สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ติ่มซำประจำบ้าน ซาลาเปาครีมคัสตาร์ด

ผู้เขียนดีใจมากเลยค่ะ ได้รับ “คอมเมนต์” จากคุณชัยพร ชินะประยูร ผู้อ่าน M-cuisine ผ่านทาง www.facebook.com/cookoolstudio ช่วยกรุณาเเนะนำมาเกี่ยวกับ “ขนมกุยช่าย” ที่เราเรียกกันเสียติดปาก อันที่จริงเเล้วไม่ได้เรียกว่ากุยช่ายอย่างที่เราเข้าใจ กลับเรียกว่า “ไช้ก๊วย” ต่างหาก

ผู้เขียนเลยต้องทำการบ้าน ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า “กุยช่าย” หรือบางบ้านเรียกว่า “กู๋ช่าย” ที่เราคนไทยเรียกกันมาติดปากว่า “ขนม” นำหน้า อันที่จริงเเล้วเป็นอาหารคาวมีชื่อว่า “ไช้ก๊วย” หรือ “ไชก้วย” เเล้วเเต่สำเนียงนั้น เป็นอาหารที่มาจากชาวจีนเชื้อสายเเต้จิ๋ว นิยมทำเป็นรูปร่างคล้ายผลท้อ โดยแผ่แผ่นเเป้ง จับจีบเก็บไส้ให้มิด เเล้วอัดลงในพิมพ์ไม้รูปคล้ายผลท้อ เเล้วเคาะออกมาเบาๆ เรียงใส่กระดาษนึ่ง เรียกกันว่า อังคักท้อก๊วย ใช้สำหรับการไหว้เจ้าเป็นหลัก เพราะมีสีเเดงเป็นมงคล เเละเป็นรูปผลท้อสื่อถึงอายุยืนยาว ผู้เขียนไปชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชีวิตชาวจีนในสิงคโปร์ ย่านนั้นมีชาวจีนเเต้จิ๋วอาศัยอยู่เยอะ ยังพบว่ามีพิมพ์ไม้โบราณรูปร่างคล้ายผลท้อจัดเเสดงให้ชมอยู่หลายอันเลย

ไชก้วย มีไส้ที่นิยมปรุง 3 ไส้หลักๆ คือ ใบกุยช่าย หัวมันเเกว เเละหน่อไม้ ไม่เพียงเเต่ทำเพื่อไหว้เจ้า ยังนิยมทำให้สมาชิกในบ้านรับประทาน โดยห่อเป็นรูปร่างคล้าย “ตำลึงทอง” ให้สมาชิกในบ้านรับประทานในช่วงวันมงคลต่างๆ เเน่นอนว่าบรรพบุรุษชาวจีนของเราๆ ท่านๆ ได้นำเอาความรู้ในการทำอาหารชนิดนี้ติดตัวมาด้วยตั้งเเต่ยุคสมัยเสื่อผืน หมอนใบ ประยุกต์เเละเรียกผิดเพี้ยนกลายเป็น “ขนมกุยช่าย” ที่เราคนไทยเรียกกันติดปาก ด้วยน่าจะเป็นเพราะไส้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงเป็นไส้ใบกุยช่ายเป็น เเน่ ต้องขอบคุณผู้อ่านอีกครั้งที่ช่วยเเนะนำ ทำให้ผู้เขียนไปหาข้อมูลเพิ่มพูนได้อีกค่ะ


กลับมาต่อกันที่ซาลาเปาของเรา หลังจากผู้เขียนชื่นชมผลงานซาลาเปาไส้หมูสับ รสชาติคล้ายเกี๊ยวซ่า ที่สมาชิกในบ้านเเละสตูดิโอยกนิ้วให้ผ่าน นำมาเสนอให้คุณผู้อ่านไปเมื่อฉบับที่เเล้ว เลยย่ามใจอยากลองทำไส้หวานดูบ้าง ไส้หวานของซาลาเปาที่เห็นจะเป็นยอดนิยมที่สุด คงต้องยกให้ไส้ครีมที่บิออกมาเห็นสีเหลืองอ๋อยๆ ตัดกับเเป้งสีขาวดูน่ารับประทาน

ฉบับก่อนนำเสนอสูตรซาลาเปาที่ผู้เขียนดัดเเปลงมาจากสูตรของ Blogger ชาวไทย สีสันของตัวเเป้งเมื่อนึ่งออกมา ได้รับคำถามจาก “ชาวบ้าน” เเถวนี้ว่า ทำไมเเป้งถึงดูสีหม่นๆ คำตอบก็คือ เราไม่ได้ใช้เเป้งที่ผ่านการฟอกสีให้ขาวจั๊วะเเบบเเป้งซาลาเปาตามท้องตลาด ซึ่งถ้าคุณอายุเลย 30 ปีมาเยอะหน่อย คุณอาจจะคุ้นตากับซาลาเปาอร่อยๆ บางเจ้าที่มีสีคล้ำ ทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงซาลาเปาไส้ถั่วดำจากร้านโปรดสมัยเด็ก
คำถามต่อมา คือ ทำไมต้องใช้เเป้งตราบัวเเดง เเทนที่จะเป็นเเป้งถุงฟ้า ถุงเขียว หรือเเป้งที่ระบุว่าเเป้งขนมปัง เเป้งอเนกประสงค์ หรือเเป้งชนิดอื่นๆ คำตอบก็คือ การทำซาลาเปาต้องการความฟูจากการกักเก็บก๊าซที่ผลิตมาจากยีสต์ เเต่ก็ต้องการความเบานุ่ม ไม่เหนียวหรือเเข็ง นี่เองจึงเป็นที่มาว่า เเป้งที่นำมาใช้ต้องมีปริมาณโปรตีนที่พอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เเป้งที่เหมาะสมจึงอยู่ในระดับที่จัดว่าเป็น Pastry Flour คือ มีโปรตีนน้อยกว่าเเป้งอเนกประสงค์ เเต่ยังมากกว่าเเป้งเค้ก นิยมนำมาทำพวกเเพนเค้ก วาฟเฟิล สโคน บิสกิต เเป้งพาย

หากเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตในต่างประเทศ เเป้งจะถูกระบุมาเลยว่ามีปริมาณโปรตีนอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ หรือจะระบุว่าเป็นเเป้งเค้ก เเป้งเพสตรี เเป้งอเนกประสงค์ หรือเเป้งขนมปัง เเต่บ้านเราบางยี่ห้อต้องการเป็นเจ้าตลาด ครองใจผู้บริโภค จึงนำเอาสัญลักษณ์ต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้ติดปาก ง่ายต่อการเลือกซื้อ มันจึงเป็นเช่นนี้เอง เเต่ถ้าหากคุณผู้อ่านหาเเป้งที่ว่านี้ไม่ได้จริงๆ อาจารย์เชฟเคยสอนผู้เขียนไว้ว่า ให้ใช้เเป้งเค้กผสมกับเเป้งอเนกประสงค์ด้วยน้ำหนักที่เท่าๆ กันเป๊ะ เเก้ขัดไปพลางๆ ก่อนได้เลย

ทีนี้มาถึงไส้ครีมของเรา ผู้เขียนไม่กล้าพลิกเเพลงไปถึงขนาดใช้ไข่เป็ดทำ เหมือนกับซาลาเปาไส้ครีมร้านดังในฮ่องกง เเต่ขอเเอบเเฝงความเป็นฝรั่งตามที่ตัวเองเรียนมา ด้วยไส้ครีมเเบบเพสตรีครีม อาศัยกลิ่นหอมๆ ของไข่ นม น้ำตาล เเละวานิลลา กวนจนได้ที่เเล้ว ทำให้เย็นอย่างรวดเร็ว เเช่เย็นข้ามคืนไว้ เปิดตู้เย็นรุ่งขึ้นครีมคัสตาร์ดของเราจะคงตัว จนสามารถใช้ “สกู๊ป” ไอศกรีมขนาดเล็ก ตักเป็นก้อนลงมาบนเเป้งซาลาเปาได้อย่างง่ายดาย ไม่เลอะเทอะ


พอห่อไส้ซาลาเปาด้วยครีมคัสตาร์ดที่เเช่เย็นมา คุณอาจต้องพักซาลาเปาไว้นานกว่าเดิมสักหน่อย เพราะเมื่อยีสต์ในเเป้งซาลาเปาเจอความเย็นจะทำงานช้าลง เลยเป็นผลให้ซาลาเปา “ขึ้น” ช้ากว่าปกติ ผู้เขียนเลยขอถือคติคนโบราณ เขาว่าห้ามทำซาลาเปาวันฝนตกหรือตอนเย็น เชื่อว่าเป็นอุบาย เพราะเมื่ออากาศเย็นยีสต์ในเเป้งโดของซาลาเปาจะทำงานช้า อาจทำให้ซาลาเปาไม่เบาฟูอย่างที่ควรจะเป็น อีกอย่างหากซาลาเปาของเราขึ้นฟูช้าลง อาจทำให้เเบคทีเรียเจริญเร็วกว่า ซาลาเปาที่นึ่งออกมาอาจมีกลิ่นเปรี้ยวเเทน
ซาลาเปาไส้ครีมคัสตาร์ดของผู้เขียน มีที่มาจากความชอบซาลาเปานมสดที่ร้าน Bai Yun ที่โรงเเรมบันยันทรี ซาลาเปาเเป้งใสเเหนว ด้านในมีคัสตาร์ดสีเหลือง กัดคำหนึ่งไส้ไหลทะลักออกมา อร่อยสุดยอด เลยนำเอาความชอบตรงนี้มาผสานกับเเป้งซาลาเปาของเรา

ซาลาเปาครีมคัสตาร์ด
สูตรเเป้งซาลาเปา ขออนุญาตให้เครดิตจาก Bloggang ของคุณหมูปุ๊ เเป้งสูตรนี้ผู้เขียนลองทำครั้งเเรก เเล้วลองปรับจากสูตรต้นตำรับอีกเล็กน้อยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับเเป้ง
ส่วนที่ 1 เเป้งสปอนจ์
เเป้งสาลีบัวเเดง 530 กรัม
น้ำเปล่า 400 กรัม
ยีสต์ 1.5 ช้อนโต๊ะ
ส่วนที่ 2 เเป้งโด
เเป้งสาลีบัวเเดง 220 กรัม


ผงฟู 1.5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 150 กรัม
เกลือป่น 0.75 ช้อนชา
เนยขาว 120 กรัม

วิธีทำ
ผสมเเป้งส่วนที่ 1 เข้าด้วยกัน ปิดฝา พักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ร่อนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ยกเว้นเนยขาว ร่อนให้เข้ากัน

เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมง ส่วนผสมจะฟูขึ้นคล้ายฟองน้ำ เทเเป้งส่วนที่ 2 ที่ร่อนไว้เเล้วลงไป นวดให้ส่วนผสมพอจับตัวกันเป็นก้อนเเน่นๆ ฝุ่นเเป้งขาวๆ เกือบไม่มีเเล้ว จึงค่อยเติมเนยขาวลงไปจนหมด นวดด้วยเครื่องหรือมือจนส่วนผสมไม่ติดมือ หรือถ้าใช้เครื่องนวดหัวตะขอ เเป้งโดจะต้องเนียน ไม่ติดกับโถตี ถ้ายังติดอยู่เเสดงว่าต้องนวดต่ออีกนิดหนึ่ง

พักเเป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ในโถตีสะอาดมีฝาปิด เเละอยู่ในอุณหภูมิห้องที่ไม่ติดเเอร์ หากติดเเอร์หรืออากาศเย็นจะใช้เวลานานกว่าเดิมสักนิด สังเกตดูเมื่อใช้นิ้วจิ้มลงบนเเป้งจะบุ๋มลงไปเเละค่อยๆ คลายตัวขึ้น อีกข้อสังเกต คือ เเป้งโดจะพองขึ้นเป็น 2 เท่า

เทเเป้งลงบนพื้นโต๊ะที่สะอาดเรียบ ใช้กำปั้นกดเเป้งไล่อากาศออก คลึงเป็นก้อน พักไว้ 5 นาที เเล้วตัดก้อนเเป้งเป็นก้อนขนาด 30 กรัม พักก้อนเเป้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก่อนนำมาห่อไส้

