สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ยุพินเมี่ยงปลาเผา สูตรน้ำจิ้มรสแซบหอยแครงลวก

ไทยอาชีพ.com ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ “คุณลุง วิทวัส” และ “คุณป้า ยุพิณ” เจ้าของร้าน ยุพินเมี่ยงปลาเผา ตั้งอยู่ที่พัทยา ซ.เขาน้อย หลายท่านที่พักอาศัพอยู่บริเวณนั้นจะรู้จักร้านยุพินเมี่ยงปลาเผาดี เพราะร้านนี้เปิดขายมานานกว่า 4 ปีแล้ว ปัจจุบันมีทั้งลูกค้าขาจรและลูกค้าประจำแวะเวียนมาอุดหนุนอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาดสาย


จุดเด่นของร้านปลาเผา

จุดเด่นของร้านนี้คือ น้ำจิ้มปลาเผา ซึ่งมีรสชาติอร่อยและลงตัว เทคนิคการย่างปลาเผาคุณลุงวิทวัสและคุณป้ายุพิณก็ไม่เหมือนใคร คนอื่นอาจจะคิดว่าการย่างปลาเผาจะมีเทคนิคอะไรมากมายก็แค่เอาเกลือมาโรยและ ย่างบนเตาถ่านแค่นั้นก็เสร็จ แต่มันไม่ใช่สำหรับร้านนี้ คุณลุงกับคุณป้าพิถีพิถันทุกขั้นตอน กว่าจะได้ปลาเผาสูตรพิเศษมาขายนั้นลุงกับป้าก็ลองผิดลองถูกกันมาตลอด จนสุดท้ายได้เทคนิคและวิธีการทำปลาเผาให้อร่อยจนสามารถเปิดร้านและขายมา นานกว่า 4 ปีแล้วค่ะ


เมี่ยงปลาเผาเสริมด้วยหอยแครงลวก

นอกจากเมี่ยงปลาเผาแล้ว ยังมีหอยแครงลวก น้ำจิ้มหอยแครงก็อร่อยไม่แพ้กันเลยค่ะ ส่วนปลาเผาก็มีให้ลูกค้าเลือกหลายขนาดหลายราคา มีตั้งแต่ราคา 100 บาท ไปจนถึง 300 บาท แต่ราคานี้คุ้มมากค่ะ เพราะก่อนที่เราจะไปสัมภาษณ์เราได้ลองซื้อมาทานแล้วถึงขนาดติดใจต้องขอเป็น ลูกค้าขาประจำอีกคน ซื้อปลาเผาตัวใหญ่ 1 ตัว




และหอยแครงลวกจิ้มอีกครึ่งกิโล ขอบอกว่าทานกันไม่หมดเลยทีเดียว และที่สำคัญร้านนี้เขาไม่คิดค่าผักเพิ่มนะค่ะ ลูกค้าสามารถหยิบผักเองได้ตามใจชอบ ไม่เหมือนบางร้านเราจะเห็นเขานำผักใส่ถุงไว้พร้อมกับขนมจีนและน้ำจิ้มไว้ เรียบร้อยเลย หากลูกค้าต้องการผักเพิ่มลูกค้าก็ต้องเสียเงินอีกประมาณ 20-30 บาท




คืออันนี้แอดมินเคยเจอมาจริงๆ นะค่ะ ซึ่งราคาปลาเผาก็แพงอยู่แล้ว ตัวเล็ก 120 บาท แล้วเรายังต้องมาเสียเงินซื้อผักเพิ่มอีกอ่ะหรอ มันก็ยิ่งแพงไปอีก คุณลุงกับคุณป้าได้เล่าให้เราฟังว่าเมื่อก่อนลุงกับป้าเคยเป็นผู้รับเหมาก่อ สร้าง มีรายได้สูงแต่ความเสี่ยงก็สูงด้วย ต้องดูแลรับผิดชอบหลายอย่าง พอดีลุงกับป้าได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่งเขาแนะนำให้ลองทำขายดู เลยเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้มาจนถึงปัจจุบัน

