สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ขนมกล้วย และขนมฟักทอง สูตรทำขาย

ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา มีเพื่อนๆ ถามถึงสูตรขนมกล้วย ขนมฟักทอง ที่พิมใช้ทำขายอยู่บ่อยครั้งทั้งทางเมล์ เวบบอร์ด และก็หน้าเวบ วันนี้...พิมก็เลยขอเอาสูตรแปะไว้ที่เวบเลยล่ะกันค่ะ

แต่ว่า ...... พิมไม่มีรูปภาพส่วนผสมทั้งหมด กับรูปภาพขณะลงมือทำมาให้ดูนะคะ เพราะว่าระยะหลังนี่ ไม่เคยได้ทำตอนช่วงกลางวันสักที  ... เวลาที่ทำมักจะเป็นช่วง ตี 3-ตี 4 ซึ่งฟ้ายังไม่สว่าง ยังไม่มีแสงแดดเลย เพราะงั้นก็เลยมีแต่รูปขณะทำเสร็จแล้วมาให้ดูแทนล่ะกันนะคะ   แต่คิดว่าน่าจะเข้าใจและทำตามกันได้ไม่ยาก เพราะว่าวิธีการและส่วนผสม ไม่มีอะไรที่ซับซ้อนเลยอ่ะค่ะ

:: ส่วนผสมและวัตถุดิบขนมกล้วย ::
- กล้วยน้ำว้าสุกงอม 2.5 กก.  / ฟักทองนึ่งสุกแล้ว 2.5 กก.
- แป้งข้าวเจ้า 4 ขีด
- แป้งมัน 1.5 ขีด
- แป้งท้าว 0.5 ขีด
- น้ำตาลปี๊บแท้ อย่างดี 500 - 600 กรัม
- น้ำตาลทราย 100 - 150 กรัม
- มะพร้าวอ่อนขูดหรือหั่นชิ้นเล็ก 2 ถ้วย
- เกลือป่นธรรมดา ไม่ใช่ไอโดดีน ประมาณ 3 ชต. ...... (อันนี้ไม่ได้ตวงอีกแหละค่ะ อาศัยผสมแล้วชิมเอา ไว้คราวหน้าจะตวงมาให้อีกที)
- กะทิ  .... (อันนี้พิมไม่เคยชั่งหรือตวงเลยค่ะ อาศัยกะเอาด้วยความเคยชิน  ถ้าจำไม่ผิด น่าจะไม่เกิน 3 ถ้วย แต่ไว้คราวหน้าทำ จะชั่งตวงมาให้แน่นอนอีกที)
- มะพร้าวทึนทึกขูดด้วยมือแมว ไว้สำหรับโรยหน้า 1 ลูกใหญ่ เคล้าด้วยเกลือป่นเล็กน้อย พอให้มีรสเค็มปะแหล่มๆ

:: วิธีทำ ::
เริ่มต้นก็ให้ทำการบดกล้วยไว้ก่อนเลยนะคะ  จะบดด้วยเครื่องปั่น หรือใช้ตำในครกก็ได้ค่ะ ตามสะดวกเลย ... แต่ถ้าตำในครก ต้องมั่นใจนะคะ ว่าครกใบนั้นไม่มีกลิ่นอะไรแปลกปลอม เช่่น กลิ่นพริก กระเทียม เครื่องแกง ฯลฯ หลงเหลืออยู่อ่ะค่ะ

ต่อมาก็ทำการผสมแป้งทั้ง 3 ชนิดเข้าด้วยกันค่ะ  ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลิอป่นลงไป แล้วบี้ให้น้ำตาลเข้ากับแป้งจนกระทั่งมีลักษณะเหมือนเม็ดทรายหยาบ  .... ก็ใส่กล้วยบดลงไป  เคล้าจนเข้ากัน และคนด้วยมือต่อไปอีกสัก 10 นาที  ส่วนผสมที่ได้จะมีลักษณะคล้าย ๆ ครีมเหนียว ๆ  ก็เติมหัวกะทิ กับเนื้อมะพร้าวอ่อนลงไป คนให้เข้ากันดี ก็เป็นอันใช้ได้ล่ะค่ะ

ป.ล. หัวกะทินี่ ให้ค่อย ๆ เติมนะคะ อย่าเติมพรวดเดียวจนหมด ให้ค่อยๆ เติมไปคนไป  จนกระทั่งส่วนผสมมีความข้นประมาณนมข้นหวานหรือข้นกว่านิดหน่อยอ่ะค่ะ

พอส่วนผสมใช้ได้แล้ว ก็ให้เราทำการนึ่งให้สุกเพื่อชิมก่อนนึ่งจริงสักเล็กน้อยก่อนค่ะ  ด้วยการหาหม้อใบเล็กๆ สักใบ  ตั้งบนเตาไฟ ใส่น้ำลงไปในหม้อให้สูงสัก 1.5 นิ้ว  วางถ้วยกระเบื้องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสัก  3 นิ้วลงไปกลางหม้อ  ตักส่วนผสมขนมกล้วยใส่ลงไปในถ้วยสัก 2 ช้อนโต๊ะ โรยมะพร้าวทึกทึกที่เราขูดไว้ลงไปนิดหน่อย ... ปิดฝา นึ่งเป็นเวลาประมาณ 10-15  นาทีก็จะสุกใช้ได้  (หรือจะนึ่งด้วยวิธีอื่น ก็ตามสะดวกเลยนะคะ)  .... และพอขนมสุกดี ก็ตั้งทิ้งไว้จนขนมเย็นค่ะ  เมื่อขนมเย็นตัวดีแล้วก็ตักขึ้นมาชิม  หากหวานน้อยไป ก็เติมน้ำตาลตามชอบนะคะ  และถ้าขนมแข็งไป ก็ให้เติมน้ำกะทิหรือถ้าไม่มีก็สามารถใช้น้ำมะพร้าวอ่อนแทนได้   แต่ถ้าขนมนิ่มไป เหลวไป ก็ให้เติมแป้งข้าวเจ้าลงไปได้นิดหน่อยอ่ะค่ะ

เมื่อชิมขนมให้มีรสชาติได้ที่แล้ว ก็ถึงเวลานึ่งจริงล่ะค่ะ  .........  ก็ให้เราหันไปตั้งรังถึง (ขอเรียกว่า "ซึ้ง" ล่ะกันนะคะ ง่ายดี)  บนเตาไฟค่ะ  ปริมาณน้ำที่ก้นซึ้งประมาณ 3/4 ของความลึกก้นซึ้่งนะคะ  แล้วก็หากใช้ถ้วยตะไลเป็นภาชนะในการนึ่ง ก็ให้เอาเรียงถ้วยลงในซึ้ง แล้วนำถ้วยไปนึ่งให้ร้อนก่อน (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) เพื่อช่วยไม่ให้ขนมติดพิมพ์นะคะ  พอถ้วยร้อนดี ก็ตักขนมหยอดใส่ในแต่ละถ้วยเลยค่ะ  และก็ใช้เวลานึ่งประมาณ 25 นาที ขนมก็จะสุกดีนะคะ   แต่ถ้าใครใช้กระทงใบตองเป็นภาชนะที่ใช้นึ่งขนมแล้ว  ไม่ต้องนึ่งกระทงใบตองก่อนนะคะ ^^"  และหากใช้ซึ้งเล็ก ใช้เวลานึ่ง 15 นาทีก็พอค่ะ แต่ถ้าใช้ซึ้งใหญ่แบบพิม  (เบอร์ 44)  ต้องนึ่งขนมประมาณ 20 นาทีนะคะ ถึงจะสุกดีค่ะ

ยังไงก็ .... ถ้าใครสนใจลองเอาไปทำดูนะคะ ติดขัดตรงไหนก็มาถามกันได้  พิมไม่หวงสูตรจ้า ...... แต่อย่าเอามาทำขายใกล้ ๆ พิมน๊าา เดี๋ยวพิมขายไม่ได้

ป.ล. ความอร่อยของขนมกล้วย อยู่ที่ความนุ่มนวลของเนื้อขนม  และความหวานหอมของกล้วย  อีกทั้งรสชาติจะต้องกลมกล่อม ไม่เค็มไปหรือหวานไป  .... ถ้าทั้งสามอย่างนี้โอเค ความอร่อยก็ไม่หนีไปไหนอ่ะค่ะ

ป.ล. ขนมฟักทองใช้สัดส่วนส่วนผสมเดียวกับขนมกล้วนะคะ เพียงแต่ว่าฟักทอง 2.5 กก. จะต้องเป็นฟักทองที่นึ่งสุกแล้วค่ะ  (ใช้เนื้อฟักทองดิบประมาณ 2.8 กก. หรือถ้าเป็นฟักทองทั้งลูกก็จะประมาณเกือบ 4 กก.)  และส่วนผสมของขนมก่อนนำไปนึ่ง จะต้องมีลักษณะที่ข้น  ไม่เหลวเหมือนส่วนผสมขนมกล้วยนะคะ


Read More...


10 อันดับ อาหารไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบ

อันดับที่ 10
Por Pia Tord or Fried Spring Roll


หรือ ปอเปี๊ยะทอดสุดอร่อยนั่นเอง


อันดับที่ 9
Gai Pad Met Mamuang or Cashew Nuts In Stir-Fried Chicken

หรือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ อาหารระดับตำนานอีกจานของเมืองไทย
 

อันดับที่ 8
Som Tam or Spicy Papaya Salad



หรือ ส้มตำ อาหารอีสานคลาสสิกที่ไม่มีใครไม่รู้จัก 
 

อันดับที่ 7
Moo Sa-Te or Grilled Pork Sticks with Turmeric



หรือ หมูสะเต๊ะ อันหอมหวานพอดีลิ้น
 


อันดับที่ 6
Panaeng or Meat in Spicy Coconut Cream


หรือ พะแนง หวาน ๆ มัน ๆ เผ็ดเล็กน้อย พอปะแล่มลิ้น 
 

อันดับที่ 5
Tom Yam Gai or Chicken Soup (Spicy)



หรือ ต้มยำไก่ อาหารจานเด็ดอีกรายการที่ถูกลิ้นถูกใจคนค่อนโลก
 

อันดับที่ 4
Tom Yam Goong or Spicy Shrimp Soup



หรือ ต้มยำกุ้ง สุดยอดอาหารไทยที่รู้จักทั่วโลก ดังขนาดต้องเอาไปตั้งชื่อหนังขายฝรั่ง
 

อันดับที่ 3
Tom Kha Kai Or Chicken In Coconut Milk Soup



หรือ ต้มข่าไก่ รสชาติและกลิ่นอันหอมหวลที่ใครก็ยากจะปฏิเสธ 
 

อันดับที่ 2
Kang Keaw Wan Kai or Chicken Curry (Green)



หรือ แกงเขียวหวานไก่ อาหารจานเด็ดที่ประยุกต์ให้รับประทานได้กับหลากหลายเมนู
 

อันดับที่ 1
Pad Thai



หรือ ผัดไทย ของโปรดของใครหลายคนที่ถือเป็นอาหารประจำชาติกันเลยทีเดียว (แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้ว)

Read More...


'พราว' เสน่ห์ของฝากในน่านน้ำพรีเมียม








"พราว" (PROUD) ไอเดียสองพี่น้องตระกูล "สุขภารังสี" คนวัยเพียง 20 ปลายๆ ที่หอบเอาความฝัน ความมุ่งมั่นมาพิสูจน์ตัวเองบนเวทีผู้ประกอบการ

ในวันที่ทำเนียบผู้ประกอบการไทย ได้ต้อนรับสองพี่น้อง "เอ๋-อุบลวรรณ สุขภารังสี"  และ "เอ็ม-อรวรรณ สุขภารังสี" สาวหน้าใสวัย 28 และ 26 ปี เราก็ได้เห็นความมุ่งมั่นของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ตั้งอกตั้งใจสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยสองมือ แม้แต่วันที่ธุรกิจเริ่มเป็นรูปร่างแล้ว หากความมุมานะผ่านสองมือเล็กๆ นี้ ก็ยังไม่มีทีท่าจะหมดพลังลงได้ง่ายๆ

ทั้ง "เอ๋" และ "เอ็ม" หอบเอาความเก่งมาคนละด้าน เอ๋ คนพี่เรียนกราฟฟิกดีไซน์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปต่อโทที่ประเทศอังกฤษ ด้านการบริหารการออกแบบ  ส่วนเอ็ม เรียนการตลาดจากเอแบคก่อนไปศึกษาต่อด้านการสื่อสารการตลาดที่ประเทศเดียวกัน

หากความเก่งเพียงแค่นั้น ไม่พอที่จะทำให้คนไร้ประสบการณ์เริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการที่ดีได้  ทั้งสองคนจึงหอบเอาความฝัน ไปปรึกษาผู้รู้ที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ด้วยโจทย์ธุรกิจ ยกระดับของฝากขนมไทยเป็นสินค้าพรีเมียม เจาะลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ผลิตผลที่ได้จากความใจกล้า คือข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านขนมไทย ขนมแบบไหนมีโอกาสขายได้ แบบไหนน่าจะไม่เวิร์ค รวมถึงโอกาสอุปสรรค ตลอดจนลิสต์รายชื่อสินค้าและแหล่งผลิตแนบมาให้ด้วย เพื่อที่พวกเธอจะได้นำไปติดต่อ เจรจา เฟ้นหาแหล่งผลิตที่ดีที่สุด เพื่อตั้งต้น “พราว” ให้เป็นรูปร่างขึ้นนับจากนั้น

วิธีการของ “พราว” คือไม่มีโรงงานผลิตของตัวเอง แต่ใช้รับจ้างผลิตจากเจ้าอร่อย
“ตอนที่คิดคอนเซปต์ขึ้นมา ก็มีโจทย์อยู่ในใจแล้ว คือ แบรนด์ต้องดูพรีเมียม สามารถนำไปเป็นของฝากได้ เหมือนเวลาเราไปต่างประเทศ อย่างญี่ปุ่น จะเห็นว่าของฝากเขาน่ารักมากเลย  แพ็คเกจจิ้งน่ารักมาก  ขนมอร่อยหรือเปล่าอีกเรื่อง ซึ่งเรามั่นใจว่าขนมไทยอร่อยที่สุด แต่จะทำอย่างไรให้มันดูน่ากิน น่าซื้อขึ้น ชาวต่างชาติมาเห็นแล้วรู้สึกดีอย่างนำไปเป็นของฝาก นี่เป็นโจทย์ในการดีไซน์ พราว ออกมา”

แล้วผลิตภัณฑ์สุดหรูก็ทยอยอวดโฉมสู่ตลาด   ด้วยการใช้เทคนิคจัดองค์ประกอบภาพ ควบคุมโทนสี ดีไซน์ให้มีความเป็นไทยที่ดูหรูหรา น่าครอบครอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งตัวสินค้า นามบัตร ใบส่งของ โบรชัวร์ สื่อทุกสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็น “พราว” ส่วนโลโก้ "พราว" (PROUD)  เป็นภาษาไทยเคียงข้างภาษาอังกฤษ เพื่อที่ไม่ว่าขนมของพวกเธอจะไปอยู่ในประเทศไหนก็จะมีความเป็นไทยไปปรากฏอยู่ ณ ที่นั้นด้วย

ส่วนไอเดียจากงานดีไซน์เก็บตกมาจากสมัยเรียนที่มีโอกาสใช้บริการของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC และยังคงใช้บริการต่อเนื่องเพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ “พราว” ให้ทันยุค

