สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

Black Forest Cake อาชีพเสริม ทำเงิน

Black Forest Cake







าแล้วจ้าเค้กยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดในประเทศเยอรมนี ถึงหน้าตามันจะดูไม่ค่อยเหมือน Black Forest Cake สักเท่าไหร่^^ แต่ขอบอกว่ารสชาดอร่อยมาก เค้กนุ่ม แถมทำไม่ยากอีกคะ สูตรนี้ก็มาจาก Cook Book เล่มโปรดอีกแล้ว (ขอยกให้เป็นเล่มโปรดจิง ๆ เพราะทำแล้วไม่ผิดหวัง) Cook Book เล่มนี้เป็นเล่มเดียวกับที่ลงสูตร Very Chocolate Brownies คือ Cook Book ของคุณ วราภา (สัตยบุตร) ปองเงิน แต่เค้กสูตรนี้ ส้มตัดแปลงนิดหน่อยคะ ตรงที่เอาสตอเบอรี่ สดใส่ลงไปด้วย ส้มจะขอแยกการทำเป็น 4 ส่วนนะจ๊ะ เพื่อน ๆ จะได้เข้าใจง่าย ถ้าไงลองทำดูนะค่ะ




















black forest cake

ส่วนที่ 1 ตัวเค้ก วันนี้ทำสปันจ์เค้กรสช็อกโกแลต (ไม่ยากคะ)
ส่วนผสม
1. แป้งเค้ก 60 กรัม
2. แป้งข้าวโพด 10 กรัม
3. ผงฟู ½ ชช.
4. กลิ่นวนิลา ½ ชช.
5. เกลือป่น 1/8 ชช.
6. น้ำตาลทราย 50 กรัม
7. ไข่ไก่เย็นจัด 2 ฟอง
8. โอวาเล็ตหรือ sp 15 กรัม
9. น้ำเย็นจัด 1 ชต.
10. ผงโกโก้ 15 กรัม
11. เนยสดละลาย 30 กรัม
12. นมข้นจืด 1 ช้อนโต๊ะ

ลงมือลุย1. เตรียมพิมพ์กลมขนาด 2 ปอด์นหรือ 8 นิ้ว รองกระดาษไขทั้งด้านล่างและด้านข้างคะ (ส้มใช้พิมพ์เข็มขัด 8 นิ้ว ถ้าใครไม่มีใช้พิมพ์ธรรมดาก็ได้คะ) ไม่ต้องทาไขมันนะค่ะ จากนั้นให้วอล์มเตาอบเลยที่ 180 องศาเซลเซียส (ขั้นตอนนี้ไม่มีรูปให้ดูเพราะคิดว่าเพื่อน ๆ คงทราบกันแล้ว แต่ถ้าใครนึกไม่ออกให้เปิดสูตรเค้กต่าง ๆ ที่มีในเว็ปดูจะมีวิธีเตรียมพิมพ์ไว้ให้ดูคะ^^) จากนั้นนำชามหรือโถตีที่จะตีวิปปิ้งครีมแช่ในตู้เย็นไว้ก่อนเลยคะ เพราะเดี๋ยวต้องใช้
black forest cake
2. ร่อนแป้งเค้ก แป้งข้าวโพด ผงฟู เข้าด้วยกันคะ ทำหลุมตรงกลางด้วยนะจ๊ะ
black forest cake black forest cake

3. เติมน้ำตาลทราย เกลือป่น จากนั้นคนให้เข้ากันด้วยพายยาง
black forest cake black forest cake

4. เติมไข่ไก่ลงไป คนให้เข้ากันอย่าให้แป้งฟุ้งนะจ๊ะ^^
black forest cake black forest cake
5. จะได้แบบนี้นะจ๊ะ พักไว้ก่อน จากนั้น ละลายเนยกับผงโกโก้เข้าด้วยกัน คนให้ส่วนผสมเนียน ไม่เป็นเม็ด พักไว้
black forest cake black forest cake

6. นำแป้งเค้กที่ได้ใส่ sp ลงไป ใช้หัวตีตะกร้อตีด้วยความเร็วต่ำให้เข้ากันประมาณ 1 นาที จากนั้นเพิ่มความเร็วสูงสุด ตีต่อ 2 นาที แล้วปาดอ่างคะ (ปาดอ่างก็คือการเอาพายยาง คนให้ทั่วชามอ่างเพื่อให้ส่วนผสมด้านล่างและด้านข้างเข้ากันดีคะ^^)
black forest cake black forest cake
7. จากนั้นเติมน้ำเย็นจัดลงไป ตีต่อ 3 นาที (ความเร็วสูง) จนส่วนผสมข้นเป็นครีม ปาดอ่าง ลดความเร็วลงต่ำสุดตีต่ออีก 3 นาที เพื่อให้เนื้อเค้กเนียน
black forest cake
8. เทส่วนผสมของเนยกับผงโกโก้ที่ละลายไว้แล้วลงไป
black forest cake

9. จากนั้นเติมนมข้นจืด (นมข้นจืดส้มผสมกลิ่นวนิลาลงไปเลยคะ^^)
black forest cake
10. ตีด้วยความเร็วต่ำให้เข้ากัน (ไม่เกิน 1 นาทีจ๊ะ) ปิดเครื่องเลย
black forest cake black forest cake
11. ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากันกับตัวผงโกโก้นะคะ (ทำเบา ๆ เร็ว ๆ และทั่ว ๆ ) จากนั้นเทใส่พิมพ์ได้เลยจ้า ^^
black forest cake black forest cake

12. อบไฟ 180 องศาเซลเซียส ส้มอบไฟล่างอย่างเดียวคะ ประมาณ 25 นาที และต่อด้วยไฟบนล่างอีก 5 นาที คะ เป็นไงบ้างคะ หน้าสวยอะป่าว อิอิ ^^
black forest cake
13. เค้กสุกออกจากเตา ให้กะแทกพิมพ์ 1 ครั้ง (ไม่ต้องรุนแรงนะจ๊ะ ^^) เพื่อให้โครงสร้างเค้กอยู่ตัว จากนั้นคว่ำเค้กแบบในภาพ พักในตะแกรงให้เค้กเย็นจ๊ะ ระหว่างรอเค้กเย็นเรามาเตรียมของแต่งหน้ากันดีกว่าคะ
ส่วนที่ 2 ของแต่เค้ก
black forest cake
ส่วนผสมที่ส้มใช้ (เพื่อน ๆ อาจไม่เอาตามนี้ก็ได้นะจ๊ะ)
1. เหล้ารัมหรือแสงโสม หรือกลิ่นรัมก็ได้คะ (จิง ๆใช้เหล้าเคียชแต่ส้มไม่มี) 1 ช้อนโต๊ะ
2. เชอรี่ในน้ำเชื่อมชนิดมีก้านซับน้ำออก
3. เชอรี่ดำหรือดาร์กเชอรี่ 1 กระป๋อง
4. ดาร์กช็อกโกแลตขูดฝอยสำหรับแต่งหน้า
5. สตอเบอรี่สด ฝานบาง ๆ (จิงๆ เค้าไม่มีแต่ส้มใส่อะ^^)
6. น้ำเชื่อมเชอรี่ดำ ประมาณ 5-6 ช้อนโต๊ะ
ลงมือกันเลย
black forest cake black forest cake
1. อันดับแรกมาขูดช็อคโกแลตก่อนนะจ๊ะ วันนี้ลองของเล่นใหม่จิง ๆซื้อมานานแล้วละแต่ไม่ได้ใช้ (ที่ขูดผักแต่เอามาไว้ขูดช็อคโกแลตโดยเฉพาะ ซื้อที่โรบินสันตอนลดราคาพอดี^^) พักไว้ก่อนคะ
black forest cake black forest cake
black forest cake black forest cake
2. มาทำดาร์กเชอรี่โดยเปิดกระป๋อง เอาแต่เนื้อมาหั่น ๆ เป็นชิ้นเล็ก ๆ พักไว้
black forest cake black forest cake
3. ดาร์กเชอรี่ที่เหลือ ส้มนำมาใส่กระป๋องปิดฝาเก็บเข้าตู้เย็นไว้ใช้ต่อไปคะ ส่วนเชอรี่แดงให้ซับน้ำออกให้แห้ง ๆ ด้วยกระดาษทิชชู่ นะจ๊ะ
black forest cake black forest cake
4. น้ำเชื่อมดาร์กเชอร์รี่ นำมาผสมกับเหล้ารัมคนให้เข้ากันพักไว้ก่อนคะ (จะเอาไว้พรมเค้ก) เสร็จแล้วพักไว้ก่อน
black forest cake black forest cake
5. นำเค้กที่เย็นแล้วแกะออกจากพิมพ์คะ (ดูก้นซะก่อน สวยมะ^^)
black forest cake
6. จากนั้นเตรียมอุปกรณ์คะ คือกระดาษรองเค้ก แป้นหมุน สเปตตูล่า มืดฟันเลื่อย และหัวบีบ^^ เราจะสไลซ์เค้กกันก่อนคะ โดยสไลซ์เป็น 3 ชั้น จิง ๆ เค้าให้แซะเอาผิดด้านหน้าออก (แต่ส้มมะได้เอาออกอิอิ^^)
black forest cake black forest cake
7. ใช้มือฟันเลื่อยสไลซ์เค้กเป็น 3 ชั้นคะ (ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ไม่ค่อยชอบเลยอะเพราะทำไม่เคยตรง^^) เห็นฟองอากาศไม๋คะ ไม่อยากบอกว่านุ่มแค่ไหน ต้องลองคะ ต้องลอง ^^ จากนั้นพักเค้กไว้ก่อนคะ

ส่วนที่ 3 ตีวิปปิ้งครีม
ส่วนผสม

1. วิปปิ้งครีม 300 กรัม (แช่เย็นจัดแต่ไม่ฟรีซ)
2. น้ำตาลไอซิ่ง 3 ชต.
ลุยกันเลยนะจ๊ะ
black forest cake black forest cake
1. ก่อนอื่นนำชามอ่างพร้อมหัวตี และวิปปิ้งครีมที่แช่เย็นไว้ออกมาเลยคะ จากนั้นเทวิปปิ้งครีมใส่ในชาม
black forest cake black forest cake

2. ตีวิปปิ้งครีมด้วยความเร็วสูงสุดของเครื่อง ค่อย ๆ โรยไอซิ่งลงไปคะ
black forest cake black forest cake

3. ตีต่อไปคะ ใจเย็น ๆ นะจ๊ะใช้เวลานิดนึง จะเห็นว่าครีมเริ่มหนืดตัว และข้นขึ้น รวมเวลาตีประมาณ 5-8 นาทีคะ ตีคนวิปครีมอยู่ตัว ตั้งยอดแข็งเป็นอันใช้ได้คะ
ส่วนที่ 4 (ส่วนสุดท้าย) ประกอบเค้กจ้า..^^

ขั้นตอนการประกอบเค้ก
black forest cake black forest cake
1. เตรียมเค้กที่สไลซ์ ไว้แล้ว โดยวางเค้กชิ้นล่างสุดลงไปที่กระดาษรองเค้ก จากนั้นพรมเค้กด้วยน้ำเชื่อมดาร์กเชอรี่ที่ผสมเหล้ารัมลงไปคะ พรมให้ทั่วเค้กเลย
black forest cake black forest cake

2. นำวิปปิ้งครีมปาดให้ทั่วตัวเค้กคะ ไม่ต้องหนามาก ^^ ประมาณ 1 ซม.
black forest cake black forest cake
3. ปาดให้เรียบ ๆ นะจ๊ะ แล้วนำดาร์กเชอรี่ที่หั่นไว้แล้ว วางเรียง ๆๆให้เต็กเลย (หรือจะใช้Cherry Filling ก็ได้) การวางนั้นให้เว้นระยะห่างจากขอบเค้กเข้ามาประมาณ 1 ซม. และอย่าให้หนามากนัก ไม่งั้นเค้กชั้นต่อไปอาจหลุดง่าย
black forest cake black forest cake

4. วางเค้กชั้นที่ 2 ตามลงไปคะ แล้วเอาน้ำเชื่อมดาร์กเชอรี่ที่ผสมเหล้ารัมทาให้ทั่วเหมือนเดิมเลย จากนั้นปาดด้วยวิปปิ้งครีมอีกชั้น จิง ๆ ชั้นนี้ก็ต้องใส่ดาร์กเชอรี่หั่นหรือ ฟิลลิ่งเหมือนเดิม แต่ส้มไม่ได้หั่นไว้ (อันแรกทำไว้ไม่พอ) อีกอย่างอยากแก้เลี่ยนด้วย เลยเอาสตอเบอรี่สด(มีอยู่แล้ว) มาสไลซ์บาง ๆ แล้ววางเรียงไว้แทนคะ^^
black forest cake black forest cake
5. จากนั้นนำส่วนบนสุด (ชั้นที่ 3 ) หงายเค้กขึ้น นำน้ำเชื่อมดาร์กเชอรี่ที่ผสมเหล้ารัมที่เหลือ ทาให้ทั่ว ๆ อีกครั้ง
black forest cake black forest cake

6. แล้วประกอบเค้กเข้าด้วยกัน จากนั้นปาดเค้กทั้งก้อนด้วยวิปปิ้งครีมหนาประมาณ ครึ่งเซนติเมตร บีบวิปปิ้งครีมตกแต่งให้สวยงาน ต้องรีบนิดนึงนะจ๊ะเพราะวิปปิ้งครีมไม่เหมือนบัตเตอร์ครีม มันจะอยู่ตัวไม่นานถ้าไม่แช่เย็นมันจะเหลวว มากกก.. โดนมาแล้ว^^
black forest cake black forest cake

7. จากนั้นบีบวิปปิ้งครีมตกแต่งให้สวยงาม (แต่วิปปิ้งครีมของส้มมันไม่พอ แถมมันเริ่มละลายแล้วเลยบีบไม่ได้อะ เส้า^^’ ) แล้วตกแต่งด้วยเกล็ดช็อคโกแลตขูด เชอรี่ หรืออื่น ๆ ให้สวยงาม (กว่าของส้ม อิอิ ^^) ตัดชิมและแจก ขอบอกว่าอร่อยมากคะ เนื้อเค้กนุ่ม ไม่หวานมาก ลองทำทานดูนะจ๊ะ
black forest cake black forest cake
ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพเสริม สร้างรายได้ จาก ส้มซ่าดอทคอม
http://www.zomzaa.com/recipe,68.htm

Read More...