ส่วนผสมไส้
นมจืด 6 ถ้วย
ไข่เเดง 12 ฟอง
ไข่ไก่ 4 ฟอง
น้ำตาลทราย 0.5 ถ้วย + 3 ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 1 กระป๋อง
เเป้งเค้ก 8 ช้อนโต๊ะ
เเป้งข้าวโพด 4 ช้อนโต๊ะ
นมข้นจืด 0.25 ถ้วย
อุ่นนมจืด นมข้นหวาน เเละน้ำตาลทรายครึ่งหนึ่ง ให้ร้อนจัด

ร่อนเเป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันในชามผสมอีกใบ คนผสมกับน้ำตาลทราย เทนมข้นจืดลงไป ผสมพร้อมกับตีไข่เเดง ไข่ไก่ ลงไปให้เข้ากัน

เทนมร้อนๆ ลงไปในส่วนผสมไข่ไก่ทีละน้อย คนให้เข้ากันสักครึ่งหนึ่ง เเล้วเททุกอย่างลงในหม้อ กวนที่ไฟอ่อนอีกครั้งจนส่วนผสมเดือด กวนต่อไปอีก 8 นาที

ทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วโดยการอังหม้อด้วยน้ำเเข็ง กวนเร็วจนคลายความร้อน
เเช่เย็นโดยเเปะฟิล์มพลาสติกเเนบลงบนคัสตาร์ด พักไว้ในตู้เย็นข้ามคืน

วิธีห่อ
เเผ่ก้อนเเป้งที่ชั่งไว้ขนาดลูกละ 30 กรัม ให้หนาสัก 0.5 ซม. ใช้ที่ตักไอศกรีมขนาด 30 กรัม ตักคัสตาร์ดวางลงบนเเป้งตรงกึ่งกลาง ค่อยๆ รวบดึงทีละช่อขึ้นมาจนครบรอบเส้นรอบวง เม้มบริเวณจีบให้เเน่น วางด้านจีบที่เม้มไว้เรียงบนกระดาษขาว

คลุมผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆ พักเเป้งไว้ 4550 นาที หรือจนจับดูเเป้งพองๆ คล้ายฟองน้ำ ไม่หนัก หากอากาศอุ่นๆ อาจจะเเค่ 3040 นาที
ตั้งน้ำเดือดไฟเเรง นึ่งซาลาเปาประมาณ 1012 นาที พักไว้ให้คลายความร้อนลงสักนิดก่อนเสิร์ฟ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


ร้านอาหาร เกี๊ยวไส้หมูแบบต้นตำรับ ของ ธนภัทร เฉียน

ถ้าพูดถึงอาหารจีน เมนูบ้านๆ ที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นอาหารปรุงง่ายไม่ยุ่งยากแต่รสชาติอาหารเหลาอย่าง เกี๊ยวหมู เกี๊ยวกุ้ง ในน้ำซุปร้อนๆ ดังนั้นเมื่อต้องหาเมนูทานง่ายมาโชว์ฝีมือ เฉินธนภัทร เฉียน หนุ่มจีนหัวใจไทย ดีกรีกรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเหลียน คอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และนำเข้าอุปกรณ์ไอที ภายใต้แบรนด์จีวิว (Gview) และเจ็นเทค (Gentec) มานานกว่า 10 ปี เลยขอนำเสนอ เมนู “เกี๊ยวไส้หมู” ซึ่งขอการันตีว่าเป็นแบบต้นตำรับแท้ๆ

“ที่ผมเลือกทำเมนูนี้จะว่าง่ายหรือสะดวกก็ไม่เชิง เพราะขั้นตอนการเตรียมแป้งก็ถือว่ายุ่งยากพอสมควร แต่ที่เลือกทำเมนูนี้เพราะเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อของชาวจีน ประมาณว่าอาหารจีนทุกที่ต้องมีเกี๊ยว ยิ่งกว่านั้น เกี๊ยวยังแพร่หลายไปยังอีกหลายประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และไทย ซึ่งทั้งหมดล้วนมีต้นตำรับมาจากจีนทั้งสิ้น”



งานนี้ ซีอีโอหนุ่มยังขยายความด้วยว่าอาหารจานนี้เมื่อทำเสร็จอาจดูเหมือนอาหารรับ ประทานเล่น เป็นออร์เดิฟร์ แต่สำหรับคนจีนถือว่าเป็นอาหารจานหลัก ซึ่งก็มีหลากหลายไส้ให้เลือก ทั้งไส้กุ้ง ผสมไข่ไก่ ไส้กุยช่าย หมูสับผสมผักกาดขาว ผสมผักโขม ผสมขึ้นฉ่าย แล้วแต่คนชอบ

ยิ่งกว่านั้น เกี๊ยวยังมีประวัติอันยาวนาน สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยสามก๊ก ถึงขนาดมีคำกล่าวไว้ว่า “อะไรที่อร่อยก็แล้วแต่ สุดท้ายก็สู้เกี๊ยวไม่ได้”

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เฉินเลยไม่ลังเลที่จะโชว์อาหารจานนี้อย่างภาคภูมิใจ ทั้งที่ปกติแม้จะเป็นคนชอบเข้าครัวยามว่าง แต่อาหารที่ทำเป็นเบอร์หนึ่งไม่ใช่อาหารจีน แต่เป็นอาหารจานใหม่ๆ ที่ครีเอตขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์



“ผมชอบทำอาหารเหมือนกัน แต่จะชอบครีเอตเมนูขึ้นเอง ไม่ชอบอะไรแบบดั้งเดิม ชอบที่แปลกๆ เช่น แทนที่จะกินข้าวไข่เจียวหมูสับธรรมดา ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นไข่เจียวผักกาดขาวแทน หรือที่ภูมิใจเสนอมากที่สุดคือ เมนูไข่เจียวใส่จิ๊กโฉ่ว รับรองว่ารสชาติอร่อยมาก แต่ต้องใส่นิดเดียวพอ ซึ่งทุกวันนี้เรียกว่าเป็นเมนูจานโปรดที่ทำเป็นประจำเวลาเข้าครัวก็ว่าได้”

เกี๊ยวไส้หมูต้นตำรับ
ส่วนผสม
1.แป้งสาลีชนิดพิเศษ 500 กรัม
2.หมูสับ 500 กรัม
3.ซีอิ๊วขาว ตามใจชอบ
4.พริกไทย ตามใจชอบ
5.น้ำเปล่า 2 ถ้วย
6.กระเทียมสับ (เอาเปลือกออก) ตามชอบ
7.ขิงสับ ตามชอบ
8.ต้นหอมสับ ตามชอบ



วิธีทำแป้ง
ผสมแป้งเข้ากับน้ำ จากนั้นนวดจนเนื้อแป้งมีเนื้อเนียน จึงนำแป้งมาปั้นเป็นเส้นยาว แล้วแบ่งออกเป็นก้อนเล็กๆ จากนั้นใช้มือกดให้แป้งแต่ละก้อนที่แบ่งออกมาแบนราบขนาดประมาณเหรียญห้าบาท
ใช้ไม้นวดแป้ง นวดคลึงให้เป็นแผ่นวงกลมขนาดพอประมาณ แต่ต้องระวังอย่าให้บางจนเกินไป เพราะจะทำให้เมื่อนำมาห่อไส้แล้วแตกไม่สวยงาม

เมื่อเตรียมแป้งแล้ว ต้องเก็บในภาชนะมิดชิด หรือนำผ้าขาวบางมาคลุม ป้องกันไม่ให้โดนลม เพราะจะทำให้แป้งแห้งและแข็ง

วิธีทำไส้หมู
1.คลุกเคล้าหมูสับกับซีอิ๊วขาว พริกไทย ต้มหอม กระเทียม ขิงสับ ให้เข้าเครื่อง จากนั้นนำมาใส่เป็นไส้เกี๊ยว
2.สำหรับวิธีห่อนั้น ให้ใส่ไส้ไว้ที่ตรงกลางของแผ่นแป้งที่เตรียมไว้ ประมาณ 1 ช้อนชา จากนั้นให้พับครึ่งแผ่นแป้ง แล้วจับจีบที่มุมทั้งสองข้างให้สวยงาม จากนั้นนำไปลวกให้สุก พร้อมเสิร์ฟกับจิ๊กโฉ่ว หรือจะนำเกี๊ยวที่ลวกเสร็จไปทอดก็ได้อีกหนึ่งรสชาติขอขอบคุณเจ้าของบทความ : พุสดี สิริวัชระเมตตา

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน ซาลาเปาเกี๊ยวซ่า

จะจบเรื่องติ่มซำประจำบ้านไว้เพียงเท่านี้เห็นจะไม่ได้ เพราะเราเริ่มสูตรติ่มซำง่ายๆ ที่ควรมีติดบ้านเอาไว้โชว์ฝีมือ มีตั้งเเต่ขนมจีบ ขนมผักกาด สาหร่ายห่อกุ้ง ขนมปังหน้ากุ้ง หมูนึ่งไข่เค็ม ฯลฯ เเต่ยังขาดจานสำคัญที่ทุกคนต้องนึกถึงเมื่อทานติ่มซำ นั่นก็คือ ซาลาเปา

ผู้เขียนเองเคยทำซาลาเปากับเขาอยู่ไม่กี่ครั้ง สูตรซาลาเปาที่มีอยู่ ไม่ถึงกับอร่อยอะไร จึงอยากลองสูตรใหม่ๆ ได้เข้าไปเปิดดูตามบล็อกของนักทำอาหารตัวจริงเเละมือสมัครเล่น บางท่านผู้เขียนต้องขอเเสดงความนับถือ เพราะรวบรวมเอาสูตรเด็ดๆ ของซาลาเปาเอาไว้มากมาย อย่างผู้เขียนเปิดเข้าไปดูของคุณหมูปุ๊ คุณเเมงเม่า รวมทั้งชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นสูตรฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน สรุปเเล้วผู้เขียนเลยดึงเอาสูตรของคุณนุสที่คุณหมูปุ๊นำมารวบรวมไว้ เพราะเล็งดูเเล้วท่าทางจะเหนียวนุ่มเข้ากับสูตรที่ผู้เขียนตั้งใจไว้ทดลองทำ ดู ปรับให้เข้ากับรสชาติที่ตั้งใจไว้ ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว

เเหมถึงเเม้ผู้เขียนไม่มีสูตรซาลาเปาเป็นของตนเอง เเต่ก็มีสูตรไส้ที่เเกะมา อร่อยน่าเป็นเจ้าของนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า ผู้เขียนมีโอกาสพาลูกๆ ทั้งสี่คนไปเที่ยวดิสนีย์ซี ด้านในมีร้านลักษณะคล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก ขายอาหารรับประทานง่ายๆ สอดคล้องกับบรรยากาศในเเต่ละย่านในดิสนีย์ซี เช่น ในโซน Lost River Delta จะมีฮอตด็อก รสชาติไปทางอาหารเม็กซิกันเข้ากับบรรยากาศ ในโซน Cape Cod มีซาลาเปาสีขาวสลับชมพูเข้มดูคล้ายห่วงยาง พวกเราชิมกับเกือบทุกร้าน ติดใจที่สุด คือ ร้านตรงเเถวๆ Mysterious Island โซนนี้จะมีเรื่องราวของโลกใต้ทะเล จึงมีร้านขายซาลาเปารูปร่างคล้ายๆ กับเรือดำน้ำ พอกินเข้าไปเป็นเเป้งสีขาวของซาลาเปาห่อเกี๊ยวซ่า ที่ด้านในมีหมูสับหอมรสขิงน้อยๆ รสเข้มข้นอยู่ หอมกลิ่นซอสอยู่