ดีไซน์เป็นหัวใจสำคัญของ "พราว" ที่จะพาไปผลิตภัณฑ์ไทยๆ ดูดี มีราคา น่าซื้อ
ผสมกับขนมรสชาติดี เก็บได้นาน และถูกใจตลาด
“สินค้าที่นำมาขายเราจะดูยอดขายด้วย ตัวไหนขายดีก็ keep ไว้ ตัวไหนไม่ค่อยดีก็ปล่อยไป บางตัวเราชิมแล้วเห็นว่าอร่อย แต่พอขายกลับไม่เวิร์ค หมดอายุเร็วไปก็อยู่ไม่ได้ นอกจากยอดขายเราก็มองถึงมาตรฐานต่างๆ ด้วย เพราะตอนนี้เริ่มทำตลาดส่งออก เรื่องพวกนี้สำคัญมาก ไม่ผ่านมาตรฐานไม่มีใบรับรองก็ขายต่างประเทศไม่ได้ จึงต้องเข้มงวดเรื่องกระบวนการผลิตมากขึ้น คัดเลือกโรงงานที่ดี เพื่อให้การทำงานในตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น”

จากของฝากหลายๆ ตัว ก็มาสรุปที่ ข้าวแต๋นรสธัญพืชเจ็ดชนิด ทองม้วนรสต้นตำรับ ชาตะไคร้หอม ทุเรียนอบสุญญากาศ ข้าวแต๋นน้ำแตงโมมินิ เปลือกส้มโออบแห้ง วาฟเฟิลกะทิสอดไส้ช็อกโกแลต ลำไยสีทองอบแห้งเกรดสามเอ ขายในราคาตั้งแต่ชิ้นละ 89- 219 บาท หากจัดเป็นเซตหรู ขายกันที่ 1,199 บาท

เมื่อกำหนดเป้าหมาย คือขาช้อปกระเป๋าหนัก กลุ่มบีบวกขึ้นไป ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลาดในประเทศจึงเน้นขึ้นห้างหรูเป็นหลัก อย่าง ห้างสยามพารากอน , เอ็มโพเรี่ยม, เซ็นทรัลชิดลม ,วิลล่า มาร์เก็ต สาขาทองหล่อ, สุขุมวิท 33 และสุขุมวิท 49 รวมถึงเซ็นทรัลเวิลด์ 

แม้เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ และยอมรับว่ายังอ่อนด้อยในเวทีธุรกิจ แต่ทั้งสองคนก็พร้อมมุ่งมั่นกับมันอย่างเต็มที่ ความตั้งใจจริง ช่างสังเกตและชอบแสวงหานำมาซึ่งโอกาสในตลาดต่างประเทศ

“เราทั้งสองคนชอบอ่านหนังสือมาก ด้วยความที่คุณพ่อท่านปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นถึงได้รู้ว่า การอ่านมันสำคัญและให้อะไรกับเราได้มากจริงๆ กระทั่งหนังสือพิมพ์ อย่างครั้งหนึ่งเคยอ่านเจอข่าวเกี่ยวกับนักธุรกิจไทยที่ไปเปิดร้านที่แอลเอ เลยเห็นโอกาสว่าน่าจะส่งสินค้าของ “พราว” ไปฝากขายที่นั่นได้ เราจึงโทรศัพท์ไปที่สำนักพิมพ์ไล่ถามตั้งแต่บก.ที่รับผิดชอบคอลัมน์เพื่อติดต่อขออีเมล์ของคุณคนนี้มาจนได้ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างติดต่อกับเขาเพื่อนำสินค้าของเราไปขาย”

ความใจกล้าและขยันหาคำตอบที่อยากรู้ ทำให้โอกาสเปิดตลาดอเมริกามารออยู่ตรงหน้า ขณะที่สนามเอเชีย อย่างเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน พราวก็ทำตลาดไปแล้วผ่านห้างสรรพสินค้าชื่อดังของที่นั่น หลังได้เป็นหนึ่งสินค้าโชว์เคสไปออกบูธในงานแสดงสินค้าประเทศจีน จนได้รับการติดต่อให้นำสินค้าไปขายในที่สุด

แม้ตลาดต่างประเทศจะมาร์จินน้อยกว่าตลาดในประเทศ แต่ทั้งสองคนก็ยอมรับว่ามันช่วยเรื่อง “วอลุ่ม” ได้มาก โดยเฉพาะเมื่อถึงวันที่ตลาดไทยได้รับผลกระทบ อย่างการปิดห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ทำให้ยอดขายของ “พราว” หายไปถึง 90% ก็ได้ลูกค้าต่างประเทศมาช่วยรักษายอดขายไว้ได้ ในอนาคตจึงมองที่จะขยายตลาดอินเตอร์ออกไป โดยเริ่มจากเอเชียเป็นจุดสตาร์ท

ความพยายามที่น่าชื่นชมของสองสาว ทำให้แบรนด์ “พราว” ถูกพูดถึงมากขึ้น ในฐานะแบบอย่างของคนขยันคิด ขยันแสวงหาโอกาส มุ่งมั่น อดทน จนทำให้แบรนด์เล็กๆ ของตัวเองมีที่ยืนอย่างสง่าในวันนี้ได้ สำหรับคนทำงานก็หวังเพียงว่า แบรนด์ของพวกเธอจะเป็นที่จดจำของตลาด เมื่อต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยแล้วคิดจะหาของฝากสักชิ้น ก็อยากให้นึกถึงแบรนด์ "พราว" เป็นแบรนด์แรก  เท่านี้ก็พอทำให้พวกเธอรู้สึก "PROUD" (ภาคภูมิใจ) ที่สุดแล้ว

“ที่ตั้งชื่อแบรนด์ว่า PROUD เพราะเหมือนเป็นความภูมิใจของเราสองคน ที่ได้ทำธุรกิจนี้ให้มันเกิดขึ้นมาด้วยสองมือ ส่วนอีกความภูมิใจก็คือ ได้ทำให้ผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ไปอวดโฉมในตลาดต่างประเทศได้ เราเชื่อว่าการจะทำอะไรก็ตาม ถ้าตั้งใจกับมัน ใส่ความพยายามไปเต็มที่  สวรรค์ก็ต้องเข้าข้าง และเราจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”


Read More...


เบอร์เกอร์ปลาทูไทย สร้างชื่อ

เบอร์เกอร์ปลาทูไทย เพิ่มยอดขาย ประชาสัมพันธ์ร้านด้วยการทำเว็บไซต์เปิดหน้าร้านค้าออนไลน์ ได้ลูกค้าหลากหลายทั่วประเทศ ซ้ำต้นทุนการโฆษณาก็ต่ำ ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกไซเบอร์
คุณสุทิน เล่าก่อนมาเปิดร้านอาหารว่า พื้นเพเป็นคนจังหวัดสมุทรสงคราม ก่อนหน้านี้เคยเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ทว่าขาดทุน ภรรยาแยกตัวไปขายทอดมันและอาหารตามสั่งในตลาดสดแม่กลอง ส่วนตัวเองไปรับเหมาก่อสร้าง แต่แล้วธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ประสบผลสำเร็จ ตรงกันข้าม กิจการของภรรยาดำเนินไปได้ด้วยดี ที่สุดแล้วเลยหันมาเอาดีในธุรกิจอาหาร

ครอบครัวแจ่มศรี เปิดร้านขายอาหารทะเลเรื่อยมา กระทั่งปี 2546 คุณสุทิน กล่าวว่า หอการค้าจังหวัดสมุทรสงคราม ชวนไปร่วมออกร้าน งานเทศกาลกินปลาทูที่ดอนหอยหลอด ซึ่งจะจัดขึ้นปี 2547 โดยมีเงื่อนไขว่า เมนูที่จะไปจำหน่าย ต้องทำจากปลาทูเท่านั้น ช่วงเวลา 1 ปี นำโจทย์กลับมาขบคิด กระทั่งกลายมาเป็นเบอร์เกอร์ปลาทูไทย

จากประสบการณ์ที่เคยไปเดินเที่ยวงาน มีแต่เมนูปลาทูเดิมๆ เช่น ปลาทูผัดฉ่า ปลาทูผัดพริกไทยดำ ฉู่ฉี่ปลาทู ปลาทูแดดเดียว ยำปลาทู ห่อหมกปลาทู ปลาทูซาเตี๊ยะ ปลาทูทอดราดพริก ปลาทูย่างน้ำปลาหวาน ฯลฯ ทางร้านอยากสรรหาความแปลกใหม่ เลยลองไปปรึกษาลูกสาว ได้คำแนะนำมาว่า ต้องทำเมนูที่โกอินเตอร์ นั่นคือ แฮมเบอร์เกอร์ เมื่อผสมผสานปลาทูไทยลงไป กลายเป็นเบอร์เกอร์ปลาทูไทย ด้วยเป็นเมนูที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ฉะนั้น จึงยากพอตัว สองสามีภรรยาเจ้าของร้านอาหารคุณเป๋า จึงใช้วิธีไปตระเวนชิมสารพัดแฮมเบอร์เกอร์ รวมถึงสอบถามกรรมวิธีการทำ จนรู้รสชาติ ส่วนผสม รูปร่างหน้าตาของแฮมเบอร์เกอร์เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากคุณสุทินไม่ถนัดทำอาหาร จึงให้ภรรยาที่เชี่ยวชาญทำครัวเป็นผู้ลงมือปรุง เมื่อคิดจะทำเมนูที่ต่างไปจากคนอื่น ต้องทำให้ดี เพราะถ้าลูกค้าชอบ เท่ากับว่าได้สร้างชื่อเสียง และยอดขายให้กับร้านไปในตัว คุณสุทิน ระบุ

เมื่อ เมนูโกอินเตอร์ ถูกใส่ใจปรุงรสชาติมาเป็นอย่างดี ทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่เจ้าของร้านคาดหวังคือ ลูกค้าให้การยอมรับ ส่งผลถึงยอดจำหน่ายที่สูงถึง 10,000 ชิ้น เรียกว่า เบอร์เกอร์ปลาทูไทยสามารถแจ้งเกิดได้ในงานดังกล่าว จากนั้นไม่นาน เจ้าของเมนูได้รับเชิญไปออกงานแสดงสินค้า ณ อิมแพค เมืองทองธานี จัดโดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม สร้างปรากฏการณ์ 10 วัน ยอดขายหลักแสนบาท ไม่นานเมนูเบอร์เกอร์ปลาทูไทยจึงถูกบรรจุไว้ในร้านอาหาร


ภายหลัง ที่เมนูดังกล่าวออกมาสร้างสีสันให้วงการปลาทู จนชื่อเสียงโด่งดัง เจ้าของไอเดีย บอกว่า อยากเพิ่มยอดขาย และประชาสัมพันธ์ร้าน ด้วยการทำเว็บไซต์ เหตุผลเพราะปัจจุบันการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะประเภทใดก็ตาม สิ่งสำคัญต้องมีสื่อประชาสัมพันธ์ สาเหตุที่เลือกสื่ออินเตอร์เน็ต เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นทุกวัน อีกทั้งไม่จำกัดเฉพาะคนไทย คนทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้ามาทำความรู้จักได้ ลำพังใช้วิธีปักป้ายร้าน ตามถนนหนทาง ได้ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม แต่การเปิดหน้าร้านบนเว็บไซต์ จะได้ลูกค้าหลากหลาย ซ้ำต้นทุนการโฆษณาก็ต่ำ เพราะทุกวันนี้มีเว็บไซต์สำเร็จรูป ราคาถูก เหมาจ่ายต่อปี

 

ค้า-ขายออนไลน์ ช่องนี้เห็นผลทันตา


เมื่อ คุณสุทินตัดสินใจเปิดหน้าร้านค้าออนไลน์ เขาใช้วิธีเช่าพื้นที่จากเว็บไซต์สำเร็จรูป เหมาจ่ายรายปี ปีละหลักพันบาท ข้อดีคือ มีเจ้าหน้าที่ช่วยโพสต์ข้อความและรูปภาพให้ แต่หลังๆ เจ้าตัว เผยว่า พอมีความรู้ เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ เลยหันมาลงข้อมูลเกี่ยวกับทางร้านด้วยตัวเอง

สอบถามรายละเอียด สินค้า และจำนวนลูกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อแต่ละวัน เจ้าของแฮมเบอร์เกอร์ ตอบว่า เนื่องจากเป็นอาหาร ฉะนั้น ต้องทำสดใหม่ทุกวัน เลยจะทำตามออร์เดอร์เท่านั้น กรณีลูกค้าสั่งเยอะมาก หรืออยากเหมาให้ไปจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ทางร้านจะขนวัตถุดิบ และอุปกรณ์ไปเอง สินค้าที่สั่งทางออนไลน์ ขั้นต่ำ 50 ชิ้น มีอายุเก็บได้นาน 2-3 วัน หากอยากเหมาจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ขั้นต่ำ 5,000 บาท ทั้ง 2 รูปแบบ จัดเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล หากเป็นจังหวัดไกลๆ ให้โทรศัพท์มาสอบถามกับทางร้านก่อน


ทุกวันนี้ลูกค้าที่เข้ามาสั่ง ซื้อเบอร์เกอร์ปลาทูไทย เจ้าของสูตร ระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นพวกคณะทัวร์ เจ้าของรีสอร์ต ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ จัดเลี้ยงบริษัท ร้านค้า เป็นต้น สำหรับสินค้าที่สั่ง จะถูกแพ็กและจัดส่งทางรถตู้ ราคาค่าส่งคิดตามระยะทาง สั่ง 50 ชิ้นขึ้นไป จากชิ้นละ 29 บาท เหลือชิ้นละ 25 บาท เวลาไม่นาน เบอร์เกอร์ปลาทูไทย และร้านอาหารคุณเป๋า มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกไซเบอร์ เจ้าของกิจการไม่หยุดนิ่ง ขยายเป็นรถจำหน่ายเบอร์เกอร์ปลาทูไทย เคลื่อนที่ไปตามแหล่งท่องเที่ยว ลักษณะคล้ายรถตู้ ตอนนี้มีแล้วยังจังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี

เอ่ยถามถึงเคล็ดลับการปรุง คุณสุทิน ว่าต้องใช้ปลาทูแม่กลองอย่างเดียว จากนั้นมาคลุกเคล้าเครื่องเทศ ใช้ขนมปังยี่ห้อฟาร์มเฮ้าส์ สาเหตุที่ใช้ปลาทูแม่กลอง เพราะเนื้อนุ่ม หนังบาง หางเหลือง ไม่มีกลิ่นคาว รสชาติอร่อย อีกทั้งส่วนตัวหาซื้อง่าย จะมีชาวประมงมาส่งถึงที่ร้าน ราคากิโลกรัมละ 55-60 บาท แต่ละวันรับปลาทูเฉลี่ย 1 ตัน จำนวนปลาทู 100 กิโลกรัม ขูดเอาแต่เนื้อจะได้เพียง 40 กิโลกรัม ปลาทู 1 กิโลกรัม สามารถทำแฮมเบอร์เกอร์ได้ประมาณ 50 ชิ้น ถ้าช่วงฤดูฝน จะเจอปัญหา ปลาทูตัวเล็ก แต่ราคาจะถูก


ด้านกำลังการผลิต คุณสุทินและภรรยา บอกว่า แต่ละเดือนยอดจำหน่ายเบอร์เกอร์ปลาทูไทย ทั้งทางออนไลน์ และหน้าร้าน เฉลี่ย 35,000 กว่าชิ้น พนักงานแบ่งเป็น ฝ่ายขาย คนขับรถ แม่ครัว มีประมาณ 20 คน พื้นที่ร้านอาหาร 1 ไร่เศษ รองรับลูกค้าได้ 400 คน สำหรับอนาคตของกิจการ คุณสุทินและภรรยาอยากจะขยายรูปแบบแฟรนไชส์ แต่ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเตรียมรายละเอียด

และนี่คือเมนูที่สามารถโกอินเตอร์ได้ด้วยวัตถุดิบของคนไทย ซ้ำทุกกระบวนการผลิต ใช้แรงงานในประเทศ สร้างวงจรเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง หากผู้ใดอยากลิ้มรสอาหารทะเลสด และเบอร์เกอร์ปลาทูไทย สโลแกน “ต้องไปกินให้ได้ในชาตินี้”

ติดต่อ คุณสุทิน แจ่มศรี
เลขที่ 1/3 หมู่ 4 ตำบลบางจะเกร็ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม โทรศัพท์ (034) 723-703, (081) 941-0376

Read More...