ความโลภ : เงินต่อเงิน

หากพิจารณาเฉพาะผลตอบแทนเป็นใครก็อดใจไม่ไหว ลงทุนแค่ 650 บาท อีก 25 วันได้คืน 1,200 บาทและอีก 50 วันรับอีก 800 บาท เบ็ดเสร็จจ่าย 650 บาทได้เงินคืน 2,000 บาท คิดเป็นผลตอบแทน 307.69% ดีกว่าฝากแบงก์ไม่รู้กี่เท่า แต่ถ้าพิจารณาจากความเป็นจริงแล้ว ผลตอบแทนที่มากขนาดนี้ภายในระยะเวลา 50 วันนั้นหากเป็นลงทุนในกิจการที่สุจริตคงไม่มีที่ไหนทำได้ ตรงนี้กลับไม่มีใครคิด

สินค้าที่นำมาใช้จะเป็นอะไรก็ได้ เช่น น้ำมัน ข้าวสาร บัตรเติมเงิน อัตราแลกเปลี่ยน อาจมีสินค้าตัวอย่างให้เห็น แต่จริงๆ แล้วตัวสินค้านั้นไม่มีความหมายเลย เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของแชร์ลูกโซ่คือการหาสมาชิกเข้ามาให้มากที่สุด โดยที่เจ้าของที่เปิดกิจการนี้จะเป็นผู้รับประโยชน์สูงสุด คนที่เข้ามาทีหลังมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับเจ้าของและคนที่เข้ามาก่อนเป็น อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อไม่สามารถหาคนมาเพิ่มได้อีกเงินที่จะมาจ่ายให้กับคนที่เข้ามาก่อนก็ไม่ มี สุดท้ายก็ปิดบริษัทหนีทุกราย

การเปิดบริษัทประเภทนี้ทำได้ง่าย เพียงแค่ขอจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ ก็เปิดดำเนินการได้ แม้ว่าบางบริษัทที่มีปัญหาจะตั้งขึ้นมาเมื่อ 19 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมาก็ตามเปิดได้ 2-3 เดือนก็ต้องปิดตัวลง ทุนจดทะเบียนที่ระบุไว้ว่ากี่ล้านบาทนั้นก็เป็นแค่ตัวเลขชำระจริงๆ อาจจะไม่ถึงพันหรือหมื่นบาทก็ได้

ที่สำคัญคือ ไม่มีหน่วยงานใดที่ทำหน้าที่ติดตามว่าเมื่อจัดตั้งบริษัทแล้วได้ดำเนินการ อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แม้บางแห่งจะระบุว่าเพื่อดำเนินธุรกิจขายตรง แต่เป็นขายตรงจริงๆ หรือเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ เพราะตัวแชร์ลูกโซ่แอบอิงกับหลักเกณฑ์ของการขายตรง แต่พฤติกรรมในการดำเนินธุรกิจนั้นมุ่งที่การหาเงินจากตัวสมาชิกเป็นหลัก แตกต่างกับขายตรงที่เน้นขายสินค้าหรือเพิ่มสมาชิกก็เพื่อให้ขายสินค้า

ในการดำเนินการตามกฎหมายนั้น ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและพระราชบัญญัติการเล่น แชร์ การเอาผิดจะต้องมีองค์ประกอบครบคือมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนเข้ามาเล่น เกิน 10 คน มีสัญญาว่าจะจ่ายผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงิน และไม่มีการดำเนินการจริงหรือทำธุรกิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจะต้องมีผู้เสียหาย

ดังนั้น กว่าจะมีผู้เสียหายนั่นคือเจ้าของกิจการนั้นหอบเงินหนีไปแล้ว แม้ว่าระหว่างที่ดำเนินการอยู่ก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้ เพราะผู้ที่เข้ามาร่วมลงทุนกำลังเพลิดเพลินกับผลตอบแทนที่ได้รับ หากเข้าไปก็จะกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้ธุรกิจเขาเจ๊ง ดังนั้นแชร์ลูกโซ่นี้จึงไม่ตายไปจากเมืองไทย เพียงแต่จะบูมมากหรือน้อยในช่วงใดเท่านั้น

ที่ผ่านมาทำได้เพียงแค่เตือนเท่านั้น ส่วนคนที่เข้าไปลงทุนก็มีทั้งกลุ่มที่ไม่รู้และกลุ่มที่รู้ โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้นั้นก็หวังจะเข้าไปเป็นสมาชิกในลำดับแรกๆ เพื่อให้กลุ่มหลังๆ เข้ามาสร้างรายได้ให้กับตัวเอง กว่ากิจการจะปิดพวกเขาก็ลอยตัว

“คาถาเสกเงิน” ฮอลลีวูดอาย

นอกจากนี้ยังมีการฉ้อโกงผู้คนที่หลากหลายออกไป ซับซ้อนมากขึ้น น่าเชื่อถือมากขึ้น เช่นการส่งจดหมายไปที่บ้านหรือ SMS เข้าโทรศัพท์มือถือว่าท่านเป็นผู้โชคดีได้รับรางวัลใหญ่ แต่ต้องโอนเงินเพื่อชำระค่าธรรมเนียมก่อน หรือการเชิญชวนให้เข้ามาทำงานบนเว็บไซต์ ซึ่งมีทั้งจริงและเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่

บางรายก็ใช้รูปแบบของไสยศาสตร์เข้ามา เช่น ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีผู้เสียหายไปไม่น้อยเช่นกัน โดยจัดรูปแบบเป็นพิธีกรรม “คาถาเรียกเงิน”

ผู้เสียหายรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า มีคนนอกพื้นที่กลุ่มหนึ่งเข้ามาติดต่อกับคนท้องที่ เพื่อชักชวนชาวบ้านบริเวณนั้นให้มาพิสูจน์พิธีกรรมดังกล่าว โดยสถานที่ทำพิธีกรรมนั้นเป็นบ้านของชาวบ้านรายหนึ่งที่ตั้งห่างออกไป พื้นที่รอบตัวบ้านเป็นสวนยาง ไม่มีบ้านคนอื่นบริเวณใกล้เคียง มีการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาเหมือนพิธีกรรมทั่วไป มีคนแต่งกายคล้ายพราหมณ์มาเป็นคนสวด

“ทุกอย่างเหมือนในหนัง มีลมพัดแรง ฟ้าร้อง เมื่อสวดไปสักพักก็มีเงินปลิวลงมา คนที่ไปก็งงว่าเงินหล่นมาจากไหน วันนั้นเงินที่ปลิวลงมาคนที่ไปชวนมาก็มอบให้กลับบ้านได้ 500 บาทบ้าง 2,000 บาทบ้าง”

พวกเขายังบอกอีกว่าจะทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าใครจะเข้ามาร่วมพิธีจะต้องเสียค่าเข้าในพิธี 8,000 บาท แต่เขารับประกันว่าจะต้องได้เงินกลับคืนมาไม่น้อยกว่า 2 เท่า และต้องลงชื่อเสียจ่ายเงินไว้ก่อนถึงวันจริง

คนที่ได้เงินในวันนั้นก็กลายเป็นนักประชาสัมพันธ์ชั้นดี บอกข่าวนี้ให้กับคนอื่น ๆ มีคนจำนวนไม่น้อยกว่า 30 คนที่แสดงความสนใจพร้อมทั้งจ่ายเงิน 8,000 บาทต่อหุ้นเพื่อเข้าร่วมพิธีหรือจะจ่ายมากกว่า 8,000 บาทก็ได้ เมื่อถึงวันจริงมีใครเห็นคนกลุ่มนั้น แม้กระทั่งเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านรู้จัก เหลือไว้แต่ตัวบ้านเท่านั้น

ตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของอุปนิสัยของคนภาคใต้ หากมีการแจ้งความก็เท่ากับเป็นการประจานตัวเองว่า “โง่” กลุ่มผู้หลอกลวงจึงลอยตัวไปพร้อมเงินหลายแสนบาท

กลุ่มงานป้องปรามเงินนอกระบบกล่าวเพิ่มเติมว่า ตราบในที่สภาพเศรษฐกิจยังเป็นอย่างนี้เหล่ามิจฉาชีพก็ยังคิดช่องทางฉ้อโกง ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ตลอดเวลา รูปแบบอาจเปลี่ยนไป มีความแนบเนียนมากขึ้น ขั้นตอนซับซ้อนขึ้น ดังนั้นประชาชนควรจะต้องไตร่ตรองให้ดีถึงเรื่องผลตอบแทนที่สูงกว่าความเป็น จริง หรือต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็ม

*************

“แชร์ลูกโซ่” เกิดง่ายรวยเร็ว

แม้จะมีการปราบปรามกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้ามือแชร์ลูกโซ่ แต่เรื่องก็เงียบหายไประยะหนึ่ง จากนั้นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ก็เกิดขึ้นมาอีก ด้วยรูปแบบของตัวสินค้าที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าจะอุปโลกน์อะไรมาเป็นสินค้า แต่เป้าหมายทุกอย่างยังเหมือนเดิมคือดูดเงินจากคนอื่นเข้ากระเป๋าตัวเอง

วิธีการของแชร์ลูกโซ่นั้นส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่กลุ่มคนโลภ อยากได้ผลตอบแทนสูง ๆ โดยที่มีขั้นตอนในการลงทุนที่ไม่ยุ่งยาก โชว์ตัวเลขให้เห็นว่าได้ผลตอบแทนมากว่าเงินลงทุนหลายเท่าตัว หลักการแบบนี้สามารถกวาดคนได้ทุกสาขาอาชีพ ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่มีการศึกษาสูง

ดังนั้น การสร้างภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่ชื่อบริษัทต้องฟังแล้วทันสมัยหรือเป็นสากล สถานที่ทำการต้องหรูหรา ห้องสัมมนาในโรงแรมหรู การแต่งกายของทีมงานไม่แตกต่างจากนักธุรกิจ ผูกไท ใส่สูท มีแบบฟอร์มพนักงาน

ที่สำคัญที่สุดคือ ตัวผู้บรรยายจะเป็นคนที่มีศิลปะในการพูด พูดทำให้คนคล้อยตามได้ พูดแล้วคนที่มาฟังต้องอยากเป็นสมาชิก แม้ไม่มีเงินก็ขวนขวายที่จะกู้ยืมคนอื่นมาเพื่อมาลงทุน

ในจังหวัดเชียงใหม่ยังมีอีกหลายรายที่ยังเปิดให้บริการอยู่ บางรายคือลูกทีมของแชร์ข้าวสารที่แยกตัวออกมาตั้งกิจการเอง เนื่องจากทราบถึงหลักการใหญ่ของแชร์ข้าวสารแล้วนำมาปรับใช้เป็นของตัวเอง

การเปิดบริษัทใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายเพียงแค่ไปขอจดทะเบียนใน รูปบริษัทกับพาณิชย์จังหวัดหรือที่กระทรวงพาณิชย์ จากนั้นก็ดำเนินการได้เลย เพราะไม่มีหน่วยงานใดที่จะเข้ามาตรวจสอบในช่วงเริ่มแรก

เมื่อมีหลายเจ้าดังนั้นการกำหนดผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจึงเป็น เรื่องสำคัญเพราะถือว่าเป็นตัวเลขที่จะเรียกลูกค้าได้ดี รวมถึงเรื่องของวันที่กำหนดให้มารับเงินปันผลแต่ละงวดก็มีความสำคัญเช่น เดียวกัน

ตัวอย่างที่เชียงใหม่นั้นกำหนดราคาสินค้าไว้ที่ 1,450 บาท หากไม่รับสินค้าคืนเงิน 800 บาท ซึ่งผู้ที่ต้องการเข้าไปลงทุนนั้นไม่ได้ต้องการสินค้าอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องการเงินปันผลที่จะได้รับตามที่เจ้าของแชร์กำหนดไว้ เงินลงทุนเริ่มแรกจึงเท่ากับ 650 บาท จากนั้นอีก 25 วันรับเงินคืน 1,200 บาทและอีก 50 วันรับคืนอีก 800 บาท

สมมติให้กลุ่มแรกที่เข้าไปลงทุนมี 5 คน ลงทุนคนละ 650 บาทเท่ากับเจ้าของได้เงินไปทั้งสิ้น 3,250 บาท วันถัดมาเริ่มกลุ่มที่ 2 เข้ามาหากมีเข้ามาอีก 30 คนเจ้าของจะได้เงินไป 19,500 บาท จากนั้นมีกลุ่มที่ 3 เข้ามาอีก 500 คนจะมีเงินไหลไปที่เจ้าของอีก 325,000 บาท เอาเป็นว่าพอรับกลุ่มที่สามเสร็จครบกำหนด 25 วันพอดี เจ้าของแชร์จะมีเงินอยู่ในมือ 347,750 บาท แต่จ่ายให้กับกลุ่มแรกไปเพียง 6,000 บาท เหลือเงิน 341,750 บาท

จากนั้นก็รับลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ อีกสมมติว่าได้ลูกค้ารอบหลังอีก 1,000 คน จะได้เงินเข้ามาอีก 650,000 บาท เจ้าของจะมีเงินในมือ 991,750 บาท หากกลุ่ม 2 ครบกำหนด 25 วันก็จ่ายเงินคืน 36,000 บาท และถ้าครบช่วง 50 วันที่จะต้องจ่ายเงินให้กับกลุ่มที่ 1 อีก 4,000 บาท เจ้ามือยังเหลือเงินอีก 951,750 บาท