จริงๆ เเล้วซาลาเปาที่ญี่ปุ่นรสชาติเเตกต่างจากบ้านเราพอสมควรอยู่ เอกลักษณ์ของไส้ซาลาเปาเเบบคาวมักจะมีกลิ่นของสาเก ขิง ซีอิ๊วญี่ปุ่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นไส้หมู ไส้ไก่ หรือเเม้เเต่ไส้เนื้อ ก็จะเป็นเนื้อผัดซอสเเละหอมใหญ่ คล้ายๆ ที่โปะลงบนข้าวหน้าเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น เคยเห็นเเถวๆ ย่านที่เลี้ยงวัว Hida ขุนสีดำ คุณภาพเนื้อดีเยี่ยม ร้านเล็กๆ เเถวๆ นั้น จึงมีซาลาเปาไส้เนื้อวัวผัดซอส เรียกว่า Hida Beef Bun อร่อยสุดยอด


ไส้ซาลาเปาสไตล์ญี่ปุ่นนี้มักจะมีความฉ่ำอยู่สูง ไม่ได้ฉ่ำเเบบมี “มันหมู” เป็นก้อนๆ เเบบซาลาเปาจีน หมูสับที่ผู้เขียนใช้มีปริมาณมันหมู เเบบปกติ ไม่ได้ใช้เเบบมันมากกว่าปกติเเต่อย่างใด เรียกว่าซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาเเบบไหนก็ใช้เเบบนั้น เเต่ฉ่ำด้วยส่วนผสมที่เคล้าลงไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นซอสญี่ปุ่น เหล้าสาเก ยังมีส่วนผสมของเเป้งมัน เเละไข่ขาว ใช้เพื่อให้เนื้อหมูเกาะกันเเบบหลวมๆ เมื่อเติมส่วนผสมที่มีของเหลวลงไป สำคัญที่สุด คือ มีกะหล่ำปลีที่ผ่านการดึงเอาน้ำขมๆ ออกจากกะหล่ำปลี โดยการใช้เกลือหมักไว้สักครู่ กะหล่ำปลีเมื่อสุกเเล้วจะให้ความนุ่มเเละกลิ่นเฉพาะให้กับไส้หมูของเรา นอกนั้นเป็นส่วนผสมที่เพิ่มกลิ่นรสที่ชัดๆ อย่างหัวหอม ต้นหอม เเละเห็ดหอม เพิ่มความหนุบหนับ ทุกอย่างลงเครื่องนวดผสมด้วยหัวตีใบไม้ให้เหนียว ก่อนปั้นเป็นก้อนๆ ไส้หมูสับสไตล์นี้รับประทานเพียงคำเดียว ทำให้นึกถึงเกี๊ยวซ่าสไตล์ญี่ปุ่นเลย
ผู้เขียนค้นพบวิธีหนึ่งที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เเละซาลาเปาของเราอร่อยขึ้น โดยปั้นไส้หมูเป็นก้อนๆ หรือรูปร่างที่เราต้องการ จากนั้นเรียงใส่จานเเล้วนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 1-2 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดก้อน อย่างที่เห็นในรูป ผู้เขียนใช้เวลาเพียง 90 วินาที เพื่อทำให้ทั้ง 12 ลูกสุกประมาณ 80% รอให้เย็นสนิทเเล้วนำมาห่อเเป้ง จะช่วยให้เนื้อหมูของเราสุกไปพร้อมกับๆ เเป้งได้ง่ายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะสุกหรือไม่สุก ที่สำคัญระดับความร้อนของไมโครเวฟช่วยให้เนื้อหมูของเราเด้งดึ๋ง กำลังดี หากบ้านไหนไม่มีไมโครเวฟจะนึ่งก็ได้ไม่ว่ากัน เเต่การันตีว่าไมโครเวฟ “เวิร์ก” จริงๆ

ขั้นตอนการทำเเป้งซาลาเปา หากเคยทำขนมปังมาเเล้วไม่ยากเลย ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องผสม เเต่ต้องมีกล้ามเเขนที่เเข็งเเรง เพราะขนาดใช้เครื่องก็นวด 15-20 นาที ได้ที่ความเร็วต่ำที่สุด หากใช้เครื่องช่วงเเรกๆ เเป้งจะติดขอบโถมากมาย เเต่เมื่อนวดได้ที่เเป้งจะเกาะรวมกันเป็นก้อนเนียน โถตีจะสะอาดไม่มีคราบเเป้งเลย เมื่อเเป้งเนียนยืดหยุ่นดีเเล้ว พักเเป้งครั้งเเรกต้องพักให้ได้ที่ เพื่อเพิ่มปริมาณยีสต์ให้เหมาะสม สังเกตว่าเเป้งจะต้องฟูขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อพักเรียบร้อยก็ตัดเป็นก้อนที่ต้องการก่อนจะนำไปห่อ
กรรมวิธีการห่อไม่มีอะไรมาก เคล็ดลับที่ต้องบอกต่อคือ ทุกครั้งที่มีการคลึงก้อนเเป้ง ต้องมีการพักเเป้งไม่ต่ำกว่า 5 นาที เพื่อให้โครงสร้างโปรตีนในเเป้งคลายรูปร่างออก จะปั้นหรือจะห่อก็จะง่าย เเป้งไม่หดตัวกลับมา

อย่าลืมพักเเป้งครั้งที่ 2 ให้พอดี กะดูประมาณ 30 นาที เเป้งจะเบาฟู กดเบาๆ จะหยุ่นๆ คล้ายฟองน้ำ เพราะโพรงเเป้งเต็มไปด้วยอากาศ บอกไว้สักนิดว่า ผู้เขียนเคยพลาดพักเเป้งหลังจากห่อไม่นานพอ นึ่งซาลาเปาออกมาได้เเป้งเเบนๆ เเละเหลวเป๋วไม่อร่อยเลย ครั้งถัดมา พักได้ที่ ซาลาเปาฟูนุ่มเชียว ตอนนึ่งอย่าลืมให้น้ำเดือดจัดสักหน่อย หากน้ำเดือดน้อยๆ ไอน้ำไม่มากพอ ผิวเเป้งซาลาเปาจะเเฉะไม่อร่อย
หลังจากทำซาลาเปาประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี รู้สึกสนุกสนานขึ้นมาก จัดเเจงเตรียมทำซาลาเปาไส้ถัดมาทันที จะเป็นไส้อะไรมาดูกันฉบับหน้าคะ


ซาลาเปารสเก๊ยวซ่า
สูตรเเป้งซาลาเปา ขออนุญาตให้เครดิตจาก Bloggang ของคุณหมูปุ๊ เเป้งสูตรนี้ผู้เขียนลองทำครั้งเเรก เเล้วลองปรับจากสูตรต้นตำรับอีกเล็กน้อย เพื่อให้ทำได้ง่ายขึ้นอีกนิด ส่วนไส้ทำไม่ยาก รสอร่อย ต่างจากรสชาติที่คุ้นเคย รับประกันความอร่อย

ส่วนผสมสำหรับเเป้ง

ส่วนที่ 1 เเป้งสปอนจ์
เเป้งสาลี บัวเเดง 530 กรัม
น้ำเปล่า 400 กรัม
ยีสต์ 1.5 ช้อนโต๊ะ

ส่วนที่ 2 เเป้งโด
เเป้งสาลี บัวเเดง 220 กรัม
ผงฟู 1.5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 150 กรัม
เกลือป่น 0.75 ช้อนชา
เนยขาว 120 กรัม

วิธีทำ
ผสมเเป้งส่วนที่ 1 เข้าด้วยกัน ปิดฝาพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ร่อนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ยกเว้นเนยขาว ร่อนให้เข้ากัน
เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมง ส่วนผสมจะฟูขึ้นคล้ายฟองน้ำ เทเเป้งส่วนที่ 2 ที่ร่อนไว้เเล้วลงไป นวดให้ส่วนผสมพอจับตัวกันเป็นก้อนเเน่นๆ ฝุ่นเเป้งขาวๆ เกือบไม่มีเเล้ว จึงค่อยเติมเนยขาวลงไปจนหมด นวดด้วยเครื่องหรือมือ จนส่วนผสมไม่ติดมือ หรือถ้าใช้เครื่องนวดหัวตะขอ เเป้งโดจะต้องเนียนไม่ติดกับโถตี ถ้ายังติดอยู่เเสดงว่าต้องนวดต่ออีกนิดหนึ่ง
พักเเป้งไว้ประมาณ 1.5 ชั่วโมง ในโถตีสะอาดมีฝาปิด เเละอยู่ในอุณหภูมิห้องที่ไม่ติดเเอร์ หากติดเเอร์หรืออากาศเย็น จะใช้เวลานานกว่าเดิมสักนิด สังเกตดูเมื่อใช้นิ้วจิ้มลงบนเเป้งจะบุ๋มลงไปเเละค่อยๆคลายตัวขึ้น อีกข้อสังเกตคือ เเป้งโดจะพองขึ้นเป็นสองเท่า
เทเเป้งลงบนพื้นโต๊ะที่สะอาดเรียบ ใช้กำปั้นกดเเป้งไล่อากาศออก คลึงเป็นก้อน พักไว้ 5 นาที เเล้วตัดก้อนเเป้งเป็นก้อนขนาด 30 กรัม พักก้อนเเป้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก่อนนำมาห่อไส้

สำหรับไส้หมูเกี๊ยวซ่า
หมูบดหยาบ ติดมันเยอะหน่อย 4 ถ้วยตวงพูน
ต้นหอม ซอยละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
หัวหอม สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
เห็ดหอม เเช่น้ำจนนุ่ม สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงขูดละเอียด บีบน้ำออกจนหมด 2 ช้อนชา
เเป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะพูน
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วญี่ปุ่น โชยุ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 3 ใน 4 ช้อนชา
ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ
กะหล่ำปลีซอยละเอียด 2 ถ้วย
เกลือ 1 หยิบมือ สำหรับกะหล่ำปลี
โรยเกลือประมาณ 1 หยิบมือลงบนกะหล่ำปลี เคล้าให้เข้ากัน พักไว้ เมื่อน้ำในกะหล่ำปลีออกมา ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หายเค็ม เเล้วบีบน้ำออกให้หมด เเล้วสับให้มีขนาดเส้นไม่ยาวนัก ประมาณ 2 ซม.
ผสมนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นวดให้เหนียวสำหรับผู้เขียน ชอบใช้หัวตีใบไม้ในการนวดผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เนื้อหมูจะดึ๋งดั๋งมาก หากส่วนผสมเย็นๆ
ปั้นเป็นก้อนๆ ขนาดประมาณ 40 กรัม เรียงใส่จานกระเบื้องไว้ ได้ประมาณ 30-35 ลูกได้
คลุมจานกระเบื้องด้วยฟิล์มพลาสติกห่ออาหาร เเล้วนำเข้าไมโครเวฟครั้งละ 8-10 ลูกต่อจาน ใช้ความร้อนสูงสุดประมาณ 90-120 วินาที หมูจะสุกประมาณ 80-90% พักไว้ให้เย็นสนิท

วิธีห่อ
เเผ่ก้อนเเป้งที่ชั่งไว้ ขนาดลูกละ 30 กรัม ให้หนาสัก 0.5 ซม. วางก้อนหมูที่เย็นเเล้วลงไป ค่อยๆ รวบดึงทีละช่อขึ้นมา จนครบรอบเส้นรอบวง ทำให้ได้เป็นทีละจีบ เม้มบริเวณจีบให้เเน่น วางเรียงบนกระดาษขาว
คลุมผ้าขาวบางชุบน้ำ บิดหมาดๆ พักเเป้งไว้ 30-40 นาที หรือจนจับดูเเป้งพองๆ คล้ายฟองน้ำ ไม่หนัก
ตั้งน้ำเดือดไฟเเรง นึ่งซาลาเปาประมาณ 10-12 นาที พักไว้ให้คลายความร้อนลงสักนิด ก่อนเสิร์ฟ
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ :โดย...สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


‘สุกี้แห้งทะเล’ ปรุงโชว์ช่วยเพิ่มจุดขาย





ยุคปัจจุบัน เพราะคนต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำอะไรจึงต้องการความสะดวกและรวดเร็ว เรื่องอาหารการกินก็พึ่งอาหารจานเดียวหรืออาหารจานด่วนมากเพราะไม่ยุ่งยากใน การจัดเตรียมทำ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีการเลือกรับประทานเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนกัน มากขึ้น ซึ่ง “สุกี้” ก็กำลังเป็นอาหารจานด่วนที่หลายคนชื่นชอบ เพราะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่มีผักเป็นส่วนประกอบมาก และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “สุกี้แห้งทะเล” มานำเสนอให้พิจารณากัน...