ข้าวหมกไก่ สูตรขายดีในโรงเรียน

 
ข้าวหมกไก่ ที่ศูนย์อาชีพฯ มติชน เปิดสอนมีอยู่ 2 สูตร คือสูตรดั้งเดิม (เชลล์ชวนชิม) สอนโดย อาจารย์สุจิตรา ศรีนวล กับสูตรขายดีในโรงเรียน สอนโดย อาจารย์อดุลย์โรจน์ อังสนันท์สุข ซึ่งจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในฉบับนี้

อันว่า อาจารย์อดุลย์โรจน์ เป็นวิทยากรมานานปี เริ่มตั้งแต่สอนวิชาข้าวมันไก่เมืองทอง ต่อมาสอนข้าวหมูแดงหมูกรอบ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ซี่โครงหมูตุ๋น ข้าวขาหมู และล่าสุดก็คือข้าวหมกไก่


จุดเริ่มของวิทยากรท่านนี้ที่หันมาขาย อาหาร มาจากการขายข้าวแกงมาก่อน จากนั้นได้ขยับขยายมาเป็นเมนูอื่นๆ ร้านแรกตั้งอยู่ที่ย่านประดิพัทธ์ สะพานควาย ก่อนที่จะย้ายมาขายที่ย่านเมืองทองธานี เพราะที่เดิมสถานที่จอดรถคับแคบ ปักหลักอยู่หลายปี กระทั่งเกิดวิกฤตปี 2540 ได้ย่อร้านให้เล็กลง และคิดว่าอายุก็เริ่มมากขึ้น ขายอาหารมาก็นานนับสิบๆ ปี ควรที่จะขายแบบสบายๆ บ้าง จึงบ่ายหน้าไปขายอาหารในโรงเรียนเมื่อ 5 ปีที่แล้ว

ณ โรงเรียนสวนกุหลาบ นนทบุรี สถานที่ขายในปัจจุบัน อาหารที่ขายประกอบด้วย ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดงหมูกรอบ และต่อมาได้เพิ่มข้าวหมกไก่ ปรากฏว่าทุกรายการขายดิบขายดี อย่างข้าวหมกไก่นั้น แรกๆ ก็คิดว่าจะเป็นที่นิยมของนักเรียนหรือไม่ เพราะมีกลิ่นของเครื่องเทศต่างๆ แต่ได้ดัดแปลงสูตรเป็นแบบไทยๆ ไม่ยุ่งยากในขั้นตอนการทำมากนัก



“ข้าวหมกไก่ ดั้งเดิมเป็นอาหารสูตรอิสลาม และแขกอินเดีย วิธีทำค่อนข้างยุ่งยากมาก ส่วนประกอบต่างๆ หาได้ยาก ราคาแพงพอสมควร กลิ่นและรสชาติจะฉุนเกินไปสำหรับคนไทย และเด็กนักเรียนอาจไม่ชอบ ผิดกับสูตรของเราที่ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก คือทำได้ง่าย ทำได้รวดเร็ว แถมอร่อยและขายดี” อาจารย์อดุลย์ บอกถึงจุดเด่นของข้าวหมกไก่ที่ทำขายและพร้อมที่จะเปิดสอนให้ผู้สนใจ

การ สอนจะเริ่มตั้งแต่การเรียนรู้เรื่องสูตรและส่วนผสมต่างๆ ทั้งสูตรที่ทำเป็นการค้า และสูตรชุดเล็กที่สามารถทำกินภายในครอบครัว เมื่อเข้าใจตรงกันก็จะทำการหมักไก่ทิ้งไว้ ต่อด้วยการหุงข้าว ที่จะต้องใช้ข้าวสารเสาไห้ผสมข้าวหอมมะลิ ปรุงด้วยเครื่องเทศต่างๆ และน้ำต้มไก่ เมื่อหุงข้าวเสร็จ ปรุงไก่เสร็จ ก็จะสอนการเสิร์ฟ และการทำน้ำจิ้มรสเด็ด

ข้าวหมกไก่ จะเปิดสอน วันที่ 6 ธันวาคม 2552
ส่วน วิชาอื่นๆ ที่สอนโดยอาจารย์อดุลย์โรจน์ เช่น ข้าวหมูแดงหมูกรอบ เปิดสอนรุ่นต่อไป วันที่ 5 ธันวาคม และ ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ซี่โครงหมูตุ๋น เปิดสอนรุ่นต่อไป วันที่ 12 ธันวาคม 2552

ใครที่อยากจะไปชิมก่อน เรียน ขอให้แวะไปที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ถนนติวานนท์ ย่านห้าแยกปากเกร็ด ขายอยู่ที่ล็อก 24 ทั้งข้าวหมูแดง ข้าวหมกไก่ ส่วนก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น จะให้หลานสาวขายอยู่ที่ ล็อก 15 ช่วงที่ขายดีระหว่าง 06.00-07.40 น. จะเป็นรอบนักเรียน หลังจากนั้น จะเป็นรอบครูและผู้ปกครอง และเป็นรอบนักเรียนอีกครั้งช่วง 10.00-12.30 น. ซึ่งจะต้องเข้าคิวกันซื้อ โดยแต่ละรอบจะต้องตักข้าวเตรียมไว้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทัน

ต่อเมื่อมั่นใจก็ให้รีบสมัครเรียน…ย้ำว่าเป็นสูตรข้าวหมกไก่ ที่มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก…ทำง่าย ขายดี
ท่าน ที่สนใจใคร่เรียนกับวิทยากรมากประสบการณ์ท่านนี้

ขอให้รีบจองเรียนได้ที่ ศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน โทร. (02) 589-2222 ต่อ 2100-2103

Read More...


“ป่อเปี๊ยะเศรษฐี” ขายได้ไร้คู่แข่ง

 
 
รับตำแหน่งลูกจ้างมากว่า 20 ปี ความท้อที่ต้องพบกับคำว่าอิสรภาพขาดหาย บั่นทอนจิตใจให้ต้องก้าวพ้นจากตำแหน่ง แต่กระนั้นยังคงมองหาอาชีพ ซึ่งสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ไม่ขัดสน และที่สำคัญก่อเกิดสุขภายในใจ จวบจนได้สมัครเข้ารับความรู้จากศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน “ร้านป่อเปี๊ยะสดเศรษฐี” จึงถือกำเนิดขึ้นมาสร้างรายได้ควบคู่ความสุขใจที่ได้รับ


ธุรกิจใดสินค้าใด มีผู้ผลิตจำหน่ายมากราย โอกาสเติบโตในท้องตลาดย่อมเดินได้ไม่สะดวกนัก แต่หากผลิตภัณฑ์นั้นจัดจำหน่ายแบบปราศจากคู่แข่งขัน หรือถ้ามีก็น้อยราย ย่อมส่งผลตรงกันข้าม ดังเช่นกิจการดังจะกล่าวถึงต่อจากนี้

“ป่อเปี๊ยะเศรษฐี” ชื่อร้านจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด ของ คุณอภิญญา วงศ์กิตติชัยกุล หญิงสาวคนขยันวัย 46 ปี ที่ปัจจุบันหันเหจับธุรกิจอิสระค้าขายอย่างเต็มตัว หลังเคยประกอบอาชีพลูกจ้าง ตำแหน่งพนักงานบัญชีมากว่า 20 ปี


ทำงานประจำขาดอิสระ
ค้าขาย สนุก เกิดสุข
ย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อนหน้านี้ หลังศึกษาจบปริญญาตรี คณะบัญชี วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา) คุณอภิญญาเลือกเส้นทางชีวิตสมัครเป็นพนักงานประจำ รับตำแหน่งตรงตามสายซึ่งร่ำเรียนมา ควบคู่ธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับเครื่องจักร

เริ่มต้นทำงาน 08.30 น. กระทั่ง 19.00 น. เดินทางกลับบ้าน เป็นเช่นนี้ตลอดระยะเวลานับสิบปี ซึ่งหาอิสระยากยิ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามเจ้านายกำหนด กอปรกับธุรกิจส่วนตัวไม่สู้ดีนัก จึงเริ่มท้อ ในที่สุดตัดสินใจลาออกจากงานประจำ กลายเป็นคนตกงานอยู่ราว 3 เดือน

ชีวิตยังต้องดิ้นรน หากปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป ดูแล้วไร้ค่า คุณอภิญญาจึงถามใจตัวเองว่าจะทำอะไรต่อ ในขณะความคิดหนึ่งยืนยันคำตอบ ไม่ขอเป็นลูกจ้างอีกต่อไป

อาชีพค้าขาย ผุดขึ้นพร้อมเสียงสนับสนุนจากคนรอบข้าง “อาชีพค้าขายเหมือนอยู่ในสายเลือด คือ แม่ขายผักในตลาดมาก่อน ส่วนตัวเอง ย้อนไปเมื่อครั้งศึกษาระดับ ปวช. เรียนภาคบ่าย ก็นำเวลาว่างตอนเช้ามาขายข้าวแกง รู้สึกว่าอาชีพค้าขายสนุก มีความสุข ได้พูดคุยกับผู้คน”

นิตยสารเส้นทางเศรษฐี ซึ่งน้องสาวติดตามเป็นแฟนประจำ นำถึงมือคุณอภิญญา ผู้เป็นพี่สาวได้ติดตามอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอาชีพ ก่อเกิดจุดประกาย เพิ่มความกล้าก้าวสู่อาชีพอิสระ และเหมือนประจวบเหมาะกับตลาดสดวัดพระเงินแห่งใหม่ใกล้บ้าน รับสมัครผู้สนใจเข้าไปจับจองพื้นที่ค้าขาย โดยเก็บค่าเช่ารายเดือนหรือเฉลี่ยวันละ 80 บาท หากใช้กระแสไฟฟ้าเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้วันละ 5 บาท กับขนาดพื้นที่ 4 ตารางเมตร

“โดยส่วนตัวชอบทำอาหาร ตอนนั้นตั้งใจขายก๋วยเตี๋ยวหลอด เพราะทำเป็น แต่เจ้าของตลาดบอกว่ามีผู้จองเมนูนี้แล้ว จึงนั่งคิดว่าจะขายอะไรดี พอดีกับอ่านนิตยสารเส้นทางเศรษฐี พบตารางอบรมของศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน เปิดสอนเมนูใหม่ ป่อเปี๊ยะสด-ทอด ก๋วยเตี๋ยวหลอด จึงแจ้งให้ทางตลาดทราบว่าจะขายป่อเปี๊ยะสด”

สมัครเข้ารับอบรมเป็นเวลา 1 วัน จนได้ความรู้ชนิดว่านำกลับมาทำรับประทาน แล้วได้รับคำชม ซึ่งทุกคนต่างยืนยันว่าสามารถขายได้ จึงเตรียมพร้อมเดินทางไปสั่งชุดเคาน์เตอร์ย่านบางใหญ่ โดยเน้นโทนสีครีม เพื่อการมองเห็นสะอาดตา ในราคา 7,000 บาท ชุดเตาแก๊สขนาดเล็กราคา 1,000 กว่าบาท หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับอุ่นน้ำจิ้มให้ร้อนตลอดเวลา เขียง มีด และภาชนะใส่วัตถุดิบ โดยเน้นโทนสีขาว

คุณอภิญญา กล่าวถึงเงินลงทุนเบื้องต้นสำหรับซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบไม่น่าจะเกิน 10,000 บาท “ผู้มีทุนน้อย ก็ประกอบอาชีพนี้ได้ โดยในส่วนของอุปกรณ์ อย่างเคาน์เตอร์ เปลี่ยนเป็นโต๊ะพับ เลือกที่แข็งแรงหน่อย สามารถลดต้นทุนได้มากโข”

0026


น้ำจิ้มต่างตรงน้ำบ๊วย

เพิ่มกลิ่นหอมจากงาขาว
ถามถึงวัตถุดิบกับการผลิตป่อเปี๊ยะสด ซึ่งเป็นเมนูประจำร้าน ป่อเปี๊ยะเศรษฐี ว่าสิ่งต้องมี คือ แผ่นป่อเปี๊ยะ ซึ่งหาซื้อได้จากร้านผลิตจำหน่ายโรตีสายไหม โดยคุณอภิญญาเดินทางไปรับจากผู้ค้าตลาดบางใหญ่ซิตี้ เพราะใกล้บ้าน กับราคาขายกิโลกรัมละ 70 บาท

วัตถุดิบต่อมาได้แก่ เต้าหู้ผัดกับหมูสามชั้น โดยหั่นเต้าหู้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก สับหมูหยาบๆ นำขึ้นตั้งไฟ ปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม ผงพะโล้ พริกไทย เรียบร้อยพักไว้ให้เย็น นอกจากนั้น ในส่วนของไส้ยังมี กุนเชียงทอด ถั่วงอกลวก แตงกวาสด ไข่เจียวทอดแผ่นบางแล้วหั่นเป็นเส้น ผักแกล้ม ได้แก่ต้นหอม เสิร์ฟเคียงคู่น้ำส้มพริกดองและน้ำจิ้ม ซึ่งมีกรรมวิธีทำ โดยนำ บ๊วย น้ำตาลทราย น้ำสะอาด เกลือ เคี่ยวให้เดือด ใส่แป้งสาลี กวนให้เหนียว ชิมรสให้ออกหวานนำ โรยหน้าด้วยงาขาว เพื่อเพิ่มความหอม

“เมื่อก่อนเปิดอินเตอร์เน็ตหาวิธีทำป่อเปี๊ยะสด พบว่าน้ำจิ้มซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างรสชาติ โดยทั่วไปใช้น้ำมะขามเปียก แต่เมื่อไปเรียนกับวิทยากรของศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ใช้บ๊วยแทน อันนี้ถือเป็นจุดต่าง รสออกมาหวานอร่อยด้วย นอกจากนั้น ยังใส่งาขาวเพิ่มความหอม”

แม้ร้านป่อเปี๊ยะเศรษฐี เปิดทำการได้ไม่นาน แต่ทั้งนี้กลับมีขาประจำอุดหนุน ซึ่งคุณอภิญญา ว่า จุดเรียกลูกค้าได้ดี คือรสชาติ ต่อมาเรื่องบริการ เน้นเป็นกันเอง พยายามจำหน้าลูกค้าให้ได้ ทักทายลูกค้าก่อนเสมอ แม้เพียงเดินผ่าน และเมื่อเกิดการซื้อขาย ควรสอบถามถึงสถานที่อยู่อาศัย เพื่อจะได้ทราบถึงโอกาสอัตราความถี่ที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำ

“พร้อมขายเมื่อตลาดเปิดคือ 1 มิถุนายน 2552 และแม้ยอดขายไม่มาก วันหนึ่งประมาณ 25-30 กล่อง หรือเคยขายได้สูงสุด 40 กล่อง ถือว่าพอใจแล้ว จริงอยู่เมื่อเทียบกับเงินเดือน 20,000 กว่าบาท เมื่อครั้งทำงานประจำ อาจดูน้อย แต่ก็ได้จับเงินสดทุกวัน อีกสิ่งซึ่งตามมาคือ ความสุข และอิสระ”
สำหรับสนนราคาจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด 3 ชิ้น ต่อกล่อง 25 บาท หักลบค่าใช้จ่ายเหลือกำไรราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยสินค้าจะขายดีช่วงเที่ยงวัน และเย็นหลังเลิกงาน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง และหญิงชายวัยทำงานเป็นหลัก

“อย่างช่วงเย็นขายดี ต้องทำบรรจุกล่องไว้ก่อนสัก 3-4 กล่อง ลูกค้าบางคนเขาไม่รอ แต่โดยส่วนใหญ่ชอบให้ทำสด เหมือนเขาได้เห็นด้วย มองอนาคตกับทำเลนี้ ถือว่าเหมาะ เพราะมีหมู่บ้านจัดสรรหลายโครงการ อย่าง วันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ สินค้าขายดี หมดเร็ว เนื่องด้วยตลาดนัดบริเวณใกล้เคียงเปิดให้บริการ ทำให้ลูกค้าจำนวนมากเดินทางมา เชื่อว่าหากตลาดเป็นที่รู้จัก ผู้ค้าเข้ามาจับจองเต็มพื้นที่ โอกาสเติบโตไปได้สูง”

คุณอภิญญายังเตรียมพร้อมเปิดขายสินค้าเมนูอื่นเพิ่มเติม อย่างขนมปังหน้าหมู ป่อเปี๊ยะทอด แต่ทั้งนี้ต้องมีผู้ช่วย ซึ่งแต่ก่อนเคยเปิดขายป่อเปี๊ยะทอด โดยได้น้องสาวแบ่งเบาแรง คาดว่าหากน้องสาวว่างคงได้เริ่มต้นผลิตสินค้าใหม่ สร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง

0028


ปริมาณ ราคาเหมาะสม
ผู้ประกอบการคนขยัน ยังกล่าวถึงสิ่งซึ่งไม่ควรมองข้ามกับอาชีพค้าขาย นั่นคือ ความสะอาด ตั้งแต่จัดแต่งร้าน ภาชนะบรรจุอาหาร ตลอดจนกระบวนการผลิต ซึ่งคุณอภิญญาสวมถุงมือทุกครั้งขณะห่อป่อเปี๊ยะให้ลูกค้า สำคัญคือ ราคาขายเมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณต้องเหมาะสม

และด้วยเป็นร้านเปิดใหม่ ในทำเลใหม่ คุณอภิญญาจึงจัดทำโปรโมชั่น โดยร่วมกับร้านจำหน่ายเครื่องดื่ม หากลูกค้าซื้อป่อเปี๊ยะ 1 กล่อง จะได้รับคูปอง 1 ใบ เมื่อสะสมครบ 4 ใบ สามารถนำไปแลกซื้อเครื่องดื่มได้ในราคา 15 บาท ถือเป็นการกระตุ้นความสนใจให้ลูกค้าเกิดการลิ้มชิมรส เพราะผู้ขายเชื่อว่า ความอร่อยแบบไม่เป็นสองรองใคร จะส่งผลให้ผู้ซื้อกลายเป็นขาประจำ

“ในส่วนของเครื่องดื่ม เหมือนกับจ่ายเงินแทนลูกค้า แม้ทำให้ส่วนกำไรน้อยลง แต่วิธีนี้ช่วยกระตุ้นยอดขาย คือช่วงเปิดการค้าแรกๆ สิ่งต้องคิดคือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อ เมื่อเกิดการซื้อขายแล้ว เราเชื่อมั่นว่ารสชาติจะส่งผลให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และบอกต่อ”

คุณอภิญญา ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงลูกค้าว่า นอกจากมีขาประจำหลายราย โดยบางคนเดินทางมาซื้อทุกวัน ทั้งนี้ ในส่วนของคำติไม่มีกระทบหู นอกจากคำชมที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดกำลังใจให้ผู้ประกอบการกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า

ถามถึงปัญหาอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจขายป่อเปี๊ยะสด คุณอภิญญา ว่า มีเพียงทำเลยังใหม่ เปิดดำเนินการได้ไม่กี่วัน แต่หากมองไกลในอนาคต ถือว่านี่คือโอกาสที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน อีกทั้งยังถือเป็นความโชคดี ตรงคู่แข่งขันไม่มี เพราะตลาดแห่งนี้กำหนดรายการสินค้าต่อผู้ขายส่วนใหญ่รายเดียว
นอกจากไร้คู่แข่งในพื้นที่เดียวกัน กับบริเวณรอบข้าง ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดผลิตจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด “ย่านนี้ไม่มีผู้ผลิตจำหน่ายป่อเปี๊ยะสดเลย ซึ่งลูกค้าหลายคนบอกว่าหากินยากมาก ก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่มี ซึ่งพอป่อเปี๊ยะเศรษฐีมาเปิด ทำให้เกิดโอกาสทางการค้า แต่ทั้งนี้ไม่เคยประมาท เพราะมีสินค้าอื่นให้ลูกค้าเลือกซื้อมากรายการ ฉะนั้นต้องมัดใจลูกค้าให้ได้ ทั้งในเรื่องรสชาติ ราคา คุณภาพ รวมไปถึงบริการ”

คุณอภิญญายังฝากถึงผู้สนใจต้องการประกอบอาชีพอิสระ แต่ยังไม่กล้าก้าวออกมาทำเต็มตัว “ก่อนอื่นถามตัวเองว่า ชอบอะไร ชอบค้าขายหรือเปล่า ถ้าชอบ แต่มีงานประจำทำอยู่ แนะนำให้ใช้เวลาว่างอาจเป็นช่วงเช้า เย็น หรือวันหยุด มาประกอบอาชีพเสริม ความชอบ ถือเป็นแรงขับเคลื่อนกระตุ้นให้เกิดความใส่ใจในอาชีพ จากนั้น ดูผลว่าสามารถเติบโตพอจะนำไปสู่ช่องทางสร้างรายได้หลักหรือไม่ สิ่งสำคัญอีกประการคือ สินค้า ต้องเลือกที่ตนเองชอบด้วย”

ประการต่อมาคือทำเล เลือกให้เหมาะกับสินค้า กลุ่มเป้าหมายชัดเจน หรือในกรณีบางรายอาศัยอยู่ในย่านคนพลุกพล่าน ติดถนน สามารถตั้งร้านหน้าบ้านได้เลย ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในส่วนค่าเช่าพื้นที่ได้มากโขสำหรับผู้คิดแต่ไม่กล้าก้าว คุณอภิญญา ว่า อย่ารีรอ ขอให้เริ่มต้นทำ “โดยส่วนตัวถือว่าโชคดี เพราะเมื่อคิดจะทำ ก็ได้รับโอกาสทุกทาง ทั้งในเรื่องของพื้นที่ แหล่งเรียนรู้ ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก ทำให้เกิดความมั่นใจ อีกทั้งตราของศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น เกิดการรับรู้ว่าเราก็ศิษย์มีครู”

สนใจลิ้มชิมรสป่อเปี๊ยะสดสูตรเด็ด เดินทางไปได้ที่ร้าน “ป่อเปี๊ยะเศรษฐี” ตั้งอยู่ ตลาดสดวัดพระเงิน (ซอยวัดพระเงิน) ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ (081) 733-7325

ข้อมูลจำเพาะ
กิจการ ผลิตจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด
ชื่อร้าน ป่อเปี๊ยะเศรษฐี
ลักษณะกิจการ เจ้าของคนเดียว
เจ้าของกิจการ คุณอภิญญา วงศ์กิตติชัยกุล
เงินลงทุน เบื้องต้นไม่เกิน 10,000 บาท
รายการสินค้า ป่อเปี๊ยะสด
อุปกรณ์ ชุดเคาน์เตอร์ เตาแก๊สปิคนิค หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
ภาชนะสำหรับบรรจุเครื่องปรุงวัตถุดิบ เขียง มีด เป็นต้น
แหล่งซื้อ ร้านผลิตจำหน่ายชุดอุปกรณ์รถเข็น เคาน์เตอร์ ตู้
ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ หาซื้อได้ในตลาด หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป
วัตถุดิบและเครื่องปรุงรส แป้งป่อเปี๊ยะ ส่วนผสมของไส้ เต้าหู้ หมูสามชั้น ไข่ กุนเชียง แตงกวา
ถั่วงอกผักเคียง ต้นหอม น้ำส้มพริกดอง และน้ำจิ้ม ซึ่งมีส่วนผสม
ได้แก่ บ๊วย น้ำตาลทราย เกลือ น้ำธรรมดา งาขาว เป็นต้น
แหล่งซื้อ ตลาดสด
ราคาขายสินค้า 3 ชิ้นต่อกล่อง 25 บาท
ยอดขาย 25-30 กล่อง ต่อวัน
กำไร 30-40 เปอร์เซ็นต์
จุดเด่น ไม่หวงเครื่อง เน้นคุณภาพ ความสะอาด รสชาติน้ำจิ้มโดดเด่น
เพราะทำจากบ๊วย ได้กลิ่นหอมของงาขาว
อุปสรรคปัญหา ทำเลค้าขายเพิ่งเปิดทำการได้ไม่นาน ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากนัก
โอกาสทางการขาย ไม่มีคู่แข่งขันทั้งในพื้นที่เดียวกัน และรอบอาณาบริเวณ
จุดคุ้มทุน คาดการณ์ไว้ 2-3 เดือน
อนาคต ผลิตจำหน่ายเมนูอาหารว่างเพิ่มเติม เพื่อเสริมรายได้
สถานที่ตั้งร้าน ตลาดสดวัดพระเงิน (ซอยวัดพระเงิน) ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี
โทรศัพท์ (081) 733-7325

Read More...


ขนมไส้ดอกโสน เมนูจานใหม่ อร่อยพร้อมคุณค่าทางอาหาร

 
โสนเมื่อนำมาชุบแป้งทอดกรอบ รับประทานกับขนมจีนน้ำพริก เป็นยาแก้ปวดมวนท้องได้ดีเลยทีเดียว

โสน เป็นไม้ล้มลุก เป็นพุ่มขนาดกลาง ลำต้นสูงเปราะบางเพราะไม่มีแก่น ดอกสีเหลืองคล้ายดอกแค แต่ดอกเล็กกว่า มีฝักยาว มีเมล็ดในฝักคล้ายกับถั่วเขียวแต่ฝักยาวกว่า ดอกโสน สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาชุบแป้งทอดกรอบ รับประทานกับขนมจีนน้ำพริก เป็นยาแก้ปวดมวนท้องได้ดีเลยทีเดียว “ขนมไส้ดอกโสน” เมนูจานใหม่จากดอกโสน แค่ได้ยินชื่อก็ช่วยให้อยากที่จะลิ้มลองกันแล้ว เจ้าของไอเดียเมนูจานนี้ก็คือ น้องปุ้ย น.ส.ธิติมา ฤกษ์พอดี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี โดยมี ผศ.สุชาดา งามประภาวัฒน์ คอยให้คำแนะนำ





ปุ้ย เล่าว่า ขนมดอกไม้ดอกโสนเป็นขนมประเภทรับประทาน เป็นอาหารว่างหรือรับประทานได้ทุกเวลาตามความชอบ ได้ดัดแปลงขึ้นใหม่จากสูตรเดิมที่เป็นขนมกุยช่าย ส่วนผสมหลักของขนม คือ แป้งข้าวจ้าว แป้งมันและไส้ดอกโสน ซึ่งเปลี่ยนจากเมนูเดิมมาเป็นเมนูใหม่เกิดคุณค่าและการยอมรับในการรับประทานดอกโสนให้มากขึ้น ซึ่งในดอกโสนนั้นมีประโยชน์ช่วยป้องกันโรคต่างๆได้ เช่น ความดันโลหิต โรคเหน็บชา ช่วยทางด้านการขับถ่าย และที่สำคัญมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามินบี วิตามินซี ซึ่งดอกโสนขึ้นได้เองตามธรรมชาติ หาซื้อได้ตามท้องตลาด “ขนมไส้ดอกโสนจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรับประมานดอกโสน ผู้ที่รักสุขภาพ แม้นกระทั่งผู้ที่ไม่ชอบรับประทานดอกโสน ได้ลิ้มลองรับรองจะต้องติดใจ”





ส่วนผสมในการทำก็ไม่ยุ่งยาก ส่วนผสมของแป้ง 1. แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย 2. แป้งมัน 1 ½ ถ้วย 3. เกลือป่น ½ ช้อนชา 3. น้ำมันพืช 3 ½ ถ้วย 4. น้ำเดือด 1 ½ ถ้วย ขั้นตอนการทำแป้ง 1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน เกลือ ผสมให้เข้ากัน 2. ต้มน้ำเดือด เทลงในแป้งที่เตรียมไว้ ใส่น้ำมันพืช คนให้แป้งจับกันเป็นก้อน 3. ใช้แป้งมันแตะทำเป็นแป้งนวลเพื่อกันการติด นวลจนเนียน ส่วนผสมของไส้ดอกโสน ประกอบด้วย 1. ดอกโสน 300 กรัม 2. กระเทียม 3 กลีบ 3. เกลือ 1 ช้อนชา 4. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ 5. น้ำมันพืช ¼ ช้อนชา 6. โซดา 1 ช้อนชา หลังจากที่เตรียมส่วนผสมแล้ว นำดอกโสนที่ได้ไปล้างน้ำประมาณ 3-4 ครั้ง พึ่งให้แห้ง กระเทียมสับให้ละเอียดแล้วนำไปเจียวพอหอม จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาเคล้ารวมกันแล้วนำใส่ในแป้งที่เตรียมไว้ (โซดาจะรดความขมของดอกโสน)
สำหรับน้ำจิ้มของขนมไส้ดอกโสน ส่วนผสม 1. น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง 2. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ 3. ซีอิ้วดำ ½ ถ้วยตวง 4. น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง 5. น้ำ ½ ถ้วยตวง วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมดรวมกัน นำไปตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง แค่นี้ก็ได้น้ำจิ้มแสนอร่อยรับประทานคู่กับขนมไส้ดอกโสน เป็นไอเดียที่หน้า
สนใจเลยทีเดียว สำหรับผู้ที่ต้องการหาเมนูเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเมนูที่หาทานไม่ได้จากที่ไหน หรือว่ามีวางขายตามท้องตลาด ถ้าสนใจลองทำรับประทานหรือว่าจะนำไปทำขายสร้างเป็นรายได้ก็ได้ น่าจะกลายเป็นขนมที่ได้รับความนิยมสำหรับตลาดบ้านเรา ถ้ามหาวิทยาลัยไม่มีจำหน่าย แต่หากว่าใครทีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ผศ.สุชาดา โทร. 089-5267598 อ้างอิงจาก ejobeasy

Read More...


