สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ยำทรงเครื่อง’ ‘เกสรบัวหลวง’

อาชีพค้าขายอาหารในยุคนี้จะอยู่รอดได้ดีก็ต้องหาอะไรที่แตกต่างไปจากการค้าขายในท้องตลาดทั่วไป นอกเหนือไปจากฝีมือการปรุงที่เอร็ดอร่อย และอาชีพขาย “ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” เจ้านี้ ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่พลิกแพลงนำองค์ประกอบแปลก ๆ มายำขาย สร้างอาชีพ-สร้างรายได้อย่างดี...

แสงเดือน สิริอัจฉราพันธุ์ หรือ น้อย แม่ค้าขาย “ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” เล่าว่า เดิมทำอาชีพเย็บผ้ามาก่อน แต่รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว จึงหันมาทำ “ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” ซึ่งเป็นสูตรแปลกที่ไม่ค่อยมีคนทำขาย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่จะมาเป็นยำทรงเครื่องเกสรมะม่วงมันนั้นก็ขาย “ยำเกสรชมพู่ม่าเหมี่ยว” ตำรับชาววังมาก่อน ซึ่งได้สูตรมาจาก อาจารย์ยาใจ เพชรรัตน์ แต่เพราะเป็นอะไรที่ต้องรอตามฤดูกาล ก็เลยดัดแปลงมาเป็นเกสรบัวหลวงและกลีบอ่อนแทน

บัวหลวงมีสรรพคุณทางยา โดยรสชาติจะต่างกันที่ยำเกสรชมพู่จะออกรสเปรี้ยว ขณะที่ “เกสรบัวหลวง” จะออกรสคล้ายมะขามเทศ แต่ปรุงเป็นยำแล้วก็จะมัน ๆ อร่อยดีอีกแบบ

“ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน” ก็มีสรรพคุณด้านสมุนไพร ประโยชน์ทางสมุนไพรของบัวหลวงก็มีมากอยู่ และที่สำคัญบัวหลวงนั้นมีขายตลอดทั้งปี จึงเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่าย

สำหรับวัตถุดิบในการขายยำชนิดนี้นั้น หลัก ๆ คือใช้มะม่วงมัน ร้านนี้จะใช้วันละ 10-15 กก. ใช้มะม่วงพันธุ์แรด หรือน้ำดอกไม้ก็ได้ และบัวหลวงประมาณ 2 กำ ๆ ละ 10 ดอก นอกจากนี้ส่วนประกอบอื่น ๆ คือ น้ำเชื่อม ใช้น้ำตาลปี๊บเคี่ยวกับน้ำเปล่าประมาณ 3 กก. จนออกเป็นน้ำเชื่อม, ถั่วลิสงคั่ว 500 กรัม, กุ้งแห้ง 500 กรัม, มะพร้าวคั่ว 500 กรัม, ปลากรอบ 500 กรัม, ปลาหมึกกรอบ 500 กรัม, หอมแดงซอย 1 กก., กะปิหอมอย่างดี 1 กก., หอมเจียว (เจียวสำเร็จแล้ว) ประมาณ 1 ถุง (ราคา 24 บาท)
คุณน้อยบอกว่า วัตถุดิบที่ใช้หลัก ๆ ก็มีเพียงเล็กน้อย แต่การจัดร้านต้องดึงดูดลูกค้า ร้านของตนนั้นเป็นร้านรถเข็นธรรมดา แต่จะจัดร้านให้สวยงาม และดูดี ซึ่งตนก็เป็นคนชอบทำร้านให้สวยงาม เพื่อทำให้ลูกค้าเข้ามาซื้อของที่ร้าน ซึ่งร้านของคุณน้อยก็ประสบความสำเร็จในจุดนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน มีส่วนผสมของมะม่วงมันซอย (พอประมาณ), ถั่วลิสงคั่ว, มะพร้าวคั่ว, กุ้งแห้ง, หอมเจียว, หอมแดงซอย และเกสรบัว 1 ดอก ปรุงรสด้วยน้ำเชื่อม (น้ำตาลปี๊บเคี่ยว) พริกป่น และพริกขี้หนูซอย ซึ่งจะใส่ส่วนผสมลงในกะละมังที่เตรียมไว้ คลุกเคล้า และปรุงรสจนใช้ได้

การปรุงขายก็จะสอบถามลูกค้าว่าชอบรสชาติประมาณไหน ปรุงตามนั้นก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ขายในราคา 25-30 บาท (ตามปริมาณเกสรบัว ถ้าลูกค้าต้องการเพิ่มเกสรบัวก็จะต้องเพิ่มเงินอีกเล็กน้อย)

นอกจากยำทรงเครื่องเกสรบัวหลวง-มะม่วงมัน คุณน้อยยังให้สูตร “ยำมะม่วงปูจืด” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมนูเด็ดของร้านด้วย ซึ่งมีส่วนผสมของ มะม่วงซอย, กะปิหอม, หอมแดงซอย, มะพร้าวซอย ปรุงรสด้วยน้ำเชื่อม (น้ำตาลปี๊บเชื่อม) พริกสด และโรยหน้าด้วยปูจืด ซึ่งดองเกลือเอง ขายในราคาถุงละ 25-30 บาท

และยังมีสูตร “ยำมะม่วงปลากรอบ” ซึ่งมีส่วนผสมของมะม่วงซอย, หอมแดงซอย, ปลากรอบ, ถั่วลิสงเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำเชื่อม (น้ำตาลปี๊บเชื่อม) พริกป่น พริกนี้หนู และน้ำมะนาว ขายในราคาถุงละ 25-30 บาทเช่นกัน

ในแต่ละวัน คุณน้อยจะลงทุนประมาณ 1,000 บาท โดยถ้าขายหมด หักทุนแล้วจะมีกำไรประมาณวันละ 500 บาท ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้มากมาย เพราะใช้ของดี และมือหนัก ใส่เครื่องเยอะ แต่ก็พออยู่ได้

ปัจจุบันคุณน้อยจะเข็นรถเข็นขายยำระหว่างซอยวุฒากาศ 1 กับซอยวุฒากาศ 11 (ฝั่งธนบุรี) ทุกวัน ตั้งแต่ 12.00-20.00 น. หรือติดต่อที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-7543-4130 ทั้งนี้ อาชีพขายอาหารการกินอย่าง “ยำ” นั้น ยังพอไปได้ และ “พลิกแพลงได้หลากหลาย” ก็อยู่ที่ว่าใครจะพลิกแพลงจนโดนใจลูกค้าได้แค่ไหน

ที่มา
เดลินิวส์


สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :รายงาน

คู่มือลงทุน...ยำทรงเครื่อง
ทุนอุปกรณ์ ขึ้นอยู่กับรูปแบบร้าน
ทุนวัตถุดิบ 60-70% ของราคาขาย
รายได้ ขายชุดละ 25-30 บาท
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ย่านชุมชนทั่วไป
จุดน่าสนใจ เครื่องยำแปลก ๆ เป็นจุดขาย

Read More...


จ๊อปลาทู’ พลิกแพลงได้เด่น-เป็นเงิน


“ช่องทางทำกิน” มีการนำเสนออาชีพเกี่ยวกับอาหารแปรรูปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกับ “ฮ่อยจ๊อ” ก็เป็นอีกเมนูที่เคยนำเสนอ แต่ละเจ้าก็จะเด่นกันไปคนละสูตร แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งการดัดแปลง ล่าสุดมีคนหัวใสนำ “เนื้อปลาทู” มาปรับใช้ จนกลายเป็นเมนูชื่อแปลกหูอย่าง “จ๊อปลาทู” และเป็นอีกอาชีพที่น่าสนใจ...

บุญญาพร ตันสกุล เจ้าของสูตร “จ๊อปลาทู” เล่าว่า เดิมทำธุรกิจร้านอาหาร ต่อมามีปัญหาเรื่องพื้นที่ร้าน ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดี จึงเลิก แต่ด้วยความที่เป็นคนรักการทำอาหาร จึงพยายามไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแปรรูปจากแหล่งต่าง ๆ โดยสนใจการทำฮ่อยจ๊อเป็นพิเศษ
ด้วยความที่อยู่แถบ จ.สมุทรสงคราม ซึ่งเด่นเรื่อง “ปลาทู” และช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ปลาทูจะมีมาก แม่ค้ามักขายไม่หมด โดยเฉพาะปลาทูเล็กหรือปลาแมวที่คนไม่นิยมกินเท่าปลาทูตัวใหญ่ ทำให้ราคาตก และเหลือขายยาก จึงคิดว่าคงจะดีถ้าสามารถนำปลาทูที่ว่ามาพัฒนาเป็นเมนูอาหาร จนเกิดเมนู “จ๊อปลาทู” ขึ้น

จุดเด่นของจ๊อปลาทู นอกจากชื่อที่แปลกและแก้ปัญหาเรื่องราคาปลาทูแล้ว บุญญาพรระบุว่า อีกเรื่องคือในเนื้อปลาทูมีคอเลสเตอรอลน้อยกว่าเนื้อปู อีกทั้งราคาก็ถูกกว่าเนื้อปู จึงใส่เนื้อปลาได้มากกว่าการทำฮ่อยจ๊อปู โดยแทบไม่ต้องใช้แป้งเลย โดยเธอเองทำจ๊อปลาทูขายมาตั้งแต่ปี 2551 หลังจากใช้เวลาปรับรสชาติอยู่ระยะหนึ่ง เนื่องจากแรก ๆ ที่ทำจะมีกลิ่นคาวของปลาทูอยู่ ซึ่งลูกค้ามักจะไม่ชอบ ต่อมาก็พบว่าสามารถดับกลิ่นคาวได้โดยทำการขูดหนังปลาทูเพื่อแยกเนื้อปลาออกมา ก็จะสามารถกำจัดกลิ่นคาวที่เป็นปัญหาได้

“แรก ๆ ลูกค้าก็จะถามกันว่าจ๊ออะไร พอรู้ว่าเป็นปลาทูส่วนใหญ่ก็บอกว่าแปลกดี ยิ่งให้ทดลองทานก็พากันแปลกใจว่าทำไมไม่มีกลิ่นคาว เพราะบางคนไม่กล้าทาน สาเหตุเพราะกลัวว่าจะมีกลิ่นคาว ปลา ต่อมาในปี 2552 ก็ลองส่งเข้าประกวดโอทอป ก็ได้รับคัดเลือกเป็นโอทอประดับ 4 ดาวในปีแรกที่ส่ง”

ทุนเบื้องต้นสำหรับอาชีพนี้ บุญญาพรบอกว่าใช้ประมาณ 50,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าอุปกรณ์ อาทิ ซึ้งนึ่ง ขนาด 17 นิ้ว, แม่พิมพ์หรือรองพิมพ์สำหรับห่อ, กะละมังสเตนเลส, เขียงขนาดใหญ่, ถุงมือ, ผ้าขาวบาง เป็นต้น ส่วนทุนวัตถุดิบอยู่ที่ประมาณ 60% ของราคาขาย ซึ่งราคาขายก็อยู่ที่เส้นละ 30-35 บาท

ส่วนผสมทำจ๊อปลาทู 10 เส้น (ประมาณ 1 กิโลกรัม) ประกอบด้วย เนื้อปลาทู 1 กิโลกรัม, ต้นหอม 2 ขีด, แห้ว 2 ขีด, รากผักชี 1 ขีด, กระเทียม 2 ขีด, มันหมู 1 ขีด, ไข่ไก่ 1 ฟอง, พริกไทย, เครื่องปรุงรส และฟองเต้าหู้ และส่วนผสมของน้ำจิ้มก็มี น้ำบ๊วย, น้ำส้มสายชู, น้ำตาล, เกลือ และพริกไทย
ขั้นตอนการทำ “จ๊อปลาทู”...เริ่มแรกนำปลาทูมาขูดหนังแยกออกจากเนื้อปลา จนเหลือเพียงเนื้อปลาทูสีออกชมพู จากนั้นนำเนื้อที่ได้มานวดด้วยมือจนพอเหนียวครั้งหนึ่งก่อน ต่อมาจึงนำมันหมูที่เตรียมไว้มาผสมรวมกับเนื้อปลาทู นวดต่อไปอีกครั้งจนส่วนผสมเข้ากันดี นำเครื่องปรุงรสและส่วนผสมทั้งหมดที่เตรียมไว้มาเทใส่รวมกันลงไป จากนั้นก็ทำการนวดอีกครั้งเพื่อให้เนื้อปลาและส่วนผสมต่าง ๆ เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

ลำดับต่อไปนำแผ่นฟองเต้าหู้มาตัดเตรียมไว้ จากนั้นนำผ้าขาวบางชุบน้ำสะอาดบิดพอหมาด ๆ มาห่อแผ่นฟองเต้าหู้ให้พอนิ่ม นำแผ่นฟองเต้าหู้มาวางบนแม่พิมพ์ห่อหรือรองพิมพ์สำหรับห่อ (เจ้าของสูตรคิดประดิษฐ์รองพิมพ์ขึ้นเอง) นำเนื้อปลาทูที่ผสมและนวดจนเหนียวแล้วมาวางเรียงลงบนรองพิมพ์ จากนั้นพับ หัวและท้าย แล้วพับส่วนขอบม้วนให้แน่นไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วนำไปนึ่งโดยใช้ไฟปานกลาง สุกแล้วจึงนำมาตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนบรรจุจำหน่ายต่อไป โดย “จ๊อปลาทู” นี้สามารถอยู่ได้เป็นเดือนถ้านำใส่ไว้ในช่องฟรีซหรือช่องแช่แข็ง

“จ๊อปลาทูนี้จะใส่แห้ว ซึ่งจะหอมและกรอบมากกว่ามันแกวที่ใช้ใส่จ๊อปู ส่วนมันหมูใส่เพียงเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อจ๊อนุ่ม ถ้าไม่ใส่เลยเนื้อจ๊อจะกระด้าง อีกอย่างคือช่วยเพิ่มรสชาติให้กับจ๊อปลาทู เพราะถ้าใช้เนื้อปลาทูเพียงอย่างเดียว จ๊อที่ได้จะมีรสเปรี้ยวเกินไป เนื่องจากรสของเนื้อปลาทูจะออกเปรี้ยว” เจ้าของสูตรกล่าว

สนใจ “จ๊อปลาทู” ต้องการชิม ต้องการรับไปจำหน่ายต่อเป็นอาชีพ ติด ต่อคุณบุญญาพรได้ที่ เลขที่ 102/7 ซอยบางจะเกร็ง 3 ต.บางจะเกร็ง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม โทร.08-6977-8546 หรืออยากจะขอข้อมูลเพิ่มเติมก็ลองสอบถามกันดูโดยตรง นี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่พลิกแพลงได้น่าสนใจ.


ที่มา เดลินิวส์ศิริโรจน์ ศิริแพทย์

Read More...


กาแฟชัก’ เทไปเทมา ‘ท่าทำเงิน’

นอกจาก “ชาชัก” ที่ยุคนี้มีขายทั่วไป ไม่ใช่มีแค่เฉพาะถิ่น ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีแล้ว ก็มีร้านที่เปิดขาย “กาแฟชัก” ที่มีรสชาติน่าสนใจ และก็น่าจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจด้วย...

