สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ทำแหนมเอ็นข้อไก่ เป็นอาชีพเสริม


รายได้ ประมาณ 1,000 – 1,500 บาท

เงินลงทุน
ประมาณ 700 บาท

อุปกรณ์ กะละมัง ถุงพลาสติก (5 x 8) หนังยาง

แหล่งจำหน่าย ตลาด ร้านค้า ห้างสรรพสินค้าทั่วไป

วิธีดำเนินการ ส่วนผสมเอ็นข้อไก่ 10 กิโลกรัม ข้าวสารข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม กระเทียมแกะกลีบ เกลือป่นวิธีทำ แหนมเอ็นข้อไก่1. นำข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วไปแช่น้ำสะอาด จนกระทั่งเมล็ดข้าวเหนียวพองตัว ใช้ตะแกรงช้อนขึ้น
2. นำเอ็นข้อไก่ กระเทียมทุบ เกลือและข้าวเหนียว ผสมคลุกกันในกะละมังให้เข้ากันแล้วนวดต่อ 1 ชั่วโมง
3. นำใส่ถุงพลาสติกให้อยู่ก้นถุงด้านใดด้านหนึ่ง ตบแต่งให้ได้รูปสามเหลี่ยม หมุนเกลียวใช้ยางรัด ตัดปลายห่าง 1 นิ้ว นำออกขายได้


ตลาดจำหน่าย ตลาดทั่วไป แหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า สวนอาหารทั่วไป

ข้อแนะนำ ช่วงนวดควรสังเกตให้แหนมมีความเหนียวและออกรสเปรี้ยวจึงค่อยบรรจุห่อได้

ขอบคุณแหล่งบทความ แนะนำอาชีพเสริม สร้าง

Read More...


ไอเดียแปลก ไอศครีมทุเรียน 100%


ไอศกรีมทุเรียน 100% ทรงไข่ กลยุทธ์การตลาด สู้ภาวะผลไม้ล้น

ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ


งานแสดงอาหารใหญ่ประจำปี "Thaifex-World of food ASIA 2009" ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหอการค้าไทย และโคโลญ เมสเซส ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัท ผู้ประกอบการ ด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าร่วมมากมาย

บู๊ธแสดงสินค้าบู๊ธหนึ่งที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจากผู้เข้าร่วมชมงาน ได้แก่ บู๊ธที่วางแสดงสินค้าหน้าตาคล้ายไข่เป็ด ไข่ไก่ แถมยังอยู่ในแผงพลาสติคที่ใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ซะด้วย แต่เมื่อเหลือบมองเข้าไปภายในบู๊ธ กลับมีผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ นำมาจัดแสดงด้วย

ถามเจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ ได้ความว่า นี่ไม่ใช่ไข่เป็ด ไข่ไก่ แต่เป็นไอศกรีมทุเรียน มะพร้าว และมะม่วง อ้าว!...เป็นงั้นไป

เมื่อได้ความดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกมากมาย หนึ่งในคำถามนั้นคือ แล้วจะกินอย่างไร ต้องผ่าออกมาหรือเปล่า มีไอศกรีมอยู่ข้างในใช่หรือไม่

เจ้าหน้าที่จึงตอบคำถามพร้อมสาธิตให้ดูว่า เพียงแต่ใช้ไม้จิ้มไปที่ไข่ เยื่อพลาสติคบางใสและลอกออกมา กลายเป็นไอศกรีมผลไม้ล้วนๆ และไอศกรีมที่ว่านี้เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมอื่นใด มีแต่เนื้อผลไม้เท่านั้น

เจ้าของไอเดีย และเจ้าของธุรกิจ คุณมรุต ชโลธร เผยว่า เขาและเครือญาติมีสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ปกติขายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งผลิตผลไม้แปรรูปด้วย

"การแปรรูปก็ทำแบบผลไม้แปรรูปทั่วไป บางส่วนก็แช่แข็ง เพราะในแต่ละปีมีผลไม้ออกมามาก ที่นี้ เราก็มองว่าเราจะครีเอท แวลู่ หรือจะสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ เพียงแต่แอดแวลู่อย่างเดียวไม่พอแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ตัวสินค้าก่อน คำว่า ไอศกรีม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ และเป็นของหวานที่ทุกคนชื่นชอบ ขณะเดียวกัน ก็มีด้านลบต่อสุขภาพ คือน้ำตาลมาก และมีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารสังเคราะห์ สรุปก็คือไม่ใช่สินค้าในกลุ่มเพื่อสุขภาพแน่นอน เราก็เลยมองว่า จะทำอย่างไรให้ผลไม้มาอยู่ในรูปของไอศกรีมที่เน้นความเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์"

และนี่คือที่มาของไอศกรีมผลไม้ ที่ทางผู้ประกอบการเน้นว่า เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงต้น ทำออกมา 3 รสชาติ ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน



ผลไม้ล้นตลาดทุกปี

แค่แช่แข็ง ส่งออก คงไม่พอ

"เราพัฒนาทั้ง 3 ตัวนี้มา ก็เป็นเนื้อผลไม้ล้วนๆ นั่นหมายความว่า เราได้ปฏิวัติวงการไอศกรีมให้เป็นธรรมชาติล้วน"

คุณมรุต บอกอีกว่า ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ

"เราอยู่เมืองจันท์ เราก็อยากจะช่วย แต่คงต้องหาอะไรที่ใหม่ที่สุด สิ่งที่เราได้แล้วคือ ตัวเนื้อไอศกรีมที่ใหม่ เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะมาใส่แพ็กเกจจิ้งเก่าๆ มันก็ไม่เป็นจุดขาย ถ้าคนที่จะทานไอศกรีม จะนึกแค่ อยู่ในโคน ถ้วย หรือตัดกิน หรือทำซอร์ฟเสิร์ฟ เรากลับมองว่าเอ๊ะ ทำอย่างอื่นได้มั้ย จากนั้นก็สร้างกิมมิกว่า ถ้ามันเป็นไข่ล่ะ จะเป็นอย่างไร"

ดังนั้น ไอศกรีมผลไม้ รสทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน ในรูปไข่เป็ด ไข่ไก่ จึงออกมาด้วยประการฉะนี้ (ถ้าเป็นรสมะม่วงมีสีเหลือง จะคล้ายไข่ไก่มาก)

คุณมรุต เล่าอีกว่า " สำหรับผู้บริโภคเองเดินผ่านมา ก็จะถามว่า อะไรน่ะ ไข่หรือเปล่า บางคนนึกไปถึงไข่ข้าวหรือไข่ที่ผ่านการผสมแล้ว บางคนเดินผ่านไปแล้ววกกลับมา เรียกเพื่อนมาดูด้วยว่าเป็นอะไร ยิ่งถ้าเราบอกว่าเป็นทุเรียน เป็นไอศกรีมทุเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้าก็จะบอกว่า เอ้ย! จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ...นี่คือกิมมิกทางการตลาดที่เราคิดขึ้นมา นั่นคือ เราจะสร้างประสบการณ์ใหม่ เป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ดังที่เราให้สโลแกนไว้ว่า More than just ice-cream With a unique eating experience"

เมื่อจะรับประทานไอศกรีมที่ว่านี้ เพียงแต่เอาไม้จิ้มไปที่ตัวไข่ เยื่อพลาสติคใสก็จะหลุดออกโดยง่าย เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ อธิบายว่า เป็นอีลาสติก รับเบอร์ (หรือยางที่มีความยืดหยุ่น) เมื่อพลาสติคใสหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่ได้คือ ไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์

"อีลาสติก รับเบอร์นี้ เป็นฟู้ดเกรด คือรับประกันว่าห่อหุ้มอาหารได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคกังวลว่าจะมีอันตรายมั้ย แต่เราส่งตรวจเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระดับมาตรฐานสากลว่าปลอดภัย" คุณมรุต เผย และบอกอีกว่า

"โปรเจ็คต์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ใช้เวลาปีกว่าๆ ในการวิจัยและพัฒนา ขณะนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำกลยุทธ์ทางการตลาด เรากำลังหาลู่ทางเพื่อส่งออก และดูว่าในประเทศเราจะกระจายสินค้าอย่างไร"

แล้วเล็งไปที่ไหนบ้าง นั่นเป็นคำถามที่ถามออกไป ผู้ประกอบการรายนี้ ตอบว่า "จริงๆ ตอนนี้มีหลายทางเลือก เรายังไม่ได้สรุป ที่มาออกงาน Thaifex ครั้งนี้ แค่ต้องการดูผลตอบรับ ก็ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก เรามีบู๊ธเล็กๆ แต่ทุกคนที่เดินผ่านไป ก็จะเดินย้อนกลับมาด้วยความสะดุดตา สะดุดใจ"



ทำทุเรียนให้กลิ่นอ่อนลง

จับกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น

สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น เขาว่า มีผู้ซื้อชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ชื่นชอบทุเรียนเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ส่วนชาติตะวันตก จะมีภาพติดลบกับทุเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จาก ป้ายห้ามนำทุเรียนเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งรถเมล์ รถไฟ สนามบิน โรงแรม ฯลฯ เรียกว่า ในส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด เป็นส่วนต้องห้ามของผลไม้นาม "ทุเรียน"

"พอจบโปรเจ็คต์นี้ เรากำลังจะมีโปรเจ็คต์หน้าคือ Soft aroma durian คือเราจะพัฒนาว่า จะทำให้กลิ่นทุเรียน อ่อนลงได้อย่างไร เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ชอบในกลิ่น แต่อยากลองในรสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา"

ทุเรียนย่อมมีกลิ่นแรงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่นั้น คุณมรุตว่า

"จริงๆ แล้ว ความต้องการนี้มาจากผู้บริโภค ถามว่าจะฝืนธรรมชาติมั้ย ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ปรากฏการณ์ของคนที่กินทุเรียน เรียกว่า ทุเรียนเอฟเฟ็กต์ คือจะรักหรือจะเกลียดทุเรียนมาจากการได้กลิ่นในครั้งแรก หมายความว่า คนที่ชอบ เมื่อทานปุ๊บแล้วชอบเลย อร่อย ส่วนที่ไม่ชอบคือ กินแล้วก็ไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทางด้านการตลาดนี่ชัดเจน ดังนั้น ทุเรียนจึงเป็นสินค้าตัวแรกที่เราเลือกขึ้นมาเป็นจุดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ เป็นทุเรียนเลิฟเวอร์ หรือหลงรักรสชาติทุเรียน นี่จะกระโดดเข้าใส่เลย อย่างคนจีนที่ชอบมาก บางคนมาซื้อลูกเดียวไม่พอ"

"ในทางกลับกัน เรามองว่า เราพัฒนาทุเรียนเป็นตัวแรก ด้วยความที่ได้สินค้าแปลกใหม่ ก็โอเค แต่พอไปเจอเรื่องกลิ่น ก็เป็นปัญหา จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาเข้ามาช่วยในส่วนที่ช่วยได้ อย่างที่ ทำให้เป็นซอร์ฟอโรมา คำว่า ซอร์ฟอโรมา ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ทุเรียนไม่มีกลิ่น แต่ทำให้กลิ่นเบาลง อ่อนลง"

ปกติคนที่ชอบรับประทานทุเรียน จะมี 3 พวกใหญ่ๆ คือชอบทุเรียนห่ามๆ กรอบ กลุ่มนี้จะไม่ได้รสหวาน ไม่ได้กลิ่น พวกที่สอง คือพวกที่ชอบระดับกลางๆ จะได้ครบทั้งรสชาติและกลิ่น ส่วนพวกที่สาม คือชอบแบบสุก จะได้ทุเรียนรสหวานจัด กลิ่นฉุน ในระดับที่เรียกทุเรียนผลนั้นว่า "เป็นปลาร้าแล้วนะจ๊ะ"

"จะมีอีกพวกหนึ่งคือ อยากจะลิ้มรสความหวาน แต่สู้กลิ่นไม่ไหว เราอยากให้เค้าได้ลิ้มรสสักนิดหนึ่ง ทุเรียนนี่เป็นคิงออฟฟรุตนะครับ ถ้าเป็นเราไปเจอราชาแห่งผลไม้ที่ประเทศไหน เราก็อยากลอง แต่ถ้าต้องบีบจมูกกิน มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้น"

การวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ คุณมรุต เผยว่า ได้ร่วมพัฒนาเครื่องต้นแบบ กับบริษัทเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีเหมือนกัน

ดูเหมือนว่า ในส่วนตัวผู้ประกอบการเอง ออกจะได้เปรียบในเรื่องการประสานเทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากประเทศญี่ปุ่น

"ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่มาทำตรงนี้ บางคนถามว่า ไม่ได้เรียนมา แล้วทำได้ด้วยเหรอ ผมตอบว่า ที่ผมทำได้เพราะไม่ได้เรียนมา เพราะผมคิดว่า การที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร ทำให้ผมกล้าคิดนอกกรอบ คือถ้าจบทางด้านอาหารมาโดยตรง อาจจะมองแค่ในกรอบ การมองนอกกรอบ เราอาจจะต้องถอยออกมาแล้วมองเข้าไป ฉะนั้น ผมคือคนนอก ไม่ได้อยู่ในวงการ เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ที่ต้องการกลับไปพัฒนาให้กับชาวสวนเมืองจันท์"

สำหรับไอศกรีมผลไม้ ทั้ง 3 รสชาติในรูปไข่ คุณมรุตวางราคาขายส่งหน้าโรงงานไว้ที่ ลูกละ 15 บาท แต่ถ้าขายปลีกทั่วไป น่าจะอยู่ที่ลูกละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

"ตัวไอศกรีมผลไม้รูปไข่ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา ปีเศษๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงเช็คผลตอบรับ ซึ่งก็มีผู้ประกอบการหลายเจ้าที่ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายซึ่งเราอยู่ในระหว่างการพิจารณา"

และนี่เป็นอีกหนึ่งการให้ไอเดีย สร้างคุณค่าให้กับสินค้า ถ้าบอกว่าเป็นไอศกรีมรสทุเรียน คงจะดูเป็นสินค้าพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แม้กระทั่งจะบอกว่า เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรายอื่นทำออกมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงไข่ แถมยังวางไข่ ในรังไข่พลาสติคที่ดูยังไงก็เป็นไข่ แต่ไม่ใช่ไข่

การสร้างความสนใจ ความประทับใจเมื่อแรกเห็นนี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมามอง หันมาพิจารณา กระทั่งต้องการชิม และนำไปสู่การค้าขายต่อไป

มีสินค้าธรรมดาๆ พื้นๆ อีกมากมาย ที่รอให้ผู้สร้างสรรค์งานเข้าไปพัฒนา เข้าไปจับมาแต่งตัวใหม่ เพื่อให้ต่อสู้ในทางการตลาดได้มากขึ้น และไม่แน่ว่า ผู้สร้างสรรค์งานรายต่อไป อาจเป็นคุณ!!!

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แพ็คเกจจิ้ง จำกัด เลขที่ 65 ถนนเพชรเกษม วัดท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600 โทร. (02) 467-4214-5



การลงทุนขายไอศกรีมผลไม้รูปไข่

1. รูปแบบซื้อมา ขายไป ราคาขายส่งหน้าโรงงาน ชิ้นละ 15 บาท สามารถนำไปขายได้ราคาชิ้นละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

2. นำไปขายเสริมในร้านอาหาร ซึ่งอาจจะมีตู้แช่อยู่แล้ว

3. ซื้อตู้แช่เพื่อขายไอศกรีม ราคาตู้แช่ ประมาณ 20,000 บาท

4. ลงทุนกับทางบริษัท 20,000 บาท สิ่งที่จะได้คือ ตู้แช่ และคีออส โดยใช้พื้นที่ขายประมาณ 2 ตารางเมตร (ทางคุณมรุตให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตัวเลขการลงทุนลักษณะนี้ประมาณ 30,000 บาท แต่ทางบริษัทต้องการช่วยผู้ประกอบการ 10,000 บาท จึงตั้งตัวเลขการลงทุนไว้ที่ 20,000 บาท)

5. สั่งซื้อสินค้ากับทางบริษัท ตั้งแต่ 1,000-1,500 บาท ทางบริษัทจัดส่งให้ฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

6. ทำเลที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นประจำ ได้แก่ พัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ และทำเลที่น่าสนใจรองลงไปได้แก่ ใกล้สถาบันการศึกษา รวมทั้งแหล่งชุมชน

Read More...


