สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

วุ้นแก้วมังกร


อากาศร้อนๆ ชวนมาลองทำ "วุ้นแก้วมังกร" ทานเล่น
หวานเย็นๆ สีสวย พร้อมเป็นของฝากได้อีกด้วยค่า ^^
ไม่ชอบทานแก้วมังกรเปล่าๆ ลูกปลาว่ามันจืดๆไม่อร่อยเลย
นำมาแปรรูป แบบมั่วซั่ว ออกมาเป็น "วุ้นแก้วมังกร"
สีสวย ไว้หลอกเด็กได้เลยค่ะ คิดเอง..เออเองว่าอร่อย 555



จริงแล้ว วุ้นแก้วมังกรนี่ได้ไอเดียมาจากหนังสือ ชีวิจิต เล่มไหนไม่ทราบ นานแล้วค่ะ
เค้าลงสูตรทำ น้ำแก้วมังกร ทานแก้โรคอะไรหลายอย่าง.. จำไม่ได้แล้วค่ะ (^^")
ลูกปลาเลยเอามาดัดแปลง ทำเป็นวุ้นแก้วมังกรซ๊ะเลย หวานๆเย็นๆอร่อยดีค่ะ



ส่วนผสมนะค่ะ

เปลือกแก้วมังกร ล้างให้สะอาดหั่นเป็นสี่เหลี่ยม หรือหั่นหยาบๆก็ได้ค่ะ
เนื้อแก้วมังกร หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
น้ำตาล จริงๆอยากใช้น้ำตาลกรวด แต่ไม่มีเลยใช้น้ำตาลทรายแทนค่ะ
ผงวุ้น ใช้ผงวุ้นที่ทำขนมนี่ค่ะ พอดีมีผงวุ้นกลิ่นดอกไม้ไทย เลยใส่ไปด้วย
เหออออ....มั่วดีจริงๆ (^^")



นำเปลือกแก้วมังกรที่ล้างสะอาดหั่นหยาบไปต้มกับน้ำสะอาด
วันนี้ลูกปลาใช้แก้วมังกรไปสี่ลูก ต้มน้ำประมาณ 5-6 ถ้วยตวงค่ะ



ต้มไปซั๊กพัก พอเปลือกแก้วมังกรเริ่มจะสุกก็ใส่ผงวุ้น กับน้ำตาลทรายค่ะ
น้ำ 6 ถต. ใส่ผงว้น 1 ชช. กับผงวุ้นโลโบ้ 1ซอง และน้ำตาลทราย 1 ถต.
ต้มต่อไปเรื่อยๆ จนน้ำเดือดอีกครั้ง ก็ปิดเตายกลงพักไห้คลายร้อนสักครู่ค่ะ



ระหว่างรอ เราก็เอาเนื้อแก้วมังกรที่หั่นไว้มาใส่ลงในพิมพ์ตามต้องการค่ะ



นำเปลือกแก้วมังกรที่ต้มไว้ต่ากี๊ มากรองเอาแต่น้ำค่ะ สีสวยม๊ากกก~ ^^



พอน้ำแก้วมังกร เริ่มคลายร้อนบ้างแล้วก็เทลงพิมพ์เลยค่ะ
แต่อย่ารจนเย็นเกินไปนะค่ะ ไม่งั้นวุ้นเซ็ทตัวแล้วจะยุ่ง 555



ถ้าใครไม่ชอบทานวุ้น ตอนต้มเปลือกก็ไม่ต้องใส่ผงวุ้นนะคะ
จะได้น้ำแก้วมังกร เอาไว้ทานเล่นใส่น้ำแข็งกับเนื้อแก้วมังกรค่ะ



มาดูใกล้ๆกันหน่อย...สีสวยเนอะ ^^



เปลือกแก้วมังกรที่กรองออกมา...น่ากินเนอะ ทิ้งด้วยความเสียดาย
เอาไปทำไรได้มั่งหว่า ลืมชิม มัวแต่รีบๆ ไม่รู้กินได้มั้ย (^^")



เสร็จแล้วก็นำไปแช่ตู้เย็นเลยนะค่ะ แป๊ปเดียวก็เซ็ทตัวแล้วค่ะ



ถ้วยแบบนี้ เป็นถ้วยพลาสติกนะค่ะ ลูกปลาซื้อที่ร้านชวนชม ตกใบละประมาณ 15 บาทค่ะ



เค้าขายเป็นแพค แพคละสิบใบ วันนี้เอาใช้ไปห้าใบ ที่เหลือเก็บไว้ทำคราวหน้าค่ะ อิอิ



วุ้นธรรมดา ใส่ถ้วยใบนี้ ทำให้เป็นวุ้นที่ดูดี มีชาติตระกูลขึ้นมาทันที อิอิ



หรือจะเป็นถ้วยแบบนี้ก็ได้ค่ะ ใบใหญ่หน่อย แต่ก็แพงกว่าถ้วยแก้วต่ากี๊อีก เหอๆ (^^")



ที่แพงกว่า คงเป็นเพราะว่ามีฝาปิดด้วยแหละ ลูกปลาว่ามันสวยดีเนอะ ^^



พอปิดฝาแล้ว จะเป็นทรงแบบนี้นะค่ะ



รูปหมู่ เซ็ทแรก เอามาเฉพาะที่พิมพ์สวยๆค่ะ อิอิ



ถ้าไม่อยากเสียตังค่าพิมพ์ แนะนำแบบ รีไซเคิลค่ะ
อันนี้ใช่กล่องใส่ขนมหวาน ซื้อมาจากห้าง ล้างสะอาด ใช้ได้เหมือนกันค่ะ ^^



เสร็จเรียบร้อยแล้วละค่ะ "วุ้นแก้วมังกร"
ทำไว้ทานเล่นเอง หรือให้เป็นของฝากก็เก๋ดีนะค่ะ ^^
 
 
credit : http://lukpla.bloggang.com

Read More...


ปิ่นโต เดลิเวอร์รี่ ธุรกิจอาหาร ส่งได้ถึงบ้าน

ขอนำเสนอข้อมูลธุรกิจดี ๆ อีกหนึ่งธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องปากท้องของคนเมือง เป็นธุรกิจที่สวนกระแสเศรษกิจในบ้านเมืองนี้เป็นอย่างมาก เพราะเนื่องจากสามารถตอบสนองความต้องการของคนไทย ที่หันมาเน้นอยู่บ้านกันมากขึ้น ทำไมถึงอยู่บ้านมากขึ้น... นั้นก็เพราะการเดินทางนอกบ้านในแต่ละครั้ง ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง และการจราจรที่ติดขัดเป็นระยะ ชวนให้หงุดหงิด อารมณ์เสียได้ตลอดเวลานั่นเอง


ปิ่นโต เดลิเวอร์รี่ ธุรกิจอาหาร ส่งได้ถึงบ้าน
เมนูข้าวกล่องข้าวผัดอเมริกัน และแกงเขียวหวานไข่เค็มปลาสลิด
อีก ทั้งวิถีชีวิตของคนเมืองอย่างเรา ๆ จำนวนมาก ไม่ค่อยที่จะมีเวลาทำอาหารรับประทานกันเองที่บ้าน เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และการทำงานมากพอสมควรอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นการซื้ออาหารจากนอกบ้านมารับประทาน หรือทานจากนอกบ้านให้เสร็จเรียบร้อยเลย

แต่ดั้งเดิมเรียกขานกันว่า อาหารปิ่นโต แต่มายุคนี้เห็นทีจะเชยถ้าเอ่ยเรียกว่าอย่างนั้น หลายท่านจึงนิยมเรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษให้ฟังดูโก้ว่า อาหารดีลิเวอรี่ (Delivery) นั่นเอง

สิริกร ดีลิเวอรี่ ผู้ประกอบการด้านอาหารส่งตรงถึงบ้าน เริ่มดำเนินกิจการเมื่อไม่นานมานี้ แม้จะมีจุดเริ่มต้นจากครัวเล็กๆ หลังบ้าน แต่ไม่นานสามารถเติบโตจนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง
ปิ่นโต เดลิเวอร์รี่ ธุรกิจอาหาร ส่งได้ถึงบ้าน

แม้จะให้บริการได้เฉพาะพื้นที่ ย่านชานเมืองแถบฝั่งธนบุรี และยังไม่โด่งดังเทียบเท่ากับแบรนด์ใหญ่ แต่หุ้นส่วนคนสำคัญของกิจการนี้ ขอการันตีตัวเองว่า คุณภาพสินค้าและบริการของเขานั้นไม่น้อยหน้าใคร

ในโอกาสนี้ เขาได้กรุณาสละเวลามาถ่ายทอดให้คนที่สนใจ ต้องการเสนอตัวเข้ามาเป็นผู้ประกอบการด้านอาหารดีลิเวอรี่ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปตลอดจนเทคนิคสำคัญในการตั้งต้นเป็นอาชีพ แบบไม่หวงวิชากันเลยทีเดียว

ปิ่นโต เดลิเวอร์รี่ ธุรกิจอาหาร ส่งได้ถึงบ้าน
ชะอมไฟแดงห่อไข่

ยังมีช่องว่างน่าลุ้น
ธุรกิจ ด้านอาหาร ไม่ต้องเปิดเป็นร้านก็ได้ เพราะยังมีทางเลือกอื่นอีกหลายทาง ที่จะนำสินค้าไปส่งลูกค้าได้เหมือนกัน และธุรกิจอาหารดีลิเวอรี่นั้น ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเท่ากับการเปิดเป็นร้าน ขอให้มีฝีมือในการทำอาหารและจัดการให้ดีก็พอ คุณภูวนาถ อินทราทิพย์ หุ้นส่วนคนสำคัญในกิจการ "สิริกร ดีลิเวอรี่" ในวัย 47 ปี เริ่มต้นบทสนทนา ก่อนเล่าความเป็นมาส่วนตัว ให้รู้จักกันมากขึ้นว่า ศึกษาจบมาทางด้านรัฐศาสตร์ แต่ไม่เคยทำงานตามสายที่ร่ำเรียนมา เพราะมีใจรักด้านการทำธุรกิจ เคยทำมาแล้วหลายอย่าง ทั้งงานโฆษณา อู่ซ่อมรถ กระทั่งร้านอาหารของตัวเอง

เราจับประเด็นว่าตลาดอาหารดีลิเวอ รี่นี้ น่าจะมีช่องว่างให้เข้าไปแทรกได้ เลยเริ่มต้นด้วยการศึกษาตัวอย่างจากรายใหญ่แบรนด์ดังๆ ที่เขาทำมาก่อนหน้าแล้ว โดยดูทั้งกลยุทธ์ด้านการตลาด เมนูอาหาร พื้นที่จัดส่ง เราหาข้อมูลเหล่านี้กันนานพอสมควร ไม่งั้นคงจะเข้าไปแทรกขอแบ่งตลาดได้ลำบาก
ปิ่นโต เดลิเวอร์รี่ ธุรกิจอาหาร ส่งได้ถึงบ้าน
สปาเก็ตตี้ไก่

หลังจากปิ่นโตมื้อเย็น ได้รับความนิยมมากขึ้น จึงประชาสัมพันธ์ตัวเองเพิ่มขึ้น ผ่านทางเว็บไซต์ ทำให้มีการถามถึงอาหารกลางวันและอาหารสำหรับงานประชุม สัมมนา จึงตัดสินใจเพิ่มการบริการในส่วนนี้ขึ้นมา ปัจจุบันเลยมีบริการทั้งอาหารปิ่นโตมื้อกลางวัน-เย็น อาหารกล่อง และสแน็กบ็อกซ์

ก่อนบอกถึงเทคนิคสำคัญของการทำ ธุรกิจอาหารดีลิเวอรี่ด้วยว่า การจัดส่งให้ตรงเวลานั้นมีความสำคัญมาก เพราะไม่ว่าอาหารของคุณจะดียังไง ถ้าส่งไม่ตรงเวลา ลูกค้าไปหมดแน่ ฉะนั้น อาจต้องสร้างทีมส่งของตัวเองไว้สัก 2 สาย ที่เหลืออาจเป็น "ม้าด่วน" ที่ไว้ใจได้

การ ส่งอาหารกำหนดเป็นช่วงเวลา มื้อเวลากลางวัน ส่ง 10 โมงเช้าถึงเที่ยง มื้อเย็นส่ง 4 โมงถึง 6 โมงเย็น และต้องทำความเข้าใจกับลูกค้าว่า การกำหนดเวลาตายตัวในการรับอาหารนั้น ทำได้แค่ใกล้เคียงที่สุด เพราะต้องส่งให้ลูกค้าหลายเจ้า แต่ถ้าลูกค้าได้รับอาหารเวลาไหน จะได้รับเวลานั้นตลอด ต้องพูดให้เข้าใจตรงกันก่อน

จากสถิติ จากศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ พบว่า ในปี 2551 ธุรกิจดีลิเวอรี่สินค้าอาหารในประเทศไทยนั้น มีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปี 2550

และนี้ก็คือข้อมูลดี ๆ ที่ทางรักอาชีพ ได้เรียบเรียงมาให้ทุกท่านได้อ่านกัน โดยธุรกิจนี้ แน่นอนเลยว่า การเติบโตนั้นดีแน่นอน เพราะเป็นธุรกิจในเรื่องของอาหารการกิน ที่ตอบสนองความต้องการของคนเมืองให้อย่างสมบูรณ์ หากสนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :

โทร. 08-1139- 3355
อีเมลล์. fooddelivery2@gmail.com
เว็บไซต์. http://sirikorndelivery.multiply.com

Read More...


