สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

category: จุดประกายอาชีพ, อาชีพเสริม, อาหารการกิน, อาหารพารวย, แบไต๋อาชีพอิสระมาทำขนมปุยฝ้าย กันเหอะ!..

 
เงินลงทุน :   ประมาณ 2,000 บาท บาท/แป้ง 1 กิโลกรัม
รายได้ :   1,000 บาท/วัน
วัสดุ/อุปกรณ์ :   กะละมังพลาสติก ถาด ถ้วยตวง เครื่องตีไข่ ตาชั่ง ถ้วยกระดาษ ถ้วยอลูมิเนียม ไม้พายยาว ถ้วย ข้อนแกง ตะแกรงร่อนแป้ง
แหล่งจำแหน่ายวัสดุอุปกรณ์ :   ร้านค้าที่ขายอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป


Candy-down01

ส่วนผสม :
- แป้งสาลีตราบัวแดง 800 กรัม
- น้ำตาลทรายขาว 700 กรัม
- น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
- ไขไก่ 4 ฟอง
- วานิลลา 1 ช้อนชา


Candy-down02

- ผงฟู 4 ช้อนชา
- S.P.(เอส.พี) 8 ช้อนชา
- นมจืด 1 ถ้วยตวง
- น้ำมะนาว 6 ช้อน
- สีผสมอาหาร


Candy-down03

วิธีทำ :
1. นำแป้งกับผงฟูคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วนำไปร่อนด้วยตะแกรง เสร็จแล้วนำไปตากแดดทิ้งไว้


2. นำน้ำสะอาดกะละมัง เติม S.P. ลงไป จากนั้นใช้เครื่องตีไข่ ตี S.P. ละลายกับน้ำ เติมน้ำตาลทราย นมจืดและไข่ไก่ ใช้เครื่องตีอย่างต่ำ 20 นาที ขึ้นไปให้ฟูเป็นเนื้อครีม จากนั้นเติมน้ำมะนาว วานิลลาและเครื่องผสมเข้าด้วยกัน

3. นำแห้งที่ตากแดดมาใส่ในส่วนผสมที่ตีไว้ กวนด้วยไม้พายยางให้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมดหากให้ขนมเป็นสีขาวก็ไม่ต้องเติมสี แต่ถ้าจะให้เป็นหลายสีก็แบ่งใส่ถ้วย แล้วสีผสมอาหารลงไปเล็กน้อย

4. เตรียมถาดอลูมิเนียมพร้อมกับนำถ้วยกระดาษใส่ลงไปในถ้วยอลูมิเนียมจากนั้นนำแป้งเตรียมไว้มาหยอดใส่ถ้วยขนม โดยใช้ช้อนแกงตักหยอดให้เต็มถ้วย

5. นำขนมวางเรียงลังถึงให้เต็ม ยกขึ้นตั้งบนน้ำเดือด นึ่งนานสัก 5 นาที ก็ยกลง ถอดถ้วยอลูมิเนียมออกจากถ้วยขนม ทิ้งไว้ให้เย็นบรรจุถุงขาย

Candy-down04

ตลาด/แหล่งขาย :   ขายส่งมินิมาร์ท ร้านค้าทั่วไป หรือขายเองแถวย่านที่มีคนพลุกพล่าน
ข้อแนะนำ :
1. เวลาแป้งต้องตีไปทางเดียวกัน ห้ามตีย้อนไปย้อนมาเพราะส่วนผสมจะละเอียดไม่เท่ากัน


2. เวลานึ่งต้องให้น้ำเดือดจัด และนึ่งครั้งต่อไปต้องเช็ดไอน้ำที่เกาะอยู่ในฝาลังถึงก่อนปิดฝาทุกครั้งไม่อย่างนั้นไอน้ำจะหยดลงใส่ขนมไม่สวยและเป็นก้อนแห้งแข็ง

3. หากต้องการให้ขนมมีสีสันสวยงามแปลกตาให้หยอดถ้วยละ 2 สี

Read More...


ทำขนมปังไส้ต่างๆ(ขาย) อีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ดี

เงินลงทุน :   ประมาณ 9,000 – 10,000 บาท(เตาพร้อมถังแก๊ส 2,000 บาท  เตาอบชนิดใช้แก๊ส    5,000 บาท)
รายได้ :   ประมาณ  175  บาท/ขนมปัง  35  ก้อน
วัสดุ/อุปกรณ์ :   เตาอบขนมปัง  เตาพร้อมถังแก๊ส  กระทะ  ตะหลิว  ไม้พาย  เครื่องบดอาหาร  ที่ร่อนแป้ง  กะละมังสแตนเลส  ผ้าขาวบาง  ถาดอะลูมิเนียม  ชุดช้อนตวง  ชุดถ้วยตวง  พิมพ์ขนม  แปรงทาเนย
แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ :   ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทำขนม  เวิ้งนาครเขษม  ห้างสรรพสินค้า


Bread02

วิธีทำ :   ขนมปัง

ส่วนผสม :
- แป้งสาลีตรา ว่าว       1        กิโลกรัม
- เนยเหลือง                 80      กรัม
- นมผง                        1/3     ถ้วยตวง
- เอ็มเพล็กซ์                2        ช้อนชา
- ยีสต์                          4        ช้อนชา
- เกลือ                         1        ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย            120     กรัม
- ไข่ไก่                        1         ฟอง
- น้ำสะอาด                 2 ¼     ถ้วยตวง


วิธีทำ :
1.    ร่อนแป้งใส่กะละมัง ใส่เนยเหลือง นมผงและเอ็มเพล็กซ์  (เป็นครีมผงสีเหลืองช่วยให้ขนมปังนุ่มและมีกลิ่นหอม)   นวดให้เข้ากัน  จากนั้นใส่เกลือ  น้ำตาลทราย  ยีสต์     และไข่ไก่  นวดให้เข้ากัน  แล้วค่อย ๆ เทน้ำลงไป  นวดต่อไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียวขณะที่นวดแป้งควรใส่น้ำมันพืชลงไปพอประมาณ  เพราะเวลานวด
แป้งจะไม่เหนียวติดมือ

2.    เมื่อแป้งได้ที่  ให้นำออกแผ่ในกะละมัง  ใช้ฝ่ามือไล้แป้งไปมาให้หน้าแป้งเรียบ  จากนั้นคลึงแป้งให้เป็นก้อนกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว  นำไปวางในถาดอะลูมิเนียมที่ทาเนยขาวเตรียมไว้แล้ว  คลุมแป้งด้วยผ้าขาวบาง  พักไว้ให้แป้งพองตัวขึ้นประมาณ 45 นาที

3.    ตบแป้งที่พองตัวให้เป็นรูปกลมแบน ตักไส้ใส่ลงไปตรงกลางพอประมาณ แล้วห่อแป้งปิดไส้ให้เรียบร้อย (หากปิดไม่แน่นหรือใส่ไส้มากเกินไป  เวลาอบไส้ขนมจะแตกออกมา)  นำไปใส่ในพิมพ์

4.    อลูมิเนียมที่ทาเนยขาวให้ทั่วค่อนข้างหนา  (ป้องกันขนมปังติดพิมพ์)  แล้วนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส  ประมาณ 15 นาที

5.    เมื่อขนมปังสุกจะพองตัวขึ้นอีก 2 เท่า  แกะขนมปังออกจากพิมพ์  ทาผิวขนมปังด้วยเนยเหลืองอีกครั้ง  เพื่อให้ผิวแวววาวสวยงามและมีกลิ่นหอม  แล้วบรรจุลงในถุงพลาสติกจำหน่ายต่อไป

Bread01

ไส้ไก่
ส่วนผสม :


- เนื้อไก่ต้มสุกหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ             1    ถ้วยตวง
- มันฝรั่งหรือมันเทศหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ    1    ถ้วยตวง
- ซอสปรุงรส      1 ½     ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย    1 ½     ช้อนโต๊ะ
- ผงกะหรี่            1         ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น           ½        ช้อนโต๊ะ


วิธีทำ :   ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอประมาณ  ผัดหอมหัวใหญ่จนหอม  ตามด้วยเนื้อไก่และมันฝรั่ง  ผัดจนสุก  ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงที่เหลือ  ผัดไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน

Bread03

ไส้หมูหยอง
ส่วนผสม :
- น้ำพริกเผา          500    กรัม
- หมูหยอง             1        กิโลกรัม


วิธีทำ :    ตั้งกระทะใช้ไฟกลาง  ผักน้ำพริกเผาและหมูหยองเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน  โดยที่น้ำของน้ำพริกเผาจะต้องงวดเข้าเนื้อหมูหยองจนหมด  ผัดจนหมูหยองแห้ง

Bread04

ไส้ถั่วแดง/ไส้เผือก
ส่วนผสม :
- ถั่วแดง/เผือกต้มสุกหั่นเป็นชิ้น     2    ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย                               2    ถ้วยตวง
- หัวกะทิ                                        1    ถ้วยตวง


วิธีทำ :
1.  นำถั่วแดงแช่น้ำ 2 ชั่วโมง   ต้มให้สุกจนเปื่อย  แล้วนำไปบดให้ละเอียด
2.  ตั้งกระทะใช้ไฟกลาง  ใส่ถั่วแดงบด/เผือกต้มสุก  น้ำตาลทราย  และหัวกะทิกวนด้วยไม้พายให้ส่วนผสมเข้ากันเป็นเนื้อเดียว


ตลาด/แหล่งจำหน่าย :   ตลาดทั่วไป   แหล่งชุมชน   บริเวณสถานศึกษา  ฝากขายร้านค้าหรือมินิมาร์ท
สถานที่ฝึกอบรม :   สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล  วิทยาเขตพระนครใต้  โทร. 211-2052,  212-5700-1
ข้อแนะนำ :    หากต้องการความหลากหลาย  สามารถเพิ่มไส้ขนมปังเป็นไส้ลูกเกด  สังขยา  ไส้กรอก  ฯลฯ

Read More...