กล่องรับซองจดหมาย สร้างอาชีพ ทำเงิน


 
งานกระดาษ-ทำเงินงานมงคล

“ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนอผลงานที่เกี่ยวกับงานกระดาษหรืองาน “เปเปอร์มาเช่” ไปหลายหน แต่ก็ยังมีคนค้นคิดและดัดแปลงผลิตภัณฑ์แนวนี้ออกมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่างานแนวนี้ยังไม่ถึงทางตัน อย่างเช่นงาน “กล่องรับซอง” ที่มีกลุ่มลูกค้าคือผู้ที่จัดงานมงคล โดยเฉพาะงานวิวาห์...

“ชลดิส ชุณหโสภาค” เจ้าของงานเล่าว่า เคยทำงานเป็นพนักงานประจำตลาดหลักทรัพย์ เพราะเรียนจบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ โดยยึดอาชีพดังกล่าวมานานกว่า 12 ปีจนรู้สึกอิ่มตัว จึงวางแผนที่จะออกมาจับธุรกิจสักประเภทเพื่อรองรับชีวิตในอนาคต จังหวะที่กำลังมองหาอยู่นั้นได้มีโอกาสได้ไปเห็นงานรูปแบบ “เปเปอร์มาเช่” เข้าก็เกิดความสนใจ จึงใช้เวลาว่างจากงานประจำไปอบรมและฝึกหัดทำ

เมื่อมีความชำนาญมากขึ้น ภายหลังจึงคิดว่าน่าจะถึงเวลาออกมาทำตามที่ตั้งใจเสียที จึงตัดสินใจออกมาผลิตงานแนวนี้เพื่อจำหน่ายตั้งแต่ปี 2544 โดยตอนแรกมีหน้าร้านวางจำหน่ายสินค้าที่สวนลุมไนท์บาซาร์ ภายหลังสัญญาเช่าสิ้นสุดลง จึงตัดสินใจไม่ทำร้าน แล้วหันมาสร้างเว็บไซต์ของตนเองขึ้น พร้อมเปลี่ยนมาผลิตงานแนวเวดดิ้ง ผลิต “กล่องรับซอง” ในงานแต่งงาน จับตลาดงานเวดดิ้ง และคู่รัก

“ตอนแรกลูกค้าจะเป็นนักท่องเที่ยว เพราะสินค้าส่วนใหญ่เป็นของที่ระลึก ตอนหลังมองว่าตลาดกลุ่มนี้มีความผันผวน มีความเสี่ยงจากปัจจัยแวดล้อมสูง และกระทบกับ ยอดขายได้ง่าย จึงมองหาตลาดใหม่ที่มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดแรก โดยมาสรุปที่ตลาดเวดดิ้งหรือลูกค้าคู่รักที่กำลังจะแต่งงาน” ชลดิสกล่าว

ข้อดีของตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ เขาระบุว่า ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แต่ลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะไม่ผันผวนตามสถานการณ์เหมือนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มักจะมีผลกระทบขึ้นลงตามสภาพเศรษฐกิจและการเมือง ข้อดีประการต่อมาคือ โอกาสคิดงานไม่ออกหรือถึงทางตันมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนออกแบบและคิดงานให้ทำ เนื่องจากคู่รักแต่ละคู่ก็อยากจะได้สิ่งของที่ไม่เหมือนใคร หรือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

“ลูกค้าจะมีเรื่องราวหรือมีคอนเซปต์ที่เขาคิดมาไว้ก่อนแล้ว เรามีหน้าที่แนะนำและจัดทำสินค้าตามความคิดของเขา ขึ้นมาให้เป็นรูปเป็นร่าง จึงพูดได้เลยว่าโอกาสตันเกิดขึ้นได้น้อยมาก” เจ้าของงานระบุ

วัสดุ-อุปกรณ์ในการทำชิ้นงาน ประกอบด้วย ดินเหนียว (ใช้ขึ้นรูปชิ้นงาน), ปูนปลาส เตอร์ (สำหรับหล่อโมลหรือแม่พิมพ์), เกรียงปาด, กระดาษหนังสือพิมพ์เก่า, กระดาษแข็ง, แป้งข้าวเจ้า (สำหรับทำกาว), สีน้ำทาบ้าน, น้ำยาเคลือบมัน (ใช้ 2 สูตร คือสูตรน้ำกับสูตรยูริเทน) และที่เหลือก็เป็นพวกวัสดุตกแต่งตามต้องการ

ทุนเบื้องต้นอาชีพ ลงทุนประมาณ 5,000 บาท ส่วนทุนวัสดุอยู่ที่ประมาณ 40% จาก ราคาขาย โดยราคาขายเริ่มต้นตั้งแต่ชิ้นละ 600 บาท ไปจนถึงสูงสุด 4,500 บาท ขึ้นอยู่กับวัสดุตกแต่งที่จะต้องนำมาใช้ โดยการสั่งทำผลงานแต่ละชิ้นจะใช้เวลาในการทำประมาณ 3 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับแบบและความยากง่าย

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำแบบที่ต้องทำมาขึ้นรูปด้วยดินเหนียว โดยนำดินเหนียวมาปั้นขึ้นเป็นรูปทรงตามที่ได้ออกแบบไว้ เมื่อขึ้นจนเป็น รูปทรงที่ต้องการแล้ว ให้เทปูนปลาสเตอร์ที่ผสมรอไว้มาเทขึ้นรูปกับดิน เหนียวที่ปั้นไว้ จากนั้นตั้งทิ้งไว้จนแห้ง จึงกะเทาะออก ก็จะได้แม่พิมพ์สำหรับการแปะกระดาษ

ระหว่างนั้นก็ทำการเตรียมกระดาษที่จะใช้หุ้มชิ้นงาน ด้วยการฉีกกระดาษแช่น้ำไว้

เมื่อได้แม่พิมพ์แล้วก็ให้นำกระดาษที่เตรียมไว้มาทำการแปะและหุ้มให้รอบแม่พิมพ์ โดยการหุ้มให้เริ่มจากการหุ้มด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ก่อน จากนั้นจึงนำกระดาษแข็งสีขาวที่เตรียมไว้มาค่อย ๆ หุ้มทับอีกชั้นหนึ่ง

สาเหตุที่ใช้กระดาษแข็งสีขาวแปะที่ชั้นนอกนั้น เจ้าของผลงาน กล่าวว่า จะช่วยทำให้พื้นผิวของชิ้นงานดูเนียนเรียบเสมอกัน และทำให้สีสันของชิ้นงานสม่ำเสมอ มีสีสันสดใส ชัดเจน ไม่เป็นรอยด่าง

เมื่อหุ้มกระดาษจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็นำไปตากแดดทิ้งไว้ให้แห้ง โดยใช้เวลาประมาณ 1 วัน เมื่อชิ้นงานแห้งสนิทดีแล้วก็นำมาทำการลงสี วาดลวดลายตามที่ออกแบบไว้ ปล่อยทิ้งจนสีแห้ง จากนั้นจึงทำการลงน้ำยาเคลือบผิวมัน โดยใช้สูตรน้ำก่อน แล้วถึงค่อยลงน้ำยาสูตรยูริเทน เพื่อไม่ให้เกิดกรณีน้ำยาเคลือบผิวกัดผิวชิ้นงาน เมื่อเคลือบจนเสร็จก็ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง ทำการตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่ง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ

“จุดเด่นของเราคือ นอกจากจะเน้นที่ตัวชิ้นงานเปเปอร์มาเช่แล้ว รอบ ๆ เราก็ยังเน้นการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศด้วย ซึ่งกระแสตอบรับที่ได้กลับมาค่อนข้างดี นอกจากงานแต่งแล้วก็ยังมีลูกค้าประเภท อีเวนต์ที่สั่งทำชิ้นงานเพื่อนำไปตั้งโชว์เพื่อดึงดูดลูกค้า ณ จุดขายอีกด้วย” เจ้าของงานกล่าว

สนใจ “งานกระดาษ” เปเปอร์มาเช่ ที่ทำเป็น “กล่องรับซอง” ของชลดิส ติดต่อได้ที่ โทร.08-7593-0719 หรือดูในเว็บไซต์ www.pantipmarket.com/ mall/cjhandmade ส่วนใครที่สนใจอยากจะรู้วิธีทำมากกว่านี้ ก็ลองสอบถามจากเจ้าของงานโดยตรงได้เลย !!.

ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

Read More...


สร้างอาชีพด้วยการขายไข่เค็ม

 

ไข่เค็ม

- workdeena มีอาชีพอิสระมาแนะนำเพื่อนๆ เช่นเคย "ไข่เค็ม" นอกจากเป็นการถนอมอาหารแล้ว ไข่เค็มยังสามารถสร้างอาชีพให้เพื่อนๆ ได้อย่างสบายๆ เพราะไข่เค็มเป็นอาหารที่คนไทยคุ้นเคย อย่างเช่นทานข้าวต้มก็ต้องทานกับไข่เค็ม หรือจะเป็นขนมเปี๊ยะก็ต้องใช้ไข่เค็มเป็นวัสถุดิบ ดังนั้นการทำไข่เค็มขายจึงเป็นอาชีพที่น่าสนใจ มาดูสูตรการทำไข่เค็มกันนะ




การทำไข่เค็ม
ส่วนผสมการทำไข่เค็ม
  1. ไข่เป็ด 50 ฟอง
  2. เกลือ 2 กิโล
  3. น้ำเปล่า

วิธีการทำไข่เค็ม
  • การเลือกไข่เป็ดที่นำมาทำไข่เค็ม ควรเป็นไข่ใหม่และสด แล้วนำไข่เป็ดมาล้างด้วยน้ำเกลือให้สะอาดก่อน
  • ให้เอาเกลือและน้ำเปล่ามาต้มให้เดือด และทิ้งไว้จนเย็น
  • เสร็จแล้วเราก็เอาไข่ใส่ในโหลและเทน้ำเกลือที่เราเตรียมไว้ลงไป กะประมาณน้ำเกลือให้ท่วมไข่เป็ดและไม่เอาของทับไว้ไม่ให้ไข่เป็ดลอยขึ้นมานะ
  • ดองทิ้งไว้ประมาณ 5 วัน แล้วจึงนำมาต้มให้สุกประมาณ 10 นาที

Read More...




ชื่อของถั่วอัลมอนด์ถือว่าเป็นชื่อคุ้นเคยและคุ้นลิ้นของคนไทย แม้จะเป็นผลิตภัณฑ์นำเข้าจากต่างประเทศก็ตาม แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเจ้าถั่วเมล็กเล็ก ๆ นี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายหลากหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหัวใจของเรา จนถูกยกย่องให้เป็นองครักษ์พิทักษ์หัวใจเลยทีเดียว

อัลมอนด์เป็นถั่วประเภท Tree Nut ซึ่งให้คุณค่าสารอาหารต่อร่างกายมากกว่าถั่วประเภทคุมดิน อย่างถั่วลิสง ถั่วเขียว ฯลฯ และอัลมอนด์ยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะคุณประโยชน์ของอัลมอนด์มีมากมาย ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid) ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoproteins) หรือไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoproteins) หรือไขมันเลว


ทั้ง HDL และ LDL จะเป็นตัวพาคอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือด หากร่างกายมี LDL หรือไขมันเลวในปริมาณมาก คอเลสเตอรอลจะเคลื่อนที่ลำบากและจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ตามเส้นเลือกที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจและสมอง และถ้าคอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดไปรวมตัวกับสารอื่น อาจเกิดเป็นลิ่มไขมันทำให้หลอดเลือดตีบตันขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หารเส้นเลือดตีบตันที่หัวใจ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ และหากเส้นเลือดตีบตันที่สมอง อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ แต่ถ้าร่างกายเรามีไขมันดี หรือ HDL มากว่า ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เพราะ HDL จะช่วยให้คอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ได้ดี และทำให้คอเลสเตอรอลหลุดออกจากผนังหลอดเลือด และส่งไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย

ในต่างประเทศมีการวิจัยถึงประโยชน์ของอัลมอนด์อย่างจริงจังกันมานานแล้ว ซึ่งผลการวิจัยจากหลากหลายสถาบันให้ผลตรงกันว่าอัลมอนด์มีบทบาทกับสุขภาพหัวใจอย่างการ เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน เมื่อรับประทานเป็นประจำจึงมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี

ผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกายังพบว่า ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิงมือ ช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2 หยิงมือต่อวัน ช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4% รวมไปถึงผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ก็รายงานผลออกมาในรูปแบบเดียวกัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ พบว่าในกลุ่มที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้นระดับ LDL ก็จะลดลง และระดับ HDL ก็เพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้วอัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไปเบอร์ โปรตีนจากพืชวิตามินบี วิตามินอี และเมก้าทรี ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนังเส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย รวมทั้งไฟเบอร์ที่ได้จากอัลมอนด์ยังช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็น

Read More...


น้ำผึ้งแท้ ดูอย่างไร



คุณค่าที่เราได้รับจากน้ำผึ้งนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งนี้เพราะว่าน้ำผึ้งก็จัดได้ว่าเป็นสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าทางยารักษาโรค และอุดมไปด้วคุณค่าทางอาหาร
  
สำหรับในเมืองไทยน้ำผึ้งที่ดีต้องเป็นน้ำผึ้งเดือนห้า (เดือนมีนาคม - เมษายน) เพราะเป็นเดือนที่มีดอกไม้บานเป็นจำนวนมาก และจะไม่มีน้ำฝนปนในน้ำผึ้งเนื่องจากเป็นหน้าแล้งอย่างเพลงที่ร้องว่า "เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า" นั่นแหล่ะ เนื่องจากน้ำผึ้งแท้เป็นของหายาก จึงมีคนทำน้ำผึ้งปลอมมาหลอกขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เช่น วิธีการนำน้ำมาใส่ในปี๊บกับน้ำตาลและใส่แบะแซทำขนม ต้มเคี่ยวไฟอ่อนๆ ก็จะได้สีน้ำผึ้ง ถ้าอยากได้นำผึ้งสีดำก็ใช้ไฟแก่เคี่ยว จากนั้นอาจใช้ผลมะตูมอ่อนฝานลงไป มะตูมจะมีกลิ่นออกคล้ายน้ำผึ้ง ถ้าจะให้เหมือนจริงก็นำน้ำผึ้งแท้มาทาปากขวดแล้วนำแม่ผึ้งไปเกาะ เท่านี้ก็หลอกเงินในกระเป๋าผู้ที่พิสมัยรสชาติของน้ำผึ้งได้โดยไม่ยาก

ดังนั้น ผู้บริโภคควรสังเกตให้ดีก่อนซื้อ สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการรับประทานน้ำผึ้งสามารถพิสูจน์ได้ง่ายๆ จากการดูลักษณะ และการชิม แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็มีวิธีดูค่ะว่าน้ำผึ้งแท้ไม่แท้อย่างไร

น้ำผึ้งแท้ๆ ดูอย่างไร

-  เมื่อใช้ไม้จิ้มน้ำผึ้งขึ้นมาจะหยดไหลเป็นสายบางๆ ไม่ขาดสายและจะพบกองเป็นชั้นๆ ก่อนที่จะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
-  หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษซับจะกองเป็นหยดอยู่ระยะหนึ่ง ไม่ซึมหายไปเช่นน้ำเชื่อม
-  หยดน้ำผึ้งลงในน้ำ จะกองเป็นก้อนก่อนแล้วจึงค่อยๆ ละลาย
-  โปร่งแสง
-  มดไม่ขึ้น
-  ถ้าอุณหภูมิต่ำน้ำผึ้งจะมีผลึกน้ำตาลกลูโคสตกเป็นเกล็ดเล็กๆ
-  ถ้าหยดน้ำผึ้งลงบนสไลด์แล้วดูด้วยกล้องจุลทัศน์ จะพบละอองเกสรดอกไม้หลายๆ ชนิดเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะมีรูปร่าง ขนาด สีที่แตกต่างออกไป (พบในน้ำผึ้งธรรมชาติที่ไม่ใช่ผึ้งเลี้ยง)

วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้แบบโบราณ

-  หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษมวนยาสูบ ถ้าเป็นน้ำผึ้งจริงจะจับกันเป็นก้อนไม่ดูดซับ ถ้าเป็นน้ำผึ้งเทียมจะดูดซึมน้ำหมดทำให้จุดไฟไม่ติด
-  หยดลงในน้ำ ถ้าน้ำผึ้งแท้จะรวมกันอยู่ใต้แก้ว แต่ถ้าน้ำผึ้งเทียมน้ำจะละลายกระจายไม่รวมตัวกัน

จำไว้ง่ายๆ ว่า น้ำผึ้งที่ดีดูได้จากความใสบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งสกปรกหรือผึ้งปนอยู่ สี กลิ่น และรสจะมีลักษณะเฉพาะตามแบบของน้ำผึ้ง เช่น ข้น หนืด ไม่มีฟอง ก๊าซ หรือเกิดการแยกชั้นตกผลึก และไม่มีรสเปรี้ยวเลย ใครที่จะซื้อน้ำผึ้งก็นำเคล็ดไม่ลับนี้ไปประกอบการซื้อได้ค่ะ

Read More...


กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์




กล้วยหอม

เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม  2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง  90  นาที  ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก  (เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3  คำ)
 

ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกัน

ความเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอมเพราะว่ามัน tryptophan  ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกาย สา มารถแปลงเป็น serotoninสารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายอารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

pms (premenstrual syndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย...เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย....มัน สามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........

โรคโลหิตจาง (Anemia)ธาตุเหล็กในกล้วยหอม สา มารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิต Hemoglobin ( ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้  แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ

ความดันโลหิต (Blood Pressure)กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug inistrationอนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง



เสริมสร้างพลังสมอง ( Brain Power)

อาการท้องผูก (Constipation) เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี
เมาค้าง (Hangovers)วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย( ฮ่า.....ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย.......ต้องลองแน่ ๆ...) ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและ สารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือดและทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น......

จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)กล้วยหอมมี สารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว
อาการแพ้ท้อง Morning Sicknessถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2  คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการ  crhmhv’

บรรเทาแผลยุงกัดก่อนที่จะใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัดจะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ

ระบบประ สาท (Nerves)วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด....อ่อนล้าได้

อ้วนจากทำงานมากเกินไปที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่าความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ต และพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไปทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น  จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ประมาณทุก ๆ 2 ชม.จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก

แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล (PepticUlcers)สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้นรวมทั้งกรดต่างๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

ลดความอยากสูบบุหรี่สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาด สารนิโคติน

เห็นไหมว่ากล้วยหอมนั้นเป็นยอดผลไม้จริง ๆ เปรียบเทียบกับแอปเปิลแล้ว กล้วยหอมมีโปรตีนมากกว่า  4  เท่า  มีคาร์โบไฮเดรทมากกว่า  2  เท่า  ฟอสฟลอรัสมากกว่า  3  เท่า  วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า  5  เท่า  วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ มากกว่า 2  เท่า


ดังนั้นจากที่ฝรั่งเคยพูดกันว่า  "An apple a day keeps doctor away."  ต่อไปคงจะต้องเปลี่ยนเป็น "A banana a day keeps doctor away."  ซะแล้วมั๊ง.....

ถ้ามันไม่ใช่เป็นการเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อโปรโมท พ่อค้ากล้วยหอมแล้ว ผมว่ากล้วยหอมเนี่ยมันแจ่มจริงๆ.... ถ้าต่อไปมันแพงมากก็ไม ่ต้องกินมันหรอกครับ  (ผมว่ากล้วยน้ำว้าก็มีประโยชน์ต่อร่างกายมากนา....กินมันทั้ง 2 อย่างแหละดีที่สุด)
อ้อ...แถมท้ายอีกอย่างหนึ่งรองเท้าหนัง

ถ้าอยากขัดให้มันวาวแบบเร็ว ๆ ก็เอาเปลือกกล้วยหอมด้านในถูรองเท้าไป เสร็จแล้วเอาผ้าแห้งเช็ดขัดออก...รองเท้าจะมันแผล็บเลย
ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อนผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง ย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำเพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น...... so cool....

ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham schoolอ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น  เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื นตัวอยู่เสมอ
มี สารน้ำตาลอยู่  3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose)  รวมทั้งเส้นใยอาหาร  มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ 

Read More...


วุ้นสารพัดหน้า สวย+อร่อย..รับรองขายดี



หนึ่งในเมนูขนมที่หารับประทานง่าย  รสชาติอร่อย และเป็นที่นิยมตลอด คือ “วุ้น” ขนมหวานเนื้อนิ่ม ซึ่งปัจจุบันคนทำขายมีการกระตุ้นยอดขายด้วยการพลิกแพลงรสชาติหลากหลาย มีรูปแบบและสีสันมากมาย เช่น วุ้นสังขยา, วุ้นผลไม้ตามฤดูกาล, วุ้นเผือก, วุ้นทองหยิบ, วุ้นทองหยอด, วุ้นเม็ดขนุน, วุ้นไข่, วุ้นตาล, วุ้นอัญชัน, วุ้นกล้วยไข่เชื่อม, วุ้นลอดช่อง, วุ้นสตรอเบอรี่, วุ้นฝอยทอง ฯลฯ โดยขนมประเภทวุ้นนี้ก็ทำได้ไม่ยาก หาวัสดุอุปกรณ์ในการทำก็ง่าย ราคาไม่แพง และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนออีกหนึ่งรูปแบบ...

#####
   
รัตน์ ปั้นเพชร เป็นเจ้าของสูตรวุ้นร้อย (100) หน้า เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า เธอนั้นเป็นแม่บ้าน แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบคิดชอบทำ พอเห็นอะไรแล้วก็จะชอบนำมาดัดแปลง โดยเฉพาะขนมวุ้น เป็นขนมที่สามารถดัดแปลงรูปแบบ มีลูกเล่นให้เล่นได้มากมาย จากที่ทำรับประทานกันในครอบครัว ขยายสู่ญาติพี่น้อง รวมถึงเพื่อน ๆ ทุกคนต่างบอกว่า “ทำขายสิ” และด้วยความที่แฟนของเธอเป็นมือกลอง รายได้ไม่แน่นอน เธอจึงทำวุ้นออกขาย เพื่อหารายได้เสริมช่วยเหลือครอบครัวอีกทาง
   
“การทำอาหารหวานประเภทวุ้นไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ยาก และสิ่งที่ใหม่คือ ทำอย่างไรจะให้วุ้นออกมามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น มีความแปลก ฉีกตลาดออกไป และสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้ จากประสบการณ์ที่ขายมา วุ้นทั้งชิ้นใหญ่-ชิ้นเล็ก นับวันมีแต่จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่  อาจจะเป็นไปได้ว่าคนเริ่มเบื่อขนมประจำเทศกาลอย่างเค้กไปแล้ว จึงหันมาหาวุ้นมากขึ้น สูตรที่ทำขายนั้นปรับปรุงเอง จะเพิ่มความเค็ม ลดความหวานลง ถ้ามันแข็งไปจะทำให้วุ้นกระด้าง ก็ปรับให้อ่อนลง ทดลองจนลงตัวดีแล้วก็จดสูตรไว้เลย เสียงตอบรับก็ค่อนข้างดี”
   
สำหรับเทศกาลปีใหม่ คุณรัตน์บอกว่า รับจัดวุ้นเป็นของฝากของขวัญ ตกแต่งสวยงาม หลากหลายรูปแบบและสีสัน อยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่สะดุดตา แสดงให้เห็นถึงความเป็นวาระพิเศษ ด้วยโบ หรือริบบิ้นสีสันสดใส
   
โฉมหน้าขนมวุ้นร้อย (100) หน้า ก็มี... วุ้นครีมวานิลลา, วุ้นซ่าหริ่ม, วุ้นใบเตย, วุ้นเม็ดบัว, วุ้นฟักทอง, วุ้นเผือก, วุ้นเฮลบลูบอย, วุ้นไข่, วุ้นมะพร้าวอ่อน, วุ้นขนุน, วุ้นน้ำมะพร้าว, วุ้นแยมบลูเบอรี่, วุ้นสตรอเบอรี่สด, วุ้นผลไม้ตามฤดูกาล ทั้งลำไย ลิ้นจี่ สับปะรด น้อยหน่า เงาะ, วุ้นกะทิ, วุ้นมันเชื่อม, วุ้นกล้วยไข่เชื่อม, วุ้นสอดไส้นานาชนิด, วุ้นช็อกโกแลต, วุ้นแยมส้ม, วุ้นแยมสตรอเบอรี่, วุ้นทองหยิบ, วุ้นฝอยทอง, วุ้นทองหยอด, วุ้นชั้น, วุ้นเม็ดขนุน, วุ้นกาแฟ, วุ้นชาเขียว, วุ้นลูกเกด, วุ้นมะม่วงสุก, วุ้นกีวี, วุ้นเม็ดแมงลัก, วุ้นอัญชัน, วุ้นขนมตาล ฯลฯ 
   
นอกจากนี้ที่ร้านของคุณรัตน์ ก็ยังมีขนมมะพร้าวแก้ว และน้ำมะพร้าวน้ำหอมสด ๆ จากสวนสามพราน ไว้บริการอีกด้วย โดยขนมต่าง ๆ ที่ทำขายไม่มีการใส่สารกันบูดเด็ดขาด!!
   
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำวุ้น ส่วนใหญ่จะมีอยู่แล้วในครัวเรือน เช่น เตาแก๊ส, หม้อสเตนเลส, ทัพพี, ช้อนกาแฟ, ผ้าขาวบาง, กระติกเก็บความร้อน, ไม้จิ้มฟัน เป็นต้น ส่วนที่ต้องหาซื้อเพิ่มก็มีแบบพิมพ์รูปต่าง ๆ, ถ้วยตวงแห้ง-ตวงน้ำ, ช้อนตวง, ที่ปาดส่วนผสม, ไม้พาย, ขวดที่มีฝาบีบได้, ถ้วยหรือกระบอกแบ่งวุ้นเพื่อหยอดพิมพ์
   
ส่วนผสมหลักในการทำวุ้น ก็มี... ผงวุ้นอย่างดี (1 ซอง 50 กรัม), น้ำมะพร้าวอ่อน, น้ำตาลทราย, หัวกะทิ, เกลือ และหน้าต่าง ๆ เช่น ซ่าหริ่ม, ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, เม็ดขนุน, เม็ดบัวต้ม, เผือกต้ม เป็นต้น
   
ยกตัวอย่างขั้นตอนการทำ “วุ้นกะทิซ่าหริ่ม” ผสมผงวุ้นกับน้ำมะพร้าวอ่อนลงในหม้อ คนส่วนผสมให้เข้ากันดี ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ จนเดือด ส่วนผสมผงวุ้นละลายดีแล้ว จึงใส่น้ำตาลทราย คนให้น้ำตาลทรายละลาย กรองด้วยผ้าขาวบางเคี่ยวต่อไปโดยใช้ไฟอ่อน นำหัวกะทิสด เกลือนิดหน่อย ใส่ตามลงไป คนให้ส่วนผสมวุ้นเข้ากันดี จึงยกลง ตักซ่าหริ่มใส่พิมพ์ เทส่วนผสมวุ้นใส่จนเต็มพิมพ์ ตั้งพักไว้ให้วุ้นแข็งตัว นำวุ้นที่ทำเสร็จแล้วเข้าไปพักไว้ในตู้เย็น เมื่อต้องการจะรับประทานหรือขาย ก็แคะวุ้นออกจากพิมพ์ จัดใส่ภาชนะ
   
การทำ “วุ้นทองหยิบ-ทองหยอด-ฝอยทอง-เม็ดขนุน-เม็ดบัวต้ม-เผือกต้ม” ขั้นตอนการทำเหมือนกับวุ้นกะทิซ่าหริ่ม จะต่างกันก็ตรงที่เปลี่ยนจากซ่าหริ่มเป็นเครื่องอื่น ๆ เท่านั้น
   
สำหรับราคาขายวุ้น คือ 12 ชิ้น 50 บาท (เลือกหน้าได้ตามชอบ) ทุนวัตถุดิบตกประมาณ 60% ซึ่งคุณรัตน์จะขายตามตลาดนัดโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลราชวิถี, โรงพยาบาลผิวหนัง, โรงพยาบาลนพรัตน์, โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์, โรงพยาบาลจุฬาฯ ถ้าเป็นวันอังคารจะขายที่สนามเสือป่า ใกล้โรงพยาบาลกลาง

#####

ใครสนใจอยากมีอาชีพเสริมหรืออาชีพหลัก ด้วยการขาย “วุ้น” ก็ลองฝึกทำกันดู แต่หากคิดอยากจะทำขาย เริ่มต้นควรหาตลาดก่อนว่าจะขายยังไงตรงไหน ดูกลุ่มลูกค้าว่าชอบวุ้นแนวไหน ส่วนใครต้องการติดต่อกับคุณรัตน์ ต้องการสั่งวุ้น ซึ่งต้องสั่งล่วงหน้า 1-2 วัน ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-9888-9844  และ 08-9213-1709.

#####
เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง-ภาพ

Read More...


บานาน่าปรุงรส' ของกล้วย ๆ รวยได้


“กล้วย” ผลไม้ไทย ๆ ที่ได้รับความนิยมจากคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กไปจนถึงผู้ใหญ่ สามารถแปรรูปเป็นสินค้าต่าง ๆ ได้มากมาย อาทิ กล้วยปิ้ง กล้วยทอด กล้วยฉาบ ฯลฯ แต่วันนี้ทางทีมงาน “ช่องทางทำกิน” จะแนะนำให้รู้จักกับอีกผลิตภัณฑ์จากกล้วย ซึ่งสร้างงานสร้างรายได้ภายใต้แบรนด์ “บานาน่า” หรือกล้วยน้ำว้าปรุงรส

คุณจินตนา สะสำอางค์ วัย 42 ปี ผู้นำกลุ่มแม่บ้านสตรีพัฒนากล้วยน้ำว้าไทย ซึ่งทำ 'กล้วยปรุงรส' จำหน่าย เล่าว่า ได้แนวคิดมาจากช่วงที่กล้วยน้ำว้าล้นตลาด ในช่วงปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่เธอเองก็รู้สึกอิ่มตัวกับงานบริษัทที่ทำอยู่ เบื่อความซ้ำซากจำเจในเมือง ประกอบกับสภาพวิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตกช่วงปี 2540 ทำให้ตัดสินใจหันหลังให้กับอาชีพลูกจ้างที่คุ้นเคยมากว่า 10 ปี

'จุดเริ่มต้นประกายความคิดคือช่วงนั้นมันฝรั่งยี่ห้อหนึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก ทำให้นึกถึงกล้วยน้ำว้า ซึ่งนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังมีรสชาติที่หวานต่างจากกล้วยชนิดอื่น ประกอบกับเป็นช่วงที่ผลผลิตกล้วยน้ำว้าล้นตลาด ราคาตก เลยพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยนำกล้วยน้ำว้าไปทดลองปรุงรสต่าง ๆ ตามกระแส แล้วลองเอาไปให้เด็ก ๆ ชิมดู ก็เป็นที่ถูกอกถูกใจ จากนั้นก็ได้พัฒนาคิดสูตรรสชาติใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ'

และจุดเปลี่ยนสำคัญของธุรกิจเกิดขึ้นเมื่อห้างเทสโก้โลตัสจัดพื้นที่พิเศษเพื่อจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอทอป ทำให้สินค้าบานาน่าได้มีโอกาสไปวางจำหน่าย ซึ่งช่วยเปิดช่องทางให้กับสินค้าท้องถิ่น จนวันนี้สมาชิกกลุ่มสตรีพัฒนาฯมีรายได้คนละ 10,000 -20,000 บาท/เดือน

ปัจจุบันสินค้าของกลุ่มมี 10 รสคือ รสสาหร่าย รสบาร์บิคิว รสลาบ รสไก่ รสพิซซ่า รสช็อกโกแลต รสกุ้ง รสปาปริก้า รสมะเขือเทศ และรสชาเขียว ซึ่งทุกรสผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา ได้รับมาตรฐานสินค้าโอทอป 5 ดาวและสถาบันรับรองอาหารฮาลาล

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำกล้วยปรุงรส ก็มี...กล้วยน้ำว้าดิบแก่จัด, น้ำตาลไอซิ่ง (มีส่วนผสมของแป้งสาลี 3% ช่วยลดความชื้น), พริกไทยป่น, เกลือ และน้ำมันสำหรับทอด

ส่วนวัสดุ-อุปกรณ์ในการทำ ก็เป็นพวก... กระทะ, เตาแก๊ส, ไม้พาย, กระด้ง, เครื่องฝานกล้วย, ตะแกรง, ทัพพี, เครื่องบดไฟฟ้า, กระดาษซับน้ำมัน, กะละมัง, มีด, เขียง ฯลฯ

