชื่น ชอบ
       ในส่วนกลุ่มลูกค้าได้ทุกกลุ่มเป็นคนรุ่นใหม่ที่รักษ์ห่วงใยในสุขภาพ ปัจจุบันร้านต้นแบบอยู่ที่สีลม ลักษณะ Shop in Shop ขายคนทำงานในย่านนั้น ราคาใกล้เคียงกับไอศกรีมพรีเมียม ราคาถ้วยละ 36 บาท ไปจนถึง 49 บาท แผนการขยายสาขาในปีนี้ ตั้งเป้าขยาย 30-50 สาขา ทั่วประเทศในรูปของแฟรนไชส์ และในปีนี้ บริษัทมีแผนจะขยายสาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนาม ที่เมืองโฮจิมิน และฮานอย และประเทศพม่า ด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำข้อตกลง
       รูปแบบของร้านสาขาแฟรนไชส์ มี 4 แบบให้ลูกค้าได้เลือกได้แก่ Shop in Shop รูปแบบร้านขนาดเล็กที่สามารถเปิดให้บริการได้ในร้านค้าอื่นๆ อาทิ ร้านอาหาร ร้านค้าปลีก ร้านกาแฟ Stand Alone Shop รูปแบบนี้จะต้องใช้พื้นที่ตั้งแต่ 10 ตารางเมตร จนถึง 50 ตารางเมตร มีไอศกรีม เบเกอรี่ กาแฟ และการให้บริการอินเตอร์เน็ต Kiosk ร้านขนาดเล็กที่ต้องการพื้นที่ 4-6 ตารางเมตร เพื่อวางอุปกรณ์ และรูปแบบสุดท้ายเป็นรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ
       ส่วนราคาค่าแฟรนไชส์ เริ่มต้น 300,000 บาท ไปจนถึง 650,000 บาท ผลิตภัณฑ์ที่ทางลูกค้าต้องซื้อจาก i-frezh เท่านั้น มีวัตถุดิบ 3 ตัวหลัก หรือ ผงโยเกิร์ต นมสด และถ้วย เพราะต้องใช้ถ้วยที่มีตรายี่ห้อของ i-frezh เท่านั้น ระยะเวลาในการคืนทุนขึ้นอยู่กับทำเล ค่าเช่าสถานที่ และจำนวนลูกค้า ส่วนผลตอบแทนขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการด้วย โดยแบ่งเป็นต้นทุนวัตถุดิบไม่รวมค่าเช่าค่าบริหารจัดการประมาณ 40% รวมค่าบริหารจัดการอยู่ที่ประมาณ 60-70% เหลือผลตอบแทนกำไรประมาณ 30-40%
       

Read More...


'Thai Zaa' พลิกโฉมน้ำดื่มไทยให้โดน !

       น้ำ ซ่าหรือน้ำอัดลมโบราณ ได้ห่างหายจากสังคมมานานนับ 10 ปี อาจเรียกได้ว่าเป็นสินค้าที่ตายไปจากตลาดแล้วก็ได้ เพราะปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ยังทำน้ำซ่าเหลืออยู่เพียง 5 รายเท่านั้น
      
       เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องเลิกกิจการไป เพราะเป็นสินค้าไม่ได้รับความนิยมเมื่อเทียบกับน้ำอัดลมจากต่างประเทศหรือใน ประเทศรายใหญ่ ราคาสินค้าต่ำมากขายได้เต็มที่ก็ 3-5 บาทต่อแก้วเท่านั้น จึงทำให้ไม่มีทายาทเข้ามาสืบทอด
วิธาน ศิริเบญจวรรณ
       แต่สำหรับ "วิธาน ศิริเบญจวรรณ" เจ้าของแบรนด์ "วาสนาน้ำโบราณ" หรือใช้ภาษาอังกฤษว่า Thai Zaa (ไทยซ่า) เป็นหนึ่งในรายที่เหลือที่นำน้ำซ่าหรือน้ำอัดลมโบราณของไทยขึ้นมาปัดฝุ่น เคาะสนิมกันใหม่
      
       ความน่าสนใจอยู่ที่ว่าเพราะเหตุใด ที่นักธุรกิจที่ประสบวิกฤติเศรษฐกิจเป็น NPL และเกือบถูกฟ้องล้มละลาย กลับมาหยิบสินค้าที่กำลังตายไปจากตลาด ที่เขาบอกว่ามีโอกาสนั้นคืออะไร และทำอย่างไร ?
      