10 ร้าน 10 รส คนบันเทิง ขยันทำมาหากิน

อาชีพดารา นักร้อง นักแสดง ถือเป็นอาชีพที่ใครๆ ก็ใฝ่ฝันอยากเข้าไปสัมผัส เพราะในสายตาของคนทั่วไปแล้วมองว่าอาชีพนี้นอกจากจะได้แต่งตัวสวย เป็นผู้นำแฟชั่น เป็นไอดอลของเด็กและเยาวชนแล้วยังมีรายได้ที่งดงามตามมาด้วย

ทีวี

แต่ทว่าในความเป็นจริง อาชีพที่ขายหน้าตา ขายเสียงนั้น แทบไม่มีความจีรังยั่งยืน เพราะทุกปีจะมีคนที่ใหม่กว่า สดกว่าก้าวขึ้นมาประชันฝีมือบนเวทีแห่งนี้ตลอด สปอตไลต์ที่เคยสาดส่องก็เริ่มจะเปลี่ยนทิศ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีชื่อเสียง เริ่มเก็บหอมรอมริบเงินได้ก้อนหนึ่ง บรรดาคนบันเทิงก็นิยมเปิดกิจการเป็นของตนเองเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในชีวิตวันข้างหน้าในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปคนบันเทิงมีวิธีคิดในการเลือกประกอบอาชีพที่สองอย่างไร แล้วแต่ละคนประสบความสำเร็จแค่ไหน เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแฟนคนบันเทิงอย่างยิ่ง ในงาน พลังสร้างไทย พลังใจสร้างอาชีพ ที่ M-150 ได้จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อช่วยลดวิกฤตคนว่างงาน จึงไม่เพียงแต่จัดพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับสินค้าโอท็อปทั่วประเทศนำสินค้ามาร่วมแสดงแล้วยังกันพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กับเหล่านักร้อง นักแสดง ที่ได้ประกอบอาชีพอิสระมาร่วมออกบูทประชันลีลาการผลิตสินค้าและขายสินค้า เรียกให้ผู้สนใจอยากกระทบไหล่คนบันเทิงกันแบบใกล้ชิดได้เดินเข้ามาร่วมงาน นานๆ คนบันเทิงจะได้มีโอกาสมารวมตัวกันออกร้าน งานนี้จึงมีทั้งผู้ที่ใคร่ชิมสินค้า ผู้ที่ใคร่ถ่ายรูปพูดคุยกับดารา และผู้ที่สนใจอาชีพอิสระเข้าไปร่วมงานอย่างคึกคัก วีเจ จ๋า-ไอศกรีมโอลูรี่ ร้านแรกไอศกรีม "โอลูรี่" ชื่อร้านเป็นภาษาฮาวาย เจ้าของไม่ใช่ใครอื่น เป็นของ VJ จ๋า "ณัฐฐาวีรานุช ทองมี" ความหมายของชื่อร้าน คือ การเขย่า (shake) เหมือนกับการผสมเครื่องดื่มนั่นเอง "จ๋า" บอกว่า "ชีวิตคนเราอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ วันนี้มีเงินพรุ่งนี้ก็อาจจะหมดได้ เราจึงต้องพยายามหาเส้นทางที่ทำให้ตัวเองอยู่รอดให้ได้" ข้อคิดง่ายๆ แต่ได้ใจของสาว "จ๋า" บอกเล่าถึงที่มาที่ไปของการก้าวเข้ามาจับธุรกิจนี้ได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม "จ๋า" ยังบอกอีกว่า "ช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้ ร้านโอลูรี่ ก็ได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะคนมีการใช้จ่ายน้อยลงแต่สินค้าประเภทอาหารเครื่องดื่มมีราคาไม่แพงมาก เรียกว่าราคาน่ารักๆ พอคุยกันจึงทำให้คนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่เรื่อยๆ" "ร้านโอลูรี่" มีไอศกรีมหลากหลายรสที่บางส่วนมีการดัดแปลงสูตรมาทำบ้าง บางสูตรทาง "ร้านโอลูรี่" ก็มีการคิดค้นขึ้นเองด้วย อย่างเช่น สูตรสตรอว์เบอร์รี่สมูทตี้ แต่ที่เด็ดสุดของร้านนี้ที่แนะนำผ่านประชาชาติธุรกิจมา คือ ไอศกรีมโมจิ สีสวยน่ารัก เรียกว่าอร่อยแบบ VJ จ๋า ต้องที่โอลูรี่เท่านั้น หนุ่มแทน-ลูกชิ้นดาวร้าย มาถึงร้านที่สองใช้ชื่อแบรนด์แบบบู๊ๆ ว่า "ลูกชิ้นดาวร้าย" เป็นของ ฐิติ พุ่มอ่อน หรือ "หนุ่มแทน" ดาวร้ายหน้าหล่อที่มีอีกด้านที่น่ารักเหมือนกัน "แทน" บอกว่า "แบรนด์ลูกชิ้นดาวร้ายทำมาได้เกือบ 2 ปี ทุกวันนี้คนเริ่มรู้จักกันมากขึ้น สาเหตุที่มีลูกชิ้นดาวร้ายก็เพราะ เห็นว่ามี "ลูกชิ้นปู-เด๋อ" ก็เลยลองทำลูกชิ้นดาวร้ายขึ้นมาบ้าง" ช่างเป็นชื่อร้านที่เหมาะเจาะกับรูปลักษณ์ของเจ้าของร้านมากเลย "แทน" บอกถึงความพิเศษของลูกชิ้นดาวร้ายที่โดดเด่นแตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ ว่า เป็นลูกชิ้นที่ชาวมุสลิมสามารถซื้อทานได้ด้วย และถ้าจะทานให้อร่อยมีสูตรว่าต้องทานคู่กับน้ำจิ้มนางเอกของทางร้าน ที่สำคัญลูกชิ้นดาวร้ายใช้วัตถุดิบอย่างดีไม่มีผสมแป้งเพื่อลดต้นทุน "แทน" แอบกระซิบบอกว่า น้ำจิ้มของลูกชิ้นดาวร้ายได้รวมนางเอกไว้ครบทุกรส ทั้งรสหวาน รสเปรี้ยว รสเผ็ด ดังนั้นจึงเป็นสูตรเด็ดที่อร่อยไม่เหมือนใคร

โด ดี โด ติ๊กชีโร่

ติ๊ก ชีโร่-โดนัท โด ดี โด ร้านที่สาม อร่อยแบบหวานๆ กับร้าน "โดนัท โด ดี โด" โดนัทแป้งดีของนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี โต้ ชีริ๊ก "ติ๊ก ชีโร่" ร้านนี้เจ้าของร้านเลือกใช้โทนสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ ทุกครั้งที่ต้องไปยืนเป็นพรีเซ็นเตอร์หน้าร้าน ติ๊ก ชีโร่ จึงต้องใส่สีเขียวทั้งชุด เพื่อให้กลมกลืน ทั้งกล่อง ทั้งถุงใส่ขนมร้านนี้ก็ยังใช้กระดาษเป็นสีเขียว ไม่ต้องพูดถึงพนักงานขายหน้าร้านอย่างไรหนีไม่พ้นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดเสื้อสีเขียว เรียกว่าเขียวทั้งร้าน เพราะคอนเซ็ปต์เขาวางไว้อย่างนี้ "ติ๊ก ชีโร่" ให้เหตุผลแบบอินเทรนด์ว่า เพื่อร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ลดภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหามาแรงจึงนำเสนอทุกอย่างเป็นแพ็กเกจสีเขียว โดนัทแบรนด์โด ดี โดนี้ถือเป็นอีกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูง เพราะเปิดมายังไม่ถึงปี ปัจจุบันมีทั้งหมดเกือบ 10 แห่ง โดยไม่ได้ขายแฟรนไชส์ให้กับที่อื่น เรียกว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการขายสินค้าเข้ากระเป๋าพี่ติ๊กคนเดียว ติ๊กเล่าให้ฟังว่า โดนัทในร้านเป็นสูตรที่คิดขึ้นมาเองเพราะเห็นว่าคนเดี๋ยวนี้เริ่มรักษาสุขภาพของตัวเองแล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องของอาหารการกินกันมากขึ้น ทางร้านจึงเลือกใช้สูตรแป้งที่มีน้ำตาลน้อย (low sugar) เพื่อตอบโจทย์สาวๆ ที่ห่วงรูปร่างของตัวเองก็สามารถทานได้อย่างสบายหายห่วง โดยมีเมนูให้เลือก 40 กว่ารสชาติ แต่รสชาติที่ฮิตที่สุดพนักงานขายหน้าร้านกระซิบบอกมา คือ โดนัทตุ๊กตาหน้ายิ้ม และเค้กแยมจุด ที่เห็นเป็นรูปการ์ตูนติดอยู่ที่ถุงใส่ขนม และสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเลือกเดินเข้าร้านโดนัท โด ดี โด กันอย่างเนืองแน่นก็เพราะสินค้าของร้านแห่งนี้ผลิตกันใหม่สดทุกวัน การันตีว่าไม่มีของค้างคืน ใครอยากลิ้มรสโดนัทในสไตล์ช่วยลดโลกร้อนว่าเป็นอย่างไร ก็แวะกันไปได้ที่ร้าน "โดนัท โด ดี โด" ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ทั้งแฟชั่นไอส์แลนด์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม และที่อื่นๆ อีกมากมาย

ปลาดุกฟู เอ

หนุ่มเอ-ปลาดุกฟู เดินมาถึงร้านที่สี่ ไม่แวะก็คงไม่ได้ ร้านนี้เป็นของ "หนุ่มเอ เชิญยิ้ม" ขายยำปลาดุกฟู ตั้งชื่อร้านแบบน่ารักๆ ว่า "ฟู๊ ฟู เอเชิญยิ้ม" กรรมวิธีในการทำยำปลาดุกฟูดูเหมือนจะง่ายๆ แต่หนุ่มเอบอกว่าไม่หมูเหมือนกัน กว่าจะได้อาหารรสเลิศมาเสิร์ฟผู้บริโภคต้องคัดปลาอย่างดีนำมาต้มจนสุกแล้วลอกเอาเฉพาะเนื้อของปลาแล้วนำมาปั่นให้ละเอียดจนเข้ากันดีแล้ว จากนั้นนำมาทอดในน้ำมันที่เดือดจนเหลืองกรอบ ซึ่งที่ร้านจะใช้เนื้อปลาล้วนๆ ไม่ผสมแป้งจึงมีความกรอบนอกนุ่มใน เวลาทานเข้าไปแล้วจะเหมือนเส้นสายไหมที่เป็นขนมหวาน เรียกว่ากว่าจะมาเป็นยำปลาดุก ฟู๊ ฟู ได้ก็ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เสียปลาดุกฟรีไปหลายกิโลกรัม เพราะครั้งแรกที่ทำออกมาหน้าตาเป็นยำปลาดุกแฟบ ต้องพัฒนาสูตรกันอยู่นาน พยายามหากรรมวิธีจนกลายมาเป็นยำปลาดุกฟูในแบบที่น่ารับประทานเช่นปัจจุบัน หลายวันอาจจะยังไม่รู้ว่า ทำไมหนอหนุ่มเอจึงเลือกขายปลาดุกฟู มันอินเทรนด์ ตรงไหน เมื่อสอบถามพนักงานได้รับคำตอบว่า การที่หนุ่ม "เอ" เลือกทำยำปลาดุกเพราะส่วนหนึ่งเป็นคนอิสลาม เห็นหน้าตาหล่อตี๋แบบนี้ไม่บอกไม่รู้เลยนะนี่ว่ามีเชื้อ จะว่าไปแล้วตอนนี้ฟู๊ ฟูก็เฟื่องฟูไม่น้อยกว่าธุรกิจของคนบันเทิงคนอื่นๆ เพราะมีร้านแฟรนไชส์ถึง 10 แห่งแล้ว แถมยังมีรับจัดงานเลี้ยงนอกสถานที่อีกด้วย


ตี๋ ดอกสะเดา-ไอศกรีมทอด ร้านที่ห้า เห็นแล้วต้องแปลกใจ แค่ชื่อร้าน "ไอศกรีมทอด ตี๋ ดอกสะเดา" ก็ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตั้งคำถามแล้วว่า หน้าตามันเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นคำเชิญชวนที่ว่า อร่อยขึ้นตา มีให้เลือก 5 รสชาติ ยิ่งเพิ่มข้อสังสัยต้องเดินเข้าไปสอบถาม "หนุ่มตี๋" คุยด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองว่า ทำตรงนี้มาได้ 2 ปีแล้ว ธุรกิจมีขึ้นมีลงบ้างตามสภาพเศรษฐกิจของสังคม แต่ก็พออยู่ได้ในระดับหนึ่ง ตอนนี้มีแฟรนไชส์ทั้งหมด 167 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ต่างจังหวัด โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และที่เลือกทำธุรกิจนี้เพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ชอบทานของแปลก ไอศกรีมเย็นๆ ทอดในความร้อนที่สูงแต่ไม่ละลาย ถือเป็นของหวานอีกชนิดที่ช่วยคลายร้อนได้ดี เมื่อถามของเรื่องอุปสรรคในการทำงาน "หนุ่มตี๋" บอกว่าก็มีบ้าง อย่างเช่นปัญหาการเจาะตลาดหรือแหล่งที่ขายว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าเป็นที่รู้จักของตลาด "หนุ่มตี๋" แม้จะเลือกอาชีพตลกเป็นอาชีพหลัก แต่ชีวิตจริงที่ไม่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา เขาจึงต้องหาอาชีพเสริมเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตอีกทางหนึ่ง จอน ม๊กจ๊ก-น้ำพริกสู้ชีวิต ร้านที่หก ไม่ลองไม่รู้กับ น้ำพริกสู้ชีวิต ของตลกสาวแคระสู้ชีวิต จอน ม๊กจ๊ก ลิ้มรสแล้วอร่อยไม่แพ้เจ้าอื่น ถ้าจะพูดถึงชีวิตของหญิงเหล็กคนหนึ่งที่เศร้าและทุกข์ไม่แพ้เรื่องราวในละครไทย แต่เธอก็ไม่เคยท้อกับชีวิตที่บางครั้งต้องนั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายเธอเลือกที่จะให้กำลังใจตัวเองด้วยการลุกขึ้นสู้ใหม่เสมอ แม้ในสายตาหลายคนจะมองเธอว่าเป็นตลกตกอับ แต่ "จอน" บอกว่า "ไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นแต่พยายามทำทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรงที่ตัวเองมี เพราะสิ่งที่ทำอยู่มันไม่ใช่การตกอับแต่มันเป็นเรื่องของการสร้างอาชีพเสริมให้กับตัวเอง หากพรุ่งนี้ไม่มีงานตลก แต่ก็ยังมีน้ำพริกให้ขาย ที่สำคัญสิ่งที่ทำไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนทุกการกระทำ ทุกความตั้งใจเพื่อความอยู่รอดเหมือนกับทุกๆ ชีวิตในสังคม" "จอน" บอกว่า ทำ "น้ำพริกสู้ชีวิต" มาได้ 2 ปีกว่าแล้ว ชีวิตพออยู่ได้ ที่สำคัญยังได้กำลังใจดีๆ จากคนรอบข้างเสมอ การทำน้ำพริกตอนนี้ก็ไม่ลำบากมากเพราะมีลูกมือช่วยทำ 2-3 คน เป็นน้ำพริกที่ไม่ผสมสารกันบูด คิดเอง ทำเอง ทุกขั้นตอน อิทธิ พลางกูร-ไก่ทอดเก็บตะวัน ร้านที่เจ็ด อิ่มอร่อยแบบทอดๆ กับ "รานไก่ทอดเก็บตะวัน ของ ครอบครัวอิทธิ พลางกูร แค่เห็นชื่อร้านไก่ทอดก็ต้องนึกถึงเพลงเก็บตะวันที่พี่อิทธิ พลางกูร เคยร้องเอาไว้ เพราะเพลงนี้ไม่เพียงแต่มีเนื้อหากินใจ เสียงของนักร้องยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ฟังอินทุกครั้งที่เสียงเพลงนี้ลอยมาตามสายลม ครอบครัวของคุณอิทธิ พลางกูร บอกว่า "ไก่ทอดเก็บตะวันทำผ่านมาได้ 1 ปีแล้ว เหตุผลที่เลือกทำไก่ทอดเก็บตะวันเพราะทางครอบครัวชอบทานไก่ทอดเป็นอาหารหลักของบ้าน เมื่อก่อนเวลาเดินทางไปไหนก็จะมีข้าวเหนียวไก่ทอดไปทานด้วยทุกครั้งแล้วก็อยากจะแบ่งปันความอร่อยให้กับคนอื่นบ้าง" ในวันที่คิดจะเปิดกิจการนี้ก็มานั่งคิดกันว่าจะตั้งชื่อร้านว่าอะไรดี สุดท้ายก็มาสรุปที่ร้านไก่ทอดเก็บตะวัน ซึ่งอิทธิ พลางกูร เป็นคนตั้งเอง ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้มีแค่ไก่ทอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีปูจ๊อ หอยจ๊อ ปูจ๋า กุ้งพันอ้อย และเร็วๆ นี้จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ชื่อว่า "น้ำพริกยังจำไว้" ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัวพลางกูร ไม่ใส่ผงชูรสและสารกันบูด เจ้าของร้านบอกว่า ร้านนี้ไม่เหมือนร้านไก่สูตรอื่นๆ เพราะใช้สูตรพิเศษในการหมักไก่ทำให้รสชาติดี ถ้าใครติดใจรสชาติก็ต้องคอยติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด เพราะร้านนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีแฟรนไชส์ ไม่มีสาขาแล้ว ยังไม่ได้เปิดขายเป็นประจำทุกวัน แต่จะเปิดเฉพาะในช่วงออกงานต่างๆ เท่านั้น