ไอเดียแปลก เห็ดทอดนาโหนด ท้อไม่ถอย…อร่อยไม่ซ้ำ

“ขายเห็ดทอดครั้งแรกลงทุนไม่เยอะ ใช้กระทะ 1 ใบ กับร่ม 1 คัน ทำกันแบบง่ายๆ ตั้งราคาขายขีดละ 10 บาท วันแรกขายได้ 800 บาท วันที่สองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สูงสุดเคยขายได้วันละ 4,000-5,000 บาท เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นจึงเปิดสาขาสองที่หาดใหญ่ ปรากฏว่าขายได้วันละหมื่นกว่าบาท”

ไม่กี่วันก่อน ทางสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดกิจกรรม “ตลาดนัดชาววิทย์ ชิดชาวบ้าน” ขึ้น มีวัตถุประสงค์ เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ สวทช. เข้าไปสนับสนุนโดยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมไปเพิ่มขีดความสามารถ ภายในชุมชน รวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

“เห็ดทอดนาโหนด” จากจังหวัดพัทลุง คือตัวอย่างผลิตภัณฑ์ ที่เริ่มต้นจากทำกันแบบพื้นบ้าน แต่เมื่อผ่านการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ โดยการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าแล้ว ถึงวันนี้กลับกลายเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง และกำลังถูกทาบทามให้เข้าไปอวดโฉมในร้านสะดวกซื้อหลายพันสาขาทั่วประเทศแล้ว
แปร รูปเห็ด



แก้ล้นตลาด
คุณชัยยงค์ คชพันธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เห็ดทอดนาโหนด ฟู้ดส์ จำกัด วัย 26 ปี กุลีกุจอต้อนรับก่อนจะสละเวลามาให้ข้อมูลด้วยอัธยาศัยยิ้มแย้ม พร้อมเริ่มต้นให้ฟังเกี่ยวกับความเป็นมาธุรกิจในความดูแลว่า คุณพ่อ-คุณแม่ของเขา มีอาชีพหลักเป็นคุณครู และเริ่มต้นอาชีพเสริม เมื่อ พ.ศ. 2522 ด้วยการเพาะเห็ดพันธุ์นางฟ้า หูหนู นางรม ออกขายชุมชนในละแวกตำบลนาโหนด อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง กระทั่งปี 2530 มีการพัฒนาเป็นฟาร์มเห็ดครบวงจรขนาด 40 โรงเรือน ก่อนจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมวิจัยและเพาะเห็ดแห่งประเทศไทย

และ ในช่วงราวปี 2536 เกิดปัญหาเห็ดล้นตลาด ครอบครัวของเขาจึงหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกับสมาคมวิจัยและเพาะเห็ดฯ ด้วยการนำเห็ดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากชนิด อาทิ เห็ดทอด น้ำพริกเห็ด เห็ดสวรรค์ ฯลฯ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

“ฟาร์มเห็ดของครอบ ครัวทำกันแบบครบวงจร จึงมีผู้คนเข้ามา
ศึกษาดูงานกันหลายหมู่คณะ อาหารที่ทำเลี้ยงรับรองแขก ส่วนใหญ่เลยเป็นประเภทเห็ดแปรรูป โดยเฉพาะเห็ดชุบแป้งทอดนั้น ทำบ่อยและได้รับคำชมตลอดว่าอร่อยไม่เคยทานที่ไหนกันมาก่อน” เจ้าของเรื่องราว เล่าอย่างนั้น

คำชื่นชมว่า “เห็ดชุบแป้งทอด อร่อย ถ้าทำขายน่าจะขายได้ดี” น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของกิจการ โดยคุณชัยยงค์ เล่าให้ฟังต่อว่า ช่วงปิดเทอมใหญ่ ในวัยที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ราว พ.ศ. 2543 นั้น ตัวเขาและเพื่อนอีก 2-3 คน ได้เริ่มต้นอาชีพ “ทอดเห็ด” ขายเป็นครั้งแรก ที่หน้าสถานีรถไฟพัทลุง โดยใช้เห็ดนางฟ้าเพียงอย่างเดียวก่อน ส่วนตัวแป้งมีลักษณะคล้ายแป้งชุบกล้วยแขก ซึ่งคุณแม่ของเขาทราบสูตรดีอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

“ขาย เห็ดทอดครั้งแรกลงทุนไม่เยอะ ใช้กระทะ 1 ใบ กับร่ม 1 คัน ทำกันแบบง่ายๆ ตั้งราคาขายขีดละ 10 บาท วันแรกขายได้ 800 บาท วันที่สองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว สูงสุดเคยขายได้วันละ 4,000-5,000 บาท เมื่อยอดขายเพิ่มขึ้นจึงเปิดสาขาสองที่หาดใหญ่ ปรากฏว่าขายได้วันละหมื่นกว่าบาท” คุณชัยยงค์ เล่าก่อนยิ้มปลื้ม



สนทนา มาถึงตรงนี้ มีข้อสงสัยว่า มองตลาดยังไงถึงนำเห็ดชุบแป้งทอดออกมาขาย เจ้าของกิจการหยุดคิดครู่หนึ่ง ก่อนบอกว่า อาหารกลุ่มเห็ด น่าจะจัดอยู่ในประเภทเพื่อสุขภาพ ซึ่งกำลังมีกระแสตื่นตัวจากผู้บริโภค และอาหารพวกของทอดมีคนนิยมรับประทานอยู่แล้ว อีกทั้งแป้งที่นำมาชุบเห็ดตามสูตรของเขานั้น มีความเด่นตรงที่กรอบนาน ไม่อมน้ำมัน คนส่วนใหญ่รับประทานแล้วมักติดใจ จึงคิดว่าถ้าเข็นออกมาขายน่าจะได้รับความนิยม

ต่อยอด สินค้า เดินหน้าเต็มตัว
เอ็มดีหนุ่มแห่งบริษัท เห็ดทอดนาโหนด ฟู้ดส์ จำกัด เล่าต่อไปว่า กิจการตั้งกระทะทอดเห็ดชุบแป้ง กระจายตามแหล่งชุมชนต่างๆ ในนาม “เห็ดทอดนาโหนด” ของครอบครัว ซึ่งมีเขาเป็นผู้ดูแลหลักนั้น ดำเนินมาด้วยดีราว 3 ปีเศษ กระทั่งปี 2546 รัฐบาลริเริ่ม โครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ จึงเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือก และได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนจังหวัดพัทลุง ประเภทอาหารชวนชิม นับแต่นั้นมา
“ผมเรียนต่อระดับปริญญาตรีด้านการ ตลาดจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพราะหวังจะสานต่อธุรกิจของครอบครัวนี้อย่างจริงจัง ซึ่งระหว่างที่เป็นนักศึกษาอยู่ พยายามใช้ความคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้เห็ดทอดที่ทำขายอยู่นั้น เก็บไว้ได้นานๆ สามารถซื้อไปเป็นของที่ระลึกของฝากคนทางบ้านได้” เจ้าของเรื่องราว เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นพัฒนการอีกขั้นหนึ่งของสินค้า

เมื่อ ต้องการยืดอายุ “เห็ดชุบแป้งทอด” ให้สามารถเก็บไว้ได้นานข้ามเดือน เพื่อยกระดับจากของที่ต้องรับประทานกันหน้าเตา มาเป็นของฝาก คุณชัยยงค์จึงเดินหน้าหาความรู้ด้วยการขอเข้ารับคำปรึกษาจากศูนย์บ่มเพาะ วิสาหกิจ ของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ กระทั่งนำมาปรับใช้กับสินค้าของตนได้เป็นอย่างดี



ขั้นตอนเข้าเครื่องอบแห้ง
“หลังจากสามารถคิด ค้นวิธียืดอายุเห็ดทอดได้นาน 2 เดือนแล้ว จึงมีการออกแบบซองบรรจุ เป็นแบบใสๆ มีสติ๊กเกอร์แปะไว้หน้าซอง ก่อนนำไปเสนอขายตามร้านขายของที่ระลึกทั่วทั้งจังหวัดพัทลุงและจังหวัดท่อง เที่ยวในเขตภาคใต้ทั้งหมด” คุณชัยยงค์ เล่าและไม่นานมานี้ มีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ ให้ความสนใจสินค้าของเขา และได้ติดต่อขอให้เข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อชื่อดังกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ จึงต้องมีการปรับในหลายประเด็น นับแต่ ยืดอายุของสินค้าให้ยาวออกไปอีกไม่น้อยกว่า 4 เดือน เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้น่าสนใจขึ้น และเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 3 เท่าตัว ซึ่งในครั้งนี้ คุณชัยยงค์ได้ที่ปรึกษาสำคัญอีกด้านหนึ่ง โครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย หรือ iTAP หน่วยงานภายใต้การดูแลของ สวทช. นั่นเอง

“ศูนย์บ่มเพาะฯ ของ มอ.หาดใหญ่ เน้นให้ความรู้ด้านวิชาการ ส่วน iTAP นั้น มีโครงการสนับสนุนหลายด้าน ทั้งวิชาการและเงินช่วยเหลือ ซึ่งการสนับสนุนทั้งจากสองภาคส่วนนี้ ทำให้ธุรกิจของผมเป็นรูปเป็นร่าง ถึงขั้นที่จะก้าวไปสู่โรงงานที่ได้มาตรฐานจีเอ็มพี” คุณชัยยงค์ กล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิ
300 ก.ก. ต่อวัน

โดนใจ วัยรุ่น
จากจุดเริ่มแค่กระทะ 1 ใบ ตั้งขายหน้าสถานีรถไฟ วันหนึ่งไม่ถึง 10 กิโลกรัม แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าให้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง มาวันนี้ “เห็ดทอดนาโหนด” มีแรงงานรับผิดชอบ ราว 40 ชีวิต กำลังผลิตกว่า 300 กิโลกรัม ต่อวัน และกำลังจะกลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ ผ่านช่องทางจำหน่ายภายในร้านสะดวกซื้อชื่อดัง

“กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ ต้องผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะครับ ทั้งพัฒนาสูตรให้รสชาติกลมกล่อม และการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์” คุณชัยยงค์ เปรยให้ฟัง ก่อนระบุถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายว่า แต่เดิมเป็นกลุ่มวัยกลางคนที่มีพฤติกรรมรักสุขภาพ แต่หลังจากมีการปรับปรุงรูปร่างหน้าตาของบรรจุภัณฑ์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น แล้วเริ่มนำไปทดลองตลาดเป็นครั้งแรกที่งานโอท็อปล่าสุด ที่เมืองทองธานี ปรากฏได้รับการตอบรับจากลูกค้าวัยรุ่นเพิ่มขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง



ทอดในน้ำมันร้อนปานกลาง
เมื่อ ถามไถ่ถึงเรื่องคู่แข่งทางธุรกิจ เจ้าของผลิตภัณฑ์ บอกว่า หากมีคู่แข่งที่ทำสินค้าลักษณะเดียวกันออกมาขาย แสดงว่าสินค้านั้นต้องขายดี ซึ่งตนอยากให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ได้เตรียมกลยุทธ์ตั้งรับไว้ ด้วยการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดยยึดโยงกับเรื่องราวจากผู้ประกอบการพื้นบ้าน มาเป็นโอท็อปเล็กๆ ก่อนจะก้าวขึ้นเป็นสินค้าระดับประเทศ

นึกสงสัยจึงย้อนถามไปถึงช่วง เริ่มแรกเป็นหน้าใหม่สำหรับตลาดของฝาก คุณชัยยงค์ยิ้มน้อยๆ ก่อนบรรยายว่า เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกันที่จะเข้าไปขอแทรก ช่วงแรกมีหลายแห่งปฏิเสธ เพราะยังไม่มีความเข้าใจในตัวสินค้าและข้อสงสัยว่าจะเก็บไว้ได้จริงหรือไม่ จึงต้องอธิบายกันอยู่นาน

“ยอมรับว่าช่วงที่นำสินค้าไปเสนอขายตาม ร้านของฝาก มีท้อบ้าง แต่ถอยไม่ได้ ซึ่งการที่ถอยไม่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องของเงินที่ลงทุนไปแล้ว แต่เป็นเพราะผมเชื่อว่ามันเป็นสินค้ามีอนาคตที่จะเติบโตขึ้นได้ จึงไม่ยอมถอย” คุณชัยยงค์ ทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น

สนใจ “เห็ดทอดนาโหนด” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ บริษัท เห็ดทอดนาโหนด ฟู้ดส์ จำกัด เลขที่ 190 หมู่ 11 ตำบลนาโหนด อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง 93000 โทรศัพท์ (089) 870-2332, (074) 641-082 หรือเว็บไซต์ www.thaitempura.com



ข้อมูล จำเพาะ
กิจการ ผลิตและจำหน่ายเห็ด ผักพื้นบ้าน และดอกไม้ ชุบแป้งทอด
ชื่อกิจการ บริษัท เห็ดทอดนาโหนด ฟู้ดส์ จำกัด
เจ้า ของกิจการ คุณชัยยงค์ คชพันธ์
ราคาขายสินค้า ทุกชนิด ถุงละ 40 บาท ปริมาตร 80 กรัม ต่อ 1 ถุง
พนักงาน 40 คน
กำลังการผลิต 300 กิโลกรัม ต่อวัน
สถานที่จำหน่ายปัจจุบัน ร้านขายของที่ระลึกในเขตภาคใต้
โทรศัพท์ (089) 870-2332, (074) 641-082
เว็บไซต์ www.thaitempura.com

Read More...