หลักการของแชร์ลูกโซ่คือการเอาเงินค่าซื้อสินค้าของสมาชิกรายใหม่มาให้ กับเจ้าของแชร์แล้วนำมาจ่ายต่อให้กับสมาชิกที่เข้ามาก่อนหน้าเท่านั้นเอง นั่นคือตัวธุรกิจนี้จะอยู่ได้ด้วยเงินของสมาชิกใหม่เท่านั้น หากมีสมาชิกใหม่เข้ามาน้อยวงจรการจ่ายเงินคืนให้กับสมาชิกก็จะสะดุดลง

การกำหนดช่วงเวลาเช่น 25 วัน และหลังจากจ่ายครั้งแรกอีก 50 วันนั้นถือเป็นการประมาณการว่าในช่วงเวลาประมาณ 75 วันนั้นน่าจะเพียงพอที่จะหาสมาชิกใหม่เข้ามาจ่ายเงินให้กับเจ้าของและสมาชิก รุ่นก่อนหน้านี้ได้

ในช่วงแรกที่ทุกคนตาโตกับตัวเลขของรายได้ เจ้าของแชร์อาจจะไม่มีเงื่อนไขให้สมาชิกเก่าต้องชักชวนสมาชิกใหม่เข้ามา แต่ถ้าประเมินแล้วว่ายอดสมาชิกใหม่เริ่มอืดก็อาจมีการให้ผลตอบแทนสำหรับ สมาชิกเก่าที่สามารถแนะนำสมาชิกใหม่

ตัวเลขที่ยกตัวอย่างนั้นเป็นการสมมติให้ทุกคนลงทุนคนละ 1 หุ้นหรือ 650 บาท ตัวเลขสมาชิกที่เข้ามาแต่ละชุดอาจจะมาหรือน้อยกว่าตัวเลขที่ยกมาก็ได้ เพราะผู้ที่เข้ามาลงทุนจริงๆ แล้วไม่ได้เข้ามาซื้อแค่คนละ 1 หุ้นแน่นอน บางคนลงทุนครั้งแรกกันเป็นแสน ลองคิดดูให้ดีว่าเจ้าของแชร์จะถือครองเงินเป็นล้าน ๆ บาทภายในเวลาไม่กี่วัน

หากต้องการได้เงินที่มากกว่านี้เจ้าของแชร์ก็ต้องบริหารจัดการในเรื่อง การหาสมาชิกใหม่ให้ดีพร้อมทั้งจัดสรรเงินให้กับสมาชิกในช่วงแรกๆ ให้ดีเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อจะได้ให้คนที่เป็นสมาชิกเอาไปบอกต่อ ถือเป็นการทำประชาสัมพันธ์ให้กับกิจการตัวเอง แม้ในบางช่วงยอดลูกค้าใหม่อาจจะไม่ตามเป้า ต้องควักเงิน(คนอื่น) จ่ายออกไปบ้างก็ตาม ตราบใดที่ยอดสมาชิกใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้วละก็โอกาสล้มก็จะช้าออกไป

เกมนี้เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ไม่มีรายใหม่เข้ามาถือว่าจบเกม แน่นอนว่าตัวเจ้าของจะทราบว่าสถานการณ์ในขณะนั้นควรจะสู้ต่อหรือเผ่น

ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์

Read More...


ระวัง! สูญเงินจากตู้เอทีเอ็ม

นอกจากการปลอมบัตรเครดิตแล้วสิ่งที่เป็นภัยที่บุคคลทั่วไปไม่ควรจะมองข้ามก็ คือ การใช้บริการตามตู้เอทีเอ็มทั่วไป เพราะปัจจุบันปรากฏว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพคิดรูปแบบการโกงขึ้นมาใหม่โดยใช้ เครื่องมือซึ่งเป็นพลาสติกสวมครอบไปในช่องเสียบบัตรเพื่อดูรหัสบัตรเอทีเอ็ม หรือบางกลุ่มก็ใช้พลาสติกครอบแป้นกดรหัสเพื่อดูรหัสส่วนตัว เมื่อมีผู้เข้าไปใช้บริการแล้วจะไม่มีใครสังเกตแต่เมื่อกดรหัสส่วนตัวไปแล้ว เงินจะไม่ออกก็จะไม่มีใครสนใจว่าสาเหตุเกิดจากอะไร

“เรื่องนี้เป็นอันตรายมาก พวกมิจฉาชีพมีวิธีการที่เอารหัสส่วนตัวแล้วนำไปปลอมบัตรจากนั้นก็จะสุ่ม เสี่ยงกดเงินออกไป กรณีนี้มีผู้เสียหายหลายร้อยคนเข้ามาร้องเรียนแต่ท้ายสุดก็ตามจับกุมได้ อย่างลำบาก”

ผู้บังคับการ ปศท.อธิบายอีกว่า นอกจากนี้ มีข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้บริการตู้เอทีเอ็มทุกคนอีกประการหนึ่ง คือ อย่าได้ประมาท นั่นคือเมื่อคุณกดเอทีเอ็มอยู่ แล้วมีคนอยู่ด้านหลังให้ระวังไว้ เพราะพวกนี้อาจเป็นแก๊งมิจฉาชีพที่แฝงตัวมา ซึ่งพวกนี้จะรู้เทคนิคในการจำรหัสจากการกดปุ่มหน้าจอ

ถ้าสังเกตเวลากดเอทีเอ็มจะมีเสียงซึ่งถ้าใครหูดีๆ จะจำได้ว่ากดเลขอะไรไปบ้างใน 4 ตัว เพราะส่วนใหญ่แล้วร้อยละ 70% ของผู้ที่กดเงินจากตู้เอทีเอ็ม จะทิ้ง Slip เงินลงขยะ มันก็กลายเป็นประโยชน์ของผู้ที่คิดชั่วร้าย คือเขาเอา Slip นั้นมาใช้ประโยชน์จากเงินในบัญชีของคุณเอง

“สลิปมีเลขที่บัญชีสิบตัวปรากฏอยู่ ซึ่งแต่ละธนาคารจะมีการโอนเงินทางโทรศัพท์ โดยมีผู้ไม่ประสงค์ดีนี้จะโทร.ไปยังธนาคาร เพื่อโอนเงินผ่านทางโทรศัพท์ตามหมายเลขแล้วแต่ธนาคาร เขาก็จะได้จาก Slip ของผู้ที่ทิ้งไว้แล้ว เมื่อกดเลขบัญชีธนาคารเสร็จจะมีการให้ใส่รหัสประจำตัวสี่ตัว เมื่อกดเงินนั้นเขาก็จะจำไว้แล้วว่าหมายเลขอะไร จากนั้นก็กดหมายเลขนั้นลงไป เท่านี้เขาก็โอนเงินเข้าบัญชีของเขาได้ตามที่เขาต้องการ ข้อแตกต่างคือ ถ้าโอนเงินทางโทรศัพท์จะสามารถโอนเงินได้สูงสุด 5 แสนบาทต่อครั้ง ต่างจากเอทีเอ็มมาก ดังนั้น ถ้าใครมีเงินในบัญชีมากๆ ให้ระวังเอาไว้ด้วย หรือเขาอาจไม่เอาไปมากๆ ถ้าเขาเอาไปประมาณครั้งละห้าร้อย พันบาท ดังนั้นเมื่อกดเงินแล้วก็ให้เก็บสลิปไว้กับตัวจะดีที่สุด”

แชร์ลูกโซ่กวาดกลุ่มล่าง

นั่นคือภัยที่กลุ่มมนุษย์เงินเดือนต้องเผชิญมา ที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและหลักการทางด้านการเงินใช้ เพื่อหลอกล่อเอาเงินจากบัตรเครดิตหรือจากบัตรเอทีเอ็มไปจากตัวพวกเขาโดยที่ ไม่รู้ตัว

เมื่อมนุษย์เงินเดือนที่มีบัตรเครดิตใช้ แม้จะมีการศึกษาสูง ฉลาดรอบรู้ ไม่น่าจะถูกหลอกง่ายๆ ยังโดนมาแล้ว แล้วประชาชนทั่วไปจะเหลืออะไร เพราะในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการแจ้งความคดีฉ้อโกงทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ต จากกรณี “แชร์ข้าวสาร” ไม่เพียงแค่นั้นยังมีคดีหลอกลวงชาวบ้านที่จังหวัดปัตตานีอีกราย

ใน 2 จังหวัดแรกเป็นแชร์ข้าวสาร บริษัทที่เปิดดำเนินการเป็นบริษัทเดียวกันคือบริษัทร่วมทุนค้าปลีก จำกัด ส่วนที่ปัตตานีเป็นอีกบริษัท เอส.พี.ไอ 2 บี จำกัด ขายตรงผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และสินค้าอุปโภคบริโภค นี่เป็นเพียงแค่ 3 บริษัทที่ประชาชนที่ได้รับความเสียหายดำเนินการตามกฎหมาย แต่ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังเปิดดำเนินการอยู่หรืออาจปิดกิจการไปแล้วแต่ยัง ไม่เป็นคดีความ

ศูนย์ข่าวเชียงใหม่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายงานว่า ที่เชียงใหม่ยังมีอีกหลายรายที่เปิดบริการอยู่นอกจากร่วมทุนค้าปลีกที่ปิดไป แล้วตอนนี้บริษัทสมคิดธุรกิจก็ปิดไปอีกราย

แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า “จริงๆ แล้วการหลอกลวงประชาชนให้เข้าไปเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่นั้นมีมายาวนาน เจ้าของปิดกิจการหนีก็หลายราย แต่คนไทยก็ไม่เข็ด ประกอบกับได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของตัวสินค้าและสร้างแรงจูงใจในเรื่องผล ตอบแทนภายใต้ระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ก็เรียกคนเข้ามาได้แล้ว”

ยิ่งสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในเวลานี้ น้ำมันแพง สินค้าต่างๆ แพง ค่าครองชีพสูงขึ้น ยิ่งเป็นแรงหนุนชั้นดีที่จะดึงคนให้เข้ามาสู่วงจรของแชร์ลูกโซ่ได้ง่ายขึ้น

Read More...


กลโกงของบัตรเครดิต

แฉ 2 รูปแบบ
กลโกงของบัตรเครดิต

สำหรับกลุ่มคนทำงานในเมืองส่วนใหญ่แล้วแก๊งมิจฉาชีพจะเลือกฉกทรัพย์จาก เหยื่อกลุ่มนี้ด้วยการดูดเงินออกมาจากบัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็ม ด้วยวิธีการที่แยบยลและกรรมวิธีอันสุดไฮเทคแม้แต่หน่วยงานที่รับผิดชอบอย่าง สำนักงานตำรวจแห่งชาติถึง
กับกุมขมับเลยทีเดียว

พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วาณิชบุตร ผู้บังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (ปศท.) บอกว่า ต้องยอมรับว่าเหล่ามิจฉาชีพในปัจจุบันมีรูปแบบการทำมาหากินที่แยบยลมากยิ่ง ขึ้นโดยเฉพาะในส่วนที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือ ซึ่งเท่าที่ ปศท.ได้เฝ้าติดตามกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้พบว่ามีรูปแบบที่แยบคายมากขึ้นโดย เฉพาะกลโกงการใช้บัตรเครดิต และบัตรเอทีเอ็ม

สำหรับกลโกงการใช้บัตรเครดิตจะมี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่หนึ่งกลุ่มมิจฉาชีพจะใช้ “นกต่อ” ที่เป็นพนักงานร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน หรือร้านค้าให้นำข้อมูลของลูกค้าไปให้ โดยจะใช้วิธีการรูดบัตรเครดิตสองครั้ง ครั้งแรกเป็นการจ่ายเงินของลูกค้าตามปกติ ครั้งที่สองจะดูดข้อมูลหรือสกิมเมอร์ ของลูกค้าเก็บไว้เพื่อนำไปใส่กับบัตรเครดิตปลอมที่มีอยู่จากนั้นก็จะนำไปรูด สินค้า โดยจะเน้นสินค้าประเภทจิวเวลรี ทองคำ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งการนำบัตรปลอมไปใช้จ่ายนั้นส่วนใหญ่จะใช้ “มือปืนรับจ้าง” เป็นตัวหลักในการดำเนินการโดยจะแบ่งส่วนแบ่งให้ร้อยละ 20-25 เพราะถ้าหากเกิดพลาดถูกจับเรื่องก็จะจบอยู่ที่มือปืนรับจ้างเท่านั้น

รูปแบบที่ 2 เป็นรูปแบบที่อันตรายมาก เพราะกลุ่มมิจฉาชีพจะเล็งจับกลุ่มชาวต่างประเทศที่เดินทางมาเมืองไทย นั่นคือการติดต่อกับ “นกต่อ” ตามโรงแรมระดับ 5 ดาว เพื่อดูดเอาข้อมูลการใช้บัตร ก่อนจะขอสำเนาหนังสือเดินทาง และสลิปการใช้บัตรเครดิต เพื่อดูลายเซ็น จากนั้นทำบัตรปลอมขึ้นพร้อมลายเซ็นที่เหมือนกับเจ้าของเดิมและให้มือปืนรับ จ้างไปรูดสินค้า หรือบางรายก็นำบัตรเครดิตปลอมไปขายตามท้องตลาด ซึ่งราคาบัตรเครดิตปลอมจะขึ้นอยู่กับคุณภาพบัตรว่า มีความใกล้เคียงกับของจริงแค่ไหน โดยบัตรปลอมที่เหมือนมากๆ เรียกว่า “บัตรปลอมโซนยุโรป” จะมีราคากว่า 1 แสนบาทต่อใบ แต่มีวงเงินรูดซื้อสินค้าได้เป็นหลักล้าน ส่วนราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่พบอยู่ในประเทศไทย สนนราคาประมาณ 6,000 บาทต่อใบ แต่จะสามารถรูดซื้อสินค้าได้เท่าไรก็ต้องไป “วัดดวง” กันเอาเอง

“ที่ผ่านมามีการจับกุมผู้กระทำผิดได้ยากมากสาเหตุ เพราะเป็นการกระทำของแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งไม่ได้ลงมือในประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่จะลงมือเวียนในหลายประเทศ เช่น ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับคนร้าย เช่น ทะเบียนราษฎร หมายเลขบัตรประชาชน ทะเบียนรถยนต์ ฯลฯ เพราะคนร้ายไม่ใช่คนไทย และไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งแก๊งเหล่านี้น่าจะมีมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยในระยะแรกจะใช้วิธีการง่ายๆ คือ ขโมยบัตรเครดิตแล้วนำบัตรมาปลอมแปลงลายเซ็นต์

ต่อมาก็พัฒนาการขโมยข้อมูลบัตรเครดิต โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “สกิมเมอร์” เพื่อก๊อบปี้ข้อมูล จากนั้นก็จะทำบัตรและปลอมลายเซ็นขึ้น วิธีการนี้จะมีพนักงานของร้านค้าบางแห่งรู้เห็นเป็นใจด้วย

สำหรับวิธีการล่าสุดเท่าที่พบคนร้ายนำมาใช้ คือ การนำเอาอุปกรณ์มาดูดข้อมูลจากชุมสายโทรศัพท์ โดยจะต้องตรวจสอบดูว่า มีข้อมูลรหัสบัตรเครดิตผ่านเข้ามาในชุมสายนั้นๆ หรือไม่ ซึ่งวิธีการนี้ต้องอาศัยช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญสูงเพื่อตรวจสอบดูว่า มีข้อมูลรหัสบัตรเครดิตไหลเข้ามาในชุมสายโทรศัพท์หรือไม่ จากนั้นก็จะทำการ “แทป” เพื่อดักจับรหัสบัตรเครดิตที่จะมาพร้อมกับ “ซีเคียวริตี โค้ด” (รหัสลับ ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคาร)

Read More...