อาชีพขายผลไม้สด หรือ สับเฉาะ


\

เมืองไทยเป็นเมืองร้อนอากาศอบอ้าว แต่โชคดีที่บ้านเรามีผลไม้หลากหลายให้เลือกรับประทาน อาชีพขายผลไม้สด หรือสับเฉาะ เป็นอาชีพที่น่าสนใจ เพราะคนซื้อนิยมความสะดวก ซื้อง่ายขายคล่อง ทำกำไรได้ดี

ข้อดีของอาชีขายผลไม้สด

1. อาชีพนี้ขายได้ทุกวัน ขายง่ายใครๆก้นิยมกิน ผลไม้จะขายได้ดีกว่าขนมหรือของกินอื่นๆ เพราะมีคนจำนวนมากที่นิยมกินกัน ไม่ว่าใครๆก็นิยมกินผลไม้ ยิ่งใกล้แหล่งนักเรียนนักศึกษาหรือแถวสถานีขน ขายได้แม้ว่าจะเวลาดึกดื่นแค่ไหน และกินได้ทุกฤดูกาล

2.เป็นอาชีพที่ ขายสะดวก ไม่ต้องปรุงก่อนขาย ไม่ยุ่งยาก ปอกเปลือกเสร็จ ก็เฉาะขายได้ทันที อาชีพนี้ก็มีข้อดี ผลไม้จะอร่อยด้วยตัวของมันเอง ไม่จำเป็นจะต้องใช้ฝีมือในการปรุงเข้ามาช่วยเลย ผลไม้รสชาติที่สดกรอบอร่อยในตัว

3. อาชีพนี้ขายโดยเงินลงทุนน้อย ไม่ต้องจัดหาถ้วยชาม ไม่ต้องมีเงินหลักหมื่นหลักแสนก็สามารถทำธุรกิจได้ อาจซื้อมาน้อยเดินเร่ขายน้อย แต่ถ้ามีเงินเยอะก็สามารถใช้เงิน คัดเกรทผลไม้ดีๆมาจัดวางขายบนรถเข็น บนแผงผลไม้ มีตู้กระจก มีน้ำแข็งรักษาความสด และสามารถเลือกขาย ณ ทำเลหรูมีแอร์ อย่างแถวศูนย์การค้า แถวหน้าโรงหนัง หรือแถวFood Centerของสำนักงานตึกสูงๆ และจ้างเด็กขาย

4. อาชีพนี้ขายได้กำไรสูง กำไรเป็นเท่าตัวอาชีพขายผล เมื่อเฉาะแบ่งขายแล้วจะได้กำไรเป็นเท่าตัวยกตัวอย่างเช่น -แตงโมลูกละ 40 บาท จะแบ่งขายได้ 8 ชิ้น ชิ้นละ 10 บาท= 80 บาท ถ้าลูกขนาดปกติลูกละ 30 บาท จะแบ่งขายได้ 6 ชิ้น ชิ้นละ 10 บาท = 60 บาท-แคนตาลูปเนื้อเหลืองหวานหอม ลูกละ 33 บาท จะแบ่งขาย 2 ซีก ซีกละ 33 บาท-มะละกอแขกดำสุก ลูกละ 30 บาท จะแบ่งขายได้ 6 ชิ้น ชิ้นละ 10 บาท = 60-สับปะรด1 ลูก ลูกละ 30 บาท จะแบ่งขายได้ 6 ชิ้น ชิ้นละ 10 บาท = 60 บาท-ฝรั่งสด กิโลกรัมละ 30 บาทประมาณ 3 ลูก จะเฉาะใส่ถุงได้ 6 ถุง ถุงละ 10บาท = 60-ชมพู่ องุ่น มันแกวก็เช่นกัน ซื้อมาเป็นกิโล แบ่งขายถุงละ 10 บาท ได้กำไรเท่าตัวทุกประเภทส้มเช้ง ละมุด พวกนี้จะยากตอนปอกเลือกและตัดแบ่งขาย แต่ราคาที่ขายถุงละ 20 บาท ก็ได้กำไรเท่าตัวทุกประเภทเช่นเดียวกัน

หากสนใจจะทำอาชีพขายผลไม้นี้ สิ่งที่ควรจะมีคือ
1. ต้องรู้และเข้าใจธรรมชาติของผลไม้ และต้องเลือกผลไม้เป็น ต้องรู้ว่าผลไม้บางอย่างซื้อเก็บไม่ได้ เช่น ฝรั่ง ชมพู่ องุ่น มันแกว ถ้าซื้อเก็บมันจะไม่สด ต้องซื้อผลไม้พวกนี้วันต่อวัน แต่ผลไม้บางอย่างท่านซื้อเก็บได้ เช่น สับปะรด ส้มเช้ง มะละกอ แตงโม และยังมีผลไม้บางอย่างต้องจับต้องและห่อหุ้มต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่งั้นผลไม้จะช้ำเสียหมด เช่น ฝรั่ง ชมพู่ ละมุด มะละกอ การเลือกผลไม้เป็น เมื่อปอกออกแล้วจะต้องเป็นผลไม้ที่กินอร่อย อาจจะต้องศึกษาข้อมูลการเลือกผลไม้ในระยะแริ่มแรก เมื่อเก่งและชำนาญแล้วก้สามารถเลือกได้ง่ายๆ การเลือกซื้อผลไม้ไม่ควรเลือกซื้จากจากผู้ขายเจ้าเดียว ควรเลือกผลไม้ที่ดีที่สุดจากผู้ขายหลายเจ้า หมายความว่าเราต้องรู้แหล่งผู้ขายหลายเจ้าด้วยว่าอยู่ที่ไหน เช่น ตลาดสี่มุมเมือง ,ตลาดมหานาคและต้องรู้ว่าเวลาที่ผลไม้แต่ละชนิดลงขาย และควรจะขยันไปเลือกซื้อก่อนผู้อื่นทุกวัน หากราคาที่ซื้อจะแพงหน่อย ก็อาจจะจะยอมซื้อเพื่อหวังขายคุณภาพเพื่อให้ลูกค้าติดใจ

2. ต้องปอกผลไม้ได้สวยและเฉาะแบ่งผลไม้เป็น ต้องหัดปอกผลไม้ให้สวย และเแาะผลไม้ได้เร็ว ผลไม้จะสวย ดูน่ากิน ขนาดเท่ากันไม่ช้ำ มีดคม ไม่เฉือนเนื้อออกเยอะเกินไป ไม่ตัดแบ่งผลไม้แล้วเหลือเศษชิ้นเล็กๆมากเกินไป

3. ร้านขายผลไม้ต้องสะอาดล้างผิวผลไม้ล้างให้สะอาดแต่เบามือเพื่อป้องกันผลไม้ ช้ำ อาจต้องล้างด้วยผ้านุ่มหรือฟองน้ำผิวละเอียด อาจต้องล้าง 2 น้ำ ผลไม้บางชนิดอาจต้องล้างด้วยด่างทับทิมหรือ (baking soda) เพื่อให้สะอาดปราศจากสารปนเปื้อนและสารเคมี ยาฆ่าแมลง มือที่จะจับหรือปอกผลไม้ต้องสะอาด ใช้มีดที่สะอาด ถุงหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะใส่ผลไม้ ต้องสะอาดถัง กะละมังที่ใช้ จัดวางบรรจุภัณฑ์ในตู้แช่ความเย็นที่สะอาดปราศจากแมลงและฝุ่น มือผู้ขายที่หยิบจับเงินจากลูกค้าจะหยิบได้แค่บรรจุภัณฑ์ผลไม้ ต้องไม่หยิบจับตัวผลไม้โดยตรง

4. ท่านจะต้องหาตลาดหรือทำเลเป็นบางครั้งอาจจะจ้างคนช่วยขาย ขายบนรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ขายบนรถเข็น ขายบนรถกระบะที่ขับตระเวนไปจอดขายตามที่ต่างๆ ต้องดูว่าแถวๆนั้นไม่ควรมีร้านค้าคู่แข่ง หรือเราสามารถแข่งขันได้เช่น อาจขายใกล้ป้ายรถเมล์ หน้าโรงพยาบาล ตลาดนัด หน้าโรงเรียนสถานศึกษา ขายหน้าโรงงาน ใกล้ร้านอาหาร ใกล้สถานที่ราชการ ขายหน้าโรงงาน ขายใกล้สวนสาธารณะหรือสนามกีฬา ตอนกลางคืนอาจจะขายหน้าสถานบันเทิง ฯลฯ

5.ต้องหากลยุทธ์ในการขายผลไม้

• ท่านอาจจะทำบรรจุภัณฑ์ให้ดูดีน่ากิน น่าซื้อ หากบรรจุในถุงพลาสติก แม็กปากถุงขาย ใส่จำนวนน้อยหน่อย ขายถุงละ 10 บาท หรืออาจจะใส่ถาดโฟมแล้วปิดทับด้วยฟิล์มถนอมอาหาร ขายถาดละ 15 -20 บาท
• นอกจากขายปลีกแล้ว อาจจะทำแบบขายส่ง แจกเบอร์โทรศัพท์ แล้วให้เด็กนำไปส่งตามสถานที่ต่างๆ เห็นฝรั่งแช่บ๊วยทำแบบนี้ ก็มีลูกค้ามากมายทำเป้นอาชีพหลักได้เลย
• มีหลายหน่วยงานหรือสถานที่ราชการ ที่จัดเบรค เป้นของว่าง ที่ต้องการรับซื้อผลไม้พร้อมกิน ขอให้ส่งถึงที่ ขณะประชุม และขณะฝึกอบรมตอนบ่าย หากท่านขายเป็นเบรกของว่างขณะประชุมหรือขณะฝึกอบรมได้สัก 2 หน่วยงาน โดยขายได้สักวันละจำนวน 100 หากสามารถติดต่อสถานที่ราชการหรือหน่วยงานได้แบบนี้ทุกวันก้แทบจะไม่จำเป็น ต้องมีหน้าร้านเลยทีเดียวผลไม้ที่มีให้เลือก 2 ชนิด ที่สด รสชาติดี ตัดแต่งสวย บรรจุสวยและสะอาด ราคาขายไม่แพงเกินไป
• การขายปลีกหรือขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขายปลีกเอง อาจต้องจ้างเด็กมาช่วยขายแทน เพื่อขยายและเพิ่มช่องทางการขายได้อีกหลายๆแบบ อาจต้องตกแต่งรถมอเตอร์ไซค์ให้สีสวยสะดุดตา สะอาดนี้ซื้อ น่ากิน เสื้อผ้าสะอาดสีสวยสะดุดตา บรรจุภัณฑ์ที่สวยแปลกตาน่าซื้อ
• ผลไม้ที่จะขายต้องเน้นมีรสชาติดี สดใหม่ด้วย แช่เย็น กินแล้วฉ่ำ น่ากิน สีสันสวยงาม
• ถ้าขายผลไม้ไม่หมด ควรคิดค้นวิธีแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ อาจจะตากแห้งอบ หรือปรุงรสเพิ่มเติม สามารถนำไปวางขายเป็นถุงร่วมกับผลไม้สด เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของลูกค้า และเพิ่มมูลค่าให้สินค้าไปในตัว

**ประโยชน์ของผลไม้ที่มีต่อร่างกายคนเรา
1. พบว่า สตรอเบอรี่มีวิตามินซี อี คาโรทีนอยด์ (คล้ายเบต้าแคโรทีน) และฟลาโวนอยด์ สูงที่สุด

2.ส้มหรือผลไม้สีเหลือง จะป้องกันหรือลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ

3. นมมีประโยชน์มากกว่าน้ำผลไม้สำหรับเด็ก เพราะนมจะมีโปรตีนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก หากต้องการให้เด็กได้วิตามินเสริม อาจให้เด็กทานโยเกิร์ตกับผลไม้ หรือนมกับธัญพืช

4. ถ้าเป็นเบาหวาน ควรทานวิตามินซีให้มากๆ วิตามินซีจะหาได้จาก ส้ม ฝรั่ง สตรอเบอรี่ นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่าผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเบาหวานหากทานวิตามินซีวันละ1000 มิลลิกรัม เป็นเวลา 4 เดือน พวกเขาจะมีคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ ลดลง และระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น

5.ทานมะเขือเทศทุกวัน จะช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยง การเกิดมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก

6. ชา หัวหอม และแอปเปิล จะช่วยลดคอเลสตอรอลตัวไม่ดี ทำให้เลือดไม่เกาะตัวเป็นก้อนและอุดตันเส้นเลือด

7. ลูกเกด จะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ และวิตามินบี จัดอยู่ในกลุ่มธัญพืชที่ควรรับประทานเป็นอาหารเช้า ร่วมกับนมและธัญพืชอื่น หรือจะใช้เป็นอาหารว่างร่วมกับถั่วต่างๆ

8. ทานผลไม้สดๆเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดหัวใจวายแบบเฉียบพลันจะน้อยลง 24% ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดสมองอุดตันแบบเฉียบพลัน 32%

Read More...


ธุรกิจ ข้าวแกงทอด

ข้าวแกงทอด เมนูที่น่าสนใจนี้จึงทำให้มีคนให้ความสนใจโดยคิดเอาผลจากการวิจัยมา ปรับปรุงและผลิตจัดจำหน่าย สร้างเป็นอาชีพอย่างได้ผลเกินคาด


ข้าวแกง หรือ ข้าวราดแกง เป็นเมนูอาหารฮิตที่คนไทยชื่นชอบ ส่วนมากผู้คนจะนิยมรับประทานข้าวแกงในแต่ละมื้ออาหารแล้วก็จบกันไป เพราะการรับประทานข้าวกับแกงที่สดๆ ใหม่ๆ ก็จะมีรสชาติอร่อย หากทิ้งแกงไว้นานนักก็จะลดความอร่อยลงไป ฉะนั้น ข้าวแกงจึงมีจุดจำกัดในเงื่อนเวลากับรสชาติอาหารอย่างน่าเสียดาย

อย่างไรก็ตาม รสชาติความอร่อยของแกงนั้นยังคงเป็นเสน่ห์สำหรับอาหารไทยที่ชวนให้น่ารับ ประทานอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีนักวิจัยไทยค้นคิดเอาข้าวสุกมาผสมกับตัวแกงอร่อยของไทยหลายชนิด มาปรุงแต่งเป็นอาหารแบบกึ่งสำเร็จแล้วจะนำไปแช่แข็งเก็บไว้ได้นานหลายเดือน เมื่อต้องการจะรับประทานก็นำออกจากช่องฟรีซทิ้งไว้สักพักแล้วนำไปทอดใช้เวลา 2-3 นาทีเท่านั้น ท่านก็จะได้รับประทานข้าวแกงทอดเป็น ชิ้นขนาดย่อมพอรับประทานพร้อมความ อร่อยอย่างสมบูรณ์ที่มีกลิ่นอายของข้าวแกงไทยอย่างน่าสนใจ ซึ่ง อาจารย์เพลินใจ ตังคณะกุล แห่งสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เป็นผู้ค้นคิดงานวิจัยที่ชื่อว่า ข้าวแกงทอดกึ่งสำเร็จรูป โดยได้รับรางวัลชนะเลิศโล่พระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปี 2550 (RICE INNOVATION AWARD 2007) ในงานวันนวัตกรรมแห่งชาติ ที่อิมแพค อารีนา เมืองทองธานี

จากนวัตกรรม ข้าวแกงทอด ที่น่าสนใจนี้จึงทำให้มีคนให้ความสนใจโดยคิดเอาผลจากการวิจัยดังกล่าวนี้มา ปรับปรุงและผลิตจัดจำหน่าย สร้างเป็นอาชีพอย่างได้ผลเกินคาด
คุณ อภิญญา จึงถาวรสถิตย์ หรือ คุณตุ้ย สาววัย 28 ปี สำเร็จการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เป็นผู้หนึ่งที่น่าสนใจนำเอานวัตกรรม ข้าวแกงทอด มาทดลองและผลิตจำหน่ายดูและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