ซาลาเปา 4 ภาค ชูจุดขายเชื่อมสัมพันธ์ไทย

ในยุคที่ค่าครอง ชีพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้ประจำที่มีอยู่เริ่มไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายการหารายได้เพิ่มจะเป็น ทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งไม่เฉพาะคนทำงาน แม่บ้านเริ่มที่จะไม่อยู่นิ่งอยู่กับบ้าน โดยรอรายได้จากหัวหน้าครอบครัว จำเป็นจะต้องหารายได้ช่วยครอบครัวอีกทางหนึ่ง และการทำสินค้าในกลุ่มอาหารขายดูเหมือนว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในยุคที่ทุกคน ต้องวางแผนการใช้จ่าย และเลือกใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น


pao-4-pak01


ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) ธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ได้แนะนำผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารที่มีความแปลกใหม่ อย่าง ซาลาเปา 4 ภาค มาสอนให้กับกลุ่มแม่บ้าน เพื่อเป็นอาชีพเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวโดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง และที่สำคัญทำได้ง่ายมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ผลตอบแทนค่อนข้างสูง


pao-4-pak02


ผศ.สิวลี ไทยถาวร อาจารย์สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เล่าถึงเหตุที่ชื่อซาลาเปา 4 ภาค เนื่องจากไส้ซาลาเปาเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของแต่ภาค อาทิ ไส้เขียวหวาน (ภาคกลาง) ,ไส้น้ำพริกอ่อง (ภาคเหนือ) ,ไส้คั่วกลิ้ง (ภาคใต้) และ ไส้ลาบ (ภาคอีสาน) โดยมีรสชาดแปลกแหวกแนวไปจากรสชาดเดิมๆ ในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็น ไส้หมูสับ หมูแดง ครีม เผือก งาดำ ฯลฯ โดยซาลาเปา 4 ภาคมีรสชาดจัดจ้านเหมาะสำหรับผู้บริโภคที่ชอบอาหารรสจัด


pao-4-pak03


นอกจากนี้ จุดเด่นที่แตกต่างของซาลาเปา 4 ภาค อยู่ ที่เนื้อแป้งของซาลาเปา 4 ภาค เน้นความเป็นซาลาเปาแบบโบราณซึ่งมีเนื้อแป้งเหนียวไม่ร่วนซุยเหมือนเนื้อ ซาลาเปาในปัจจุบันที่หน้าซาลาเปาจะแตกร่วนเหมือนขนมปุยฝ้าย ทำให้เวลารับประทานเนื้อแป้งจะติดฟันได้ง่าย และการทำซาลาเปา 4 ภาคในครังนี้ ถือได้ว่าเป็นการประยุกต์อาหารไทยให้ผสมผสานเข้ากันได้กับอาหารจีน นับเป็นการสร้างความแตกต่างของสินค้าให้เป็นจุดขายได้อีกทางหนึ่งด้วย


pao-4-pak04


“ซาลาเปา 4 ภาคเหมือนเป็นตัวแทนแต่ละภาคของประเทศไทย โดยภายหลังนักศึกษาทดลองผลิตออกออกจำหน่าย พบว่าตลาดตอบรับมาก เนื่องจากเป็นไส้ที่ไม่เหมือนใครและส่วนหนึ่งอาจถูกปากของผู้บริโภคที่ชอบ อาหารรสจัด และไส้ที่เลือกมาก็ไปกันได้กับเนื้อแป้งซาลาเปา” ผศ.สิวลีกล่าว


pao-4-pak05


ในส่วนของวิธีการทำซาลาเปา เริ่มด้วย การเตรียมส่วนผสมของสปองจ์ก่อน โดยมีอัตราส่วน แป้งสาลี น้ำ และยีสต์ หลังจากตวงส่วนผสมได้ตามต้องการแล้วให้ร่อนแป้งสาลี เติมยีสต์และน้ำผสมจนกระทั่งแป้งเนียน จากนั้นให้พักไว้ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วมาเตรียมส่วนผสมโด โดยมีอัตราส่วน แป้งสาลี ผงฟู น้ำตาลทราย น้ำ ไข่ไก่ เนยขาว และเกลือ


หลังจากได้ส่วนผสมทั้ง 2 ส่วนแล้ว ให้เตรียมส่วนผสมของโดโดยร่อนแป้งและผงฟูเข้าด้วยกันเติมน้ำตาลทรายเกลือ ผสมให้เข้ากัน และค่อยๆ เติมน้ำและไข่ผสมจนกระทั่งส่วนผสมเข้ากันดี หลังจากนั้นให้แบ่งส่วนผสมสปองจ์ลงไปผสมให้เข้ากัน เติมเนยขาวลงไปนวดผสมจนกระทั่งแป้งเนื้อเนียนได้ที่ดี พักก้อนแป้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ตัดแบ่งก่อนแป้งออกเป็นก้อนๆ ละ 25 กรัม ต่อจากนั้นให้คลึงก้อนแป้งเป็นแผ่นกลม ก่อไส้ที่เตรียมไว้ วางบนกระดาษ พักจนก้อนแป้งได้ที่ เสร็จแล้วให้นำซาลาเปาไปหนึ่งในไฟแรงน้ำเดือดพล่านประมาณ 15 นาที


pao-4-pak06


ผศ.สิวลี บอกเคล็ดลับว่า ส่วนผสมของไส้แต่ละสูตรเมื่อนำไปผัดในกะทะจนแห้งดีแล้ว หากนำไปแช่แข็งสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นเดือนทีเดียว สำหรับการคำนวณต้นทุน ในช่วงที่ทำการศึกษาอยู่นั้น วัตถุดิบยังไม่ขึ้นราคาเช่นในปัจจุบัน ต้น ทุนจะอยู่ที่ ลูกละ 2 บาท ขายในราคา 5 บาท แต่ปัจจุบันราคาวัตถุดิบสูงขึ้นแต่คาดว่าต้นทุนไม่น่าจะเกิน 3 บาท/ลูก ส่วนราคาขายจะอยู่ที่ 5 บาท หรือ 6 บาท/ลูกขึ้นอยู่ที่ความเหมาะสมของผู้ประกอบการ


ปัจจุบันทางมหาวิทยาลัย ได้ทำการสอนไปให้กับกลุ่มแม่บ้านจากจังหวัดสมุทรปราการที่ขอเข้ามาอบรม ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มแม่บ้านที่แต่เดิมทำขนมหวานขาย แต่เจอปัญหาเรื่องต้นทุนวัตถุดิบน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ไม่สามารถปรับราคาตามได้เพราะปรับราคาเพิ่มคนกินก็น้อยลง จึงต้องการหาผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารในกลุ่มที่ไม่ใช้น้ำตาลลองทำขายดูบ้าง


pao-4-pak07


ผู้ที่สนใจหรือมีความประสงค์จะให้มหาวิทยาลัยเปิดอบรมวิชาชีพด้าน อาชีพต่างๆ


สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.สิวลี ไทยถาวร อาจารย์สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี


โทร.02-5493161 หรือ 085-1005567
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


เต้าทึง “ชาววัง” เจ้าดังประชานิเวศน์ ชูเมนูดับร้อน เพื่อสุขภาพ

ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่ถาโถมเข้าใส่ ส่งให้ธุรกิจจำนวนมากประสบปัญหาขาดทุนบางรายถึงขั้นเลิกกิจการ แต่ยังมีอีกธุรกิจหนึ่งที่โหนกระแสเศรษฐกิจ นั่นคือ ร้านขายน้ำเต้าทึง เต้าฮ่วย ชื่อว่า “ร้านชาววัง” ธุรกิจเล็กพริกขี้หนู ใช้ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนที่ต่ำ กำไรต่อหน่วยสูง แถมยังเป็นเมนูดับร้อน และมีประโยชน์ทางโภชนาการ ซึ่งผู้บริโภคให้การตอบรับอย่างสูง

ณัชญาณ มาฆลักษณ์ เจ้าของร้านชาววัง อดีตผู้ผลิตเซรามิคสำหรับตกแต่งบ้าน และเจ้าของโรงเรียนสอนขับรถ เล่าว่า เดิมทำธุรกิจผลิตและออกแบบเซรามิคตกแต่งบ้าน หรือที่เรียกว่าเซรามิคจิตกรรมฝาผนังลายไทย และของที่ระลึกเน้นวัฒนธรรมไทย รวมทั้งเปิดโรงเรียนสอนขับรถด้วย แต่ต้องประสบปัญหาขาดทุนเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโรงเรียนสอนขับรถแม้จะมีนักเรียนมาก แต่สู้ราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทุกวันไม่ไหวเปิดเพียง 3 เดือนต้องเลิกกิจการไป ขณะที่ธุรกิจเซรามิคหยุดชะงักลง เพราะไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นได้



“ตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไร คิดในใจว่าต้องหารายได้เสริมมาใช้จ่ายรายวันให้ได้ มีอยู่วันหนึ่งผมไปซื้อเต้าทึงร้านประจำ เลยลองถามไปว่า อยากขายปากซอยหน้าบ้านบ้างจะสอนได้ไหม เขาก็แนะนำให้รับไปขายส่ง ผมเลยรับมาขายมาหน้าบ้านตัวเอง บริเวณปากซอยสุโขทัย 9 ควบคู่กับขายขนมจีนน้ำเงี้ยว ซึ่งบริเวณนี้จะมีผู้คนจำนวนมากเดินทางมาซื้อเสื้อเหลือง ซึ่งเวลานั้นกระแสแรงมาก ประกอบกับอากาศร้อน ช่วยให้เต้าทึงและเฉาก๊วย จึงขายดีอย่างไม่น่าเชื่อ รายได้วันละ 1,200 บาท หลังกระแสเสื้อเหลืองลดลงคนก็เงียบ ผมเลยหาที่ใหม่ จนมาลงตัวที่ตลาดประชานิเวศน์ 1 อยู่จนถึงปัจจุบัน” เจ้าของร้าน เผย
ณัชญาณ เล่าต่อว่า หลังจากได้ที่ประจำบริเวณ ตลาดประชานิเวศน์ 1 แล้ว หากจะรับของมาขายอย่างเดิมคงไม่ได้เสียแล้ว เพราะมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าเดินทาง รวมถึงปัญหาบางครั้งผู้ผลิตไม่สามารถส่งได้เพียงพอต่อความต้องการ เป็นที่มาให้ต้องตัดสินใจ ลองมาทำเองดีกว่า เพราะสามารถควบคุมการผลิตได้ และยังได้ทำธุรกิจโดยตัวเอง ดีกว่ายืมจมูกคนอื่นเขาหายใจ

นอกจากนั้น แนวคิดในการพึ่งพาตนเอง นำมาสู่ความพยายามในการสร้างแบรนด์ของตัวเองในชื่อร้านว่า “ชาววัง” ให้เป็นที่รู้จักวงกว้างขึ้น โดยขอสินเชื่อสนับสนุนเงินทุนจากเอสเอ็มอี แบงก์ เพื่อขยายธุรกิจ