อุดม พงศ์กระพันธุ์ เป็นเจ้าของร้าน “อุดมกาแฟชัก” ซึ่งวันนี้ได้ใช้ร้าน “ติ๊กคาเฟ่” ซึ่งเป็นร้านของน้องสาว อยู่ใต้ตึกศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม เปิดสูตร และวิธีทำ “กาแฟชัก” กับทีม “ช่องทางทำกิน” โดยอุดมบอกว่า กาแฟชักเป็นอาชีพประจำครอบครัวมานานแล้ว โดยเริ่มแรกมีร้านขายที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ภายหลังจึงมาเปิดร้านที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม และก็ออกร้านไปกับกระทรวงพาณิชย์ตามงานต่าง ๆ มาจนทุกวันนี้

อุดมเล่าถึงกรรมวิธีอาชีพนี้ว่า ไม่ใช่เรื่องยาก ก็เตรียมอุปกรณ์สำหรับร้านขายกาแฟ หลัก ๆ ก็คือหม้อชงกาแฟ ส่วนวัตถุดิบหลัก ๆ ก็มี เมล็ดกาแฟสด, เนย และน้ำตาล จากนั้นทำการคั่วเมล็ดกาแฟ เสร็จแล้วนำเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วมาบดละเอียดพอประมาณ ก่อนนำไปชง

สำหรับส่วนผสมและสัดส่วนในการคั่ว ก็คือ ใช้เมล็ดกาแฟสด (โรบัสต้า) 10 กก., เนย 500 กรัม, น้ำตาลทราย 2 กก., เกลือ 300 กรัม รวมเป็นน้ำหนักรวม 12.8 กก. โดยที่กาแฟสดเมื่อคั่วแล้วจะเหลือน้ำหนักประมาณ 7 กก. และเก็บไว้ใช้งานได้ไม่เกิน 1 เดือน

การชงกาแฟ ส่วนผสมก็มีผงกาแฟบด น้ำร้อน นมข้นหวาน นมสด สัดส่วนการชงกาแฟคือ ผงกาแฟบด 6 ช้อน 300 กรัม, นมข้น 1 กระป๋อง 390 กรัม, นมสด 1/2 กระป๋อง 180 กรัม และน้ำร้อน 800 ซีซี

วิธีการ เตรียมน้ำร้อนชนิดเดือดจัดไว้ นำผงกาแฟใส่ในถุงกาแฟ จากนั้นราดน้ำร้อนลงบนถุงกาแฟเพื่อให้น้ำกาแฟออกมา ซึ่งน้ำกาแฟที่ได้นั้นจะมีสีดำ และรสชาติดี (หากใช้น้ำไม่ร้อนน้ำกาแฟจะไม่ออกสี และไม่มีรสชาติ) ส่วนนมข้นหวานใส่ลงไปบนหม้ออีกใบเตรียมไว้ แล้วนำน้ำกาแฟที่ชงเสร็จแล้ว เทลงในหม้อที่มีนมข้นหวานที่เตรียมไว้ แล้วชงให้ลูกค้า ส่วนนมสดจะใส่เป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเพิ่มความมันตอนที่จะขายให้ลูกค้า

เคล็ดลับในการชง การชงกาแฟโบราณนั้นน้ำต้องเดือดจัดถึง 100 องศา จะทำให้กาแฟหอมและข้น เมื่อผสมกับนมจะรสชาติพอดี (ไม่ควรใส่น้ำตาลในกาแฟที่ต้องใส่นมข้นอยู่แล้ว จะทำให้รสชาติไม่หวานกลมกล่อม และที่สำคัญไม่ควรเก็บกาแฟที่ปรุงแล้วเกิน 1 วัน และควรเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม)

การชงและชักกาแฟชักนั้น ก็เตรียมกระป๋อง 2 กระป๋อง ใส่กาแฟ 1 กระป๋อง เป็นกระป๋องเปล่า 1 กระป๋อง ทำการเทไปเทมาหรือ “ชัก” ระหว่างกระป๋อง ชักกาแฟไปมาประมาณ 5-6 ครั้ง จะได้รสชาติที่นุ่มและกลมกล่อมพอดี ซึ่งวิธีการ ลีลาการชัก ลูกเล่นต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ชัก ซึ่งต้องฝึกฝน และใช้ประสบการณ์ล้วน ๆ

ทั้งนี้ กาแฟ 1 ลิตร จะขายได้ 12 แก้ว (ขนาด 16 ออนซ์) ขายในราคาแก้วละ 15 บาท โดยมีต้นทุนต่อลิตรประมาณ 55-60 บาท (ไม่รวมต้นทุนแก้ว น้ำแข็ง และนมสด) ซึ่งวิธีการขายคือใส่น้ำแข็งในถ้วย ใส่นมสด กาแฟ และเทนมสดราดอีกครั้ง

ในส่วนของ “ชาชัก” นั้น อุดมก็ให้ข้อมูลว่า ใช้ชาผงอัสสัม, น้ำร้อน และนมข้น สัดส่วนคือ ชาผง 4 ช้อนโต๊ะ, น้ำร้อน 800 ซีซี และนมข้น 1.5 กระป๋อง วิธีการชงชาคือ เตรียมน้ำร้อนชนิดเดือดจัดไว้ นำผงชาใส่ในถุงชา (เหมือนกับถุงกาแฟ) จากนั้นราดน้ำร้อนลงบนถุงชาเพื่อให้น้ำชาออกมา ส่วนนมข้นหวานใส่ลงในหม้ออีกใบเตรียมไว้ แล้วนำน้ำชาเทลงในหม้อที่มีนมข้นหวานที่เตรียมไว้ แล้วชงให้ลูกค้า

วิธีชักชา ก็เตรียมกระป๋อง 2 กระป๋อง ใส่ชา 1 กระป๋อง กระป๋องเปล่า 1 กระป๋อง ชักหรือเทไปเทมา ประมาณ 5-6 ครั้ง จะได้ชารสชาตินุ่มและกลมกล่อมพอดี เช่นเดียวกับการชักกาแฟ และก็เช่นเดียวกับกาแฟชัก คือ ชา 1 ลิตรจะขายได้ราว 12 แก้ว ราคาแก้วละ 15 บาท โดยที่ต้นทุนชาต่อลิตรคือ 50-60 บาท ส่วนวิธีการขาย คือ ใส่น้ำแข็งในถ้วย ใส่นมสด ชา และราดนมสดอีกครั้ง

สนใจ “กาแฟชัก” หรือ “ชาชัก” ของอุดม ก็ไปชิมได้ที่ร้านติ๊กคาเฟ่ ใต้ตึกศูนย์ปฏิบัติการทัศนศิลป์สิรินธร มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม โทร. 08-7317-8189.


ที่มา เดลินิวส์
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/จเร รัตนราตรี : ภาพ

Read More...


ก้าวแรกเศรษฐี-ขนมครก

ดวงกมล โลหศรีสกุล

ขนมครกชาววัง ทำกินเพลิน ทำขายรวย

"ลงทุนครั้งหนึ่ง ประมาณ 300 บาท ซื้อแป้งสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม มาผสมกับ น้ำกะทิ น้ำสะอาด น้ำปูนใส น้ำตาลโตนด เกลือ จะได้แป้งสำหรับหยอดขนมครก 3 กิโลกรัม แป้งจำนวนนี้สามารถหยอดขนมครก ขนาด 15 เบ้า ได้ 24 กระทะ หากแคะไม่เสีย จะได้ขนมครก ทั้งหมด 360 ชิ้น จำหน่ายชิ้นละ 2 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 720 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย ได้กำไรเกินครึ่ง"



ย่านชุมชนตอนเช้าตรู่ หรือช่วงเย็นที่เป็นเวลาเปิดของตลาดนัด มักมีหนึ่งเมนูขนมไทยวางขาย นั่นคือ "ขนมครก" ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ แล้วโรยด้วยหน้าต่างๆ ซึ่งรสชาติออกหวาน เค็ม มัน จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลายคนนิยมรับประทาน

ก้าวแรกเศรษฐีฉบับนี้ นำเสนอข้อมูล ช่องทางการลงทุน และสถานที่จำหน่ายอุปกรณ์ขนมครก ขนมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นขนมไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมไม่ได้มีพัฒนาการเหมือนอย่างทุกวันนี้ เพราะตามหลักขนมไทย ใช้เพียงข้าวเจ้าไปโม่ให้เป็นแป้ง เจือกับน้ำตาล และมะพร้าวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน ถูกนำมาประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย สร้างรสชาติให้โดดเด่นไม่ซ้ำใคร


ขนมครกชาววัง

จุดเด่น ชิ้นใหญ่ กรอบอร่อย

อาจารย์จินดามาศ ทินกร วิทยากรศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ผู้เชี่ยวชาญขนมครก กล่าวว่า จำหน่ายขนมเมนูนี้ มากว่า 40 ปี สูตรที่ใช้เป็นสูตรโบราณตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แต่ปัจจุบัน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย นำส่วนผสมมาดัดแปลงเล็กน้อย ทว่ารสชาติ และรูปลักษณ์ยังคงเดิม "ขนมครกเมื่อก่อน สูตรดั้งเดิมนำข้าวสาร มาผสมข้าวสุกค้างคืนแล้วโม่ เพื่อให้มีความนิ่ม แต่ข้อเสียคือ ทำให้เสียไว ปัจจุบัน สะดวกสบาย เนื่องจากมีแป้งสำเร็จรูปจำหน่าย ช่วยลดความยากลงไปได้พอสมควร ส่วนหน้าที่ใช้โรยก็มีความหลากหลายมากขึ้น"

วัตถุดิบสำคัญของขนมครก ที่วิทยากรพูดถึงคือ แป้ง มีด้วยกัน 2 รูปแบบคือ แป้งสด และแป้งแห้ง ถามผู้เชี่ยวชาญได้ใจความว่า แป้งสดคือ แป้งที่ต้องทำเองไม่มีวางจำหน่าย อันมีส่วนผสมของข้าวสารเก่า ข้าวสวยกลางปีสุกค้างคืน ถั่วทอง หรือถั่วเขียวเลาะเปลือก นำมาโม่ด้วยเครื่อง วิธีการ นำข้าวสารเก่าแช่น้ำค้างคืน ไปโม่พร้อมข้าวสุกและถั่วทอง เหตุที่ไม่ใช้ข้าวใหม่ เพราะแป้งจะเหนียว เวลาแคะออกจากเบ้าจะไม่ค่อยล่อน ส่วนแป้งแห้งคือ แป้งสำเร็จรูปที่ขายทั่วไปตามท้องตลาด โดยความแตกต่างของแป้งทั้งสองนี้คือ แป้งสด เนื้อขนมจะละเอียดและหอม แต่แป้งแห้งจะให้ความสะดวกมากกว่า

นอกจากแป้งจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของขนมครก ยังมีกะทิที่ใช้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกซื้อมะพร้าวสำหรับทำขนมมาขูด แล้วคั้นเพื่อให้ได้น้ำกะทิที่สดใหม่ จากนั้นผสมเกลือป่นเล็กน้อย การทำเช่นนี้จะทำให้ได้กะทิที่หอม นอกจากนั้น ยังมีความเข้มข้นมากกว่ากะทิกล่อง แต่หากเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้ใช้ยี่ห้ออร่อยดี เนื่องจากกลิ่นจะหอมแบบธรรมชาติ

อีกสิ่งที่จะช่วยเพิ่มรสชาติ ให้ขนมครกกรอบอร่อย นั่นคือ ขนาด วิทยากร เผยว่า ควรเลือกใช้เบ้าขนมครกที่มีขนาด 15 เบ้า เฉลี่ยหลุมละประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร เวลาเทแป้ง ให้เท 3/4 ของเบ้า จากนั้นใช้กระบวยหน้ากว้าง 5 เซนติเมตร กดให้แป้งล้นขึ้นมา ประมาณ 1 เซนติเมตร เติมหางกะทิ ตามด้วยหัวกะทิ บริเวณที่ล้นเรียกว่าขอบ ซึ่งจะมีความกรอบ และแลดูชิ้นใหญ่ ลักษณะนี้รวมเรียกขนมครกชาววัง "เบ้าขนมครกที่วางขายทั่วไป มีตั้งแต่ขนาด 15 เบ้า 22 เบ้า และ 28 เบ้า อยากให้เลือกใช้ขนาด 15 เบ้า เนื่องจากชิ้นใหญ่ทำออกมาเฉลี่ยชิ้นละประมาณ 7 เซนติเมตร ซึ่งผู้บริโภคจะรู้สึกคุ้มค่า ต่างจากขนาดเล็กประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร"

ลำดับต่อมา ด้านรสชาติ อาจารย์จินดามาศ เผยว่า ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่นิยมรับประทานหวาน ดังนั้น อยากให้ผู้ประกอบการ ทำรสชาติแบบกลมกล่อม ไม่หวานจัด หรือเลี่ยนเกินไป ส่วนหน้าที่โรยยอดนิยม ได้แก่ ต้นหอม ผักชี ข้าวโพด เผือก ลูกตาล ถ้ายังไงสามารถนำไปดัดแปลงเพิ่มเติมได้



ลงทุน 3,000 บาท

ขายดีทุกวัน ไม่มีวันหยุด

ถึงตรงนี้ ถามผู้เชี่ยวชาญ ถึงจำนวนเงินลงทุน ได้ความว่า เงินที่ใช้ลงทุนขายขนมครกต่ำสุด เฉลี่ยใช้เงินประมาณ 3,000 บาท แบ่งเป็นค่าอุปกรณ์ 2,500 บาท ได้แก่ เตาไฟ 2 หัว เป็นเตาเหล็ก 1,500 บาท เบ้าขนมครก 1 ใบ ราคา 600 บาท กาหยอดขนมครก 60-100 บาท เตาแก๊ส 300 บาท ค่าวัตถุดิบ อาทิ แป้ง กะทิ น้ำตาลโตนด เกลือ จานกระดาษไว้ใส่ขนม ทั้งสิ้น 300 บาท แถมเหลือเป็นเงินหมุนเวียนจำนวนหนึ่ง "3,000 บาท หลักๆ ได้อุปกรณ์การขายและวัตถุดิบจำนวนหนึ่ง แต่จะไม่รวมอุปกรณ์เล็กๆ น้อยๆ อาทิ กะละมังผสมแป้ง ทัพพี ช้อน ของจุกจิกในครัว เนื่องจากแต่ละบ้านมักมีอยู่แล้ว"

เมื่อทราบว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ ต่อมาถึงรูปแบบการขาย วิทยากร ระบุว่า สามารถวางจำหน่ายได้ทั้งรถเข็น และตั้งโต๊ะ ขึ้นอยู่กับเงินทุน ถ้าเป็นรถเข็น คันละประมาณ 5,000 บาท ถ้าเลือกตั้งโต๊ะ สามารถเลือกวัสดุได้ตามกำลัง เลือกขนาดโต๊ะให้กว้าง 3 ฟุต ขึ้นไป ส่วนทำเลที่แนะนำ ยังคงอยู่ย่านตลาดสด ตลาดนัด งานวัด งานประจำปี ชุมชน หอพัก บริษัทห้างร้าน ป้ายรถประจำทาง หน้าร้านสะดวกซื้อ โรงพยาบาล หมู่บ้านจัดสรร สถานศึกษา หรือหากใครมีร้านอาหารอยู่แล้ว นำไปเสริมเป็นของหวานได้ ส่วนวัน และช่วงเวลาขาย ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ขายได้ทุกวัน ตั้งแต่เช้า ไปจนค่ำมืด

คล้ายว่าขั้นตอนขนมครกไม่มากมายนัก ทว่าสิ่งใดที่ยากที่สุด อาจารย์จินดามาศ เผย อยู่ที่เทคนิคการหยอด บรรดามือใหม่ ควรใช้ช้อนหรือกระบวย ไม่ควรใช้กาหยอด เนื่องจากน้ำหนักมือยังไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้กะปริมาณไม่ถูก อีกทั้งเวลาแคะ เพื่อไม่ให้เสียของ ต้องใจเย็นรอจนกว่าขนมจะสุก "ลงทุนครั้งหนึ่ง ประมาณ 300 บาท ซื้อแป้งสำเร็จรูป 1 กิโลกรัม มาผสมกับ น้ำกะทิ น้ำสะอาด น้ำปูนใส น้ำตาลโตนด เกลือ จะได้แป้งสำหรับหยอดขนมครก 3 กิโลกรัม แป้งจำนวนนี้สามารถหยอดขนมครก ขนาด 15 เบ้า ได้ 24 กระทะ หากแคะไม่เสีย จะได้ขนมครก ทั้งหมด 360 ชิ้น จำหน่ายชิ้นละ 2 บาท รวมแล้วเป็นเงิน 720 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย ได้กำไรเกินครึ่ง"

นอกจากขนมครกจะลงทุนต่ำ ขายได้กำไรดีแล้ว ข้อได้เปรียบอีกอย่างคือ วัตถุดิบหาซื้อได้ง่าย ส่วนผสมทุกอย่าง ซื้อได้ที่ตลาดสด ร้านขายของชำ ซุปเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าทั่วไป ไม่เหมือนกับอาชีพบางชนิด ที่ต้องมีร้านประจำ เช่น ขายอาหาร หรือผลไม้

อีกเทคนิคการขายที่อาจารย์จินดามาศ แนะนำ คือรสชาติต้องคงที่ วัตถุดิบสดใหม่ สถานที่จำหน่ายสะอาด มีหลากหลายไส้ให้เลือกรับประทาน พูดจาไพเราะกับลูกค้า ตั้งใจขาย ไม่หยุดบ่อย จะทำให้ได้ลูกค้าประจำ จากนั้นจะเกิดการบอกปากต่อปาก

ก่อนยุติเนื้อหา อาจารย์จินดามาศนำสูตรการทำขนมครกชาววัง มาให้ทดลองทำ และย้ำว่า โอกาสในการขายขนมชนิดนี้ ยังมีพื้นที่อีกมาก เนื่องจากปัจจุบัน คนยังนิยมบริโภคขนมชนิดนี้อยู่ สนใจสอบถามเนื้อหา หรือเข้ารับการอบรม ติดต่อ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน โทรศัพท์ (02) 589-2222, (02) 589-0492 และ (02) 954-4999 ต่อ 2100, 2101, 2102 และ 2103


วัตถุดิบตัวแป้งขนมครก

ส่วนผสม

1. แป้งข้าวเจ้าอย่างดี ตราดอกไม้ 1 กิโลกรัม

2. น้ำกะทิ 4 ถ้วยตวง

3. น้ำสะอาด 2 ถ้วยตวง

4. น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง

5. น้ำตาลโตนด 1 ช้อนโต๊ะ

6. เกลือ 1 ช้อนชา

7. โรยหน้าตามใจชอบ อาทิ ต้มหอม ข้าวโพด เผือก ฯลฯ

วิธีผสมแป้ง

ค่อยๆ เทแป้งข้าวเจ้า ลงผสมกับน้ำสะอาด น้ำปูนใส คนจนกว่าจะเข้ากัน จากนั้นเติมกะทิ น้ำตาลโตนด เกลือป่น แล้วคนให้เข้ากันดี



กะทิหน้าขนมครก

ส่วนผสม

1. หัวกะทิ 6 ถ้วยตวง

2. หางกะทิ 2 ถ้วยตวง

3. น้ำตาลทราย 1 1/2 ถ้วย

4. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำกะทิสำหรับหยอดหน้า

ผสม หัวกะทิ หางกะทิ เกลือป่น น้ำตาลทราย เข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟ คนให้น้ำตาลและเกลือละลาย จากนั้นยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ใส่ภาชนะเตรียมหยอดหน้าขนมครก

วิธีทำขนมครก

1. ตั้งกระทะขนมครก ใช้ไฟอ่อนปานกลาง รอจนเตาร้อนเต็มที่

2. นำลูกประคบ ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว แตะน้ำมันพืช เช็ดที่เบ้าขนมครกให้ครบทุกเบ้า