ราคาปลาเผา

ราคาปลาเผาของร้านนี้ก็ไม่แพงอย่างที่คิดเลยค่ะ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ตัวละ 100 บาท ถ้า ปลาตัวละ 7 – 9 ขีด = 120 –  140 บาท หรือปลาตัวละ 1 กิโลกรัม – กิโลครึ่ง = 180 – 200 บาท และหากเป็นตัวใหญ่สุด 2 กิโลกรัม – 2 กิโลครึ่ง = 280 -300 บาท (ผักฟรี + น้ำจิ้มฟรี + ขนมจีนฟรี) ร้าน นี้เปิดขายทุกวัน จันทร์ – พฤหัสจะขายได้ประมาณ 50 – 60 ตัว หากเป็นศุกร์ – อาทิตย์จะอยู่ที่ประมาณ 70 – 90 ตัว แต่หากอยู่ในช่วงเทศกาลถือศีล กินเจ หรือช่วงเข้าพรรษา ยอดขายอาจจะลดลงเหลือเพียงวันละ 40 – 50 ตัว 

แหล่งที่มาของปลา

ลุงกับป้าไปรับปลามาจากตลาดสด ปลาที่รับมาทำปลาเผาก็จะมีอยู่สองชนิดคือ ปลาทับทิมและปลานิล ซึ่งราคาของปลาทับทิมก็จะอยู่ที่ประมาณ 50 – 85 บาท และราคาของปลานิลอยู่ที่ 30 – 58 บาท แล้วเราค่อยมาแยกไซส์และราคาของปลาเผาเป็นตัว ว่าจะจัดให้ตัวไหนราคาเท่าไหร่ตามกิโลกรัมของปลา (ราคาปลาที่รับมาขึ้นอยู่กับราคาของตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาค่ะ)
สูตรวิธีทำปลาเผา
  1. ให้ทำความสะอาดปลาที่จะนำมาทำปลาเผาให้สะอาด โดยผ่าท้องควักเครื่องในออกไม่ต้องขอดเกล็ดออก และล้างด้วยน้ำสะอาดเท่านั้น
  2. ทุบตะไคร้ให้แตก ขูดขิงให้เป็นฝอย แล้วพันด้วยใบโหระและใบเตยพายัดเข้าไปในพุงปลาให้เต็ม ใส่ขิงขิงเพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอมจากใบเตย
  3. นำเกลือโรยให้รอบตัวปลาพอประมาณ
  4. ให้นำปลาไปย่างกับเหล็กปิ้งปลา หรือนำไม้เสียบกับตัวปลามาแล้วเอามาย่างก็ได้ ด้วยเตาถ่านให้คอยดูจนสุก
เครื่องปรุงปลาเผา 
  • ปลานิลเลือกไซส์ใหญ่ 1 ตัว ตัวประมาณ 1 กิโลกรัมกำลังดี
  • เกลือ ความเป็นเกลือที่สะอาด
  • ตะไคร้ 2 ต้นขึ้นไปใส่ให้พอดีกับปลา
  • ใบโหระพา ไม่ต้องใส่ก็ได้อยู่ที่ความชอบ
  • ขิงฝอย  ใส่เพื่อดับกลิ่นคาว
เครื่องเคียง
  • มีผักสด ผักกาดหอม ผักกาดขาว ผักชีไทย ผักชีฝรั่ง ผักใบเลื้อย สะระแหน่ ใบโหระพา
  • ขนมจีน
  • เส้นหมี่ขาว
  • แผ่นเมี่ยงญวน
ส่วนผสมน้ำจิ้มชนิดเผ็ด
  • พริกขี้หนูสวน 1/2 กก.
  • รากผักชี 2 ขีด
  • กระเทียมดอง 2 ขีด
  • กระเทียมแบบกลีบปอกเปลือก 1 ขีด
  • พริกไทยเม็ดขาว 1 ขีด
  • น้ำปลา 1/2 ลิตร
  • น้ำมะนาว 1/2 ลิตร
  • น้ำตาล 3 ขีด
วิธีทำ
  • นำส่วนผสมทั้งหมดรวมกันแล้วปั่นให้ละเอียดเพียงเท่านี้ค่ะ
ส่วนผสมน้ำจิ้มชนิดหวาน
  • น้ำมะขาม เปียก 1/2 กก.
  • น้ำปลา 1/2 ลิตร
  • ถั่วลิสง 2 ขีด
  • น้ำตาลปี๊บ 3 ขีด
วิธีทำ
  • เคี่ยวน้ำมะขามเปียกด้วยไฟอ่อนๆ เติมน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ผสมลงไป แล้วคนให้เข้ากัน ชิมให้ได้ รสเปรี้ยว เค็ม หวาน โรย หน้าด้วยถั่วลิสงตำหยาบๆ หรือจะใช้เป็นถั่วตัดก็จะได้รสชาติจัดจ้านขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
ร้านยุพิณเมี่ยงปลาเผารับจัดเลี้ยงบุฟเฟ่ต์ปลาเผา งานวันเกิด หรืองานเลี้ยงต่างๆ หากท่านใดสนใจรายละเอียดและวิธีการทำเมี่ยงปลาเผา สามารถติดต่อลุงวิทวัสและคุณป้ายุพิณได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 084 – 3497370 และ 084 – 5498431