ครองแครงสดน้ำกะทิ อาชีพเสริม ขนมหวาน

ครองแครงสดน้ำกะทิ
มา ทำขนมไทยกับบ้างดีกว่าคะ วันนี้เอาใจคนชอบขาว ๆ อวบ ๆ หนึบ ๆ กับหนอนอ้วน กันคะ ขนมชนิดนี้ส้มคิดว่าหาทานยากแล้วเหมือนกัน วันนี้อยากทานเลยต้องทำเองอีกแล้วคะ ^^” สูตรและขั้นตอนการทำได้มาจากพี่พิมแห่งครัวบ้านพิมคะ ขอบคุณมากนะจ๊ะ







ส่วนผสมรวมหมด
1. ตัวครองแครง
2. มะพร้าวขาว
3. น้ำตาลทราย
4. น้ำสะอาด
5. งาขาวคั่ว
6. เกลือป่นเล็กน้อย
7. ใบเตยสด 5-6 ใบ
- ตัวครองแครงสด

1. แป้งมัน 1 ถ้วย
2. แป้งข้าวเจ้า 1/3 ถ้วย
3. น้ำเดือดจัด ¾ ถ้วย

ลุยกันเลยจ้า..


1. ผสมแป้งทั้ง 2 ชนิดเข้าด้วยกันก่อนคะ ใช้พายคน ๆ ให้เข้ากันก็ดีคะ (ข้อควรระวัง อย่าใส่แป้งผิด หรือสลับปริมาณแป้งเด็ดขาด มิฉะนั้นมันจะปั้นไม่ได้ตัวจะแตก หักหมด ^^” ข้าพเจ้าโดนมาแล้ววว) จากนั้นใส่น้ำเดือดจัด ลงไปคะ ใช้ไม้พายคนแป้งให้เข้ากับน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่งั้นความร้อนจะทำให้แป้งมันสุกเป็นหย่อม ๆ ^^’


2. เตรียมสีที่จะผสมแป้งไว้ด้วยคะ ส้มทำ 4 สีคะ คือ เขียวใบเตย ม่วงอัญชัญ แดง(จากสีผสมอาหาร) และสีขาวธรรมดาคะ

3. จากนั้นเอามือทาแป้งมันเพื่อกันแป้งติดค่ะ แล้วใช้มือนวดแป้งจนเป็นเนื้อเดียวกัน แป้งที่ได้ จะหนืด ๆ (ไม่เหนียวติดมือนะจ๊ะ) อุ่น ๆ นิ่มมาก ๆ เหมือนแป้งโมจิเลยคะ

4. แป้งที่ได้หากเราต้องการจะผสมสี ก็แค่แบ่งแป้งออกมา จากนั้นก็หยดสีที่เราเตียมไว้ (ค่อย ๆ หยดนะจ๊ะ) แล้วค่อย ๆ นวด ๆ เพื่อให้สีเข้ากับแป้งเป็นเนื้อเดียวกันคะ (อันนี้เป็นเขียวใบเตยจากน้ำใบเตยคั้นคะ) พอได้แบบนี้ให้พักไว้ก่อนคะ
การปั้นตัวครองแครง

1. ก่อนอื่นเพื่อกันการติดให้ทาแป้งมันที่มือเราก่อนคะ จากนั้นก็ปั้นแป้งเป็นลูกกลม ๆ ประมาณปลายนิ้วก้อยหรือขนาดตามชอบคะ กดแป้งให้แบนนิดนึง

2. จากนั้นก็วางไปบนพิมพ์ครองแครงคะ(พิมพ์ครองแครงให้โรยแป้งมันไว้หน่อยกันติดนะจ๊ะ) กดแป้งให้เป็นรอย แบบนี้คะ

3. นำแป้งที่เรากดได้แล้วมาม้วนให้เป็นขด ๆ คะ เหมือนหนอน (ไม่งงนะจ๊ะ) คือตัวครองแครงเดิมที่ แบน ๆ จะงอ โค้ง แบบในภาพอะจ๊ะ^^” ทำไปเรือย ๆ จนหมดแป้งนะจ๊ะ แป้งที่ได้ให้ใส่ถาดหรือชามที่แห้ง ๆ แล้วโรยแป้งมันไว้ด้วยกันติดกันจ๊ะ
- งาคั่ว

** เตรียมงาขาวคะ สักประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำมาคั่วในกะทะด้วยไฟอ่อน ๆ นะ
จ๊ะ ให้เหลือง หอม แบบนี้คะ (คั่วไม่นานคะ ประมาณ 5 -7 นาทีได้คะ) พักไว้ก่อนคะ

ลงมือประกอบร่าง
- คั้นกะทิ


1. คั้นกะทิด้วยน้ำอุ่นค่อนไปทางร้อน แยกหัวกะทิประมาณ ½ ถ้วย ที่เหลือเป็นหางกะทิคะ

2. จากนั้นนำหางกะทิตั้งไฟคะ เติมน้ำตาลทราลและเกลือป่นลงไป ชิมรสตามใจชอบ


3. ใส่ใบเตยหอมลงไปคะ ฉีก ๆ หน่อยนะจ๊ะเพื่อให้กลิ่นหอม ๆ ออกมา จากนั้นต้มไปเรื่อย ๆ คะ ไฟกลาง ๆ พอเดือดตักปิดไฟพักไว้คะ ส่วนใบเตยจะตักออกหรือไม่ตักก็ได้คะตามใจชอบ

- ล้างตัวครองแครง

1. ต้มน้ำให้เดือดเตรียมไว้ก่อนคะ น้ำเดือดแล้วก็ใส่ตัวครองแครงที่เราปั้นไว้แล้วลงไปเลยคะ

2. ต้มไปเรื่อย ๆ (ไม่นานคะ) จนตัวครองแครงสุกคะ (สุกตัวจะใสและลอยขึ้นมาจ๊ะ^^”)

3. ช้อนตัวครองแครงขึ้น จากนั้นนำไปแช่น้ำเย็นไว้สักพักคะ

4. พอแป้งคลายความร้อนก็ให้ช้อนตัวแป้งพักขึ้นใส่ชามไว้ก่อนคะ
รวมกันเป็นครองแครงกะทิสด

1. นำหางกะทิขึ้นตั้งไฟอีกครั้งคะ พอเริ่มร้อนให้ใส่ครองครองที่เราแช่น้ำเย็นไว้ตามลงไปเลยคะ

2. ตั้งไฟจนเดือดจากนั้นใส่หัวกะทิ ชิมรสอีกครั้งคะ จากนั้นพอเริ่มเดือดก็ปิดไฟ ตักใส่ถ้วยโรยงาขาวคั่วทานได้เลยจ้า : ทำด้วยใจให้ด้วยรักจ้า..
Tips
- การทำแบบนี้จะช่วยให้ครองแครงรสเข้มขึ้น อร่อยขึ้นคะ
- ช่วยยืดอายุของขนมคะ ทำให้เก็บได้นานขึ้นเพราะเรานำขึ้นตั้งไฟอีกครั้งคะ
- งาคั่วจะโรยลงไปในหม้อเลยหรือจะตักขนมใส่ถ้วยก่อนแล้วค่อยโรยก็ได้นะจ๊ะ ตามใจชอบคะ
- กะทิ อย่าเคี่ยวนานจนแตกมัน เพราะจะไม่อร่อยและดูไม่น่าทานคะ แต่ต้องเคี่ยวให้ถึงไฟ (คือสุก) ไม่งั้นขนมจะเสียเร็วคะ
สามารถทำเป็น อาชีพเสริม เพิ่มรายได้ ขอบคุณที่มาของบทความ
http://www.zomzaa.com/recipe,131.htm

Read More...


เต้าทึง แป๊ะก๊วย’อาชีพเด่นรับฤดูร้อน

เต้าทึง แป๊ะก๊วย รับลมร้อน ผ่านเทศกาลสงกรานต์นี้

หน้าร้อนมาแล้วจ้า.....!! อาชีพขายอาหารหน้าร้อนที่ดูจะขายดีกันเป็นพิเศษก็คงจะหนีไม่พ้นขนมหวานเย็น ๆ หรือสารพัดน้ำเย็น ๆ ต่าง ๆ ซึ่งสำหรับการขาย “ขนมเต้าทึง-แป๊ะก๊วย” ที่ใส่น้ำแข็ง ดับกระหาย และเพื่อสุขภาพ ก็คงจะเป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจในยามที่อากาศร้อนอบอ้าว วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาบอกกล่าวกัน...

เก๋-วิภารัตน์ สุขุมอำนวยชัย เป็นแม่ค้าขายเต้าทึง-แป๊ะก๊วย และเครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ย่านตลาดสดบางขุนศรี เจ้าตัวเผยว่าขายมาประมาณ 2 ปีแล้ว โดยที่เมื่อก่อนเคยทำงานเป็นพนักงานบัญชี แต่รายได้ไม่พอกับรายจ่าย จึงได้คิดเปลี่ยนอาชีพเพื่อที่จะหาทางเพิ่มรายได้มาดูแลครอบครัวและลูก

การขายในครั้งแรกนั้นเริ่มต้นด้วยการขายขนมเต้าทึง-แป๊ะก๊วย โดยทำมาจากบ้านแล้วแบ่งใส่ถุงขาย เบื้องต้นตอนแรกขายถุงละ 10 บาท ใส่ถาดแบกขายไปทั่ว ขายไปได้สักระยะหนึ่งก็ปรากฏว่าลูกค้าติดใจ แต่ปัญหาที่ตามมาคือตามหาตัวคนขายไม่ค่อยเจอ เพราะแบกถาดไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็มาหาที่ขายเป็นหลักแหล่งได้ และได้ทำน้ำ
ด้วยความที่เป็นคนชอบทานขนมเต้าทึง-แป๊ะก๊วย และเครื่องดื่มสมุนไพรมากเป็นทุนเดิม และพอจะทราบว่าทำอย่างไรบ้าง นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายแทบทุกอย่าง เมื่อคิดที่จะค้าขายก็เลยลองทำดู พยายามฝึกฝนฝีมือไป เรื่อย ๆ เมื่อคิดว่าพอใช้ได้จากนั้นจึงได้ทำให้คนอื่นชิมดู ก็ปรากฏว่าได้รับคำชมจึงเป็นการเพิ่มความมั่นใจ และตัดสินใจทำออกขายในที่สุด


สมุนไพรขายเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งก็ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี ปัจจุบันขนมเต้าทึง-แป๊ะก๊วยขายถุงละ 20-30 บาท เพราะต้นทุนเพิ่มขึ้นส่วนน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพนั้นขายราคาถุงละ 10 บาท


มาดูกันว่าการขาย “เต้าทึง-แป๊ะก๊วย” ต้องเตรียมอะไรกันบ้าง ?