น้ำพริกตาโย่ง

ตาโย่ง-น้ำพริก ร้านที่แปด อร่อยแบบไทยๆ กับ น้ำพริกตาโย่ง แค่ได้ยินชื่อน้ำพริก หน้าของตลกโย่ง ก็ลอยมาทันที น้ำพริกตาโย่งเป็นอย่างไร น้าโย่งบอกว่า "น้ำพริกแบรนด์นี้ทำมาได้เกือบ 8 ปีแล้ว เริ่มจากที่ตอนแรกก็ทำอาชีพตลกเพียงอย่างเดียว แต่ก็เริ่มมาคิดได้ว่าวันนี้มีคนดูเรา แต่วันพรุ่งนี้อาจจะไม่มีคนดูก็ได้ เพราะชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ยั่งยืนจึงคิดทำธุรกิจเสริม แต่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ก็พยายามคิดจากสิ่งที่มีที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวัน และด้วยความที่บ้านทำน้ำพริกอร่อย ประกอบกับตัวเองชอบรับประทานน้ำพริกอยู่แล้ว บางครั้งก็ห่อไปรับประทานที่ทำงานแล้วก็แบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ที่ทำงานรับประทานด้วย หลายๆ คนก็ชมว่าอร่อยก็เลยคิดขึ้นมาได้เลยว่าน่าจะลองทำน้ำพริกดู ถ้าใครชอบรับประทานน้ำพริกจะรู้ว่าในท้องตลาดนั้นมีแต่น้ำพริกของยอดคุณแม่ทั้งนั้น ทั้งแม่ประนอม แม่บุญเรือง พอน้ำพริกตาโย่งออกมาเปิดตลาด หลายคนจึงอยากลิ้มชิมรสดูสักครั้ง น้าโย่งบอกว่า น้ำพริกนี้เป็นน้ำพริกผู้ชายรายแรกของไทยถึงแม้จะมีแบรนด์อื่นตามมาก็ตาม แต่จนถึงทุกวันนี้แม้จะเจอกับพิษเศรษฐกิจบ้างก็ไม่ได้รับผลกระทบ มากมายเพราะเป็นธุรกิจขนาดย่อมที่มีการลงทุนไม่มาก แต่ก็ต้องขยันมากขึ้นเพื่อให้อยู่ได้ แถมยังได้ลูกสาวสุดที่รักมาช่วยดูแลในเรื่องของการตลาดด้วยจึงทำให้ทั่วทุกภาคของไทยมีน้ำพริกตาโย่งขายอยู่ทั่ว และที่น่าสนใจคือ ตอนนี้มีถึงสิบสูตรเป็นสูตรที่คิดเองทำเองจากคนที่บ้าน ตอนแรกก็ใช้พื้นที่ที่บ้านทำแต่ก็เริ่มขยับขยายจนตอนนี้ต้องผลิตในโรงงาน ตอนแรกที่ทำคิดแค่ว่าคงจะขายได้ หรือขายได้เพราะหน้าตา ชื่อเสียง ที่อยู่ข้างกระปุก แต่เมื่อคนซื้อกลับมาซื้ออีกครั้งที่ 2-3 เราก็รู้สึกชื่นใจว่าของเราก็ยังอร่อย สำหรับอาชีพตลกน้าโย่งบอกว่า ก็ยังรักไม่เปลี่ยนเพราะน้าโย่งรักในสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตมีอย่างทุกวันนี้ เรื่องเงินไม่สำคัญขอให้ได้เล่นตลกให้คนหัวเราะมีความสุขเป็นใช้ได้

ลูกชิ้นหมูปูเด๋อ

ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ ร้านที่เก้า ชื่อนี้แทบไม่มีใครรู้จัก เดินไปตลาดไหนก็เจอ ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ จุดเริ่มต้นของ "ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ" กล่าวขานกันว่า มาจากในช่วงตั้งครรภ์ "ปู" (กนกวรรณ บุรานนท์) ว่างไม่ได้รับงานแสดงหรือโชว์ตัวใดๆ ทำให้เกิดความคิดที่ต้องการจะมีอาชีพอื่นเพื่อรองรับอาชีพนักแสดงที่อาจจะลดน้อยลงในอนาคต ซึ่งการที่เลือกขายลูกชิ้นมาจากในช่วงงานกาชาดทุกปีจะเชิญนักแสดงไปร่วมออกบูทขายสินค้าเพื่อสร้างสีสันให้กับงาน และในปีนั้นได้เลือกขายลูกชิ้นปรากฏว่าสามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี จากจุดตรงนี้เองที่เป็นตัวจุดประกายให้เกิดธุรกิจลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ ที่ได้รับความนิยมในวันนี้ "ลูกชิ้นที่นำมาขายช่วงแรกนั้นรับมาขายอีกที่หนึ่งยังไม่ได้ทำเองเหมือนในปัจจุบัน ส่วนสูตรในการทำก็พยายามพัฒนาและลองผิดลองถูกด้วยตัวเองได้สูตรอะไรมาก็ทดลองทำหมด หมูหมดไปหลายกิโลเหมือนกันกว่าจะได้ "ลูกชิ้นหมู ปู + เด๋อ" ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน เจ้าของร้านเล่าให้ฟังและบอกต่ออีกว่า ทาง "ปู" และ "คุณเด๋อ" ตั้งใจไว้ว่าจะยึดธุรกิจนี้เป็นอาชีพหลักต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะการเป็นนักแสดงไม่สามารถสืบทอดต่อไปจนถึงรุ่นลูกได้ แต่การสร้างธุรกิจของเราเองสามารถสร้างอาชีพให้แก่ลูกต่อไปได้ในอนาคต จุดเริ่มต้นในตอนแรกแม้ว่าจะเหนื่อยมาก ทั้ง "ปู" และ "คุณเด๋อ" เพราะทั้งคู่มักจะออกมาขายและแนะนำสินค้าด้วยตัวเองเสมอ เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบคนอื่นๆ ตรงที่เป็นนักแสดงทำให้ได้รับความสนใจจากลูกค้า ทั่วทุกสารทิศ หลังจากลูกค้าคนหนึ่งได้ชิมก็บอกต่อ แล้วมีการกลับมาซื้อครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ยอดขายจึงพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าความเป็นดารา นักแสดงจะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้การขายสินค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ปูกับเด๋อก็เชื่อว่าสุดท้ายสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการทำธุรกิจอาหาร คือ ความใส่ใจในรสชาติ และขั้นตอนการผลิต เพราะอยากให้ลูกค้าได้สิ่งที่ดีที่สุด ถั่วแระ เชิญยิ้ม-ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ มากันที่ร้านสุดท้าย ร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำของนายกสมาคมตลกอย่าง ถั่วแระ เชิญยิ้ม ที่ขายหมดก่อนใครเพื่อน แสดงว่าของเขาดีจริงๆ ไม่รู้ว่าหนุ่มเคราแพะ ถั่วแระ เชิญยิ้ม ใช้สูตรพิเศษอะไรในการทำน้ำซุปถึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หรือว่ามีคาถาดีเรียกคนเข้าร้าน หลังจากเดินสำรวจแล้วพบแต่ตู้เปล่าๆ เลยหมดโอกาสหาคำตอบมาฝากผู้อ่าน เอาไว้คราวหน้าปะหน้าถั่วแระจะรีบไขปริศนานี้ทันที ทั้งหมดคือตัวอย่างของ "คนบันเทิง" ที่ไม่ได้ติดอยู่กับความรุ่งโรจน์ในปัจจุบัน แต่มองไปถึงอนาคตว่าจะอยู่อย่างไรอย่างมั่นคงและมีความสุข อาชีพอิสระที่เหล่าคนบันเทิงเลือกทำจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหรือแผนสำรองในการใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน


  • สนับสนุนเนื้อหา นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

  • Read More...


    รุกตลาดขนมไทยบนโลกออนไลน์

    ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบเดิมๆ อาจไม่ใช่ทางออกเสมอไป การจัดจำหน่ายแบบไหนล่ะที่จะเข้าถึงผู้บริโภคได้รวดเร็วที่สุด? สาวออฟฟิศอย่างคุณปทิตตา จันทร์เพ็ญ จึงคิดรูปแบบการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ ซึ่งก็ดูไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่เมื่อสินค้าที่ขายเป็นขนมไทย การจัดจำหน่ายแบบนี้จึงต้องจับตามอง


     
    ค้นสูตรจากโลกไซเบอร์
    "จุดเริ่มต้นคือ ลูกชายเขาชอบทานขนมมาก พี่ก็อยากให้เขาทานขนมที่สะอาด และถูกสุขอนามัย ก็เลยลองทำเอง พี่เริ่มจากขนมที่ตัวเองชอบก่อนก็คือวุ้นกะทิมะพร้าวอ่อน ให้เขาชิมดูซึ่งเขาก็ชอบ หลังจากนั้นก็เลยลองเอาขนมที่เราทำไปให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศชิมกัน ทุกคนก็บอกว่าอร่อยรสชาติถูกปาก คราวนี้พี่ก็เริ่มมั่นใจกับฝีมือตัวเอง จึงเริ่มค้นหาสูตรขนมไทยอื่นๆ เพิ่ม และมาลองทำดู เนื่องจากเรามีงานประจำต้องทำตลอดทั้งวัน จึงไม่สะดวกที่จะไปเรียนตามโรงเรียนสอนทำขนมต่างๆ คราวนี้ต้องใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ ค้นหาในเว็บไซต์ง่ายและสะดวกกว่า ค้นไปค้นมาจนได้อยู่หลายสูตร นำมาลองผิดลองถูกเอาเองจนได้รสชาติที่ถูกปาก"


    ตีตลาดบนอินเทอร์เน็ต
    "พี่ยังไม่พอใจกับสูตรที่ได้มาสักเท่าไหร่ ก็เลยไปปรึกษาญาติที่เป็นคนสุพรรณบุรี ซึ่งเขาทำขนมไทยกันเป็นอยู่แล้ว และแนะนำให้รู้จักญาติที่ย้ายไปอยู่เพชรบุรี ท่านทำขนมไทยขายอยู่แล้ว จึงได้คำแนะนำและเคล็ดลับดีๆ แต่ขนมเมืองเพชรค่อนข้างหวาน แล้วคนสมัยนี้โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ไม่ทานหวานมาก เราจึงลองปรับรสชาติให้ถูกปากลูกค้ามากขึ้น หลังจากลองทำอยู่นานพี่เลยนำสินค้าลงขายในเว็บไซต์ออนไลน์ โดยเลือกลงเว็บไซต์ที่ให้เราประกาศขายฟรีๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ พี่จะทำขนมเฉพาะลูกค้าสั่งเท่านั้น จะไม่มีการพรีออเดอร์ในเว็บ แต่จะให้ลูกค้าโทร.มาสั่งโดยตรงกับพี่ เนื่องจากพี่ไม่สามารถรับออเดอร์ลูกค้าได้ทุกคน โดยเฉพาะลูกค้าที่สั่งจำนวนมาก พี่จึงเลือกรับออเดอร์ด้วยตัวเอง"


    การถนอมอาหารและการจัดส่งสินค้า
    "พี่จะทำวันต่อวัน หมายถึงว่าลูกค้าจะโทร.มาสั่งขนมกับพี่ พี่ก็จะทำเองตอนหลังเลิกงาน แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะเอาไปจัดส่ง ซึ่งตอนนี้ทางร้านขายขนมอยู่หลายประเภทมาก การจัดส่งก็จะแตกต่างกัน ถ้าเป็นวุ้น ลูกชุบ พี่จะไปส่งที่ขนส่งเอง เพื่อให้มั่นใจว่าเขามีห้องสำหรับเก็บขนมของเรา (เก็บที่ห้องแอร์ ไม่ใช่ห้องเก็บกระเป๋า) สำหรับลูกค้าที่อยู่ต่างจังหวัดจะต้องส่งตอนเย็น เพื่อเลี่ยงอากาศร้อนตอนกลางวัน และลูกค้าจะได้รับของวันรุ่งขึ้น หลังจากถึงมือลูกค้าแล้ว ลูกค้าต้องเก็บขนมตามคำแนะนำของพี่ ซึ่งจะเก็บไว้ได้นาน ขึ้นอยู่กับชนิดของขนม พี่จะไม่ใส่สารกันบูดลงไปในขนมเด็ดขาด เพราะมันคงไม่ดีต่อร่างกาย ส่วนขนมไทยประเภทอบแห้ง เช่น ฝอยทองกรอบ วุ้นกรอบ อาลัวและครองแครงกรอบ พี่จะทำตามออเดอร์ลูกค้า และจัดส่งทางขนส่งเช่นกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นห้องแอร์ ปกติขนมไทยอบแห้งจะสามารถเก็บไว้ได้นานหลายสัปดาห์อยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยพบกับปัญหาของบูดหรือเสียเลย ส่วนเรื่องการแพ็คสินค้า พี่จะแพ็คใส่ถุงแก้วขยายข้าง ห่อถุงให้ตึง และใส่ลังกระดาษอีกชั้นเพื่อกันการกระทบกระเทือนของสินค้า ลูกค้าจะได้สินค้าในแบบที่สมบูรณ์ที่สุด"