“เหตุที่ตั้งชื่อชาววัง เพราะตอนที่ขายหน้าบ้านถนนสุโขทัย ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการที่ทำงานอยู่ในวัง และบ้านผมอยู่ใกล้วังด้วย ดังนั้น เราเพิ่มจุดสนใจโดยใช้ชื่อ ร้านชาววัง” ณัชญาณ เผย และอธิบายต่อว่า



การพึ่งพาตัวเองด้านการผลิต เริ่มจากผลิตเต้าฮวยโดยหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต แรก ๆ ทำเองทิ้งไปเยอะ กว่าจะได้เต้าฮวยที่ดีใช้เวลาลองทำ 6 เดือน บางวันทำแข็ง บางวันอ่อนทำเสียก็ต้องทิ้ง พยายามพลิกแพลงสูตรของเองด้วย จนได้สูตรที่ลงตัว ถูกใจลูกค้า

หลังจากทำเต้าฮวยที่อร่อยและขายดีแล้วตัวต่อไปคือ เฉาก๊วย ซึ่งใช้วิธีเดิม คือ หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตและทดลองโดยใช้เทคนิคส่วนตัว ผนวกกลับการได้รับคำแนะนำจากคนใกล้ชิด

สำหรับเคล็ดลับความอร่อย เดิมนั้นการผลิตเฉาก๊วยจะใช้ก้านต้นเฉาก๊วยอย่างเดียว ซึ่งพบว่าใช้ก้านเปลืองมากแต่ได้น้ำน้อยทำให้ได้เฉาก๊วยน้อยตามไปด้วย ทางร้านชาววัง จึงผสมใบลงไป จะได้เฉาก๊วย กลิ่นหอมและมีปริมาณมากขึ้น เป็นเสน่ห์ที่ลูกค้าติดใจ นอกจากนั้น ยังมีเต้าทึง สูตรเฉพาะตัว รวมถึง บัวลอยน้ำขิงงาดำด้วย ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

“ผมวางคอนเซ็ปธุรกิจนี้ให้เป็นขนม เพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย เต้าฮวย-น้ำขิง เต้าฮวยเย็น เฉาก๊วยร้อน-เย็น บัวลอยงาดำ-น้ำขิง เต้าทึงร้อน-เย็น โบ๊กเกี้ยร้อน-เย็น หมี่หวานร้อน-เย็น และแปะก๊วยร้อน-เย็น ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกาย” ณัชญาณ กล่าว

ด้านรสชาติลูกค้าจะมี 2 กลุ่มที่นิยมต่างกัน มีคนเคยบอกว่า น้ำขิงไม่เผ็ด อีกกลุ่มหนึ่งบอกว่าเผ็ดไป ดังนั้น ควรทำให้รสชาติกลางมากที่สุด พร้อมกับใช้เทคนิคเข้าช่วย เช่น ถ้าต้องการเผ็ดจะใส่หวานน้อยลง เป็นต้น

สำหรับวัตถุดิบ เลือกใช้อย่างดีจากซื้อจากย่านเยาวราช คิดอยู่เสมอว่า ต้องให้ลูกค้าได้กินเหมือนกับที่สมาชิกในครอบครัวกินเอง ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะถ้าลูกค้าติดใจ จะกลับมาเป็นขาประจำ ซึ่งเป็นมากกว่ากำไรด้านเงินทอง นอกจากนั้น การผลิตต้องสะอาด โดยจะควบคุมการผลิตด้วยตัวเองทั้งหมด
จากเริ่มแรกเพียงทำเป็นอาชีพเสริม หารายได้เล็กๆ น้อยๆ ในช่วงเวลาที่ธุรกิจหลักกำลังประสบมรสุม ทว่า ปัจจุบัน รายได้จากการขายเต้าทึง เต้าฮวย และเฉาก๊วย แซงหน้าธุรกิจหลักไปหลายช่วงตัวแล้ว เหตุนี้ หันมามุ่งมั่นกับธุรกิจนี้อย่างจริงจัง และในอนาคตอยากจะต่อยอดธุรกิจสู่รูปแบบขายแฟรนไชส์อีกด้วย

“ตอนนี้ถือว่าเป็นธุรกิจหลักแล้ว เป็นธุรกิจที่ความเสี่ยงน้อย เนื่องจากมีต้นทุนไม่สูงมาก ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้แต่ละวันประมาณ 1,000 บาท เมื่อเทียบส่วนต่างระหว่างต้นทุนและกำไร ต้นทุนอยู่ 60% กำไร 40% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับธุรกิจตัวอื่นในช่วงเศรษฐกิจขาลง”

สำหรับแผนในอนาคตจะทำเป็นแฟรนไชส์เน้นสร้างงานให้คนที่ทุนน้อยมี ธุรกิจเป็นของตนเอง พร้อมกับขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา โดยมองทำเลไว้ตลาด อตก. จตุจักร และย่านธุรกิจซอยอารีย์ เป็นต้น

****************************************
โทร. 084-076-9696 หรือ 02-243-0191

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง เจ้าแรกในไทยรสชาติใหม่ผู้บริโภค

 
จากขนมธรรมดาอย่างลอดช่องกะทิสด ที่หลายคนคุ้นเคย ทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์และรสชาติ จนไม่มีใครคิดที่จะเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อคนรุ่นใหม่วัย 28 ปี คิดนำสูตรแป้งลอดช่องมาต่อยอด ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ดังนั้นเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับขนมชนิดนี้ จึงพยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบ แต่ยังคงความเป็นลอดช่องกะทิสดอยู่ สุดท้ายจึงมาลงตัวที่ “ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง” กับชื่อร้าน “หัวกะทิ”

ความแปลกใหม่ และความเหนียวนุ่มของเส้นลอดช่องที่ลวกสด แบบลวกไปขายไป จากแนวคิดของ “พรรณสวลี อภิวาณิชย์” หรือ เชอรี่ ที่เริ่มจากการที่ชอบรับประทานขนมลอดช่อง สูตรของอากง (ปู่) มาตั้งแต่เด็ก ที่เคยทำขนมลอดช่องขายมาก่อน โดยเป็นเส้นสีเขียวใสๆ จากแป้งที่นวดจนได้ที่ ซึ่งรูปลักษณ์ก็คล้ายคลึงกับผู้ประกอบการในปัจจุบันทั่วไป ดังนั้นเมื่อตนคิดจะนำมาต่อยอด จึงพยายามสร้างความแตกต่าง ด้วยการปรับสูตรแป้งลอดช่องเล็กน้อย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของคนในยุคนี้ เน้นเพิ่มความเหนียวนุ่มให้กับตัวแป้ง ซึ่งเมื่อนำไปต้มจะได้สีเขียวใสเหมือนหยก ในขณะที่น้ำกะทิ ก็ปรับเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่เป็นน้ำกะทิสดธรรมดา ด้วยการนำมาปั่นสดก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้าทุกแก้ว ซึ่งรูปลักษณ์ที่ออกมาคล้ายไอศกรีม โรยหน้าด้วยข้าวโพด ถั่วลิสง และล่าสุดเป็นมะพร้าวซอยบางๆ แล้วนำไปคั่วเพิ่มความหอม โดยขายในราคาแก้วละ 15-18 บาท ส่วนราคาในห้างสรรพสินค้าจะอยู่ที่แก้วละ 25 บาท



“ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง สูตรของเราได้เปิดขายมาได้ประมาณ 2 ปี ซึ่งถือเป็นสูตรและรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ในไทย ทำให้มีลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่ชื่นชอบทำให้ขณะนี้เราขายธุรกิจไปแล้วประมาณ 9 สาขา ได้แก่ สาขาท่าน้ำคลองสาน, สาขาจรัญ 37 (ข้าง Makro จรัญ), สาขาแยกสุทธิสาร, สาขาราม 29, สาขาหลังราม 24, สาขาจรัญ 13 (วัดชัยฉิมพลี), สาขา Tops Central World, สาขา Tops เซ็นทรัลบางนา และสาขา Tops เซ็นทรัลพระราม 3”

เมื่อจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้องเพิ่มกำลังการผลิต จากเดิมที่ผลิตเส้นลอดช่องกันแบบครอบครัว แต่เมื่อสาขาเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องสร้างโรงงานขนาดเล็กพร้อมเครื่องจักร รองรับการผลิตเส้นลอดช่องแบบดิบ เพื่อนำส่งตามสาขาต่างๆ ทำให้ขณะนี้สามารถรองรับกำลังการผลิตได้ประมาณ 4,000 แก้ว/วัน



เสน่ห์ของลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่องของร้านหัวกะทิ ถือว่าอยู่ที่ความสดใหม่และความหอมของกะทิสด ที่เสิร์ฟให้กับลูกค้า เพราะเส้นของลอดช่องจะลวกครั้งละไม่มาก และจะไม่ทิ้งเส้นของลอดช่องนานเกิน 3 ชั่วโมง เพราะเส้นจะลดความเหนียวนุ่มลงไป จากการที่เส้นดูดซับน้ำไว้มากเกินไป ส่วนเครื่องโรยหน้าที่ใส่ลงไปในขนมลอดช่องกะทิปั่นสดทรางเครื่องนั้น จะไม่ทิ้งค้างคืน เช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง และมะพร้าวคั่ว ซึ่งเมื่อขายไม่หมดก็จะทิ้งทันที เพื่อทำให้ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่องไม่เสียรสชาติ ซึ่งความพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียดของวัตถุดิบ ทำให้แนวความคิดที่ตนเองตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกที่จะขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ เป็นอันต้องล้มเลิกไป หลังจากที่ได้ทดลองเปิดขายเองสาขาแรก ก็ต้องพบเจอกับปัญหา และกำไรที่ได้รับไม่มากมายนัก ซึ่งจะไม่เพียงพอต่อการจัดสรรแบ่งให้กับบริษัทแม่ ดังนั้นการขยายสาขาเองจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด



“การทำให้ลอดช่องกะทิปั่นทรงเครื่อง กลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ถือเป็นความคิดแรกที่เราเริ่มทำธุรกิจนี้ แต่เมื่อได้ลงมือทำจริงแล้ว ทำให้เรารู้ว่าธุรกิจนี้ค่อนข้างควบคุมคุณภาพได้ยาก และหากไม่ได้ทำเองก็อาจทำให้แบรนด์เสียหายได้ เพราะเราเน้นการใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง ทำให้ต้นทุนก็ย่อมสูงตามไปด้วย ดังนั้นหากทำเป็นแฟรนไชส์ การที่ต้องทิ้งวัตถุดิบทั้งหมด ไม่ให้ค้างคืน จะทำให้กำไรของแฟรนไชซีลดลง และไม่คุ้มค่ากับการลงทุน”



นอกจากร้านหัวกะทิจะมีขายใน 9 สาขาที่กล่าวมาแล้ว ทางร้านหัวกะทิ ยังรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ด้วย โดยกำหนดขั้นต่ำอยู่ที่ 200 แก้วขึ้นไป โดยมีสัดส่วนการจัดเลี้ยงประมาณ 20% ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดเลี้ยงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น พัทยา ที่สั่งไปจัดเลี้ยงตามงานเปิดตัวบริษัท, งานอีเว้นต์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งงานแต่งงาน



***สนใจติดต่อได้ที่ 086-789-1237***
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


โอเลี้ยง เครื่องดื่มทั้งไทยทั้งเทศ

 
 