Credit by..http://www.thaiarcheep.com/เมี่ยงปลาเผา.html

แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


“ห่อหมกปลากราย” เนื้อเนียนไร้ก้างสร้างเงิน

ห่อหมกปลา อาหารพื้นบ้านโบราณที่แสดงถึงตัวตนความเป็นคนไทย กว่าจะปรุงสำเร็จออกมาเป็นห่อหมกแสนอร่อยสักห่อต้องพิถีพิถันและต้องผ่าน ขั้นตอนการทำที่ต้องอาศัยความอดทนอยู่ไม่น้อย ทั้งการกวน ห่อ และนึ่ง ซึ่งผู้ที่มีอาชีพทำห่อหมกขายจะต้องมีความมุ่งมั่นถึงจะทำห่อหมกออกมาได้ดี แต่ถ้าทำได้ดี ก็สามารถจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้ อย่างการทำ “ห่อหมกปลากราย” ขาย ที่จะนำเสนอให้ได้พิจารณากันในวันนี้...

“ห่อหมกปลากราย” ที่จะนำเสนอวันนี้ เป็นสูตรโบราณบางคล้า มีการปรับเปลี่ยนภาชนะห่อหมกจากห่อเป็นกระทง ซึ่งก็สร้างจุดขายที่น่าสนใจได้อีกแบบ โดยผู้ที่จะมาบอกเล่าการทำห่อหมกปลากรายขายคือ คุณชุติพร กิตติโมรากุล หรือ เจ๊ณี อายุ 56 ปี เจ้าของร้านอาหารครัวบ้านไทยปลาเผาซึ่งทำห่อหมกปลากรายขายด้วย ซึ่งเจ๊ณีเล่าว่า เริ่มทำห่อหมกปลากรายขายพร้อม ๆ กับการเปิดตลาดน้ำบางคล้า มาประมาณ 5-6 ปีแล้ว ก่อนหน้านั้นช่วยธุรกิจครอบครัวคือทำโรงงานก๋วยเตี๋ยว ต่อมาก็แยกตัวมาทำธุรกิจส่วนตัว เพราะอยู่ใกล้แม่น้ำ และมีฝีมือในการทำอาหาร จึงเปิดร้านอาหารที่เน้นเรื่องปลาเป็นหลัก โดยปัจจุบันคนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพ หันบริโภคปลากันเยอะ จึงนับว่ามีจุดขายที่ดี