    ผลกำไรที่ได้รับ
    "พอสินค้าเป็นที่ต้องการของลูกค้ามากขึ้น การสั่งสินค้าจึงยิ่งต้องควบคุม โดยพี่จะรับสั่งทำพวกขนมไทยอยู่ที่ครั้งละ 5 กิโลกรัมเป็นอย่างต่ำ ไม่รับการสั่งออเดอร์จำนวนน้อยๆ ที่ต้องทำอย่างนี้ก็เพื่อคำนวณหาจุดคุ้มทุนที่สุด เมื่อเทียบกับเวลาและแรงที่เราเสียไป ถ้าลูกค้าสั่งน้อยก็จะได้ไม่คุ้มเหนื่อย และลูกค้าเองก็จะไม่คุ้มกับค่าขนส่งที่ต้องจ่ายเองด้วย นี่เป็นวิธีการคิดของพี่เองเพื่อลดปัญหาการแบกรับภาระเรื่องต้นทุนทั้งของตัวเองและลูกค้า ในแต่ละเดือนพี่จะได้รายได้เสริมจากการขายขนมนี้ประมาณเดือนละหนึ่งหมื่นบาท แต่ถ้าเป็นช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ พี่ก็จะได้รายได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณสามถึงสี่เท่า ถ้าเราขยันก็จะยิ่งได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นรายได้เสริมที่มากพอสมควรกับเวลาที่เหลืออยู่อย่างจำกัด จากการทำงานประจำ และการดูแลลูกด้วย เท่านี้ก็เพียงพอกับการใช้ชีวิตของพี่แล้ว"


    เพิ่มจุดต่างด้วยการบรรจุหีบห่อ
    "พี่ลองคิดทำขนมอาลัวดอกกุหลาบ กับลูกชุบรูปหัวใจขายในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ ผลตอบรับดีมาก แต่พี่คิดว่าถ้าเราเพิ่มการบรรจุหีบห่อที่น่าสนใจเข้าไป สินค้าเราน่าจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น เลยลองไปหากล่องรูปหัวใจกับถุงมาใส่ขนมเพื่อเพิ่มมูลค่า ผลตอบรับคือยอดการสั่งซื้อมากขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อไปจะนำไปขายต่ออีกที เพราะฉะนั้นการบรรจุหีบห่อให้ลูกค้าเอาไปขายต่อได้ง่ายและสะดวกขึ้นจึงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ถึงแม้เราจะเพิ่มค่าบรรจุหีบห่อไปอีกนิดหน่อยลูกค้าก็ยอมจ่าย เพราะเขาจะได้สินค้าที่พร้อมที่จะเอาไปขายต่อทันที แต่จะรับบรรจุหีบห่อให้เฉพาะเทศกาลสำคัญๆ เท่านั้นนะคะ"


    สนใจอุดหนุนได้ที่ บ้านขนมสองพี่น้อง http://www.siamonlineshop.com/market/shop.asp?id=16945 หรือโทร.085 321 3891

    Read More...


    โคลสลอว์ อาหารเครื่องเคียง ทำง่าย กินอร่อย


           ยามใดที่ “กุ๊กเล็ก” กินพวกหมูชุบแป้งทอด ไก่ชุบแป้งทอด ก็จะต้องหาอาหารเครื่องเคียงมากิบควบคู่ไปด้วยเพื่อแก้เลี่ยน และอาหารทอดเหล่านั้นก็มีแต่เนื้อสัตว์ จึงต้องหาเมนูผักไปช่วยย่อยเสียหน่อย ในมื้อนี้ก็เลยอยากชวนกันมาทำ “โคลสลอว์” เป็นเครื่องเคียงแสนอร่อย
          
           หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงเมนูนี้ว่าโคลสลอว์ คำว่า “โคลสลอว์” เป็นภาษาเยอรมันที่แปลว่ากะหล่ำปลีซอย หรือ กะหล่ำปลีหั่นฝอย ซึ่งก็ตรงกับวิธีการทำเมนูนี้พอดิบพอดี มาลองดูกันเลยดีกว่าว่าวิธีทำเป็นอย่างไร

          
           ส่วนผสม
           กะหล่ำปลีซอยละเอียด 8 ถ้วย
           แครอทซอยละเอียด 1 ถ้วย
           หอมใหญ่ซอยละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
           น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวง
           เกลือ 1 ช้อนชา
           พริกไทย ½ ช้อนชา
           นมสด 1/8 ถ้วย
           โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ¾ ถ้วย
           น้ำมะนาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ
           มายองเนส ½ ถ้วย
          
           วิธีการทำเริ่มจากการซอยผักทั้งหมดให้เป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมที่เหลือลงไปผสมกันในชาม เมื่อคนให้เข้ากันดีแล้ว ก็นำลงไปคลุกเคล้ากับผักที่หั่นเตรียมไว้ จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด แล้วนำไปเสิร์ฟได้ แต่หากแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ทั้งคืน จะยิ่งทำให้ความอร่อยเพิ่มขึ้น เพราะน้ำสลัดจะเข้าเนื้อเต็มที่ ซึ่งเมนูนี้กินคู่กับไก่ทอดก็อร่อย หรือจะกินเป็นอาหารว่างมื้อเล็กๆ ก็ย่อมได้

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์9 ธันวาคม 2553 11:38 น.

    Read More...


    สูตร ‘ต้มข่าไก่’ สู้หนาว




    เปิดสูตร ‘ต้มข่าไก่’ สู้หนาว
       
    “ถอดรหัสอาชีพ” อาทิตย์ที่ 12 ธ.ค. 2553 นี้ ผมมีเมนูอาหารรับหน้าหนาว จากคำแนะนำของมูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร มาบอกต่อกัน ซึ่งจริง ๆ มีหลายเมนู แต่วันนี้มาดูกัน 1 เมนูก่อน นั่นก็คือ  “ต้มข่าไก่ใส่หัวสะเลเต” ซึ่งข่านั้นเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ ช่วยบำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยบำรุงร่างกาย เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และต้านมะเร็ง ต้มข่าไก่เป็นตำรับอาหารไทยที่เลื่องชื่อ ถ้าซอยหัวสะเลเตหรือมหาหงษ์ใส่ลงไปด้วย จะยิ่งช่วยเพิ่มรสชาติและมีสรรพคุณแก้ปวดหัวด้วย
       
    ส่วนผสม... เนื้อไก่ 300 กรัม, กะทิ 1 กระป๋อง, เห็ดกวางหรือเห็ดนางฟ้า 6 ดอก, หัวสะเลเต 1/4 ขีด, ข่าอ่อน 2 กำ, พริกสด 4-5 เม็ด, ใบมะกรูด 6-7 ใบ, ตะไคร้ 2 ต้น, ผักชี 2 ต้น, เกลือป่น 1 ช้อนชา, ซีอิ๊วขาว (หรือน้ำปลา) 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำเปล่า 2 ถ้วย, หอมหัวใหญ่ 1 หัว
       
    วิธีทำ... 1. นำหัวสะเลเต ตะไคร้ ใบมะกรูด มาล้างให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นหัวสะเลเตเป็นแว่น หั่นตะไคร้เฉียง ๆ และฉีกเส้นกลางใบมะกรูดออก พักไว้ 2. นำเห็ด พริกสด ผักชี มาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเห็ดเป็น 6-8 ส่วน หั่นพริกเฉียง ๆ แล้วซอยผักชีหยาบ ๆ พักไว้ 3. นำเนื้อไก่มาล้างให้สะอาด สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดพอคำ 4. เปิดเตาไฟแรงปานกลาง นำหางกะทิและน้ำเปล่า 1 ถ้วยใส่ลงหม้อ รอจนเดือดจึงใส่หัวสะเลเต ตะไคร้ ใบมะกรูด ลงไปเคี่ยวประมาณ 5 นาที 5. ใส่เนื้อไก่ลงไป รอจนเริ่มสุกจึงใส่เกลือป่น คนให้เข้ากัน 6. ใส่หัวกะทิลงไป คนให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำเปล่าลงไปอีก 1 ถ้วย รอสักพักจนน้ำแกงเดือด 7. ใส่เห็ดและพริกที่หั่นไว้ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วปิดเตาได้ 8. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว (หรือน้ำปลา) น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ชิมรสตามชอบ จากนั้นโรยด้วยผักชีและคนให้เข้ากัน 9. ตักต้มข่าไก่ใส่ชาม โรยหน้าด้วยผักชีเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ
       
    เคล็ดลับ ตอนใส่กะทิต้องใช้ไฟอ่อน ๆ คนบ่อย ๆ กะทิจะไม่แตกมัน จะได้เป็นน้ำสีขาว ไม่ใส มีกลิ่นหอมของกะทิ ทั้งนี้ “ต้มข่าไก่ใส่หัวสะเลเต” นี่เป็นเมนูสู้ภัยหนาว ทำขายหน้าหนาวก็น่าจะดี

    เวทีประชันผลงานด้านไอซีที
       
    ปิดท้ายด้วย... สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย ร่วมกับเนคเทค-ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดโอกาสให้องค์กรต่าง ๆ ส่งผลงานด้านไอซีที (ICT) เข้าร่วม ประกวดโครงการไทยแลนด์ไอซีทีฯ อวอร์ด 2010 โดยเปิดรับสมัครถึง 17 ธ.ค. 2553 รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ คุณจริยา ติยพงศ์พัฒนา หรือ คุณหัสทยา ไผ่กอ โทร.0-2319-7675-8 ต่อ 209, 146 ครับ !!.


    ไกรเลิศ พึ่งบุญ ณ อยุธยา

    Read More...


    ซุปเห็ดยาควัน อาหารเพื่อสุขภาพชาวท่าลี่


    คุณเบญจมาศ สุรมิตรไมตรี ผอ.กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวง สาธารณสุข เชิญผมไปร่วมในการตัดสินประกวดสำรับอาหารสุขภาพ ในโครงการเฉลิมพระเกียรติ 57 พรรษา มหาวชิรลงกรณ หมู่บ้านปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนทุกหมู่บ้านทั่วประเทศหันมาใส่ใจกับการกินอาหารที่มีผักสดวันละครึ่งกิโลผสมอยู่ทุกมื้อ
       
    ในงานนี้ คุณทองอยู่ สารมะโน จากสถานีอนามัยปากคาน อ.ท่าลี่ จ.เลย นำคณะ มาทำ ซุปเห็ดยาควัน ให้ชิมกัน ถ้าหาเห็ดยา    ควันไม่ได้ ผมขอแนะนำให้ใช้เห็ดแต่ละพื้นที่ เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดหอมสด มาทำซุปเห็ดแทนก็ได้ครับ
       
    เครื่องปรุง
       
    1. เห็ดยาควัน (หรือเห็ดนางฟ้า, เห็ดหอมสด)    200  กรัม
       
    2. หน่อไม้ดองต้มสุก    100  กรัม
       
    3. เนื้อหมูบ๊ะฉ่อ    100  กรัม
       
    4. หนังหมูต้มสุกหั่นเป็นเส้นบาง ๆ    100  กรัม
       
    5. งาคั่ว    2  ช้อนโต๊ะ
       
    6. พริกไทยป่นตรามือ    1 ช้อนชา
       
    7. พริกขี้หนูป่น    1  ช้อนชา
       
    8. น้ำปลาร้าต้มสุก    1  ทัพพี
       
    9. ผักชี-ต้นหอม หั่นซอย    1  ถ้วย
       
    10. น้ำซุปต้มกระดูก    1  ทัพพี
       
    วิธีทำ
       
    1. นำเนื้อหมูบ๊ะฉ่อมารวนกับน้ำซุปให้เนื้อหมูสุก 70% จึงใส่หนังหมูลงรวนด้วย
       
    2. ต้มเห็ดยาควัน (หรือ เห็ดนางฟ้า, เห็ดหอมสด) จนเห็ดนุ่ม จึงนำเห็ดมาหั่นให้ละเอียด
       
    3. ใส่เห็ดลงคลุกกับหมู ปรุงรสด้วยงาคั่ว พริกไทยป่น พริกขี้หนูป่น น้ำปลาร้า
       
    4. เติมน้ำซุปลงไปให้แฉะ จึงโรยผักชีต้นหอมลงไปรวนให้ทั่ว กินกับข้าวเหนียว
       
    นอกจากเห็ดยาควันที่เป็นเห็ดธรรมชาติปลอดสารพิษและมีประโยชน์ต่อผู้กินแล้ว ชาวท่าลี่ยังนำ ไผ่ร้อยกอ ซึ่งมีมากใน จ.เลย มาตากแห้งแล้วชงเป็นน้ำชาดื่ม น้ำชาไผ่ร้อยกอมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำต้มมะตูม ดื่มแก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ลดเบาหวาน แก้อาการบวมน้ำ หญิงหลังคลอดอยู่ไฟไม่ได้ดื่มประจำจะช่วยขับน้ำคาวปลา ทำให้มดลูกเข้าอู่ดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ช่วยขับสารพิษในร่างกาย ถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับคุณทองอยู่ โทร. 08-7950-2849.

    ขุนขยับ แม่มะลิ
    อีเมล chaisang_k@yahoo.co.th


    Download : http://www.ziddu.com/download/13098449/bankanom013.pdf.html

    Read More...


    สูตรห่านพะโล้หัวสิงโต



    เมื่อครั้งที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองซัวเถา รัฐบาลท้องถิ่นเมืองซัวเถาได้จัดโต๊ะจีนถวาย และนำห่านพะโล้หัวสิงโตขึ้นโต๊ะเสวยด้วย หลังจากนั้นรัฐบาลจีนได้ทูลเกล้าฯถวายไข่ห่านหัวสิงโต เพื่อนำมาฟักและเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจในเมืองไทย
       
    คุณอุไร ตุงคเศรวงศ์ จึงพาผู้นำเกษตรกรนครปฐม ไปดูการเลี้ยงห่านหัวสิงโต เพื่อส่งเสริมเกษตรกรนครปฐม เรียนรู้วิธีการเลี้ยงห่านหัวสิงโต และนำห่านหัวสิงโตมาทำอาหาร ที่ขึ้นชื่อมากคือ ห่านหัวสิงโตพะโล้ ที่ต้มเคี่ยวจนน้ำพะโล้ซึมเข้าไปในเนื้อห่านหอมกรุ่น หัวและตับห่านนุ่มและมีราคาแพงมาก ผมจึงขอสูตรทำห่านพะโล้มาให้
       
    เครื่องปรุง ห่านหัวสิงโตพะโล้
       
    1. ห่านสด    1 ตัว
    2. ผงพะโล้ตรามือ 1 กล่อง
    3. พริกไทยป่น 2 ช้อนโต๊ะ
    4. อบเชย (ยาว 2 นิ้ว)    4 ชิ้น
    5. โป๊ยกั๊ก    5 ดอก
    6. ชวนเจีย (พริกหอม)    1 ช้อนโต๊ะ
    7. ชะเอม 10 แผ่น
    8. ซีอิ๊วดำหวาน 2 ทัพพี
    9. ซีอิ๊วขาว    3 ทัพพี
    10. น้ำตาลกรวด 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ
       
    1.ควักเครื่องในห่านออกให้หมด ล้างให้สะอาด จึงใช้ผงพะโล้ทาผิวและในท้องจนทั่ว จึงหมักทิ้งไว้ 30 นาที
       
    2.นำห่านใส่หม้อ เติมผงพะโล้ 3 ช้อนโต๊ะ พริกไทยป่น อบเชย โป๊ยกั๊ก ชวนเจีย ซีอิ๊วดำหวาน ซีอิ๊วขาว น้ำตาลกรวด แล้วเติมน้ำให้ท่วมตัวห่าน จุดไฟต้มจนน้ำเดือดจัด จึงหรี่ไฟลงเคี่ยวต่อไปอีก 1 ชั่วโมง (ระหว่างเคี่ยวให้คอยพลิกตัวห่านกลับไปมา)
       
    3.ใช้ส้อมจิ้มเนื้อห่าน ถ้ายังเหนียวให้ต้มเคี่ยวต่ออีก 30 นาที จนห่านนุ่ม
       
    เมื่อได้สูตรห่านพะโล้หัวสิงโต (ไซเท่าง้อ) จากเมืองซัวเถาแล้ว ต้องการสูตรการต้มเป็ดพะโล้ของเมืองไทย ต้องสอบถามการใช้เครื่องเทศที่ โทร. 0-2222-5578 คุณตุ้มผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องเทศ จะแนะนำให้ใช้เครื่องเทศจีนได้ทุกชนิด.