“พิมพร รอดคำแหง” หรือ “คุณหมู” เจ้าของร้านข้าวผัดปูเมืองทอง สาขา 2 เล่าว่า ต้นตำรับข้าวผัดปูเมืองทองคือ คุณสมบูรณ์ ปิยะทับทิม ที่เกิดแนวคิดนำอาหารภัตตาคารมาลงข้างทางให้คนทั่วไปมีโอกาสกินอาหารเหลา บ้าง จึงคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี สะอาด มาทำข้าวผัดที่มีมาตรฐานรสชาติอาหารขาย และคุณสมบูรณ์ต้องการให้มีอาหารในร้านเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างเพื่อเป็นตัว เลือกให้ลูกค้า จึงชักชวนตนเองซึ่งมีฝีมือในการทำอาหารหลายอย่างมาทำร่วมกัน

“เปิดตัวที่ข้าวผัดปูและกระเพาะปลา ได้รับการตอบรับดีมาก ๆ ก็มานั่งคิดกันว่าน่าจะขยายสาขาเพื่อรองรับลูกค้า และที่สำคัญคือต้องเพิ่มเมนูอาหารทานเล่นและเมนูเพื่อสุขภาพให้กับลูกค้า บ้าง สรุปกันได้ที่เมนูหมูสะเต๊ะ กุ้งอบวุ้นเส้น และ สุกี้แห้งทะเล สูตรโบราณดั้งเดิมของอาม่า ผัดสไตล์จีนโบราณ จะแห้ง มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อมเข้ากันพอดีกับน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้สูตรเด็ดที่ปรุงขึ้นมาเองตาม สูตรโบราณ รสชาติจัดจ้านด้วยกระเทียม พริก และหอมเต้าหู้ยี้”

คุณหมูบอกว่า ที่ร้านมีนโยบายปรุงอาหารแบบโชว์ให้เห็น ปรุงเสร็จก็เสิร์ฟทันทีจานต่อจานไม่มีการทำไว้ก่อน เพื่อให้สดใหม่ทั้งวัตถุดิบและการปรุง และแม้ราคาข้าวของจะแพงขึ้น แต่อาหารที่ร้านยังราคาปกติ คุณภาพเหมือนเดิม เช่น เนื้อปูเป็นก้อน คุณภาพดี กุ้งตัวโต ปลาหมึกสด ซึ่งจากจุดนี้ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจนขยายร้านเป็น 4 สาขา โดยสาขา 1 อยู่ที่ซอยแจ้งวัฒนะ 14 (08-1646-3296), สาขา 2 เกษตร-นวมินทร์ (08-2972-0880), สาขา 3 อยู่ที่ถนนลาดพร้าว (08-1344-2862) และสาขา 4 อยู่ที่พหลโยธิน-เกษตร (08-1348-7080) เปิดบริการตั้งแต่เวลา 15.00-22.00 น. ทุกวัน

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ทำ “สุกี้แห้งทะเล” สูตรโบราณ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวทั่วไปคือ เตาแก๊ส, กระทะบาง, ตะหลิว, กะละมัง, มีด, เขียง เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำก็มี กุ้งสด, ปลาหมึกสด, ปลาหมึกแห้ง, ผักกาดขาว, ผักบุ้งจีน, ขึ้นฉ่าย, วุ้นเส้น, ไข่ไก่สด, น้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาลทราย, กระเทียม และน้ำมันพืช

ขั้นตอนการทำสุกี้แห้งสูตรโบราณ ก่อนอื่นต้องทำน้ำจิ้มสุกี้ก่อน ส่วนผสมก็มี...เต้าหู้ยี้สีแดง, พริกขี้หนูสด, พริกแห้งคั่ว, กระเทียมสด, กระเทียมดอง, น้ำมะนาว, น้ำกระเทียมดอง, เกลือ, น้ำตาลทราย, น้ำต้มสุก, น้ำมันงา และงาขาว

หลังเตรียมเครื่องปรุงเสร็จแล้วให้นำพริกขี้หนูสด พริกแห้งคั่ว กระเทียมสด มาโขลกรวมกันหรือจะปั่นก็ได้ เสร็จแล้วใส่ในโถปั่นใบใหญ่ ใส่ส่วนผสมที่เหลืออย่างเต้าหู้ยี้ เกลือ น้ำมะนาว น้ำตาลทรายลงไป ยกเว้นน้ำมันงากับงาขาว ปั่นส่วนผสมให้ละเอียด แล้วเทใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ชิมรสตามชอบ ยกลงมาเติมน้ำมันงากับงาขาว ก็เป็นอันเสร็จ

การทำสุกี้แห้ง นำผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ต้นหอม และขึ้นฉ่าย มาล้างให้สะอาด นำขึ้นให้สะเด็ดน้ำ หั่นเป็นท่อนขนาดยาวประมาณ 2 นิ้ว ตั้งพักไว้ก่อน ปลาหมึกแห้งนำมาล้างแล้วหั่นขนาดตามต้องการ ส่วนปลาหมึกสดดึงหัวและขี้ออกแล้วลอกหนังออกให้หมด ล้างให้สะอาดอีกครั้งแล้วบั้งที่ตัวหมึกให้เป็นลาย หั่นเป็นชิ้นตามชอบ กุ้งตัวโต ๆ นำมาแกะเปลือกผ่าหลังเอาไส้ดำออก ส่วนวุ้นเส้นแช่น้ำให้นิ่มเตรียมไว้

ต่อไปเป็นขั้นตอนการผัด ตั้งกระทะใบใหญ่ ใส่น้ำมันพืช พอกระทะร้อนใส่กุ้งสด ปลาหมึกสด ปลาหมึกแห้ง ลงไปผัดรวมกัน ต่อยไข่ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวเขี่ยไข่แดงให้แตก ตามด้วยใส่วุ้นเส้นและน้ำซุปลงไปเล็กน้อย ผัดไปมาด้วยไฟแรง 4-5 ครั้ง จึงใส่ผักกาดขาว ผัดพอผักกาดขาวสลดสักนิด ก็ใส่ผักบุ้งจีน ต้นหอม และขึ้นฉ่ายตามลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและซีอิ๊วขาวนิดหน่อย ผัดไปมาจนผักสลดพอแห้ง ก็ตักขึ้นใส่จาน พร้อมเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านแต่กลมกล่อม

ราคาขาย “สุกี้แห้งทะเล” สูตรโบราณ ร้านนี้อยู่ที่จานละ 40 บาท มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% จากราคา

ใครสนใจอยากจะไปลองชิมความอร่อยของอาหารร้านนี้ ก็ไปกันได้ตามสาขาที่ระบุไว้แต่ตอนต้น ซึ่งนอกจากขายที่ร้านแล้ว ร้านนี้ยังมี “ช่องทางทำกิน” เพิ่มเติมในรูปแบบรับสั่งทำไปใช้ในงานต่าง ๆ หรือจะสั่งไปส่งตามสำนักงานก็มีบริการ โดยคิดค่าส่งตามระยะทาง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา ใครที่ได้ไอเดียทำกินก็ลองฝึกฝนเพื่อทำขาย...อย่ารอช้า!!

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี ชุมขำ เรื่อง / จามิกร ศรีคำ ภาพ

Read More...


''ฉู่ฉี่ปลาแดง'' เนื้อนุ่มรสกลมกล่อม หอม อร่อย 'ทอดมันปลากราย'

 
 
ผมยังอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี นะครับ ตอนที่น้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดอุทัยธานี ถนนที่ขนาบแม่น้ำอยู่ก็ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ ร้านอาหารที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่สามารถทำมาหากินได้ ที่ตลกก็คือเรือที่เขาทำเป็นร้านอาหารลอยขึ้นมาสูงกว่าบ้านของเขาเสียอีก ครับ

อาทิตย์นี้ผมจึงอยากจะพาไปชิมอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ร้านนัมเบอร์ไนน์ ซึ่งแปลว่าเบอร์ 9 เจ้า ของร้านเขาชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง ผมก็ได้ประสบการณ์และความรู้หลายต่อหลายอย่างจากที่นี่ อาทิ การผูกเรือต้องผูกกับต้นไม้ที่สูงเพราะเวลาน้ำมาแล้วจะเชี่ยวพอสมควร  ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเรือก็จะลอยหายไปเลย

ช่วงน้ำท่วม ที่ร้านนี้ลำบากมากครับ ผมจึงอยากจะเชิญชวนให้เพื่อน ๆ ที่แวะไปเที่ยวที่จังหวัดอุทัยธานีได้ไปกินอาหาร เพื่อจะได้ช่วยฟื้นฟูกิจการให้กับพวกเขา ช่วยให้เพื่อน ๆ ของผมที่อยู่จังหวัดอุทัยธานีมีความสุขด้วยครับ เขาจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากสังคมนะครับ

สำหรับร้านนี้ แน่นอนครับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารจะต้องมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา เขาจะมีปลาที่มาจากแม่น้ำ และที่นี่มีเห็ดต่าง ๆ หลายอย่างอีกด้วย ผมเริ่มกินเล่นด้วย ยำเห็ดสามอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วยเห็ดโคนและเห็ดอีก 2 อย่างซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว ต้องขอโทษด้วยครับ เขาเอาเห็ดไปลวกแล้วถึงเอามายำแบบน้ำใส ซึ่งการกินเห็ดจะช่วยทำให้การย่อยดี รสชาติอร่อย ไม่เลี่ยนจนเกินไป

ตามมาด้วย ต้มยำปลาลึง ซึ่งจะคล้าย ๆ กับปลาบึก แต่ตัวเล็กกว่า ปลาที่นี่สดมากครับ วิธีการทำต้มยำของเขาทำง่าย ๆ เป็นน้ำใส ใส่หม้อไฟเสิร์ฟมาให้เรากินกัน รสชาติกำลังดี ปรุงได้ดีเป็นรสต้มยำที่กลมกล่อม ไปครั้งนั้นผมนั่งกินบนเรือครับ แต่ความจริงผมอยากจะล่องเรือกินข้าวและดูวิวไปด้วย ทว่าผมมีเวลาไม่พอ

ระหว่างนั้นผมก็ถามเขาว่า ฟากตรงกันข้ามน้ำท่วมหรือเปล่า ได้รับคำตอบว่าท่วมครับ ผมก็ถามกลับไปถึงความเป็นอยู่ในช่วงที่น้ำท่วมก็ได้บรรยากาศสนุก ๆ ดีครับ เพราะมีทั้งเรื่องเศร้าและเรื่องสนุก

หลังจากนั้น เขาเอา ทอดมันปลากราย มาให้ผมกิน ผมว่าที่นี่เนื้อปลาสดดีมากครับ เพราะทอดมันปลากรายของเขา นุ่ม เหนียว อร่อย เด้ง ๆ ดีครับ

จากนั้นมี เจ้าพระยาทอดกรอบ คือ ปลาเนื้ออ่อนเอามาทอดกรอบ กินได้ทั้งตัวเลยครับ เพราะทอดได้กรอบมากครับ ไม่ใช้ไฟแรง ส่วนน้ำจิ้มของเขาเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ด
ยิ่งทำให้อาหารจานนี้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ยังมี ปลาแรดสมุนไพร เพราะที่จังหวัดอุทัยธานีเป็นเมืองปลาแรดครับ โดยที่นี่เขาเลี้ยงปลาแรดในกระชังกัน เพราะน้ำริมแม่น้ำของเขาสะอาดมากพอ ซึ่งแต่ละตัวเป็นปลาตัวใหญ่มาก บางตัวหนัก 2 กิโลกรัมยังมีเลยนะครับ โดยเขาจะเอาปลาแรดมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยม ลูกเต๋าแล้วเอาไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน เสร็จแล้วราดด้วยซอสสมุน ไพร กลายเป็นยำสมุนไพรต่าง ๆ คล้ายกับเมี่ยงครับ แต่ราดลงไปบนตัวปลาเลย อร่อยดี สำหรับจานนี้เดี๋ยวผมจะพูดในชิมให้เป็นด้วย