ลูกแป๊ะก๊วย ตามปกติเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารหวาน มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสมอง ใช้วันละ 15-20 กิโลกรัม ก่อนอื่นต้องปอกเปลือกแข็งออกให้หมด ล้างน้ำให้สะอาด และต้มน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง เพื่อให้สุกและนิ่ม
ป่วยจัว ลักษณะเป็นแผ่นสีขาว ขนาดกว้าง 2-3 เซนติเมตร ขนาดยาวไม่เกิน 10 เซนติเมตร มีคุณสมบัติช่วยบำรุงหัวใจ ใช้วันละ 2.5 กิโลกรัม นำมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปเชื่อมกับน้ำตาลประมาณ 1 กิโลกรัม เพื่อให้นิ่ม และมีรสหวานนิดหน่อย, เม็ดเก๋าคี่ ลักษณะเป็นเมล็ดสีแดง มีคุณสมบัติช่วยบำรุงสายตา ใช้วันละ 1 กิโล กรัม ก่อนใช้ต้องล้างน้ำให้สะอาดเสียก่อน ตามปกติสมุนไพรจีน 2 ตัวนี้มักจะเป็นส่วนประกอบของการทำอาหารคาวประเภทเครื่องตุ๋น เพราะได้รสชาติน้ำแกงที่อร่อย และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ


พุทราจีนแห้งไร้เม็ด ใช้ประมาณ 4-5 กิโลกรัม ต้องนำมาต้มน้ำให้สุก และเชื่อมกับน้ำตาลให้หวาน, ลำไยแห้ง ใช้วันละ 1 กิโล กรัม เช่นเดียวกับพุทราจีนคือต้องนำมาต้มน้ำให้สุกก่อน แต่ไม่ต้องเชื่อม สำหรับผลแห้งทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นส่วนประกอบสำหรับกินเล่น ๆ


ของทั้งหมดนี้แหล่งใหญ่ไปหาซื้อได้ที่ย่านเยาวราช เป็นแหล่งของดีมีคุณภาพ ซึ่งการทำขายต้องให้ผู้ซื้อได้รับโภชนาการที่ดีเพื่อเป็นจุดดึงดูด ที่สำคัญต้องเตรียมของแบบสดใหม่ทุกวัน ไม่มีค้างคืน


วิธีทำ เตรียมน้ำสะอาดใส่หม้ออะลูมิเนียม ขนาด 42 นิ้ว เต็มหม้อ จากนั้น นำส่วนประกอบทั้งหมดลงไปต้ม พร้อมกับใส่ใบเตย ใบแป๊ะก๊วย และดอกเก๊กฮวย เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้น และสีสันให้ออกเหลืองนวลสดใส


ส่วนน้ำตาลที่ใช้นั้นใช้น้ำตาลกรวด 5 กิโลกรัม ต้มประมาณ 2-3 ชั่วโมงก็เป็นอันใช้ได้ ปล่อยทิ้งไว้ให้ขนมเย็นเสียก่อน แล้ว ค่อยตวงใส่ถุง ขายถุงละ 20 บาท (กะปริมาณโดยใส่ลูกแป๊ะก๊วยประมาณ 12 ลูก, ป่วยจัว 2 ชิ้น, ลูกพุทรา 1 ลูก, ลำไย 2 ลูก และเก๋าคี่พอประมาณ)

สำหรับน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ร้านนี้จะมีขายหลายอย่าง ได้แก่ น้ำจับเลี้ยง น้ำเก๊กฮวย น้ำรากบัว น้ำมะตูม น้ำกระเจี๊ยบ น้ำลำไย ซึ่งเจ้าตัว ยืนยันว่าขายดีทุกชนิด และให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำสมุนไพรมา 2 ชนิดด้วย...


“น้ำจับเลี้ยง” มีคุณสมบัติช่วยแก้อาการร้อนใน ใช้ใบจับเลี้ยง 2 กิโลกรัม (หาซื้อที่ร้านขายยาจีน ซึ่งปลอดภัยที่สุด เพราะบางทีถ้าหาซื้อที่อื่นอาจโดนของปลอมได้) โดยที่ก่อนใช้ล้างให้สะอาด ต้มในน้ำขนาดหม้อ 42 นิ้ว พร้อมกับน้ำตาลกรวด และน้ำตาลทรายแดง 3 กิโลกรัม ต้มสุกแล้วกรองเศษใบจับเลี้ยงออก แล้วนำไปตวงแบ่งใส่ถุง ขายในราคาถุงละ 10 บาท


“น้ำกระเจี๊ยบ” ใช้ลูกกระเจี๊ยบ 2 กิโลกรัม ล้างให้สะอาดก่อน แล้วนำไปต้มในน้ำขนาดหม้อ 42 นิ้ว พร้อมกับน้ำตาลกรวด และน้ำตาลทรายแดง 3 กิโลกรัม เมื่อต้มสุกให้กรองเศษลูกกระเจี๊ยบออกให้หมด แล้วแบ่งตวงขายใส่ถุง ๆ ละ 10 บาทเช่นกัน

ใครอยากจะชิมหรือไปสอบถามเรื่องการขาย “เต้าทึง-แป๊ะก๊วย” และน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพ ของคุณเก๋-วิภารัตน์ ก็ไปได้ที่ตลาดสดบางขุนศรี ขายเกือบทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) ระหว่างเวลา 14.00-19.00 น. หรือหาร้านไม่เจอก็สอบถามได้ที่ โทร.086-993-5387


ส่วนใครอยากจะลองขายดูบ้างก็ไปฝึกทำกันดู !! เผืออาจจะช่วยสร้างรายได้ในยุคนี้เป็นอย่างดีก็ได้

เครดิต : http://www.dailynews.co.th

Read More...


การทำ เนื้อหมูวัวย่างเกาหลี เป็นอาชีพ

รายได้ ประมาณ 1,500 บาท/วัน

เงินลงทุน ประมาณ 12,000 บาท (ไม่รวมค่าเช่าและตกแต่งร้าน) (โต๊ะ-เก้าอี้ 5 ชุด ประมาณ 4,000 บาท ตู้กระจก 2,000 บาท เตาพร้อมถังแก๊ส 2,000 บาท เตาอั้งโล่ 5 ใบ 250 บาท กระทะย่าง 5 ใบ 750 บาท ที่ครอบกันความร้อน 5 อัน 500 บาท )

อุปกรณ์ โต๊ะ-เก้าอี้ ตู้กระจก เตาพร้อมถังแก๊ส เตาอั้งโล่ กระทะย่าง ที่ครอบกันความร้อน จาน ช้อน-ส้อม ตะเกียบ ถ้วยน้ำจิ้ม หม้อ ทัพพี

แหล่งจำหน่าย ร้านจำหน่ายอุปกรณ์อลูมิเนียม ย่านเวิ้งนาครเขษม สำเพ็ง

วิธีดำเนินการ ส่วนผสมน้ำซุป
น้ำ 1 หม้อ(เบอร์ 45)
ซี่โครงไก่ 7 ตัว
ซีอิ้วขาวสูตร 1 3-4 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ถุงเล็ก
ซุปไก่ก้อน 12 ก้อน
น้ำตาลทราย 3-4 ช้อนโต๊ะ
รากผักชีและขึ้นฉ่ายทุบพอบุบพอประมาณ
วิธีทำ 1
ใส่น้ำในหม้อเบอร์ 45 เกือบเต็มต้มจนเดือดแล้วใส่ซี่โครงไก่และส่วนผสมอื่น ๆ ลงไปทั้งหมด เมื่อซี่โครงไก่เปื่อยให้พักไว้โดยอุ่นเป็นระยะ ๆ
ส่วนผสมเนื้อหมู/วัวหมัก
เนื้อหมูสันใน/วัว 10 กิโลกรัม
น้ำมันหอย 1 ขวดใหญ่
ซีอิ๊วขาว ? ขวดใหญ่
พริกไทยป่น 2.5 ขีด
น้ำตาลทราย 1 ขีด
วิธีทำ 2
นำเนื้อหมู/วัวมาหั่นเป็นชิ้นพอประมาณแล้วผสมน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว พริกไทยป่น น้ำตาลทราย คลุกเคล้าให้เข้ากันหมักไว้ 1-2 ชั่วโมง ก็พร้อมที่จะขาย
ส่วนผสมน้ำจิ้ม
น้ำ 1 หม้อใหญ่(เบอร์ 45)
น้ำตาลปี๊บ 5 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 5 กิโลกรัม
เกลือ 1 ถุงเล็ก
น้ำส้มสายชู 5% ? ขวดใหญ่
มะขามเปียก 1 กิโลกรัม
พริกสด 8 กิโลกรัม
พริกแห้ง 1 กิโลกรัม
กระเทียมแกะเปลือกแล้ว 5-6 กิโลกรัม
วิธีทำ 3
1. ใส่น้ำในหม้อเบอร์ 45 เกือบเต็ม ต้มจนเดือด ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือ น้ำส้ม ต้มจนเดือดอีกครั้ง
2. ละลายมะขามเปียกกับน้ำให้ได้น้ำมะขามเปียก 1 กระป๋องน้ำแข็งเล็ก (ขนาดที่ใส่น้ำแข็งตามร้านอาหาร) เติมลงในหม้อ คนให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น
3. นำพริกสด พริกแห้ง และกระเทียมปั่นหรือบดให้แหลกพอสมควรแต่ไม่ต้องถึงกับละเอียด จากนั้นนำไปผสมในหม้อ ชิมดูให้มีรสเผ็ดนำ-หวานตามไม่ต้องเปรี้ยวมาก
หากรสเปรี้ยวมากให้เคี่ยวน้ำตาลทั้ง 2 ชนิด เติมลงไปอีก
วิธีขาย เพื่อเพิ่มยอดลูกค้า
1. เมื่อลูกค้าสั่งให้นำเตาอั้งโล่ที่ใส่ถ่านแดง ๆ ไว้แล้วไปตั้งที่โต๊ะ ซึ่งทำพิเศษโดยเจาะรูสี่เหลี่ยมกลางโต๊ะ ขอบหุ้มด้วยอะลูมิเนียมสำหรับใส่เตาลงไป เมื่อวางเตาแล้ว
ก็นำที่ครอบกันความร้อนซึ่งเป็นแผ่นเหล็กวงกลมชุบโครเมี่ยมมาครอบเตา จากนั้นนำกระทะย่างมาวาง
2. นำจาน ช้อน ตะเกียบ มาเสิร์ฟ
3. เสิร์ฟเนื้อหมู/วัวย่างเกาหลี ดังนี้
3.1 น้ำซุป ใส่ภาชนะพร้อมทัพพีกลม และโรยหน้าด้วยผักชีหั่นนำหมูหมัก ตับสด เซี่ยงจี๊สด ปลาหมึกสดและ “มันหมูแข็ง” (สำหรับวางบนกระทะย่าง เพื่อกันการติดกระทะ)
การจัดวางในภาชนะ ให้เกิดความสวยงาม3.2 จัดผักสดต่าง ๆ ใส่จาน เช่น ผักกาดขาว กะหล่ำปลี คะน้า ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย ต้นหอม ฯลฯ และ “วุ้นเส้น” ซึ่งแช่น้ำจนนิ่มวางทับมาด้านบน
3.3 ตักน้ำจิ้มใส่ถ้วยเล็กๆโดยโรยงาขาวคั่วและผักชีพร้อมถ้วยเล็กใส่พริกซอยกระเทียมสับและมะนาว

ตลาดจำหน่าย เนื้อย่าวเกาหลีข้อแนะนำ 1. หากมีเงินลงทุนน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเป็นร้านอาหาร อาจใช้เป็นรถเข็น โดย เพิ่มทุนอีก 4,000 – 5,000 บาท และให้มีพื้นที่วางโต๊ะลูกค้าประมาณ 5-6 โต๊ะ
2. การหมักเนื้อหมู/วัว หากหมักไว้ในตู้เย็นจะช่วยให้เครื่องหมักเข้าเนื้อเต็มที่ได้เร็ว ประมาณครึ่งชั่ง
 
ขอบคุณที่มาของบทความ อาชีพของเนื้อย่าง http://www.doe.go.th/vg/career/career5/job082.htm

Read More...


ทองพับแคลเซียม’ เพิ่มคุณค่า-เพิ่มจุดขาย


ขนมธรรมดา สามารถทำให้ไม่ธรรมดาได้ด้วยการนำคุณค่าทางอาหารมาเสริมเข้าไป ทำให้ขนมไทยกลายเป็นอาหารสุขภาพ กลายเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจมากขึ้น อย่างเช่น “ทองพับเสริมแคลเซียม”

ปลั่ง เสนาะคำ เจ้าของผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” ยี่ห้อ “คุณย่าปลื้ม” เล่าว่า เดิมเปิดร้านข้าวแกงและของชำ ต่อมาเข้าร่วมโครงการกับสถาบันวิจัยโภชนาการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารว่างสุขภาพ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งก็ได้เลือกทำทองพับเสริมแคลเซียม และกลายมาเป็นรายได้เสริมที่ดีทีเดียว

การทำทองพับเสริมแคลเซียมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้มี อาทิ ชามผสม ที่ตีไข่ เกรียงแซะอาหาร กระชอนร่อนแป้ง ถ้วยตวง ช้อนตวง และเครื่องพิมพ์ปิ้งทองพับไฟฟ้า 2 หัว ส่วนวัตถุดิบ ได้แก่ แป้งสาลีอเนกประสงค์ 700 กรัม, น้ำตาลทราย 300 กรัม ต้มเป็นน้ำเชื่อมได้ 1 กก., เกลือไอโอดีน 10 กรัม, กะทิมะพร้าว 500 กรัม, นมถั่วเหลืองต้มไม่ใส่น้ำตาล 500 มล. (ใช้ทดแทนกะทิร้อยละ 50 เพื่อลดปริมาณไขมันอิ่มตัว), น้ำปูนใส 150 กรัม, ไข่ไก่ 6 ฟองเล็ก, งาดำคั่ว 50 กรัม, น้ำเปล่า 720 มล. และ ไตรแคลเซียมฟอสเฟต 15.6 กรัม (ผงแคลเซียม)

ปริมาณส่วนผสมข้างต้น เป็นแป้งที่เตรียมไว้ทั้งหมด 5 สูตร แต่แบ่ง 4 ส่วนใช้กับแต่ละรส รสละ 1 ส่วน ซึ่งเมื่อผสมออกมาแล้วจะได้ส่วนผสมแป้งที่เมื่อแบ่งออกเป็น 4 ส่วน จะได้ส่วนละประมาณ 760 กรัม

4 รสที่ว่าก็มี รสกล้วยหอม ใช้กล้วยหอมสุกงอม 300 กรัม ผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน, รสเผือก ใช้เผือกต้มบดละเอียด 300 กรัม, รสฟักทอง ใช้ฟักทองต้มบดละเอียด 300 กรัม และ รสดั้งเดิม ไม่ต้องผสมอะไร

การใช้กล้วย, เผือก และฟักทอง เป็นการดัดแปลงให้เพิ่มคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่น ๆ ได้ด้วย

วิธีทำ เริ่มที่แช่ปูนที่กินกับหมาก 0.5 กก. กับน้ำสะอาดในปริมาณที่ให้ท่วมปูนอีก 4 เท่า คนให้ละลาย ตั้งทิ้งไว้ให้ใส ตักส่วนที่ใสไว้ใช้ นำแป้งสาลีมาร่อนด้วยตะแกรง 1 ครั้งก่อนนำไปผสมกับผงแคลเซียม คนให้เข้ากัน ไม่ต้องร่อน เพราะผงแคลเซียมจะติดตะแกรงง่าย นำน้ำตาลไปต้มกับน้ำ เคี่ยวเป็นน้ำเชื่อมให้ได้ 500 มล.