“ช่วงที่ตลาดน้ำบางคล้าเปิดใหม่ ๆ ไม่รู้จะขายอะไรที่นี่ ก็เลยรับหมูยอของพี่ชายมาพายเรือขายตั้งแต่ตลาดเริ่มบุกเบิก ก็ขายดิบขายดี แต่จำต้องเลิกไป เพราะอยู่ไกล กำไรไม่คุ้มกับค่าขนส่ง ช่วงแรก ๆ ที่นี่มีอาหารขายไม่เยอะ จึงไม่ซ้ำกัน ก็นึกถึงห่อหมกปลากรายที่เคยช่วยคุณแม่ทำและขายมาตั้งแต่เด็ก ๆ ปรากฏว่าขายดีมาก ไม่กี่ชั่วโมงก็หมดจนต้องเพิ่มของ และเพื่อเป็นการเอาใจนักท่องเที่ยวที่ต้องการกินไปเดินชมทิวทัศน์ไปด้วย จึงเพิ่มสินค้าอีกตัวคือทอดมันปลากราย ที่ใช้ส่วนผสมเดียวกันกับห่อหมก เพียงแต่เพิ่มส่วนผสมอื่นอีกเล็กน้อย คือถั่วฝักยาวและไข่” เจ๊ณีบอก

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำห่อหมกปลากรายนั้น เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำครัวทั่วไป อาทิ เขียง, หม้อ, มีด, เตาแก๊ส, กระทงใบตอง และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ส่วนที่ต้องมีพิเศษคือเครื่องปั่นพริก และลังถึงสำหรับนึ่งห่อหมกปลากราย

ส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ ก็มีผักต่าง ๆ สำหรับรองพื้นกระทง เช่น ใบยอ, โหระพา, กะหล่ำปลี (ผักหวาน, เห็ดนางฟ้า) ส่วนของสดก็มี เนื้อปลากรายขูด, ไข่เป็ด, น้ำกะทิ, พริกแกงเผ็ด (เจ้าประจำ), น้ำตาลทราย, น้ำปลา, แป้งข้าวเจ้า และผักที่ใช้โรยหน้า คือใบมะกรูดหั่นฝอย พริกชี้ฟ้าหั่น

ขั้นตอนการทำ “ห่อหมกปลากราย” เริ่มจากการทำผักรองพื้นก่อน โดยนำผักที่จะใช้รองพื้นมาล้างให้สะอาดแล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ นำใบยอมาหั่นเป็นชิ้น ๆ กะหล่ำปลีลวกพอนิ่มหั่นเป็นชิ้นเล็กตามต้องการ ส่วนใบโหระพาเด็ดเป็นใบ ๆ เตรียมไว้ในภาชนะที่สะอาด

นำน้ำกะทิใส่อ่างหรือหม้อสเตนเลสที่มีขนาดกว้างพอประมาณสำหรับใช้กวน ตามด้วยพริกแกงเผ็ดห่อหมก ใช้ไม้พายคนส่วนผสมน้ำกะทิกับพริกแกงให้ละลายเข้ากันดี จากนั้นนำเนื้อปลากรายขูดใส่ลงไปผสม ตามด้วยไข่เป็ด ทำการกวนส่วนผสมห่อหมกให้เข้ากัน (เทคนิคการกวนคือจะต้องกวนไปทางเดียวกัน ถ้ากวนกลับไปกลับมาส่วนผสมจะคลายตัว ไม่เหนียวข้น) ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย น้ำปลา ค่อย ๆ เติมน้ำกะทิทีละน้อยจนหมด กวนส่วนผสมไปเรื่อย ๆ จนฟูและเหนียว ตั้งพักไว้สักครู่

ระหว่างนั้นให้เตรียมทำน้ำกะทิสำหรับหยอดหน้าห่อหมก ด้วยการเอาหัวกะทิผสมกับแป้งข้าวเจ้าและเกลือเล็กน้อย คนให้ละลายเข้ากัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ กวนจนกะทิสุก จะข้นหนืดนิด ๆ ยกลงตั้งพักไว้ให้เย็น