หลังจากจบการศึกษาแล้ว คุณตุ้ยก็ให้ความสนใจในด้านการทำมาหากินมาโดยตลอด ได้เริ่มจากการทำหมูสะเต๊ะขายก็ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ต่อมาก็หันมาค้าขายขนมสไตล์เกาหลีก็ได้ผลดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่พอใจนัก

แม่ค้าสาวสวยได้เล่าเสริมให้ฟังว่า เธอโชคดีได้พบและรู้จักกับป้าอู๊ดที่ได้นำเอาแนวคิดวิจัย ข้าวแกงทอด มาผลิตเปิดจำหน่ายอยู่แถวจังหวัดนครปฐม หลังจากคุณตุ้ยได้มีโอกาสชิมรสชาติข้าวแกงทอดของ ป้าอู๊ดแล้วก็รู้สึกพอใจในรสชาติที่ดูคล้ายๆ จะเป็นอาหารกึ่งสำเร็จรูป รับประทานแล้วถูกปากน่าสนใจ ดังนั้น เธอจึงคิดอยากจะลองทำดูบ้าง ต่อมาจึงขอสมัครเป็นลูกศิษย์ป้าอู๊ด ซึ่งทางป้าอู๊ดก็ไม่รังเกียจ ช่วยถ่ายทอดความรู้การผลิตข้าวแกงทอดให้ลูกศิษย์อย่างเต็มที่

ในที่สุด คุณตุ้ยก็ได้รับความรู้การผลิตข้าวแกงทอดจากป้าอู๊ดอย่างเป็นเรื่องเป็นราว


ตัวอย่างการผลิต ข้าวแกงทอด รสหมูผัดกระเพราโดยคุณตุ้ย ดังนี้
1. นำเอาข้าวหอมมะลิขนาด 5 ถ้วย มาหุงผสมกับข้าวเหนียว 1 ถ้วย แล้วหุงไปตามปกติ
2. ขณะเดียวกัน ก็จัดทำหมูผัดใบกะเพราประกอบด้วยผัดหมูกับกระเทียมตำผสมพริกขี้หนูปรุงรสชาติให้อร่อยและเติมใบกะเพราช่วยชูรสตอนจบ
3. ก่อนจะนำเอาข้าวสวยที่หุงสุกแล้วมาคลุกกับหมูผัดใบกะเพรา ควรมีการเติมผงรสดีช่วยชูความอร่อยต่อจากนั้นจึงทำการคลุกเคล้าข้าวสวยผสม หมูผัดใบกะเพราให้เข้ากันดี
4. เมื่อได้ข้าวคลุกกับหมูผัดใบกะเพราเข้ากันดีแล้วจึงนำไปใส่แบบพิมพ์
5. เมื่อดึงออกจากแบบพิมพ์แล้ว หลังจากนั้นก็นำแป้งสาลีคลุกกับข้าวผสมกับหมูผัดใบกะเพรา ก่อนจะนำไปแช่ตู้เย็นควรนำไปทอดให้ร้อนสักเล็กน้อย
6. ก่อนบริโภคหรือจำหน่ายควรนำข้าวแกงทอดสำเร็จรูปไปคลุกด้วยเกล็ดขนมปังอีกครั้ง เพื่อช่วยไม่ให้ข้าวแกงทอดเมื่อทอดแล้วจะมีรูปทรงไม่แตกออก การทอดข้าวแกงทอดสำเร็จใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที แล้วจึงนำขึ้นจากกระทะรอให้สะเด็ดน้ำมันแล้วจึงนำไปจำหน่ายหรือใช้บริโภคต่อไป
ข้าวแกงทอด คุณตุ้ย อาหารบริโภคของคนยุคใหม่

คุณตุ้ยได้ทดลองเปิดตลาดข้าวแกงทอด ในช่วงแรกไปจำหน่ายตามตลาดทั่วไป โดยทำการผลิตวันแรก 300 ลูก ขายได้กำไร 1,000 บาท ทำให้เธอเกิดมีกำลังใจที่จะค้าขายต่อไป จากการสังเกตลูกค้าส่วนมากจะสนใจสินค้าข้าวแกงทอด ว่าเป็นของแปลกใหม่ น่าทดลองบริโภคดู พอรับประทานแล้วติดใจในรสชาติ ดังนั้นแม่ค้าสาวจึงเริ่มคิดปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้หลากหลายรสชาติเพื่อให้ ลูกค้า เพิ่มความสนใจ มีทางเลือกที่จะซื้อสินค้าได้มากขึ้น และยังพยายามขยายตลาดให้กว้างขวางขึ้น เช่น ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ แฟชั่นไอส์แลนด์ เมืองทองธานี

ทุกวันนี้ ข้าวแกงทอด คุณตุ้ย ได้ขยายกิจการมากยิ่งขึ้น บางวันจะได้ทำการเปิดบู๊ธ 2-3 แห่ง จากครั้งแรกผลิตสินค้าแค่วันละ 300 ลูก บัดนี้กำลังการผลิตวันละประมาณ 2,000-3,000 ลูก ซึ่งขึ้นกับความต้องการของตลาดแต่ละแห่งที่ไปเปิดบู๊ธ

ดังนั้นเมื่อกิจการเจริญก้าวหน้าขึ้นคุณตุ้ยจึงจำเป็นต้องเพิ่มการผลิต มากขึ้นและก็ ต้องหาผู้ช่วยการผลิตมากขึ้น ปัจจุบันนี้ เธอมีลูกน้องช่วยงานประมาณ 8 คน ซึ่งจะมีหน้าที่ทำการผลิตข้าวแกงทอดเตรียม พร้อมไว้เพื่อรองรับความต้องการของตลาดแต่ละแห่ง ขณะเดียวกันเธอก็ภูมิใจที่ช่วยให้บรรดาลูกน้องมีงานและมีรายได้กันเป็นประจำ อยู่เสมอ

เมื่อข้าวแกงทอด คุณตุ้ย ได้ดำเนินกิจการอย่างก้าวหน้าต่อไป คุณตุ้ยก็ไม่นิ่งเฉย พยายามคิดพัฒนารสชาติผสมในข้าวแกงทอดมากกว่า 23 ชนิด เช่น ข้าวหมกไก่ ข้าวแกงทอดเขียวหวานไก่ ข้าวหมูผัดกะเพรา ข้าวผัดปลาเค็ม ข้าวน้ำพริกปลาทู เป็นต้น และล่าสุด ได้เพิ่มรสชาติที่อินเทรนด์กับคนยุคใหม่ เช่น ข้าวหมูเกาหลี ข้าวหมูน้ำมันงา ข้าวผัดกิมจิ เป็นต้น ราคาสินค้าจำหน่ายลูกละ 6 บาท แต่ถ้าเป็นราคาส่งก็อาจจะลดในราคาพิเศษได้

คุณตุ้ย ได้บอกเพิ่มเติมว่า นอกจากเธอจะไปเปิดบู๊ธตามตลาดหลักๆ แล้ว เธอยังจัดจำหน่ายข้าวแกงทอดทั้งปลีกและส่ง พร้อมทั้งบริการจัดเลี้ยงงานนอกสถานที่อีกด้วย
ดังนั้น ท่านใดสนใจอยากลองลิ้มชิมรสข้าวแกงทอด คุณตุ้ย หลายรสชาติ น่าอร่อย ก็เชิญติดต่อสอบถามมาที่ คุณอภิญญา จึงถาวรสถิตย์ (คุณตุ้ย) โทรศัพท์ (02) 872-1272 (081) 697-2561 และ (087) 051-3828 begin_of_the_skype_highlighting (087) 051-3828 อี-เมล khunitui-kkt@hotmail.com
ข้อมูลจำเพาะ

ธุรกิจข้าวแกงทอด
ยี่ห้อสินค้าข้าวแกงทอด คุณตุ้ย
เจ้าของกิจการ คุณอภิญญา จึงถาวรสถิตย์ (คุณตุ้ย)
จุดเด่นสินค้า เป็นสินค้าแปลกที่ทำการวิจัยโดยนักวิจัยคนไทย จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านนวัตกรรมจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีหลากหลายรสชาติ เพิ่มความอร่อย สะดวกต่อการรับประทานในยุคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานถึง 3 เดือน (ในช่องแช่แข็ง) เมื่อนำมาทอดคุณค่าทางอาหารยังคงเดิม

ราคาสินค้า ลูกละ 6 บาท ถ้าสั่งจำนวนมากก็จะได้ลดราคาพิเศษ
กลุ่มเป้าหมาย คนยุคใหม่ที่นิยมของแปลกใหม่ หรือผู้จัดเลี้ยงอาหารว่าง
สถานที่ เลขที่ 394/104 ซอยสุขสวัสดิ์ 27 แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ 10140
โทรศัพท์ (02) 872-1272 (081) 697-2561 และ (087) 051-3828 (087) 051-3828
อี-เมล khuntui-kkt@hotmail.com
ที่มา : มติชน

Read More...


ไข่กระโหลก”ประยุกต์ข้าวไข่เจียว ปรับอาหารไทยสไตล์โมเดิร์น

ไข่กระโหลก

ไข่กระโหลก เป็นอาหารไทยแนวใหม่ ซึ่งเป็นการประยุกต์ ขนมครกญี่ปุ่น และข้าวไข่เจียวแบบ ไทย ไว้ด้วยกัน ได้อย่างลงตัว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่ชื่นชอบกินอาหารแนวใหม่ สไตล์ วัยทีน ซึ่งใครที่ชื่นชอบท่องเที่ยวตลาดน้ำแบบย้อนยุค คงจะพบเห็นและได้ลิ้มลองรสชาติไข่กระโหลกกันมาบ้างแล้ว

เจ้าของไข่กระโหลก
“นายสุชาย บุญกล่อมจิตร(ขวา) และนาย ธนาพันธ์ นาคดี (ซ้าย)

สำหรับร้านไข่กระโหลกปัจจุบันยึดทำเลแหล่งท่องเที่ยวย้อนยุค เป็นทำเลทองในการเปิดร้าน ไม่ว่าจะเป็นที่ อัมพวา ร้านแรกของไข่กระโหลกของ “นายสุชาย บุญกล่อมจิตร” หรื อร้านที่สอง ที่ตลาดน้ำขึ้นชื่อดังอย่างตลาดน้ำอโยธยา ของ “นาย ธนาพันธ์ นาคดี” สอง หุ้นส่วนสำคัญที่พลิกผันตัวเองจากนักออกแบบตกแต่งภายใน และ มัคคุเทศน์ หันมาเอาดีเป็นพ่อค้าขายไข่กระโหลก จนกลายเป็นเศรษฐีย่อยๆ มีรายได้เฉลี่ยหลายพันบาทต่อวัน

นายสุชาย เล่าถึงที่มาของไข่กระโหลก เกิดขึ้นมาจากเราสองคน ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องหันมาหาอาชีพอื่นๆ ที่สามารถสร้างรายได้ และมีเงินสดใช้จ่ายทุกวัน และเห็นว่าการขายอาหารการกินเป็นช่องทางที่ดี เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจ จะเป็นเช่นไร คนเราก็ต้องกิน ตอนแรกคิดทำข้าวไข่เจียวขาย แต่เห็นว่ามันไม่แปลก เพราะปัจจุบันมีคนทำข้าวไข่เจียวขายกันทั่วไป

ไข่กระโหลก
ขณะกำลังปรุงบนเตาขนมครกญีปุ่น

จนกระทั่งได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น และเห็นขนมครกญี่ปุ่นน่าสนใจดี แต่ก็มีคนทำขายกันอยู่เป็นจำนวนมากในบ้านเราเช่นกันและไม่ใช่อาหารไทย ซึ่งไม่รู้ว่าคนไทยจะชื่นชอบแค่ไหน จึงเกิดความคิดว่า ทำไมเราไม่ประยุกต์นำข้าวไข่เจียว อาหารแบบไทยๆ มาประยุกต์ใช้วิธีการทำแบบขนมครกญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเป็นข้าวไข่เจียวธรรมดาและนำมาห่อแบบขนมครกญีปุ่น มันก็ธรรมดาไปอีก จึงคิดทำไส้ขึ้นมา และใส่ลงในห่อไข่พร้อมกับข้าว ซึ่งใช้ข้าวผัดปรุงรส

หลังจากนั้น ปรุงรสด้วยซอสที่เราคิดค้นขึ้นมา เพิ่มรสชาติด้วย ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ และมายองเนส รองก้นด้วยกะหล่ำปรี ออกมาเป็นไข่กระโหลก เพิ่มความน่าสนใจ สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ด้วยกล่องที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ ทำให้ไข่กระโหลก ดูทันสมัย และสะดวกแก่การซื้อกลับออกไปกินในสถานที่ต่างๆ

ไข่กระโหลก
ไข่กระโหลกพร้อมเสิร์ฟ

ทั้งหมดเป็นแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะฉีกรูปแบบอาหารไทย ให้ไม่ซ้ำซากจำเจ เพราะในปัจจุบัน มีอาหารจากประเทศต่างๆ เข้ามาเป็นจำนวนมาก และดึงกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ให้หันไปสนใจ และซื้อกินกัน จนบางครั้งลืมอาหารไทย ถ้าเราไม่รู้จักนำมาประยุกต์ให้ดูทันสมัย สุดท้ายก็ต้องนำเข้าอาหารจากต่างประเทศเข้ามาจนลืมอาหารไทย แบบข้าวไข่เจียว ที่มีคุณค่าทางอาหารมากมาย และราคาไม่แพง
นายสุชาย เล่าว่า สำหรับช่องทางการขาย เนื่องจากมองว่าอาหารในลักษณะนี้ ไม่ใช่อาหารที่ใครจะกินได้ทุกวัน เช่นเดียวกับอาหารหลายชนิด เช่น พิซซ่า ก็คงจะไม่มีใครกินได้ทุกวัน ดังนั้น ผมจึงมองตลาดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว เพราะคนมาเที่ยวจะหมุนเวียนเปลียนหน้ากันไปเรื่อย ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะมีกำลังซื้อ และตั้งใจจะมาหาซื้อของฝากและของกินอยู่แล้ว