จากนั้นผสมแป้งกับกะทิ นมถั่วเหลือง น้ำเชื่อม น้ำปูนใส ใช้ที่ตีไข่กวนผสมให้เนียนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน และตามด้วยไข่ไก่ ตอกรวมตีให้แตกก่อนนำไปใส่รวมในส่วนผสม ใส่ไข่ลงในส่วนผสม แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตามด้วยการใส่เกลือป่น งาคั่ว ลงไปในส่วนผสม

สำหรับการเตรียมรส ไม่ว่าจะเป็นเผือก ฟักทอง กล้วยหอม แต่ละรสก็ผสมกับส่วนผสมแป้ง 1 ใน 4 ส่วน กวนผสมแป้งกับรสต่าง ๆ ให้เนียนจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

หรือถ้าจะทำเป็น รสผักหวาน ก็ล้างผักให้สะอาด หั่นฝอย นำไปอบไฟอ่อนประมาณ 45 นาที ให้น้ำหนักเหลือ 1 ใน 3 หรือจะทำเป็น รสใบมะรุม อันนี้ไม่ต้องหั่นฝอย รูดใบแล้วนำไปอบได้ ซึ่งการอบช่วยให้ใบผักแห้งสนิท นำไปใช้โรยหน้าทองพับขณะปิ้ง

ขั้นตอนการปิ้งทองพับ เริ่มที่เปิดเครื่องพิมพ์ทองพับไฟฟ้า ตั้งอุณหภูมิที่ 80 องศาเซลเซียส รอให้เครื่องร้อนก่อนใช้ โดยหมั่นคนส่วนผสมให้เข้ากันทุกครั้งก่อนที่จะตักแป้งหยอดใส่พิมพ์ เพื่อให้ได้ส่วนผสมสม่ำเสมอทุกแผ่น เพราะแป้งจะตกตะกอนนอนก้น ใช้น้ำมันพืชทาพิมพ์เล็กน้อย จากนั้นจึงค่อยตักแป้งหยอดลงบริเวณกลาง ๆ พิมพ์ ปิดพิมพ์เบา ๆ เพื่อไล่แป้งให้กระจายสม่ำเสมอทั่วพิมพ์ก่อน จึงค่อยออกแรงกดพิมพ์ให้แน่น จะได้แผ่นทองพับที่บาง ปิ้งไฟไว้จนแป้งขนมสุกและมีกลิ่นหอม จึงใช้เกรียงแซะขนมออกจากพิมพ์

การปิ้งขนมให้กรอบอร่อยให้สังเกตสีขนม ควรมีสีเหลืองออกน้ำตาลอ่อนเล็กน้อย เมื่อขนมสุกแล้ว ผึ่งไว้ให้เย็นก่อนบรรจุถุงพลาสติกใส ปิดปากถุงด้วยเครื่องรีด เก็บในปี๊บขนม จะเก็บได้นานประมาณ 1 เดือน

สำหรับสูตรที่ระบุมาข้างต้น ถ้าทำ 4 รส จะได้ขนมรสละประมาณ 60 แผ่น น้ำหนักแผ่นละประมาณ 6 กรัม จะได้ขนมทั้งหมดประมาณ 240 ชิ้น ใส่ถุงจำหน่ายถุงละ 17 ชิ้น ขายราคาถุงละ 20 บาท ขายหมดจะได้ 280 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 70-80 บาท

ผลิตภัณฑ์ “ทองพับเสริมแคลเซียม” เจ้านี้ขายอยู่ที่บ้านเลขที่ 22 หมู่ 3 ต.ดอนแฝก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม โทร. 0-3423-9898 ส่วนสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ยังมีสูตรอาหารว่างสุขภาพอีกหลายชนิด ใครสนใจสอบถามไปที่ อ.อรพินท์ บรรจง โทร. 0-2800-2380 ต่อ 314 (ในวันและเวลาราชการ).

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน




ที่มา เดลินิวส์

Read More...


'น้ำพริกแกงมัสมั่น'ทำขายรายได้รวยแน่

“น้ำพริกแกง” เป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัวคนไทยมาช้านานแล้ว เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่บรรพบุรุษรุ่นเก่าก่อนได้สร้างสรรค์อาหารจากการผสมผสานพืชพรรณต่าง ๆ ที่มีความหลากหลายในท้องถิ่น และในยุคต่อ ๆ มาจนวันนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” ก็เป็นอีกหนึ่ง “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ที่ไม่ควรมองข้าม...

“บุญธรรม อุตเดช” หรือ “ยายบุญธรรม” เป็นเจ้าของร้านน้ำพริกแกงสำเร็จรูปแม่บุญธรรม ตลาดท่าน้ำนนทบุรี เจ้าของร้านนี้เล่าให้ฟังว่าก่อนจะมามีอาชีพทำน้ำพริกแกงขายเคยทำงานทอผ้า และขายผัก ซึ่งเพราะความที่เป็นคนชอบกิน ชอบทำ แล้วก็ชิมพวกแกงทุกชนิด เวลาไปทำบุญที่วัดทุกครั้งก็จะถือโอกาสชิมแกงที่วัดนั้น ๆ ว่าเป็นอย่างไรบ้าง กระทั่งวันหนึ่งได้เจอกับเจ้าตำรับน้ำพริกแกง ชื่อ “แม่พวง” เป็นแม่ครัวของหลวงพ่อโอภาศรี วัดตลาดบางซื่อ ซึ่งเป็นแม่ของเพื่อน ซึ่งท่านทำแกงอะไร ๆ ก็อร่อย

“ทำให้เราต้องเดินทางมาที่วัดนี้บ่อย ๆ เพื่อมากินแกง แล้ววันหนึ่งก็บอกแม่พวงไปว่าสนใจอยากทำแกงได้อร่อยเหมือนของท่าน ต้องทำยังไงบ้าง แม่พวงท่านเห็นความตั้งใจของเรา ก็สอนให้โดยไม่หวงวิชาเลย สอนตั้งแต่การเลือกสมุนไพร เครื่องเทศ ส่วนผสมของแกง รวมถึงรสชาติของแกงแต่ละชนิดว่าควรเป็นอย่างไร ซึ่งสูตรส่วนผสมเครื่องแกงที่แม่พวงให้มานั้นเป็นแบบครกต่อครก”

จากนั้นก็นำสูตรที่ได้มาทดลองทำทีละอย่าง จนทุกอย่างเข้าที่ และก็อยากจะทำน้ำพริกแกงขาย เพื่อให้ทุกคนได้กินแกงที่อร่อย แต่ก็ต้องมากะสูตรต่อครกใหม่ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2 ปีกว่าทุกสิ่งจะเริ่มลงตัว

สถานที่ซื้อวัตถุดิบมาทำ ก็ไม่ควรมองข้าม ซึ่งเจ้านี้เขาโชคดีตรงที่ร้านอยู่ในตลาดสดอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องแหล่งวัตถุดิบ

น้ำพริกแกงร้านแม่บุญธรรมมีหลายอย่าง เช่น... น้ำพริกผัดพริกขิง, น้ำพริกแกงมัสมั่น, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกผัดเผ็ด, น้ำพริกแกงส้ม, น้ำพริกแกงเหลือง, น้ำพริกแกงกระหรี่, น้ำพริกแกงพะแนง, น้ำพริกแกงเผ็ด, น้ำพริกแกงไตปลา, น้ำพริกแกงเผ็ดใต้, น้ำพริกแกงเขียวหวาน, น้ำพริกเผา แต่ละอย่างราคาไม่แพง ราคาขาย กก.ละ 60-70 บาท นอกจากนี้ก็มีกะปิอย่างดีจากหลายจังหวัดที่มีชื่อด้านความอร่อย มาขายด้วย

ยายบุญธรรมบอกว่า คนขายสินค้าประเภทนี้ ต้องสามารถกะสัดส่วนของส่วนผสมแกงต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้ด้วย ทั้งเนื้อ น้ำพริกแกง และกะทิ รวมทั้งวิธีทำแบบคร่าว ๆ ด้วย
สำหรับอาชีพขาย “น้ำพริกแกง” นี้ อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... เครื่องบด หรือครก, กะละมัง, ทัพพี, กระทะ, ตะหลิว, เขียง, มีด เป็นต้น

ขณะที่ส่วนผสมน้ำพริกแกงต่าง ๆ ก็มีอาทิ... พริกแห้งเม็ดใหญ่ (พริกชี้ฟ้าแห้ง), หอมแดง, กระเทียม, ตะไคร้หั่นฝอย, ขาหั่นเป็นแว่น ๆ, รากผักชีหั่น, เกลือป่น, พริกไทย, ลูกจันทร์, ดอกจันทร์, เมล็ดผักชี, กานพลู, อบเชย, ลูกกระวาน, ยี่หร่า, เกลือ, น้ำมันพืช เป็นต้น
ร้านน้ำพริกแกง “ยายบุญธรรม” มีน้ำพริกแกงขึ้นชื่อหลายอย่าง เช่น “น้ำพริกแกงมัสมั่น”

ขั้นตอนการทำ “น้ำพริกแกงมัสมั่น” ยายบุญธรรมเปิดเผยว่า เริ่มจากผ่าพริกแห้งเอาเมล็ดออกทิ้ง แล้วหั่นหยาบ ๆ แช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้พริกแห้งนุ่ม เสร็จแล้วใช้มือบีบน้ำออก ใส่ภาชนะเตรียมไว้

จากนั้นนำพริกแห้งที่เตรียมไว้ใส่ครก ตามด้วยข่าหั่น ตะไคร้หั่น พริกไทย กระเทียม หอมแดง รากผักชีและเกลือป่น โขลกจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้

ทำการคั่วพริกไทย ลูกจันทร์ ดอกจันทร์ เมล็ดผักชี ยี่หร่า ลูกกระวาน กานพลู และอบเชย ให้หอมเหลือง แล้วโขลกรวมกันให้ละเอียด จากนั้นตักขึ้นพักไว้ ก่อนจะนำไปโขลกรวมกับส่วนผสมของพริกให้เข้ากันดี แล้วนำไปผัดในน้ำมัน ใช่ไฟปานกลาง ผัดไปเรื่อย ๆ จนน้ำพริกมีกลิ่นหอม เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ยายบุญธรรมบอกอีกว่า น้ำพริกแกงที่ร้านจะมีเอกลักษณ์ซึ่งทำให้มีลูกค้าประจำมาก คือจะมีกลิ่นหอมโชย รสชาติเข้มข้น และใช้สมุนไพรที่มีการเลือกสรรมาอย่างดี

ร้านน้ำพริกแม่บุญธรรมอยู่ในตลาดท่าน้ำนนทบุรี เปิดร้านตั้งแต่ตี 4 จนถึง 6 โมงเย็น ใครต้องการรับน้ำพริกแกงไปขายต่อ ก็ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร.0-2526-7297, 0-2525-1403 ทั้งนี้ อาชีพ “ขายน้ำพริกแกง” นั้นทำเงินแบบไม่ธรรมดาได้...ถ้ามีสูตรเด็ด ใครพอมีฝีมือทางนี้ก็ลองหาสูตรมาฝึกฝน-หาทำเลขายกันดู

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

Read More...


ข้าวผัดกิมจิ' ทำเลใช่..เป็นอาชีพเสริมได้ !

อาชีพขายอาหารยังเป็น “อาชีพเสริม สร้างรายได้” ยอดฮิตทุกยุคสมัย ซึ่งการจะประสบความสำเร็จ นอกจากรสมือจะต้องดีแล้ว เรื่องทำเล เรื่องการปรับตัวตามกลุ่มเป้าหมาย ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย และกับผู้ที่เลือกขายอาหารในย่านสถานศึกษา และมีเมนูตามกระแสนิยมของลูกค้าเป้าหมาย เช่น “ข้าวผัดกิมจิ” นี่ก็น่าสนใจ...

รวมพร หมื่นอินกุล หรือ ตวง อายุ 29 ปี เจ้าของร้านอาหารตามสั่ง อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยรังสิต เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการมาทำอาชีพนี้ว่า หลังจากเรียนจบก็เข้าทำงานด้านการตลาด แผนกแฟชั่น เสื้อผ้าและของใช้ผู้หญิง ทำงานอยู่เกือบ 4 ปี ก็รู้สึกเบื่อ อยากทำงานอิสระ จึงลาออก

แรก ๆ นั้น เพราะเคยทำงานด้านแฟชั่น จึงหันมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลังการบินไทย ตัดเอง ออกแบบเอง ช่วงแรกขายดีมาก มีเท่าไหร่ก็หมด ธุรกิจไปได้สวยจริง ๆ แต่ขายอยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก็ต้องปิดตัว เพราะเศรษฐกิจเริ่มไม่ดี รายได้ของร้านลดลง จากเดิมลูกค้าซื้อ 7,000 - 8,000 บาท และมาบ่อย ๆ หลัง ๆ มาเดือนละครั้งสองครั้ง ยอดซื้อเหลือ 2,000 – 3,000 บาท แล้วที่สุดก็หายหน้าไปเลย

ตวงบอกว่า เป็นคนที่คิดเร็วทำเร็ว ก็เลยเปลี่ยนแนว หาทำเลทำร้านอาหารทันที ซึ่งที่บ้านทั้งคุณแม่และคุณยายทำอาหารอร่อยมาก ตนเองจะติดกับข้าวที่บ้าน และก็เป็นคนที่ชอบกินและชอบทำอาหารด้วย ชอบดูรายการอาหารทางทีวี ดูสูตรจากอินเทอร์เน็ต และซื้อตำรามาฝึกทำ ทั้งอาหารไทย อิตาเลียน ฝรั่ง ญี่ปุ่น และเกาหลี ลองผิดลองถูกไปเรื่อย โดยมีน้องชายเป็นผู้ช่วยชิม