    ขุนขยับ แม่มะลิ
    chaisang_k@yahoo.co.th


    Download : http://www.ziddu.com/download/13098298/bankanom012.pdf.html

    Read More...


    ขาหมูแต้จิ๋ว สูตรย้อนยุคพระเจ้าตากสิน



    วันที่ 27-28 ธันวาคมนี้ คุณมัณฑนา ชูติกาญจน์ ผอ.เขตคลองสาน เป็นแม่งานจัดงาน เทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช ครั้งที่ 34 ณ บริเวณพระบรมราชานุสาวรีย์ วงเวียนใหญ่ งานนี้ คุณมนูญ พุฒทอง ประธานชมรมร้านอาหารเขตคลองสาน เชิญชวนพ่อครัว กุ๊กร้านอาหาร ประชาชนทั่วไป นักเรียน นักศึกษา เข้าร่วมแข่งขันประกวดอาหารจานเดียว ผมขอให้คณะกรรมการ จัดโชว์อาหารย้อนยุค สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช เป็นอาหารจานเด็ดจากเมืองเท่งไฮ้-แต้จิ๋ว บ้านเกิดของ นายไหฮอง พระราชบิดา
       
    คุณมนูญจึงสั่งกุ๊กห้องอาหารยกยอ ต้มขาหมูแต้จิ๋ว มาสักการะพระเจ้าตากสินด้วย
       
    เครื่องปรุง 1. ขาหมูพร้อมคากิ 2 ขา, 2. ผงพะโล้ตรามือ 2 ช้อนโต๊ะ, 3. พริกไทยดำเกล็ดตรามือ 1 ช้อนโต๊ะ, 4. อบเชย (ยาว 2 นิ้ว) 2 ชิ้น, 5. โป๊ยกั๊ก 4 ดอก, 6. รากผักชี 4 ราก, 7. กระเทียม 5 หัว, 8. เห็ดหอมแช่น้ำให้นุ่ม 8 ดอก, 9. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ, 10. ซีอิ๊วดำหวาน 1 ทัพพี, 11. ซีอิ๊วขาว 2 ทัพพี, 12. น้ำสะอาด 5 ลิตร
       
    วิธีทำ 1.ใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงหม้อ แล้ววางขาหมูเรียงไว้ก้นหม้อ จึงเติมน้ำให้ท่วม, 2.ต้มเคี่ยวด้วยไฟร้อนปานกลาง 1 ชั่วโมง จึงหรี่ไฟลงแล้วเคี่ยวต่อ 30 นาที, 3.ใช้ส้อมจิ้มหนังและเนื้อขาหมูเพื่อดูว่านุ่มพอใจหรือยัง จากนั้นเติมซีอิ๊ว น้ำตาลเพิ่ม เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อม ไม่เค็มหรือหวานจนเกินไป
       
    ถ้าอยากกินขาหมูแต้จิ๋วให้ไปที่ห้องอาหารยกยอ โทร. 0-2280-1319-20
       
    ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมแข่งขันประกวด อาหารจานเดียว (อาหารทำจากข้าวและอาหารทำจากเส้นก๋วยเตี๋ยว) ชิงรางวัลโล่เกียรติยศและเงินรางวัลจาก ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ติดต่อสอบถามที่ คุณพรพัน วัฒนสินธุ์ หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล เขตคลองสาน โทร. 0-2863-1664
       
    สำหรับงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราชปีนี้ เริ่มตั้งแต่การบวงสรวงดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช บนถนนพระเจ้าตากสิน จะมีการแสดงและกิจกรรมเทิดพระเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ มีการเชิดสิงโต-มังกรทอง เชื่อมสัมพันธ์ไทย-จีน การแสดงงิ้วแต้จิ๋วโบราณ
       
    ร้านอาหารชื่อดังในเขตคลองสานจะนำอาหารอร่อยของแต่ละร้านมาจำหน่าย และผมขอให้ คุณอรวรรณ อทินันตพันธุ์ ภัตตาคาร กอกใจเจ๋าเหล่า (โทร. 0-2437-6472, 0-2437-7926) ไป สอนทำห่านพะโล้เท่งไฮ้ ในงานนี้ด้วย.


    ขุนขยับ แม่มะลิ
    chaisang_k@yahoo.co.th


    Download : http://www.ziddu.com/download/13098255/Bankanom011.pdf.html

    Read More...


    สูตรสังขยาใบเตยไม่ต้องตุ๋น

    เอาสูตรมาจากคุณ"แม่สลิ่ม"แห่งห้องก้นครัวนะครับ
    แต่ว่าแปลงสูตรให้เหมาะกับคนที่ไม่มีตาชั่ง
    สูตรนี้ทำง่ายมากเพราะไม่ต้องตุ๋น ใช้แค่เตาไมโครเวฟเท่านั้น


    ส่วนผสม1 กะทิ 500 กรัม หรือเท่ากับ1กล่องนั่นเอง
    2 น้ำใบเตย
    3 น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
    4 แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1/3 ถ้วยตวง
    5 แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
    6 แป้งมัน 2/3 ช้อนโต๊ะ
    7 ไข่ไก่เบอร์0 2 ฟอง -ขนาดใหญ่ที่สุดนั่นแหละ-
    8 เกลือป่น 1/2 ช้อนชา


    วิธีทำ


    1 ปั่นใบเตย8ใบกับน้ำ 1 ถ้วยตวง แยกเอากากออกก็จะได้น้ำใบเตย







    2 เอาแป้งทั้งหลาย เกลือ และน้ำตาลทรายผสมกันในชามใบใหญ่ที่เอาเข้าไมโครเวฟได้ (ลืมถ่ายรูปฮับ แหะๆ)


    3 เทกะทิใส่ชามตามด้วยน้ำใบเตยแล้วคนๆๆๆ (ลืมถ่ายอีกแล้ว )


    4 เทกะทิใส่ชามน้ำตาลแล้วคนๆๆๆ (คงจะรู้ว่าผมจะบอกอะไรนะ)


    5 ตอกไข่ใส่ชามแล้วตีมันให้น่วม!





    6 เทไข่ใส่ชามในข้อ4แล้วคนค้นคน





    7 เอากระชอนตาละเอียดๆกรองลิ่มไข่และก้อนแป้งออกเพื่อความเนี่ยน





    8 เอาเข้าไมโครเวฟ ปรับไฟแรงสุด4นาที พอเอาออกมาที่ชอบชามจะเริ่มแข็งให้เอาตะกร้อคนให้เหลว


    ถ้าไม่มีตะกร้อใช้ส้อมคนก็ได้แต่จะไม่เนียนเท่า





    9 เข้าเวฟอีกรอบ ลดเวลาเหลือ3นาที เอาออกมาคราวนี้สังขยาจะยิ่งแข็งมากขึ้น





    10 ถ้าคนแล้วทิ้งรอยส้อมหรือตะกร้อไว้บนหน้าสังขยาก็โอเค แต่ถ้ายังไม่ทิ้งรอยให้อบอีกครั้งละ1นาที




    credit : http://happiness-consumer.bloggang.com

    Download : http://www.ziddu.com/download/13093666/bankanom009.pdf.html

    Read More...


    เต้าหู้นมสดผสมธัญพืชตำรับคุณสุขศรี




    กระบวนการผลิตเต้าหู้นมสดผสมธัญพืชตำรับคุณสุขศรีโดยสังเขป
    ส่วนผสม
    1. นมสดใช้นมเมจิ 47%
    2. ผงวุ้นนมสด 45%
    3. น้ำตาลมิตรผล 3%
    4. ครีมเทียม
    5. ธัญพืช 5%

    วิธีทำ (สำหรับเนื้อนม)
    1. เทส่วนผสมทั้งหมด ได้แก่ ผงวุ้น น้ำตาล ครีมเทียมลงในหม้อต้มให้เดือดประมาณ 1-2 ชั่วโมง

    2. หลังจากนั้นก็เทนมสดที่ต้มเดือดแล้วลงไปในกระป๋องประมาณ 2/3 ของกระป๋อง แล้ววางทิ้งไว้เฉยๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง
    3. รอให้นมในกระป๋องเริ่มเซ็ตตัวแล้วจึงนำไปใส่ในตู้เย็น

    วิธีทำ (สำหรับน้ำนม)
    1. เทนมสด น้ำตาล ครีมเทียมผสมลงในหม้อแล้วต้มให้เดือดประมาณ 1 ชั่วโมง

    2. นำหม้อนมสดที่ต้มเดือดแล้ววางลงในหม้อบรรจุน้ำเย็นทิ้งไว้ประมาณครึ่ง ชั่วโมง เพื่อรอเติมธัญพืชลงบนหน้าเนื้อนมสด ต่อจากนั้นจึงเติมส่วนของน้ำนมเป็นส่วนสุดท้าย หลังจากนั้นเตรียมปิดฝากระป๋องเต้าหู้นมสดธัญพืชแล้วส่งจำหน่ายได้เลย พร้อมใช้น้ำแข็งบดโปะบนกระป๋องเต้าหู้ช่วยเพิ่มความสด
    ตัวอย่างการทำธัญพืช (ลูกเดือย) ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของเต้าหู้นมสดผสมธัญพืช

    วิธีทำลูกเดือย
    1. นำเอาลูกเดือยมาแช่ให้นิ่มประมาณ 4 ชั่วโมง แล้วก็ทำความสะอาด หลังจากนั้นจึงนำไปต้ม

    2. เมื่อต้มลูกเดือยจนนิ่มดีแล้วนำไปเทใส่ตะแกรงพร้อมเทน้ำล้างให้สะอาดอีกครั้ง
    หมายเหตุ ขณะนี้บ้านศรีตรังได้ใช้เครื่องกรองน้ำสะอาดระบบรีเวอร์ส ออสโมซิส ซึ่งเป็นเครื่องกรองให้น้ำสะอาดดีเยี่ยมและช่วยทำลายเชื้อโรคได้อย่างดียิ่ง
    3. เมื่อลูกเดือยผ่านขั้นตอนน้ำสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็ทิ้งลูกเดือยให้สะเด็ดน้ำเพื่อรอบรรจุบนหน้าเนื้อนม
    4. เมื่อบรรจุลูกเดือยบนหน้าเนื้อนมแล้ว หลังจากนั้นจึงเทน้ำนมปิดท้ายแล้วจึงปิดฝากระป๋องส่งไปหน่ายได้เลย

    ระยะของการผลิตเต้าหู้นมสดจะจัดทำเป็น 2 ช่วงคือ
    1. ช่วงเช้าจะผลิตเพื่อส่งจำหน่ายในช่วงบ่าย

    2. ช่วงเย็น-ค่ำ จะเตรียมผลิตไว้ส่งสินค้าในช่วงเช้า การจัดทำการผลิตทั้ง 2 ช่วงเพื่อต้องการให้ลูกค้าได้ชิมสินค้าของบ้านศรีตรังแบบได้ความสด ใหม่ อร่อยตลอดเวลา

    ขณะนี้ เต้าหู้นมสดธัญพืชของบ้านศรีตรังจะแบ่งเป็น 2 แบบคือ
    1. แบบที่ไม่เติมน้ำตาล เน้นสำหรับผู้รักสุขภาพโดยเฉพาะ ได้แก่ เต้าหู้นมสดลูกเดือย ข้าวบาร์เลย์ เม็ดแมงลัก ถั่วแดง

    2. แบบเติมน้ำตาลเล็กน้อย ช่วยเสริมรสอร่อยให้น่ารับประทานขึ้น เช่น เต้าหู้นมสดลูกชิด มะพร้าว ฟรุตสลัด แคนตาลูป อายุของสินค้าอยู่ได้ 7-8 วัน ถ้าใส่ตู้เย็น
    การตลาด ทางบ้านศรีตรังจะพยายามจัดส่งสินค้าให้ใหม่ สดอยู่เสมอ โดยจะส่งตามห้างสรรพสินค้าใหญ่ เช่น ห้างโกลเด้นเพลส จัสโก้ (อีออน แม็ค แวลู) สหฟาร์ม เลมอนฟาร์ม คาร์ฟูร์

    นอกจากนั้น คุณศรีได้มีโอกาสพูดคุยกับ “เส้นทางเศรษฐี” ว่าเธอมีแนวคิดสนใจจะผลิตเต้าหู้นมสดเป็นนมผงซึ่งเป็นส่วนผสมเฉพาะของเธอเอง โดยหวังว่าจะให้ลูกค้าที่อยู่ไกล ไม่สามารถมาซื้อหาเต้าหู้นมสดได้ตามแหล่งจำหน่าย เขาก็มีสิทธิ์จะผสมนมผงดังกล่าวไปทำรับประทานเองได้ แต่นี่เป็นเพียงความคิดขั้นต้นอยู่

    อย่างไรก็ตาม หากมีผู้สนใจอยากจะติดต่อสอบถามไปจำหน่ายหรือบริโภคก็สามารถติดต่อที่ คุณสุขศรี สุริยะรังษี บ้านเลขที่ 21/20 ซอยรามคำแหง 174 หมู่บ้านปาร์คโฮม เลควิว ถนนรามคำแหง เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. (080) 228-2111, (089) 772-8581

    ข้อมูลจำเพาะ
    ธุรกิจ ผลิตเต้าหู้นมสดผสมธัญพืช
    เจ้าของกิจการ คุณสุขศรี สุริยะรังษี


    จุดเด่นสินค้า
    1. สินค้าบริโภคเพื่อบำรุงสุขภาพ

    2. คุณภาพใหม่ สดตลอด
    3. รสชาติอร่อย แปลกใหม่ เพราะมีธัญพืชผสมช่วยเสริมสุขภาพ

    ระบบการขาย แบบปลีก/ส่ง
    ราคาสินค้า ราคาปลีกกระป๋องละ 21 บาท ราคาส่งกระป๋องละ 18 บาท


    การลงทุน หลักแสนบาท

    ระบบธุรกิจ แบบครอบครัว

    พนักงานช่วยผลิต 5-6 คน ค่าแรงรายวัน คนละ 200 บาท ต่อวัน

    ยอดการผลิตต่อเดือน 20,000-30,000 กระป๋อง

    กำไร 30-40 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขาย

    หมายเหตุ นมสดใช้นมเมจิ ผงวุ้นตรานางเงือก น้ำตาลยี่ห้อมิตรผล

    อ้างอิงจาก เส้นทางเศรษฐี
    http://www.thaismefranchise.com/


    Download บทความนี้ :  http://www.ziddu.com/download/13093573/bankanom008.pdf.html

    Read More...




    ----------------

    ปรับปรุง
    รายการบทความทั้งหมด



    การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



    ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



    รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



    รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



    ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





    MASK รุ่นสายคล้องคอ







    MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
    ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
    3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
    เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
    บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
    ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
    มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
    หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
    มีเรทราคาส่งค่ะ

    -> id line : noeyhorm_06
    #มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


    ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
    ● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
    ● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
    ● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
    ● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































    เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
    ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

    --------------------------------------------------------------------------------------------
    แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
    อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
     
    Option

    รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.