       สิ่งสำคัญเขาเชื่อมั่นในระบบแฟรนไชส์ที่จะช่วยสร้างเครือข่าย โดยนำจุดดีมาใช้ ปรับจุดอ่อนให้เหมาะกับสภาพการลงทุนในไทย และล่าสุด เตรียมรีโนเวทธุรกิจใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ภาพลักษณ์ แพคเกจจิ้ง ฯลฯ เพื่อนำน้ำอัดลมโบราณเจาะกลุ่มวัยรุ่นและโกอินเตอร์
      
       *** ฟื้นโปรดักส์โบราณ ชูสุขภาพเจาะวัยโจ๋ ***
       

       เขา บอกกับว่า โอกาสที่เขาเห็นคือโปรดักส์ น้ำหวานรสซ่าอย่างไรก็ต้องคู่กับประเทศเมืองร้อนอย่างไทย และการรับรู้ก็มีแม้อาจจะน้อยนิดหรือรู้เฉพาะคนรุ่นเก่าเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสในการสร้างการรับรู้โดยเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ โจทย์ที่ท้าทายคือทำอย่างไรให้ “โดน” คนกลุ่มนี้
      
       โดยชูเรื่องคุณภาพ สุขภาพ ให้เห็นจับต้องได้ อย่างแรกที่ทำคือ การพัฒนาวัตถุดิบใหม่ทั้งหมด มุ่งเน้นวัตถุดิบที่ได้คุณภาพ ผ่านการรับรององค์การอาหารและยา (อย.) อุปกรณ์ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งวัตถุดิบคุณภาพที่ใช้จะเห็นว่าสารให้ความหวานทั่วไปจะใช้น้ำตาลและขัน ฑตสกรณ์
      
       แต่เขาใช้น้ำตาลฟรุตโตส หรือน้ำตาลจากผลไม้ ซึ่งประโยชน์คือร่างกายามารถดูดซับได้เร็วในกระแสเลือด ทำให้เกิดความสดชื่นหลังการดื่มได้ทันที อีกทั้งฟรุตโตสไม่สะสมคอเรสเตอรอล ไม่สะสมไขมัน เหมาะกับผู้ควบคุมน้ำหนักและผู้ป่วยเบาหวาน
ขั้นตอนอัดลม เอกลักษณ์ของน้ำซ่าไทย
       และบอกต่อไปว่า ไม่เพียงเท่านั้นการจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จนอกจากโอกาสที่เล็ง เห็นแล้ว ต้องมีกลยุทธ์ โดยการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็ง คู่แข่งขั้น และโอกาสธุรกิจในอนาคต โดยอธิบายคร่าวๆ ถึงหลักการทำธุรกิจของวาสนาน้ำโบราณว่า
      
       จุดอ่อนเนื่องจากเป็นผู้เล่นรายใหม่ในตลาดจะต้องกระตุ้นตลาดอย่างไร ? โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นคนรุ่นใหม่ จุดแข็งสินค้าเหมาะกับประเทศเมืองร้อน นำเสนออย่างไรให้เกิดการยอมรับ ขณะที่คู่แข่งโดยตรงเหลือไม่มาก แต่คู่แข่งทางอ้อมอย่างน้ำอัดลมแบรนด์นอกหรือแบรนด์ไทยบางยี่ห้อ จะไม่ชูเรื่องสุขภาพเมื่อเทียบกับวาสนาน้ำโบราณที่ใช้น้ำตาลฟรุตโตส
      
       "น้ำอัดลมโบราณ ไม่ใช่ว่าตลาดไม่รู้จักแต่ที่ล้มหายไปก็เพราะเหตุข้างต้นที่กล่าวมาทำให้คน รุ่นหลังไม่สืบทอดกิจการ รู้สึกเป็นภาระมากกว่าจะทำกำไรหนีไปทำธุรกิจอื่นกันหมด แต่เรามองยังมีจุดขายเพียบแต่ต้องทำการบ้านอย่างหนักว่านำเสนออย่างไรถูกใจ ผู้บริโภค โดยมองความต้องการก่อนจะทำอะไร ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าเขาต้องการอะไร"
      