สำหรับร้านอาหารที่เปิดขายอยู่นี้ เปิดมาได้ประมาณ 2 เดือนแล้ว และกำลังไปได้ดีเลยทีเดียว มีน้อง ๆ นักศึกษาเข้ามาเป็นลูกค้าขาประจำจำนวนมาก ซึ่งน่าจะเป็นเพราะทางร้านเข้าใจว่านักศึกษามีความเป็นวัยรุ่น ชอบอาหารที่มีสไตล์แปลก ๆ มีเมนูผสมผสานกัน ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ การเปิดร้านอาหารในทำเลแบบนี้ เมนูต้องเด็ดใหม่เสมอ ขณะที่เรื่องรสชาตินั้นถ้าเป็นอาหารต่างชาติก็ต้องประยุกต์ให้ถูกปากคนไทย

รายการอาหารของทางร้าน ก็จะมีอาทิ ข้าวผัดกิมจิ, ข้าวห่อไข่-ข้าวผัดแฮม, ข้าวผัดเบคอน, ไข่เจียวแฮมชีส, คร็อกเก้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น, คร็อกเก้ครีมซอสแฮม, ตับไก่บดกับขนมปังปิ้ง, หอยลายเนยกระเทียมกับขนมปังปิ้ง, ข้าวผัดอเมริกัน, ข้าวผัดแกงกะหรี่ญี่ปุ่น, ข้าวปลาซาบะย่างซีอิ๊ว, ข้าวผัดต้มยำไก่-ทะเล, สปาเกตตีต้มยำ-ทะเล, ข้าวผัดเนื้อเค็ม, ข้าวไข่ระเบิด, ข้าวผัดพริกขี้หนูสด, ข้าวไก่คลุกฝุ่นกระเพากรอบ, ข้าวผัดแกงเขียวหวาน ฯลฯ โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่เมนูละ 30-40 บาทเท่านั้น ซึ่งกำไรก็พอให้ร้านอยู่ได้และวันนี้ตวงก็มีสูตรการทำ “ข้าวผัดกิมจิ” มาแนะนำ

การทำ “ข้าวผัดกิมจิ” นี้ เริ่มกันตั้งแต่การทำ “กิมจิ” ก่อน วัตถุดิบที่ใช้ตามสูตรก็มี... ผักกาดขาว 2 หัวใหญ่, ต้นหอม 100 กรัม, ขิง 20 กรัม, พริกชี้ฟ้าสดสีแดง 100 กรัม, กระเทียม 10 กรัม, น้ำส้มสายชู 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ, เกลือ และน้ำสะอาด

วิธีทำกิมจิ นำผักกาดขาว 2 หัวใหญ่ ล้างให้สะอาดแล้วผ่าครึ่ง เด็ดออกทีละใบจนหมด พักไว้ ผสมน้ำเปล่ากับเกลือ 40 กรัม ทำการคนให้เกลือละลายเป็นน้ำเกลือ ชิมรสให้ออกเค็มเล็กน้อย จากนั้นนำผักกาดขาวที่เตรียมไว้มาแช่น้ำเกลือนานประมาณ 6-8 ชั่วโมง จนผักสลด จึงนำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ

นำพริกชี้ฟ้าแดงสดมาผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นเล็กใส่ลงไปในครก ตามด้วยขิง กระเทียม ทำการโขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด ตักมาใส่อ่างผสม ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนให้เข้ากันเป็นน้ำปรุงรส แล้วพักไว้ จากนั้นหั่นต้นหอมเป็นท่อนยาวประมาณ 1 นิ้ว หั่นผักกาดขาวที่เตรียมไว้เป็นชิ้นพอคำ แล้วนำต้นหอม ผักกาดขาว และน้ำปรุงรส มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วหมักทิ้งไว้ประมาณ 3-4 วัน ก็เป็นอันใช้ได้

การจะทำข้าวผัดกิมจิ วัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี... ข้าวสวย, เนื้อหมูหรือเนื้อไก่หั่นเป็นชิ้น, เนย, น้ำมันหอย, น้ำตาลนิดหน่อย และขาดไม่ได้คือกิมจิ

วิธีทำ “ข้าวผัดกิมจิ” เริ่มจากนำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ผัดกับเนยให้สุกและหอม ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและน้ำตาลนิดหน่อย จากนั้นก็นำกิมจิมาใส่ ใช้ไฟแรงผัดไปมา 3-4 ครั้ง ก็ตักราดบนข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งร้านนี้เขาจะไม่นำข้าวลงผัดคลุก จะใช้วิธีราดเครื่องลงบนข้าวเพื่อความสวยงาม แต่ก็เรียกชื่อเมนูเป็นข้าวผัด

ร้านของตวงอยู่ข้าง ๆ มหาวิทยาลัยรังสิต ถ้ามาจากหมู่บ้านเมืองเอกวิ่งตรงมาตลอด ให้สังเกตร้านจะอยู่ติดกับร้านอินเทอร์เน็ตและร้านก๋วยเตี๋ยวโบราณ เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าไปจนถึง 2 ทุ่ม ใครอยากไปลองชิม ถ้าหาร้านไม่เจอสอบถามได้ที่ โทร.08-1925 -1171 ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนเช่นกัน !!

เชาวลี ชุมขำ :รายงาน / จเร รัตนราตรี :ภาพ

ที่มา เดลินิวส์

Read More...


กระเพาะปลาน้ำแดง" "เพื่อสุขภาพ"เพิ่มจุดขาย !

การขายอาหารการกินในปัจจุบัน ไม่ว่าจะร้านเล็ก-ร้านใหญ่ นอกจาก ราคาเป็นธรรม ใส่ใจเรื่องความสะอาดแล้ว ควรให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพผู้บริโภคด้วย ซึ่งกับ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” ที่ทีม “อาชีพเสริม สร้างรายได้” มีข้อมูลมานำเสนอวันนี้ ก็ใส่ใจสุขภาพลูกค้าจนเป็นจุดขายที่ดีทีเดียว...

“กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” เจ้านี้ ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาสำหรับคนรักสุขภาพ ผู้ปรุงขายนั้นเป็นอดีตข้าราชการของสถาบันมะเร็งฯในตำแหน่งโภชนากรดูแลอาหารผู้ป่วย เมื่อเกษียณอายุราชการแล้วก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ขายกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าวฯ และก็เป็นที่นิยมของลูกค้ามากทีเดียว

อารยา ปั้นพิพัฒน์ หรือ ป้าเจียม เจ้าของสูตร เล่าว่า ทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยขายมาตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ก็เป็นเวลากว่า 9 ปีแล้ว กระเพาะปลาที่ทำขายนั้นนอกจากเน้นความอร่อยแล้วยังให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพด้วย จะไม่ใส่เครื่องใน ใช้ยอดมะพร้าวแทนหน่อไม้ เสริมด้วยเม็ดแปะก๊วยซึ่งดีต่อสุขภาพ และจะไม่ใส่น้ำปลาและชูรส ที่สำคัญจะไม่ใส่สารกันบูด แต่แป้งก็ไม่มีการคืนตัว
สำหรับ อุปกรณ์ในการทำกระเพาะปลาน้ำแดงขายนั้น ถ้าทำขายเล็ก ๆ อุปกรณ์ การทำก็เป็นพวกเครื่องครัวต่าง ๆ เช่น เตาแก๊ส หม้อ จาน ฯลฯ และก็ควรต้องมีหม้อใส่กระเพาะปลาขายโดยเฉพาะด้วย

ส่วนสูตรและวิธีทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วยเจ้านี้ เริ่มที่ทำน้ำซุป โดยใส่น้ำสะอาดในหม้อเบอร์ 40 ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่โครงไก่หักครึ่ง 2 กก. รากผักชี 200 กรัม และพริกไทยดำ 200 กรัม ปรุงรสด้วยซอส 2 ถ้วย ซีอิ๊ว 1/2 ถ้วย และน้ำตาลกรวด 500 กรัม น้ำซุปนี้ต้มเคี่ยวประมาณ 3 ชั่วโมง

เมื่อขั้นตอนการต้มน้ำซุปเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการทำกระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย โดยใส่กระเพาะปลา 1,500 กรัม (แช่น้ำให้นุ่ม ต้มให้สุก ล้างด้วยน้ำเย็น บีบให้พอหมาด ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ) แล้วใส่ เห็ดหอม 300 กรัม (แช่น้ำให้นิ่ม และหั่นเป็นชิ้น ๆ เช่นกัน)

ใส่ยอดมะพร้าวหั่นต้ม 1.5 กก. จากนั้นค่อย ๆ ละลายแป้งท้าวยายม่อมและแป้งถั่วอย่างละ 200 กรัม กับน้ำในปริมาณที่พอประมาณ ดูว่าไม่ใสเกินไป-ไม่ข้นเกินไป ละลายแป้งแล้วก็ใส่ลงไปในหม้อ ตามด้วยใส่เลือดไก่ 5 ถ้วย ซึ่งต้องล้าง และต้มให้สุกเสียก่อน จากนั้นใส่ไข่นกกระทาต้ม 50 ฟอง เท่านี้ก็เรียบร้อยไปส่วนหนึ่ง

ในส่วนของเม็ดแปะก๊วยนั้น จากสูตรส่วนผสมข้างต้น จะใช้ประมาณ 1.5 กก. (ล้างให้สะอาด และต้มให้สุก) โดยจะแยกไว้ต่างหากไม่ใส่ผสมเลยทีเดียว และรวมถึงเส้นหมี่ลวกสุกกับผักชีหั่น ที่ก็แยกไว้เช่นกัน

นอกจากนี้ ก็ต้องเตรียมน่องไก่และปีกไก่ตุ๋น 2 กก. (การตุ๋นน่องไก่หรือปีกไก่นั้นให้นำลงต้มพร้อมกับน้ำซุปกระเพาะปลาให้สุกก่อน เมื่อน่องไก่หรือปีกไก่สุกแล้วก็ให้ตักออกมาใส่หม้อตุ๋นอีกใบต่างหาก โดยตุ๋นด้วยน้ำซุปกระเพาะปลาที่แบ่งมา และปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำพอประมาณ ตุ๋นไปจนงวดก็เป็นอันใช้ได้)

การขาย ก็ตักกระเพาะปลาใส่ถุงหรือชาม ขายชุดละ 25 บาท โดยกะปริมาณกระเพาะปลา ยอดมะพร้าว เส้นหมี่ และแป้ง ให้พอดี ๆ ใส่ไข่นกกระทา 2 ฟอง, น่องไก่หรือปีกไก่ 1 ชิ้น และเม็ดแปะก๊วยต้มจำนวนหนึ่ง โรยหน้าด้วยผักชีซอย และพริกไทย เสิร์ฟ-ขายพร้อมเครื่องปรุง อาทิ น้ำตาลทราย,จิ๊กโฉ่ว

จากปริมาณส่วนผสมที่ว่ามาข้างต้นนั้น เจ้าของสูตรนี้บอกว่า ถ้าขายหมดจะมี รายได้ประมาณ 2,000 บาท โดยต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นเมนูอาหารที่สร้างรายได้น่าสนใจทีเดียว

ใครสนใจ “กระเพาะปลาน้ำแดงยอดมะพร้าว-แปะก๊วย” สูตร ของป้าเจียม-อารยา อยากชิม หรือต้องการติดต่อไปออกร้าน ก็ติดต่อสอบถามไปได้ที่ โทร. 0-2526-5681, 08-1699-7505, 08-9484-7167 ส่วนใครที่ได้ไอเดียทำกินจากอาหารที่เน้นสรรพคุณเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย ก็รีบฝึกฝนเพื่อทำขาย อย่ารอช้า !!.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน-----------ที่มา เดลินิวส์

Read More...


ข้าวซอย-น้ำเงี้ยว’มีสูตรเด็ดขายที่ไหนก็รวย

“ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นเหนือไปสัมผัสอากาศหนาว และหลายคนก็จะถือโอกาส รับประทานอาหารประจำถิ่นอย่าง “ข้าวซอย” ให้จุใจ อย่างไรก็ตาม ข้าวซอยนี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องขายอยู่ทางเหนือเท่านั้น ขอเพียงมีสูตรเด็ดเคล็ดอร่อย ก็ทำขายในพื้นที่ภาคอื่น ๆ ได้ อย่างที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ภัคพงศ์ พึ่งกัน ปัจจุบันเปิดร้านอาหารชื่อ “รสมือแม่” อยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าตัวบอกว่า เดิมเคยเปิดร้านขายอาหารเหนืออยู่ที่เชียงใหม่ ภายหลังต้องหยุดเพราะเข้ามาทำงานเป็นสัตวแพทย์อยู่ในกรุงเทพฯ พอมาอยู่ที่กรุงเทพฯก็เห็นว่าอาหารเหนือนั้นหากินยาก จึงคิดจะเปิดร้านขายอาหารเหนือ และได้ขอให้คุณแม่ซึ่งมีประสบการณ์ในการทำอาหารเหนือมานานลงมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อช่วยในเรื่องนี้


ร้านอาหารเหนือที่เปิดใหม่นี้ก็ใช้ชื่อร้านว่า “รสมือแม่” ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยเปิดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเน้นให้คนกรุงเทพฯได้รู้ถึงรสชาติของอาหารเหนือที่แท้จริง และให้คนที่ชอบได้กินกันบ่อยขึ้น ที่สำคัญอาหารที่ร้านนี้ทุกเมนูจะไม่ใส่ผงชูรส โดยที่ร้านจะมีสโลแกนว่า “พ่อแม่ใส่ใจแทนการใส่ผงชูรส”

สำหรับอาหารเหนือที่ขึ้นชื่ออย่าง “ข้าวซอย” และ “น้ำเงี้ยว” เป็นเมนูที่ทำไม่ยาก แต่อาจจะมีขั้นตอนการทำที่เยอะหน่อย ซึ่งความอร่อยนั้นอยู่ที่ “พริกแกง” เพราะฉะนั้นพริกแกงที่ร้านนี้ใช้ทำทั้งสองเมนู จะทำขึ้นเอง ไม่ซื้อสำเร็จรูป และที่สำคัญข้าวซอยและน้ำเงี้ยวจะต้องทำใหม่ ๆ ทุกวัน จะทำพอดีขายวันต่อวัน