มาที่นี่ทีไรถ้าผมไม่ได้กิน ฉู่ฉี่ปลาแดง ต้องร้องไห้แน่เลย เพราะปลาแดงที่นี่อร่อยเหลือเกิน เขาใช้ปลาสด ๆ เอาไปรวนในเครื่องแกงฉู่ฉี่ จนน้ำแกงฉู่ฉี่สุกพอดี ๆ รสชาตินุ่ม หวาน เค็มเล็กน้อย กำลังดีครับ แถมยังได้ความหวานของเนื้อปลาด้วย ผมถึงรู้ว่าปลาสดแค่ไหน สำหรับจานนี้ ผมกินเปล่า ๆ ได้เลย ไม่ต้องกินข้าว แค่นี้ผมก็มีความสุขมากครับ

ในเรือของเขามีการจัดเลี้ยงพาขึ้นเรือ กินไปชมวิวไปด้วยนะครับ แล้วก็พากลับ เพราะฉะนั้นถ้าใครไปอุทัยธานียังมีอะไรแปลก ๆ ให้ทำ มีการนั่งเรือกินอาหารชมบรรยากาศ และอาหารก็อร่อยด้วยครับ

อย่าลืมนะครับว่าทุกคนที่จังหวัดอุทัยธานีกำลังรอผู้มาเที่ยวอยู่ ซึ่งผมก็จะไปที่ร้านแห่งนี้อีกครั้งเหมือนกันครับ ผมเขียนให้ร้านนี้ในเดือนนี้หวังว่าน้ำคงจะยังไม่มาอีกครั้งนะครับ เพราะถ้าปีนี้ถูกน้ำท่วมอีกต้องแย่แน่ ๆ เลย.
ปลาแรดบั้งทอดยำมะม่วงดิบ - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุงปลาแรดบั้งทอด
- ปลาแรดขอดเกล็ดเอาไส้ 500กรัมออกล้างทำความสะอาด
- น้ำปลา   2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันปาล์ม สำหรับทอด
วิธีทำ

1. นำปลาแรดมาทำความสะอาดแล้วบั้งทั้งสองข้าง พักไว้ในชามผสม ใส่น้ำปลาคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ 5 นาที

2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปให้ร้อน นำปลาแรดที่หมักไว้ลงไปทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน

3. ตักปลาที่ทอดสุกแล้วลงในจาน เสิร์ฟพร้อมกับยำมะม่วงดิบ
เครื่องปรุงยำมะม่วงดิบ
-พริกขี้หนูเขียวและแดงสับ    10 เม็ด
-น้ำปลา       2–3 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
-น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
-มะม่วงสับเป็นเส้น ๆ 1/4 ถ้วยตวง
-หอมแดงซอย 3 หัว
-ต้นหอมซอย 2 ต้น
-ผักชีใบเลื่อยซอย 2 ต้น
-ผักชีซอย 1 ต้น
วิธีทำ

1. ในชามผสม ใส่พริกขี้หนูเขียวและแดงสับ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว ผสมให้เข้ากัน เพื่อทำน้ำยำ

2. ใส่มะม่วงสับ หอมแดงซอย ต้นหอมซอย ผักชีใบเลื่อยซอย ผักชีซอย ผสมให้เข้ากัน ชิมรสชาติให้ออก เปรี้ยว เค็ม หวาน

3. ตักยำมะม่วงลงในถ้วย เสิร์ฟกับปลาแรดที่ทอดไว้
ปลาแรดทอดสมุนไพร - ชิมให้เป็น
การที่เราจะเอาปลาแรดมาทำเป็นยำ ต้องเอาเนื้อปลาแรดมาหั่นเป็นลูกเต๋าเสียก่อน เพราะเวลากินจะได้กินได้สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาฉีกกันอีก จากนั้นนำไปชุบแป้งทอดแล้วทอดไม่ต้องใช้ไฟแรงนะครับ ใช้ไฟกลาง ๆ เมื่อทอดเสร็จแล้วก็นำขึ้นจากกระทะพักไว้

ส่วนน้ำยำจะต้องมีความเข้มข้นและแซบพอสมควร จึงจะเข้าเนื้อกลมกล่อม ไม่ใช่แค่หวาน ๆ เปรี้ยว ๆเค็ม ๆ  เพราะว่าเนื้อปลาจะอมรสชาติไปเกือบหมด ทำให้ไม่ได้รสชาติของน้ำยำเลย

เวลาไปกินต้องชิมให้เป็นนะครับ ถ้ารสชาติไม่อร่อยจะได้บอกเขาได้ว่าทำไมถึงไม่อร่อย ไม่อร่อยเพราะขาดอะไรที่ร้านจะได้รู้ว่าเราก็ทำเป็นเหมือนกัน สำหรับปลาแรดทอดสมุนไพรของที่ร้านนี้ใช้ได้ครับ แต่ยังไม่อร่อยสุด ๆ เพราะว่าน้ำยำนั้นยังไม่เข้มข้นมากพอที่จะซึมเข้าไปในชิ้นปลาแต่ละชิ้น ถ้าน้ำยำเข้มข้นกว่านี้ก็จะได้รสที่ดีและกลมกล่อม สั่งปลาแรดทอดสมุนไพรครั้งต่อไป ต้องลองชิมดูนะครับว่าน้ำยำของร้านที่ไปกินนั้นเป็นอย่างไร เพื่อน ๆจะได้ชิมให้เป็นอย่างไรครับ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com


Read More...


น้ำพริกปลาป่น-ปลาร้าสับ






ผู้ เขียนถามแม่บ้านว่า อันที่จริง 'บอง' นี่ก็ใส่ปลาร้าตั้งแยะ แต่ก็ไม่ยักเรียกว่าน้ำพริกปลาร้า ถ้ายังงั้นทางอีสานก็ต้องมีอาหารสักชนิดสิที่เรียกว่าเป็น 'น้ำพริกปลาร้า' จริงๆ ของเขา

คำตอบของแม่บ้านชาวอีสานของผู้เขียนทำให้คนฟังปวดหัวใจค่ะ

เพราะเขาบอกว่า 'มีสิคะ ทำไมจะไม่มี แต่น้ำพริกปลาร้าที่คุณๆ ทางภาคกลางเรียกขานกันนั้น ทางภาคอีสานเราเรียกกันว่าน้ำพริกปลาป่นค่ะ'






ตำรา น้ำพริกปลาป่น ของเขาใกล้เคียงกันกับ 'บอง' ค่ะ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากปลาร้าปลาช่อนเป็นปลาร้าอะไรก็ได้ เป็นต้นว่า ปลาร้าปลากระดี่ก็ใช้ได้ แต่ต้องนำมาตั้งไฟจนเนื้อปลาเปื่อยดีแล้ว กรองเอาก้างทิ้งไป เก็บแต่น้ำปลาร้าเอาไว้ใช้แล้วก็เปลี่ยนจากปลากรอบมาเป็นปลาช่อนย่าง



ส่วน พริกนั้น คุณจะใช้พริกขี้หนูป่นหรือพริกชี้ฟ้าเผาไฟจนสุกแล้วลอกเปลือกออก ก่อนนำมาโขลกปนกับเครื่องที่ให้ไว้ก็ได้ทั้งสองชนิดค่ะ แต่ผักที่ใช้รับประทานกับน้ำพริกปลาป่นนั้น ส่วนมากเขาจะใช้ผักต้ม คุณจะใช้ผักบุ้งต้ม บวบงู ดอกแค ยอดกวางตุ้ง กะหล่ำปลี ฯลฯ ก็ได้ทั้งสิ้นค่ะ

ยังมีผักอีสานอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งคุณบางคนอาจจะเคยพบในป่าภาคอีสาน เป็นช่อสีม่วงอ่อน งามระทดระทวยน่ารักจนอยากจะตัดเอามาปักแจกัน คนอีสานเรียกผักชนิดนี้ว่าดอกกระเจียวค่ะ

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนได้ไปพบดอกไม้ชนิดนี้ที่สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง ดอยช้างมูบ จังหวัดเชียงราย เชื่อไหมคะว่าอากาศอันหนาวเย็นเต็มไปด้วยหมอกและไอน้ำ ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้มีช่อโตขนาดเท่ากับลำแขนของผู้ชายเชียวค่ะ ผักชนิดนี้ละที่แม่บ้านแกบอกว่า พอมันแทงยอดออกมาอ่อนๆ ยังมีใบอ่อนห่อหุ้มอยู่ เขาก็จะไปตัดเอามาต้มจิ้มกับน้ำพริกปลาป่น อร่อยนัก

ปลาร้าสับ

ตําราอาหารทั้งสองชนิด คือทั้งบองและน้ำพริกปลาป่น คุณสามารถปรุงแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น รับประทานได้หลายวัน

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องสด คือ หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดหั่นฝอย (สดคือไม่ต้องเผาไฟค่ะ)

นำมาโขลกให้แหลก

ส่วนปลาร้าก็นำมาสับให้ละเอียดก่อนใส่ลงไปในครกด้วย

เติมพริกขี้หนูแห้งป่นละเอียด

คลุกเคล้ากันให้ดี

ใช้รับประทานกับผักสด

น้ำพริกรายการสุดท้ายนี้ เขาเรียกว่า 'ปลาร้าสับ' ค่ะ

ตกลงไปๆ มาๆ ก็เลยให้ตำราน้ำพริกภาคอีสานคุณๆ เสียตั้งสามชนิดเลยนะคะ

แซ่บบ่?


ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สุคนธ์ จันทรางศุ

Read More...


ร้าน อี่ โภชนา ยังคงกลิ่นอายร้านอาหารแบบสมัยก่อน

.



Read More...


เส้นจันท์ผัดปู สูตรโบราณยังทำเงินดี


 


Read More...


มาลองทำสละลอยแก้วกันเถอะ

ช่วงนี้ราคาผลไม้แต่ละชนิด ราคาถูกแสนถูก วันก่อนไปตลาดเห็นสละราคาถูกมาก เลยซื้อมาหลายกิโล กะว่าจะมาทำสละลอยแก้วซะหน่อย เผื่อมาพลาสเจอร์ไรซ์จะเก็บไว้ทานได้หลายวัน

ส่วนผสม

- สละ 1 กิโลกรัม

- น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง

- น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง

- เกลือ 2 ช้อนชา

-ใบเตย

วิธีทำ

sala1 มาลองทำสละลอยแก้วกันเถอะ


Read More...


ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ

ขนมหวาน ของประเทศญี่ปุ่น…มักเรียกชื่อเดียวกันว่า “วากาชิ” มีมานานตั้งแต่ สมัยนะระ  หรือ ประมาณ 1,300 ปี มาแล้ว แต่มาเฟื่องฟูสุดๆ ใน ช่วงเอโดะ (ปี ค.ศ.1603-1867) โดยเฉพาะ เมืองเกียวโต และ โตเกียว ซึ่งแต่ละร้านแข่งกันทำขนมชนิดใหม่ๆ เช่น ยูคิโมจิ หรือ โมจิ และ ไดฟูกุ ออกมาเป็นต้นตำรับ…ขนมหวานประจำชาติ…!!

ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้กิน…ชากา ชิ…กันบ่อยๆ เพราะเขานิยมรับประทานผลไม้กันมากกว่า ส่วน วากาชิ…จะเปิบเป็นของว่างและในโอกาสพิเศษ หรือมีพิธีการต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน หรือ พิธีชงชา ในการสร้างสรรค์ขนมวากาชินั้น  พ่อครัวหรือแม่ครัวมักจะมีแรงบันดาลใจมาจาก ธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ หรือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล  เช่น  ฤดูใบไม้ ร่วง จะทำ ขนมคิคุโกะโระโมะรูปดอกเบญจมาศ ส่วนฤดู หนาวก็ทำ ยูคิโมจิ หรือโมจิ และ ไดฟูกุ เป็นต้น


โมจิ  หรือ ไดฟูกุ เป็น ขนมอีกชนิดหนึ่งที่ทำจากข้าวเหนียว แล้วตัดเป็นก้อนๆ สามารถนำไปประยุกต์เป็นขนมอื่นๆได้อีกหลายชนิด โดยมีการนำมาผสมกับสมุนไพร หรือผลไม้ น.ส.จุติภัค ยัง- โนนตาด อยู่ที่ 88/15 ถนนเลียบทางด่วน  แขวงและเขตทุ่งครุ  กรุงเทพฯ เป็นผู้ที่คิดค้นสูตรขนมญี่ปุ่นให้มาเป็นสไตล์ไทยๆ บอกว่า ชื่นชอบที่จะทำ  ขนมญี่ปุ่นให้ออกมาในรูปแบบถูกปากคนไทย จึงทดลองไปเรียนรู้พยายาม  คิดค้นสูตรขนมไดฟูกุ  กระทั่งทุกอย่างลงตัว โดยมีส่วนผสมเตรียมไว้ กำหนดให้มี  แป้ง 40% และ  ไส้ 60%  ส่วนผสมหลักจาก แป้งข้าวเหนียว, แป้งมัน, เนยขาว และ  ส่วนผสมของไส้  ประกอบด้วย  งาดำ 50%, น้ำตาล 30%, ถั่ว 20%) ผงชาเขียว 5%, ถั่ว 50% น้ำตาล 30% และ น้ำมันพืช 15%

560 225x300 ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ


Read More...


แปรรูปผักหวานป่า เป็นใบชาเพื่อสุขภาพ งานอาชีพสร้างรายได้

ผักหวานป่าแปรรูป สู่ใบชาชงดื่มเพื่อสุขภาพ
sweet แปรรูปผักหวานป่า เป็นใบชาเพื่อสุขภาพ งานอาชีพสร้างรายได้
ความ นิยมของคนไทยที่หันมาดื่มชาเขียวญี่ปุ่นกันมาก ประกอบกับคุณสมบัติที่เหมาะสมของผักหวานป่า ซึ่งเป็นพืชผักท้องถิ่นที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทั้งวิตามิน A, C, D และ K ถึง 5.48 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์การอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้ศึกษาถึงการแปรรูปผักหวานป่าเป็นชาเพื่อสุขภาพ สำหรับผู้ที่สนใจนำความรู้ไปต่อยอดผลิตเป็นอาชีพได้

วิธีผลิตชาจากผักหวานป่า เริ่มจากนำยอดสดผักหวานป่า มาเด็ดเอาเฉพาะส่วนยอดอ่อน และใบ มาล้างน้ำให้สะอาด กรองด้วยผ้าขาวบาง ไม่ให้เศษผักหลุด เขย่าให้สะเด็ดน้ำ ผึ่งลมให้แห้ง แต่ไม่ควรนำไปตากแดดเพราะจะทำให้สูญเสียวิตามินไป นำไปคั่วด้วยไฟอ่อนที่สุด จนใบแห้งและม้วนตัว ให้ใช้มือคลึง จนใบเริ่มจับตัวกัน นำไปอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 7 ชั่วโมง จนแห้ง ให้บด บรรจุซองสำหรับใส่ชาขนาด 2 กรัม

ผักหวานป่าสดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เด็ดก้านออกจะเหลือน้ำหนักสด160  กรัม นำไปผ่านกระบวนการคั่ว และอบแห้งแล้ว จะมีน้ำหนักเหลือ 60 กรัม บรรจุซองได้ 30 ซอง มีต้นทุนรวมค่าบรรจุภัณฑ์อยู่ที่ 150 – 160 บาท ขายได้ในราคา 220 บาท ถือว่ามีราคาถูกกว่าชาเขียวชนิดอื่นๆ ในท้องตลาด โดยชาผักหวานป่านี้มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ คือ มีกลิ่นหอม รสหวาน และฝาดเล็กน้อยตามธรรมชาติ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มผู้รักสุขภาพ เกษตรกรและผู้สนใจสามารถขอรายละเอียดเพื่อนำไปผลิตเป็นอาชีพได้

ชาผักหวานป่า ครื่องดื่มทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพ

   ผักหวานป่าเป็นพืชจัดอยู่ในวงศ์ Opiliaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melientha suavis Pierre เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงปานกลาง สูง 6-10 เมตร และอาจสูงได้ถึง 20 เมตร ใบอ่อนรูปร่างรีเล็กปลายแหลม สีเขียวอมเหลือง ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบกรอบและเปราะ ปลายใบมน ใบมีขนาด 5 X12 เซนติเมตร ก้านใบสั้น ดอกและผลมีลักษณะเป็นช่อ เกิดตามกิ่งแก่และลำต้นหลัก ผลรูปร่างรี ขนาด 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มเมื่อแก่ต้นผักหวานป่าที่เจริญเติบโตในสภาพป่า ธรรมชาตินั้น สามารถมีอายุยืนยาวหลายปี บางต้นมีอายุได้มากกว่าร้อยปี สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยสถานีวิจัยพืชลำตะคอง จึงได้ศึกษาการปลูกและการขยายพันธุ์ผักหวานป่า เพื่อลดการเก็บเกี่ยวผักหวานป่าในเชิงการค้ามากขึ้น ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า ผักหวานป่าสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่งได้ และมีอัตราการเกิดรากสูงถึง 70-80 เปอร์เซนต์

   ชาผักหวานป่า ประกอบด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี สารประกอบฟีโนลิค ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกายและป้องกัน การเกิดโรคต่างๆ อันเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพของร่างกาย ทั้งนี้ วว. ได้ศึกษาคุณสมบัติในการต้านออกซิเดชั่นจากชาเขียวผักหวานป่า พบว่าค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ 50 เปอร์เซนต์ ( IC 50 ) ของชาผักหวานป่า เท่ากับ 5.48 เปอร์เซนต์ ( v/v ) ซึ่งดีกว่าชาใบหม่อนและชาดอกคำฝอย รวมทั้งได้ผ่านการตรวจวิเคราะห์พิษเฉียบพลันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ชาผักหวานป่า

คุณสมบัติ

ช่วย แก้กระหายน้ำและทำให้ชุ่มคอ หากดื่มเป็นประจำยังส่งผลดีต่อร่างกาย เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี สารประกอบฟีนอลิค ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่น อันเป็นสาเหตุของการเกิดอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆ อันเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพของร่างกาย เช่นโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน และการเสียสมดุลของร่างกายเป็นต้น

ผลจากการศึกษา

เปรียบ เทียบความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ปริมาณวิตามินซี และปริมาณฟันอคิลของชาผักหวานผ่ากับชาใบหม่อน ชาใบแปะก๊วย และชาดอกคำฝอย พบว่าความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของชาผักหวานป่าสูงกว่าชาใบหม่อน ชาดอกคำฝอย แต่ต่ำกว่าชาแปะก๊วย โดยความเข้มข้นที่ยับยั้งการเกิดปฎิกิริยาออกซิเดชั่นได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ของผักหวานป่าเท่ากับ 5.48เปอร์เซ็นต์ (v/v) รวมทั้งชาผักหวานป่าได้ผ่านการตรวจวิเคราะห์พิษเฉียบพลันเป็นที่เรียบร้อย

วิธีชงชาผักหวานป่า

คล้าย กับการชงชาทั่วไป โดยใช้ผักหวานป่า 1 ช้อนชา หรือน้ำหนัก 2 กรัม ต่อน้ำร้อน 100 มิลลิกรัม อุณหภูมิ 90-95 องศาเซลเซียส ชงในน้ำร้อนนาน 3 นาที สามารถเติมน้ำร้อนได้ 3 ครั้ง ชงดื่มแทนน้ำได้ตลอดทั้งวัน

ชาผักหวาน ผ่าของ วว. มีรสชาติคล้ายกับชาเขียวจากญี่ปุ่น ใช้ดื่มแก้กระหายชุ่มคอ และยังดีต่อสุขภาพ นับเป็นเครื่องดื่มทางเลือกใหม่สำหรับผู้นิยมดื่มชาเพื่อสุขภาพรวมทั้งช่วย ส่งเสริมให้เกิดอาชีพแก่เกษตรกรผู้ปลุกผักหวานป่ามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถานีวิจัยพืชลำตะคอง วว. โทร. 044 390 107

ชาผักหวานป่า ครื่องดื่มทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพ
   ผักหวานป่าเป็นพืชจัดอยู่ในวงศ์ Opiliaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Melientha suavis Pierre เป็น ไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงปานกลาง สูง 6-10 เมตร และอาจสูงได้ถึง 20 เมตร ใบอ่อนรูปร่างรีเล็กปลายแหลม สีเขียวอมเหลือง ใบแก่สีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบกรอบและเปราะ ปลายใบมน ใบมีขนาด 5 X12 เซนติเมตร ก้านใบสั้น ดอกและผลมีลักษณะเป็นช่อ เกิดตามกิ่งแก่และลำต้นหลัก ผลรูปร่างรี ขนาด 1.5-2.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มเมื่อแก่ต้นผักหวานป่าที่เจริญเติบโตในสภาพป่า ธรรมชาตินั้น สามารถมีอายุยืนยาวหลายปี บางต้นมีอายุได้มากกว่าร้อยปี สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดยสถานีวิจัยพืชลำตะคอง จึงได้ศึกษาการปลูกและการขยายพันธุ์ผักหวานป่า เพื่อลดการเก็บเกี่ยวผักหวานป่าในเชิงการค้ามากขึ้น ผลจากการศึกษาวิจัยพบว่า ผักหวานป่าสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการตอนกิ่งได้ และมีอัตราการเกิดรากสูงถึง 70-80 เปอร์เซนต์
   ชา ผักหวานป่า ประกอบด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี สารประกอบฟีโนลิค ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันในร่างกายและป้องกัน การเกิดโรคต่างๆ อันเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพของร่างกาย ทั้งนี้ วว. ได้ศึกษาคุณสมบัติในการต้านออกซิเดชั่นจากชาเขียวผักหวานป่า พบว่าค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ 50 เปอร์เซนต์ ( IC 50 ) ของชาผักหวานป่า เท่ากับ 5.48 เปอร์เซนต์ ( v/v ) ซึ่งดีกว่าชาใบหม่อนและชาดอกคำฝอย รวมทั้งได้ผ่านการตรวจวิเคราะห์พิษเฉียบพลันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถานีวิจัยพืชลำตะคอง วว. โทร. ( 044 ) 390107

Read More...


‘ขนมจีบแป้งสด’ ทำให้เห็นๆเป็นอาชีพทำเงิน

.
.
.
“ขนม จีบ” เป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่สามารถทานได้ทุกเวลา ซึ่งขนมจีบที่เราพบเห็นกันโดยทั่วไป ตามท้องตลาดจะเป็นขนมจีบที่ใช้แผ่นเกี๊ยวห่อไส้ แต่วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลการทำ-การขายขนมจีบอีกรูปแบบมานำเสนอให้ได้ลองพิจารณากัน กับ “ขนมจีบแป้งสด” อีกหนึ่งรูปแบบอาชีพด้านการขายอาหารที่น่าสนใจ…
   
บุษกร ล้านมา หรือ “เมย์” ซึ่งทำขนมจีบแป้งสดขาย เล่าให้ฟังว่า เดิมนั้นเธอเป็นพนักงานประจำเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ มานานหลายปี  ก็รู้สึกเครียดและเบื่อ ที่สำคัญไม่ค่อยมีเวลาเป็นส่วนตัว ประกอบกับแฟนเป็นนักดนตรียิ่งทำให้ไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะเวลาทำงานจะสวนทางกัน จึงทำให้เธอกับแฟนปรึกษากันว่าจะออกจากงานแล้วมาทำธุรกิจส่วนตัว
   