เป็น ยังไงบ้างครับ ช่วงนี้อากาศพอจะเย็นลงบ้างแล้วใช่ไหมครับ เมื่ออากาศเย็น บรรยากาศดี ใจก็น่าจะเย็นลงแล้วนะครับ แต่ยังมีคนบางจำพวกที่ตอนนี้อากาศยิ่งเย็น แต่ใจกลับร้อนรนเหมือนกับว่าวิญญาณใกล้จะออกจากร่าง นั่นก็คือ พวกผีพนันนั่นเอง

ส่วนผู้เขียนเป็นคนใกล้วัยชรา นอนดึกไม่ได้ เลยไม่ได้ชมฟุตบอลเหมือนกับใครๆ ส่วนเจ้าลูกชายดูแทบทุกแมตช์การแข่งขัน สภาพร่างกายตอนนี้ดูเหมือนคนตรากตรำทำงานหนักๆ มาแรมเดือน หน้าตาเหมือนผีดิบ โดยเฉพาะขอบตานั้นเหมือนหลินปิง (หมีแพนด้า) เข้าไปทุกที เห็นแล้วขำไม่รู้ว่ามันดูแล้วแอบติดปลายสตั๊ดกับเขาหรือเปล่า แต่ที่สังเกตของในบ้านยังอยู่ครบ แปลว่ามันดูเฉยๆ ช่างมัน ดูกีฬาแล้วมีความสุข ผู้ปกครองต้องส่งเสริม แต่ควรจะเตือนเรื่องสุขภาพของลูกบ้างนะครับ

ปักษ์นี้มีคำถามเข้ามา โดยผ่านมาทาง คุณวัชรินทร์ อิ่มอารมย์ เลขาฯ กองบรรณาธิการว่า “โอเลี้ยงจ้ำบ๊ะมันเป็นอย่างไร แล้วฝรั่งเขากินโอเลี้ยงเหมือนบ้านเราหรือไม่”

ขอตอบเรื่องโอเลี้ยง ฝรั่งก่อนเลยครับ ฝรั่งเขาก็มีโอเลี้ยงของเขาเหมือนกัน ที่เขาเรียก อเมริกาโน่ นั่นเองครับ แต่โอเลี้ยงฝรั่งกับโอเลี้ยงไทยนั้นจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โอเลี้ยงฝรั่งจะใสแจ๋ว ไม่เข้มข้นเหมือนโอเลี้ยงไทย ที่ต้องขมปี๋ มันเงาดำจัด กระเดียดไปทางหวาน อรรถรสในการดื่มต้องใส่ถุงเยอะๆ ถึงจะสะใจ ส่วนโอเลี้ยงฝรั่งจะใส่แก้วทรงกลมสูง ความจุประมาณ 16 ออนซ์ ดูดไม่ทันจะชื่นใจเลยหมดซะแล้ว

โอเลี้ยงฝรั่งได้มาจากการกลั่นกาแฟสด ด้วยเครื่องเอสเปรสโซ่แมชชีน ที่เรียกกันว่า เอสเปรสโซ่ แต่โอเลี้ยงไทยจะกลั่นกลิ่นและรสชาติจากถุงชงกาแฟ เห็นไหมครับมันต่างกันลิบโลก จะกินโอเลี้ยงฝรั่งแต่ละที จะต้องลงทุนเป็นหมื่นเป็นแสน แต่สำหรับโอเลี้ยงไทยลงทุนแค่หลักพันก็สามารถทำขายได้แล้วครับ



พูด ถึงโอเลี้ยงแล้ว ผู้เขียนขอเล่าเรื่องความหลังที่แสนจะเสียวสันหลังของโอเลี้ยงสักหน่อย นั่นคือประมาณ 40 ปีมาแล้ว ผู้เขียนได้ติดตามยายของผู้เขียนไปตามที่ต่างๆ แทบทุกที่ โดยเฉพาะบ่อนไพ่ตองที่คนโบราณชอบเล่นกัน แต่เจ้ากรรมที่สุดคือ เจ้าบ่อนนี้ซิดันตั้งอยู่หลังวัด คนเล่นไพ่ก็นั่งเล่นกันได้ทั้งวันโดยไม่ลุกไปไหน นอกจากไปเข้าห้องน้ำแค่นั้นจึงลุกไป ส่วนข้าวปลาอาหารจะใช้วิธีให้เด็กวิ่งซื้อ โดยเฉพาะโอเลี้ยง บุหรี่พระจันทร์ บุหรี่แมวดำ บุหรี่เกล็ดทอง หรือขนมนมเนยต่างๆ เด็กวิ่งซื้อของในบ่อนก็คือผู้เขียนเองครับ จะได้ค่าจ้างเดินก็หลายตังค์อยู่เหมือนกัน เดินซื้อทั้งวัน ตอนเช้า สาย บ่าย เย็น ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ แต่นี่ 3-4 ทุ่มยังให้ผู้เขียนซึ่งเป็นเด็กและค่อนข้างกลัวผีเป็นชีวิตจิตใจ จำใจต้องเดินผ่านหลังวัดซึ่งเป็นป่าช้า แถมยังมีโรงทึม (โกดังเก็บศพ) สมัยโบราณ เขานิยมใช้หลอดไส้ขนาด 20 วัตต์ ซึ่งแสงมันค่อนข้างริบหรี่ ต้นโศก ต้นไทร ต้นโพธิ์ ต้นตะเคียน วัดนี้มีหมด แถมช่วงนั้นยังมีภาพยนตร์เรื่อง แม่นาคพระโขนง ของ เสน่ห์ โกมารชุน ซึ่ง ปรียา รุ่งเรือง แสดงเป็นแม่นาค โอ๊ย สุดบรรยาย ไม่ไปซื้อก็ไม่ได้ เดี๋ยวลูกค้าจะไม่จ้าง จึงจำใจเดินหลับตาหรือไม่ก็วิ่งร้องเพลงดังๆ เสียวสันหลังที่สุด นี่ถ้าไม่อยากได้ตังค์ จะไม่มีทางทำอย่างนี้เด็ดขาด เพราะโอเลี้ยงแท้ๆ คนที่ติดก็ติดจริงๆ เหมือนต้องกินทุกวันทุกเวลา แต่โอเลี้ยงยังมีจำแนกออกไปอีกหลายอย่าง เช่น โอเลี้ยงธรรมดา โอเลี้ยงยกล้อ โอเลี้ยงจ้ำบ๊ะ สำหรับกรรมวิธีการผลิตนั้น ผู้อ่านจะได้รู้ในช่วงต่อไปนี้ครับ

โอเลี้ยงจ้ำบ๊ะ

คือ โอเลี้ยงที่ใช้น้ำหวานสีแดง สีเขียว แทนน้ำตาลทราย เป็นชื่อที่ตามบ้านนอกเรียกกันโอเลี้ยง

ส่วนผสม
1. ผงกาแฟโบราณ ตรางูเห่า (สูตร 2 ) 1 ทัพพี
2. น้ำร้อน 1 กระบวย (6 ออนซ์)
3. น้ำตาลทราย 6 ช้อนชา
4. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ
1. ตักกาแฟโบราณลงในถุงชง จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไป กรองไปมา 4 ครั้ง หรือมากกว่านั้น
2. เทน้ำกาแฟ 3 ออนซ์ ลงในแก้วผสม
3. เติมน้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน
4. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้

โอเลี้ยงยกล้อ



ส่วนผสม

1. ผงกาแฟโบราณ ตรางูเห่า (สูตร 2 ) 1 ทัพพี
2. น้ำร้อน 1 กระบวย (6 ออนซ์)
3. น้ำตาลทราย 6 ช้อนชา
4. ครีมเทียมข้นจืดมะลิโกลด์
5. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ
1. ตักกาแฟโบราณลงในถุงชง จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไป กรองไปมา 4 ครั้ง หรือมากกว่านั้น
2. เทน้ำกาแฟ 3 ออนซ์ ลงในแก้วผสม
3. เติมน้ำตาลทราย จากนั้นคนให้เข้ากัน
4. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้
5. โรยครีมเทียมข้นจืดมะลิโกลด์หรือปิดหน้าด้วยฟองนม

โอเลี้ยงจ้ำบ๊ะ

ส่วนผสม
1. ผงกาแฟโบราณตรางูเห่า (สูตร 2) 1 ทัพพี
2. น้ำร้อน 1 กระบวย (6 ออนซ์)
3. น้ำหวานแดงเฮลซ์บลูบอย 4 ช้อนชา
4. น้ำแข็ง 1 แก้ว (16 ออนซ์)

วิธีทำ

1. ตักกาแฟโบราณลงในถุงชง จากนั้นเติมน้ำร้อนลงไป กรองไปมา 4 ครั้ง หรือมากกว่านั้น
2. เทน้ำกาแฟ 3 ออนซ์ ลงในแก้วผสม
3. เติมน้ำหวานแดงเฮลซ์บลูบอย จากนั้นคนให้เข้ากัน
4. เทใส่แก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้

สนใจเข้ารับการอบรมหลักสูตร “กาแฟโบราณสูตรบูรณาการ” กับผู้เขียน เชิญติดต่อลงทะเบียนได้เลยครับ ครั้งต่อไปวันที่ 24 กรกฎาคม นี้ครับ

อ้างอิงจาก    เส้นทางเศรษฐี

Read More...


ไป ไป! “สต็อป-เบิร์ด” ธุรกิจไล่นก หนึ่งเดียวในไทย

จากปัญหา “นก” เข้าไปรวมตัวอาศัยอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสม สร้างความเสียหายหลายด้าน เช่น กระทบโครงการบ้านหรืออาคาร กินพืชผลเกษตรเสียหาย สร้างความสกปรกเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เป็นต้น จากความเดือดร้อนดังกล่าว จุดไฟให้ผู้ประกอบการไทยรายหนึ่ง คิดค้นระบบ และผลิตภัณฑ์เพื่อไล่นก จนกลายมาเป็นธุรกิจรายเดียวทั้งในไทย และเอเชีย



รัชนะ เลาหสุวรรณพานิช

***แรงบันดาลใจจากปัญหา ***

ผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจนี้ คือ รัชนะ เลาหสุวรรณพานิช กรรมการผู้จัดการบริษัท สต็อป-เบิร์ด จำกัด ซึ่งจุดเริ่มต้นต้องย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่ครั้งทำงานประจำเป็นเจ้าหน้าที่วิศวกรไฟฟ้า การไฟฟ้านครหลวง แล้วได้รับมอบหมายเข้าไปวางระบบไฟฟ้า และซ่อมแซมบูรณะวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

ในการทำงานหารือกับ “จรัล ลิฤทธิกำจร” เจ้าหน้าที่ดูแลบริเวณวัดพระแก้ว เล่าปัญหาเรื้อรังมานับสิบปี มีนกจำนวนมากเข้าทำรัง ก่อความเสียหายแก่สถาปัตยกรรมต่างๆ พยายามขับไล่ด้วยวิธีต่างๆ เสียงบประมาณไปไม่น้อย สุดท้ายนกก็กลับมาอีก

เนื่องจากเป็นคนช่างคิด รัชนะได้เริ่มค้นหาข้อมูลวิธีไล่นกจากต่างประเทศ พบว่า ที่ ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือทันสมัย เช่น เครื่องยิงเลเซอร์ สนามแม่เหล็ก เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ ไม่สามารถใช้ได้ผลกับประเทศไทย เนื่องจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และอากาศ ทำให้นกในประเทศไทยมีความอึดและทนต่อสภาวะต่างๆ ได้ดีกว่า เครื่องมือทันสมัยของต่างประเทศจึงใช้ไม่ได้ผล