ขั้นตอนและวิธีการทำ ก็ไม่ยาก เครื่องปรุงก็ไม่ซับซ้อน ส่วนผสมหลัก ๆ ก็มีเครื่องเทศสมุนไพร เกลือ พริกไทยป่น น้ำตาลไอซิ่ง ถ้าต้องการรสชาติแบบไหนก็เพิ่มส่วนผสมนั้น ๆ ลงไป

ยกตัวอย่างวิธีการทำ 'กล้วยปรุงรส-รสสาหร่าย' เริ่มจากนำกล้วยที่เตรียมไว้ 6 หวีใหญ่ (เมื่อทอดออกมาแล้วจะได้น้ำหนักประมาณ 3 กก.) มาปอกเปลือก แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด วางไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นก็นำมาฝานเป็นชิ้น ๆ กะขนาดให้เท่า ๆ กัน นำลงทอดในน้ำมันที่อุณหภูมิ 100 องศา ใช้เวลาประมาณ 15 นาที สังเกตดูสีกล้วยให้เป็นสีเหลืองทอง ตักขึ้นทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน ตั้งพักไว้สักครู่

นำสาหร่ายอบแห้งที่เตรียมไว้ 150 กรัม มาฉีกเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอประมาณ แล้วบดให้ละเอียด จากนั้นก็นำมาคลุกเคล้ากับกล้วยที่ทอดเสร็จแล้ว ตามด้วยเครื่องปรุงรสคือ พริกไทยป่น เกลือป่น น้ำตาลไอซิ่ง ปริมาณตามต้องการ ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากับกล้วยทอด เพียงเท่านี้ก็จะได้กล้วยปรุงรสสาหร่ายที่อร่อยแล้ว

หรือถ้าปรุงเป็น 'กล้วยปรุงรส-รสลาบ' ก็ต้องเพิ่มข้าวคั่วบด พริกป่น มะนาวผง ผักชีลาวอบแห้งป่น ลงไป ขณะที่ 'กล้วยปรุงรส-รสบาร์บิคิว' ก็เพิ่มกระเทียมอบแห้ง หรือ 'กล้วยปรุงรส-รสปาปริก้า' ก็เพิ่มผงรสปาปริก้า 'กล้วยปรุงรส-รสพิซซ่า' เพิ่มผงรสพิซซ่า หรือ 'กล้วยปรุงรส-รสช็อกโกแลต' ใส่ผงช็อกโกแลต เป็นต้น

ความพิเศษของสินค้าคือ 'ส่วนผสมทุกอย่างต้องอบแห้งและบดให้ละเอียด ให้มีความชื้นน้อยที่สุด' เพื่อที่เวลาผสมกับกล้วยแล้วจะไม่เป็นก้อน !

สำหรับราคาขาย ขึ้นอยู่กับขนาดบรรจุ ถ้าขนาดบรรจุ 25 กรัม ราคา 3 บาท, บรรจุ 40 กรัม ราคา 5 บาท และบรรจุ 120 กรัม ราคา 20 บาท

'การทำต้องเลือกกล้วยที่แก่จัด จะมีความหวานกลมกล่อมเป็นธรรมชาติ ขนาดชิ้นก็สำคัญ จะต้องไม่บางมาก หรือหนาเกินไปจนทำให้กล้วยแข็งกระด้าง อมน้ำมัน และหัวใจสำคัญอีกอย่างก็คือ น้ำมันที่ใช้ทอดต้องใช้น้ำมันปาล์ม จะไม่หืน เพราะถ้ามีกลิ่นหืนก็จะทำให้เสียรส' คุณจินตนาเผยเคล็ดลับ

ใครสนใจอยากลองชิมกล้วยปรุงรส 'บานาน่า' ก็ลองไปหาซื้อกันดู หรืออยากศึกษาดูงานทางคุณจินตนาก็บอกว่ายินดีต้อนรับ โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มสตรีพัฒนากล้วยน้ำว้าไทย เลขที่ 22 หมู่ 3 ต.ทุ่งสมอ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี โทร. 0-3465-9078, 08-1941-5469, 08-1408-7889

อาจจะแค่ 'กล้วย' แต่บวกไอเดียดี ๆ ก็รวยได้!

คู่มือลงทุน..กล้วยน้ำว้าปรุงรส
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 40,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 60% ของราคาขาย
รายได้ 120 กรัม ราคา 20 บาท
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ร้านค้าทั่วไป, ส่งเข้าห้าง
จุดน่าสนใจ คนไทยให้ความนิยมทาน

เชาวลี ชุมขำ - ธีพร บรรจงเปลี่ยน : รายงาน
จเร รัตนราตรี : ภาพ

Read More...


กวนเชียงปลา’ ทำเงินจากคนเบื่อหมู

ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานมีข้อมูล “กวนเชียงปลา” ภูมิปัญญาชาวบ้านที่นำสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาดัดแปลงปรับปรุงให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และนำมาเป็นอาชีพเลี้ยงครอบครัวได้...

ชุมพล จั่นจำรัส เจ้าของผลิตภัณท์ “กวนเชียงปลา” ฝีมือหนุ่มนักสู้ชีวิตแห่งบางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพทำกวนเชียงปลาขายว่า เป็นคนบางน้ำเปรี้ยวโดยกำเนิด อดีตเคยเป็นเซลส์ขายไอศกรีมมาก่อน พอแต่งงานมีครอบครัวก็ออกมาค้าขายอยู่ประมาณ 2 ปี มีปัญหากัน และได้แยกกับภรรยา จากนั้นก็ได้ไปบวชที่วัดเภตา จ.ระยอง

หลังลาสิกขากลับมาอยู่บ้านกับแม่ที่แปดริ้ว นั่งคิดว่าจะทำอาชีพอะไรเลี้ยงตัวเองและแม่ที่แก่แล้ว ก็มาลงตัวที่อะไรที่เกี่ยวกับ “ปลา” “ที่นี่มีคนเลี้ยงปลากันมาก ผมชอบทานปลา น่าจะทำอะไรเกี่ยวกับปลา จำได้ว่าตอนมัธยมเคยเรียนการแปรรูปและถนอมอาหาร การทำกุนเชียงหมู ก็เลยคิดว่าเราน่าจะดัดแปลงจากเนื้อหมูมาเป็นเนื้อปลา

ก็พยายามคิดพัฒนาสูตร ลองผิดลองถูกนานพอสมควร เสียทั้งเงินเสียทั้งของไปไม่น้อย จนนึกท้อ เพราะต้องกู้เงินเอามาทำ แต่ได้กำลังใจจากแม่และคุณครู จนมีแรงฮึดสู้ต่อ คิดว่าถ้าเรามุ่งมั่น ตั้งใจจริง สักวันต้องสำเร็จ”

จากนั้นก็ได้ศึกษาค้นคว้าตำราการถนอมอาหารมาประกอบ และซื้อกวนเชียงปลาจาก จ.สิงห์บุรี มาทดลองชิม พัฒนารสชาติเฉพาะให้เป็นของตนเอง ซึ่งจะเน้นที่ปลาเป็นหลัก จะไม่มีส่วนผสมของแป้ง

และเมื่อนำไปให้ญาติพี่น้องและคนรู้จักชิมดู ทุกคนบอกว่าอร่อย ก็เริ่มทำขายทีละน้อย ๆ เป็นการลองตลาด ชุมพลบอกว่า

ทุกวันนี้ขายกวนเชียงปลาอยู่ข้าง ๆ ธนาคารกรุงไทย ก่อนทางเข้าตลาดบางน้ำเปรี้ยว เปิดตัวขายมาได้หลายเดือนแล้ว ก็มีลูกค้าพอสมควร ส่วนผสมหลักของกวนเชียงปลาก็คือ เนื้อปลา ชุมพลบอกว่าสามารถใช้ปลาน้ำจืดได้ทุกชนิด แต่ส่วนใหญ่นิยมใช้ ปลานวลจันทร์ และ ปลายี่สก ผสมกัน เพราะปลาทั้งสองชนิดเมื่อนำมาทำกวนเชียงจะให้เนื้อที่เหนียวนุ่มเนียนสวย ที่สำคัญมีราคาถูกกว่าปลาชนิดอื่น โดยสั่งแล่มาเสร็จจากตลาด

ที่ขาดไม่ได้คือ ไส้ขมหมู ที่ใช้บรรจุเนื้อปลา โดยหาซื้อได้จากตลาดทั่วไป ซึ่งต้องนำมาขูด และล้างเอาเมือกออกให้สะอาด ล้างจนหมดกลิ่นคาวเสียก่อน จากนั้นก็นำมาดองเกลือ ปัจจุบันก็มีการดองขายสำเร็จ


อุปกรณ์ที่ใช้ก็มี...
เครื่องตีปลา, เครื่องบด, กรวยกรอกสเตนเลส, เครื่องหั่น มันหมู, เครื่องนวดผสม, ถาด, เครื่องอบลมร้อน, มีด, กะละมัง, เชือกฟาง, เขียง, กระทะ, ทัพพี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ

ทั้งนี้ อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการผลิตกวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา ค่อนข้างมีราคาแพงมาก ทั้งเครื่องตีปลา, เครื่องบด และตู้อบ นุ่มนักสู้ชีวิตอย่างชุมพลจึงสร้างประกอบขึ้นมาเอง โดยอาศัยความรู้ที่เคยเรียนมาเป็นพื้นฐาน และสอบถามจากผู้ที่มีความรู้ด้านช่าง ก็เป็นการลดต้นทุนอีกทางหนึ่ง

ส่วนผสมกวนเชียงปลา ตามสูตรก็มี

  • (ใช้ปลานวลจันทร์ ปลายี่สกเทศ หรือปลากรายก็ได้) 20 กก.

  • มันหมูแข็ง 1 กก.

  • ซีอิ๊วขาวอย่างดี 2 ขวด

  • เกลือไอโอดีน 200 กรัม

  • น้ำตาลทราย 4 กก.

  • โซเดียมไบคาร์บอเนต 30 กรัม

  • เครื่องเทศ (เมล็ดผักชี, และพวกไม้หอม โป๊ยกั๊ก อบเชย ที่นำไปคั่วรวมกันจนหอมแล้วบดละเอียด เพื่อดับกลิ่นคาว) 30 กรัม

  • และรสดี 1 ซอง เพื่อเพิ่มรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น

    ชุมพลบอกว่า ในส่วนของเครื่องปรุงนั้น สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ อาศัยการชิมรสชาติ ขึ้นอยู่กับความพอใจ สูตรไม่ตายตัว แต่ควรให้มีรสหวานนำเล็กน้อย

    ขั้นตอนการทำ “กวนเชียงปลา”

  • เริ่มจาก นำเนื้อปลามาเข้าเครื่องบดจนละเอียด 2 ครั้ง

  • หั่นมันหมูแข็งให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ เอาส่วนผสมทั้งหมดมาใส่ลงในเครื่องนวดผสม คลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน นานประมาณ 30 นาที จนเนื้อปลาเหนียวเนียน

  • ระหว่างนวดต้องคอยเติมน้ำเย็นหรือน้ำผสมน้ำแข็งป่น ประมาณ 2 ถ้วยตวง จะช่วยให้เนื้อปลามีความเหนียวและเนียนเข้ากันง่ายขึ้น

  • พอได้แล้ว ก็นำไปกรอกใส่ไส้ ใช้อุปกรณ์ที่เป็นสเตนเลสรูปกรวย ส่วนปลายเป็นท่อนยาว ๆ สำหรับใส่ไส้มาติดเข้าไปแทนที่หัวบดที่ตัวเครื่องบด

  • เอาไส้ขมสอดเข้าไปในแท่งกรวยจนหมดไส้ ใช้เชือกมัดปลายไส้ แล้วเปิดเครื่องเอาเนื้อปลาที่ผสมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ใช้ทัพพีตัก ค่อย ๆ ใส่ลงไปในเครื่อง เนื้อปลาจะถูกดันออกมาตรงปลายกรวย และดันไส้ออกไปเรื่อย ๆ จนสุด

  • ใช้เชือกฟางมัดหัวมัดท้ายให้เป็นท่อน ๆ ยาวท่อนละ 6 นิ้ว จนหมด

  • จากนั้นนำไปแขวนในเครื่องอบลมร้อน ใช้อุณหภูมิประมาณ 60 องศาเซลเซียส อบนาน 8 ชั่วโมง แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้งสนิทอีก 2 วัน ก็นำมาบรรจุถุงแพ็กขายได้

    ชุมพลบอกว่า กวนเชียงปลาเมื่อผ่านการอบแห้งแล้ว น้ำหนักจะหายไปประมาณ 20-30% ตามสูตรหลังอบแห้งจะเหลือกวนเชียงปลาหนักประมาณ 15-20 กก. รสชาติกวนเชียงปลาจะอร่อยหวานเค็มมันไม่แพ้กุนเชียงต้นตำรับ

    และมีอายุการเก็บรักษาได้นานพอ ๆ กัน คือในอุณหภูมิปกติอยู่ได้นาน 7-10 วัน ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นสามารถเก็บได้นาน 2-3 เดือน

    โดยราคาขายกวนเชียงปลาก็อยู่ที่ กก.ละ 130 บาท


    ใครสนใจผลิตภัณฑ์ กวนเชียงปลา หรือกุนเชียงปลา หรือปลาเชียง ของชุมพล จั่นจำรัส หรือต้องการสั่งไปจำหน่าย ก็ติดต่อกับหนุ่มนักสู้ชีวิตรายนี้ได้ที่ โทร. 0-6121-9738

    เชาวลี ชุมขำ รายงาน จเร รัตนราตรี ภาพ

  • Read More...


    Thai Go ฟาสต์ฟู้ด อาหารไทย...ในอเมริกา

    ตามนโยบาย "ครัวไทยสู่ครัวโลก" ในส่วนของการสร้างโอกาสในการขยายตลาดนั้น ในรูปของร้านอาหารไทยในต่างแดน ที่ภาคเอกชนดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีด้วยกัน 2 แนวทาง คือ นักธุรกิจในประเทศไทย สร้าง แบรนด์ และพัฒนาจนเป็นโมเดลธุรกิจร้านอาหารไทย ที่เข้มแข็ง และขายแฟรนไชส์ไปต่างประเทศ

    และอีกแนวทางหนึ่งก็คือ ผู้ประกอบการร้านอาหารไทยที่อยู่ต่างแดน มีศักยภาพและเห็นโอกาส ในการที่รัฐบาลให้การส่งเสริมและสนับสนุน จึงใช้โอกาสนี้เพื่อการต่อยอดธุรกิจ โดยใช้พื้นฐานและศักยภาพของตัวเองที่ชำนาญพื้นที่ รู้จักตลาด รู้ช่องทางเป็นทุน ต่อยอดธุรกิจ

    "Thai Go" คือต้นแบบในแนวทางที่ 2 ที่ถูกพัฒนาและสร้างขึ้นโดยคนไทยที่เข้าไปตั้งหลักปักฐานที่อเมริกามานาน และมองเห็นลู่ทางในการทำธุรกิจร้านอาหารไทยในรูปแบบฟาสต์ฟู้ด

    ปัญญา ทิพยโสติถิ ประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและแฟรนไชส์ บริษัท ไทยฟู้ด อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ กล่าวว่า ผมต้องการสร้าง "Thai Go" ให้เป็นฟาสต์ฟู้ดร้านอาหารไทย กระจายไปทั่วประเทศอเมริกา ซึ่งมองว่ามีโอกาสทางการตลาดสูงมาก ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทได้มีการลงทุนทำมา 2-3 ปีแล้ว ปัจจุบันมีอยู่ 9 สาขา และสามารถทำรายได้และกำไรเป็นที่น่าพอใจ จึงอยากที่จะฉกฉวยโอกาสนี้ขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์

    เพราะที่อเมริกา แฟรนไชส์ร้านอาหารไทยในรูปแบบฟาสต์ฟู้ดยังไม่มีใครทำ ถ้าเริ่มก่อน โอกาสก็มาถึงเราก่อน

    "ในอเมริกา ร้านอาหารไทยส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบร้านมีที่นั่งตกแต่งในสไตล์ที่หรูหรา ซึ่งก็เป็นโอกาสที่ดีช่องทางหนึ่ง แต่ในรูปแบบของฟาสต์ฟู้ด ก็จะเป็นโอกาสที่ดีอีกช่องทางหนึ่งอีกเช่นกัน เพราะเราจะไปตั้งอยู่ในฟู้ดคอร์ตต่างๆ"