วัตถุดิบที่ใช้ในการทำพริกแกงข้าวซอย ตามสูตรของร้านนี้มีดังนี้... พริกแห้ง 2 ขีด, กระเทียม 3 ขีด, หอมแดง 3 ขีด, ข่า 2 ขีด, ตะไคร้ 2 ขีด, ขิง 1 ขีด, กะปิ 1.5 ขีด, เม็ดผักชียี่หร่า 1/2 ขีด, ผง กะหรี่ 2 ช้อนโต๊ะ, ผงขมิ้น 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 2 ช้อนโต๊ะ

จากสูตรนี้สามารถทำพริกแกงได้ประมาณ 1 กิโลกรัม

วิธีการทำพริกแกง เริ่มจากนำวัตถุดิบทุกอย่างมาทำการปั่นให้ละเอียด โดยแยกปั่นแต่ละอย่าง จากนั้นก็นำวัตถุดิบทุกอย่างที่ปั่นละเอียดแล้วมาเทใส่รวมกันในครก ทำการโขลกให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เท่านี้ก็จะได้พริกแกงพร้อมสำหรับทำข้าวซอย โดยพริกแกงข้าวซอยจะออกทางหอมกลิ่นผงกะหรี่

เมื่อได้พริกแกงก็มาถึงวิธีทำ “น้ำแกงข้าวซอย” เริ่มจากนำหัวกะทิใส่กระทะตั้งไฟปานกลาง ทำการเคี่ยวให้หัวกะทิแตกมัน จากนั้นก็นำพริกแกงที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงไปผัดรวมกับหัวกะทิ พอเริ่มหอมก็ให้นำเนื้อวัวหรือเนื้อไก่ใส่ลงไปผัดด้วยประมาณ 15 นาที

เนื้อวัวที่ใช้ทำควรจะใช้เนื้อส่วนน่องลาย เพราะเป็นเนื้อส่วนที่มีเอ็นติดแทรกอยู่ในเนื้อ เวลาทำออกมาจะอร่อยมาก ส่วนถ้าเป็นเนื้อไก่นั้นจะใช้เนื้อส่วนน่องมาทำ โดยเลือกใช้น่องที่มีขนาด 8-9 น่องต่อกิโลกรัม

ขั้นตอนต่อไป นำหางกะทิใส่หม้อตั้งไฟอ่อน ๆ ใส่เกลือและน้ำตาลทรายลงไปเล็กน้อย พอกะทิเดือดก็นำเนื้อหรือไก่ที่ผัดกับพริกแกงใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นก็ตั้งไฟเคี่ยวไปเรื่อย ๆ

ถ้าเป็นเนื้อจะใช้เวลาในการเคี่ยวเป็นชั่วโมงเพื่อให้เนื้อเปื่อยนุ่ม แต่ถ้าเป็นน่องไก่จะใช้เวลาในการเคี่ยวประมาณ 1/2 ชั่วโมงเท่านั้น เท่านี้ก็จะได้น้ำแกงสำหรับใส่เส้นข้าวซอย

สำหรับการเตรียม “เส้นข้าวซอย” นั้น ก็แค่ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำเส้นลงลวกให้เส้นนิ่ม ใส่ชาม ใส่น้ำแกงที่เตรียมไว้ลงไป แล้วก็จะใส่เส้นบะหมี่ที่ทอดกรอบอีกส่วนหนึ่งด้วย แต่เส้นข้าวซอยนั้นถ้าจะให้ได้รสชาติข้าวซอยเมืองเหนือแท้ ๆ จะต้องใช้เส้นข้าวซอยโดยเฉพาะ ซึ่งทางร้านนี้จะมีแหล่งสั่งซื้อจากจังหวัดเชียงใหม่

“ข้าวซอย” นั้นต้องเสิร์ฟคู่กับเครื่องเคียง อย่างผักกาดดองหั่นเป็นชิ้น, หอมแดงหั่นเป็นชิ้น และมะนาวหั่นซีก

หากใช้พริกแกงประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อวัวหรือน่องไก่ 5 กิโลกรัม และกะทิ 4 กิโลกรัม จะสามารถทำข้าวซอยได้ประมาณ 45 ชาม ราคาขายของร้าน “รสมือแม่” อยู่ที่ชามละ 40 บาท

ภัคพงศ์ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำเงี้ยว” ด้วยว่า สำหรับพริกแกงที่ใช้ทำน้ำเงี้ยวก็จะใช้วัตถุดิบเหมือนพริกแกงข้าวซอย เพียงแต่พริกแกงของน้ำเงี้ยวนั้นไม่ต้องใส่ขิงและผงกะหรี่ ส่วนวิธีการทำก็เหมือนกัน

การทำน้ำเงี้ยว เริ่มจากนำพริกแกงมาผัดกับน้ำมันให้พอหอม จากนั้นก็ใส่หมูลงไปผัดให้พอมีกลิ่นหอม ทำการตั้งน้ำต้มกระดูกหมู พอเดือดก็ใส่หมูที่ผัดกับพริกแกงลงไปในหม้อ ต้มไปเรื่อย ๆ ใส่เลือดไก่และมะเขือเทศลงไป ปรุงรสตามต้องการ ก็จะได้น้ำเงี้ยวสำหรับราดเป็น “ขนมจีนน้ำเงี้ยว” เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่าง ผักกาดดองหั่นฝอย, กะหล่ำปลีหั่นฝอย และพริกแห้งทอด

นอกจากข้าวซอยและน้ำเงี้ยวแล้ว ร้านรสมือแม่ยังมีอาหารเหนืออีกหลายเมนู อาทิ น้ำพริกอ่อง, ไส้อั่ว, แกงฮังเล, แกงอ่อม, แกงแค ฯลฯ และยังมีเมนู “สเต๊ก” ที่ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ไปที่ร้านนี้มักจะสั่งทานกัน

ใครสนใจอาหารเหนือ “ร้านรสมือแม่” ร้านนี้อยู่ในซอยชินเขต 2/40 หลังมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เข้าทางถนนวิภาวดีรังสิตตรงนอร์ท ปาร์คก็ได้ เปิดทุกวัน 10.00-22.00 น. สอบถามเส้นทาง โทร. 08-6378-9454 08-6378-9454 ซึ่งร้านนี้ก็พิสูจน์กับ “ช่องทางทำกิน” ว่าอาหารเหนือ ไม่ต้องขายที่เมืองเหนือก็ได้ !!.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

ขอบคุณที่มา เดลินิวส์

Read More...


‘ขายปลาทูนึ่ง’ เงินงาม

ขาย “ปลาทูนึ่ง” เป็นอีกหนึ่งอาชีพเก่าแก่ที่จนวันนี้ก็ยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีของใครต่อใครมากมาย ซึ่งวันนี้ทางทีมงานคอลัมน์ช่องทางทำกินก็มีข้อมูลการทำอาชีพขายปลาทูนึ่งมาให้ลองพิจารณากัน...

เจ๊ชุม-ประชุม อยู่ประเสริฐ และ เจ๊อี๊ด-นิภา อยู่ประเสริฐ สองพี่น้องผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการปลาทูนึ่ง ยึดอาชีพนึ่งปลาทูขายมาหลายสิบปี กับปลาทูแม่กลอง ที่มีเอกลักษณ์คือ “หน้างอ-คอหัก” รสชาติขึ้นชื่อ โดยทั้งสองร่วมกันเล่าว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพดั้งเดิมของครอบครัว พอพ่อแม่เสียก็รับช่วงทำอาชีพนี้

“ปลาทูแม่กลองจะมีความสด ใหม่ และกินอร่อย เพราะเป็นปลาที่นำมาจากทะเลวันต่อวัน ไม่มีการเก็บปลาไว้ค้างคืน แม่ค้าจะไปรับซื้อปลาที่ท่าเรือ เพื่อนำมาทำปลาทูนึ่ง ช่วงเวลาที่จะไปซื้อปลามานึ่งนั้นไม่แน่นอน เรือเข้า 2 โมงเช้า ก็ไป 2 โมงเช้า เรือเข้า 4 โมงเช้า ก็ไป 4 โมงเช้า รับปลามาแล้วก็เอาไปนึ่งทันที นึ่งเสร็จประมาณไม่เกินเที่ยงก็เอามาวางขายหน้าร้านได้เลย” เป็นกิจวัตรของคนขายปลาทูนึ่งเจ้านี้

เจ๊ชุมยังบอกอีกว่า ช่วงเทศกาลกินเจปลาแม่กลองจะยิ่งอร่อย ปลาจะมีชุกชุมและกำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มตัว เอกลักษณ์ปลาทูแม่กลองต้องตัวเล็ก กินอร่อย เนื้อหวานกว่าปลาทูอินโดฯ ที่ตัวใหญ่กว่าแต่เนื้อจืด

สำหรับการทำอาชีพนึ่งปลาทูขายในภาพรวมนั้น อุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ก็มี... หม้อต้มปลาขนาดใหญ่ สั่งทำเฉพาะ, เต๊า หรือกระเตง (เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นโครงเหล็กทรงกลม ที่ใช้เรียงเข่งปลา เพื่อนำปลาลงไปต้ม), หลัว (เข่งไม้สำหรับใส่เกลือเม็ด), เตาแก๊ส, เข่งไม้ไผ่, กะละมัง และทัพพี

ส่วนวัตถุดิบก็มี... ปลาทู, เกลือเม็ด, ใบตอง และน้ำสะอาด

หลายคนคงเข้าใจว่าที่เรียกว่า “ปลาทูนึ่ง” เพราะนำปลาไปนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วปลาทูนึ่งไม่ใช่การนำปลาทูไปนึ่ง แต่จะนำปลาไปต้ม ที่เรียกว่าปลานึ่งนั้นเพราะเป็นคำที่คนโบราณเรียกกัน และเรียกต่อ ๆ กันมา

การนึ่งหรือต้มปลาทู เจ๊ชุมได้ลงมือทำให้ดู โดยเริ่มจากนำปลาทูมาควักไส้ออก โดยการอ้าปากปลาทู แล้วดึงเหงือกปลาทูออกมา ไส้ทั้งหมดก็จะออกมาด้วย (ไส้ปลาทูก็ไม่ต้องทิ้ง เพราะจะมีคนมารับซื้อถึงที่บ้าน เพื่อนำไปหมักเป็นไตปลา และเอาไปเป็นเหยื่อปลา)

ควักไส้แล้วก็นำปลาทูไปล้างน้ำให้สะอาด ก่อนจะจับปลาทูหักคอให้งอลง เพื่อที่ปลาจะได้อยู่ในเข่งอย่างสวยงาม ซึ่งจุดนี้ทำให้ปลาทูแม่กลองดูแตกต่างจากที่อื่น หลังจากเรียงปลาลงเข่งเรียบร้อยแล้ว ก็นำเข่งปลาทูมาเรียงลงเต๊า (1 เต๊าจะใส่เข่งปลาทูได้ประมาณ 70-80 เข่ง )

ถ้าใช้หม้อต้มขนาด 200 ลิตร จะต้องใส่น้ำลงไปประมาณ 3/4 ของหม้อ แล้วตักเกลือเม็ด 5 ขันใส่ลงไปต้ม พอน้ำเดือดใช้ทัพพีช้อนฟองออกให้สะอาด จากนั้นก็ยกเต๊าปลาทูลงต้มในหม้อ ประมาณ 5-6 นาที ก่อนจะยกเต๊าปลาลงให้ตักน้ำเกลือราดลงบนเข่งอีกครั้ง เพื่อให้ความชุ่มของเนื้อปลายังคงอยู่ ยกเต๊าลงวางให้สะเด็ดน้ำสักพัก และก่อนนำปลาทูเป็นเข่ง ๆ ออกไปขายก็ใช้ใบตองปิดหน้าปลาทูแต่ละชั้น ไม่ให้ปลาติดกัน

ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการทำปลาทูนึ่ง ซึ่งเจ๊ชุมบอกว่า ปลาทูที่นึ่งใหม่ ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน และจะน่าทานยิ่งขึ้นถ้าปลาตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่น ไม่ยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก

เรื่องรายได้ ถ้าใช้ปลาทูสดประมาณ 100 กก. พอขายหมดเพื่อหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จะเหลือเป็นค่าเหนื่อยประมาณ 200-300 บาท หรือถ้ามากหน่อยก็ประมาณ 400-500 บาท แล้วแต่ราคาปลาสดแต่ละช่วง

ขณะที่ราคาขายให้ลูกค้า ขึ้นอยู่กับไซซ์หรือขนาดของปลา ถ้าเข่งหนึ่งมี 2 ตัว ขายราคา 3 เข่ง 100 บาท ไซซ์รองลงมาก็ 4 เข่ง 100 บาท และไซซ์เล็ก 5-6 เข่ง 100 บาท

อาชีพขายปลาทูนึ่งเจ้านี้อยู่ที่ตลาดแม่กลอง เป็นปลาทูนึ่งเรือโป๊ะ สด ๆ ของอ่าวแม่กลอง ร้านอยู่หน้าร้านโอ้วแซเซ้ง ตรงข้ามวินมอเตอร์ไซค์ 5 พลัง เดินตรงไปอีกนิดก็จะเจอร้านปลาทูนึ่ง “เจ๊ชุม” จะอยู่ติดกับร้านกุยช่ายทอดและร้านของดองเจ๊หมวย ทั้งสองร้านเป็นเจ้าเดียวกันเพียงแต่แยกกันขาย ใครสนใจติดต่อเจ๊ชุม โทร. 08-1995-6163 ส่วนเจ๊อี๊ด โทร. 08-7919–3071 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

ขาย “ปลาทูนึ่ง” เป็นอาชีพเฉพาะถิ่นก็จริงอยู่ แต่หากใครสนใจ ไม่ได้อยู่ไกลจากแหล่งปลาสดมากจนเกินไป ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำขายได้ และนี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่อาจมองข้าม.

ที่มา
เดลินิวส์
เชาวลี ชุมขำ

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.