ด้วยความมุ่งมั่นอยากเอาชนะปัญหานี้ รัชนะ ทดลองศึกษาวิธีการต่างๆ ด้วยตัวเอง กระทั่ง พบวิธีขับไล่นกของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่ง ใช้เจลลักษณะคล้ายกาว ทาบริเวณที่นกมาอยู่อาศัย เมื่อนกสัมผัสเจลนี้จะติดเป็นเส้นใย เสียสมดุลในการบิน และไม่อยากกลับมาอยู่ที่เดิมอีก

***ผุดเจลไล่นก “TOFLY” ***

อย่างไรก็ตาม เจลดังกล่าวไม่เหมาะจะใช้ในประเทศไทย เพราะสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้เมื่อทาแล้วเกิดไหลเยิ้ม ดังนั้น รัชนะพยายามเรียนรู้ และลองผิดลองถูก เพื่อผลิตเจลไล่นกของตัวเอง โดยใช้เวลากว่า 7 ปี ใช้งบประมาณไปกว่าล้านบาท จนได้ผลิตภัณฑ์น่าพอใจ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “TOFLY” ซึ่งจดอนุสิทธิบัตรคุ้มครองสูตรการผลิตไว้แล้ว

เจลไล่นก Tofly ถังละ2,800 บ.คุณสมบัติของ “TOFLY” สามารถคงสภาพอยู่ได้ในอุณหภูมิตั้งแต่ 5-90 องศาเซลเซียล และมีอายุใช้งานนานประมาณ 3-5 ปี (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ถ้าบริเวณที่มีฝุ่นอายุใช้งานจะสั้นลง) ล้างออกได้ด้วยน้ำมันพืช สามารถใช้ได้กับนกทุกชนิดที่ขนาดเล็กกว่า “กา”



มีคุณสมบัติ เหนียวติดเป็นเส้นใย

สำหรับเจลที่คิดค้นขึ้น ผลิตจากวัตถุธรรมชาติ 30% กับกลุ่มปิโตรเคมี 70% ไม่เป็นอันตรายต่อคน และสัตว์ จากที่ส่งให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี ตรวจสอบมีค่าเป็นพิษน้อยกว่าเกลือเสียอีก ดังนั้น การขับไล่ไม่ได้ใช้สารพิษ แต่ เคล็ดลับให้ขับไล่นกได้นั้น อาศัยหลักการง่ายๆ โดยทาเจลในบริเวณที่นกเข้าไปอาศัย เพื่อให้เจลติดตามตัวมัน ซึ่งเจลจะติดเป็นเส้นใยยาวไม่มีหลุด หรือแห้งไป จนทำให้นกเสียสมดุลในการบิน และไม่อยากกลับมาอยู่ที่เดิมอีก

ทั้งนี้ การทาเจลสามารถทำได้ 3 ระดับ คือ ป้องกัน ขับไล่ และกำจัด กล่าวคือ วิธีทาป้องกัน จะโรยเป็นเส้นๆ หรือหยอดเป็นจุดๆ ตั้งแต่ยังไม่มีนกเข้ามาอาศัย วิธีนี้ เมื่อนกจะเข้ามาอยู่ เจอเจลที่โรยไว้ติดที่ขา ก็จะรำคาญหนีหาสถานที่อื่นแทน

ส่วนการทาขับไล่นกที่ เข้ามาอยู่อาศัยแล้ว ต้องทาให้ทั่วพื้นที่ ด้วยความหนาอย่างน้อย 3 มิลลิเมตร เมื่อนกถูกเจลจะมีเส้นใยคล้ายสาวบัวติดขามันไปเป็นสายยาว เสียสมดุลในการบิน ยิ่งกลับมาอยู่เส้นใยก็ยิ่งติดมากขึ้น จนต้องยอมย้ายไปอยู่ที่อื่นแทน ส่วนการทากำจัด ใช้วิธีทาทั้งแนวราบ และแนวตั้ง ซึ่งเจลจะติดทั้งส่วนขา และปีก ทำให้มันไม่สามารถปีกได้ สุดท้ายก็ต้องร่วงลงพื้น

“ธุรกิจ นี้ มันอาจดูโหดร้าย ยิ่งเป็นนกที่ทำรัง ออกไข่ มีลูก มันจะยิ่งผูกพันกับที่อยู่ ต้องถูกเจล กว่า 3 ครั้ง จึงยอมออกไป ดูแล้วน่าสงสาร แต่เราก็ต้องชั่งใจถึงความจำเป็นที่ต้องทำ ซึ่งธุรกิจไล่นกด้วยวิธีแบบนี้ บริษัทฯ เป็นรายแรกในประเทศ และในเอเชีย ถ้าทั่วโลกน่าจะเป็นรายที่ 3” รัชนะ เผย



*** เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ***

เจ้าของไอเดีย เล่าว่า ระยะแรก ยังไม่ได้คิดจะทำเป็นธุรกิจหลักแต่อย่างใด เพราะเวลานั้น ออกจากงานประจำมาทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ส่วนการทดลองเจลไล่นกนั้น เน้นช่วยเหลือสังคมแก้ปัญหาให้โรงเรียน และวัดต่างๆ เพื่อหาประสบการณ์ โดยนำข้อดีข้อเสียที่ได้มาปรับปรุงสูตรเสมอมา
พนักงานทาเจล ขับไล่นก

กระทั่ง ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างประสบปัญหา ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับสูตรเจลไล่นกลงตัว เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาลุยธุรกิจนี้เต็มตัว ทว่า พบปัญหาขาดเงินลงทุน พยายามทำแผนธุรกิจไปเสนอสถาบันการเงินต่างๆ ก็ถูกปฏิเสธหมดเพราะเป็นสินค้าใหม่ ไม่มีใครยอมให้กู้ สุดท้ายได้เพื่อนสนิทให้ยืมเงินมา 1 แสน ซึ่งเงินก้อนนี้ ได้มาเปลี่ยนชีวิตของเขาครั้งสำคัญ

“เงิน แสนหนึ่ง ผมนำไปผลิตสินค้า โดยผมทำหน้าที่เป็นเซลล์เสนอขายสินค้าเองคนเดียว พร้อมๆ กับไปออกงานแสดงสินค้าเกี่ยวกับตกแต่งบ้าน เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว (2550) ประกอบกับมีฐานลูกค้าที่เคยไปทำทดลอง ช่วยบอกต่อ ทำให้มีลูกค้าต่อเนื่อง จนสามารถตั้งเป็น บริษัท สต๊อป-เบิร์ด จำกัดได้เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว (2550)” รัชนะ เผย

***ชูแผนตลาดไม่ได้ผลคืนเงิน ***

ทั้งนี้ บริษัท สต็อป-เบิร์ด จำกัด เริ่มเปิดบริการไล่นกเต็มรูปแบบเมื่อเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา โดยคิดค่าบริการ 3,500 บาท (ในพื้นที่ไม่เกิน 120 ตารางเมตร) การันตี 1 ปี นกจะไม่กลับมาอยู่ที่เดิม รับประกัน หากไม่ได้ผลยินดีคืนเงิน อีกแบบ คือ ขายผลิตภัณฑ์เจลไล่นก “TOFLY” กระป๋องละ 2,800 บาท (ขนาด 4 ลิตร) โดยลูกค้าซื้อไปใช้ทาเอง

รัชนะ เผยต่อว่า ด้านการผลิตใช้วิธีว่าจ้างโรงงานหลายแห่งผลิตส่วนประกอบแต่ละอย่าง แล้วมาผสมเอง เพื่อป้องกันโดนลอกเลียนสูตร มีศักยภาพผลิตประมาณ 100 กระป๋อง/ วัน กลุ่มลูกค้ามีทั้งบ้านพักทั่วไป หน่วยงานราชการ บริษัทเอกชน วัด และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น รายได้นับแต่ต้นปี 2551 ที่ผ่านมา เฉลี่ยเดือนละ 1.5 ล้านบาท ถึงสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 10 ล้านบาท



ขั้นตอนการทาเจลไล่นก

ส่วนปัญหาของธุรกิจนั้น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และไม่มีมาตรฐานใดๆ รองรับ เพราะเครื่องหมายคุณภาพสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก. ) หรือเครื่องหมายอาหารและยา (อย.) ต่างไม่เข้าเกณฑ์รับรองสินค้าชนิดนี้ ทำให้ลูกค้าคนไทยยังขาดความไว้วางใจ นิยมใช้สินค้าต่างชาติ ซึ่งราคาสูงกว่านับสิบเท่าตัว ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า จึงใช้แผนการตลาดกล้าจะคืนเงินให้ลูกค้า ถ้าไม่พอใจในสินค้า

รับบริการ ทั้งบ้าน วัด โรงงาน ฯลฯ

รัชนะ ระบุถึงแผนธุรกิจต่อไป ในระยะสั้น จะขยายตัวแทนจำหน่ายให้มากที่สุด จากปัจจุบัน มีเพียงแค่ 8 รายเท่านั้น และเร็วๆ นี้ กำลังจะผลิตแบบหยอดขนาดเล็ก ราคาประมาณ 200-300 บาท วางขายในห้างจำหน่ายอุปกรณ์ภายในบ้าน ส่วนแผนระยะยาวตั้งเป้าจะสร้างระบบตัวแทนจำหน่ายให้เข้มแข็ง แล้วขยายสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป

***************************************

โทร.0-2899-9928 , 081-771-6688 หรือ www.stop-bird.com
อ้างอิงจาก    ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ผลไม้ไทยเคลือบชอล์กโกแลต Fruit chocs

 
ผลไม้ไทยเคลือบชอล์กโกแลต Fruit chocs
ผลไม้ไทยถือเป็น เอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทยที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของประเทศ และด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผลไม้รสชาติดีหลายชนิด ทำให้เราได้มีผลไม้สดอร่อยไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจำนวนมาก จนถึงปัจจุบันมีผลไม้ไทยที่ไปสร้างชื่อในต่างประเทศ สร้างรายได้กับเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้เป็นเงินมหาศาล


สำหรับการส่งออกผลไม้ของผู้ประกอบการไทย จะมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกผลไม้สด ซึ่งมีข้อจำกัดหลายอย่าง อาทิ ผลไม้เกิดการเน่าเสียระหว่างการขนส่ง ทำให้ผลไม้ ไม่สดอร่อย หรือ เชื้อราที่ปนเปื้อนอยู่ในผลไม้ ผู้ประกอบการบางรายหันมาใช้การส่งออกผลไม้ในรูปของผลไม้แช่แข็ง

Fruit chocs ในกล่องบรรจุ 6 ชิ้น

และผลไม้แช่แข็งของผู้ประกอบการคนไทยที่ใช้ชื่อว่า IN-SEASON FOODS ที่ได้บุกเบิกทำธุรกิจผลไม้ไทยแช่แข็งที่เน้นคุณภาพดี เพื่อส่งออกไปขายในประเทศแถบยุโรปที่กลุ่มลูกค้าตลาดกลางและบน และที่มาของผลไม้ไทยแช่แข็งเพื่อการส่งออกของIN-SEASON FOODSนี่เอง เป็นที่มาของผลไม้ไทยเคลือบช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ Fruit Chocs ที่ทางIN-SEASON FOODS ผลิตออกมาเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดผลไม้ไทยที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ



นางสาววาสนา เจริญพิวัฒพงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทอิน-ซีซั่นส์ ฟู้ดส์ จำกัด เล่าถึงผลไม้เคลือบชอล์กโกแลต Fruit chocs ว่า เกิดขึ้นมาจากเดิมบริษัททำผลไม้แช่แข็งส่งออกไปจำหน่ายในประเทศแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศในแถบเอเชีย อย่างประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าในตลาดกลางและบนเป็นหลัก โดยได้บริษัทตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศเป็นผู้จัดจำหน่ายให้

วาสนา เจริญพิว้ฒพงษ์ ผจก.ฝ่ายการตลาด(ซ้ายมือ)

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันตลาดผลไม้ไทยแช่แข็งที่ส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศนั้น มีคู่แข่งรายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มตลาดกลางและล่างมีสินค้าจากประเทศจีนเข้ามา ทำให้บริษัทต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา และการออกสินค้าใหม่เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค และที่เลือกทำผลไม้เคลือบช็อกโกแลต เพราะช็อกโกแลตเป็นขนมหวานที่ได้รับความนิยมในประเทศแถบยุโรปและสหรัฐ อเมริกา อีกทั้งยังเป็นขนมหวานเพื่อสุขภาพ ซึ่งเมื่อนำมารวมกับผลไม้สด ทำให้ได้อาหารเพื่อสุขภาพที่เป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค และตอบสนองกับคนที่ชอบทานช็อกโกแลตหรือผู้ที่ชื่นชอบการทานผลไม้ได้

กล้วยหอมเคลือบชอล์กโกแลต

โดยได้เริ่มวางตลาด Fruit Chocs เมื่อกลางปี 2550 ซึ่งส่งออกไปขายต่างประเทศ 100% แต่ เมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมาได้เริ่มทดลองตลาดในประเทศไทย สาเหตุที่หันมาทำตลาดในประเทศเพราะมองว่า น่าจะได้ให้คนไทยได้กินขนมที่ดีต่อสุขภาพที่เป็นของคนไทยด้วยกัน และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่หันมาทำตลาดในประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทได้ออกงานแสดงสินค้าและมีผู้บริโภคคนไทยจำนวนมาก ให้ความสนใจได้เข้ามาทดลองชิมและชื่นชอบต้องการให้เราเปิดตลาดขายในประเทศ โดยตั้งเป้าขายในประเทศปีแรก 10%



สำหรับการวางแผนการตลาดในประเทศ ยึดช่องทางการขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ และการออกงานแสดงสินค้า เจาะตลาดในกลุ่มผู้บริโภคในตลาดกลางและบน ที่ชื่นชอบการทานผลไม้และช็อกโกแลต โดยเฉพาะเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ชื่นชอบทานไอศกรีม เพราะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับไอศกรีม แต่ เป็นไอศกรีมที่ไม่มีน้ำตาล โดยราคาขาย Fruit Chocs ในแต่ละประเทศจะแตกต่างกันเพราะตัวแทนจำหน่ายในแต่ละประเทศจะเป็นผู้กำหนด ราคาเอง ส่วนราคาขายในประเทศไทยตัวแทนจำหน่ายเป็นผู้กำหนดราคาเช่นกัน โดยราคากล่องละ 75 บาท มีผลไม้จำนวน 6 ชิ้น

ส่วนผลไม้ที่นำมาทำFruit Chocs ในครั้งนี้ ทำมาจากผลไม้สด 4 ชนิด ได้แก่ สับปะรด ลำใย มะม่วง และกล้วย ในอนาคตมีแผนจะนำผลไม้อื่นๆ ออกมาอีกหลายชนิด อาทิ มังคุด เมลอนฯ ซึ่งการทำผลไม้เคลือบช็อกโกแลตได้มีการเลือกชนิดของช็อกโกแลตมาเคลือบให้ เหมาะสมกับรสชาติผลไม้แต่ละชนิดเพื่อให้รสชาติของผลไม้และช็อกโกแลตไปด้วย กันได้ อาทิ สับปะรด รสชาติอมเปรี้ยวอมหวานเคลือบด้วย Dark Chocolate ส่วนกล้วยมีรสหวานเคลือบด้วยMilk Chocolate มะม่วงและลำไย เคลือบด้วย White Chocolate โดยช็อกโกแลตที่นำมาทำ Fruit Chocs เป็นช็อกโกแลตคุณภาพดีเกรดเอที่นำเข้ามาจากประเทศเบลเยี่ยม



นางสาววาสนา เล่าถึงการคัดเลือกผลไม้ที่นำมาใช้ในครั้งนี้ ว่า ให้ความสำคัญการเลือกผลไม้คุณภาพดีและเป็นผลไม้ปลอดสารพิษ เนื่องจากผลไม้ที่ส่งออกไปต่างประเทศต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้นำเข้า และสิ่งที่ผู้นำเข้าให้ความสำคัญมากที่สุดเรื่องของสารพิษตกค้าง ทั้งนี้ทางบริษัทได้เซ็นสัญญากับเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ให้ปลูกผลไม้ปลอดสารพิษ ป้อนให้กับโรงงานของเรา โดยทางบริษัทจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมดูแลและให้คำแนะนำการปลูกผลไม้ ปลอดสารพิษให้กับเกษตรกรในทุกขั้นตอนการผลิต โดยเกษตรกรจะได้ราคาที่สูงกว่าราคาประกันในท้องตลาด

โทร. 0-2664-1135
อ้างอิงจาก    ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


URGENT FIRE-PAK ชุดอุ้มชีวิตฝ่าพายุเพลิง นวัตกรรมหนีตายแบบพกพา

 
ภาพจำลองการใช้งานชุดอุปกรณ์ URGENT FIRE-PAK
ภาพผู้คนล้มตายจากเหตุเพลิงไหม้ซานติ ก้าผับเมื่อคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา สร้างความเศร้าสะเทือนใจ พร้อมเป็นบทเรียนราคาแพงให้ทุกฝ่ายต้องหันกลับมาล้อมคอกรับมือเหตุร้ายที่ อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
 
ปฏิเสธ ไม่ได้ว่า ที่ผ่านมา คนไทยใส่ใจรักษาความปลอดภัยของชีวิตจากอัคคีภัยในระดับต่ำ อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ติดตั้งไว้ส่วนใหญ่แค่เอาหน้ารอดจากข้อกฎหมาย ไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกเตรียมพร้อมจะช่วยเหลือชีวิตผู้คนได้อย่างแท้จริง

นพมาศศิริ ดำรัสธรรม (ซ๊าย) และลำเพาพรรณ ลีรพันธุ์
แต่สำหรับ “ลำเพาพรรณ ลีรพันธุ์” และ “นพมาศศิริ ดำรัสธรรม” ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวมายาวนาน จึงคิดค้น URGENT FIRE-PAK ชุดอุปกรณ์ช่วยชีวิตส่วนบุคคลยามตกอยู่ในเหตุเพลิงไหม้ มากว่า 5 ปีแล้ว ถือเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย โดยแรงบันดาลใจเกิดจากจิตสำนึกที่บอกตัวเองตลอดมาว่า ชีวิตมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด หากสูญเสียไป ไม่มีอะไรทดแทนได้


“จุด เริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ 911 มีข่าวคนติดอยู่ในซากตึก แล้วพยายามโทรศัพท์ออกมาหาแม่ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันได้พูด ก็หมดสติไปก่อนเพราะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากสำลักควัน หากเขามีเวลาอีกแค่ 2-3 นาที ก็จะรอดชีวิตแล้ว ประกอบกับเวลานั้น พบอุปกรณ์ต้นแบบช่วยชีวิตจากไฟไหม้ของวิศวกรไทยท่านหนึ่ง จึงเกิดความสนใจนำมาต่อยอด เชื่อว่า ถ้าทำสำเร็จจะช่วยชีวิตคนได้อีกมหาศาล” นพมาศศิริ เผย



ชุดแบบต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ชุดต้นแบบดังกล่าว คุณสมบัติยังไม่เหมาะกับการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นด้านระบบ และมาตรฐานวัสดุอุปกรณ์ ดังนั้น ได้วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง ศึกษาจากตำราวิชาการในและต่างประเทศ อีกทั้ง ได้รับการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) นอกจากนั้น จำลองเหตุการณ์เพื่อทดสอบการทำงานจริง กว่าจะได้ชุดที่สมบูรณ์แบบใช้เวลามากกว่า 3 ปี กับงบประมาณกว่าล้านบาท โดยจดเป็นสิทธิบัตรไว้แล้ว


กระป๋องบรรจุอากาศบริสุทธิ์

ลำเพาพรรณ เล่าว่า อุปกรณ์แก้ปัญหาอัคคีภัยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แทบทั้งหมดใช้เพื่อดับไฟที่กำลังไหม้อาคารหรือสถานที่ ไม่ได้ช่วยให้คนหนีรอดออกมาได้ ขณะที่มากกว่า 95% ของผู้เสียชีวิตจากอัคคีภัยมาจากการสำลักควันก่อนความช่วยเหลือจะมาถึง จาก การวิจัยระบุชัดว่า ช่วงเวลาวิกฤตที่สุดของเหตุเพลิงไหม้จะอยู่ระหว่าง 5-10 นาที ถ้าไม่สามารถพาตัวเองออกจากช่วงเวลานี้ไปได้ 70% จะเสียชีวิต ดังนั้น ชุดอุปกรณ์ URGENT FIRE-PAK เน้นให้ผู้ประสบเหตุสามารถพาตัวเองออกมาให้รอดจากจุดที่วิกฤตที่สุดให้ได้ด้วยตัวเอง

ผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบเป็นชุดสำเร็จรูป ประกอบด้วยหมวกครอบศีรษะที่ทำจากพลาสติกชนิดพอลิโพรไพลีน(polypropylene) ปราศจากสารพิษ ทนความร้อนได้กว่า 160 องศาเซลเซียส สามารถปกป้องอวัยวะตา หู จมูก ปากจากควันไฟได้ ส่วนด้านหน้าหมวกเชื่อมต่อกับวาล์วและท่อนำอากาศ ซึ่งสายจะเชื่อมจากกระป๋องบรรจุอากาศบริสุทธิ์ สามารถปล่อยให้อากาศไหลออกมาอย่างอัตโนมัติในอัตราที่พอเพียงจะใช้หายใจได้ ในเวลา 3-15 นาที (แล้วแต่จำนวนกระป๋องที่บรรจุ) อีกทั้ง อุปกรณ์ต่างๆ ยังเรืองแสง ช่วยมองเห็นในที่มืด โดยชุดอุปกรณ์ต่างๆ เก็บไว้ใช้งานนานได้กว่า5 ปี ส่วนกระเป๋าบรรจุอากาศ เก็บไว้ได้นาน 2 ปี



ทดสอบการทำงานจากการจำลองเหตุการณ์
สำหรับขั้นตอนใช้งานเพียงสวมชุดอุปกรณ์เข้ากับตัว สวมถุงครอบศีรษะ ดึงสายรัดทั้งสองด้านให้พอดีรอบคอ อมจุกยางไว้หายใจออกทางปาก กดปุ่มล็อกค้างอากาศจะออกมาตามสายเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งขั้นตอนต่างๆ เหล่านี้ ถ้าผ่านการฝึกฝนจะปฏิบัติได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 วินาที ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดว่า อุปกรณ์ช่วยชีวิตยามเกิดไฟไหม้ควรปฏิบัติการได้ภายในเวลา 30 วินาที