    ซึ่งรูปลักษณ์จะเป็นเคาน์เตอร์ มีพื้นที่สำหรับทำครัวอยู่ด้านหลัง รูปแบบคล้ายๆ กับฟู้ดคอร์ตในบ้านเรา จะต่างก็ตรงที่ร้านใกล้เคียงเป็นร้านที่ขายอาหารนานาชาติ อาทิ จีน อเมริกัน ฯลฯ เรียกได้ว่าค่อนข้างหลากหลาย โดยมี "Thai Go" เป็นหนึ่งในทางเลือก

    เรื่องของเมนูจะมีถึง 2 ทางเลือกไว้คอยบริการ คือ 1.อาหารจานด่วน ก็คือ ข้าวราดแกง ซึ่งจะมีอาหารให้เลือกประมาณ 8-9 อย่าง/วัน อาทิ แกงไก่ ผัดพริกขิง ไก่ทอดกระเทียมพริกไทย

    ผัดผักรวม ฯลฯ ราคาต่อจาน ถ้าเป็นกับข้าว 1 อย่าง 4.95 เหรียญ, 2 อย่าง 5.95 เหรียญ แต่ถ้า 3 อย่าง 6.50 เหรียญ

    ส่วนรูปแบบที่ 2. เมนูตามสั่ง ราคาจะแพงหน่อยประมาณ 6.50 เหรียญ และต้องรอประมาณ 5-10 นาที

    ซึ่งการเปิดให้บริการแบบนี้ ปัญญาอธิบายให้ฟังว่า ปัจจุบันเทรนด์การบริโภคของคนอเมริกันเริ่มเปลี่ยน คือนอกจากจะนิยมอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ยังชอบที่จะรับประทานอาหารที่ปรุงสดๆ จากเดิมที่นิยมอาหารแช่แข็งเข้าไมโครเวฟ

    ซึ่งจากที่ทำมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับอาหารไทยสไตล์ฟาสต์ฟู้ดมีการเติบโตที่ดี มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 500,000-600,000 เหรียญ/ปี ถ้าอยู่ในโลเกชั่นที่ดีก็อาจทะลุ 800,000- 1,000,000 เหรียญ/ปี ตามยอดขายนี้หักต้นทุนทุกอย่างเหลือเป็นกำไรก่อนหักภาษีประมาณ 10-15%

    การพัฒนาระบบฟาสต์ฟู้ดร้านอาหารไทยขึ้นมา เหมือนเป็นการเรียนลัดในด้านการลงทุนร้านอาหารไทย เพราะเรามีการย่อส่วนในการลงทุน ย่อส่วนในเรื่องของการบริหารจัดการ เรื่องบุคลากร เชฟ พนักงานเสิร์ฟ ฯลฯ ทุกส่วน

    ถ้าเราลงทุนร้านอาหารไทยในรูปแบบเป็นร้าน จะยากเพราะความใหญ่ความครบถ้วนก็จะแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นฟาสต์ฟู้ดอาหารไทย โมเดลธุรกิจที่มีระบบการบริหารจัดการที่พร้อมแล้ว ความยากก็จะลดลง รวมถึงเม็ดเงินในการลงทุนด้วย

    ซึ่งสำหรับเงินลงทุนฟาสต์ฟู้ด "THAI GO" อยู่ที่ประมาณ 250,000 เหรียญ ! คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 10 ล้านบาท

    แยกเป็นค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆ ดังนี้ ค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์ 30,000, ค่าออกแบบและใบอนุญาต 10,000, ค่าก่อสร้างปรับปรุงร้าน 100,000, ค่าวัสดุอุปกรณ์ในครัว 50,000, ค่าระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องเก็บเงิน 15,000, ค่าสินค้าคงคลัง 5,000, ค่าฝึกอบรมและโฆษณาก่อนเปิด 15,000, ค่ามัดจำการเช่าร้าน 1 เดือน 15,000 และเงินสดสำรอง 15,000 รวมเป็นเงินที่ต้องใช้ในการเปิดร้าน 250,000 เหรียญสหรัฐ นอกจากนี้แฟรนไชซีต้องจ่ายรอยัลตี้ฟี 5% ของยอดขายทุกเดือน

    ปัญญาบอกว่า จากประสบการณ์ของทีมงานที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจร้านอาหารไทยในอเมริกามานานเกือบ 20 ปี มองเห็นถึงโอกาสว่า อาหารไทยสามารถเติบโตได้อย่างดีในสหรัฐอเมริกา แต่ยอมรับว่า ทางบริษัทมีข้อจำกัดในเรื่องของเงินทุน จึงได้พัฒนาธุรกิจออกมาในรูปของแฟรนไชส์ เพื่อเปิดหาพันธมิตรที่มองเห็นโอกาสร่วมกัน

    "ซึ่งไม่ได้จำกัดแต่นักลงทุนไทย แต่เปิดกว้างรองรับนักลงทุนชาวเอเชีย ยุโรป อเมริกา ที่สนใจอยากลงทุนอาหารไทยด้วย"

    ปัญญาอธิบายต่อว่า และข้อดีสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์นั้น ก็คือ การันตีความสำเร็จ !

    ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะการทำธุรกิจแฟรนไชส์ในประเทศสหรัฐ อเมริกานั้น ต่างกับเมืองไทย เมืองไทยกฎหมาย กฎ กติกา อาจจะยังไม่เข้มงวด แต่ที่อเมริกา ทุกอย่างต้องพร้อมตรวจสอบได้ การจะทำระบบแฟรนไชส์ได้ต้องขออนุญาตก่อน ได้ใบอนุญาตถึงจะดำเนินการได้ ซึ่งกว่า "THAI GO" จะได้ใบอนุญาตก็ต้องผ่านการตรวจสอบในทุกๆ ด้านมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องระบบการบริหารจัดการ ความเป็นไปได้ของธุรกิจ เรื่องของการเงิน การบัญชี บุคลากร ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่เฟิร์ม ไม่มีทางผ่าน

    ฉะนั้นปัญหาที่จริงๆ เวลานี้ก็คือ ทุน !

    "ที่ผ่านมา การทำธุรกิจร้านอาหารไทยร้านแรก ใช้เงินยืมจากพี่ เพื่อน ญาติ เงินลงทุนก้อนแรกประมาณ 50,000 เหรียญ จากร้านแรกก็ขยายร้านที่ 2 โดยใช้กำไรในการขยายธุรกิจ มีล้มลุกคลุกคลานบ้าง ใช้เงินหมุนจากบัตรเครดิตบ้าง เงินกู้จากสถาบันการเงินในอเมริกา แต่ก็ได้ไม่มาก....หลักใหญ่จึงเป็น เงินต่อเงิน และห้ามใช้เงินผิดประเภท เงินที่ขายอาหารได้ ต้องคิดอยู่เสมอว่า ไม่ใช่เงินของเราทั้งหมด

    พอรัฐบาลไทยเปิดตัวพร้อมสนับสนุน ล่าสุด ก็เลยหันมากู้แบงก์ไทย ซึ่งล่าสุด เอสเอ็มอีแบงก์ได้อนุมัติให้กู้ประมาณ 14 ล้าน นั่นก็เพียงพอสำหรับการลงทุน ประมาณ 1 สาขา ขณะที่โอกาสในการขยายสาขายังมีมากกว่านี้

    เพราะฉะนั้นสำหรับนักลงทุนที่สนใจ ลองศึกษารายละเอียดของธุรกิจนี้ "อย่าด่วนตัดสินใจ" ให้ศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน และหากตัดสินใจแน่นอนแล้ว ตัดสินใจวันนี้ อีก 1 ปีหลังจากนั้น ถึงจะเห็นการลงทุนเป็นรูปเป็นร่างและเปิดขายได้ !

    "โดยที่เรามั่นใจว่า THAI GO น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่สนใจธุรกิจอาหารได้เป็นอย่างดี" เจ้าของแฟรนไชส์ THAI GO กล่าวพร้อมกับบอกว่า แต่ทั้งนี้ต้องบอกว่า ธุรกิจอาหารไทยเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ที่สำคัญเจ้าของเงินต้องรักในธุรกิจนี้ด้วย เพราะเป็นธุรกิจบริการ ที่ต้องอาศัยความอดทน และความเข้าใจ ในการหมั่นดูแลเอาใจใส่ เพื่อให้ได้สินค้าอาหารที่ดี มีรสชาติคงเส้นคงวา และมีรสชาติอร่อย และสุดท้ายเป็นอาชีพที่เหนื่อยและหนักพอสมควร !

    Read More...


    สารพัด ‘ขนมปี๊บ’ ‘แบ่งแพ็กขาย’ กำไรดี

    ขนมแห้งที่บรรจุปี๊บขายส่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ขนมปี๊บ” นั้น มีอยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งก็สามารถนำมาใช้ทำเป็นธุรกิจค้าขายง่าย ๆ ทำรายได้อย่างสบาย ๆ โดยรูปแบบของธุรกิจที่ไม่มีความซับซ้อนอะไรมาก...

    ดวงพร สีเมฆ ปัจจุบันยึดอาชีพ “แบ่งขนมปี๊บแพ็กขาย” ในตรา “ดวงพร” เจ้าตัวบอกว่า ทำอาชีพนี้มาได้ 4 ปีแล้ว ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้เสริมจากงานประจำได้เป็นอย่างดี

    “ทำงานประจำเกี่ยวกับโฆษณามานาน พอระยะหลัง ๆ ก็ผันตัวเองมาทำแบบฟรีแลนซ์ คือรับงานอิสระ ดังนั้นก็พอจะมีเวลาว่างมากขึ้น จึงไม่อยากรอให้รายได้วิ่งเข้ามาหา เปลี่ยนเป็นเดินเข้าหารายได้บ้าง”

    จุดเริ่มของธุรกิจเสริมตัวนี้ เริ่มจากไปช่วยเพื่อนแพ็กขนมผิงเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งลอตนั้นมีของเหลือ เพื่อนจึงบอกว่าให้เอาไปขาย จึงลองเอาไปขายตามเพื่อนแนะนำ ซึ่งปรากฏว่าขายได้ เหตุการณ์คราวนั้นก็ทำให้เข้าใจว่าสินค้า คือ ขนมผิง ซึ่งมีแหล่งวัตถุดิบจากจังหวัดสุโขทัยนั้น เป็นของดี ขายได้ “และจากความรู้จากการเรียนวิชาโฆษณามา ก็ทำให้ได้ช่องทางในการทำธุรกิจแบบย่อย ๆ”

    เมื่อเราได้สินค้ามา ต่อไปเราก็ต้องหาสถานที่เพื่อวางจำหน่าย เริ่มต้นด้วยการขับรถตระเวนตามย่านถนนติวานนท์ เข้าไปติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าในโรงอาหารของสถานที่ราชการ ซูเปอร์มาร์เกต ตามคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ ซึ่งก็มีนับสิบร้าน เข้าไปติดต่อเพื่อฝากขายขนม โดยการหาสถานที่เพื่อติดต่อขายของนั้นจะต้องหาในละแวกเดียวกัน และหาจำนวนร้านให้ได้มากในระดับหนึ่ง จะได้ไม่ต้องขับรถไกล เพราะต้องคิดถึงต้นทุนค่าน้ำมันรถด้วย

    การเข้าไปติดต่อร้านค้าเพื่อนำเสนอขนมนั้น ก็จะต้องทำการหีบห่อให้สวยงาม ด้วยการแบ่งย่อยใส่ถุง ๆ ละ 100 กรัม ขายส่งในราคาถุงละ 8 บาท โดยทางร้านค้าจะขายปลีกในราคาถุงละ 10 บาท

    ถุงที่ใช้จะใช้ถุงจีบพลาสติกใส มี 3 ขนาด คือ 5x8, 6x9 และ 7x11 ราคา กก.ละ 38 บาท ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ หรือร้านขายขนมปี๊บที่ไปซื้อสินค้ามาแบ่งขาย

    เสริมความสวยงามของถุงด้วยการตกแต่งโดยการใช้กระดาษห่อของขวัญที่หลากหลาย เพื่อไม่ให้สินค้าดูซ้ำซาก-จำเจ โดยจะต้องเลือกใช้ให้เข้ากับขนมและจะเป็นสัญ ลักษณ์ของการหมุนเวียนขนมด้วย

    ดวงพรบอกต่อไปว่า สินค้าที่เริ่มต้นวางขายคือขนมไทย ๆ ขนมผิง กล้วยอบ เผือกเส้น ซึ่งวัตถุดิบคือ อ.บ้านกง จ.สุโขทัย สั่งตรงจากร้านที่จังหวัดและ หลัง ๆ เมื่อไปวางขายตามร้านแล้ว ทางเจ้าของร้านก็บอกว่าให้เอาขนมแบบนั้นแบบนี้มาขายด้วย ซึ่งก็ต้องสนองความต้องการของลูกค้า ไปหา “ขนมปี๊บ” ชนิดต่าง ๆ มาแบ่งแพ็กขาย

    “ในละแวกบ้านมียี่ปั๊วร้านขนมปี๊บอยู่ร้านหนึ่งและเป็นร้านเดียวกับที่รับขนมจากสุโขทัยมาขายด้วย ดังนั้นเป็นอันว่าเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งของจากสุโขทัยโดยตรง ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ว่าของที่สั่งจากสุโขทัยนั้นเวลามาส่งที่กรุงเทพฯ แต่ละครั้งจะมาทีละลอตใหญ่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง ดังนั้นเมื่อซื้อที่กรุงเทพฯ ได้เราก็สามารถนำเงินที่จะมาจ่ายเป็นค่าของลอตใหญ่นั้นมาแบ่งซื้อขนมปี๊บได้อีกหลาย ๆ อย่าง สินค้าจึงหลากหลาย”

    ขนมปี๊บที่นำมาแบ่งขายนั้น ดวงพรบอกว่า ต้องชิมก่อน หมายความว่าสินค้าต้องดีและอร่อย อาทิ ขนมขาไก่ ขนมเกลียวช็อก ข้าวโพดอบกรอบ ขนมปังเวเฟอร์ ขนมปังรูปสัตว์รสช็อกโกแลต-วานิลลา ขนมพองพองช็อก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นขนมที่ขายได้ดีเมื่อนำมาแบ่งแพ็กขาย

    หลักการในการขายที่สำคัญอีกประการ เริ่มแรกจะต้องไม่ลงขนมเยอะไป เช่น แค่ร้านละ 12 ถุง เพื่อกันไม่ให้มีขนมเหลือเยอะ แต่ต้องมีหลายอย่าง ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็ไปเก็บเงิน เก็บของที่อาจมีเหลือ เจ้าของร้านก็จะบอกว่าขนมอะไรขายดี-ขายไม่ดีในพื้นที่นั้น ๆ ขนมที่ขายดีแต่ละร้านจะไม่เหมือนกัน ก็ต้องจดไว้ สำหรับส่งของครั้งต่อไป

    ปัจจุบันดวงพรยังนำ ขนมกรอบเค็ม ขนมถั่วตัด ฟักทองทอด มาเสริมเพิ่มความหลากหลายด้วย และยังฝึกทำ ก๋วยเตี๋ยวหลอด ข้าวตังหน้ากะทิ ขนมตะโก้ ซึ่งก็สามารถเสริมรายได้จากการขายของแบบนี้เพิ่มขึ้นอีก

    ทั้งนี้ ขนมปี๊บนั้นเมื่อซื้อมาปริมาณจะอยู่ที่ 5 กก.เป็นมาตรฐาน ส่วนราคานั้นเฉลี่ยอยู่ที่ 255 บาทต่อปี๊บ แล้วแต่ว่าเป็นขนมอะไร และก็มีต้นทุนค่าถุง-ค่าตกแต่งถุง ค่าขนส่งอีกส่วนหนึ่ง การแบ่งขายจึงต้องขายให้ได้กำไรใกล้ 100% คือแบ่งใส่ถุง ๆ ละ 100 กรัม ขายในราคาส่ง 8 บาท ถ้าขายหมดก็ได้ 400 บาท

    ใครสนใจขนม “ดวงพร” ก็ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2588-2350 และ 08-6985-9058 ทั้งนี้ ธุรกิจ “แบ่งขนมปี๊บแพ็กขาย” นั้นเป็นอีกรูปแบบธุรกิจค้าขายง่าย ๆ แต่เป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจทีเดียว!

    คู่มือลงทุน....แบ่งขนมปี๊บขาย
    ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาท
    ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 300 บาท/ปี๊บ
    รายได้ 400 บาท/ปี๊บขึ้นไป
    แรงงาน 1 คน
    ตลาด ฝากขายราคาส่งตามร้านค้าทั่วไป
    จุดน่าสนใจ ทำง่ายกำไรดี, เป็นอาชีพเสริมได้

    Read More...