จากนั้นใช้ช้อนตักส่วนผสมห่อหมกมาหยอดใส่ลงในกระทงที่รองด้วยผักรองพื้นแต่ ละชนิดประมาณ 1/2  กระทง ใส่ส่วนผสมห่อหมกลงในกระทงจนเต็ม ปาดเก็บส่วนผสมให้สวยงาม เสร็จแล้วจัดเรียงวางกระทงลงในรังถึงจนเต็ม ยกขึ้นนึ่งด้วยน้ำเดือด แล้วค่อย ๆ หรี่ไฟประมาณ 15 นาที (การนึ่งถ้าใช้ไฟแรงเกินไปพอสุกแล้วหน้าห่อหมกจะระเบิดเป็นแฉก ไม่สวย) แล้วยกลง แต่งหน้ากระทงห่อหมกด้วยกะทิ ใบมะกรูดหั่นฝอย และพริกชี้ฟ้าสีแดงหั่น เพื่อเพิ่มสีสันให้กับห่อหมก

ราคาห่อหมกปลากรายเจ๊ณี ขายกระทงละ 10 บาท

สนใจ “ห่อหมกปลากราย” รวมถึงทอดมันปลากราย ของร้านเจ๊ณี ก็ไปกันได้ที่ตลาดน้ำบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เปิดให้บริการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ หรือสนใจสั่งไปใช้ในเทศกาลงานต่าง ๆ ติดต่อเจ๊ณีได้ที่ โทร.08-5357-6242 ทั้งนี้ การทำห่อหมกขายนั้นเป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่แม้จะไม่มีหน้าร้านก็ทำแบบรับสั่งทำได้ ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบอาชีพที่น่าสนใจ!!!!.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / วรัญญู เหมือนเดช : ภาพ


Credit by..http://www.dailynews.co.th/article/384/210381

แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


บูรพารังนก... อาหารโบราณที่ยังมีชีวิต

ช่วงนี้นั่งดูคุณชายรัชชานนท์ ทำไมไม่ตรึงตาตรึงใจเท่ากับคุณชายหมอกับคุณกรองแก้ว ตัวเนื้อเรื่องไม่เข้มข้น เหมือนน้ำซุปในหม้อที่เจือจางไปหน่อย ตัวนางเอกก็ไม่ดูกระจ่างเท่า แต่พอหวนกลับคิด หรือว่าเราเป็นคนเมืองมากไป จึงดูแบบนี้ไม่อินเท่า กลับกลายเป็นห่างตัว ดูไม่สนุก แต่ถ้าเป็นคนอื่นที่จากบ้านจากเมืองเข้ามากรุงคงดูแล้วคิดถึงพื้นถิ่นไม่ น้อย...


Pic_348709



วันนี้ เป็นอีกวันที่อยากพาไปกินรังนก ในเชิงวิชาการที่ค้นมาได้ว่า สามารถกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้แบ่งตัวมากขึ้น กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง จริงไม่จริง ผมไปค้นมาจากวิกิพีเดีย เอาเป็นว่ามีประโยชน์พอควร แต่ที่สำคัญกว่านั้นอร่อยมาก ชอบกินมาตั้งแต่เล็กๆ แล้ว ไปกินกับพ่อและแม่แถวๆเยาวราชตั้งแต่ถ้วยละ 30 บาท แต่ตอนนี้หาไม่ได้แล้ว รังนกในไทยมาจากสายพันธุ์ที่ดี คุณภาพรังนกเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก แต่ที่สำคัญใครดันไปบอกว่า "รังนกแดงดีที่สุด" ในความเป็นจริงจะต้องเป็นรังนกที่ได้จากครั้งแรกที่มีความขาวบริสุทธิ์ อันนั้นที่ว่า "ยอดเยี่ยม" ผมขอชวนทุกคนต่อต้านการกินรังนกแดง ซึ่งเป็นรังนกครั้งสุดท้ายของนกจะออกลูก อันนี้่ต้องบอกว่าเลวกว่าที่จะรับได้