ไข่กระโหลก
กล่องไข่กระโหลกออกแบบเพื่อให้ดูทันสมัยสะดวกแก่การกิน

ทั้งนี้ ที่เลือกแหล่งท่องเที่ยวแนวย้อนยุค เพราะต้องการจะนำเสนอไข่กระโหลกออกมาในแนวอาหารย้อนยุค ซึ่งคำว่ากระโหลกเป็นคำไทยโบราณที่สามารถเป็นตัวสื่อได้ โดยเปิดแหล่งแรกที่ตลาดน้ำอัมพวา ตลาดน้ำอโยธยา ตลาดน้ำ 4 ภาคที่พัทยา และตลาดเพลินวา ที่หัวหิน และมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มในรูปแบบของแฟรนไชส์ เพราะต้องการจะกระจายสินค้าให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเห็นว่าน่าจะเป็นช่องทางให้กับคนที่ต้องการจะมีอาชีพได้มีรายได้ และ จากประสบการณ์ทีเราทำมาประมาณ 1 ปี พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถขายได้ ในระดับที่น่าพอใจ โดยส่วนของสาขาตลาดน้ำอโยธยา สามารถขายช่วงวันหยุดประมาณ วันละ 15,000 บาท ถึง 20,000 บาท ส่วนวันธรรมดา 3,000 บาท ถึง 5,000 บาท โดยเชื่อว่า จะสามารถคืนทุนได้ภายใน 2 – 3 เดือน ถ้าได้ทำเลที่ดี

ไข่กระโหลก
ไข่กระโหลกขณะปรุงอยุ่บนเตาใช้เวลาประมาณ 5 นาที

ตารางลงทุนรถร้านแฟรนไชส์ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว

สำหรับราคาแฟรนไชส์มีราคาเดียว 85,000 บาท ได้อุปกรณ์ในการขายครบชุดพร้อมคีออส และวัตถุ ดิบในการขายงวดแรก พร้อมถ่ายทอดสูตรการทำทั้งหมดให้ และหลังจากนั้น ลูกค้าแฟรนไชส์จะต้องซื้อวัตถุดิบจากเราในสัดส่วน 20 % คือ ตัวซอสปรุงรส เพื่อให้รสชาติเดียวกัน และกล่องเพื่อให้คงคอนเซ็ปต์เดียวกัน ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ สามารถหาซื้อเองได้ แต่จะกำชับขอให้คัดเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพดี เช่นเดียวกับร้านต้นแบบเพื่อจะได้คุณภาพเดียวกันทุกสาขา

ในส่วนไข่กระโหลกปัจจุบันมีให้เลือก 3 ไส้ คือ ปลาแซลมอน ซีฟู้ด ไส้กรอกชีส และที่ขายดีสุดเป็นไส้ซีฟู้ด ในอนาคตอาจจะมีการเพิ่มตัวท้อปปิ้ง ที่ปัจจุบันมีเพียงซอส มายองเนส พริกขี้หนูและหัวไช้โป้วหวาน ส่วนราคาขายลูกละ 40 บาท ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 60% เพราะใส่เครื่องเยอะ ให้คุ้มกับราคา ที่ตั้งไว้ ซึ่งลูกค้าแฟรนไชส์ต้องการให้ขายในราคาเดียวกัน

“สำหรับการทำธุรกิจไข่กระโหลก ตัวนี้ ผมไม่ได้คาดหวังเพียงแค่ยอดขาย หรือ ผลกำไรเท่านั้น แต่เราต้องการจะสร้างแบรนด์อิมเมจ ซึ่งเป็นความตั้งใจของเราตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่ตั้งชื่อไข่กระโหลก การออกแบบร้าน ออกแบบเพคเกจจิ้ง ทุกอย่างจะต้องดูทันสมัยและสะดุดตาให้คนจดจำได้ ที่สำคัญ เราจำเป็นจะต้องทำไข่กระโหลกออกมาให้ดีและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป เพื่อจะได้จดจำแบรนด์ของเรา ในอนาคตมีแผนที่จะทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์ไข่กระโหลก ออกมาขายเพิ่ม เช่น เสื้อ พวงกุญแจ หรือของที่ระลึกอื่นๆ”
โทร. 08-9799-3225
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


Ezkiice Snowice น้ำแข็งไสไต้หวัน ขนมแฟชั่นไลฟ์สไตล์คนเมือง

น้ำแข็งไส Ezkiice

น้ำแข็งไส Ezkiice ไอศกรีมเกล็ดหิมะ

Snowice น้ำแข็งไส ในรูปแบบใหม่ อาหารว่างอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศไต้หวัน ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักเรียน นักศึกษาเมืองไทย จุดขายของ Snowice อยู่ที่เนื้อน้ำแข็งที่เนียนนุ่ม คล้ายไอศกรีม แต่รสชาติเหมือนกับน้ำแข็งไส ด้วยเครื่องทำน้ำแข็งไสนำเข้าจากประเทศไต้หวัน ถูกใจคนที่ชื่นชอบกินไอศกรีมและน้ำแข็งไส

น้ำแข็งไส Ezkiice
นายประภัทร รัตนโชติชัยฤทธิ์ เจ้าของ น้ำแข็งไส Ezkiice 02

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Snowice ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค และเป็นที่มาของSnowice หลายๆ แบรนด์ในประเทศไทย และหนึ่งในนั้น คือ Ezkiice ของ “นายประภัทร รัตนโชติชัยฤทธิ์” ที่ เปิดให้บริการในรูปแบบของแฟรนไชส์ มีสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มากกว่า 30 สาขา จุดเด่นของ น้ำแข็งไส Ezkiice ต่างจาก Snowice รายอื่นๆ คือ รสชาติอยู่ที่ในตัวน้ำแข็งเลย

นายประภัทรเจ้าของ น้ำแข็งไส Ezkiice เล่าว่า ได้เริ่มทำธุรกิจตัวนี้มาได้ประมาณ 2 ปี โดยซื้อเครื่องจักรและโนฮาวการผลิตมาจากประเทศไต้หวัน และมาเปิดขายในประเทศไทย ช่วงเริ่มต้นได้เทคนิคการทำ และรสชาติพื้นฐาน คือ รสนม มาเพียงรสเดียว แต่ต่อมาได้มาปรับให้เหมาะสมตามความชอบของผู้บริโภคคนไทย ทำให้ปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 8 รสชาติ คือ นม ช็อกโกแลต ชาเขียว มะนาว สตรอเบอรี่ นมเย็น กาแฟ และชาไทย

น้ำแข็งไส Ezkiice
น้ำแข็งไส Ezkiice สาขารอยัล การ์เดน พัทยา

สำหรับจุดขายของ น้ำแข็งไส Ezkiice เราทำรสชาติในตัวน้ำแข็ง ดังนั้น เมื่อเรานำน้ำแข็งมาเข้าเครื่องสไลด์ น้ำแข็งที่ได้จะออกมารสชาติตามนั้น ต่างจากรายอื่นๆ ที่จะใช้เป็นน้ำแข็งธรรมดา และมาปรุงแต่งรสชาติภายนอก สำหรับตัวน้ำแข็งไสที่ออกมาจากเครื่องจะเป็นแผ่น เหมือนกับผ้าที่พับไปมา และจะมีความนุ่มเบา ทำให้ เนื้อของน้ำแข็งคล้ายกับไอศกรีม จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไอศครีมเกล็ดหิมะ ซึ่งใช้วัตถุดิบคล้ายกับไอศกรีมแต่นำเสนอออกมาในรูปของน้ำแข็งใส โดยผ่านเครื่องไสน้ำแข็ง และตกแต่งหน้าด้วยผลไม้สด ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้กระป๋อง ตามความต้องการของลูกค้า

ส่วนหนึ่งที่ต้องใช้ผลไม้แช่แข็ง และผลไม้กระป๋อง เพราะผลไม้บางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ นำเข้ามาในรูปของผลไม้แช่แข็ง และผลไม้บางชนิดมีเฉพาะฤดูกาล พอนอกฤดูกาลหาไม่ได้ก็ต้องใช้ผลไม้กระป๋องแทน สัดส่วนของผลไม้ทั้งสองชนิดประมาณ 30% ส่วนราคาของเราจะเริ่มถูกกว่า แบรนด์อื่นๆ คือ เริ่มต้นที่ 49 บาท สำหรับถ้วยขนาด 8 ออนซ์ รา คาของแฟรนไชส์แต่ละแห่งจะไม่ได้แตกต่างกัน แต่เราจะมีขนาดของถ้วยที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าแฟรนไชส์ เพราะบางรายอาจจะต้องเสียค่าเช่าที่แพง ก็อาจจะใส่ถ้วยขนาดเล็กลงมา

“กลุ่มลูกค้าปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ที่อายุ 15 ปีขึ้นไปจนถึง 35 ปี ซึ่งสถานที่เหมาะสม ได้ทุกที่ที่เป็นแหล่งชุมชนคนสัญจรไปมาเยอะ โดยมีคนสัญจรไปมาเฉลี่ยวันละ 2,000 คน เรา ขอแค่ 5% ที่ซื้อของเราก็อยู่ได้แล้ว ซึ่งสถานที่ที่แฟรนไชส์ไปเปิดขายในปัจจุบัน ขายในห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว เช่น ตลาดน้ำ สถาบันการศึกษา เป็นต้น ขนาดของร้านมีตั้งแต่ 6 ตารางเมตร ไปจนถึง 15 ตารางเมตร เป็นแบบนั่งกินภายในร้าน โดยแฟรนไชส์ที่เปิดในปัจจุบัน มียอดขายต่อวัน 80 ถ้วย ไปจนถึง 300 ถ้วยต่อวัน”

รูปแบบแฟรนไชส์ น้ำแข็งไส Ezkiice

สำหรับ Franchise ทาง น้ำแข็งไส Ezkiice Snow ice มีรูปแบบการลงทุนให้เลือก 2 รูปแบบ การลงทุนแบบที่ 1 Full time partner สมัครสมาชิก แฟรนไชส์ 90,000บาท พร้อมอุปกรณ์ในการเปิดร้าน อาทิ เครื่องปั่นน้ำแข็ง,ตู้แช่น้ำแข็ง,ตู้แช่ ทอปปิ้ง ส่วนเรื่องคีออส ราคาขึ้นอยู่กับพื้นที่และทำเลของลูกค้า ในรูปแบบ Full time partner พร้อมคำแนะนำการหาทำเลที่ตั้ง รวมถึงระบบการจัดการร้าน ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือนและรายปี

ส่วนการสั่งวัตถุดิบ ( น้ำแข็ง ) ขั้นต่ำในการสั่ง 30 ก้อน/เดือน ราคาก้อนละ 180 บาท การ สั่งวัตถุดิบอื่นๆ เช่น Topping (ทอปปิ้ง) น้ำแข็งไส Ezkiice ผลไม้ ต่างๆ ราคาขึ้นอยู่กับจำนวน ไม่มีขั้นต่ำการสั่ง บริการจัดส่งฟรีในกรณีที่สั่งตั้งแต่ 120 ก้อนขึ้นไปเฉพาะในเขตกรุงเทพ ค่ามัดจำวัตถุดิบ 25,000 บาท เวลา 2ปี จะได้รับเงินมัดจำคืนในกรณีครบกำหนดสัญญาตามที่ระบุไว้ หรือมียอดสั่งน้ำแข็งถึง 720 ก้อนไปแล้ว

การลงทุนแบบที่ 2 Casual partner ค่าธรรมเนียม+ค่าอุปกรณ์ 105,000 บาท ไม่ มีค่าอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้มีค่ามัดจำวัตถุดิบ 25,000 บาท เวลา 2 ปี วัตถุดิบ ( น้ำแข็ง ) ในราคาก้อนละ 180 บาท ขั้นต่ำในการสั่ง 30 ก้อน /เดือน วัตถุดิบอื่นๆเช่น ทอปปิ้ง ลูกค้าเป็นผู้หาซื้อเอง

น้ำแข็งไส Ezkiice
ท็อปปิ้ง ผลไม้แต่งหน้าของ น้ำแข็งไส Ezkiice

นายประภัทร เล่าว่า การแข่งขันในธุรกิจนี้ น่าจะรุนแรงมากขึ้นถ้ามีผู้นำเข้าเครื่องเข้ามา ที่ผ่านมา เราเลือกขายลูกค้าในกลุ่ม กลางและล่าง ในขณะที่รายอื่นส่วนใหญ่ยังขายอยู่ในตลาดบน และผมมองว่า น้ำแข็งไส เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน และ บ้านเราเป็นเมืองร้อน ขนมหวานเย็น น้ำแข็งไสอย่างไงก็ขายได้ แม้ว่าหลายคนมองว่า เป็นขนมหวานแฟชั่น แต่ถ้ารสชาติและคุณภาพถูกปากลูกค้าคนไทย น่าจะไปได้อีกนาน

โทร. 08-9988-9906 หรือ 08-1307-9119
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


I-maru ไอศกรีมผลไม้รูปไข่ เขย่าวงการหนึ่งเดียวในโลก

I-maru ไอศกรีมรูปไข่
ไอศกรีมรูปไข่ “I-maru”

ไอศกรีมรูปไข่ I-maru รูปทรงภายนอกคล้ายไข่ แต่เนื้อในกลับเป็นไอศกรีมผลไม้ 100% ช่วย สร้างความสนใจให้ลูกค้าอย่างดียิ่ง โดยเป็นนวัตกรรมใหม่สร้างสรรค์ขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกจากฝีมือเอสเอ็มอีไทย มุ่งขยายตลาดทั้งส่งออก ควบคู่กับในประเทศ ด้วยจุดเด่น ขายประสบการณ์ใหม่ในการกินไอศกรีม พร้อมกับคุณภาพรสชาติเยี่ยม เมื่อชิมแล้วต้องติดใจกลับมาเป็นขาประจำ

I-maru ไอศกรีมรูปไข่
มรุต ชโลธร เจ้าของกิจการ ไอศกรีมรูปไข่ I-maru

@ แปลงโฉมเพิ่มค่าผลไม้ไทย

มรุต ชโลธร เจ้าของกิจการ และผู้บุกเบิกไอศกรีมแบรนด์ I-maru จากบริษัท อินโนเวชั่น ฟู้ด แพคเกจจิ้ง จำกัด เล่าว่า ครอบครัวทำธุรกิจในวงการอาหารแปรรูป จึง พยายามพัฒนานวัตกรรมทางผลิตภัณฑ์อาหารอยู่เสมอ ประกอบกับพื้นเพเป็นชาว จ.จันทบุรี แหล่งผลไม้ขึ้นชื่อของประเทศ เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ทุเรียนออกมากจนล้นตลาด ราคาตกต่ำ ทำให้อยากพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุเรียนแปรรูปเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

“ทุเรียนแปรรูปในท้องตลาดทั่ว ไปจะมีแต่แบบเดิมๆ คือ กวน หรือทอดกรอบ ซึ่งทุเรียนเป็น ผลไม้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง คนที่ชอบก็จะชอบมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบก็จะไม่แตะเลย แนวคิดในการแปรรูปทุเรียนของผม จึงพยายามทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่เข้าถึงลูกค้าตลาดใหญ่มากกว่าที่เป็นมา ง่ายต่อการกิน แม้แต่คนที่ไม่ชอบทุเรียนก็ยังกินได้ จนลงตัวที่จะแปรรูปเป็นไอศกรีม เพราะเป็นของกินเล่นที่ทุกคน ทุกชาติคุ้นเคย และนิยมกันดีอยู่แล้ว” มรุต อธิบาย