    บ๊ะจ่างห่อร้อนๆ…เจ้าข้า

    44131 บ๊ะจ่างห่อร้อนๆ...เจ้าข้า

    บะจ่างบะจ่าง หรือ ขนมจ้าง (ภาษาอังกฤษ : Zongzi;จีน: 肉粽 ข้าวห่อไส้เนื้อ, จีนกลางออกเสียง 粽子 จ้งจึ คือข้าวห่อด้วยใบไม้)เป็นอาหารจีน ทำด้วยข้าวเหนียวใส่หมูหรือหมูแดงกับถั่วหรือเม็ดบัวและเครื่องปรุงต่างๆ ผัดแล้วห่อด้วยใบไผ่มัดเป็นทรงพีระมิดสามเหลี่ยม บางที่ก็เป็นรูปสี่เหลี่ยม ใช้เชือกมัดแล้วนึ่งให้สุก ซึ่งแต่ละท้องถิ่นก็จะทำไส้แตกต่างกันไปปกติบะจ่างจะมีการทำกันมากในเทศกาล วันไหว้ขนมจ้าง คือวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ บางคนใช้ทานเป็นขนม บางคนก็ทานเป็นอาหาร

    เครื่องปรุง บ๊ะจ่าง
    1.ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
    2.กระเทียมเจียว 1 ทัพพี
    3.เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
    4.พริกไทยป่นตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ
    5.น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
    6.ไช้โป๊วสับหยาบ 1 ทัพพี
    7.ถั่วลิสงล้างสะอาด 1 ทัพพี
    8.ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม 1 ทัพพี
    วิธีทำ
    นำข้าวเหนียวแช่น้ำ 1 ชั่วโมง จนเม็ดข้าวเหนียวนุ่มจึงรินน้ำออกให้หมด เติมน้ำมันพืชใส่กระทะพอน้ำมันร้อนเทข้าวเหนียวลงไปผัด ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไปผัดด้วย เมื่อข้าวเหนียวสุกให้ตักใส่หม้อพักไว้จนเย็น
    เครื่องปรุง ไส้บ๊ะจ่าง
    1.เผือกกวนปั้นเป็นก้อนกลมแล้วห่อด้วยเยื่อไขมันหมู
    2.กุนเชียงหั่นเป็นชิ้นพอคำ
    3.ไข่แดงเค็ม 1 ฟอง
    4.เห็ดหอมแช่น้ำแล้วนำไปผัดน้ำมันให้สุกหอม 1 ดอก
    5.แป๊ะก๊วย
    6.เกาลัดแห้งแช่น้ำให้พองนุ่ม
    7.หุ้งแห้งเนื้อหนาแช่น้ำให้นุ่มแล้วสะเด็ดน้ำจนแห้งสนิท
    8.หมูเนื้อสันนอกหั่นเป็นก้อนพอคำแล้วผัดกับพริกไทย ซีอิ๊วขาว น้ำตาล
    9.ใบไผ่จีนเอามาแช่นำให้นุ่มแล้วเช็ดด้วยผ้าให้แห้งสนิท

    วิธีทำ

    ม้วนใบไผ่ให้เป็นกรวยแล้วตักข้าวเหนียวผัดใส่ลงไป 1/2 กรวย จึงหยิบเครื่องปรุงไส้ทั้งหมดใส่ลงไป ตักข้าวเหนียวอัดข้างบนจนมิดจึงห่อใบไผ่มัดด้วยเชือกแล้วนำไปต้มน้ำเดือดจน สุก จึงยกขึ้นมาผึ่งให้เย็นกินได้ทันที


    เอื้อเฟื้อเนื้อหาข่าวอาชีพ โดย หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    dnd บ๊ะจ่างห่อร้อนๆ...เจ้าข้า

    Read More...


    การทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ลูกบัว

    iqf67a385b5829e5387ed3e7b4f548dbbc การทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ลูกบัว


    ใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์กันเข้ามาแล้วครับ ปีนี้วันเพ็ญเดือน 8 ตรงกับวันที่ 3 ตุลาคม ลูกหลายเชื้อสายจีนต่างก็เตรียมหาขนมมงคล สำหรับใช้ในเทศกาลมงคลกัน นั่นก็คือขนมไหว้พระจันทร์นั่นเองครับ
    สำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ “ขนมไหว้พระจันทร์” ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้เทพเจ้าดวงจันทร์ โดยคนจีนจะเรียกขนมไหว้พระจันทร์ว่า “ขนมเอี้ยปิ่ง” ซึ่งความหมายถึงความพรั่งพร้อม สมบูรณ์ และความสมหวัง โดยในประเทศไทยศิลปะการทำขนมเค้กจีนได้ถูกเผยแพร่โดยชาวจีนที่อพยพเข้ามากว่า 100 ปีแล้ว เดิมขนมไหว้พระจันทร์ของจีนมีส่วนประกอบ เช่น ถั่วแดง ลูกนัทจีน 5 ชนิด และ เมล็ดบัว แต่เมื่อไทยกับจีนเริ่มผสมกลมกลืนกัน เค้กจีนก็เริ่มกลิ่นและรสชาติไทย ๆ ตามไปด้วย เช่น ใช้ทุเรียน ลูกเกาลัด และลูกพลับประกอบ ส่วนเครื่องปรุงที่เพิ่มเข้ามา เช่น เมล็ดบัว ไข่แดงเค็ม และเมล็ดแตงโม

    วันนี้เอาตัวอย่างการทำขนมไหว้พระจันทร์มาให้คุณผู้อ่านเอาไปลองฝึกทำกันครับ ทำปีนี้อร่อย ปีหน้าทำขาย รวยแล้วอย่าลืมนายแก้จนละกันนะจ๊ะ

    ส่วนผสมแป้ง แป้งเค้ก                                                                           2 1/2 ถ้วย
    น้ำเชื่อม                                                                            3/4  ถ้วย + 2ช้อนโต๊ะ
    น้ำมันพืช                                                                          1/4 ถ้วย + 2ช้อนโต๊ะ
    น้ำปูนใส                                                                           1/2 ช้อนช



    ส่วนผสมน้ำเชื่อม น้ำตาลกรวด                                                                    2 1/2  ถ้วย + 2ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย                                                                     3/4ถ้วย
    น้ำ                                                                                      3ถ้วย
    น้ำมะนาว                                                                           1ลูก

    ส่วนผสมไส้ลูกบัว
    ลูกบัวกวน                                                                         1 1/2 ถ้วย
    เม็ดแตงโม                                                                         1/2 ถ้วย
    ไข่เค็ม (เฉพาะไข่แดง)                                                     3ฟอง


    วิธีทำ
    1. เตรียม น้ำเชื่อม โดยใส่ส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นน้ำมะนาว ลงในหม้อ ตั้งไฟเคี่ยวจนเกือบเป็นยางมะตูม (ประมาณ 10-15 นาที) แล้วใส่น้ำมะนาว ยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น
    2. เตรียม แป้ง ร่อนแป้ง 2 ครั้ง แล้วนำแป้งที่ร่อนแล้วมาผสมกับน้ำเชื่อม น้ำปูนใส และน้ำมันพืช หมักทิ้งไว้ 2 ช.ม.
    3. เมื่อหมักได้ที่แล้ว ค่อยๆ นวดแป้งจนส่วนผสมเนียนดี
    4. ผสมลูกบัวกวนกับเม็ดแตงโม แล้วแบ่งเป็น 3 ส่วน ปั้นเป็นก้อนกลม แล้วคลึงให้แบน ใส่ไข่แดงตรงกลาง แล้วห่อลูกบัวให้มิดไข่แดง
    5. แบ่ง แป้งมาประมาณ 1 ถ้วย ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม 3 ส่วน แล้วใช้ไม้คลึงให้เป็นแผ่นแบน ใส่ไส้ตรงกลางแผ่น แล้วหุ้มแป้งให้มิดไส้ นำไปกดลงในแท่นพิมพ์ลาย เคาะออกจากพิมพ์ ทาหน้าด้วยไข่ไก่
    6. นำไปอบที่อุณหภูมิ 400 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 16-18 นาที จนกระทั่งสุก

    ทำเสร็จแล้ว อร่อยแบบใหยมาเล่าให้ฟังด้วยนะครับ

    Read More...


    อร่อยแปลก!! ไข่ตุ๋นมะพร้าวน้ำหอม

    coconut fragrance อร่อยแปลก!! ไข่ตุ๋นมะพร้าวน้ำหอม

    วันนี้นายแก้จนมีเมนูอาหารแปลกๆ แต่ใช่ว่าจะไม่อร่อยมาให้คุณๆลองไปทำแบ่งคนในครอบครัวทานกันครับ รับรองว่าอร่อย
    ลองทำไปแบ่งแจกจ่ายคนนั้น คนนี้ดูครับ อร่อยถูกลิ้นจริง จะทำขายเป็น
    อาชีพเสริม รวยแล้วอย่าลืมนายแก้จนละกันจ๊ะ

    ไข่ตุ๋นมะพร้าวน้ำหอม
    เครื่องปรุง
    -มะพร้าวน้ำหอม 1 ลูก
    -เนื้อมะพร้าวน้ำหอมหั่นเต๋า 3/4 ถ้วยตวง
    -น้ำมะพร้าวน้ำหอม 3/4 ถ้วยตวง
    -ไข่ไก่ 4 ฟอง
    -รสดีรสไก่ 3/4 ช้อนชา
    -ต้นหอมสับ 1 ช้อนโต๊ะ


    วิธีทำ
    1.มะพร้าวน้ำหอมปอกเปลือกแล้วสับส่วนบนเปิดเป็นฝา เทน้ำมะพร้าวออกใส่ถ้วยไว้
    2.ในชามผสม ใส่ไข่ไก่ตีในชาม ใส่รสดีรสไก่ น้ำมะพร้าว เนื้อมะพร้าวหั่นเต๋า ลงไปตีให้เข้ากัน
    ใส่ต้นหอมซอย แล้วเทใส่ในลูกมะพร้าว
    3.เตาไมโครเวฟใช้ไฟกลาง เอาลูกมะพร้าวที่ มีไข่ผสมอยู่ข้างในนำเข้าเตาไมโครเวฟ ไฟกลาง ประมาณ 6 นาที

    Read More...


    ทำขนมหัวล้าน ขนมชื่อแปลก

    thai dessert01 ทำขนมหัวล้าน ขนมชื่อแปลก

    วันนี้เอาขนมหน้าแปลก แถมชื่อยังแปลกมาแนะนำกันครับ ถ้าทำแล้วอร่อย เอามาแบ่งกันทานมั่งน้า

    ขนมหัวล้าน

    ถั่วเขียวเราะเปลือก 100 กรัม
    น้ำตาล 1/2 ถ้วย
    น้ำกะทิ 5 ช้อนโต๊ะ
    เกลือ 1/8 ช้อนชา

    ตัวแป้ง
    แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
    น้ำอุ่น 1/3 ถ้วย (ค่อยๆรินใส่นะคะ ถ้าไม่พอเติมได้อีก)
    กะทิสำหรับราดขนม
    หัวกะทิ 1 ถ้วย
    น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
    เกลือ 1/8 ช้อนชา


    วิธีทำ
    ล้างถั่วเขียวเลาะเปลือกแล้วให้สะอาด แช่น้ำไว้อย่างน้อยสามชั่วโมง (แช่ค้างคืนไว้ได้) นำถั่วที่แช่แล้วไปนึ่งในลังถึงให้สุก แล้วจัดการบดถั่วให้ละเอียด นำถั่วที่บดละเอียดแล้วใส่ในหม้อ พร้อมกับกะทิและน้ำตาล เกลือกวนส่วนผสมให้เข้ากันจนเหนียวขนาดปั้นได้จึงยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น แล้วค่อยปั้นเป็นก้อนกลมเล็กเตรียมเอาไว้เป็นไส้ จากนั้นก็หันไปนวดแป้งข้าวเหนียวด้วยน้ำอุ่น นวดจนแป้งไม่ติดมือ แล้วปั้นเป็นก้อนๆเตรียมไว้ห่อไส้จัดการห่อไส้ซะให้เรียบร้อย แป้งหนาไปหน่อย จะได้ห่อง่ายๆ ห่อไส้ทุกลูกแล้ว ระหว่างที่ห่อไส้นั้นก็จะต้มน้ำรอด้วยก็ได้ค่ะ ห่อไส้เสร็จจะได้เอาขนมไปต้มในน้ำเดือด วิธีจะดูว่าขนมสุกหรือไม่นั้น ให้สังเกตว่าขนมลูกที่สุกแล้วนั้นจะลอยน้ำขึ้นมา น้ำที่ต้มใส่เยอะๆนะคะ เหมือนเราจะต้มสปาเก็ตตี้ละค่ะ เอาเป็นว่าสุกแล้วนะคะ ราดด้วยกะทิ กะทิก็เอาไปอุ่นคนให้น้ำตาลละลาย ขาดหวานขาดเค็มยังไงก็เติมเอาอีกทีนะคะชอบไม่เหมือนกันนี่นะ

    Read More...


    ไดฟูกุ แป้งสำเร็จรูป

    daifuku31 ไดฟูกุ แป้งสำเร็จรูป
    ไดฟูกุ แป้งสำเร็จรูป ส่วนผสมมีดังนี้ค่ะ
    แป้งไดฟูกุ 250 กรัม
    แบะแซเหนียวหนึบหนับ 425 กรัม
    น้ำ 150 กรัม (ปรับสูตรลดลงได้)
    เนยขาว 60 กรัม (นี่ก็ลดลงเหมือนกันค่ะ)
    แป้งเค้ก 1/2 ช้อนโต๊ะ
    ร่อนแป้งไดฟูกุและแป้งเค้กเข้าด้วยกันนำแบะแซผสมกับน้ำไปตั้งไฟให้แบะแซละลายแล้วดับไฟค่ะ คราวนี้ก็เอาน้ำเชื่อมที่ได้ค่อย ๆ หยอดลงหลุมที่ขุดไว้ทีละช้อน แล้วใช้พายคน ๆ ให้เข้ากันจนได้แบบนี้ ขนาดลดส่วนของน้ำแล้วน้ำเชื่อมยังเหลือเลยค่ะทีนี้ก็เอาสีชมพูกับกลิ่นสตรอเบอรี่ใส่ผสมลงไปค่ะ อย่าใส่เนยขาวก่อนผสมสีไม่งั้นสีจะไม่เสมอกัน เมื่อผสมสีได้สวยงามแล้วก็ใส่เนยขาวลงไปคนให้เข้ากันหันมาทำไส้ จะซื้อไส้ครีมสำเร็จมาจากร้านเบเกอรี่ก็ได้นะค่ะ แล้วก็เตรียมผลไม้ไว้ยัดไส้ด้วยค่ะ ปั้นไส้เป็นก้อน ๆ คราวนี้ก็มาปั้นแป้งกัน จับแป้งแผ่ ๆ แล้วหุ้มไส้ให้มิด แล้วนำไปคลุกแป้งก็จะออกมาสวยงามแบบนี้ค่ะ

    ไดฟูกุ ( DAIFUKU ) แบบง่ายๆ


    ส่วนผสม
    azuki beans 1 ถ้วย จะใช้ ใช้ถั่วแดงกวน ถั่วเขียวกวน ถั่วดำกวน เผือกกวน เนยถัว
    น้ำ 10 ถ้วย
    น้ำตาล 1/3 ถ้วย
    แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
    น้ำตาล 1/4 ถ้วย
    น้ำ 1 1/4 ถ้วย
    แป้งมันคั่ว 1 ถ้วย
    สีผสมอาหารสีต่างๆตามชอบ

    วิธีทำไส้
    1. แช่ถั่วในน้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาต้มให้สุก บดให้ละเอียด
    2. เทใส่หม้อเติมน้ำตาลลงไป แล้วกวนจนแห้ง รอให้เย็นแล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆพักไว้

    วิธีทำแป้ง
    1. ผสมแป้ง+น้ำตาลทรายลงในหม้อ คนเข้ากัน แล้วค่อยๆเติมน้ำลงไป คนให้แป้งละลาย (อย่าให้เหลือแป้งเป็นเม็ดๆ) หยดสีลงไป 1-2 หมด
    2. ยกขึ้นตั่งไฟอ่อนๆ กวนจนแป้งร่อนออกจากหม้อ ยกลงจากเตาพักให้เย็น
    3. โรยนวลแป้งลงบนโต๊ะ แล้วแบ่งแป้งเป็นก้อน ก้อนละเท่าๆกัน
    4. ปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ใช้แป้งมันที่คั่วแล้วเป็นนวลช่วยไม่ให้ติดมือ แผ่แป้งให้แผ่ออกใส่ไส้ตรงกลาง หุ้มไส้ให้มิด แล้วเอามาคลุกกับแป้งมันที่คั่วแล้ว และเคาะแป้งออก จัดใส่จาน

    Read More...