       ***รีโนเวตธุรกิจ นำจุดอ่อน-แข็งระบบนอกปรับใช้***
      
       ทุกวันนี้จะเห็นวาสนาน้ำโบราณหรือไทยซ่า มากกว่า 100 สาขา ซุ้มรูปลักษณ์ไทยๆ ขยายตามทำเลแหล่งชุมชม และงานแฟร์ ออกร้านต่างๆ ซึ่งวิธาน เชื่อว่า การสร้างการรับรู้ในวงกว้าง การขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ทำอย่างไรที่จะนำระบบแฟรนไชส์จากต่างประเทศโดยเฉพาะจากอเมริกานั้นนำมา ปรับใช้ให้เหมาะกับสังคมการลงทุนในไทย
      
       "ผมศึกษารูปแบบการลงทุนแบบแฟรนไชส์มานานตั้งแต่เริ่มธุรกิจ แต่พอจะนำมาใช้จริงเราพบจุดอ่อนที่ไม่เหมาะกับการลงทุนในไทยอยู่มาก เพราะส่วนใหญ่ไม่เข้าใจค่าฟี มาร์เก็ตติ้งฟี รอยัลตี้ฟี เราจึงนำมาปรับใช้ด้วยด้วยนำจุดเด่น และจุดอ่อนมาปรับให้เหมาะ"
      
       วิธาน บอกว่า จุดแข็งที่ระบบแฟรนไชส์ต่างประเทศเข้มแข็งนั้นคือเรื่องระบบและแบรนด์ ระบบนั้นต้องทำตามที่แฟรนไชซอร์วางไว้ ทั้งการปฏิบัติงาน การแต่งกาย ขั้นตอนการทำ การควบคุมคุณภาพสินค้ามาตรฐานเดียวกันทุกแก้ว ฯลฯ
      
       ส่วนแบรนด์ นั้น เขาให้นิยามว่า คือประสบการณ์ของผู้บริโภคในการเรียนรู้โปรดักส์ ทั้งวิธีการบริโภค รสชาติ หาดื่มได้ที่ไหน เพราะหากผู้บริโภครู้มากเท่าไหร่นั้นแสดงถึงความเข้มแข็งของแบรนด์
      
       ซึ่งจุดแข็งนี้ วิธานมุ่งมั่น แต่ยอมรับว่าความล้มเหลวก็มีเกิดขึ้นเช่นกันซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 30% ทำให้ขณะนี้เขาได้ชะลอการขายแฟรนไชส์รายใหม่คงที่ 100 กว่าสาขาเท่าเดิม หากมีรายใหม่เกิดขึ้นเขาจะพิจารณาสูงมากให้ความสำคัญกับความตั้งใจและมุ่ง มั่นของผู้เข้ามาลงทุนมีการทดสอบมากมาย
      
       เขายอมรับว่ากับเม็ดเงินการลงทุนกับวาสนาน้ำโบราณเพียง 39,000 บาท ย่อมเป็นตัวเลขที่ดึงคนทุกกลุ่มเข้ามาลงทุนได้ง่าย และมีอุปกรณ์ให้ยืมไม่ต้องจ่ายค่ารอยัลตี้ฟี มาร์เก็ตติ้งฟี ยิ่งทำให้การสกรีนผู้ลงทุนต้องเข้มงวดยิ่งขึ้น
      
       วิธาน เล่าต่อไปอีกว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการรีโนเวทวาสนาน้ำโบราณใหม่ทั้งหมด โดยวางคอนเซ็ปต์เป็นร้านเครื่องดื่มสำหรับวัยรุ่น ที่จะตั้งตามทำเลที่มีวัยรุ่นและชุมชนใหญ่ ทั้งการตกแต่งร้าน แพกเกจจิ้ง การน้ำเสนอจากที่ผ่านมาเครื่องอัดออกซิเจน ที่ทำให้เกิดความซ่ารูปทรงจรวด ก็เปลี่ยนมีหน้าตาที่ทันสมัย น้ำหวานจากโถแก้วทรงโบราณ ก็อยู่ในหลอดรูปทรงทันสมัย
      