ทั้งนี้ ไอศกรีมที่พัฒนาขึ้น มีจุดเด่นเป็นเนื้อทุเรียนล้วนๆ 100% ไม่มีส่วนผสม หรือเครื่องปรุงอื่นๆ เลย เนื้อไอศกรีมนุ่มเนียน เคล็ดลับอยู่ที่กระบวนการผลิต และพันธุ์ทุเรียนเจาะจงเป็นหมอนทองเท่านั้น

I-maru ไอศกรีมรูปไข่
ร้าน ไอศกรีมรูปไข่ I-maru ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร

@จุดไอเดียรูปไข่สร้างเซอร์ไพรส์
อย่างไรก็ตาม หากจะขายเป็นไอศกรีมทุเรียนใส่ถ้วย คงไม่สร้างความประหลาดใจมากนัก นำ มาสู่การพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า โดยนำเนื้อไอศกรีมอัดใส่ในพลาสติกรูปทรงไข่ วิธีกินแค่ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้ม วัสดุห่อหุ้มก็จะแตกหลุดออก

มรุต อธิบายเสริมว่า ที่เลือกเป็นรูปทรงไข่เพราะต้องการสื่อถึงความเป็นธรรมชาติแท้ๆ อีกทั้ง ไข่มีรูปทรง และขนาดเหมาะสมในการกิน ส่วนพลาสติกที่ใช้ห่อหุ้มเป็นวัสดุชนิดเดียวกับที่ทำหัวจุกขวดนมทารก จึงมั่นใจด้านความสะอาดปลอดภัย ส่วนวัตถุดิบผลไม้ ใช้วิธีทำคอนแทร็กฟาร์มมิ่งกับเกษตรกร ขณะที่โรงงานผลิตได้มาตรฐานระดับส่งออก ทั้ง GMP และ HACCP

I-maru ไอศกรีมรูปไข่
วิธีการกินไอศกรีมนมฯ ตัดบริเวณหัวจุกที่ยื่นออกมา

ส่วนความรู้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น เจ้าของไอเดีย ระบุว่า ศึกษาด้วยตัวเอง ประกอบกับปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ใช้เวลาทดสอบนานนับปี กับงบประมาณกว่าเจ็ดหลัก วางลูกค้าเป้าหมายไว้ที่ตลาดส่งออก โดยเฉพาะประเทศที่นิยมกินทุเรียน นอกจากนั้น ยังเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยแปรรูปไอศกรีมมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วย ซึ่งเทคนิคการผลิตเหมือนเดิม ทำเป็น ไอศกรีมรูปไข่ I-maru เช่นกัน
@ต่อยอดไอศกรีมนมฮอกไกโดจากเต้า

เนื่องจากไอศกรีมผลไม้สำหรับคนไทยอาจจะไม่ใช่ เรื่องใหม่ ดังนั้น เพื่อจะทำตลาดในประเทศควบคู่ไปด้วย หนุ่มช่างคิด ได้พัฒนาเป็นไอศกรีมนมจากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแหล่งนมวัวขึ้นชื่อของโลก ทั้งด้านความอร่อย และคุณค่าทางสารอาหาร เสิร์ฟในบรรจุภัณฑ์พลาสติกห่อหุ้มเช่นกัน แต่พิเศษคือ ทำ เป็นรูปคล้ายเต้านมวัว สร้างความแปลกใหม่ด้วยวิธีการกิน ตัดบริเวณหัวจุกที่ยื่นออกมา แล้วดูดกินเนื้อไอศกรีม เปรียบเหมือนกำลังดูดนมจากเต้าวัวจริงๆ

ทั้งนี้ ไอศกรีมนมฮอกไกโด มีให้เลือก 7 รสชาติ ได้แก่ วานิลลา บัตเตอร์สก๊อตซ์ กล้วย โยเกิร์ตเบอร์รี่ แคนตาลูป น้อยหน่า เบอร์รี่ และช็อกโกแลต

I-maru ไอศกรีมรูปไข่
ตู้แช่พร้อมอุปกรณ์ ลงทุน 45,000 บ.

ไอศกรีมรูปไข่ I-maru รุกตลาดแฟรนไชส์ เปิดโอกาสสร้างอาชีพ

สำหรับการทำตลาดของไอศกรีมรูปไข่ I-maruนั้น มรุต เผยว่า เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก จึงคว้ารางวัลด้านนวัตกรรมอาหารจากหลายสถาบัน และยังได้รับความสนใจจากภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ พาไปโรดโชว์งานแฟร์ต่างประเทศ ทำให้ได้รับออเดอร์สั่งซื้อสินค้าจากทั้งประเทศจีน และฮ่องกง เป็นต้น ยอดสั่งประมาณ 2 ตู้คอนเทนเนอร์ต่อเดือน โดยจะเริ่มส่งสินค้าในต้นปีหน้า (2554)

ขณะที่ในประเทศ ขยายช่องทางตลาด โดยเปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมธุรกิจในรูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ โดยเงินลงทุน 45,000 บาท ได้ รับอุปกรณ์พร้อมขาย เช่น ตู้แช่ไอศกรีม ชุดอุปกรณ์ตกแต่ง บริการจัดส่งฟรี ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล (ต่างจังหวัดคิดค่าขนส่งตามระยะทาง) ที่ปรึกษาการตลาด ฝึกอบรม และบริการติดตั้งอุปกรณ์ฟรี เป็นต้น

สำหรับ ราคาส่งไอศกรีมอยู่ที่ 29 บาทต่อลูก กำหนดราคาขายปลีกขั้นต่ำ 39 บาทต่อลูก ซึ่งผู้ขายจะมีกำไรขั้นต่ำ 10 บาทต่อลูก (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเช่า ค่าพนักงาน เป็นต้น)

มรุต เผยด้วยว่า ได้ทดสอบตลาดเปิดขายด้วยตัวเอง โดยวางตู้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร บริเวณโครงการ 26 ซ.1 ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างสูง ยอดขายประมาณ 400-500 ลูกต่อวัน นอกจากนั้น ยังมีผู้สนใจซื้อตู้ไปลงแล้ว 4 จุด ได้แก่ ร้าน KATIES’ ใน MAXVALU พัฒนาการ ย่านพาหุรัด ใกล้ไชน่าเวิลด์ ภูเก็ต และหาดใหญ่ วางเป้าภายในสิ้นปีนี้ (2553) คาดจะมีสาขาประมาณ 20 จุดทั่วประเทศ

I-maru ไอศกรีมรูปไข่

วิธีกินไอศกรีมรูปไข่ I-maru ทั้งไอศกีมผลไม้ และไอศกรีมนมฯ

“เนื่องจากเราเป็นเอสเอ็มอี รายเล็กๆ แทบที่จะใช้เงินไปทุ่มโฆษณา ผมเลือกที่จะใช้เงินทุนมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความแปลกใหม่ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นตัวเรียกลูกค้าเข้ามาหาเอง ซึ่งไอศกรีมของผม ครั้งแรกที่เห็น ทุกคนจะสงสัยเข้ามาสอบถามว่าคืออะไร และอยากทดลองชิม เมื่อได้ลองแล้ว ผมเชื่อว่า จะประทับใจ กลับมาซื้อซ้ำเป็นขาประจำ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจยั่งยืนไม่ได้เป็นแค่อาหารแฟชั่นที่ลองครั้งเดียวก็พอ” มรุต ระบุ

โทร.08-6881-8785 , www.i-maru.com
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


มาร์ตี้แฟรนไชส์ไก่ทอดสมุนไพรสูตรแป้งปาท่องโก๋ธัญพืช

ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้
คีออสของแฟรนไชส์ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ 01

ไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ (Marty Herbal Chicken) ไก่ทอดแนวใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพ ด้วยการนำสมุนไพรมา เป็นส่วนผสมในแป้งชุบไก่ทอด และยังนำสมุนไพรมาเป็นเครื่องเคียงรับประทานคู่กับไก่ทอด ช่วยเพิ่มรสชาติในการรับประทานไก่ทอด และสร้างจุดขายให้กับร้านไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้
นางสาวรานี สุรเชษฐไชยกุล เจ้าของร้านไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ เล่าว่า ที่มาของไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ เกิดขึ้นมาจากตนเองและพี่ชาย ทำร้านปาท่องโก๋ สูตรธัญพืช และวันหนึ่ง ได้ทดลองนำแป้งทำปาท่องโก๋ ซึ่งในแป้งปาท่องโก๋ของเราจะแตกต่างจากแป้งทั่วไป เพราะเป็นแป้งสูตรพิเศษมีส่วนผสมของสมุนไพรธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวบาร์เล่ย์ ฯ เมื่อนำไก่มาชุบลงในแป้งปาท่องโก๋ พอทอดออกมาได้ไก่ที่กรอบและอยู่ได้นานกว่าแป้งทอดไก่ทั่วไปถึง 2-3 ชั่วโมง และประกอบกับในช่วงนั้น เกิดความคิดว่า เราน่าที่จะมีอาหารอื่นๆ เสริมนอกเหนือจากปาท่องโก๋ และสามารถเป็นอาหารหลักได้

ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้
นางสาวรานี สุรเชษฐไชยกุล เจ้าของไก่ทองสมุนไพรมาร์ตี้

“และปาท่องโก๋ ก็เป็นกิจการของพี่ชาย เราก็ควรจะได้มีกิจการที่เป็นของตัวเอง คิดทำไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ออก มา และอาศัยประสบการณ์จากการทำปาท่องโก๋ มาช่วยในการพัฒนาด้านการตลาด โดยเฉพาะในเรื่องของการทำแฟรนไชส์ ซึ่งในส่วนของปาท่องโก๋นั้น ปัจจุบัน มีแฟรนไชส์อยู่มากถึง 50 สาขา รู้จักกันในชื่อของแฟรนไชส์ “โก๋อินเตอร์” เราก็นำประสบการณ์ตรงจุดนั้น มาพัฒนาด้านแฟรนไชส์ ให้กับไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ จึงได้เป็นที่มาของแฟรนไชส์ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ ในปัจจุบัน ซึ่งเปิดมาได้นานกว่า 6 เดือน”

ปัจจุบันยังไม่มีร้าน หรือ สาขาแฟรนไชส์ แต่อย่างใด เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น ซึ่งเป็นช่วงของการแนะนำตลาด โดยใช้ช่องทางการขายผ่านงานแสดงสินค้า ทั้งในห้างสรรพสินค้า และในศูนย์แสดงสินค้าต่าง ๆ โดยมุ่งเป้าการขยายสาขาในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก เพราะต้องการจะเข้าไปเจาะตลาดในกลุ่มไก่ทอดระดับกลาง เนื่องจากในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่จะมีแต่ไก่ทอดที่มีราคาค่อนข้างสูง ถ้าเข้าไปขายในห้างได้คิดว่า ด้วยราคาที่ไม่แพง และคุณภาพที่พยายามจะทำออกมาให้ใกล้เคียงกับไก่ทอดชื่อดังที่ขายในห้าง และในห้างสรรพสินค้าก็ยังไม่มีใครทำมาก่อน จึงค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะทำตลาดได้

ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้
อกไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้

นอกจากนี้ จุดขายไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ เป็นการผสมผสานระหว่าง ไก่ทอดชุบแป้ง กับ ไก่ทอดหาดใหญ่ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการหมักไก่ เหมือนกับไก่ทอดหาดใหญ่ หรือหอมเจียวของกินคู่กับไก่ทอดหาดใหญ่ ซึ่งเราเองก็เป็นอิสลาม สูตรไก่ทอดหาดใหญ่ มีความรู้อยู่บ้าง และในอนาคต มีแผนที่จะออกเครื่องเขียง ที่เป็นสมุนไพร เช่นตะไครัทอด มาเสริมให้มีความเป็นสมุนไพรมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันในห้างสรรพสินค้ายังไม่มีไก่ทอดในลักษณะนี้ขายอย่างแน่นอน

ราคาแฟรนไชส์ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้

ส่วนราคา เริ่มต้นที่ 20 บาท สำหรับ ปีก น่อง 25 บาท และ สะโพก 35 บาท ส่วนราคาแฟรนไชส์ 59,000 บาท เก็บค่าแฟรนไชส์ครั้งเดียว และมีราคาเดียว ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับ ชุดทอดไฟฟ้า ที่สามารถตั้งเวลาทอดได้ ได้เคาน์เตอร์ และอุปกรณ์การขายครบชุด ส่วนสิ่งที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องสั่งซื้อจากทางเจ้าของแฟรนไชส์ประกอบด้วย ไก่ผ่านการหมักแล้ว หอมเจียว น้ำจิ้ม แป้งชุบทอด ถ้าเป็นลูกค้าในต่างจังหวัด จะสอนวิธิการหมักไก่ให้ลูกค้าไปหมักเองได้ ไก่ที่นำมาใช้เป็นไก่ตัว และนำมาชำแหละเอง

นางสาวรานี เล่าถึงที่มาของ ชื่อ “มาร์ตี้” ว่า การตั้งชื่อ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ต้องการจะสร้างคาแรคเตอร์ รวมถึงชื่อ ให้ออกมาคล้ายกับตัวเอง และเป็นชื่อที่เรียกติดง่าย จำง่าย และต้องการจะทำออกมาให้ดูทันสมัย ดึงดูดลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นและเด็ก จะเห็นได้จากรูปแบบของคีออส ที่เน้นสีสันสดใส และรูปแบบโลโก้ที่เป็นไก่ตัวเมียน่ารักๆ ใครที่ได้รู้จักตัวตนของเราจะรู้สึกได้ว่า คาแรคเตอร์สีสันของไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ นี่แหละมันคือตัวตนเองของเรา

“สำหรับผู้ที่มาซื้อแฟรนไชส์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของ การทำอาหาร หรือ การทอดไก่ เลย เพราะทุกอย่างสำเร็จรูปทั้งหมด เพียงแค่ฉีกแป้งผสมน้ำในสัดส่วนที่กำหนดให้ และใส่ไก่ลงไปชุบทอด และในเตาทอด สามารถตั้งเวลาได้ ทำให้ไก่ทุกชิ้นออกมาสุกเท่ากันหมด และที่สำคัญไม่ต้องนั่งเฝ้า หน้าเตาให้ร้อน เพียงคนเดียวก็สามารถขายได้”