    สูตรเด็ด ข้าวไข่เจียวอร่อยทำเงิน

    บอกลาไข่แบนๆแฟ่บๆ ขาดรุ่งริ่ง อมน้ำมันไปได้เลย
    ไข่เจียว in a pot !!
    ต้องขอขอบคุณ Forward Mail ดี ๆ ที่ทำให้เกิดไอเดียร์นะครับ
    ใครจะรู้ อาจจะมีบางคนนำไปทำขาย เป็นอาชีพเสริมก็ได้
    นายแก้จนว่านะ ถ้าทำขายจริง ๆ ก็คงจะดีไม่ใช่น้อยครับ อาหารง่าย ๆ กับเวลาที่เราเร่งรีบกันอยู่นี้ นายแก้จนว่ามันน่าจะดีกว่าอาหาร ขยะบางอย่าที่ขายกันแพงสุดกู่ก็ได้ครับ อาจนำไปสูตรนี้ไปทำข้าวไข่เจียวขาย เป็นรายได้เสริมอีกทางก็อาจจะรวยไม่รู้เรื่องก็ได้นะครับ ข้าวไข่เจียว ของนายไข่เจียว
    “คิดได้ทำได้ ไม่มีจนครับ” พี่น้อง
    อ้ายแป้บ….ดูภาพใ หญ่ คลิก



    omelet 1 สูตรเด็ด ข้าวไข่เจียวอร่อยทำเงิน
    omelet 3 สูตรเด็ด ข้าวไข่เจียวอร่อยทำเงิน


    omelet 5 สูตรเด็ด ข้าวไข่เจียวอร่อยทำเงิน


    ทำ “ไข่เจียวธรรมดา” ให้ฟูแล้วไม่แฟ่บ แถมกรอบนอกนุ่มในแบบไม่พึ่งตัวช่วยใดๆนายแก้จนเองก็เป็นคนชอบกินไข่เจียวมาก เนื่องจากเป็นเมนูที่ทำให้อร่อยได้ง่าย ถ้ารู้จักเทคนิคเล็กๆน้อยครับ

    ซึ่งในกระทู้นี้เราจะว่ากันด้วยการทำ “ไข่เจียวธรรมดา” คือไม่ใส่เนื้อสัตว์หรือผักอะไรใดๆให้วุ่นวาย
    ให้เป็นไข่เจียวที่ “ทำง่ายมาก และ อร่อย”


    ซึ่งนายแก้จนนั้นเคยลองทำมาหมดแทบจะทุกวิธีแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

  • บีบมะนาว = ไข่ฟูตอนเจียว แล้วจะแฟ่บภายหลังจากตักขึ้นมา

  • ใส่แป้ง , ผงฟู = ไข่ฟูแล้วไม่แฟ่บ ตั้งอยู่ได้จริง แต่เนื้อไข่เจียวจะด้านไปนิด

  • น้ำมันมากๆ โรยไข่จากที่สูงแล้วคนๆตีๆในกระทะ = ไข่ฟูฟ่องเป็นสายๆ ค่อนข้างอมน้ำมันเวลากินจะ
    ไม่ค่อยได้เนื้อไข่เท่าไหร่ เพราะมันจะฟู

  • แยกไข่แดง ไข่ขาวตีให้ตั้งยอด = ฟูจริง แต่เสียเวลาทำมาก


  • มีข้อด้อยคือกำหนดรูปร่างไข่ได้ลำบากด้วย- ฯลฯ

  • จะเห็นได้ว่าเทคนิคต่างๆมีข้อดีแตกต่างกันไป แต่นายแก้จนได้พบเทคนิคหนึ่งซึ่งทำให้การทำไข่เจียวให้ฟูนุ่มแล้วไม่แฟ่บ แถมยังง่ายดายมากๆ สมกับการเป็น “ไข่เจียว” มากๆ มาดูกันครับว่ามันจะง่ายแค่ไหน กับผลที่ได้ตาม

    ภาพนี้ เทคนิคที่ว่านั้นคือการใช้ “หม้อ” ในการเจียวไข่นอกจากเราไม่ต้องกลัวรูปร่างไข่จะไม่สวยแล้ว
    เรายังสามารถทำให้มันฟูและหนาได้ตามความต้องการโดยไม่ใช่ตัวช่วย หรือสารประกอบใดๆทั้งสิ้น( ตามปกติแล้ว การใส่หมูสับ หรือใส่แป้งลงไป จะทำให้ไข่หนาขึ้นมาได้มากขึ้น


    แต่ว่าวันนี้เราต้องการเป็นเนื้อไข่ไก่ล้วนๆ)เครื่องมือ+เครื่องปรุงของนายแก้จน วันนี้มีแค่ 3-4 อย่างเท่านั้น

  • ไข่ไก่ 2 ฟอง

  • ซีอิ้วขาว

  • หม้อ + น้ำมันสำหรับทอด สิ่งที่ยังขาดไม่ได้ก็คือ “ไฟ” ต้องมีความแรงอยู่พอสมควร แต่ไม่ถึงกับต้องแรงจัด


  • คนที่ไม่มีเตาเร่งหรือเตาฟู่ ก็ยังพอทำได้ครับ นำหม้อใส่น้ำมันพืช แล้วนำไปตั้งไฟ
    พอให้เริ่มมีควันเล็กน้อย ไม่ถึงกับควันโขมงนะสำหรับหม้อขนาดนี้ ใช้ไข่ 2 ฟอง กำลังเหมาะครับถ้าใช้ 3 ฟองก็ยังพอได้อยู่ แต่มันจะฟูขึ้นมาจนเกือบล้นเวลาทอด
    เดี๋ยวคอยดูละกันเนอะ ปรุงรสด้วยซีอิ็วขาวเพียงอย่างเดียว แล้วตีเร็วๆ
    ให้เข้ากัน ตีเสร็จแล้ว อย่าวางทิ้งไว้ รีบเอาลงกระทะเลย ฟองอากาศมันจะได้ยังแฝงตัวอยู่ในเนื้อไข่ ไม่ลอยขึ้นมาจนหมดจำไว้ว่า ถ้าอยากได้ไข่ที่ฟูกรอบ
    น้ำมันจะต้องมากพอ แต่ก็ต้องไม่มากเกินไป และต้องร้อนระดับควันขึ้นฉุยๆ แต่ไม่ใช่ควันโขมง นับ 1 2 3 เมื่อเทไข่ลงไป ก็จะได้ผลอย่างที่เห็นในรูป
    มันฟูออกมาพอดีๆหม้อ เป็นไข่เจียวกลมๆหนาๆ ที่แสนน่ากิน
    กลับแล้ว 1 รอบ ทอดไปสักครู่ จนเริ่มเห็นว่าผิวด้านบนของไข่ เริ่มแห้ง
    นายแก้จนพลิกอีกครั้งหนึ่ง เพราะไข่เจียวด้านแรก มักจะสวยกว่าอีกด้านเสมอ
    เสร็จแล้วช้อนขึ้นมาโลด เอามาวางไว้บนตะแกรงเพื่อสะเด็ดน้ำมัน
    ถ้าเป็นไข่แบบบีบมะนาว รับรองแฟ่บตั้งแต่ตักขึ้นจากกระทะ
    ด้านข้าง ของเจ้าไข่เจียวทอดหม้อ ฟูแล้วไม่แฟ่บ
    การใช้หม้อทอดไข่ เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ทุกข้อเลยครับ
    ทั้งความง่ายในการทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับไข่ ที่ทุกคนเป็นห่วง
    เพราะดูแล้วหม้อมันจะคับแคบ และกลับยาก
    แต่ว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คิดครับเพราะไข่จะลอยอยู่บนน้ำมัน และไม่ได้แตะก้นหม้อแต่อย่างใด
    ดังนั้นการกลับก็แค่ใช้ตะหลิว หรือแม้กระทั้งช้อนกินข้าวนี่ล่ะ
    ตลบมันกลับอีกด้าน ไม่ต้องกลัวมันแตกหรือขาดอย่างเวลาใช้กระทะทอดด้วยครับ
    คือทำอย่างไรมันก็จะเป็นรูปกลมๆหนาๆ น่ากินเช่นนี้เสมอๆ นอกจากจะฟูแล้วไม่แฟ่บ
    มันยังมีเนื้อไข่สีเหลืองๆนุ่มๆให้เราได้สัมผัสด้านในด้วยไม่ใช่ว่าฟูกรอบจนไม่เหลือเนื้อไข่นะ
    แบบนี้สิ ไข่เจียวในฝันเลยยย เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมม
    วันนั้น
    นายแก้จนทอดไข่มากินกับข้าวอบหมูแดดเดียว แบ่งมาโปะข้าวแบบนี้เลย กินคู่กัน อร่อยไปอีกแบบ ที่จริงกินกับข้าวสวยร้อนๆแค่นั้นก็เด็ดขาดแล้ว เป็นไข่เจียวที่ทำง่าย อร่อยง่าย และพลาดยากมากๆ ขอเพียงมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมและใกล้เคียง ส่วนเทคนิคในการทำนั้น แทบไม่มีอะไรเลยครับ เป็นไข่เจียวที่ทอดทีไร ก็ออกมาเหมือนกันทุกครั้ง แบบไม่ต้องลุ้นเลย เนื้อไข่ฟูด้านนอก นุ่มนิ่มด้านใน ไม่อมน้ำมันด้วยน้า

    ขอบคุณ Forward Mail ดี ๆ ภาพและบทความโดย : calamity

    Read More...


    ซาลาเปาลูกท้อ ยังขายได้ รายได้ไม่ชวนท้อ

    ซาลาเปาลูกท้อ ไส้ฟัก ไส้ถั่วเหลือง ไส้ถั่วดำ มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ รูปร่างหน้าตา แปลกใหม่ ที่น่ากิน แถมยัง ขายดี ขายได้ตลอดปีอีกด้วย

    ซาลาเปาลูกท้อ


    จุดเด่นของ ซาลาเปา คือเป็นได้ทั้งของว่าง ขนม ของกินเล่น จนมีคนนิยมชมชอบมากมาย จึงไม่แปลกที่อาชีพทำซาลาเปาขายเป็นอาชีพที่ไม่เคยตกยุคตกสมัย ไม่ว่าจะเป็นซาลาเปาที่มีไส้ หรือไม่มีไส้ เช่นเดียวกับขนมเปี๊ยะ ที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์หน้าตาและไส้ จนแปลกใหม่ ร่วมยุคร่วมสมัยและน่ารับประทานมากขึ้น แต่ที่ทีม ช่องทางทำกิน จะนำมาเสนอวันนี้คือ ซาลาเปาลูกท้อ ซึ่งรูปแบบธรรมดา ๆ แต่ขายได้เรื่อย ๆ ขายได้ตลอด และจะขายดีมากในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ชนิดที่ทำขายกันแทบไม่ทันเลย


    พรทิพา วิรุฬห์ชาตะพันธุ์ เจ้าของร้านเฮงกี่ ซาลาเปา ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม ทำซาลาเปา และขนมเปี๊ยะขาย เจ้าตัวเล่าว่า เปิดร้านขายขนมเปี๊ยะและซาลาเปาเกือบ 80 ปีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันเจ้าของร้านเป็นรุ่นที่ 3 และรุ่นที่ 4 แล้ว แต่ครอบครัวก็ยังยึดอาชีพนี้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน


    ซาลาเปาลูกท้อ เป็นซาลาเปาที่ทำกันมาแต่ดั้งเดิม และก็ยังทำขายในปัจจุบัน ขายได้เรื่อย ๆ และขายดิบขายดีในช่วงเทศกาลกินเจ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากมากมายในการทำ เพียงแต่ต้องมีคุณภาพ และตั้งราคาให้สมน้ำสมเนื้อ อร่อยคุ้มราคา ซึ่งซาลาเปานี่ใคร ๆ ก็ทำขายได้ เพียงแต่เสน่ห์ของทางร้านคือ ขายมานาน มีคนรู้จักเยอะแยะมากมาย ซึ่งก็ต้องรักษาชื่อเสียงเอาไว้


    ซาลาเปาลูกท้อ
    อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ คือ อุปกรณ์เบเกอรี่-ซาลาเปา อาทิ เตาแก๊ส หม้อ กะละมัง เครื่องตีแป้ง (ถ้ามี) โต๊ะนวดแป้ง ไม้นวดแป้ง ฯลฯ

    สูตรซาลาเปาลูกท้อ

    ที่ใช้แป้ง 1 กก. ส่วนผสมต่าง ๆ ประกอบด้วย แป้งสาลีสำหรับทำซาลาเปา 1 กก. และยีสต์ 1 กรัม, น้ำตาล 150 กรัม, ไข่ไก่ 1 ฟอง, เนยเล็กน้อย และน้ำเปล่า 500 กรัม

    วิธีทำซาลาเปาลูกท้อ

    ร่อนแป้งและยีสต์ให้เข้ากันบน โต๊ะนวดแป้ง จากนั้นเกลี่ยแป้งเป็นวงกลม โดยเว้นพื้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ เทน้ำ น้ำตาล ตอกไข่ และเนย ไว้ตรงกลาง ให้ละลายน้ำตาล น้ำ เนย และไข่ไก่ ให้เข้ากันเอาไว้ โดยใช้มือ ซึ่งวิธีนี้เป็นการทำแป้งบนพื้นไม้ จากนั้นค่อยนำแป้งลงไปนวดผสม ค่อย ๆ นวดไปเรื่อย ๆ จนกว่าแป้งจะเข้ากันได้ดี แล้วให้พักแป้งไว้ 1-1.5 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งฟูขึ้นมา ซึ่งแป้งที่นวดแล้วจะมีสีออกเหลืองนวล ๆ


    จากนั้นนำแป้งไปรีดให้ขาวเนียน ซึ่งจะใช้เครื่องรีดแป้ง หรือใช้ไม้นวดแป้งก็ได้ รีดไปมาจนกระทั่งแป้งขาวนวล จึงเข้าสู่ขั้นตอนปั้นซาลาเปา ซึ่งต้องทำไส้ไว้ก่อน จะมี 3 ไส้คือ ไส้ฟักเชื่อม ไส้ถั่วเหลือง และไส้ถั่วดำ


    วิธีทำไส้นั้น ไส้ฟักเชื่อมใช้ฟักเชื่อมสำเร็จ 1 กก. โม่ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือจะหั่นก็ได้ จากนั้นนำไปเคี่ยวผสมกับน้ำตาลทรายและแป้งโก๋อย่างละ 500 กรัม และงาขาวคั่วอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ละ 20 กรัม


    ไส้ถั่วเหลือง ใช้ถั่วเขียวซีก 1 กก. แช่น้ำไว้ประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง จากนั้นนำไปบดให้ละเอียด แล้วกวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. และน้ำมันพืชพอประมาณ กวนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ละ 20 กรัม


    ไส้ถั่วดำ ใช้ถั่วดำ 1 กก. นำไปต้มให้สุก จากนั้นกวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. และน้ำมันพืชเล็กน้อย ปั้นเป็นก้อน ๆ 20 กรัม พักไว้


    เตรียมไส้พร้อม เตรียมแป้งพร้อม ก็นำแป้งที่รีดเสร็จแล้วมาเริ่มขั้นตอนการปั้นซาลาเปา ใช้แป้งสาลีแห้งโรยบนแป้ง เพื่อไม่ให้แป้งติดมือและติดโต๊ะ จากนั้นตัดแป้งออกเป็นเส้น ๆ แล้วหั่นเป็นก้อน ๆ ละ 25 กรัม


    แบะก้อนแป้งออก ใส่ไส้ที่ต้องการลงตรงกลาง แล้วหุ้มแป้งปิด โดยทำให้แป้งด้านบนเป็นยอดแหลม ๆ ซึ่งจะคล้ายกับท้อ หากเป็นซาลาเปาเฉย ๆ ไม่ต้องทำยอดแหลม เสร็จแล้วนำไปนึ่งให้สุก ใช้ไฟแรง นึ่งนาน 15 นาที ซึ่งแป้งซาลาเปา 1 กก. จะทำซาลาเปาได้กว่า 30 ลูก โดยซาลาเปา 100 ลูก จะใช้แป้งประมาณ 2.5 กก.