3. ตักหรือใช้กาหยอดแป้งขนมครก ลงในเบ้าปริมาณ 3/4 นำกระบวยกดให้ล้นขึ้นมาด้านข้าง ประมาณ 1 เซนติเมตร ปิดฝาทิ้งไว้ราว 2-3 นาที

4. หยอดหางกะทิ ตามด้วยหัวกะทิ ประมาณ 1 ช้อนชา ต่อ 1 เบ้า โรยหน้าตามใจชอบ ปิดฝาทิ้งไว้ รอจนขอบแป้งเหลือง ใช้ช้อนแซะขึ้นใส่ภาชนะ

วิธีทำหน้าไข่เค็ม นำไข่เค็มต้มสุก มาแกะเปลือกออก นำไปขูดให้เป็นเส้นฝอยๆ ใช้โรยหน้าขนมครก เพิ่มความอร่อยด้วยพริกชี้ฟ้าหั่นฝอย และผักชี (เฉพาะใบ)

วิธีทำหน้ากุ้ง ใช้กุ้งสด มะพร้าวทึนทึก ในปริมาณที่เท่ากัน สับให้ละเอียด นำไปรวน ใส่พริกไทย เกลือป่น ชิมให้ออกรสเค็มนิดๆ โรยบนหน้าขนมครก แต่งด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย พริกเหลืองซอย ใบผักชีเด็ดเป็นใบๆ



อุปกรณ์สำหรับทำขนมครก

1. เครื่องโม่แป้ง (ในกรณีทำแป้งสด)

2. เบ้าขนมครก

3. กาสำหรับหยอดแป้ง

4. ลูกประคบ (ทำด้วยกากมะพร้าวห่อด้วยผ้าขาว)

5. ช้อนสำหรับแคะขนมครก


เคล็ดลับความอร่อย

1. น้ำมันพืชที่ใช้เช็ดเบ้าขนมครก ควรเป็นน้ำมันมะพร้าว จะทำให้ขนมครกมีกลิ่นหอม ชวนให้น่ารับประทาน นอกจากนั้น ยังทำให้ผิวขนมครกมีสีสวย

2. ภาชนะใส่ขนมครก ไม่ควรใช้โฟม เนื่องจากมีสารเมลามีน ก่อให้เกิดมะเร็ง ควรเป็นจานกระดาษ หรือรองด้วยใบตอง หรือหากจำเป็นต้องเรียงซ้อนกัน ก็ควรมีใบตองวางทับไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ขนมครกติดกัน

3. เบ้าขนมครก มีทั้งที่ผลิตจากเหล็ก และสเตนเลส ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน ส่งผลด้านความสวยงาม แต่ไม่ส่งผลต่อรสชาติแต่อย่างใด


Read More...


ไอเดียแปลก ไอศครีมทุเรียน 100%


ไอศกรีมทุเรียน 100% ทรงไข่ กลยุทธ์การตลาด สู้ภาวะผลไม้ล้น

ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ


งานแสดงอาหารใหญ่ประจำปี "Thaifex-World of food ASIA 2009" ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหอการค้าไทย และโคโลญ เมสเซส ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัท ผู้ประกอบการ ด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าร่วมมากมาย

บู๊ธแสดงสินค้าบู๊ธหนึ่งที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากจากผู้เข้าร่วมชมงาน ได้แก่ บู๊ธที่วางแสดงสินค้าหน้าตาคล้ายไข่เป็ด ไข่ไก่ แถมยังอยู่ในแผงพลาสติคที่ใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ซะด้วย แต่เมื่อเหลือบมองเข้าไปภายในบู๊ธ กลับมีผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ นำมาจัดแสดงด้วย

ถามเจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ ได้ความว่า นี่ไม่ใช่ไข่เป็ด ไข่ไก่ แต่เป็นไอศกรีมทุเรียน มะพร้าว และมะม่วง อ้าว!...เป็นงั้นไป

เมื่อได้ความดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกมากมาย หนึ่งในคำถามนั้นคือ แล้วจะกินอย่างไร ต้องผ่าออกมาหรือเปล่า มีไอศกรีมอยู่ข้างในใช่หรือไม่

เจ้าหน้าที่จึงตอบคำถามพร้อมสาธิตให้ดูว่า เพียงแต่ใช้ไม้จิ้มไปที่ไข่ เยื่อพลาสติคบางใสและลอกออกมา กลายเป็นไอศกรีมผลไม้ล้วนๆ และไอศกรีมที่ว่านี้เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมอื่นใด มีแต่เนื้อผลไม้เท่านั้น

เจ้าของไอเดีย และเจ้าของธุรกิจ คุณมรุต ชโลธร เผยว่า เขาและเครือญาติมีสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ปกติขายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งผลิตผลไม้แปรรูปด้วย

"การแปรรูปก็ทำแบบผลไม้แปรรูปทั่วไป บางส่วนก็แช่แข็ง เพราะในแต่ละปีมีผลไม้ออกมามาก ที่นี้ เราก็มองว่าเราจะครีเอท แวลู่ หรือจะสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ เพียงแต่แอดแวลู่อย่างเดียวไม่พอแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ตัวสินค้าก่อน คำว่า ไอศกรีม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ และเป็นของหวานที่ทุกคนชื่นชอบ ขณะเดียวกัน ก็มีด้านลบต่อสุขภาพ คือน้ำตาลมาก และมีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารสังเคราะห์ สรุปก็คือไม่ใช่สินค้าในกลุ่มเพื่อสุขภาพแน่นอน เราก็เลยมองว่า จะทำอย่างไรให้ผลไม้มาอยู่ในรูปของไอศกรีมที่เน้นความเป็นธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์"

และนี่คือที่มาของไอศกรีมผลไม้ ที่ทางผู้ประกอบการเน้นว่า เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงต้น ทำออกมา 3 รสชาติ ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน



ผลไม้ล้นตลาดทุกปี

แค่แช่แข็ง ส่งออก คงไม่พอ

"เราพัฒนาทั้ง 3 ตัวนี้มา ก็เป็นเนื้อผลไม้ล้วนๆ นั่นหมายความว่า เราได้ปฏิวัติวงการไอศกรีมให้เป็นธรรมชาติล้วน"

คุณมรุต บอกอีกว่า ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ

"เราอยู่เมืองจันท์ เราก็อยากจะช่วย แต่คงต้องหาอะไรที่ใหม่ที่สุด สิ่งที่เราได้แล้วคือ ตัวเนื้อไอศกรีมที่ใหม่ เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะมาใส่แพ็กเกจจิ้งเก่าๆ มันก็ไม่เป็นจุดขาย ถ้าคนที่จะทานไอศกรีม จะนึกแค่ อยู่ในโคน ถ้วย หรือตัดกิน หรือทำซอร์ฟเสิร์ฟ เรากลับมองว่าเอ๊ะ ทำอย่างอื่นได้มั้ย จากนั้นก็สร้างกิมมิกว่า ถ้ามันเป็นไข่ล่ะ จะเป็นอย่างไร"

ดังนั้น ไอศกรีมผลไม้ รสทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน ในรูปไข่เป็ด ไข่ไก่ จึงออกมาด้วยประการฉะนี้ (ถ้าเป็นรสมะม่วงมีสีเหลือง จะคล้ายไข่ไก่มาก)

คุณมรุต เล่าอีกว่า " สำหรับผู้บริโภคเองเดินผ่านมา ก็จะถามว่า อะไรน่ะ ไข่หรือเปล่า บางคนนึกไปถึงไข่ข้าวหรือไข่ที่ผ่านการผสมแล้ว บางคนเดินผ่านไปแล้ววกกลับมา เรียกเพื่อนมาดูด้วยว่าเป็นอะไร ยิ่งถ้าเราบอกว่าเป็นทุเรียน เป็นไอศกรีมทุเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้าก็จะบอกว่า เอ้ย! จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ...นี่คือกิมมิกทางการตลาดที่เราคิดขึ้นมา นั่นคือ เราจะสร้างประสบการณ์ใหม่ เป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ดังที่เราให้สโลแกนไว้ว่า More than just ice-cream With a unique eating experience"

เมื่อจะรับประทานไอศกรีมที่ว่านี้ เพียงแต่เอาไม้จิ้มไปที่ตัวไข่ เยื่อพลาสติคใสก็จะหลุดออกโดยง่าย เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ อธิบายว่า เป็นอีลาสติก รับเบอร์ (หรือยางที่มีความยืดหยุ่น) เมื่อพลาสติคใสหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่ได้คือ ไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์

"อีลาสติก รับเบอร์นี้ เป็นฟู้ดเกรด คือรับประกันว่าห่อหุ้มอาหารได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคกังวลว่าจะมีอันตรายมั้ย แต่เราส่งตรวจเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระดับมาตรฐานสากลว่าปลอดภัย" คุณมรุต เผย และบอกอีกว่า

"โปรเจ็คต์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ใช้เวลาปีกว่าๆ ในการวิจัยและพัฒนา ขณะนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำกลยุทธ์ทางการตลาด เรากำลังหาลู่ทางเพื่อส่งออก และดูว่าในประเทศเราจะกระจายสินค้าอย่างไร"

แล้วเล็งไปที่ไหนบ้าง นั่นเป็นคำถามที่ถามออกไป ผู้ประกอบการรายนี้ ตอบว่า "จริงๆ ตอนนี้มีหลายทางเลือก เรายังไม่ได้สรุป ที่มาออกงาน Thaifex ครั้งนี้ แค่ต้องการดูผลตอบรับ ก็ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก เรามีบู๊ธเล็กๆ แต่ทุกคนที่เดินผ่านไป ก็จะเดินย้อนกลับมาด้วยความสะดุดตา สะดุดใจ"



ทำทุเรียนให้กลิ่นอ่อนลง

จับกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น

สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น เขาว่า มีผู้ซื้อชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ชื่นชอบทุเรียนเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ส่วนชาติตะวันตก จะมีภาพติดลบกับทุเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จาก ป้ายห้ามนำทุเรียนเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งรถเมล์ รถไฟ สนามบิน โรงแรม ฯลฯ เรียกว่า ในส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด เป็นส่วนต้องห้ามของผลไม้นาม "ทุเรียน"

"พอจบโปรเจ็คต์นี้ เรากำลังจะมีโปรเจ็คต์หน้าคือ Soft aroma durian คือเราจะพัฒนาว่า จะทำให้กลิ่นทุเรียน อ่อนลงได้อย่างไร เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ชอบในกลิ่น แต่อยากลองในรสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา"

ทุเรียนย่อมมีกลิ่นแรงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่นั้น คุณมรุตว่า

"จริงๆ แล้ว ความต้องการนี้มาจากผู้บริโภค ถามว่าจะฝืนธรรมชาติมั้ย ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ปรากฏการณ์ของคนที่กินทุเรียน เรียกว่า ทุเรียนเอฟเฟ็กต์ คือจะรักหรือจะเกลียดทุเรียนมาจากการได้กลิ่นในครั้งแรก หมายความว่า คนที่ชอบ เมื่อทานปุ๊บแล้วชอบเลย อร่อย ส่วนที่ไม่ชอบคือ กินแล้วก็ไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทางด้านการตลาดนี่ชัดเจน ดังนั้น ทุเรียนจึงเป็นสินค้าตัวแรกที่เราเลือกขึ้นมาเป็นจุดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ เป็นทุเรียนเลิฟเวอร์ หรือหลงรักรสชาติทุเรียน นี่จะกระโดดเข้าใส่เลย อย่างคนจีนที่ชอบมาก บางคนมาซื้อลูกเดียวไม่พอ"

"ในทางกลับกัน เรามองว่า เราพัฒนาทุเรียนเป็นตัวแรก ด้วยความที่ได้สินค้าแปลกใหม่ ก็โอเค แต่พอไปเจอเรื่องกลิ่น ก็เป็นปัญหา จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาเข้ามาช่วยในส่วนที่ช่วยได้ อย่างที่ ทำให้เป็นซอร์ฟอโรมา คำว่า ซอร์ฟอโรมา ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ทุเรียนไม่มีกลิ่น แต่ทำให้กลิ่นเบาลง อ่อนลง"

ปกติคนที่ชอบรับประทานทุเรียน จะมี 3 พวกใหญ่ๆ คือชอบทุเรียนห่ามๆ กรอบ กลุ่มนี้จะไม่ได้รสหวาน ไม่ได้กลิ่น พวกที่สอง คือพวกที่ชอบระดับกลางๆ จะได้ครบทั้งรสชาติและกลิ่น ส่วนพวกที่สาม คือชอบแบบสุก จะได้ทุเรียนรสหวานจัด กลิ่นฉุน ในระดับที่เรียกทุเรียนผลนั้นว่า "เป็นปลาร้าแล้วนะจ๊ะ"

"จะมีอีกพวกหนึ่งคือ อยากจะลิ้มรสความหวาน แต่สู้กลิ่นไม่ไหว เราอยากให้เค้าได้ลิ้มรสสักนิดหนึ่ง ทุเรียนนี่เป็นคิงออฟฟรุตนะครับ ถ้าเป็นเราไปเจอราชาแห่งผลไม้ที่ประเทศไหน เราก็อยากลอง แต่ถ้าต้องบีบจมูกกิน มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้น"

การวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ คุณมรุต เผยว่า ได้ร่วมพัฒนาเครื่องต้นแบบ กับบริษัทเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีเหมือนกัน

ดูเหมือนว่า ในส่วนตัวผู้ประกอบการเอง ออกจะได้เปรียบในเรื่องการประสานเทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากประเทศญี่ปุ่น

"ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่มาทำตรงนี้ บางคนถามว่า ไม่ได้เรียนมา แล้วทำได้ด้วยเหรอ ผมตอบว่า ที่ผมทำได้เพราะไม่ได้เรียนมา เพราะผมคิดว่า การที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร ทำให้ผมกล้าคิดนอกกรอบ คือถ้าจบทางด้านอาหารมาโดยตรง อาจจะมองแค่ในกรอบ การมองนอกกรอบ เราอาจจะต้องถอยออกมาแล้วมองเข้าไป ฉะนั้น ผมคือคนนอก ไม่ได้อยู่ในวงการ เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ที่ต้องการกลับไปพัฒนาให้กับชาวสวนเมืองจันท์"

สำหรับไอศกรีมผลไม้ ทั้ง 3 รสชาติในรูปไข่ คุณมรุตวางราคาขายส่งหน้าโรงงานไว้ที่ ลูกละ 15 บาท แต่ถ้าขายปลีกทั่วไป น่าจะอยู่ที่ลูกละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

"ตัวไอศกรีมผลไม้รูปไข่ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา ปีเศษๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงเช็คผลตอบรับ ซึ่งก็มีผู้ประกอบการหลายเจ้าที่ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายซึ่งเราอยู่ในระหว่างการพิจารณา"

และนี่เป็นอีกหนึ่งการให้ไอเดีย สร้างคุณค่าให้กับสินค้า ถ้าบอกว่าเป็นไอศกรีมรสทุเรียน คงจะดูเป็นสินค้าพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แม้กระทั่งจะบอกว่า เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรายอื่นทำออกมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงไข่ แถมยังวางไข่ ในรังไข่พลาสติคที่ดูยังไงก็เป็นไข่ แต่ไม่ใช่ไข่

การสร้างความสนใจ ความประทับใจเมื่อแรกเห็นนี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมามอง หันมาพิจารณา กระทั่งต้องการชิม และนำไปสู่การค้าขายต่อไป

มีสินค้าธรรมดาๆ พื้นๆ อีกมากมาย ที่รอให้ผู้สร้างสรรค์งานเข้าไปพัฒนา เข้าไปจับมาแต่งตัวใหม่ เพื่อให้ต่อสู้ในทางการตลาดได้มากขึ้น และไม่แน่ว่า ผู้สร้างสรรค์งานรายต่อไป อาจเป็นคุณ!!!

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แพ็คเกจจิ้ง จำกัด เลขที่ 65 ถนนเพชรเกษม วัดท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600 โทร. (02) 467-4214-5



การลงทุนขายไอศกรีมผลไม้รูปไข่

1. รูปแบบซื้อมา ขายไป ราคาขายส่งหน้าโรงงาน ชิ้นละ 15 บาท สามารถนำไปขายได้ราคาชิ้นละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

2. นำไปขายเสริมในร้านอาหาร ซึ่งอาจจะมีตู้แช่อยู่แล้ว

3. ซื้อตู้แช่เพื่อขายไอศกรีม ราคาตู้แช่ ประมาณ 20,000 บาท

4. ลงทุนกับทางบริษัท 20,000 บาท สิ่งที่จะได้คือ ตู้แช่ และคีออส โดยใช้พื้นที่ขายประมาณ 2 ตารางเมตร (ทางคุณมรุตให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตัวเลขการลงทุนลักษณะนี้ประมาณ 30,000 บาท แต่ทางบริษัทต้องการช่วยผู้ประกอบการ 10,000 บาท จึงตั้งตัวเลขการลงทุนไว้ที่ 20,000 บาท)

5. สั่งซื้อสินค้ากับทางบริษัท ตั้งแต่ 1,000-1,500 บาท ทางบริษัทจัดส่งให้ฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

6. ทำเลที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นประจำ ได้แก่ พัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ และทำเลที่น่าสนใจรองลงไปได้แก่ ใกล้สถาบันการศึกษา รวมทั้งแหล่งชุมชน

Read More...