ที่ผ่านมาหลังจาก ที่เราได้ออกงานแสดงสินค้าไปหลายแห่ง มีลูกค้าให้การตอบรับดีมาก โดยเฉพาะเด็กชื่นชอบกันมาก แต่ลูกค้าก็มีทุกเพศทุกวัย โดยออกงานแสดงสินค้าครั้งแรก สามารถขายได้ถึง วันละ 70 กิโลกรัม ซึ่งตอนนี้ ก็มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่งสนใจให้เรานำสินค้าไปลง โดยลูกค้าที่มาติดต่อในช่วงนี้ จะมีทำเลห้างสรรพสินค้าให้เลือกลงได้ด้วย เพียงแค่มีเงินมาอย่างเดียวสามารถเปิดร้านได้เลย
โทร. 08-6787-4738
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ลูกเสือไอศกรีม’ ตกทอดทายาทรุ่น 2 ทวงตลาดคืนหลังครองใจลูกค้า50 ปี

ไอศกรีมลูกเสือ

นายเปงกุ่ย แซ่เอี้ย ผู้ริเริ่มธุรกิจไอศกรีมลูกเสือ และนายปิยะวรรธน์ สุขสมใจนึก ทายาทผู้สืบทอดธุรกิจ
เป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้ว ที่ “ไอศกรีมลูกเสือ” ได้สร้างความเย็นสดชื่นให้แก่คนไทยมายาวนาน ด้วยคุณภาพของวัตถุดิบที่เลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี สู่ 11 รสชาติ ผลไม้ไทยๆ ปัจจุบันเปลี่ยนถ่ายสู่ทายาทรุ่น 2 สืบทอดธุรกิจต่อ เล็งยกระดับคุณภาพ ลุยทำตลาดเชิงรุก หวังสร้างอาชีพธุรกิจไอศกรีมรถเข็นแก่ผู้มีรายได้น้อย

ไอศกรีมลูกเสือ ถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักมา ยาวนาน จากภาพที่ติดตากับรถเข็นไอศกรีมขนาดเล็ก ที่ข้างในอัดแน่นไปด้วยไอศกรีมหลากรสชาติ พร้อมตักใส่โคนหรือถ้วย เสิร์ฟให้แก่ลูกค้า โดยเฉพาะบรรดาเด็กๆ ที่ชื่นชอบในรสชาติ มาวันนี้ธุรกิจดังกล่าวคุมบังเหียนโดยทายาทธุรกิจรุ่นที่ 2 คือ “นายปิยะวรรธน์ สุขสมใจนึก” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมใจไอศกรีม จำกัด เล่าว่า ภารกิจที่สำคัญในการเข้ามาสานต่อธุรกิจนี้คือ การทำตลาดอย่างจริงจัง หลังจากคู่แข่งมีการรุกตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายจำนวนรถเข็นที่ครอบคลุมในหลายพื้นที่

ไอศกรีมลูกเสือ
ไอศกรีมลูกเสือรสกาแฟ

แม้จะเป็นเพียงไอศกรีมที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก นัก ในการครอบครองเป็นเจ้าของ แต่หากขาดความแข็งแกร่ง และจุดขายในเรื่องของรสชาติ ก็อาจทำให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ที่รับไปจำหน่ายต่ออยู่ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นสูตรลับของไอศกรีมลูกเสือ ที่ทำให้ดำเนินธุรกิจมาได้กว่า 50 ปีนั้น คือ รสชาติของไอศกรีม ที่ “นายเปงกุ่ย แซ่เอี้ย” นำมาจากประเทศจีน และตั้งชื่อว่าสูตรมังกร โดยเมื่อนายเป่งกุ่ยได้ข้ามน้ำทะเล ด้วยเรือสำเภาเข้ามาแสวงโชคบนผืนแผ่นดินไทย แต่ยังไม่ได้ทำไอศกรีมขาย เพราะต้องทำงานหาเงินทุนก่อน ซึ่งอาชีพแรกคือคนงานในไร่อ้อย ต่อมาเมื่อเพื่อนชักชวนให้เข้ามาหางานทำในเมืองหลวง ก็เข้ามาเป็นลูกจ้างในโรงน้ำแข็ง และสามารถเก็บหอมรอบริบ ร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดโรงไม้ร่วมกัน แต่สุดท้ายก็ต้องแยกตัวออกมา หลังเกิดปัญหาในเรื่องธุรกิจ

แต่เปงกุ่ยก็ไม่ย่อท้อ พยายามหาช่องทางธุรกิจอื่น สุดท้ายมาลงตัวที่การงัดสูตรเด็ดไอศกรีมจากแดนมังกรซึ่เงป็นไอศกรีมกะทิมา นำ ร่อง ต่อมาพบว่าเมืองไทยเป็นประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิด จึงได้ลองนำมาทำเป็นไอศกรีมรสชาติต่างๆ พร้อมกับการขยายธุรกิจด้วยการออกแบบรถเข็นไอศกรีม ให้กับเพื่อนๆ ได้มีอาชีพจากการขายไอศกรีม โดยเริ่มจากห้องแถวเล็กๆ 2 ห้อง เป็นโรงงานผลิตที่ได้ อย. ในปี 2523 และมีคนงาน 3-4 คนเท่านั้น แต่ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้คุณภาพ และรสชาติที่ถูกอกถูกใจผู้บริโภค ส่งผลให้มีผู้สนใจรับไอศกรีมไปขายต่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ทางบริษัทฯ มีรถเข็นไอศกรีมกว่า100 คัน ไปจนถึง 1,000 คน ขายทั่วกรุงเทพฯ เนื่องจากคู่แข่งยังมีน้อย ดังนั้นการที่จะแข่งขันได้ และให้คนจดจำในสินค้าได้นั้น แบรนค์ หรือ โลโก้ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นนายเปงกุ่ยจึงคิดโลโก้เป็นเด็กชายใส่เครื่องแบบลูกเสือ มาจากนิสัยส่วนตัวของตนเองที่เป็นคนซื่อสัตย์นั่นเอง

จากการดำเนินธุรกิจไอศกรีมนี้มาหลาย 10 ปี ทุกกระบวรนการผลิตอยู่ในสายตาของลูกชาย คือ นายปิยวรรธน์มาโดยตลอด ที่ตอนเด็กๆ ก็เริ่มจากการปลอกลูกมะพร้าวมะพร้าว มาจนถึงการทำไอศกรีมพร้อมจำหน่าย จน ได้รับหน้าที่ในการสานต่อธุรกิจดังกล่าว เน้นการชูจุดขายสำคัญของไอศกรีมลูกเสือ ที่ผ่านมา คือ รสชาติ คุณภาพ และราคาที่ไม่แพง ที่ทำให้เวลาเอเย่นต์ไปทำตลาด สามารถขายได้และมีกำไรสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่เป็นแบรนด์อินเตอร์ที่ต้นทุนขายสูง ซึ่งถือเป็นความได้เปรียบ ส่วนสิ่งที่ต้องปรับกระบวนทัพครั้งใหญ่คือ การทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์ให้ได้ พร้อมปรับรูปลักษณ์ของรถเข็นให้ดูทันสมัย และน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ล่าสุดทางบริษัทฯ ได้แตกไลน์สินค้าใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าตามร้านอาหารและภัตตาคาร กับไอศกรีมถ้วยพร้อมรับประทานแบรนด์ กัสโต้ (Gusto) เน้นรสชาติผลไม้ไทยเข้มข้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “อร่อยจุใจ ได้เนื้อผลไม้แท้”หวังขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น

ไอศกรีมลูกเสือ

ไอศกรีมลูกเสือแตกไลน์ธุรกิจด้วยไอศกรีมถ้วยสำเร็จรูปแบรนด์ Gusto ส่งขายตามร้านอาหารและภัตตาคาร

การลงทุนไอศกรีมลูกเสือ

ลงทุนราคา 25,605 บาท
1.ตู้แช่ไอศกรีมขนาด 8 คิว
2.ธงญี่ปุ่น/ขาตั้ง
3.เมนูไอศกรีม 2 แผ่น
4.ไอศกรีมกล่องกระดาษ 8 กล่อง
5.ร่มลูกเสือ 1 คัน
6.ที่ตักไอศกรีม 1 อัน
7.โคนแหลม 100 ชิ้น
8.โคนตัด 60 ชิ้น
9.ถ้วย6oz. 100 ใบ (พร้อมช้อน)
ลงทุนราคา 33,680 บาท
1.ตู้แช่ไอศกรีมขนาด 11 คิว
2.ธงญี่ปุ่น/ขาตั้ง
3.เมนูไอศกรีม 5 แผ่น
4.เมนูติดผนังขนาดใหญ่ 1ใบ
5.ไอศกรีมกล่องกระดาษ 10 กล่อง
6.ร่วมลูกเสือ 1 คัน
7.ที่ตักไอศกรีม 1 อัน
8.โคนแหลม 200 ชิ้น
9.โคนตัด 60 ชิ้น
10ถ้วย6oz. 100 ใบ (พร้อมช้อน)

สนใจธุรกิจติดต่อ 0-2833-0911-2
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


สะเต๊ะ ยิ้มสยาม”เด็ดที่หมูนุ่ม เปิดช่องแฟรนไชส์สร้างอาชีพ

หมูสะเต๊ะ ยี่ห้อ “สะเต๊ะ ยิ้มสยาม” สร้างจุดขายด้วยสูตรหมูนุ่ม มาพร้อมกับน้ำจิ้มสมุนไพรที่คิดค้นขึ้นเอง เร่งบุกตลาดด้วยกลยุทธ์ขายธุรกิจแฟรนไชส์ เปิดโอกาสสร้างอีกทางเลือกหนึ่งของผู้สนใจมีอาชีพเล็กๆ เป็นของตัวเอง

สะเต๊ะยิ้มสยาม
พิธาน อิมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สะเต๊ะยิ้มสยาม

พิธาน อิมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยิ้มสยาม มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ “สะเต๊ะ ยิ้มสยาม” เล่าว่า ทั้งตัวเองและภรรยาสนใจทำธุรกิจอาหาร จนได้โอกาสจากญาติชวนให้ทำเมนูอาหารวางขายในร้านอาหารของเขา จึงคิดถึงเมนูหมูสะเต๊ะ เพราะเป็นอาหารจานด่วนที่คนทั่วไปรู้จักกันดีอยู่แล้ว หากินง่ายแต่หาอร่อยได้ยาก

“พอคิดจะทำหมูสะเต๊ะ ผมหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต และไปทดลองชิมหมูสะเต๊ะเจ้าดังๆ ทั้งหมด เพื่อนำกลับมาปรับปรุงและพัฒนาสูตรของตัวเอง ลองผิดลองถูกอยู่กว่า 3 เดือน ทดลองทำอยู่ไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง จนได้สูตรลงตัว แทบทุกคนพอได้กินคำแรกจะพูดคล้ายๆ กันว่า หมูนุ่ม ไม่เคยกินหมูสะเต๊ะที่ไหนเนื้อนุ่มขนาดนี้ ” พิธาน เล่า

เคล็ดลับหมูนุ่ม เกิดจากการหมักด้วยสมุนไพรและเครื่องปรุง 7-8 ชนิด ซึ่งเป็นความลับไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนน้ำจิ้มเติมสมุนไพรต่างๆ ลงไป เช่น ตะไคร้ ข่า มะกรูด หอมแดง เป็นต้น ช่วยให้รสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย

เมื่อได้สูตรหมูสะเต๊ะที่ลงตัว พิธานมองถึงการขยายตลาดในรูปแบบขายธุรกิจแฟรนไชส์ เพราะเห็นว่า ใน ท้องตลาดยังไม่มีแฟรนไชส์หมูสะเต๊ะอย่างจริงจัง อีกทั้ง แฟรนไชส์หมูสะเต๊ะที่เคยเปิดมาก่อนหน้านี้ ประมาณ 6-7 ราย ล้วนประสบปัญหาเดียวกัน คือ ทุกรายจะใช้ระบบจัดส่งวัตถุดิบสำเร็จรูปพร้อมขาย ในแบบหมูหมักเสียบไม้ แช่แข็งบรรจุซอง ส่วนผู้ซื้อแฟรนไชส์ทำหน้าที่แค่ปิ้งขายเท่านั้น

สะเต๊ะยิ้มสยาม
สะเต๊ะยิ้มสยาม

ข้อเสียของระบบดังกล่าว เจ้าของแฟรนไชส์ต้องลงทุนสูง ทั้งค่าจ้างพนักงานหมัก หั่น เสียบไม้ และค่าขนส่ง เป็นต้น ซึ่งต้นทุนเหล่านี้ต้องนำไปบวกลงในค่าสินค้า ดังนั้น ผู้ลงทุนจะได้กำไรต่อหน่วยค่อนข้างน้อย เฉลี่ยไม่เกิน 1 บาทต่อไม้ เมื่อรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก ทั้งค่าพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ทำให้โอกาสที่ธุรกิจจะอยู่รอดก็ยาก

ดังนั้น ระบบของ “สะเต๊ะ ยิ้มสยาม” จะกำหนดส่งแค่ผงหมักหมูสะเต๊ะ และน้ำจิ้มดิบเท่านั้น (ผงหมัก 50 บาท / น้ำจิ้มดิบ 100 บาท สามารถทำหมูสะเต๊ะได้ 500 ไม้) ส่วน วัตถุดิบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหมูที่กำหนดต้องเป็นเนื้อสันนอก ขนมปัง และผักต่างๆ สำหรับทำอาจาด ผู้ลงทุนต้องเป็นฝ่ายจัดหาเองทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะเปิดร้านจะจัดอบรมทำทุกขั้นตอน 3 วัน ทั้งหมัก การหั่นหมูต่อไม้ การปิ้ง เป็นต้น รวมถึงจะไปสำรวจตลาดสดร่วมกัน เพื่อหาแหล่งวัตถุดิบที่ถูกต้องและเหมาะสม

“คนที่จะมาทำธุรกิจนี้ต้องลงแรงเองค่อน ข้างมาก จึงเป็นการคัดคนที่อยากจะทำอาชีพนี้จริงๆ ดีกว่าระบบที่ผู้ลงทุนซื้อแฟรนไชส์แล้วจ้างพนักงานมานั่งขาย แต่ระบบนี้ คนลงทุนต้องมีความพร้อมที่จะลงมือทำเอง ซึ่งความเอาใจใส่จะสูงกว่ากันมาก” เจ้าของแฟรนไชส์ ระบุ

สะเต๊ะยิ้มสยาม
ผงหมักสะเต๊ะยิ้มสยาม (รูปซ้าย) และน้ำจิ้มดิบ

ด้านการควบคุมคุณภาพรสชาตินั้น พิธาน เผยว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่กำหนดต้องสั่งผงหมัก และน้ำจิ้มดิบจากส่วนกลางเท่านั้น ซึ่งผลิตโดยกรรมวิธีชั่งตวงวัด ได้คำปรึกษาจากสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้มีรสชาติสม่ำเสมอ เก็บไว้ได้นานกว่า 6 เดือน ถ้านำไปใช้หมักหมูหรือทำน้ำจิ้มในอัตราส่วนที่กำหนด รสชาติของหมูสะเต๊ะและน้ำจิ้มจะเหมือนเดิมทุกครั้ง โดยขณะนี้มีกำลังผลิต ประมาณ 100 ถุงต่อวัน เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า