รัง นกวันนี้ที่พาไปกินชื่อ บูรพารังนก มีชื่อเสียงมานานแสนนาน ตั้งอยู่ในเยาวราช ในถนนแปลงนาม ตรงข้ามร้านหมูสะเต๊ะที่ผมว่าอร่อยกว่าทุกร้านที่เคยไปกิน มาถึงเขาก็ยกรังนกแบบต่างๆ มาให้ดู มีราคาตั้งแต่ 100-1000 บาท แม่เจ้า พันบาทเป็นอย่างไร ที่เคยกินเป็นเหมือนวุ้นสับ แต่พอเข้ามาที่ร้านราคา 1000 บาท เป็นรัง ทั้งรังต้มให้นิ่ม กินตัดกับน้ำโสม ชุ่มชื่นจริงๆ อย่ากินเยอะนะครับ เบาหวานจะลุยเอา ที่สำคัญเขาใส่น้ำผึ้งลงไปเป็นส่วนประกอบด้วย เหมือนรสชาติที่เคยกินที่หาดใหญ่ ถามไปถามมา อ้าว!! พี่น้องกัน สูตรเดียวกันครับ ร้านนี้แน่นอนมากครับ ใครที่ชอบไปจัดร้านนี้ได้เลย


ร้านอยู่ที่ 63 ถนนแปลงนาม สัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ โทรไปเลย 02-623-0191

Rating :  ชาตินี้ต้องกิน

Latitude : 13.74052
Longitude : 100.50971

เรื่องและภาพโดย
www.facebook.com/baypalace

Credit by..http://www.thairath.co.th/

แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


ขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง พร้อมวิธีขั้นตอนการทำหมูปิ้ง

ช่วงเช้าๆ อากาศสดใสกลิ่นหอมลอยตามลมมา ทำให้เรานึกถึงวัยเยาว์อดีตที่เคยผ่านมายังจำกันได้อยู่ไหม มือสองข้างเคยถืออะไรไว้ มือข้างหนึ่งถือข้าวเหนียว อีกข้างถือหมูปิ้ง นั่นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญของการเดินทางในชีวิตทั้งวัยเรียนและวัยทำงาน เวลาเป็นสิ่งสำคัญแต่อาหารก็มีความสำคัญต่อรางกายของคนเรามากที่สุดเช่นกัน ในเวลาอันเร่งรีบช่วงเช้าๆ มีข้าวเหนียวหมูปิ้งอยู่ในมือคงหายห่วง

ชีวิตนี้ยังมีอะไรให้เราจดจำได้อีกมากมายค่ะ เอาเป็นว่าวันนี้เรามาพูดถึงสาระดีๆ จากเว็บไทยอาชีพกันดีกว่าค่ะ ข้าวเหนียวหมู่ปิ้งคงไม่ต้องอธิบายนะค่ะว่าคืออะไร รูปร่างหน้าตาเป็นแบบไหนเชื่อว่าทุกๆ ท่านต่างเคยรับประทานกันมาบ้างแล้ว → บางท่านบอกมาว่ารับประทานทุกวันจนจะเบื่ออยู่แล้ว

สร้างอาชีพเสริมขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง

 


วัย ทำงานเป็นวัยที่ต้องมีความรับผิดชอบ มีภาระที่ต้องดูแลครอบครัว บางทีรายได้หลักอย่างเดียวคงไม่พอกับรายจ่าย หรือบางท่านอยากมีเงินเก็บเยอะๆ เอาไว้ซื้อรถ ซื้อบ้าน เอาหละทีมงานไทยอาชีพมีอาชีพหนึ่งที่สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้ในช่วงเวลาก่อนไปทำงาน ช่วงเวลา 04.00 น. – 7.00 น. ปกติส่วนมากเข้าทำงานกันที่แปดโมงเช้ากัน เอาเวลา 2-3 ชั่วโมงนี้ ไปทำข้าวเหนียวหมูปิ้งกัน

 

 