ขายติ่มซำ สร้างรายได้



ติ่มซำ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ติ่มซำ (จีน: 點心 แปลว่า ตามใจ, ตามสั่ง) เป็นอาหารว่างของจีน นิยมรับประทานกับน้ำชา เป็นคำเรียกรวมอาหารหลายอย่าง มักเป็นอาหารจำพวกปรุงด้วยการนึ่ง เช่น ขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า เป็นต้น บรรจุในภาชนะขนาดเล็ก เช่น เข่งไม้ไผ่ หรือจานใบเล็ก ในร้านอาหารจีนบางร้านนึ่งติ่มซำไว้บนเตารอลูกค้าสั่ง บางร้านใส่รถเข็นหรือใส่ตะกร้าคล้องคอ ให้พนักงานนำไปเสนอลูกค้าในร้าน ขณะที่กำลังรออาหารอื่น

workdeena ต้องบอกเพื่อนๆ จริงๆ ว่า ติ่มซำนั้น มันรวมไปด้วยอาหารหลายอย่างจริงๆ workdeena คงต้องขอเอามาเพียงบางอย่างเท่านั้น (เพราะไม่เช่นนั้นคงต้องเขียนกันทั้งคืนแน่ๆ) เช่น

ฮะเก๋า
ส่วนผสม

เนื้อกุ้ง 1/2 กิโล
มันหมูหั่น 2 ขีด
มันหมูเจียว 1/2 ขีด
ไข่ขาว 1 ฟอง
แป้งข้าวโพด 10 กรัม
เกลือ 0.5 กรัม
อาโรมาต 7.5 กรัม
น้ำตาล 10 กรัม
พริกไทย 5 กรัม
น้ำมันงา (นิดหน่อย)

วิธีทำ
นำเนื้อกุ้ง ล้างให้สะอาด ปล่อยให้สะเด็ดน้ำผสมเกลือ แป้งข้าวโพดแล้วนำไปตีจนเนื้อกุ้งแตก ใส่ไข่ขาว ตีให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ ตีให้เข้ากันอีกครั้งและใส่น้ำมันงา แช่ตู้เย็น เย็นจัด ประมาณ 1/2 ชั่วโมง

ส่วนผสมแป้งห่อ

แป้งตั่งหมิ่น 120 กรัม
แป้งมันฮ่องกง 60 กรัม

วิธีทำแป้ง
ตั้งน้ำให้เดือด
นำแป้งใส่ภาชนะ แบ่งแป้งมันฮ่องกงเป็น 2 ส่วนเท่าๆกัน ใส่รวมกับแป้งตั่งหมิ่นไปครึ่งหนึ่ง
เมื่อน้ำเดือดแล้ว ใส่น้ำเดือดลงที่แป้ง (แป้งที่มีแป้งตั่งหมิ่นกับแป้งฮ่องกง) ใส่น้ำร้อนผสมแป้งให้สุกได้ที่ ไม่แฉะ
นำแป้งมันฮ่องกงที่เหลือมานวดให้เข้ากัน ใส่น้ำมันพืชลงผสมนิดหน่อย

- เมื่อได้แป้งและไส้เรียบร้อยแล้ว ให้แบ่งแป้งที่จะปั้นและแผ่ให้เป็นแผ่นบาง ใส่ไส้ลงให้พอเหมาะ แล้วนำไปนึ่ง 5-7 นาทีเป็นอันเสร็จ

ยังมีอาหารอีกมากมายที่สามารถนำมาทำ ติ่มซำขายได้


ขอบคุณที่มา http://workdeena.blogspot.com

Read More...


พลิกแพลงซาลาเปา..ไส้แกง

พลิกแพลงสร้างจุดขายที่ไม่เหมือนใครซาลาเปาไส้แกงจ้า

[220.jpg]

“ซาลาเปา” ยุคนี้มีการพัฒนาพลิกแพลงให้แปลกใหม่หลากหลาย ทั้งรูปร่างหน้าตา รวมถึง “ไส้แปลก ๆ” ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็จะเสนอข้อมูลการทำอาชีพขายซาลาเปาที่มีไส้ใหม่ ๆ น่าสนใจ...

ศิริพรรณ อตัญธี อายุ 43 ปี เจ้าของร้าน “บ้านซาลาเปา” ย่านรังสิต ซึ่งทำซาลาเปาขายมากว่า 10 ปี เล่าว่า อาชีพเดิมคือพนักงานออฟฟิศ เมื่อช่วง พ.ศ. 2543 ต้องตกงาน เพราะพิษเศรษฐกิจ ต้อง ออกจากงาน แต่โชคดีที่สามีมีอาชีพเป็นกุ๊กที่ภัตตาคารห้อยเทียนเหลา จึงได้ออกมาทำซาลาเปาขายแบบเล็ก ๆ ที่บ้าน

ระยะแรกเริ่มต้นจาก 3 ไส้ก่อนคือ ซาลาเปาไส้หมูแดง, ซาลาเปาไส้หมูสับ, ซาลาเปาไส้ครีม ทำแล้วนำไปฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ จากนั้นก็พัฒนาอาชีพให้เติบโตมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบันซาลาเปาที่ทำขายมีมากกว่า 10 ไส้ ประยุกต์ พัฒนา พลิกแพลงมาเรื่อย ๆ ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป

ซาลาเปาไส้เขียวหวานไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้กะเพราไก่ไข่เค็ม, ซาลาเปาไส้พะแนงหมูไข่เค็ม เป็น 3 ในกว่า 10 ไส้ที่ศิริพรรณทำขายอยู่ และได้รับความนิยมเป็นอย่างดี ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เพราะคนไทยกินข้าวแกงประจำ จึงคิดทำ ซาลาเปาที่มีรสแกงออกมาขาย ทดลองทำอยู่ไม่นานก็ทำได้ และขายดีด้วย

วิธีทำซาลาเปาไส้แกงต่าง ๆ ศิริพรรณอธิบายว่า ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มที่แป้ง ตามสูตรก็เตรียมแป้งสาลี 12 กก., เชื้อ 1 กก. (เชื้อนี้ต้องเริ่มต้นด้วยการหมักแป้งสาลีประมาณ 2 กำมือกับน้ำพอประมาณ นวดแล้ว ทิ้งไว้ 2-3 วัน เมื่อจะนำมาขึ้นเชื้อใหม่ ให้นวดแป้งสาลีกับน้ำในปริมาณที่ต้องการใช้ แล้วนำมาผสมกับปริมาณแป้งที่จะใช้ในแต่ละวัน เชื้อแป้งนี้อย่าใช้จนหมด ต้องแบ่งบางส่วนไว้ใช้ในคราวต่อไปด้วย เพราะถ้าใช้หมดต้องเสียเวลาหมักแป้งใหม่ ซึ่งอาจทำได้ไม่เหมือนครั้งแรก หรือจะแก้ปัญหาด้วยการไปขอเชื้อจากภัตตาคารที่ขายซาลาเปาก็ได้), น้ำตาลทราย 12 กก., แอมโมเนีย 1 ช้อนชา., ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ., น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ, นมสด 12 กระป๋อง

ในส่วนของแป้งนี้ วิธีทำคือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันให้เนียน โดยที่แป้งไม่ติดมือ จากนั้นใส่น้ำประมาณ 12 ถ้วย แล้วนวดจนเนียนอีก 20 นาที จากนั้นค่อย ๆ แบ่งแป้งออกเป็นก้อน ก้อนละ 40 กรัม เตรียมไว้

สำหรับสูตรแป้งที่ว่ามานี้จะทำซาลาเปาได้ประมาณ 30-32 ลูก

ต่อด้วยวิธีการทำ ไส้เริ่มที่ “ซาลาเปาเขียวหวานไก่ไข่เค็ม” มีส่วนผสมของไส้คือ เนื้อไก่สับ 1 กก., พริกแกงเผ็ดเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ, กะทิ 1 กล่อง, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ คลุกให้เข้ากัน ใส่แป้งข้าวโพดลงไปพอประมาณ นวดให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป แล้วค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ถัดมา “ซาลาเปาพะแนงหมูไข่เค็ม” มีส่วนผสมคือ เนื้อหมู 1 กก., เครื่องแกงพะแนง 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, ใบมะกรูดหั่นฝอย ผสมส่วนผสมให้เข้ากัน จากนั้นจึงค่อยนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง

ส่วน “ซาลาเปากระเพราหมูไข่เค็ม” ใช้หมูสับ 1 กก., กระเทียมสับ และพริกขี้หนูบด 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ และใบกะเพราพอประมาณ วิธีทำก็นำส่วนผสมมาคลุกผสมให้ เข้ากัน จากนั้นจึงนำไปแบ่งใส่แป้งซาลาเปาที่แผ่เตรียมไว้ ใส่ไข่เค็มสุก (ไข่แดง) ลงไปประมาณ 12 ฟอง การห่อแป้งหุ้มไส้ต่าง ๆ นั้น เวลาจะห่อไส้ก็ให้แผ่แป้งออกขนาดประมาณฝ่ามือ ใส่ไส้ลงไปพอประมาณ แล้วจึงห่อแป้งหุ้มให้แน่น จับจีบด้านบนให้สวยงาม แล้ววางบนกระดาษ จากนั้นนำไปนึ่งประมาณ 12-15 นาที

ซาลาเปาทั้ง 3 ไส้นี้ขายได้ในราคาลูกละ 15 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 60-70% ของราคา

สนใจ “ซาลาเปาไส้แกง” ต้องการติดต่อ ศิริพรรณ อตัญธี ร้านของเธออยู่ที่ 35 ซอยบงกช 30 หมู่ 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120 โทร.0-2901-8369, 08-9925-6312 หรือดูใน www.bansalapao.com ซึ่งเจ้าของอาชีพขายซาลาเปารายนี้ต้องถือว่าพลิกแพลงได้น่าสนใจไม่น้อย.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน/ จเร รัตนราตรี : ภาพ
หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์

Read More...


น้ำพริกอ่อง และขนมจีนน้ำเงี้ยว ทำเป็นอาชีพเสริม

น้ำพริกอ่อง และขนมจีนน้ำเงี้ยว
น้ำพริกอ่อง
เครื่องแกง
พริกแห้งเม็ดใหญ่ 5 เม็ด
พริกแห้งเม็ดเล็ก 15-20 เม็ด
กระเทียม 5 กลีบ (แบบกลีบใหญ่)
หอมแดง 3-4 หัว
รากผักชี (ไม่มีก็ไม่ต้อง) ซัก 1 ราก ตัดให้ติดลำต้นมาประมาณ 1 นิ้ว หั่นละเอียด
เกลือหนึ่งหยิบมือ
กะปิ ปลายช้อนชา
ถั่วเน่าแผ่นย่างไฟอ่อน ให้กรอบ หอม 1 เสี้ยว (ไม่มีไม่ต้องใส่หรือบางตำราใส่เต้าเจี้ยวแทน)

ถั่ว เน่าหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ กลิ่นตุๆนิดหน่อย พอย่าง(ย่างไฟอ่อนๆ)แล้วจะพองกรอบขึ้นมานิดนึง และกลิ่นหอม ทำจากถั่วเหลืองหมัก หอบหิ้วกันมาจากเชียงใหม่ ยังเหลืออีกหลายแผ่น เวลาใช้ จะใช้ประมาณชิ้นเล็กที่เห็นในรูปเท่านั้นเอง

Image hosted by Photobucket.com

ตำ เครื่องแกงทุกอย่างรวมกัน โดยใส่กะปิ กับถั่วเน่าหลังสุด เครื่องแกงน้ำพริกอ่องไม่จำเป็นต้องตำจนละเอียดเนียน แต่แค่ให้แหลกพอควรก็ใช้ได้แล้ว

ส่วนผสม (กะเอาเองนะคะ )
หมูสับ ติดมันนิดหน่อย จะได้ไม่กระด้าง
มะเขือเทศลูกเล็ก (ควรเป็นมะเขือเทศที่มีรสเปรี้ยว)
เครื่องแกงน้ำพริกอ่อง
ผักชีต้นหอม หั่นหยาบ ไว้โรยหน้า

Image hosted by Photobucket.com

ตั้ง กระทะ ใส่น้ำมันลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เอาเครื่องแกงลงไปผัดให้หอม แล้วใส่หมูสับลงไปผัดด้วยกันให้สุก ตามด้วยมะเขือเทศ เติมน้ำลงไปเล็กน้อยพอขลุกขลิก ปรุงรสให้ออกรสเค็มด้วยเกลือหรือน้ำปลา และมีรสเปรี้ยวจากมะเขือเทศลูกเล็กที่ใส่ลงไป ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยผักชีต้นหอมหั่นหยาบ

Image hosted by Photobucket.com

เสิร์ฟ คู่กับ แตงกวาสด ผักกาดขาวสด และแคบหมู ถ้าอยู่ต่างแดน แนะนำให้กินคู่กับผักคอสหรือผักโรเมน (Romaine) จะเข้ากันมากค่ะ ไม่มีรูปผักให้ดู มีแต่แคบหมูฝรั่ง ซึ่งอร่อยไม่แพ้แคบหมูเชียงใหม่

Image hosted by Photobucket.com

ขนมจีนน้ำเงี้ยว
จะว่าไปแล้ว ขนมจีนน้ำเงี้ยวเนี่ย เป็นญาติกะน้ำพริกอ่องเลยเชียวนะคะ
ญาติข้างไหน มาดูกัน

ส่วนผสม
เครื่องแกงน้ำพริกอ่อง
หมูสับ
เลือดหมูหรือเลือดไก่ก้อน หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
มะเขือเทศลูกเล็ก ใส่ทั้งลูก หรือผ่าครึ่งก็ได้
ซี่โครงหมู สับเป็นท่อนๆ
ดอกงิ้วแห้ง แช่น้ำให้นิ่ม แล้วตัดส่วนแข็งๆทิ้งไป

ผักเคียง
ถั่วฝักยาวลวกแล้วหั่นฝอยหรือหั่นเฉียง ตามชอบ
ผักกาดดองลวกน้ำร้อนหนึ่งครั้ง แล้วหั่นฝอย
กะหล่ำปลีหั่นฝอย
ถั่วงอกสด
แคบหมู
พริกขี้หนูแห้งทอดน้ำมันทั้งเม็ด ให้กรอบหอม (ระวังไหม้ จะขม)
กระเทียมเจียว
ผักชีต้นหอม

วิธีทำ
หม้อ ตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย เอาเครื่องแกงลงไปผัดให้หอม แล้วใส่หมูสับลงไปผัดให้สุก รวมทั้งกระดูกซี่โครงหมูที่สับเป็นท่อนๆ ผัดให้หอม แล้วจึงเติมมะเขือเทศลงไปผัด เติมน้ำลงไป ต้มให้เดือด ใส่ดอกงิ้วลงไป ใส่เลือดหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปช้อนฟองออก แล้วราไฟ เคี่ยวไฟอ่อนไปเรื่อยๆ ให้กระดูกเปื่อย ปรุงรสด้วยน้ำปลา หรือเกลือ ให้ออกรสเค็มพอดี รสเปรี้ยวเล็กน้อยจากมะเขือเทศลูกเล็ก

ปล. ไม่มีรูปน้ำเงี้ยวนะคะ เพราะว่า อยู่ที่นี่ไม่เคยทำเลย หาเลือดหมูก้อนไม่ได้
คงต้องอดทนไว้ กลับไปกินที่เชียงใหม่ทีเดียว อย่าลืมเอาไปทำเป็นอาชีพเสริม กันได้ด้วยนะ

ที่มาของบทความดีๆ

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=maneelulla&date=11-12-2005&group=4&gblog=11

Read More...


บลูเบอรี่มัฟฟิน อาชีพเสริม ทำงิน ขนมหวาน

บลูเบอรี่มัฟฟิน



ทำได้แล้วคะ ที่บอกว่าทำได้แล้วเนี่ยก็บลูเบอรี่มัฟฟินไงจ๊ะ เฮ่อ!^^” ขอถอนหายใจหนึ่งที อิอิ.. เพราะได้สูตรจาก cook book มาทีไรก็มีแต่สูตรหลอก ๆ ทั้งนั้นทำแล้วทานมะได้ ล่าสุดทำมัฟฟินช็อคโกแลตคะ กินไม่ได้เลย ทั้งขมทั้งจืด จนต้องนำมาแปลสภาพเป็นช็อคบอล ไว้จะนำสูตรมาลงให้นะจ๊ะ และกว่าจะทำสำเร็จพยายามหาสูตรที่ลงตัวอย่างมากคะ มันดูเหมือนง่าย แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดน้า... สำหรับสูตรนี้ส้มได้มาจากคุณปุ้ยคะ ขอบคุณมากนะจ๊ะสำหรับสูตรอร่อย ๆ สูตรนี้ไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่และใช้ส่วนผสมไม่มากด้วยคะ เพื่อน ๆ ลองทำทานกันดูนะเพิ่มช่องทาง อาชีพเสริม ทำเงิน

ส่วนผสมคะ



1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ว่าว) 1+½ ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทราย ¾ ถ้วยตวง
3. ผงฟู 1+½ ช้อนชา
4. เนยสด 75 กรัม
5. เกลือป่น ½ ช้อนชา
6. นมสด 1/3 ถ้วยตวง
7. ไข่ไก่ 1 ฟอง
8. วนิลา 1 ช้อนชา
9. บลูเบอรี่กระป๋อง (หรือบลูเบอรี่สด) ½ ถ้วยตวง

ลุยกันเลยจ้า...