ราคาขายปลีก “สะเต๊ะ ยิ้มสยาม” อยู่ที่ชุดละ 50 บาท (หมูสะเต๊ะ 10ไม้ เฉลี่ยไม้ละ 5 บาท) ผู้ลงทุนจะมีกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าวัตถุดิบ พนักงาน ค่าเช่า ฯลฯ ประมาณ 50% ของยอดขาย ควรจะขายได้อย่างต่ำประมาณ 300 ไม้ต่อวัน หรือวันละ 30 ชุด ระยะเวลาคืนเงินทุนขึ้นอยู่กับทำเล แต่โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 เดือน

สำหรับการขยายสาขานั้น ประเดิมตั้งแต่กลางปีที่แล้ว (2552) แบ่งการลงทุนเป็นแบบ Kiosk 56,000 บาท และ Shop 96,000 บาท ปัจจุบัน มีทั้งหมด 8 สาขา เช่น สาขา ซ.รามคำแหง 164 สาขา ถ.สายไหม สาขาโลตัส พัทลุง สาขาประชาอุทิศ และสาขาเสรีเซ็นเตอร์ เป็นต้น ยอดขายเฉลี่ย สาขาละ 500 ไม้ต่อวัน ส่วนสูงสุดที่สาขาโลตัส พัทลุง เฉลี่ย700-800 ไม้ต่อวัน

พิธาน บอกว่า จากการเก็บข้อมูลสาขาต่างๆ ในช่วงเดือนแรก จะขายดีมาก เพราะคนอยากทดลองชิม พอเข้าเดือนที่สองและสาม ยอดขายจะลดลง 20-30% และพอเข้าเดือนที่สี่ ถ้ายอดยังคงตัวอยู่ แสดงว่า สาขานั้นอยู่รอดได้แล้ว เพราะลูกค้าจะเป็นขาประจำ ซึ่งติดใจความอร่อย แล้วกลับมาซื้อซ้ำ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา อัตราการล้มเหลวของธุรกิจอยู่ที่ 20% มีสาขาที่ต้องปิดไป 2 จุด จากปัจจัยสำคัญคือ ทำเลไม่เหมาะสม และผู้ลงทุนไม่พร้อมลงมาบริหารร้านได้ด้วยตัวเอง

เป้าหมายในปีนี้ (2553) อยากจะขยายสาขาให้ได้ถึง 100 จุดทั่วประเทศ เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและจดจำของคนทั่วไปได้อย่างดี โดยการตลาดจะอาศัยออกงานแฟร์ และโรดโชว์ตามทำเลและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึง โฆษณาผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต และนิตยสารต่างๆ และเมื่อแบรนด์เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีแล้ว เป้าหมายสูงสุดจะต่อยอดนำผลิตภัณฑ์ผงหมัก และน้ำจิ้มดิบวางขายในซูเปอร์มาร์เกตและร้านสะดวกซื้อ

สะเต๊ะยิ้มสยาม
รูปแบบ Shop สะเต๊ะยิ้มสยาม ลงทุน 96,000 บาท

ตารางลงทุนธุรกิจ “สะเต๊ะ ยิ้มสยาม” โดยสังเขป

-เงินลงทุนเบื้องต้น 56,000 และ 96,000 บาท ได้รับKiosk/Shopพร้อมอุปกรณ์เริ่มธุรกิจ
- ต้องรับผงหมัก/น้ำจิ้มดิบ จากส่วนกลางเท่านั้น
- มีอบรมทุกขั้นตอน ก่อนเปิดร้าน 3 วัน และแนะนำแหล่งซื้อวัตถุดิบ และวิธีคัดเลือกวัตถุดิบ
- ผู้ร่วมธุรกิจต้องมีความพร้อมในการปฏิบัติตามคำแนะนำและเงื่อนไขของบริษัท
- ควรมีเงินทุนหมุนเวียนต่อเดือน ประมาณ 30,000 บาท
- กำไรสุทธิโดยเฉลี่ยประมาณ 50% ของยอดขาย
- ระยะเวลาคืนทุนแล้วแต่ทำเล โดยเฉลี่ยประมาณ 3-5 เดือน
โทร.0-2996-4461,08-1806-3556 หรือ www.yimsiammarketing.com

Read More...


กาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟ

“เนสกาแฟ” ชวน ชม ชง ชิม ประกวด Street Barista Championship ร่วมปั้น SMEs ไทยสู่ตลาดโลก

กาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟ
กาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟ

ในงาน “SMEs ไทยสู่ตลาดโลก” ที่กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ 21-25 ตุลาคม 2553 ชั้น 4 เดอะมอลล์บางกะปิ ผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ ก็เป็นอีกไฮไลต์หนึ่งที่ตอบโจทย์คนที่จะเปิดร้านกาแฟได้ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโมเดลธุรกิจ รวมถึงสีสันใหม่ในเรื่องของการประกวด NESCAFE Street Barista Championship ครั้งที่ 2 (เนสกาแฟ นักชงมืออาชีพ แชมเปี้ยนชิพ ครั้งที่ 2) เพื่อสรรหาสูตรการชงใหม่เทคนิคใหม่ให้กับผู้ประกอบการ โดยนำเอาประสบการณ์จากผู้รู้จริง คนที่ขายจริง ได้กำไรจริง ในเรื่องกาแฟ ที่จะมาถ่ายทอดเคล็ดลับในการชงกาแฟภายในงานนี้อีกด้วย

นิตยา ภูยาธร ร้านกาแฟรถเข็นจาก สิงห์บุรี หนึ่งในผู้ที่คนเปิดร้านกาแฟ ในโครงการ “เนสกาแฟ นักชงมืออาชีพ” หรือ NESCAFE Street Barista ที่เนสกาแฟจะนำมาโชว์ฝีมือการชงในงานนี้เผยเคล็ดลับการชงกาแฟในสูตรของเธอ ว่า เธอเข้าอบรมในการชงกาแฟถึงสามหนด้วยกัน โดยล่าสุดสุดท้าย ก็คือการชงโดยใช้ “เนสท์เล่ สวีท ไทม์” เป็นส่วนผสมหลัก พออบรมเสร็จก็จะเอามาพัฒนาและปรับสูตรให้เหมาะสมกับความต้องการของคนในแต่ละ พื้นที่

“คนอื่นพออบรมเสร็จก็ไม่มาอีก แต่ดิฉัน ถ้ามีผลิตภัณฑ์ใหม่ก็จะมาอบรม แล้วเอามาปรับใช้ และคอยถามความต้องการของลูกค้าด้วยว่าเขาต้องการแบบไหน และปรับตามที่ลูกค้าแต่ละคนต้องการ บางคนชอบเข้ม ชอบหวาน ชอบมัน เราก็จะคอยจำไว้ ถ้ารสชาติไหนที่ลูกค้าว่าอร่อย แก้วที่เราใช้ชงให้ลูกค้า ก่อนที่จะล้าง เราก็จะเอามาชิมแล้วจำรสชาติไว้ ”

ในช่วงแรก นิตยาจะทำอย่างนี้ตลอด เพื่อที่จะหาสูตรที่เหมาะสมสำหรับความต้องการของลูกค้าแต่ละคน นอกจากนี้ รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น การที่คนขายวางขวดกาแฟไว้แล้วตักกับการที่ถือขวดขึ้นมาแล้วตัก ปริมาณของกาแฟ หรือ ส่วนผสมอื่นๆก็แตกต่างกันแล้ว ความเข้มข้นก็จะแตกต่างกันด้วย แต่คนขายบางคนไม่สนใจขอแค่ชงเสร็จก็พอ หรือแม้แต่การลำดับก่อนหลังในการผสมสูตรความอร่อย

กาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟ
กาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟ

สูตรกาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟ

“สูตรของดิฉันก็คือ กาแฟสี่ น้ำตาลสอง เนสท์เล่ สวีทไทม์สอง นมข้นหนึ่ง คอฟฟีเมตสี่ช้อน ดิฉันจะใส่กาแฟกับน้ำตาลชงให้เข้ากันก่อน บางคนน้ำตาลยังไม่ละลายเลยก็มี เราต้องให้น้ำตาลละลายก่อน แล้วค่อยใส่ นม คอฟฟีเมตและ เนสท์เล่ สวีท ไทม์ ลงไป เทใส่แก้วแล้วค่อยราดตามด้วยนมสด ถ้าทำแบบนี้ตัว เนสท์เล่ สวีทไทม์ จะเป็นตัวที่ทำให้กาแฟหอมมากยิ่งขึ้น ”

ประสบการณ์หนึ่ง ตอนที่ขายอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี หน้าร้านเบเกอรี่ นิตยาเล่าว่า ” เคยมีลูกค้ารถทัวร์ที่มาจอด จะมีคนที่ลงมาซื้อแค่สามสี่คน คนอื่นเขาไม่อยากซื้อ เพราะเขาเข็ดจากที่อื่นมาก็จะไม่ลง แต่ถ้ามีคนที่ซื้อไปแล้วบอกว่าอร่อย ทีนี้คนอื่นก็จะลงมา แล้วเขาก็ลงมาซื้อทั้งรถก็มี”

” หรือบางคน แวะซื้อลูกชิ้นที่สามีขาย และแวะซื้อกาแฟที่เราขายด้วย เขาบอกว่าความจริงไม่ต้องแวะก็ได้ แต่ เพราะต้องการจะซื้อกาแฟก็เลย ต้องแวะทุกวัน” นิตยา เล่า ไม่ใช่แค่ความใส่ใจเท่านั้น นิตยายังขยายไปสู่ การตกแต่งร้าน ที่เธอว่า เราต้องนึกถึงคนซื้อด้วยว่า เขามาซื้อ เราบอกว่ากาแฟชนิดนี้ แต่ลูกค้าเขานึกไม่ออก เธอก็จะถ่ายรูปแล้วเอามาติดไว้อย่างสวยงาม

รวมทั้งเรื่องของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่กาแฟเย็นรถเข็นเนสกาแฟของ เธอ มีครบ ตั้งแต่ กาแฟ ไมโล ช็อคโกแล็ต นมเย็น ชามะนาว ( เนสที เลมอน ) โซดา ผลิตภัณฑ์ของเนสท์เล่ทั้งหมดที่จะเป็นตัวช่วยให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าที่แตก ต่างแปลกใหม่ออกไป
ปัจจุบัน นิตยาขายอยู่ที่หอพักคนงานในนิคมโรจนะ จากเดิมที่เธอเพิ่งหมดสัญญาก็คือร้านเบเกอรี่ที่จังหวัดสิงห์บุรี นิตยาเล่าว่าเมื่อก่อนเธอขายได้วันละ 2,000 จนถึง 6,000 บาท ในช่วงเทศกาลเลยทีเดียว

“ขายดีจนร้านเขาต้องบอกเลิกสัญญา เพราะขายดีกว่าเจ้าของร้าน” เธอว่า ” เราขายกาแฟเย็นแก้วใหญ่ แก้วละยี่สิบบาท ในขณะที่คนอื่นจะขายแก้วเล็กแก้วละ ยี่สิบบาท เราก็ถือว่า ตรงนี้กำไรน้อย แต่กำไรที่จะได้ เป็นกำไรระยะยาวมากกว่า”

ส่วนใครที่สนใจ ไม่ต้องไปไกลถึงนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ประสบการณ์เคล็ดลับเหล่านี้ สามารถพบกับเธอได้ในงาน กระทรวงพานิชย์ เส้นทางเศรษฐี SMEs ไทยสู่ตลาดโลก ครั้งที่ 7 ที่จะถึงนี้
หลายคำถามที่ว่า “กำไรน้อย กำไรมาก เป็นอย่างไร” “ใส่มากแล้วไม่ขาดทุนหรือ” เธอจะเป็นคนให้คำตอบเหล่านี้ได้ทุกคำถาม
ที่มา : มติชน ออนไลส์

Read More...


เค้กหม้อแกง ประยุกต์ขนมหวาน สร้างชื่อของดี ‘เมืองเพชร’

เค้กหม้อแกง
ขนมเค้กหม้อแกง

หม้อแกง” ขนมพื้นบ้านของเหล่าแม่ๆทั้งหลาย กลายเป็นสัญลักษณ์และของฝากที่อยู่คู่จังหวัดเพชรบุรีมา ช้านาน และด้วยยุคสมัยเปลี่ยนไป หน้าตาของขนมหม้อแกงถูกพัฒนาเปลี่ยนไป เพื่อรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ บวกกับอุณหภูมิการแข่งขันในตลาดของเหล่าแม่ๆ ทั้งหลายที่ทวีความร้อนแรงเพิ่มขึ้น

การที่รายใหม่จะเข้ามาสู่ตลาดตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าไม่มีจุดขายที่แตกต่าง และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นจุดกำเนิดของ ขนมเค้กหม้อแกง บ้านขนมนันทวัน” ที่ปัจจุบันกลายเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเพชรบุรี และเจ้าของก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ทายาทของขนมชื่อดังจังหวัดสุพรรณบุรี “สาลี่เอกชัย” ที่แยกตัวเองออกมาทำร้านขนมหวานของฝากตามรอยคุณแม่นฤมล เอี่ยมอดุง เจ้าของสูตรสาลี่เอกชัย โดยยึดทำเลที่ตั้งสำคัญ จังหวัดเพชรบุรี เมืองแห่งขนมหวาน

เค้กหม้อแกง
นางนันทวัน เพชราภรัชต์ เจ้าของขนมเค้กหม้อแกง

นางนันทวัน เพชราภรัชต์ เจ้าของ บ้านขนมนันทวัน เล่า ว่า ที่มาของร้านบ้านขนมนันทวัน เกิดขึ้นมาจาก ครอบครัวของเรามีความเชี่ยวชาญในด้านการทำขนม และเมื่อตัวเองแต่งงานกับสามีซึ่งเป็นคนจังหวัดเพชรบุรี จึงได้เลือกเปิดร้านที่นี่ และจังหวัดเพชรบุรี มีชื่อเสียงด้านขนมหวาน โดยเฉพาะขนมหม้อแกง ที่ใครผ่านไปมาก็ต้องแวะซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน

เนื่องจากเราเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ การไปทำขนมหม้อแกงธรรมดาทั่วไป ก็คงแข่งกับเหล่าแม่ๆ ทั้งหลายที่มีชื่อเสียง และอยู่มานานหลายสิบปีไม่ได้ จึงได้เป็นที่มาของแนวคิดการทำขนมเค้กหม้อแกงขึ้นมา โดยลูกค้าให้นิยามขนมของเรา ว่า เป็นขนมแนวตะวันตก อย่างขนมเค้ก มารวมกับขนมพื้นบ้านแนวตะวันออกอย่างขนมหม้อแกง ซึ่งความลงตัวของเค้กรวมกับขนมหม้อแกง ทำให้ขนมเค้กหม้อแกง ประสบความสำเร็จได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี

เค้กหม้อแกง
บรรยากาศภายในร้านขนมเค้กหม้อแกงบ้านขนมนันทวัน

“โดยจุดมุ่งหมายของการเปิด ร้านบ้านขนมนันทวันในครั้งแรก ต้องการจะทำร้านขนมหวาน ที่ มีความสวยงาม ทันสมัย และที่สำคัญเราต้องการให้เป็นร้านขายของฝาก ที่แปลกแตกต่างจากร้านของฝากทั่วไปที่มีอยู่จำนวนมากในจังหวัดเพชรบุรี โดยเรามีเป้าหมายชัดเจนในการวางตำแหน่งลูกค้าไว้ที่กลุ่มบีบวกหรือ กลุ่มไฮเอ็นด์ ดังนั้น เมื่อเรารู้เป้าหมายที่ชัดเจน การทำงานของเราก็ต้องสอดรับความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนี้ เริ่มตั้งแต่รูปแบบอาคาร ความสะอาด การให้บริการ ร่วมถึงห้องน้ำ เราเป็นแห่งแรกที่มีบริการห้องน้ำสำหรับคนพิการ ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อม และสินค้าภายในร้านดูดีทันสมัย ทั้งรสชาติ หน้าตาและบรรจุภัณฑ์ เพราะขึ้นชื่อว่า ของฝากทุกคนก็อยากจะให้ในสิ่งที่คนรับประทับใจ ดังนั้น เราจะมีการปรับเรื่องของบรรจุภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง”

สำหรับบ้านขนมนันทวัน เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 รวมระยะเวลาประมาณ 9 ปี แต่ การเปิดร้านขนมหวานในแหล่งที่มีผู้ขายขนมหวาน อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งใน 3 ปี คุณนันทวัน บอกกับเราว่า เขานึกว่าจะไปไม่รอด เพราะยอดขายไม่ดีเลย มีรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย เพราะคนยังไม่รู้จัก และประกอบกับ เป็นร้านที่อยู่ตอนท้ายของการเดินทางกลับบ้าน ซึ่งมีร้านเดิมที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เปิดให้บริการอยู่ก่อนจะมาถึงเราถึง 19 ร้าน

เค้กหม้อแกง นั่งกินลมชมเขาวัง
รูปแบบร้านขนมเค้กหม้อแกงเน้นความทันสมัย

อย่างไรก็ตาม เราพยายามตอบโจทย์ ในสิ่งที่ลูกค้าเราต้องการ โดยนิยามลูกค้ากลุ่มนี้ คือ ไฮเอ็ดดูเคชั่น ไฮอินคัม และ ไฮยีน การดีไซน์เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้เรารอดมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานที่ห้องน้ำสะอาด บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่าง อินโนเวชั่น นวัตกรรม ในการผลิตขนมให้ถูกปากผู้บริโภค การลดน้ำตาลให้น้อยลง เพื่อคนที่รักในสุขภาพ การหาวิธีการยืดอายุการเก็บรักษา เพื่อให้เก็บได้นานขึ้น เหล่านี้ ล้วนเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่เราต้องคิดขึ้นมา และทำให้เราสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ และเกิดการบอกกันแบบปากต่อปาก และพระเอกที่สร้างชื่อเสียงให้กับเรา คือ เค้กหม้อแกง ซึ่งมีที่เราเพียงแห่งเดียว และลูกค้าต้องการซื้อเค้กหม้อแกง ก็ต้องมาซื้อที่เรา ทำให้สินค้าตัวอื่นๆ ของเราขายดีไปด้วย ปัจจุบันสินค้าที่เราผลิตเองเพียง 28% ที่เหลือรับมาจากผู้ผลิตรายอื่นๆ

กว่าจะเป็นขนมเค้กหม้อแกง

สำหรับเค้กหม้อแกง ใช้เวลาในการทดลองสูตร อยู่นานกว่า 6 เดือน เพื่อให้ขนมเค้ก และหม้อแกง สามารถไปด้วยกันได้ โดยมีการปรับสูตรความหวานของหม้อแกงลง ส่วนสูตรขนมเค้ก ปรับอยู่นานเช่นกัน ซึ่งในส่วนของเค้กเป็นสูตรที่ได้มาจากแม่นฤมล และการทำเค้กหม้อแกง ส่วนหนึ่งช่วยให้คนรุ่นใหม่ หรือเด็ก เริ่มหันมาให้ความสนใจกับขนมพื้นบ้านอย่างหม้อแกงได้มากขึ้น

ส่วนกลุ่มลูกค้า ในช่วงแรกมองว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของขนมเค้กหม้อแกง น่าจะเป็นช่วงอายุประมาณ 30 ปี ถึง 40 ปี แต่พอถึงปัจจุบัน กลายเป็นว่าเด็กและวัยรุ่นให้ความสนใจมากกว่า และลูกค้าส่วนใหญ่ของเราเป็นช่วงอายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป ปัจจุบันมีโครงการที่จะขยายกิจการในพื้นที่ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 8 ไร่ โดยตนเองและสามีต้องการจะเนรมิต โดยจำลองสถานที่สำคัญในจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งหลายคนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าจริงแล้วเพชรบุรีมีสถานที่สวยหลายแห่งที่น่า เที่ยว แต่ส่วนใหญ่คนจะผ่านเลยไปหมด ไม่ได้แวะเพชรบุรี ปัจจุบันมีร้านอาหาร ร้านขายเสื้อผ้า และที่กำลังจะเปิดคือ ร้านกาแฟ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ตั้งงบไว้ 7 ล้านบาท
โทร. 032-419-910-1,www.bannuntawan.com
ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


อุด้งหมูตุ๋น’ จานด่วนทำเงินไม่จำเจ

ก๋วยจั๊บน้ำใสและอุด้งหมูตุ๋น
อุด้งหมูตุ๋น
วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลการทำ-การขายอาหารจานด่วนมานำเสนออีกครั้ง กับสูตร “อุด้งหมูตุ๋น” ที่ชื่อเมนูเป็นจุดขายที่ดี พร้อมกันนี้ก็ยังมี “ก๋วยจั๊บน้ำใส” เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ควบคู่ด้วย
วิทยา บุญญธนาภิวัฒน์ เจ้าของร้าน “สมบุญโภชนา” เล่าว่า เปิดร้านขายอาหารจานด่วนมานาน รวมถึง “อุด้งหมูตุ๋น” และ “ก๋วยจั๊บน้ำใส” ซึ่งสำหรับก๋วยจั๊บน้ำใสนั้นเป็นสูตรดั้งเดิมของที่บ้าน เพราะเดิมเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วที่บ้านเปิดร้านขายก๋วยจั๊บ ต้มเลือดหมู อยู่ที่ย่านบางลำพู ซึ่งตนก็ได้รับการถ่ายทอดสูตรการปรุงน้ำซุปมาจากคุณพ่อคุณแม่ แต่เรียนจบด้านการออกแบบตกแต่งก็ต้องการทำงานตามที่เรียนมา จึงเข้าทำงานด้านนี้อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง จึงไม่ได้สืบทอดกิจการจากพ่อแม่ที่ย่านบางลำพู
หลังจากที่ทำงานตามความฝันของตัวเองมานานจนเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงาน ประจำ พร้อมกับลูก ๆ เรียนจบ และอยากที่จะเปิดร้านขายอาหารที่เป็นกิจการของครอบครัว จึงตัดสินใจเปิดร้านขายอาหาร อาทิ ก๋วยจั๊บ แล้วยังเพิ่มเมนูหมูตุ๋น และอีกหลายเมนู เช่น ต้มเลือดหมู เปาะเปี๊ยะสด เป็นต้น

ก๋วยจั๊บน้ำใสและอุด้งหมูตุ๋น
วิทยา บุญญธนาภิวัฒน์ เจ้าของร้าน สมบุญโภชนาอุด้งหมูตุ๋น

“ก๋วยจั๊บน้ำใสและต้มเลือดหมูนั้น มีเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่น้ำซุป ที่ต้องมีความหวานน้ำต้มกระดูก ที่สำคัญต้องต้มใช้วันต่อวัน ส่วนเครื่องในหมู พวกกระเพาะหมู ไส้อ่อน ตับ เซี่ยงจี๊ หัวใจหมู ลิ้นหมู ที่นำมาใช้เป็นเครื่องใส่ในก๋วยจั๊บ จะต้องใช้ของที่สดใหม่ทุกวัน”
วัตถุดิบที่ใช้ทำน้ำซุป มีดังนี้… กระดูกหมูส่วนที่เรียกว่าคาตั๊ง, กระดูกหมูส่วนที่เรียกว่าเอียเล้ง (กระดูกสันหลัง) พวกเครื่องปรุงรสก็มี เกลือ, รากผักชี, น้ำตาลกรวด, พริกไทยเม็ด, ซีอิ๊วขาว, น้ำปลา
การทำน้ำซุป… เริ่มจากนำหม้อใส่น้ำสะอาด ตั้งไฟ ใส่กระดูกหมูส่วนคาตั๊งและส่วนเอียเล้งลงไป ตามด้วยพริกไทยเม็ดทุบพอหยาบ รากผักชี และเกลือ จากนั้นเปิดไฟให้แรงต้มจนน้ำเดือด แล้วก็ลดไฟลงให้ไฟอ่อนตั้งเคี่ยวน้ำซุปไปเรื่อย ๆ ปรุงรสด้วยน้ำตาลกรวด ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ตั้งไฟเคี่ยวไปประมาณ 2 ชั่วโมง เท่านี้ก็จะได้น้ำซุปไว้สำหรับทำก๋วยจั๊บและต้มเลือดหมู ซึ่งเวลาขายก็ต้องตั้งบนไฟอ่อน ๆ ตลอดเวลา

ก๋วยจั๊บน้ำใสและอุด้งหมูตุ๋น
ก๋วยจั๊บน้ำใส
ส่วนพวกเครื่องในหมูนั้น กระเพาะหมูจะเป็นของที่ทำยากที่สุด เพราะจะต้องทำการล้างให้สะอาด มิฉะนั้นจะมีกลิ่น การล้างก็นำกระเพาะหมูล้างด้วยน้ำ พลิกด้านในของกระเพาะหมูออกมา ล้างเมือก ออกให้หมด จากนั้นก็ต้องนำกระเพาะหมูไปต้มกับพริกไทยเม็ดทุบพอหยาบ ใช้เวลาต้มประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

เครื่องในอื่น ๆ พวก ไส้อ่อน ตับ เซี่ยงจี๊ หัวใจหมู ลิ้นหมู จะใช้เป็นของสด ใช้วิธีลวกในน้ำร้อนแล้วใส่เป็นเครื่อง ใส่ในก๋วยจั๊บหรือต้มเลือดหมูได้ทันที

เส้นก๋วยจั๊บนั้น ก็ใช้เส้นที่มีขายทั่วไป แต่ควรเลือกยี่ห้อที่เส้นเหนียวนุ่ม เวลาต้มออกมาเส้นไม่เละ ผักที่ใส่ในก๋วยจั๊บน้ำใสของร้าน จะใช้ “ใบตำลึง” ส่วนผักที่ใส่ต้มเลือดหมูนั้นจะใช้ “ผักจิงจูไฉ่”
ราคาขายก๋วยจั๊บและต้มเลือดหมูนั้นอยู่ที่ชามละ 35 บาท

สำหรับเมนูตุ๋นที่เป็นเมนูที่เพิ่มขึ้นมา วิทยาบอกว่า เพราะมีความชำนาญเรื่องการทำน้ำซุปอยู่แล้ว การทำเมนูตุ๋นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยาก จึงคิดทำเพื่อเป็นเมนูที่เพิ่มเข้ามาในร้าน เพื่อเพิ่มตัวเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น

สูตรเด็ดอุด้งหมูตุ๋น

เมนูตุ๋นนั้นจะใช้สมุนไพร 8 อย่าง ได้แก่ อบเชย, โป๊ยกั๊ก, เก๋ากี้, ลูกกระวาน, กระเทียม, พริกไทยเม็ด, รากผักชี, เม็ดผักชี ส่วนเครื่องปรุงรสจะใช้ น้ำตาลกรวด, น้ำตาลปึก, ซีอิ๊วขาวของจีน (จะทำให้ได้รสชาติที่ดีกว่าใช้ซีอิ๊วขาวของไทย มีขายอยู่ย่านเยาวราช) ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ตุ๋น ก็มี เอ็นแก้ว และซี่โครงอ่อน
การตุ๋น เริ่มจากนำสมุนไพรทั้ง 8 ชนิด ผสมรวมใส่ในผ้าขาวบางมัดให้แน่น นำน้ำสะอาดใส่หม้อตั้งไฟใส่สมุนไพรที่ห่อไว้และเอ็นแก้วกับกระดูกหมูอ่อนลง ไป เปิดไฟแรงต้มจนน้ำเดือดสักพัก ก็ลดไฟให้อ่อนลง ปรุงรสด้วยน้ำตาลกรวด, น้ำตาลปึก, ซีอิ๊วขาวของจีน ตั้งไฟอ่อน ๆ เคี่ยวประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็พร้อมขาย

เมนูหมูตุ๋นนั้น ทำเป็นก๋วยเตี๋ยวขายปกติทั่วไปก็ได้ แต่ที่แปลกใหม่ ขึ้นมาก็คือใช้ “เส้นอุด้ง” มาแทนเส้นก๋วยเตี๋ยว กลายเป็นเมนู “อุด้งหมูตุ๋น” สำหรับเส้นอุด้งนั้นจะต้องทำเตรียมไว้ โดยทำการต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที จากนั้นก็นำขึ้นมาแช่ในน้ำเย็น เพื่อให้เส้นเหนียวนุ่ม เวลาจะทำเสิร์ฟลูกค้าก็นำไปลวกในน้ำร้อนอีกครั้งเพื่อให้เส้นร้อน ใส่ชาม ตักหมูตุ๋นใส่ลงไป เติมน้ำซุป เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟ
ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นชามละ 35 บาท แต่ถ้าเป็นเมนูอุด้งหมูตุ๋น ก็ชามละ 45 บาท

ร้านขายก๋วยจั๊บน้ำใสและอุด้งหมูตุ๋นของวิทยา ตั้งอยู่บนถนนนวลจันทร์ ปากซอยนวลจันทร์ 15 ย่านรามอินทรา ร้านเปิดทุกวัน ยกเว้นวันพุธ ตั้งแต่ 07.00-17.00 น. เบอร์โทรศัพท์คือ 08-9779-2270.
ที่มา: เดลินิวส์

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.