    ซาลาเปาลูกท้อ
    ซาลาเปารูปแบบนี้ ขายได้ในราคาลูกละ 4-5 บาท โดยต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบต่อลูกอยู่ที่ประมาณ 2 บาทกว่า ๆ ซึ่งจำเป็นต้องทำขายให้ได้ในปริมาณมาก ๆ จึงจะได้กำไรคุ้มกับการลงทุนลงแรง


    ซาลาเปาลูกท้อ ดังกล่าวนี้สามารถที่จะทำขายได้ทั่วไป และอาจจะติดต่อขายส่งร้านขายอาหารมังสวิรัติซึ่งก็เป็นอีกช่องทางการขาย ยิ่งเข้าเทศกาลถือศีลกินเจประจำปีด้วยแล้ว จะยิ่งขายดี


    ร้านของพรทิพา นอกจาก ซาลาเปาลูกท้อ แล้ว ก็ยังมีขนมเปี๊ยะ มีทั้งขนมเปี๊ยะโบราณ ขนมเปี๊ยะประยุกต์ เพิ่มสีสัน เพิ่มไส้แปลก ๆ ใหม่ ๆ อาทิ ขนมเปี๊ยะไส้พุทราจีน, ขนมเปี๊ยะไส้เผือก, ขนมเปี๊ยะไส้มะตูม ฯลฯ รวมถึงยังมีขนมโก๋ขายด้วย ใครสนใจก็ลองแวะไปชิมกันที่ตลาดน้ำอัมพวา จ.สมุทรสงคราม เปิดขายทุกวันตั้งแต่ 08.00 น. เป็นต้นไป หมายเลขโทรศัพท์คือ โทร 034-75-1262


    ที่มา : เดลินิวส์

    Read More...


    ทำวุ้นขายรายได้ดี



    วุ้นขายรายได้ดี

    วุ้น เป็นขนมที่ มีรสชาติหวานอร่อย ทำง่าย ราคาไม่แพง มีมากมายหลายแบบเราสามารถทำวุ้นเพื่อเป็นอาชีพสร้างรายได้เสริมหาเงินเข้า กระเป๋าได้ง่ายๆ วันนี้ มีสูตรการทำวุ้นมาฝาก หลายสูตร
    ลองศึกษาและทดลองทำกินกันดูได้ เมื่อรสชาติอร่อยเข้าที่เข้าทางแล้วก้ทำขายได้สบายๆ

    เคล็ดลับการทำวุ้นสารพัดแบบ
    สิ่ง ที่สำคัญในการทำวุ้น คือวัตถุดิบ ผู้ทำควรเลือกยี่ห้อวุ้นที่จะนำมาใช้ เพราะวุ้นแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติทางเคมีในการดูดน้ำ ความยืดหยุ่นของเนื้อผิวสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน ผู้บริโภคจะสามารถแยกแยะออก เมื่อตอนรับประทาน จะอร่อยหรือไม่อร่อย วัตถุดิบมีส่วนสำคัญ
    ผู้ผลิตควรคำนึงถึงการบรรจุหีบห่อ เพื่อให้วุ้นดูน่ารับประทาน และเป็นที่สะดุดตา
    การ เริ่มต้นหัดทำ การคิดจะทำวุ้นขาย ต้องมองตลาด ดูว่ากลุ่มลูกค้าว่าชอบวุ้นแบบไหน เช่น อาจจะจะชอบวุ้นสี วุ้นกระทิ วุ้นมะพร้าว ช่วงที่จะขายวุ้นได้ดีที่สุดคือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ หรือช่วงเทศกาล เหมาะจะเป็นของฝาก
    *** เคล็ดลับการทำวุ้น วุ้นควรเก็บแช่ในตู้เย็นตลอดเวลา ควรบริโภคหรือขายภายใน 1 สัปดาห์ สำหรับกะทิ ควรเป็นกะทิที่คั้นจากมะพร้าวสดๆเท่านั้นจะหอมมันอร่อยกว่า

    การทำวุ้นเยลลี่
    ส่วนผสม
    น้ำสะอาด 3 ถ้วย
    ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทรายทดลองเพิ่มจนหวานพอใจ

    ส่วนผสม ของหน้ากะทิ
    กะทิ 3 ถ้วย
    ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย ตามความชอบ
    เกลือ นิดหน่อย
    วิธีทำตัววุ้น
    1.ใส่น้ำลงไปในหม้อ เทผงวุ้นลงไปคนจนละลายเข้ากัน จากนั้นนำไปตั้งไฟ คนไปเรื่อยๆอย่าหยุด
    2.พอเดือดเติมน้ำตาลทรายลงไปคนจนน้ำตาลละลาย รอจนให้เดือดอีกครั้ง ยกออกจากเตา
    3. ให้เทใส่ถาด หรือแบบพิม ที่เราจะทำแบบของวุ้น

    การทำหน้ากะทิของวุ้น
    1.ใส่กะทิไปในหม้อใส่ผงวุ้นแล้วคนให้เข้ากันก่อน จากนั้นยกขึ้นตั้งไฟ คนไปเรื่อยๆ
    2.เมื่อกะทิเริ่มเดือด เติมน้ำตาลทราย,เกลือ คนละลาย พอน้ำตาลและเกลือละลายยกลงมา
    3.ก็ นำหน้ากะทิ มาเทลงบนตัววุ้นที่เราทำทิ้งไว้ และจับตัวเป็นวุ้นแล้วดูแค่ประมาณจับตัวเป็นก้อนก้ใช้ได้ ไม่ต้องรอจนแข็งเป็นวุ้นก็เทได้ เพราะถ้าแข็งแล้ว เรานำกะทิมาเทลงไปจะไม่ติดกัน ต้องระวังให้มาก
    4.เมื่อเทหน้ากะทิแล้ว ก็รอให้เย็น แล้วนำวุ้นกะทิที่ได้เข้าแช่ในตู้เย็นได้เลย

    ทำวุ้นไข่
    ส่วนผสม
    วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำ 2 1/2 ถ้วย
    น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
    ไข่ไก่ 1 ฟอง
    สีผสมอาหารสีเหลืองไข่
    กลิ่นมะลิ

    วิธีทำ
    1.ใส่วุ้นในน้ำคนๆ พอวุ้นดูดน้ำ ยกหม้อไปตั้งไฟเคี่ยว เติมน้ำตาล เติมกลิ่นมะลิและใส่สีผสมอาหาร เพื่อกลบกลิ่นไข่
    2.นำไข่ไก่มา 1 ฟอง ตีพอเข้ากัน แต่ไม่ถึงกับฟู เมื่อเคี่ยววุ้นจนเดือดแล้ว ให้เทไข่ให้กระจายจนทั่ว เคี่ยวต่อจนไข่สุก
    ต้องระวังถ้าวุ้นไม่เดือด ระวังไข่จะคาว และเวลาโรยไข่ ให้ยกไข่สูงๆ
    3.เมื่อไข่สุกก็ยกมาเทลงพิมพ์ รอให้วุ้นจับตัว เสร็จแล้วนำไปแช่เย็น รอขาย

    วุ้นมะพร้าว
    ส่วนผสม
    1. ผงวุ้นตรานางเงือก 15 กรัม
    2. น้ำมะพร้าวอ่อน 5 ถ้วยตวง
    3. น้ำตาลทราย 300 กรัม
    4. เนื้อมะพร้าวอ่อนจากลูกที่ผ่าเอาน้ำ

    วิธีทำ
    1. ผ่ามะพร้าวอ่อนเทเอาน้ำมะพร้าว กรองผ่านกระชอนเพื่อให้ได้น้ำที่สะอาดไม่มีฝุ่น ตวงน้ำมะพร้าว 5 ถ้วยตวง
    2. จากนั้นขูดเนื้อมะพร้าวอ่อน ให้เป็นเส้นบางๆ แล้วนำเนื้อมะพร้าวมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
    3. ผสมวุ้นในน้ำมะพร้าวอ่อน แล้วคนๆให้ละลาย นำไปใส่หม้อตั้งไฟปานกลางคนส่วนผสมไปเรื่อยๆจนเดือด จากนั้นเติมน้ำตาลทรายพอน้ำตาลละลาย ลองชิมดูถ้าไม่หวานค่อยเติมน้ำตาลเพิ่มอีกก็ได้
    4. ใส่เนื้อมะพร้าวลงไป ต้มต่อสักพัก คนส่วนผสมไปเรื่อย จากนั้นปิดไฟ คนส่วนผสมต่อให้คลายร้อนสักพัก 5. เตรียมพิมพ์ถ้วยปรมาณ 80-100 ถ้วย นำวุ้นที่เริ่มเย็นลง ไปหยอดใส่พิมพ์ จากนั้นปล่อยให้วุ้นแข็งตัว เก็บใส่ภาชนะปิดฝา แช่ตู้เย็น

    วุ้นกะทิ
    ส่วนผสมตัววุ้น
    วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
    น้ำใบเตยคั้น 1/2 ถ้วย
    น้ำสะอาด 2 1/2 ถ้วย

    วิธีทำตัววุ้น
    1.ใส่น้ำวุ้นลงในหม้อ คนให้ละลาย ตั้งไฟปานกลาง เมื่อวุ้นละลายใส่น้ำตาล ใส่น้ำใบเตยคนให้ทั่ว ยกลงรอสักครู่
    ส่วนผสมหน้ากะทิ
    วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
    หัวกะทิ 2 ถ้วย
    เกลือป่น 1 ช้อนชา
    ใบเตยหั่นท่อน 3-4 นิ้ว 5 ใบ
    น้ำสะอาด 1 ถ้วย

    วิธีทำหน้ากะทิ
    1.ใส่น้ำวุ้น ลงในหม้อคนๆ ตั้งไฟปานกลาง พอเดือดใส่น้ำตาล หัวกะทิ เกลือ ใบเตย คนไปเรื่อยๆ พอเริ่มเดือด ยกลงตักใบเตยออก
    2.หยอดหน้ากะทิใส่พิมพ์ก่อน จากนั้นจึงหยอดวุ้นใบเตยตาม

    วุ้นกรอบ
    ส่วนผสม
    ผงวุ้น 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
    แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วย
    น้ำตาลทรายขาว 2 ถ้วย

    วิธีทำ
    1. นำวุ้นกับน้ำใส่หม้อ ตั้งไฟกลางคนให้วุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทรายขาว คนต่อไปให้น้ำตาลละลาย
    2. เคี่ยวต่อให้เหนียวนิดหน่อย นำแป้งเท้ายายม่อมละลายน้ำเทส่วนผสมให้เข้ากับวุ้นที่เคี่ยวไว้ การใส่แป้งเท้ายายม่อมเพราะทำให้เนื้อวุ้นไม่แข็งกระด้าง
    3. เทวุ้นลงในถาด หนาประมาณ 1/2 นิ้ว ทิ้งไว้ให้แข็งตัว ตัดด้วยพิมพ์รูปต่างๆหรือตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้วยมีดตัดวุ้น
    4. นำวุ้นที่ได้ไปตากแดดจัดๆประมาณ 2-3 วัน จนแห้งสนิท เก็บใส่ภาชนะรอขาย

    วุ้นตะไคร้ลอยแก้ว
    ส่วนผสม
    น้ำตะไคร้ต้มจนมีกลิ่นหอม 650 ซีซี
    น้ำตาลทราย 100 กรัม
    ผงวุ้นสำหรับทำขนม 1 ช้อนโต๊ะ
    เกลือป่น 1/8 ช้อนชา
    น้ำเชื่อม 200 ซีซี
    น้ำแข็งบดตามชอบ
    ตะไคร้
    ใบสะระแหน่
    เชอร์รี่แดงสำหรับแต่งหน้า

    วิธีการทำ
    1.ผสมทุกอย่างใส่หม้อใช้ไฟปานกลาง ต้มจนเดือด
    2.เทใส่พิมพ์ พักไว้จนวุ้นทรงตัวดี แช่เย็นจนถึงเวลารับประทาน

    วิธีรับประทาน
    ขูดวุ้นเป็นเส้นตักใส่ภาชนะ เติมน้ำเชื่อม น้ำแข็งบด แต่งด้วย ตะไคร้ เชอร์รี่แดง ใบสะระแหน่

    วุ้นกะทิใบเตย
    ส่วนผสม
    วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ
    หัวกะทิ 2 ถ้วย
    เกลือป่น1/2 ช้อนชา
    น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
    น้ำตาลทรายทำตัววุ้น1 ถ้วย
    ใบเตยหั่นท่อนยาว 3 นิ้ว5 ใบ
    น้ำใบเตยข้นๆ1/2 ถ้วย
    น้ำ 3 1/2 ถ้วย

    วิธีทำ
    1. ทำหน้ากะทิก่อน โดยการเคี่ยวน้ำ 1 ถ้วยกับวุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ พอเดือดและวุ้นละลาย ใส่น้ำตาล กะทิ เกลือและใบเตย รอให้เดือดอีกครั้ง ตักใบเตยออก
    2. ลดไฟอ่อนสุด ตักหน้ากะทิหยอดใส่พิมพ์ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้พอหน้ากะทิอุ่นๆและตึง
    3. ขณะที่ทำหน้ากะทิ ก็ทำตัววุ้นไปพร้อมๆกัน โดยใส่น้ำและวุ้นผงที่เหลือลงในกระทะทองเหลือง ตั้งไฟกลางปานกลาง ใส่น้ำตาล คนให้น้ำตาลละลาย ใส่น้ำใบเตย คนให้ทั่ว
    4. ลดไฟอ่อนที่สุด ตักตัววุ้น 2 ช้อนโต๊ะ หยอดทับหน้ากะทิ หยอดสลับกับหน้ากะทิจนเต็มพิมพ์ ทิ้งไว้ให้เย็น แคะออกจากพิมพ์ ใส่ภาชนะ รอขาย


    ***** การทำวุ้นแบบให้เป็นหลายๆชั้น
    ถ้า เราต้องการทำวุ้นแบบหลายๆ ชั้นก็ให้ทำดังนี้ เมื่อเทชั้นหนึ่งแล้ว ต้องรอให้ชั้นนั้นอยู่ตัวก่อน แล้วค่อยเทอีกชั้นหนึ่งลงไป อาจจะใช้วิธี หัดหยอดวุ้นกะทิให้ชำนาญก่อน คือ หยอดวุ้นชั้นหนึ่ง หยอดกะทิชั้นหนึ่ง
    จน ชำนาญดีแล้วจึงค่อยทำแบบที่เป็นวุ้นสี สลับชั้นกัน ถ้าเทวุ้นซ้อน 2 ชั้น แล้วสีซึมผสมกัน แสดงว่าวุ้นในแต่ละชั้นยังไม่อยู่ตัว หรือเทแล้ววุ้นแต่ละชั้นไม่ติดกัน แสดงว่าวุ้นแห้งเกินไป
    เมื่อทำเสร็จ ต้องรีบนำวุ้นเข้าตู้เย็นเพื่อไม่ให้วุ้นคืนตัว

    เคล็ดลับ
    1. วิธีการต้มวุ้นให้ใส เป็นเงา ตั้งวุ้นให้ละลายก่อนจึงใส่น้ำตาล เมื่อเดือดยกลง และเมื่อใส่น้ำตาลแล้วไม่ควรเคี่ยวนาน เพราะวุ้นจะข้นไม่ใส
    2. อาจจะผสมสีต่าง ๆ ในส่วนผสมหน้ากะทิก็ได้ตามความต้องการ

    วิธี การทำวุ้นนั้นก็ง่ายๆทดลองทำกันดูเพื่อให้เกิดความชำนาญ จนมีรสชาติอร่อย ถุกปากคนกินและสามารถนำไปขายสร้างรายได้ให้เราอีกทางหนึ่ง เป็นกำลังใจสำหรับคนทำมาหากิน ทุกๆคน

    Read More...




    ----------------

    ปรับปรุง
    รายการบทความทั้งหมด



    การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



    ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



    รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



    รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



    ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





    MASK รุ่นสายคล้องคอ







    MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
    ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
    3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
    เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
    บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
    ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
    มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
    หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
    มีเรทราคาส่งค่ะ

    -> id line : noeyhorm_06
    #มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


    ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
    ● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
    ● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
    ● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
    ● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































    เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
    ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

    --------------------------------------------------------------------------------------------
    แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
    อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
     
    Option

    รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.