1. เริ่มจากเตรียมเนยก่อนคะ 75 กรัม นำมาละลายด้วยไมโครเวฟ หรือจะนำไปตั้งไฟให้เนยละลายก็ได้จ้า.. จากนั้นพักไว้ก่อน



2. จากนั้นนำส่วนของ ๆ แห้งทั้งหมด อันได้แก่ แป้งสาลี เกลือ ผงฟู น้ำตาลทราย ตวงตามน้ำหนักและใส่ชามไว้(ไม่ต้องร่อนนะจ๊ะ) จากนั้นใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมเข้ากันจ้า.. เสร็จแล้วพักไว้ก่อนคะ



3. เตรียมถ้วยกระดาษ หรือถ้วยมัฟฟิ่น(ถ้ามี) ไว้เลยคะ สำหรับถ้วยส้มใช้เบอร์เดิมคะ^^” แบบว่ามีอยู่เบอร์เดียวอะ คือ 2616 ทำได้ประมาณ 19 ถ้วยนะจ๊ะ และก็วอล์มเตาอบไว้ด้วยคะ ไฟล่างอย่างเดียว 200 องศาเซลเซียสจ้า..



4. นำไข่ไก่ผสมกับนม ให้เข้ากันแบบนี้นะจ๊ะ



5. จากนั้นก็เทใส่ลงไปในส่วยของแป้งได้เลยจ้า



6. เทเนยละลาย ตามลงไปอยู่ด้วยกันจ้า..



7. คนส่วนผสมให้เข้ากันด้วยตะกร้อมือเลยคะ (อย่าคนนานนะ มัฟฟินถ้าคนนานจะแป้งเหนียว และหนัก ๆ คะม่ายอาหย่อยอิอิ..^^”)



8. ใส่บลูเบอรี่ลงไปเลยจ้า.. (ถ้ามีบลูเบอรี่สดก็สามารถใช้แทนได้นะจ๊ะ)



9. คนส่วนผสมให้พอเข้ากันอีกครั้งคะ (แป๊บเดียวน้า..เดี๋ยวแป้งจะเหนียว) จากนั้นตักใส่ถ้วยกระดาษเลยจ้า.. ประมาณ ¾ ถ้วยคะ



10. นำเข้าเตาอบเลยจ้า.. ไฟ 200 องศาเซลเซียส ใช้ไฟล่าง 20 นาที แล้วต่อด้วยไฟบน – ล่างอีก 5 นาทีคะ (อันนี้ขึ้นอยู่กับเตาอบของแต่ละบ้านด้วยน้า..) เพราะฉะนั้นเวลาอบ ซัก 18 นาทีลองดูก่อนว่าได้รึยัง อบนานเดี๋ยวจะไหม้



11. สุกแล้วจ้า..หอมมาเชียว นำออกจากพิมพ์พักไว้บนตะแกรงให้อุ่น ๆ น้า จากนั้นก็หม่ำได้เลยคะ



12. จากนั้นจัดเสริฟคะ ทานกับน้ำชาหรือทานเป็นอาหารเช้าก็อาหย่อย.. ดูเนื้อด้านในน้า..หอม ๆ ฉ่ำ ๆเนย รสชาดออกหวานอมเปรี้ยวตัดกับซอสบลูเบอรี่ และเข้ากันดีกันเนื้อขนมเลยจ้า.. ซักชิ้นไม๊จ๊ะ อิอิ.


ขอบคุณที่มาของบทความ ส้มซ่าดอทคอม
http://www.zomzaa.com/recipe,109.htm

Read More...


โรตีแต้จิ๋วค้าขายร่ำรวย ร้านสมัยศิลป์ ตลาดน้ำบางน้อย



ชีวิตคนกรุงที่ต้องทำงานทุกวันจันทร์ -ศุกร์ พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ทีไร ก็มักที่จะอยากขอไปพักผ่อนสมองและหาความสุขใส่ตัวแบบสนุกสนาน อย่างการออกไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ กรุง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้นมากโข อย่างที่ได้ใช้เวลาช่วงวันหยุดไปเที่ยวตลาดน้ำบางน้อย ที่จ.สมุทรสงคราม มาขอบอกว่าเป็นตลาดน้ำที่มีอายุอานามเก่าแก่กว่า 100 ปี ที่ถูกลืมเลือนมานานหลายสิบปี


จนกระทั่งเมื่อปีที่ผ่านมา ชาวบางน้อยได้ร่วมมือร่วมใจกัน ฟื้นฟูตลาดขึ้นมาและเปิดตลาดให้เป็นแหล่งท่อง เที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีการรักษาสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ ร่วมกันรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงามของชาวบางน้อยให้คงไว้ ซึ่งวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย ทำมาค้าขายทั้งบนบกและทางน้ำ

คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ โชว์การทำโรตีแต้จิ๋ว

ในทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ชาวบ้าน จะเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวได้มาเดิน เที่ยวชมถ่ายภาพบ้านเรือนริมน้ำสวยๆ และมาเลือกซื้อหาของใช้ ของกินมากมายที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขายกัน แล้วถ้ามาตลาดน้ำบางน้อย ก็ต้องไม่พลาดที่จะมากินของกินแสนอร่อยที่หากินยาก มากกับ”โรตีแต้จิ๋ว” ที่ร้านสมัยศิลป์

คุณป้าเรณู อุทัยรัตนกิจ เจ้าของร้านบอกเล่าให้ฟังว่า โรตีแต้จิ๋ว หรือที่เรียกว่าหลั่วก๊วย เป็นขนมที่ทำกินกันภายในครอบครัว โดยมีคุณย่า (อาม่า) คิดขึ้นเพื่อใช้สำหรับไหว้เจ้าในพิธีส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ (ก่อนวันตรุษจีน 6 วัน) และคุณป้าก็เลยนำมาทำขายเพื่อให้คนอื่นได้กินขนมอร่อยๆ แบบนี้บ้าง และเรียกชื่อขนมให้คนจำง่ายๆ ว่าโรตีแต้จิ๋ว เพราะเป็นสูตรการทำสไตล์คนจีนแต้จิ๋ว

โรตีแต้จิ๋วชวนกิน
การทำโรตีแต้จิ๋ว ประกอบด้วย แป้งข้าวเหนียวที่เอามานวดกับน้ำ แล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนที่จะเอามาตบๆ ให้เป็นแผ่นกลมๆ ไม่ใหญ่นัก แล้วก็นำลงไปทอดในกระทะให้แป้งสุก แล้วก็นำขึ้นมาห่อ ซึ่งจะใส่ถั่วลิสงที่ทางร้านอบเองแบบสดใหม่ลงไป ใส่น้ำตาลทรายแดงและงาขาวลงไป และห่อม้วนเป็นชิ้นๆ นำใส่กระทงใบตองขายในราคา 3 ชิ้น 20 บาท ชิมแล้วถูกปากตรงที่แป้งเนื้อนิ่มนุ่มเหนียว หวานหอมงาและกรุบกรอบถั่วที่อบแบบสดใหม่หอมๆ

เอาเป็นว่าถ้าใครอยากพักผ่อนกับสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯ ตลาดน้ำบางน้อยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ในบรรยากาศตลาดพื้นบ้านผสมผสานไปกับความร่วมสมัยแต่พองาม ที่ใครมาเที่ยวแล้ว หากอยากลิ้มรสของกินหายากรสชาติเป็นหนึ่ง ที่ร้านสมัยศิลป์เขามีโรตีแต้จิ๋วรสอร่อยรอคอยอยู่


บรรยากาศโต๊ะนั่งสบายๆ

“โรตีแต้จิ๋ว” ร้านสมัยศิลป์ ตั้งอยู่ในตลาดน้ำบางน้อย เลขที่ 70 หมู่ 8 ต.กระดังงา อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม การเดินทางถ้ามาจากรุงเทพฯ เพียงขับรถตรงมาตามทางที่มา จ. สมุทรสาคร แต่ไม่ต้องเข้าตัวเมืองสมุทรสาคร ให้ขับตรงต่อมาที่สมุทรสงครามเข้าทางเดียวกับตลาดน้ำอัมพวา และขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ ประมาณ 4 กม. ก็จะถึงตลาดน้ำบางน้อย สามารถจอดรถได้ที่วัดเกาะแก้ว ร้านเปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. โทร. 0-3473-0870

ขอบคุณข้อมูลจาก : ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ทำอย่างไร?เมื่อคุณไม่มีความสุขในการทำงาน

หลาย ๆ คนอาจจะเกิดความเครียดและเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่นะคะ ก็มีหลายคนได้มาปรึกษาปัญหาเรื่องงานบ้าง ก็อยากจะลาออก และบ้างก็ถามว่าแล้วจะปรับตัวอย่างไรหากเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ ทำอยู่

อยากจะฝากข้อคิดไว้ประการหนึ่งนะคะว่า ถ้าหากมีอิสรภาพทางการเงินซึ่งหมายถึงว่า การที่มีเงินที่ใช้สอยได้ไม่เดือดร้อนแล้วก็ “สามารถเลือกที่ทำในสิ่งที่คุณรัก” แต่ถ้าหากยังมีเงินไม่พอที่จะใช้จ่ายแล้ว “ก็ต้อง (พยายาม) รักในงานที่ทำ”

การ จะรักในงานที่ตนเองทำอยู่นั้นอาจจะเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำได้ยาก และเห็นคน วัยหนุ่มสาวในปัจจุบันจะมีความอดทนค่อนข้างต่ำ พอรู้สึกไม่พอใจ/ไม่ถูกใจกับงานหรือกับคนร่วมงานก็จะคิดจะลาออก

การ ลาออกไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของตัวเอง หรือคนที่รู้จัก ทั้งที่เป็นเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง ก็ได้ยินทุกคนบ่นถึงปัญหาในที่ทำงานของตนเองแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นหน่วย งาน ราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือ ธุรกิจเอกชน เพียงแต่ปัญหาจะมากจะน้อยเท่านั้น ดังนั้นการย้ายงานจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่ง ก็จะเผชิญกับปัญหาในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

ดังนั้นการที่จะทำใจให้รักกับงานก็คงจะต้องพยายามคำนึงถึงปัจจัยดังต่อไปนี้

(1) ความจำเป็นของรายได้สำหรับมาเลี้ยงตนเองและสมาชิกในครอบครัว เพราะการมีรายได้สำหรับเลี้ยงตนเอง ทำให้ตนเองอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น การจะต้องพึ่งพาคนอื่นที่แม้จะเป็นญาติพี่น้องแล้ว อาจจะเป็นไปได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวหรือเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากพ่อแม่แล้ว คนที่จะมารับภาระ หรืออุปถัมภ์เราตลอดไป คงจะเป็นไป ได้ยาก

ดังนั้นอย่าด่วนผลุนผลันลาออกจากงาน ควรจะตริตรองดูว่าอะไรคือปัญหาเกิดจากตัวเรา เกิดจากเพื่อนร่วมงาน หรือ เกิดจากระบบ และวัฒนธรรมขององค์กร และพิจารณา ดูว่า เราจะสามารถปรับตัวเราได้หรือไม่ เราไม่สามารถปรับเปลี่ยนเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงานได้ ถ้าเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะปรับตนเองได้ จึงตัดสินว่าขั้นสุดท้ายถึงการลาออก ก่อนจะลาออกก็ท่องสโลแกนที่เคยฮิตในยุคหนึ่งว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” พยายามท่องไว้ให้ขึ้นใจ

(2) ให้เห็นคุณค่าของงาน ทั้งนี้งานอาชีพที่สุจริตทุกชนิดล้วนแต่มีคุณค่าของตนเองทั้งนั้นไม่ว่าจะ เป็นงานระดับล่าง เช่น เสมียน ภารโรง หรือพนักงานทำความสะอาด ต่างเป็นกลไกหนึ่งขององค์กร และทำงานในส่วนที่รับผิดชอบให้ดีที่สุดด้วยความขยันหมั่นเพียร การทำงานที่เท่ากับคนอื่นทำก็จะได้เท่ากับคนอื่น การทำงานจะต้องทำให้มีผลงานที่ดีและในวันหนึ่งก็จะเป็นที่ประจักษ์รับรู้ของ บุคคลอื่นและเมื่องานที่เราทำได้รับการยอมรับ

(3) มองถึงคนอื่นที่ด้อยกว่าตนเอง เพื่อสร้างกำลังในการทำงานต้องคิดดูว่าเราโชคดี ที่ยังมีงานทำ ในขณะที่คนอื่นอีกจำนวนมากกำลังตกงานหรือหางาน การจะมองแต่บุคคลที่อยู่สูงกว่าเราก็อาจจะทำให้หดหู่ท้อถอย ดังนั้นการมองว่าคนอื่นที่ยากลำบากกว่าเราก็ยังมีอยู่มาก

(4) ทำใจให้รักกับงาน ถ้าคิดว่างานดูน่าเบื่อหน่าย ก็จะทำให้ไม่อยากจะทำงาน ดังนั้นจึงต้องคิดปรับปรุงและพัฒนางานให้ท้าทาย น่าสนใจ ว่าเราจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งถ้าหากทำได้สำเร็จก็จะเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ก้าวข้ามความเบื่อหน่าย จากงานประจำ

หวังว่าคงจะเป็นข้อคิดให้สำหรับคนที่กำลังเซ็งและเบื่อ หน่ายกับงานนะคะ และถ้าหากจะตัดสินใจลาออกจากงานจริง ก็เสนอให้ลาพักร้อน เพื่อใช้เวลาสำหรับการไตร่ตรองดูก่อน.


Read More...


'เทรนด์อาชีพ' ปี 2554 ดาวรุ่ง-ดาวร่วง..อะไรบ้าง ??


ปี 2553 ที่ผ่านไป ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติซ้ำหลายลูก ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงภัยธรรมชาติ แต่เชื่อว่าคนไทยยังสู้และยังยิ้มได้อยู่ และตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2554 แล้ว ซึ่งก็น่าจะมีเรื่องดี ๆ มากขึ้น และสำหรับในเชิงอาชีพ-การทำธุรกิจ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูล “เทรนด์อาชีพ-เทรนด์ธุรกิจ” มานำเสนอ ซึ่งอาชีพใด-ธุรกิจใดมีแนวโน้มเป็น “ดาวรุ่ง-ดาวร่วง” ลองมาดูกัน.....

ขขขข
   
เริ่มจาก รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและเศรษฐกิจ ที่วิเคราะห์ว่า... ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น ที่จะยังคงเป็นปัญหาอยู่ก็น่าจะเป็นเรื่องของการส่งออกที่จะมีการขยายตัว ค่อนข้างช้าลง สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงธุรกิจระดับท้องถิ่น ควรให้ความสนใจมากขึ้น คือเรื่องเขตการค้าเสรีอาเซียน หรืออาฟต้า (AFTA) และประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี  (AEC) เพราะจะทำให้มีสินค้าเข้ามาแข่งขันกับตลาดในประเทศมากขึ้น แต่ก็จะทำให้มีตลาดเพิ่มขึ้น คือตลาดของจีนและญี่ปุ่น ขณะที่ปัจจัยลบที่คาดว่าจะมีผลกระทบ ยังเป็นปัญหาจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป และการฟื้นตัวของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางการผลิตสินค้าของผู้ประกอบการไทย ทั้งนี้หากผู้ประกอบการปรับตัวและพัฒนาสินค้า โดยเน้นให้ผลิตภัณฑ์มี “ความแตกต่าง” และสามารถ “สร้างเอกลักษณ์” ได้ ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก
   
“สินค้าระดับส่งออกจนถึงระดับท้องถิ่นจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อรองรับกับการแข่งขันด้านต้นทุนจากสินค้าต่างประเทศ โดย ต้องเน้นเรื่องการสร้างจุดเด่น คุณภาพ และหีบห่อบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากการเข้ามาของสินค้าจากต่างประเทศจะทำให้เกิด การแข่งขันสูงด้านต้นทุน”
   
รศ.ดร.สมชาย ชี้อีกว่า... แนวโน้มอาชีพที่น่าสนใจ และยังมีแนวโน้มที่ดีในปี 2554 น่าจะเป็นอาชีพที่เกี่ยวกับอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งจะยืนระยะต่อไปได้อีกนาน รวมถึงสินค้าที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและสมุนไพร อาทิ สบู่, โลชั่น, ครีมบำรุงผิว หรืออื่น ๆ ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ
   
“สินค้าและอาชีพ 3 กลุ่มข้างต้นนี้ จะยังเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ผู้ประกอบการต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้ควรเพิ่มกลยุทธ์ของผลิตภัณฑ์ให้มีลูกเล่นมากขึ้นด้วย”
   
ส่วนสินค้าหรืออาชีพที่มีแนวโน้มค่อนข้างเหนื่อยนั้น รศ.ดร.สมชายวิเคราะห์ว่า... คือสินค้าทุกชนิดที่มีการแข่งขันด้านต้นทุน ขณะที่อาชีพที่เกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก ก็จะยังมีผลกระทบในเรื่องของการแข่งขันสูง
   
“ปี 2554 กลุ่มอาชีพที่ต้องแข่งขันกันเรื่องต้นทุนจะมีผลกระทบมากที่สุด ผู้ประกอบการไทยต้องมองหากลุ่มเป้าหมายของตนเองให้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงควรมองตลาดให้กว้างไกลขึ้น นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มกลยุทธ์ในเรื่องของแพ็กเกจจิ้งของตนเอง ให้มีความทันสมัย โดดเด่น และแตกต่างจากคู่แข่ง”...รศ.ดร.สมชาย ระบุ
   
ด้านผู้เชี่ยวชาญอีกราย ผอ.พีระพงษ์ กิตติเวชโภคาวัฒน์ ผู้อำนวย การศูนย์วิจัยและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์สากล มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิเคราะห์ว่า... ในปี 2554 เศรษฐกิจมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีขึ้น ทั้งนี้ตัวแปรขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมือง ที่ผู้ประกอบการคาดเดาไม่ได้
   