นพมาศศิริ อธิบายเสริมว่า ในต่างประเทศมีอุปกรณ์ลักษณะใกล้เคียงกัน ทว่า มีน้ำหนักมากถึง 3-5 กิโลกรัม ส่วน URGENT FIRE-PAK ทั้งชุดหนักเพียงประมาณครึ่งกิโลกรัม ไม่ เป็นอุปสรรคต่อการวิ่ง ทำให้เด็กหรือสัตว์เลี้ยงสามารถใช้งานได้สะดวก นอกจากนั้น สินค้าของต่างประเทศ ราคาสูงกว่า 2-3 หมื่นบาท ขณะที่สินค้าไทยชิ้นนี้ ราคาเริ่มต้นที่พันกว่าบาท สำหรับแบบพกพากระป๋องเดี่ยว ส่วนราคาสูงสุดแบบชุดติดผนังประมาณ 6 พันกว่าบาท

แบบตู้ติดผนัง

ด้านการทำตลาดนั้น ลำเพาพรรณ เผยว่า จะเข้าไปเสนอสินค้าด้วยตัวเองตามหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน หากเป็นองค์กรที่มีผู้บริหารชาวต่างชาติ จะให้การตอบรับสินค้านี้อย่างดียิ่ง ตรงกันข้ามกับหน่วยงานของไทย โดยเฉพาะภาครัฐ แม้จะชื่นชมและเห็นความสำคัญ แต่ปฏิเสธการสั่งซื้อ ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีงบประมาณพอสำหรับซื้ออุปกรณ์ดูแลความปลอดภัย

“ส่วน ตัวดิฉันมั่นใจว่า สินค้านี้มีตลาดที่ใหญ่มาก แต่เรายังไม่สามารถไปถึงจุดที่เปิดตลาดได้สำเร็จ เนื่องจากปัญหาสำคัญ คือ ภาครัฐ และคนไทย ยังไม่ได้ให้ความใส่ใจกับความปลอดภัยอย่างจริงจัง แต่หลังเหตุซานติก้า หวังว่า คงมีความตื่นตัวในด้านการหนีไฟและเตรียมการต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะในระดับนโยบายจากผู้บริหารองค์กรต่างๆ เราต้องช่วยกันสร้างจิตสำนึกสาธารณะในด้านความปลอดภัยให้เป็นวัฒนธรรม เพื่อตระหนักถึงภัยต่างๆ และให้คนไทยมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดเมื่อเผชิญเหตุการณ์อันตราย อีกทั้งขอให้ช่วยกันสนับสนุนสินค้าไทยเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และการเสียดุลการค้าต่างประเทศ” ลำเพาพรรณ ระบุ



คู่หูธุรกิจ ทิ้งท้ายว่า ถึงจะผลิตอุปกรณ์ช่วยชีวิตจากอัคคีภัย แต่ภาวนาว่า อย่าให้มีใครต้องประสบเหตุเพลิงไหม้จนต้องใช้สินค้าตัวนี้จริงๆ เลย ขอเพียงซื้อสินค้าชิ้นนี้เหมือนการทำประกันชีวิต เพื่อความสบายใจโดยหวังว่าเหตุร้ายจะไม่เกิดขึ้น

********************

โทร.0-2255-2808 , 0-2254-5434 และwww.urgentfirepak.net
อ้างอิงจาก    ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


โรตีจิ๋ว “Sweet Rose” อาหารว่างโกอินเตอร์

โรตีจิ๋วกุหลาบ

โรตีกุหลาบหวาน Sweet Rose Roti เป็นการดัดแปลงโรตีประเภทขนมหวานที่ทำขายกันทั่วไป ให้มีรูปร่างหน้าตา ที่แปลกออกไป จากเดิมที่เป็นโรตีทำสดที่พบเห็นกันทั่วไปตามรถเข็น แต่โรตีกุหลาบหวาน ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ดังนั้นรูปร่างหน้าตาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากทำออกมาเป็นรูปดอกกุหลาบ

นอกจาก รูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไปแล้ว เจ้าของสูตร “นางสาวนิยานันท์ สุวรรณวรศักดิ์” ได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของโรตีที่ทำขายสด มาเป็นขนมโรตีสำเร็จรูปในรูปแบบของอาหารว่างชิ้นเล็กพอคำและทำเก็บไว้กินได้นานถึง 2 สัปดาห์บรรจุอยู่ในกล่อง ในลักษณะเช่นเดียวกับขนมคุกกี้ตามร้านเบเกอรี่ทั่วไป

ขนมในแพคเกจจิ้งพร้อมรับประทาน

นางสาวนิยานันท์ เล่าว่า ที่มาของแนวคิดการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของโรตีในแบบของขนมสำเร็จรูปในครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจาก ความต้องการของครอบครัวอยากจะมีธุรกิจด้านอาหารเพิ่มขึ้นอีกสักหนึ่งอย่าง จากเดิมเรามีกิจการของเราเองในส่วนของการเปิดบริษัทรับทำบัญชีอยู่แล้ว

“ทั้งนี้ ที่มาเลือกทำโรตีกุหลาบในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ซึ่งครอบครัวของเราเป็นอิสลามจะมีการทำโรตีไปสุเหร่ากันเป็นประจำอยู่แล้ว หรือ ทำโรตีกินกันเองภายในครอบครัว ทำให้เรื่องการทำโรตีเป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัว ซึ่งทำเป็นกันทุกคน และจับสิ่งที่เราถนัดมาสร้างเป็นอาชีพ แต่ถ้าจะทำโรตีธรรมดามีขายกันเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และเราต้องการทำออกมาในรูปของบริษัท และตลาดสำคัญที่เรามอง คือ ตลาดต่างประเทศ จึงได้ออกมาเป็นโรตีสำเร็จ ที่สามารถเก็บไว้กินเวลาไหนก็ได้ตามวันหมดอายุ”


โรตีกรอบชั้น

ส่วนโรตีกุหลาบ เกิดขึ้นมาจากความเป็นคนช่างสังเกตก็ว่าได้ เพราะหลายคนที่มีโอกาสได้กินโรตีจะเห็นว่าในช่วงขั้นตอนของตีแป้ง เมื่อตีแป้งจนได้เป็นแผ่นบางอย่างที่ต้องการแล้ว จะม้วนโรตีก่อนจะนำมาทำเป็นแผ่นบางและนำไปทอด ซึ่งตรงที่ม้วนโรตี ถ้าใครสังเกตจะเห็นว่ามันจะออกมาคล้ายดอกกุหลาบ และตรงจุดนี้เอง เกิดแรงบันดาลใจให้เราคิดทำโรตีกุหลาบขึ้น คือแทนที่จะนำมาตีแผ่นบางและทอด เราก็ทอดเลยในแบบม้วนๆ ซึ่งรสชาติที่ออกมาเหมือนกันทุกอย่าง

หลังจากได้โรตีรูปดอกกุหลาบอย่างที่ต้องการ แล้ว ก็กลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ได้โรตีที่สามารถเก็บและกรอบได้นาน ซึ่งก็ใช้วิธีการอบแป้งให้แห้ง รสชาติออกมาเหมือนเดิมและสามารถเก็บได้นานถึง 2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น เช่นเดียวกับขนมคุกกี้ และเมื่อทำเป็นลักษณะอาหารว่างกินกับน้ำชา หรือกาแฟ จะต้องทำให้ชิ้นเล็กลงมาพอดีคำเพื่อสะดวกแก่การรับประทาน จึงได้ออกมาเป็นชิ้นขนาดพอดีคำอย่างในปัจจุบัน

โรตีในแพคเกจจิ้ง

ปัจจุบันทำโรตีออกมาทั้งหมด 2 แบบ โรตีกุหลาบ โรตีชั้น แตกต่างกัน คือ โรตีชั้น จะเป็นการทอดแบบเป็นแผ่นและนำมาตัดให้พอดีคำ เป็นชั้นๆ สี่เหลี่ยม ส่วนโรตีกุหลาบเป็นรูปกุหลาบกลมๆ รสชาติไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่โรตีชั้นจะมีความกรอบมากกว่า บางคนยังชอบที่จะกินโรตีในแบบกรอบเดิมก็เลือกกินโรตีชั้น นอกจากนี้ โรตีของเราจะมีปรับปรุงรสชาติแตกต่างไปจากในอดีต ด้วยการเพิ่มความหอม หวาน มัน โดยหลังจากที่ทอดแล้วก็นำโรตีมาชุบนมข้น และน้ำตาลแช่ทิ้งไว้ 1 คืน

นางสาวนิยานันท์ เล่าถึงการทำตลาดของโรตีกุหลาบหวาน ว่า เนื่องจากสามารถนำไปเป็นอาหารว่างกินกับชา หรือกาแฟได้ ทำให้ที่ผ่านมาได้กลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัท ห้างร้านที่มีการจัดประชุมสัมมนา จะซื้อโรตีเราไปเป็นอาหารว่างในช่วงเบรก ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่อยู่ในย่านจังหวัดสระบุรี และใกล้เคียง เพราะในบริเวณนั้นมีนิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีบริษัทต่างๆ เป็นจำนวนมาก และโรตีเป็นทางเลือกใหม่ไม่ซ้ำกับอาหารว่างที่มีอยู่ในท้องตลาด ทำให้เรามีลูกค้าอยู่เรื่อย ยอดขายต่อเดือนมากกว่า 100 กิโลกรัม ส่วนราคาขาย ขายเป็นกิโลกรัมละ 300 บาท กรณี ส่งขายเป็นกล่อง จัดใส่กล่องครึ่งกิโลกรัม ราคากล่องละ 200 บาท บวกค่ากล่องไปด้วย ลูกค้าสามารถซื้อไปเป็นของฝาก ช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือ ซื้อเป็นของฝากกรณีมาเที่ยวจังหวัดสระบุรีก็ได้


นางสาวนิยานันท์ สุวรรณวรศักดิ์ เจ้าของ

สำหรับกลุ่มลูกค้าแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ในประเทศ เน้นการขายเป็นอาหารว่างในงานสัมมนา และขายเป็นของฝากในช่วงเทศกาลา ส่วนกลุ่มที่ 2 การทำตลาดส่งออก โดยเริ่มจากการออกงานแสดงสินค้า Thaifex งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการส่งออก พบว่า ต่างชาติให้ความสนใจในระดับที่น่าพอใจ มีออร์เดอร์ จากประเทศจีน ญี่ปุ่น และประเทศแถบตะวันออกกลาง เข้ามามากกว่า 6 ประเทศ

“ปัญหาเรื่องของตลาดต่างประเทศ ตอนนี้ เรายังติดปัญหาอายุการเก็บรักษา เพราะไม่ได้ใส่สารกันบูดทำให้เก็บได้ไม่นาน ซึ่งตอนนี้เราก็กำลังหาวิธีเพื่อที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาให้สามารถเก็บได้นานกว่า โดยไม่ต้องใส่สารกันบูด แต่ถ้าไม่มีวิธีก็คงต้องใส่สารกันบูดบ้าง แต่ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ได้รับการตอบรับดีมาก โดยเฉพาะประเทศจีนสนใจมาก เพราะมองว่า เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ และโรตีเป็นอาหารสากลที่ทั่วโลกรู้จัก และคนทั่วไปถึงไม่ใช่อิสลาม ก็นิยมกินโรตี”

โทร. 08-9083-5321
อ้างอิงจาก    ผู้จัดการออนไลน์

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.