“เราสองคนก็ไปขอสูตรและฝึกทำขนมจีบแป้งสดจาก เจ๊ละม่อม ซึ่งเป็นคุณแม่แฟน ทำขายมากว่า 20 ปี ต้นตำรับดั้งเดิมในนครสวรรค์ ขายดิบขายดีมีลูกค้าขาประจำมากมาย จนสามารถส่งลูก ๆ เรียนจบมาแล้วหลายคน พอเอามาให้เพื่อนชิมก็ตื่นเต้นกันใหญ่บอกว่าอร่อย และไม่เคยเห็นมาก่อน ระหว่างนั้นยังไม่กล้าตัดสินใจ จึงลองทำขายเล่น ๆ ในวันหยุดควบคู่กับการทำงานประจำ เสียงตอบรับดีมาก ทำมาเท่าที่ทำได้ก็ขายหมดเกลี้ยงทุกวัน จากนั้นก็ลาออกจากงานมาช่วยกันทำขายเป็นอาชีพหลัก ทำมาได้นานประมาณ  2 ปีแล้ว”

    exit2134 ขนมจีบแป้งสด ทำให้เห็นๆเป็นอาชีพทำเงิน
 


อุปกรณ์ในการทำหลัก ๆ ก็มี…กระทะใบบัว, ไม้พาย, เครื่องรีดแป้ง, เครื่องตีแป้ง, เครื่องตัด, หม้อนึ่ง, เตาแก๊ส ถ้วยตวง และอุปกรณ์ทั่วไปที่ใช้กันในครัวเรือน วัตถุดิบและส่วนผสมจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ… ส่วนผสมในการทำตัวแป้ง และส่วนผสมในการทำไส้ ซึ่งส่วนผสมในการทำแป้ง ประกอบด้วย แป้งสาลี แป้งมันสำปะหลัง และน้ำสะอาด 
   
สำหรับส่วนผสมในการทำไส้ ตามสูตรประกอบด้วย เนื้อหมูปนมันสับ 10  กิโลกรัม, หอมแดง 1 กิโลกรัม มันแกวสับ 1 กิโลกรัม กระเทียมสับ 1 กิโลกรัม นอกจากนี้ก็ใช้รากผักชี หอมใหญ่สับ น้ำตาล พริกไทยป่น ต้นหอม-ผักชีสับหยาบ น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว น้ำมันงา น้ำมันหอย และเกลือป่น 
   
ขั้นตอนการทำ “ขนมจีบแป้งสด” เริ่มจากนำแป้งสาลีผสมกับแป้งมันสำปะหลัง ผสมรวมกันแล้วร่อน  ใส่น้ำสะอาดตามลงไป คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปตั้งไฟกวนในกระทะให้ส่วนผสมแป้งสุก ล่อนจับตัวเป็นก้อน ยกลงตั้งพักไว้ให้อุ่น แล้วนำแป้งที่ได้มานวดจนแป้งนุ่มและเนียนไม่ติดมือ จากนั้นก็แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ๆ
   
นำก้อนแป้งที่ได้มารีดและโรยด้วยแป้งมัน  รีดให้เป็นแผ่นบางยาว   นำแผ่นแป้งที่ได้มาทับซ้อน ๆ กัน แล้วตัดโดยให้ขนาดของแผ่นแป้งอยู่ที่ประมาณ  2×2  นิ้ว ตั้งพักไว้ รอห่อไส้
   
ส่วนตัวไส้นั้น การทำเริ่มจากนำรากผักชี  พริกไทยป่น และกระเทียม โขลกรวมกันให้ละเอียด เสร็จแล้วนำไปใส่ในเนื้อหมูปนมันสับ  ปรุงรสชาติด้วยน้ำตาล  เกลือ  ซอสปรุงรส  น้ำมันหอย   น้ำมันงา  และต้นหอม-ผักชีสับ  คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี   หมักทิ้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 1-2  ชั่วโมง  ก่อนจะนำออกไปห่อ
   
ต่อไปเป็นขั้นตอนการห่อ  ให้นำแป้งที่เตรียมไว้มาแผ่ลงบนมือ ตักไส้มาวางบนแผ่นแป้งแล้วขึ้นรูปห่อ  ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จีบจนรอบ วนขวา   แล้วล้มจีบไปทางเดียวกัน รวบหัวขนมจีบให้ยาวแล้วหักลงมาเป็นหัวนกกระทุง (จะห่อรูปแบบอื่นก็ได้) เรียงลงในซึ้ง โดยระหว่างรอห่อเสร็จก็ให้ตั้งซึ้งนึ่งให้น้ำเดือดรอไว้ กะน้ำให้พอดี  เมื่อน้ำเดือดแล้วจึงนำขนมจีบลงนึ่งโดยใช้เวลา 15-20 นาที ตัวขนมจีบที่ได้จะแววใสน่ารับประทาน ระหว่างการนึ่งต้องคอยตรวจดูอย่าให้น้ำแห้ง เพราะหากน้ำแห้งแล้วขนมจีบจะแข็งกระด้าง ในการขายก็ต้องมีซอสเปรี้ยว “จิ๊กโฉ่” และทานคู่กับผักกาดหอมและพริกขี้หนูสดสีเขียวแก้เลี่ยน ซึ่งซอสเปรี้ยวเจ้านี้จะทำเองโดยใช้ซีอิ๊วดำหวาน น้ำตาลทราย เกลือ น้ำส้มสายชูกลั่น ผสมกันแล้วต้มให้เดือด ชิมรสตามชอบ
   
ปกติขนมจีบแป้งสดนี้จะอยู่ได้นานประมาณ   2  วัน ทั้งนี้เพราะเป็นแป้งสด จะทำวันต่อวัน  จึงสามารถอยู่ได้นานกว่าขนมจีบทั่วไป  แต่หากเก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้  3-4 วัน  และเก็บในช่องแช่แข็งได้ประมาณ  1 สัปดาห์  นอกจากนี้ เมย์ยังมีซาลาเปาขายควบคู่ไปด้วย ซึ่งซาลาเปาจะมี 2 ไส้คือ ไส้หมูสับและไส้ถั่วดำ
   
ส่วนขนมจีบ ราคาขายชุดเล็ก 12 ลูก 30 บาท และชุดใหญ่ 20 ลูก 50 บาท
   
เรื่องจุดขาย เมย์บอกว่า ไม่ต้องอะไรมาก แค่ปั้นโชว์กันสด ๆ แล้วนึ่งกันเห็น ๆ หน้าร้านเท่านั้น  ซึ่งวันจันทร์, พุธ, พฤหัสฯ จะขายที่ตลาดนัดตอนเย็นหน้าองค์การโทรศัพท์ จ.พระนครศรีอยุธยา วันอังคาร, วันศุกร์ ตลาดนัดเย็นที่ศูนย์กีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิต และวันศุกร์เช้ายังขายที่กรมประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วย
   
ใครสนใจ “ขนมจีบแป้งสด” เจ้านี้ ต้องการติดต่อคุณเมย์ ติดต่อได้โดยตรงที่ โทร. 08-5223-9988 ซึ่งการใช้ขนมจีบแป้งสดเป็น “ช่องทางทำกิน” นี้ ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการทำอาชีพค้าขายอาหารที่มีจุดต่าง ที่ดึงลูกค้าได้เป็นอย่างดี.

สนับสนุนข่าวสารเพื่อการทำมาหากินโดย
dailynews ขนมจีบแป้งสด ทำให้เห็นๆเป็นอาชีพทำเงิน

Read More...


มาหัดตำส้มตำ ไว้ขายเป็นอาชีพเสริมกันดีกว่า

.
.
.
2 1211765226 มาหัดตำส้มตำ ไว้ขายเป็นอาชีพเสริมกันดีกว่า

“ส้มตำ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ของกินชนิดหนึ่ง เอาผลไม้มีมะละกอเป็นต้น มาตำผสมกับเครื่องปรุงมีรสเปรี้ยว บางท้องถิ่นเรียก “ตำส้ม”

“ส้มตำ” เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย(อาจจะรวบถึงชาวต่าศอีกมากมาย ที่รู้จักประเทศไทยจากส้มตำ)ในทุกๆภาคในปัจุบันโดยเฉพาะคนอีสานพบได้ทุกสถาน ที่ โดยเฉพาะตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ทะเล ภูเขา น้ำตก ฯลฯ จะพบอาหารนี้ได้ทุกซอก ทุกมุม ซึ่งหารับประทานได้ง่ายตามสถานที่ทั่วไป แม้แต่ตามซอกซอย ตามภัตตาคารหรือตามห้างต่างๆ เรียกว่า ส้มตำเป็นอาหารจานโปรดของทุกคนเลยก็ได้ ทำเอาพ่อค้าแม่ขายอาชีพนี้รวยไปตามๆ กัน ส้มตำมีหลายประเภท ได้แก่ ส้มตำไทย, ส้มตำไทยใส่ปู, ส้มตำปูใส่ปลาร้า, ส้มตำลาวใส่มะกอก ส้มตำมักรับประทานกับข้าวเหนียว และแกล้มกับผักชนิดต่างๆ และที่ขาดไม่ค่อยได้เลยคือไก่ย่าง ซึ่งจะพบว่าร้านส้มตำเกือบทุกร้านจะต้องขายไก่ย่างควบคู่กันไปด้วย
“ส้มตำ” เป็นภาษากลางที่ใช้เรียกกันทั่วไป ชาวอีสานเรียก ตำบักหุ่ง หรือตำส้ม ส้มตำของชาวอีสานมีความหลากหลายมาก พืชผัก ผลไม้ชนิดต่างๆ ก็สามารถนำมาตำรับประทานได้ทั้งสิ้น เช่น ตำมะละกอ ตำถั่วฝักยาว ตำกล้วยดิบ ตำหัวปลี ตำมะยม ตำลูกยอ ตำแตง ตำสับปะรด ตำมะขาม ตำมะม่วง เป็นต้น ซึ่งจะมีรสชาติที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภท แต่โดยรวมๆแล้วจะเน้นที่ความมีรสจัดจ้านถึงใจและเน้นที่ความเปรี้ยวนำ

ส้มตำ ลาว ของชาวอีสานบางครั้งจะใส่ผลมะกอกพื้นบ้าน(เฉพาะฤดูที่มีผลมะกอกพื้นบ้าน) เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติ โดยฝานเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอ ช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น ส้มตำลาวเป็นเมนูอาหารหลักของชาวอีสานรองจากข้าวเหนียว สามารถรับประทานกันได้ทุกวันและทุกมื้อ

วัฒนธรรมการกินอาหารอย่างหนึ่ง ของชาวอีสาน คือ หากมื้อใดมีการทำส้มตำรับประทานก็มักจะเรียกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมาร่วม สังสรรค์ รับประทานส้มตำด้วย บางคนถึงกับบอกว่า ทานคนเดียวไม่อร่อย ต้องทานหลายๆ คน หรือแย่งกันทาน เรียกว่าส้มตำรวยเพื่อนก็ไม่ผิดนัก และตามงานบุญต่างๆของชาวอีสานจะขาดส้มตำไม่ได้เลย ถ้าขาดส้มตำอาจจะทำให้งานนั้นกร่อยเลยทีเดียว
บาง คนครั้งส้มตำลาวจะอร่อยหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับปลาร้าเป็นสำคัญ ถ้าหากปลาร้าอร่อยมีรสชาติดี ก็จะทำให้ส้มตำลาวครกนั้นมีรสชาติอร่อยไปด้วย ปลาร้าที่ใส่ส้มตำสามารถใส่ได้ทั้งน้ำและตัวปลาร้า หรือบางคนก็ใส่แต่น้ำปลาร้า ใส่เพื่อพอให้มีกลิ่นแล้วแต่คนชอบแต่ต้องทำให้สุกเสียก่อน ชาวอีสานส่วนใหญ่ยังมีความคิดว่ากินปลาร้าดิบแซ่บกว่าปลาร้าสุก ดังนั้นชาวบ้านตามชนบทมักจะใช้ปลาร้าดิบเป็นส่วนประกอบในส้มตำ

ด้วย ความคิดเช่นนี้จึงทำให้กลายคนดินปลาร้าแล้วได้พยาธิ(ส่วนใหญ่จะ เป็นพยาธิใบไม้ในตับ) ประมาณร้อยละ 30 ของน้ำหมักปลาในการหมัก ก็เป็นเพียงการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหาร เป็นพิษได้เท่านั้น แต่ยังไม่มีคำยืนยันจากนักวิชาการว่าเกลือ
สามารถฆ่าพยาธิได้ ดังนั้น ควรใช้ปลาร้าที่ต้มสุกแล้วจะปลอดภัยกว่า นอกจากนี้จากผลการวิจัยขอคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบว่าในปลาร้าดิบมีสารที่ยับยั้งการทำงานของวิตามินบีหนึ่ง ซึ่งการที่จะทำให้สารชนิดนี้หมดไปได้มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ การทำให้สุกโดยใช้ความร้อน