อย่างไรก็ดี ผอ.พีระพงษ์ชี้ว่า... ปี 2554 นี้ อาชีพหรือธุรกิจที่มีแนวโน้มสดใส และจะขยายตัวมากขึ้นจากปีก่อน ๆ คือธุรกิจเกี่ยวกับอาหาร เครื่องดื่ม ขนม และการแปรรูปสินค้าเกษตรประเภทต่าง ๆ โดยอาชีพเกี่ยวกับการแปรรูปสินค้าเกษตรน่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก โดยจะหันมาผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายเอง สร้างตราผลิตภัณฑ์ของตนเอง อันเป็นผลมาจากความผิดหวังจากโครงการโอทอป
   
นอกจากนี้ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าก็น่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่นกัน โดยจะมีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายมากขึ้น และจะเกิดยี่ห้อสินค้าใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย โดยผู้ประกอบการรายเดิมที่เคยรับจ้างผลิตสินค้าให้ผู้ประกอบการอื่นก็จะแยก ตัวออกมา “สร้างสินค้า-สร้างแบรนด์” ของตัวเองมากขึ้น
   
จะเกิดรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นในตลาด
   
ส่วนธุรกิจหรืออาชีพที่มีแนวโน้มไม่สดใสในปี 2554 ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและแฟรนไชส์ฯ มองว่า... น่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษา อาทิ สถาบันกวดวิชา, สถาบันสอนพิเศษต่าง ๆ ที่น่าจะมีภาวะซบเซาลงเล็กน้อย เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป หรือลดความต้องการลง
   
“ในปี 2554 นี้จะมีผู้ประกอบการหน้าใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก ในตลาดทุกระดับ โดยจะเน้นการสร้างตราผลิตภัณฑ์ของตนเองมากขึ้น รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นหรือกลุ่มโอทอปเดิมก็จะหันมาเปิดร้าน สร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อจำหน่ายสินค้าของตนเองเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรที่เกี่ยวกับอาหาร
   
เทรนด์อาชีพเกี่ยวกับอาหาร ขนม เครื่องดื่ม น่าจะโตขึ้น ไม่เฉพาะแต่ตลาดบน แต่ตลาดระดับล่าง อาทิ อาชีพขายหมูปิ้ง ไก่ปิ้ง ฯลฯ ก็ยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เพราะตลาดมีความต้องการไม่เปลี่ยน เพียงแต่จำเป็นต้องเน้นเรื่องของการหาจุดขาย เน้นคุณภาพให้มากขึ้น...” ...ผอ.  พีระพงษ์ ระบุ

-----
   
...ก็เป็นการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ และ ผอ.พีระพงษ์ กิตติเวชโภคาวัฒน์ กับ “เทรนด์อาชีพ-เทรนด์ธุรกิจ ปี 2554” ทั้งนี้ สำหรับทีม “ช่องทางทำกิน” เอง ในปี 2554 นี้ก็จะยังคงทำหน้าที่เสาะหาข้อมูลอาชีพทำเงินที่น่าสนใจมานำเสนอแก่แฟน ๆ คอลัมน์อย่างเต็มที่แน่นอน!!.


Read More...


วิธีการทำขนมไทยเกือบ 30 ชนิด

วิธีทำขนมไทย 20 กว่าชนิด พร้อมการคำนวณเงินลงทุน

วัสดุอุปกรณ์ แหล่งหาวัสดุอุปกรณ์ วิธีทำ ตลาด/แหล่งจำหน่ายและข้อเสนอแนะ
ฝึกทำแล้วสามารถทำขายได้เลย
ขนมปุบฝ้าย -
ขนมใส่ไส้ -
ขนมโตเกียว -
ขนมปังสังขยา นมสด-
ขนมเบื้องไทย -
ส้มโอแก้วสี่รส -
กล้วยกรอบแก้วหวาน เค็ม -
เยลลี่ฝรั่ง -
เยลลี่มะม่วง -
เยลลี่ผลไม้รวม -
ขนมชั้น -
ทองหยิบ -
ขนมสาลี่ -
บัวลอยน้ำขิง งาดำ -
เฉาก๊วย -
สลิ่ม -
ลอดช่องว่านหางจระเข้-
ลอดช่องไทย -
กระท้อนลอยแก้ว -
เค้กกล้วยหอม-
เอแคร์ -
คุ๊กกี้เนยสด -
คุ๊กกี๊คอนเฟลก -
เค๊กมะตูม -
เค้กหน้าทอฟฟี่
Download : วิธีทำขนมไทย 30 ชนิด

Read More...


ขนมบุหลันดั้นเมฆ 2 สูตร




ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้าอย่างดี 1/2 ถ้วย
แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยกับอีก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำลอยดอกมะลิหอม ๆ 3/4 ถ้วย
ไข่ไก่ (เอาเฉพาะไข่แดง) 1 ฟอง
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
สีน้ำเงิน (สีผสมอาหาร) 1-2 หยด   
     
วิธีทำ
1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทรายให้เข้ากันค่อย ๆ ใส่น้ำลอยดอกมะลิ นวดจนนิ่ม
จึงใส่น้ำที่เหลือจนหมด ใส่สีน้ำเงินคนให้เข้ากัน
        
2. เรียงถ้วยตะไลในลังถึง นำไปนึ่งในน้ำเดือด ๆ ราว 10 นาที จึงนำแป้งที่ผสมมาคนให้แป้งเข้ากัน
แล้วตักหยอดใส่ในถ้วยตะไลให้เต็ม ปิดฝาลังถึง นึ่งในน้ำเดือดพล่านนาน 3 นาที จึงยกลงพักให้ถ้วยอุ่น ๆ
จึงหยิบถ้วยมาเทแป้งที่ยังไม่สุกออก ขนมจะเป็นรอยบุ๋มตรงกลาง
        
3. ได้เมฆแล้ว คราวนี้มาทำบุหลันกัน ก็ผสมไข่แดงกับน้ำตาลทราย คนจนน้ำตาลละลาย
ก็ตักหยอดในถ้วยขนมที่มีหน้าเป็นรอยบุ๋มให้เต็ม แล้วนำไปนึ่งไฟกลาง 10 นาที จึงยกลง พักไว้ให้เย็น จึงแซะออกจากถ้วย
        


ขนมบุหลันดั้นเมฆ

ส่วนผสม
แป้งข้าวเจ้าอย่างดีร่อน 3 ถ้วย
ไข่ไก่ (ใช้แต่ไข่แดง) 1/2 ฟอง
น้ำตาลทรายขาว 1½ ถ้วย
น้ำใบเตยคั้นข้น ๆ 1/4 ถ้วย
มะพร้าวทึนทึกขูดด้วยกระต่าย
จีนนิ่ง 1½ ถ้วย
น้ำดอกมะลิ 1 ถ้วย
เกลือป่น 1½ ช้อนชา

วิธีทำ
1. ผสมไข่แดงกับแป้งให้เข้ากัน
2. พรมด้วยน้ำดอกมะลิ นวดจนนุ่ม พอแป้งรวมกันเป็นก้อน (เวลาพรมใช้น้ำทีละน้อย อย่าให้แป้งแฉะ)
3. ปูผ้าขาวบางลงในรังถึง ใช้กระชอนยีแป้งลงในผ้าขาวบางจนหมดแป้ง นำไปนึ่งในรังถึงที่น้ำเดือดจัดนิ่งประมาณ 15-20 นาที
4. น้ำตาลทราย น้ำใบเตย ตั้งไฟให้เดือนกรองด้วยผ้าขาวบาง เคี่ยวต่อไปจนเป็นยางมะตูม ทิ้งไว้ให้เย็น
5. นำแป้งที่นึ่งสุกร้อน ๆ ใส่ชามแก้ว เทน้ำเชื่อมลงในแป้งใช้พายน้ำคนจนเข้ากันดี
อัดไว้ให้แน่น (แบบข้าวเหนียวมูล) เย็นแล้ว ใช้พายเกลี่ยให้ร่วน จะมีลักษณะฟู นุ่ม
6. จะจัดใส่จาน หรืออัดใส่พิมพ์ก็ได้ รับประทานกับมะพร้าวทึนทึก ขูดหยาบ ๆ   
Code:
ที่มา  
http://skn.ac.th/skl/
http://www.archeep.com
 

Read More...


ขนมเสน่ห์จันทน์ 2 สูตร



     ส่วนผสม
    * แป้งข้าวเหนียว 1/2 ถ้วยตวง
    * แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
    * กะทิข้นๆ 3 ถ้วยตวง
    * ไข่ไก่ 2 ฟอง
    * น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
    * ผลจันทร์ป่น 1/2 ช้อนชา
    * สีผสมอาหาร

วิธีทำ
   1. ร่อนแป้งก่อนตวง  ผสมแป้งทั้ง 2 ชนิดเข้าด้วยกัน
   2. ผสมกะทิกัยน้าตาล  คนให้ละลายแล้วกรอง
   3. ผสมแป้งกับกะทิ  ใส่ผงจันทร์ป่น  สีเหลืองให้คล้ายสีลูกจันทร์
   4. ตั้งไฟกวนจนจับตัวเป็นก้อน  ใส่ไข่แดง  รีบคนให้เข้ากัน  แล้วกวนต่อจนเป็นก้อนพอปั้นได้  ยกลง
   5. ปั้นเป็นก้อนเล็กๆแล้วแบ่งส่วนผสมแป้งที่กวนมาใส่สีน้ำตาล  ติดเป็นขั้วจะทำให้ดูคล้ายลูกจันทร์ของจริง



เสน่ห์จันทน์

   ส่วนผสม    
   1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 ถ้วย
   2. แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนชา
   3. ไข่ไก่ (ใช้เฉพาะไข่แดง) 6 ฟอง
   4. กะทิ (มะพร้าวขูดขาว 200 กรัม) 1 ถ้วย
   5. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
   6. ลูกจันทน์ป่น 1 ช้อนชา
   7. สีผสมอาหารสีน้ำตาล

วิธีการทำ
1. ใส่กะทิกับน้ำตาลลงในกระทะทอง ตั้งไฟให้เดือด ยกลง นำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง นำขึ้นตั้งไฟกลาง นาน 10 นาที ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น
2. ร่อนแป้งสาลี แป้งเท้ายายม่อม และลูกจันทน์ป่น เข้าด้วย กัน 2 ครั้ง นำไปผสมกับกะทิที่เย็นแล้ว (ส่วนผสมข้อ 1) คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเนียน
3. ใส่ไข่แดงลงในแป้งคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำขึ้นตั้งไฟ กวนไฟอ่อน ๆ จนแป้งสุก เนื้อเนียนเป็นเงามัน ยกลง ทิ้งให้ เย็น
4. นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 เซนติเมตร กดให้แบนเล็กน้อย เพื่อนำขั้วมาติด

5. ทำขั้วลูกจันทน์ โดยนำแป้งที่กวนมา 1 ช้อนโต๊ะ ผสมสี น้ำตาลเข้าด้วยกัน ปั้นเป็นก้อนแบนเล็กติดเป็นขั้ว

ที่มา 
http://www.krunid.com/board
http://www.geocities.com/bourbonstreet/


Read More...


ขนมตาล 3 สูตร


    ส่วนผสม
    เนื้อลูกตาลยีแล้ว 1 ถ้วยตวง
    แป้งข้าวเจ้า 4½ ถ้วยตวง
    น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
    กะทิ 4½ ถ้วยตวง
    มะพร้าวทึนทึกขูด 2 ช้อนโต๊ะ
    เกลือป่น 1½ ช้อนชา  

   วิธีทำ
   1. ผสมกะทิกับน้ำตาลทราย นำไปตั้งไฟพอละลาย ยกลงกรองนำกลับไป ตั้งไฟใหมจนเดือดทั่วดี ยกลงพักไว้ให้เย็น
   2. ผสมแป้งข้าวเจ้ากับเนื้อลูกตาล เคล้าให้เข้ากัน ใส่กะทิทีละน้อยนวดจนแป้งนิ่ม เติมกะทิที่เหลือทีละน้อยจนหมด
   3. นำภาชนะที่ใส่แป้งปิดด้วยถาด ตากแดดจัด ๆ 3-4 ชั่วโมง แป้งจะขึ้น
   4. คนแป้งเบา ๆ มือตักใส่ถ้วยตะไล กระทงใบตองหรือห่อใบเตย ( ทรงเตี้ย ) โรยด้วยมะพร้าว ผสมเกลือป่น
     นึ่งจนสุก ( ประมาณ 15 นาที ) ยกลงทิ้งไว้ให้เย็นแคะ จากถ้วย

หมายเหตุ
* เนื้อลูกตาลยีนั้น นำมาจากผลตาลที่สุกจนเปลือกดำ ส่วนมากจะหล่อจากต้นเอง ผลตาลนั้นมีกลิ่นแรง
เมื่อ ปอกเปลือกออกเนื้อข้างในจะเป็นสีเหลือง นำมายีกับน้ำสะอาด ให้หมดสีเหลือง นำน้ำที่ยีแล้วใส่ในถุงผ้าผูกไว้ให้น้ำตกเหลือแต่เนื้อ



ขนมตาล

ส่วนผสม
ลูกตาลสุก 1 ผล
ข้าวสารเก่า 2 ถ้วยตวง
แป้งท้าวยายม่อม 1/4 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1.ลอก เปลือกลูกตาลออกให้หมด ขูดเอาเนื้อสีเหลืองออก ตัวลูกตาลแช่น้ำไว้จนเนื้อลูกตาลละลายออกหมด
ใช้ผ้าห่อเนื้อลูกตาล และน้ำที่ละลายผูกมัดปากรวมไว้ให้แน่นแขวนหรือทับไว้ให้แห้ง

2.โม่ข้าวสารที่แช่น้ำไว้ให้ละเอียด แล้วทับให้แห้ง

3.ผสมข้าวสารที่โม่และทับจนแห้งแล้ว รวมกับแป้งท้าวยายม่อม และลูกตาลที่ทับจนแห้ง
แล้วนวดส่วนผสมทั้งหมด เข้าด้วยกันจนแป้งที่ผสมเนียนและนุ่มมือ(ประมาณ 30-60 นาที)
ใส่น้ำตาลสลับกับหัวกะทิ นวดจนหัวกะทิและน้ำตาล ละลายหมด พักไว้ประมาณ 5-10 ชั่วโมง

4.ตักแป้งที่ผสมแล้วใส่กระทงหรือถ้วยตะไล โรยมะพร้าว แล้วนึ่งให้สุก ยกลง
ถ้าใส่ถ้วยตะไลรอให้เย็นก่อนแล้วจึงนำออกจากถ้วยจัดใส่ภาชนะ




ขนมตาล

เงินลงทุน เงินลงทุนเบื้องต้น ประมาณ 1,000 – 2,000 บาท (เงินทุนหมุนเวียนประมาณ 300 บาท/วัน)

รายได้ ประมาณ 400 – 500 บาท/วัน  (ขึ้นอยู่กับจำนวนลูกค้าและปริมาณผลผลิต)

วัสดุ/อุปกรณ์  
เตาแก๊สพร้อมถัง หรือเตาถ่าน กระทะทองเหลือง ไม้พาย ผ้าขาวบาง ชุดถ้วยตวง หม้ออลูมิเนียม
เล็บแมว (เครื่องมือทำขนม) ถ้วยหรือกระทง ถุงแป้ง ทัพพี ใบตองตานี (สำหรับทำกระทง)

แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ เวิ้งนครเกษม  (กรุงเทพฯ) ร้านขายอุปกรณ์ทำขนมทั่วไป ตลาดสด

ส่วนผสม  
ผลตาลสุก 2 – 3  ผล  
น้ำตาลทราย 6 ถ้วยตวง
น้ำกะทิ (สำหรับทำขนม) 6 ถ้วยตวง  
แป้งข้าวเจ้า 6 ถ้วยตวง
มะพร้าวขูดพอประมาณ


วิธีทำ
1.นำผลตาลสุกมาปอกเปลือกออก แล้วยีลูกตาลในน้ำอุ่นเพื่อแยกเอาแต่เนื้อผลตาลไว้

2. นำเนื้อผลตาลที่ยีแล้ว ใส่ถุงแป้งแขวนไว้ 12  ชั่วโมง เพื่อให้น้ำที่ปนมา กับเนื้อลูกตาลไหลออกมาจากถุงให้เหลือแต่เนื้อล้วน ๆ

3.นำน้ำตาลไปเคี่ยวกับกะทิจนน้ำตาลละลาย (ระหว่างที่เคี่ยวให้ใช้ไฟอ่อน) เมื่อได้ส่วนผสมที่เป็นน้ำกะทิแล้ว
นำมาเทผสมในเนื้อผลตาลประมาณ 2 ถ้วยตวง ใส่แป้งข้าวเจ้าผสมลงไปแล้วคนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน

4.นำน้ำแป้งที่ผสมเนื้อผลตาล (ในข้อ 3) ใส่หม้อไปตั้งไว้กลางแดด ประมาณ 7 – 10 ชั่วโมง หรือทิ้งไว้ตอนกลางคืน
เพื่อให้เนื้อขนมขึ้นฟู  หรือจะใช้ผงฟูช่วยก็ได้

5.นำแป้งที่ผสมเนื้อผลตาลและแป้งขึ้นฟูแล้วมาตักใส่ถ้วยหรือกระทง ใส่มะพร้าวขูด ผสมเกลือเล็กน้อยโรยหน้าขนม
แล้วนำไปนึ่งจนสุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที (จับ เวลาตั้งแต่น้ำเดือดจนขนมสุก)

ตลาด/แหล่งจำหน่าย แหล่งชุมชน  ส่งขายตามห้างสรรพสินค้า  สวนอาหาร  ศูนย์อาหาร  ตลาด

ข้อเสนอแนะ
 ควรใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นผลตาลสุกงอม น้ำตาล แป้งและน้ำกะทิ
สำหรับน้ำกะทิควรคั้นเองจากมะพร้าวสด ๆ จะหอมน่ารับประทานกว่าซื้อที่คั้นมาจากตลาดสด
ซึ่งบางครั้งใช้มะพร้าวเก่าที่มีกลิ่นเปรี้ยว ไม่น่ารับประทาน


ทำขนมตาลให้แป้งขึ้นฟู
การจะทำ ขนมตาล ให้ได้ดีขึ้นอยู่กับสัดส่วนของแป้ง กะทิ เนื้อตาลและน้ำตาล ทั้งหมดต้องได้สัดส่วนกัน
โดยนวดแป้งกับเนื้อตาลเข้าด้วยกัน ค่อยๆใส่กะทิ (กะทต้องเคี่ยวกับน้ำตาล พอให้กะทิเดือดและน้ำตาลละลาย)
ผสมน้ำตาลทีละน้อย นวดจนส่วนผสมไม่เป็นเม็ด ปิดฝา ปล่อยให้ขึ้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง
พอแป้งขึ้นดีจึงนำไปตักหยอดใส่ถ้วยตะไล หรือกระทงปากเป็ดที่เตรียมไว้ นึ่งในน้ำเดือด ไฟแรงประมาณ 10-15 นาที
ก่อนจะตักใส่ถ้วย หม้อนึ่ง ควรคนส่วนผสมให้ทั่วก่อนจะตัก ค่ะ

ที่มา : 
http://us.geocities.com/nuntiya5555/
http://www.thaigoodview.com

Read More...