       "ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนา คาดจะสามารถเปิดตัวได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งได้มีการวางคอนเซ็ปต์ไปแล้วนั้น โปรดักส์ก็ต้องมีความหลากหลายขึ้น โดยวัตถุดิบนั้นได้มีการคิดค้นสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้น สามารถนำไปใช้กับเครื่องดื่มหลากหลายประเภท หรือใช้ประกอบอาหารของว่างต่างๆ เช่น ลักษณะราดลงหน้าอาหารของว่างจานนั้นๆ"
บูท "วาสานาน้ำโบราณ" กับเครื่องอัดลมรูปจรวดที่คุ้นตา
       เขา บอกว่า หากการรีโนเวทนี้ลงตัว พร้อมที่จะขายเป็นระบบแฟรนไชส์ราคาการลงทุนที่ระดับแสนบาทขึ้นไป ขณะเดียวกันจะชะลอแฟรนไชส์รูปแบบเดิมคงไว้ที่ 100 กว่าสาขา และพัฒนาร้านเหล่านี้เติบโตตามไปด้วยในหลายช่องทางเช่นการขยับเข้าสู่ แฟรนไชส์รูปแบบใหม่ หรือคงการลงทุนแบบเดิมแต่เพิ่มช่องทางการจำหน่ายเช่น หารายได้จากการออกงานต่างๆ หรือในงานรับจัดเลี้ยงเป็นต้น
      
       ***ผนึก 3 องค์กร สร้างนวัตกรรมใหม่***
      
       วิธาน บอกว่า การที่จะสร้างธุรกิจให้ยั่งยืนต้องไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งขณะนี้เขาได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ทำการวิจัยโปรดักส์ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่จะนำไปใช้กับโปรดักส์ในหลายตัวไม่ว่า จะเป็นเครื่องดื่มรสซ่า สมูทตี้ หรือใช้ราดกับอาหารว่างจานนั้นๆ
      
       ทั้งนี้นวัตกรรมโปรดักส์ดังกล่าวจะเป็นการต่อยอดโปรดักส์เดิมที่มี อยู่ให้เกิดความหลากหลาย และเกิดโปรดักส์ใหม่ๆ ด้วยวัตถุดิบที่คิดค้นขึ้น
      
       ขณะเดียวกันการส่งเสริมของหน่วยงานดังกล่าว ยังนำกลุ่มผู้ประกอบการไปดูงานยังต่างๆ ประเทศ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ซึ่งวิธาน บอกว่าเป็นการให้ประสบการณ์อย่างมากในการนำมาใช้กับการทำธุรกิจในประเทศ จะเห็นได้ว่าในงานที่เกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม ของต่างประเทศโยเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้านนั้นวัตถุดิบสำคัญคือผลไม้ ซึ่งถ้าหากผู้ประกอบการไทยนำมาปรับใช้จะได้ประโยชน์และได้เปรียบอย่างมาก ด้วยความหลากหลายชนิดของผลไม้ และปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ต่างๆ มากขึ้น
      
       วิธาน กล่าวว่า สำหรับวาสนาน้ำโบราณหรือไทยซ่านั้น เมื่อมีการรีโนเวทใหม่จะมีการนำนวัตกรรมวัตถุดิบนี้นำไปใช้กับโปรดักส์ใน ร้านด้วย ซึ่งเมื่อวันนั้นมาถึงจะสามารถเป็นแฟรนไชส์ที่เต็มรูปแบบทั้งระบบ แบรนด์ ความหลากหลายของโปรดักส์
      
       และมองถึงอนาคตภายภาคหน้าที่จะ น้ำอัดลมโบราณก้าวไกลถึงต่างประเทศ เพราะเชื่อมั่นกลยุทธ์ Blue Ocean หรือการสร้างความแตกต่างในตลาดจะสามารถใช้ได้ดีกับโปรดักส์นี้ และไม่แน่ว่าจะเห็น Thai Drink The Best ภายใน 5 ปีนี้ก็เป็นได้ !

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.