เครื่องปรุง

  • มะละกอสับตามยาว1 ถ้วย (100 กรัม)
  • มะเขือเทศสีดา3 ลูก (30 กรัม)
  • มะกอกสุก1 ลูก (5 กรัม)
  • พริกชี้หนูสด1 ลูก (5 กรัม)
  • พริกชี้หนูสด10 เม็ด (15 กรัม)
  • กระเทียม10 กลีบ (30 กรัม)
  • น้ำมะนาว1-2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
  • น้ำปลา½ ช้อนโต๊ะ (8 กรัม)
  • น้ำปลาร้าต้มสุก1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
  • ผักสด ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ยอดปักบุ้ง ยอดและฝักกระถิน ยอดมะยม ไก่ย่าง แคบหมู

วิธีทำ

1. โขลกกระเทียม พริกขี้หนู พอแตก
2. ใส่มะละกอ มะเขือเทศผ่าซีก ฝานมะกอกเป็นชิ้นบางใส่ลงโขลกเข้าด้วยกัน
3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำปลาร้า น้ำมะนาว โขลกเบาๆ พอเข้ากันชิมตามชอบ รับประทานกับผักสด

สรรพคุณทางยา

ใน ด้านการนำมาทำอาหาร คนไทยทุกภาครู้จักและรับประทานยอดมะกอกเป็นผักสด ในภาคกลางรับประทานยอดอ่อน ใบอ่อน ร่วมกับน้ำพริกปลาร้า เต้าเจี้ยวหลน ชาวอีสารรับประทานร่วมกับลาบก้อย แจ่วป่น และฝานผลเป็นชิ้นรวมกับส้มตำมะละกอหรือพล่ากุ้งช่วยให้รสชาติอร่อยขึ้น

รสชาติอาหาร

ส้มตำ 1ครก จะมีหลายรสชาติ เช่น เปรี้ยว มัน เค็ม หวาน (น้ำตาลแล้วแต่คนชอบ) ขม เปลือกมะนาวหรือผลมะกอก) อุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่ให้คุณค่าแก่ร่างกายสูง โดยเฉพาะเมื่อนำมาแกล้มกินกับผัก คนอีสานนิยมรับประทานกับเส้นขนมจีน ว่ากันว่ารับประทานเข้ากันดีนัก สำหรับ
คน ภาคกลางมักจะรับประทานร่วมกับอาหารอื่นๆ เช่น ส้มตำ-ไก่ย่าง, ลาบ, น้ำตก, ข้าวเหนียว เรียกว่าเป็นเมนูชุดใหญ่ โดยมีส้มตำเป็นอาหารหลักเลยทีเดียว ซึ่งก็จะช่วยให้เราได้สารอาหารประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพิ่มไปด้วย นอกเหนือจากการกินแต่ผักอย่างเดียว

คุณค่าทางโภชนาการ

ส้มตำลาวใส่มะละกอ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 205 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย
- น้ำ 417.77 กรัม
- โปรตีน 17 กรัม
- ไขมัน 2.856 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 29 กรัม
- กาก 5.75 กรัม
- ใยอาหาร 2.67 กรัม
- แคลเซียม 163.4 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 190.36 มิลลิกรัม
- เหล็ก 24.27 มิลลิกรัม
- เบต้าแคโรทีน 473.9 ไมโครกรัม
- วิตามินเอ 12243 IU
- วิตามินบีหนึ่ง 0.552 มิลลิกรัม
- วิตามินบีสอง 0.5 มิลลิกรัม
- ไนอาซิน 5.545 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 162 มิลลิกรัม

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.keajon.com/

Read More...


สูตรวิธีการทำน้ำเต้าหู้ เพื่อรับประทานหรือทำขาย

.
.
.
น้ำเต้าหู้ที่ ทำจากถั่วเหลือง ที่คนไทยรู้จักกันดีตอนที่เราเป็น เด็ก แม่จะซื้อน้ำเต้าหู้มาใหรับประทานทุกวัน หรือไม่ก็ไปหาซื้อกินเองก่อนไปเรียนหรือ ก่อนทำงานบ้าง ทุกวันนี้ยังกินอยู่เลยครับ น้ำเต้าหู้ นับว่ามี ประโยชน์มากเพราะทำมาจากถั่วเหลือง บวกกับเครื่องในที่ใส่เพิ่มอย่าง ลูกเดือย,งา แล้วแต่สูตรใครสูตรมัน คุณค่าของน้ำเต้าหูก็เหมือนกับน้ำนมถั่วเหลืองยิ่งคื่มยิ่งมีประโยชน์ วันนี้เองจึงอยากจะแนะนำการทำน้ำเต้าหู้ เพื่อใครที่สนใจทำเป็นอาชีพ เรามาดูกันเลยว่าขั้นตอนการทำเป็นอย่างไร

ประโยชน์ของน้ำเต้าหู้จากถั่วเหลือง

- ช่วยลดและป้องกัน โรคมะเร็งเต้านมได้
– ช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
– ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร
– ถั่วเหลืองมีสารอะมิโน เอซิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย ที่ช่วย
– เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ
– และยังมีประโยชนือีกมากมาย ดื่มแทนน้ำนมยังได้เลย

ส่วนประกอบการทำน้ำเต้าหู้

img 0676 ขายน้ำเต้าหู้ ของดีมีประโยชน์ ขายง่ายกำไรงาม

ส่วนประกอบ ถั่วเหลืองเลาะเปลือกแยกกากและเศษผงออก 1 ถ้วย ต่อ น้ำสะอาด 7 ถ้วย + น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
– ชำระล้างทำความสะอาดถั่วเหลืองให้สะอาดแล้วแช่น้ำไว้อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
– โม่หรือไม่ก็บดถั่วให้ละเอียด กรองด้วยผ้าสะอาดบางแยกน้ำออก หากมีเครื่องแยกกาก
ก็ใช้เครื่องแยกกากไดเลย
– นำขึ้นตั้งไฟ ตอนใกล้ๆเดือดต้องคอย ๆ คนอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ไหม้
– ใส่น้ำตาลทราย คนให้ละลายแล้วปิดไฟ อาจแยกบางส่วนไม่ใส่น้ำตาลทรายเลยก็ได้ แล้วแต่ชอบ

การลงทุน กับร้านเต้าหู้ แบบรถเข็นหรือคีออส ที่วางขายตามหัวมุมในตลาดนัด หรือตลาดตอนเช้า
ราคาอุปกรณ์จะไม่สูงมากนัก เช่น ค่าคีออส ราคาราว 2000 บาท ค่าป้าย โฆษณาร้าน 500 บาท ค่าอุปกรณ์ เช่น หม้อต้มน้ำเต้าหู้ เป็นต้น
จุดยิ่งใหญ่ของการทำน้ำเต้าหู้อยู่ที่กระบวนการทำต้องหมั่นคนไม่อย่างนั้นจะมีกลิ่นไหม้
น้ำนมถั่วเหลืองบริสุทธิ์ที่ไม่ได้เจือปนสิ่งอี่นใดลงไปเพื่อเพิ่มปริมาตรหรือทำให้แลดูข้น
จะเอร็ดอร่อยและเก็บได้นานกว่า…

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.keajon.com/

Read More...


ด่วนสัมนาฟรี!! กับ K-SME Start-up เพิ่มศักยภาพธุรกิจด้วยหลักสูตรออนไลน์

ธนาคารกสิกรไทย ขอเรียนเชิญสมาชิกโครงการ K-SME Start-up Solutions ทุกท่าน

เรียนหลักสูตรออนไลน์ กับ DBD Academy ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์


ลองทะเบียนสมัครเรียนได้ที่ http://www.dbdacademy.com
สนับสนุนโดย ksmestartup



MassEmail 8June11 resize1 ด่วนสัมนาฟรี!! กับ K SME Start up เพิ่มศักยภาพธุรกิจด้วยหลักสูตรออนไลน์


ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.keajon.com/

Read More...


ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ...ง่ายนิดเดียว

.
.
.
ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก thaifusionfoods.com

          ไม่ผิดใช่ไหม ถ้าเราจะบอกว่า เมนูอาหารยอดฮิตที่ถูกใจทุกบ้านนั่นก็คือ "ไข่เจียว" อ๊ะ ๆ แต่ถึงแม้ "ไข่เจียว" จะเป็นอาหารที่ใคร ๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำง่ายแสนง่าย แต่เชื่อเถอะว่า หลาย ๆ คน ก็ยังทำไข่เจียวไม่เป็น ยิ่งคนที่ไม่เคยเข้าครัว คงต้องปวดหัวกันตั้งแต่เปิดแก๊ส ตั้งกระทะ ตั้งน้ำมันกันเลยล่ะ หรือบางคนอยู่หอพัก ไม่มีกระทะ ไม่มีเตาแก๊ส มีแต่ไมโครเวฟ แต่อยากกินไข่เจียว จะทำยังไงดีอ่ะ

          ไม่ต้องปวดหัวไปค่ะ เราสามารถทอดไข่เจียวหอม ๆ อร่อย ๆ ได้ด้วยไมโครเวฟที่เรามีอยู่นั่นแหละ อย่าเพิ่งสงสัยค่ะว่า มันทำได้ด้วยเหรอ แล้วทำอย่างไรล่ะ งั้นมาลองทำตามสูตร "ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ" จากเว็บไซต์ thaifusionfoods.com กันดูเลย รับรองว่า ไข่เจียวจานนี้อร่อยไม่แพ้จานไหนแน่นอน

ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

          วันนี้อยากกินไข่เจียว ลองทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟกันดีกว่า พอดีมีผักสลัด กับไส้กรอกรมควันเหลือก็เลยเอามาใส่ด้วย ไส้กรอกรมควันทำให้ไข่เจียวหอมขึ้นมากเลยค่ะ


ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

          เริ่มแรก ตีไข่สองฟอง ใส่ผักสลัดที่มีกะหล่ำปลี แครอทหั่นฝอย ธัญพืชเล็กน้อย แล้วก็ไส้กรอกรมควัน ใส่น้ำปลากับผงปรุงรส พริกไทยเล็กน้อย ตีให้เข้ากัน

ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

          นำกระทะที่ใช้สำหรับไมโครเวฟเข้าไมโครเวฟก่อนสัก 3 นาทีให้กระทะร้อน ๆ จากนั้นก็ใส่น้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย แล้วนำเข้าไมโครเวฟอีกครั้ง เปิดไฟแรงสุดอีก 1-2 นาที ให้น้ำมันร้อน จากนั้นก็นำออกมาเทไข่เจียวที่ตีไว้


ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

          นำกระทะเข้าไมโครเวฟแล้วใช้ฝาปิด เปิดไฟแรงสุดสัก 2 นาที เอากระทะออกมาดูว่า ไข่ด้านหน้าสุกหรือยัง ถ้ายังก็นำกลับเข้าไมโครเวฟอีกสัก 2 นาที อย่าใช้เวลานานเกินไปนะคะ เพราะด้านหน้าของไข่จะแข็งกระด้างไม่น่าทานค่ะ (ถ้าใครไม่มีกระทะแบบนี้ ใช้ชามแก้วทนไฟใส่น้ำมันก็ใช้แทนกันได้ค่ะ แต่กระทะแบบนี้จะช่วยเก็บความร้อนทำให้สุกง่ายขึ้น)


ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

          นำกระทะออกมาจากไมโครเวฟ ก็จะได้ไข่เจียวทานแล้ว มองแล้วเหมือนพิซซ่าเลย ไข่หอมแล้วก็นุ่ม ๆ

          ตักมาทานกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยแล้วค่ะ


ทอดไข่เจียวด้วยไมโครเวฟ

          เห็นไหมว่า ไข่เจียวจากไมโครเวฟจานนี้ทำได้ง่าย ๆ ไม่ยากเลย ว่าแล้วก็ลองนำไอเดียดี ๆ จาก thaifusionfoods.com ไปประยุกต์ทำดูกันได้นะจ๊ะ

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.