ขนมเม็ดขนุน 3 สูตร



   ส่วนผสม
    ถั่วเขียวเลาะเปลือกหรือเผือกนึ่งสุกแล้ว 2 ถ้วยตวง
    น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
    กะทิ 1/2 ถ้วยตวง
    มะพร้าวขูดขาว 1/4 ถ้วยตวง
    น้ำลอยดอกมะลิ 3 ถ้วยตวง
    น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
    ไข่เป็ด 15 ฟอง   


วิธีทำ

1. โขลกหรือบดถั่วนึ่งให้ละเอียด

2. ผสมถั่ว มะพร้าวขูดขาว กะทิ ใส่กระทะทอง นำไปกวนพอปั้นได้ ใส่น้ำตาล 3/4 ถ้วยตวง
พอละลายและเดือดทั่วกัน ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น ปั้นเป็นก้อนรี ๆ ให้ดูคล้ายเม็ดขนุน

3. ผสมน้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง กับน้ำลอยดอกไม้สด 3 ถ้วยตวง ตั้งไฟพอละลายแล้วกรอง นำไปเคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อมข้น ๆ
  
4. นำถั่วที่ปั้นไว้ลงชุบในไข่แดงให้ทั่ว ใส่ลงในน้ำเชื่อมจนเต็มกระทะ ( ขณะที่ใส่ถั่วยกกระทะน้ำเชื่อมลงจากเตา )
ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ จนสุก จะได้เม็ดขนุนที่สุกเป็นเงาสวยงาม ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น



เม็ดขนุน

เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ถั่วเขียวเลาะเปลือก 450 กรัม
* น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)
* น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)
* น้ำกะทิ 400 กรัม
* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)
* ไข่เป็ด 5 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)


 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)

2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)
และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ
และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)

4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน

5. ทำน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำตาลและน้ำเปล่า นำไปเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้) จนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ

6. ตอกไข่และเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมารวมกัน เขี่ยพอให้ไข่แดงแตก
จากนั้นจึงนำเม็ดขนุนที่ปั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปแช่ในไข่แดงทีละเม็ด แล้วจึงนำไปใส่ในน้ำเชื่อม พยายามอย่าให้ติดกัน
พอใส่ลงไปมากแล้วจึงนำกระทะไปตั้งบนไฟอ่อนๆ จนกระทั่งสุกจึงตักออกมาพัก ทำซ้ำเช่นนี้จนเม็ดขนุนที่ปั้นไว้หมด

7. จัดเม็ดขนุนใส่จาน เสริฟทานเป็นของว่างในวันสบายๆ



ขายขนมเม็ดขนุน

เงินลงทุน 2,500  บาท
รายได้ 200  บาท/เม็ดขนุน 200  เม็ด

วัสดุอุปกรณ์  
เตาแก๊ส  กระทะทองเหลือง ไม้พายขนาดกลาง หม้ออะลูมิเนียมขนาดต่าง ๆ เครื่องปั่นไฟฟ้า ลังถึง ผ้าขาวบาง ชุดถ้วยตวง
กะละมังอะลูมิเนียม  กระชอนพลาสติกแบบมีรูขนาดเล็ก

แหล่งจำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าขายอุปกรณ์ เครื่องใช้ในครัวเรือน

ส่วนผสม
ถั่วเขียวซีกที่กะเทาะเปลือก 1 กิโลกรัม
น้ำตาลทราย 1/2  กิโลกรัม
หัวกะทิ 1/2 กิโลกรัม
น้ำต้มใบเตย 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

1. นำถั่วเขียวแช่น้ำทิ้งไว้ 3-5  ชั่วโมง
จากนั้นนำถั่วมาบ้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาดอีกครั้งหนึ่ง วางบนผ้าขาวบาง ก่อนใส่ลังถึงนึ่งประมาณ  ½   ชั่วโมง

2.  นำถั่วที่นึ่งสุกแล้วใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า ใส่หัวกะทิลงไปปั่นด้วย จนละเอียดดีพักไว้

3. ต้มน้ำตาล เกลือ กับน้ำต้มใบเตยประมาณ 5-6 นาที กรองด้วยผ้าขาวบางใส่กระทะทองเหลือง
จากนั้นใส่ถั่วที่บดได้จากข้อ 2  ลงไป  นำกระทะทองเหลืองไปตั้งไฟกวนด้วยไม้พายไม้ตลอดเวลา
ช่วงแรกใช้ไฟแรงเมื่อถั่วเริ่มข้นต้องหรี่ไฟให้อ่อนลง แล้วกวนต่อไปจนถั่วแห้งล่อนออกจากกระทะ
จึงยกกระทะลง ตักขึ้นใส่ภาชนะทิ้งไว้สักพักพออุ่น

4. เมื่อถั่วเริ่มอุ่นแล้ว หยิบถั่วขึ้นมาหนึ่งหยิบมือแล้วปั้นเป็นเม็ดกลมรี ๆ
ให้มีขนาดและลักษณะเหมือนเม็ดขนุนจริง ๆ ใส่ถาดพักไว้ให้ผิวเม็ดขนุนแห้ง

ส่วนผสมไข่และน้ำเชื่อม
ไข่เป็ด 20 ฟอง
น้ำตาลทราย 8 ถ้วยตวง
น้ำสะอาด 5 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1. นำน้ำตาลทรายขาว และน้ำใส่กระทะทองเหลืองตั้งไฟให้น้ำตาลละลายกรองด้วยผ้าขาวบาง
แล้วเทกลับลงกระทะตั้งไฟต่อไป พอเดือดตักใส่จานก้นลึกประมาณ 1 ถ้วยตวง ส่วนในกระทะเคี่ยวต่อไปให้ข้นขึ้น
  
2. นำไข่เป็ดมาตอกเอาแต่ไข่แดง รีดเยื่อหุ้มไข่แดงออก คนให้เข้ากันปิดฝาชามไว้อย่าให้ถูกลม มิฉะนั้นไข่จะแห้ง
  
3. ใช้ไม้แหลมจิ้มเม็ดถั่วที่ปั้นไว้จุ่มลงในไข่แดง ยกขึ้นแล้วหยอดลงในกระทะน้ำเชื่อมรอจนไข่แดงสุกทั่วถึงดีแล้ว
ใช้ทัพพีโปร่งตักขึ้นจุ่มลงในชามน้ำเชื่อมที่ตักเก็บไว้ แล้วยกขึ้นใส่ภาชนะอื่น ทำจนหมดถั่วที่เตรียมไว้

4. เมื่อทำเสร็จแล้ว กรองน้ำเชื่อมทั้งหมด เติมน้ำ 1-2 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟให้เดือด พักไว้ให้พออุ่น ๆ จึงตักราดบนเม็ดขนุนให้ทั่ว
ขยับภาชนะที่ใส่ เพื่อมิให้เม็ดขนุนติดกันตักเม็ดขนุนขึ้นผึ่งไว้ให้เย็น แล้วอบด้วยดอกมะลิหรือควันเทียนทั้งคืนไว้

ตลาด/แหล่งจำหน่าย ย่านชุมชน  ส่งห้างสรรพสินค้า  รับสั่งทำกรณีงานบุญต่าง ๆ

สถานที่ฝึกอบรม
1. สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร. 942-8200-45 ต่อ 1336-1339
2. สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล  วิทยาเขตพระนครใต้ โทร. 211-2052, 211-2056, 212-5700-1

ข้อแนะนำ
1. เม็ดขนุนที่ดี ควรมีขนาดของเม็ดขนุนสม่ำเสมอกัน ไข่แดงที่หุ้มออกสีเหลืองมีความหนาบางพอให้ เห็นสีของถั่วข้างใน
มีกลิ่นหอม ไม่คาว ไข่รสหวานมัน และไม่มีเกล็ดน้ำตาลตกผลึกที่ผิวขนม
  
2. ถั่วที่นำมาใช้ทำเม็ดขนุน อาจใช้ถั่วดำก็ได้ เพราะถั่วดำจะมีกลิ่นหอม
3. การทอดเม็ดขนุนต้องใช้ไฟแรง  หากใช้ไฟอ่อนน้ำตาลและไข่จะกระจาย
4. หากเงินทุนน้อย  ขั้นตอนการทำถั่วให้ใช้ครกโขลกแทนเครื่องปั่นก็ได้ 

ที่มา 
http://us.geocities.com/nuntiya5555/
http://www.ezythaicooking.com/
http://www.jobthaiweb.com

Read More...


หมูโสร่ง 4 สูตร



หมูโสร่ง

มีสีเหลือง เส้นหมี่ห่อหุ้มด้านนอก กรอบนอก นุ่มใน รับประทานกับซอสพริกหรือน้ำจิ้มสามรส

ส่วนผสม
เส้นบะหมี่ 1 ถ้วยตวง หรือเส้นหมี่ซั่ว     
เนื้อหมูบด 1 ถ้วยตวง
กระเทียม พริกไทย 2 ช้อนชา  
รากผักชีโขลก
แป้งสาลีหรือแป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ   
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด 1 ถ้วยตวง


    วิธีทำ
    1. ผสมหมูกับกระเทียม พริกไทย รากผักชี แป้งสาลีหรือแป้งข้าวโพด ซิอิ๊วขาวนวดสักครู่ พักไว้
    2. ลวกเส้นบะหมี่หรือหมี่ซั่วในน้ำเดือด โดยไม่ต้องผ่านน้ำเย็น แล้วผึ่งไว้ให้เย็น
    3. ปั้นหมูเป็นก้อนกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร
    4. นำเส้นบะหมี่มา 2-3 เส้น พันให้มิดหมู นำไปทอดไฟกลางให้สุกเหลือง

ส่วนผสมน้ำจิ้ม
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วยตวง  
น้ำตาลทราย 1¼ ถ้วยตวง
 เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ  
พริกชี้ฟ้าแดง 3 เม็ด
กระเทียม 5 กลีบ

วิธีทำ
ผสมน้ำส้ม น้ำตาล เกลือ ตั้งไฟ 5 นาที ยกลงให้เย็น แล้วใส่พริกชี้ฟ้าแดงกับ กระเทียมที่โขลกละเอียด แล้วละลายให้เข้ากัน



หมูโสร่ง

เครื่องปรุง
หมูบดละเอียด 200 กรัม
รากผักชีโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมโขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ช้อนชา
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 1 ฟอง

เครื่องปรุงแป้งทอด
แป้งสาลี 1/2 ถ้วย
เกลือ 1/4 ช้อนชา
ไข่ไก่ 1 ฟอง


วิธีทำ
1. ผสมหมูบดและเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน นวดให้เหนียว แบ่งหมูเป็นก้อน ก้อนละ 1 ช้อนโต๊ะ
ปั้นเป็นก้อนรีๆ เรียงลงในถาดที่ทาน้ำมัน นึ่งในลังถึงประมาณ 15 นาที ยกขึ้น พักไว้
2. ผสมส่วนผสมแป้งทอด นวดจนนุ่มเหนียว คลุมแป้งไว้ให้แห้งประมาณ 20 นาที คลึงแป้งให้เป็นแผ่นบางๆ
ตัดเป็นเส้นเล็กๆ จุ่มปลายแป้งลงในไข่ พันหมูที่นึ่งแล้วจนรอบให้แน่น
3. ตั้งกระทะบนไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อน ใส่หมูพันแป้งลงทอดให้เหลือง
4. ยกเสิร์ฟ พร้อมกันซอสพริก โดยรับประทานกับผักกาดหอม แตงกวา มะเขือเทศ



หมูน้อยห่มโสร่ง

เครื่องปรุง
- เส้นมี่สั้ว 200 กรัม *
- เนื้อหมูส่วนสะโพกสับ 300 กรัม
- มันหมูแข็งหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 50 กรัม
- กระเทียมกลีบเล็ก 11 กลีบ
- รากผักชีหั่น 3 ราก
- พริกไทยเม็ด 2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันพืช 4 ถ้วย

เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
- น้ำตาลทราย 1½ ช้อนชา
- น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- กระเทียมสับ 1/2 ถ้วย
- พริกขี้หนูสับ 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีเตรียมน้ำจิ้มรสเด็ด
- ผสมน้ำตาลทราย น้ำมะนาว และเกลือเข้าด้วยกัน คนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่กระเทียมสับ พริกขี้หนูสับ
- คนให้เข้ากัน พักไว้

ขั้นตอนการทำหมูโสร่ง
1. โขลกกระเทียม พริกไทย และรากผักชีให้ละเอียด จากนั้น นำไปคลุกรวมกับเนื้อหมูสับ มันหมู
ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลทราย นวดจนส่วนผสมทั้งหมดเหนียวดี **
2. ต้มน้ำด้วยไฟกลางจนเดือด นำเส้นมี่สั้วลงลวกพอสุก ตักขึ้นผ่านน้ำเย็น พักใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
3. ปั้นเนื้อหมูที่ผสมไว้เป็นก้อนกลมๆ ขนาดพอดีคำ จากนั้น ใช้เส้นมี่สั้วลวกพันจนรอบ
แล้วทอดในน้ำมันด้วยความร้อนปานกลาง ขณะทอดหมั่นคนตะหลิวไปมาให้หมูโดนความร้อนทั่วๆ จนสุก
เมื่อเส้นมี่สั้วเหลืองกรอบ ตักขึ้นพักบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน ***
4. จัดเรียงให้สวยงาม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มที่เตรียมไว้


หมายเหตุ
* ถ้าไม่มีเส้นมี่สั้ว ใช้เส้นบะหมี่เหลืองเส้นเล็กแทนได้ แต่อาจจะมีรสชาติเค็มเล็กน้อย
** อาจผสมแป้งข้าวโพด หรือแป้งมันสำปะหลังเล็กน้อย ประมาณ 1 ช้อนชา เพื่อให้หมูยึดเกาะกันและเหนียวนุ่ม
*** เมื่อพันเส้นหมี่แล้วให้สอดปลายเข้าด้านในและกดให้ติดกับเนื้อหมู แล้วควรทอดเลยทันที จะช่วยไม่ให้เส้นหลุดจากเนื้อหมูขณะทอดได้ 

‘หมูถ้วย-หมูโสร่ง’ น่าสน...คนทำขายมีน้อย

“ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานจะนำเสนอการทำอาหารที่ใช้หมูเป็นส่วนประกอบ
ซึ่งหลายคนอาจไม่คุ้นกับอาหารที่จะนำเสนอ แต่ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย กับ “หมูถ้วย” และแถมด้วย “ต้มยำหมูโสร่ง”

อ้น-ธิติ วรบวร ให้ข้อมูลว่า “หมูถ้วย” เป็นของว่าง ในอดีตนิยมทำทานเล่นกันเองภายในครอบครัว
ซึ่งเจ้าของสูตรที่แท้จริงคือคุณพ่อ จนภายหลังเมื่อพอมีคนรู้จักบ้าง และได้มีคนสั่งทำสำหรับจัดเลี้ยงข้างนอก จึงทำขาย

“ก่อน หน้านี้ไม่ ได้ทำออกขายเป็นจริงเป็นจัง เพราะไม่มีหน้าร้าน และคุณพ่อ-คุณแม่ก็มีงานประจำพอมีเพื่อนเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ก็มาทำเต็มตัว”

คุณอ้นได้เปิดครัวให้ดูสูตร “หมูถ้วย” โดยบอกว่า หมูถ้วยนี้จริง ๆ แล้วก็คือสูตรการทำลูกชิ้นหมูนั่นเอง
แตกต่างกันตรงที่หากเป็นลูกชิ้นหมู จะใช้เครื่องที่ปั๊มเป็นลูกชิ้นลูกกลม ๆ ออกมา แล้วมีหม้อน้ำร้อนที่เดือดรองรับอยู่ข้างล่าง
ขณะที่เครื่องปั๊มหมูถ้วยจะปั๊มออกมาเป็นถ้วยเล็ก ๆ ลักษณะคล้ายกับถ้วยขนม

เจ้าเครื่องปั๊มนี้ต้องสั่งทำกันเป็นพิเศษ และต้องเป็นสเตนเลสทั้งหมด เพื่อมาตรฐานความสะอาด และความปลอดภัยของลูกค้า
ซึ่งราคาอาจจะค่อนข้างแพง แต่ถ้าทำขายจริงจังในระยะยาวก็ค่อนข้างคุ้ม

สูตรการทำ “หมูถ้วย” นี้ ก็ไม่ยาก เพียงแค่เตรียม
หมูบด (ใช้เนื้อตะโพก) ประมาณ 2 กก.
ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย
เกลือ
กระเทียมบด
พริกไทย
ซีอิ๊วขาวตามใจชอบ กะให้ได้รสชาติที่กำลังดี

จาก นั้นก็นำเข้าเครื่องปั๊มหมูถ้วย ซึ่งจะปั๊มออกมาเป็นถ้วย ๆ ใส่ลงในน้ำเดือด เมื่อหมูสุก หมูจะลอยขึ้นมาเอง
จากนั้นเราก็มาตกแต่งหน้าตาของหมูถ้วยให้น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ด้วยการเตรียมเครื่องผัก

อาทิ แตงกวา, แครอท, พริกยักษ์ ต้องหั่นสี่เหลี่ยมเล็กแบบลูกเต๋า และกุ้งต้ม, เส้นใหญ่ (ไม่ต้องใช้แผ่นใหญ่มาก), สะระแหน่ และผักสลัด
นอกจากเ ครื่องผักที่ตกแต่งหน้าของหมูถ้วยแล้ว ยังต้องเตรียม “น้ำจิ้ม” สูตรเด็ดไว้ราดหน้าหมูถ้วยเวลารับประทานอีกด้วย

“น้ำจิ้มหมูถ้วย” ตามสูตรก็เตรียม
พริกขี้หนูบด 1 กก.,
มะเขือเทศปั่น (เอาแต่น้ำ) 3 กก.,
น้ำมะนาว 30 ลูก
น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม

วิธีทำคือ
นำส่วนผสมทุกอย่างมาผสมรวมกัน แล้วตั้งเคี่ยวบนเตา ใช้ไฟกลาง ๆ เมื่อส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีแล้วก็ยกลง

การ ขาย ก็นำหมูถ้วยมาค่อย ๆ ใส่เครื่องเคียงลงไปในถ้วย ใส่ทุกอย่าง ๆ ละไม่มาก และจะต้องตกแต่งหน้าให้สวยงาม
จากนั้นนำมาจัดเรียงใส่ถาดกลม ๆ ให้ได้ 7 ถ้วย เสิร์ฟพร้อมถ้วยน้ำจิ้ม ขายในราคาชุดละ 30 บาท


นอกจากสูตรหมูถ้วยแล้ว ทางทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ยังได้สูตร “ต้มยำหมูโสร่ง” แถมมาด้วย

สำหรับ การขาย “ต้มยำหมูโสร่ง” นั้น ก็เหมือนกับการขายก๋วยเตี๋ยวทั่วไป หมายความว่าก็ต้องมีร้านก๋วย เตี๋ยว แต่สิ่งที่เป็นไฮไลต์ของร้านคือ


“หมูโสร่ง” ซึ่งมีวิธีทำ ดังนี้คือ
ใช้เนื้อหมูบริเวณเนื้อตะโพกตัดออกมาเป็นชิ้น ๆ แล้วบดละเอียดก่อน จากนั้นผสมกับเครื่องปรุงรสให้กลมกล่อมด้วย
น้ำตาล,
เกลือ,
พริกไทย,
ซีอิ๊ว นำเข้าเครื่องตี ทำการตีไปเรื่อย ๆ จนกว่าหมูและเครื่องปรุงรสต่าง ๆ จะผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน

จาก นั้นเตรียม “เส้นหมี่เหลือง” ที่จะใช้เป็น “โสร่ง” โดยนำเส้นหมี่มาลวกด้วยน้ำร้อนเพื่อให้สุกก่อน
แล้วลวกด้วยน้ำเย็นเพื่อไม่ให้เส้นเกาะติดกัน จากนั้นผึ่งให้แห้ง และสาวเป็นเส้น ๆ เรียงให้เรียบร้อย

ขั้นต่อไป นำหมูที่ตีแล้วมาปั้นเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่ากับลูกชิ้น แล้วนำเส้นหมี่ที่ลวกเสร็จแล้วนำมาพันกับหมูที่ปั้นไว้
ซึ่งในการพันหมูนั้นอาจจะใช้วิธีการพันทีละเส้น หรือพันคราวละหลาย ๆ เส้นก็ได้

หมูโสร่งดิบที่พันออกมานั้น สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง รวมถึงเป็นส่วนประกอบของ “ต้มยำ”
อย่างไรก็ตาม ต้องมีเนื้อหมูสวรรค์ คล้าย ๆ หมูเด้ง แต่จะปั้นออกมาเป็นแผ่น ๆ และหมูชิ้นลวก เพิ่มเติมอีกด้วย จึงจะครบเครื่อง

วิธีทำ
“ต้ม ยำหมูโสร่ง” ก็เหมือนกับการทำเกาเหลาต้มยำ โดยเริ่มต้นที่การลวกถั่วงอกรองพื้นก่อน ใส่เครื่องหมูลงไปกะเอาพอประมาณ 1 ชาม
จากนั้นปรุงรสสุดฝีมือกันด้วยเครื่องต้มยำ ได้แก่ พริกป่น, น้ำส้มสายชู, น้ำตาลเคี่ยว, น้ำปลา, ใส่ถั่วป่นหน่อย
โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย และตั้งฉ่าย แล้วราดน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวเป็นขั้นตอนสุดท้าย เท่านี้ก็ได้ “ต้มยำหมูโสร่ง” พร้อมขาย

ใครที่สนใจ “หมูถ้วย” และ “ต้มยำหมูโสร่ง” คุณอ้น-ธิติ วรบวร
ทำขายอยู่ที่ร้าน Tasty เลขที่ 1/562 ซอยโชคชัย 4 แขวง-เขตลาดพร้าว โทร.0-2933-4496-7
เปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น.


ที่มา เดลินิวส์,kanchanapisek.or.th
horapa.com,v2.zmeal.com

Read More...


ซาลาเปาทอด ไอเดียลาว-ทำเงินในไทย


สำรวย เทพศิริวัฒน์ หรือ อ้อย ยึดอาชีพขาย “ซาลาเปาทอด” ควบ คู่กับอาหารอย่างอื่น
เช่น ทอดมันปลากรายสูตรปักษ์ใต้ ทางเจ้าตัวเล่าว่า ทำอาชีพค้าขายมานานหลายสิบปีแล้ว เริ่มจากหมูทอด
ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะที่คิดขึ้นมาเอง จะกรอบนอกนุ่มใน อร่อยกำลังดี ต่อจากนั้นก็ทำทอดมันปลากรายสูตรปักษ์ใต้ขายด้วย
ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีมาก เพราะเครื่องแกงที่ใส่ผสมกับเนื้อปลาจะเป็นเครื่องแกงปักษ์ใต้

“พอ ดีไปเที่ยวที่ประเทศลาวกับครอบครัว ไปเห็นเขาทอดขนมบางอย่างขายกัน มีคนต่อคิวซื้อกันเยอะ ก็สงสัย ถามว่าขายอะไร
พ่อค้าลาวบอกว่าเป็นซาลาเปาทอด เราก็คุยโน่นถามนี่ ถามถึงสูตรซาลาเปาทอด เขาก็บอกนะ กลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็มาลองทำดู
โดยสูตรของลาวที่ชิมดูแล้วคิดว่าคงไม่ถูกปากคนไทยแน่ จึงปรับปรุงให้ถูกปากของคนไทยจนได้สูตรที่ลงตัว ทั้งตัวแป้งและไส้
จากนั้นก็ทำขาย แรก ๆ หลายคนสงสัยว่าคืออะไร พอซื้อไปทานก็บอกว่าอร่อย ก็มาเป็นลูกค้าประจำ”
คุณอ้อยเล่าถึงที่มาของการขายซาลาเปาทอดแบบนี้

สำหรับ วัสดุอุปกรณ์ในการทำขาย ก็มีพวก... เตาแก๊ส, ลังถึงขนาดกลาง, ตาชั่งเล็ก, ถ้วยตวง, ที่ตัดแป้ง, ผ้าขาวบาง, ที่ร่อนแป้ง,
เครื่องตีแป้ง, เครื่องปั่น, ตะกร้าโปร่ง, กะละมังพลาสติก, ถาดอะลูมิเนียม, หม้อ, กระทะ, ตะหลิว ฯลฯ
และเครื่องใช้เครื่องมือเบ็ดเตล็ดอย่างอื่น ที่สามารถหยิบฉวยได้จากในครัว

ส่วนผสม-วัตถุดิบในการทำซาลาเปาทอด ก็ มี...
แป้งสาลีตราบัวแดง, น้ำอุ่น, หัวเชื้อ, น้ำมันพืช, ไข่ไก่, น้ำตาลทราย, ยีสต์แห้ง, เกลือ, เนยขาว,
กระดาษลอกลายสีขาว (ตัดเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด 1 1/2 X 1 1/2)

ขั้นตอนการทำ “ซาลาเปาทอด”
เริ่ม จากเตรียมแป้ง 1 กก. แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 700 กรัม ร่อนให้ละเอียด
แป้งส่วนที่สอง 300 กรัมผสมกับผงฟู 2 ช้อนชา ร่อนให้ละเอียด แล้วคลุมด้วยผ้าขาวพักไว้สักครู่

นำ แป้งส่วนแรกผสมกับยีสต์ 2 ช้อนชา, น้ำสะอาด 1 1/2 ถ้วยตวง ตีด้วยเครื่องตีแป้ง ใช้ความเร็วปานกลางตีประมาณ 15 นาที
สังเกตดูว่าแป้งผสมเข้ากับน้ำและยีสต์ดีแล้ว ก็เป็นอันใช้ได้ เสร็จแล้วนำไปใส่ภาชนะคลุมด้วยผ้าขาวบาง
ตั้งพักไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิห้องพอดี ๆ ไม่ร้อน-ไม่เย็นเกินไป

ขั้นต่อไปเอา
แป้งส่วนแรกมาผสมกับส่วนที่สอง ใส่ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ ลงไปด้วย ทำการตีประมาณ 30 นาที
จับแป้งดูว่าเหนียวพอดีแล้วก็นำไปแช่ในตู้เย็นนานประมาณ 3 ชั่วโมง

จาก นั้นก็นำแป้งออกมาวางลงในถาดอะลูมิเนียมที่ทาด้วยเนยขาว นวดแป้งด้วยมือให้แป้งเนียนขึ้น
ใช้ที่ตัดแป้งตัดออกทีละแถว แล้วตัดอีกครั้งเป็นชิ้น ๆ ตามความต้องการ (วิธีการตัดเหมือนกับการตัดแป้งปาท่องโก๋)
ใช้มือคลึงแป้งบนถาด น้ำหนักมือต้องไม่หนักและเบาเกินไป มิฉะนั้นแป้งจะออกมารูปทรงไม่สวยงาม





ต่อไปการทำไส้ซาลาเปา “ไส้หมูสับ” ส่วนผสมก็ประกอบด้วย...
หมูสับ 1 กก. มันแกวหั่นฝอย 700 กรัม, กระเทียมบด 100 กรัม การทำก็นำส่วนผสมลงผัดในกระทะ
ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย 7 ช้อนโต๊ะ, ซีอิ๊วขาว 10 ช้อนโต๊ะ, ผงปรุงรสรสหมูนิดหน่อย, พริกไทยป่น
ผัดส่วนผสมทั้งหมดให้แห้ง แล้วนำขึ้นตั้งพักไว้สักครู่

“ไส้ครีม” ส่วนผสมก็ได้แก่...
น้ำตาลทราย 250 กรัม, มาการีน 200 กรัม, แป้งสาลี ร่อนสองครั้ง 75 กรัม, นมผง 500 กรัม, นมสด 50 กรัม,
แป้งคัส ตาร์ด 500 กรัม, ไข่ไก่ 4 ฟอง, กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา โดยนำส่วนผสมทั้งหมดผสมเข้าด้วยกัน
แล้วใส่หม้อตุ๋น กวนจนกระทั่งส่วนผสมเหนียวปั้นได้ ยกขึ้นทิ้งไว้ให้เย็น

ลำดับต่อ ไปเป็นขั้นตอนการปั้นซาลาเปา
นำแป้งที่แบ่งไว้เป็นก้อน ๆ มาแผ่ออกเป็นแผ่นกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว หรือขนาดอื่นตามชอบ
ตักไส้ตามที่ต้องการที่เตรียมไว้ใส่ลงตรงกลางแผ่นแป้ง แล้วค่อย ๆ ห่อแป้งเข้ามารวมกันให้มิดไส้
คลึงให้เป็นลูกกลม ๆ วางลงบนกระดาษขาวที่เตรียมไว้ ตั้งพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อให้แป้งขึ้นตัว
จากนั้นจึงนำไปใส่ลังถึงนึ่งประมาณ 15 นาที ก็เป็นอันเสร็จไปส่วนหนึ่ง

การออกจำหน่าย แบบทอด ไปขายไป ให้เตรียมซาลาเปาใส่กล่องพลาสติก
เวลาทอดให้ใส่น้ำมันพืชเยอะ ๆ ลงในกระทะ ใช้ไฟแรงปานกลาง ทอดครั้งละ 10 ลูก ใช้ตะแกรงกระชอนคอยคนอยู่ตลอด
พอซาลาเปามีสีเหลืองกรอบก็ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมัน ก็เป็นอันเรียบร้อย พร้อมที่จะจำหน่ายให้ลูกค้าได้

สำหรับสูตรที่ว่ามานี้ คุณอ้อยบอกว่าสามารถทำซาลาเปาทอดได้ประมาณ 200-210 ลูก
ราคาขายก็ลูกละ 5 บาทเท่านั้น โดยจะมีต้นทุนอยู่ที่ลูกละประมาณไม่เกิน 70%

ใครสนใจ “ซาลาเปาทอด” สูตรนี้ สูตรที่นำซาลาเปาขาว ๆ ไส้หมู-ไส้ครีมมาลงกระทะทอดเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ น่าสนใจ
อยากเห็นหน้าตา อยากลองชิมรสชาติ วันอังคารจะขายอยู่ที่ตลาดนัดสหกรณ์การเกษตร,
วันพุธ ขายที่กรมแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข, วันพฤหัสฯ ขายที่โรงพยาบาลโรคทรวงอก และวันศุกร์ ขายที่กรมประมง
หรือต้องการนำไปออกร้านในเทศกาลต่าง ๆ ก็ติดต่อคุณอ้อยได้ที่ โทร. 08-6994-9100.

เรื่องโดย เดลินิวส์ออนไลน์ 
ที่มา http://women.sanook.com


Read More...


“ฟักทองนมสด” เพื่อคนรักสุขภาพ



เรื่องสุขภาพ ยังคงเป็นเรื่องฮอตฮิตอยู่ตลอด ไม่ว่าแฟชั่นหรือแม้แต่การบ้านการเมืองจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย
คนเราก็ต้องดูแลและเอาใจใส่กับสุขภาพของตนเองอยู่เสมอ
มื้อนี้ "กุ๊กเล็ก" เลยของเอาใจแฟนนานุแฟนโดยเสนอเมนูของหวานกินเล่น แต่สรรพคุณไม่ใช่เล่นๆเลย
     
เนนูนี้มีชื่อว่า "ฟักทองนมสด" ซึ่งฟักทองมีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมายเช่น วิตามินเอ บี ซี และธาตุฟอสฟอรัส
และที่สำคัญสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้
     
หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเส้นเลือด
ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป
     
นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล
เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย ส่วนนมสด
ก็อย่างที่รู้ๆกันเป็นอย่างดีว่า เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก
ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน ช่วยในการเจริญเติบโตอีกด้วย บรรยายสรรพคุณมาเยอะแยะจนน้ำลายสอ เรามาลงมือทำกันเลยดีกว่า
     
       ส่วนผสม
       ฟักทองหั่นแล้ว 1 ถ้วย
       นมสด 2 ถ้วย
       น้ำตาล 1/2 ถ้วย
       น้ำเปล่า 1 ถ้วย
       เกลือ (เล็กน้อย)
     
ส่วนวิธีทำก็ง่ายแสนจะง่าย เพียงนำฟักทองมาล้างให้สะอาด จากนั้นนำฟักทองมาหั่นเป็นชิ้นบางๆพอดีคำ
จากนั้นนำฟักทองที่หั่นแล้ว นมสด น้ำตาล และน้ำเปล่า ใส่ลงในหม้อแล้วตั้งไฟจนสุก
     
อย่าลืมโรยเกลือเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติเข้มข้นขึ้น จากนั้นตักใส่ถ้วยให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟได้เลย
รับรองว่าของว่างเมนูนี้ ที่อัดแน่นด้วยคุณค่าทางอาหารต้องโดนใจแฟนนานุแฟน อย่างแน่นอน
และขอแอบบอกไว้หน่อยว่าสำหรับคนที่กลัวอ้วนใช้นมสดแบบพร่องมันเนย และใช้น้ำตาลเทียมแทนก็ได้ไม่ว่ากัน

โดย กุ๊กเล็ก
อ้างอิง http://www.manager.co.th


Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.