อุปกรณ์ที่ต้องมี

  1. ไม้ปลายแหลมเอาไว้นำมาเสียบหมูปิ้ง
  2. เตาถ่านหรือเตาไฟฟ้าก็ได้แต่แนะนำให้ใช้เตาถ่านจะดีกว่า
  3. เหล็กปิ้ง

ส่วนผสมเครื่องปรุงในการทำหมูปิ้ง

  1. เนื้อหมูติดมันเล็กน้อย 1 กิโลกรัม
  2. นมสด 1/2 ถ้วยตวง
  3. กระเทียม 1 หัว
  4. ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
  5. พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
  6. ชึอิ้วดำหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
  7. น้ำมันพืช
  8. รากผักชีบดละเอียด 4 ราก
  9. น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เมื่อ ได้จัดเตรียมส่วนผสมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปเข้าสู่วิธีการทำน้ำทา น้ำทาหมูปิ้ง คือเวลาที่เราไปซื้อปิ้งหมูให้สังเกตดูพ่อค้าแม่ขายบางเจ้าให้ดีๆ เอาแปลงจุ่มน้ำทามาทาหมูปิ้ง มีวิธีขั้นตอนในการทำดังนี้
ส่วนผสม นมสด,ชีอิ้วขาว,น้ำมันพืช นำมาผสมเข้าด้วยกันพอประมาณ
วิธีทำเนื้อหมูปิ้ง
 

  1. ขั้นตอนแรกให้นำเนื้อหมูมาหั่นตามความยาว หรือหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 1 – 2 นิ้ว
  2. ปั่นหรือโขลกส่วนผสม กระเทียม,รากผักชีบดละเอียด,พริกไทยเม็ดให้เข้ากัน
  3. นำส่วนผสมจากขั้นตอนที่ 2 มาคลุกกับหมูจากขั้นตอนที่ 1
  4. แล้วนำเครื่องปรุง ซีอิ้วขาว,ชึอิ้วดำหวาน,นมสด,น้ำตาลทรายมาผสม
  5. นำเนื้อหมูที่คลุกกับส่วนผสมต่างแล้วให้นำไปหมักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อยประมาณ 30 นาที ถ้าจะให้ดีควรหมักไว้ประมาณ 8 ชั่วโมง
  6. นำหมูที่หมักไว้แล้วมาเสียบเข้ากับไม้ให้หมด
  7. ขั้นตอนสุดท้ายนำหมูเสียบไม้มาปิ้งได้เลยค่ะ
ระหว่างหมักรอเนื้อหมูให้ตั้งเตาถ่าน เตรียมไฟไว้ปิ้ง หรือท่านใดเลือกใช้เตาไฟฟ้าก็ได้นะค่ะ และระหว่างปิ้งหมูให้นำน้ำทามาทาที่หมูตอนปิ้งด้วย
แต่ ถ้าจะทำขายหมักหมูให้ได้พอประมาณหลังจากนั้นให้นำหมูมาเสียบกับไม้ เสร็จแล้วนำหมูที่ได้ไปใส่ลงในกระปุกสี่เหลียมปิดฝาให้สนิทแล้วแช่ไว้ในตู้ เย็นเก็บเอาไว้ประมาณ 1 คืนก่อนนำมาปิ้ง
สูตรและขั้นตอนการทำข้าวเหนียวหมูปิ้งไม่มีสูตรวิธีการทำที่ตายตัว ท่านสามารถปรับเปลี่ยนส่วนผสมปรุงแต่ง ค้นหาสูตรใหม่ๆ ด้วยตัวท่านตนเองได้เสมอ การทำข้าวเหนียวหมูปิ้งนั้นมันไม่ยากเลย เพียงแค่เราลงมือทำด้วยใจจริงความสำเร็จก็จะมาถึงเอง

Credit by..http://www.thaiarcheep.com/วิธีทำข้าวเหนียวหมูปิ้ง.html


แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


"น้ำมันรำข้าว" ส่วนเล็กๆแต่เจ๋งสุด



ผ่านไปอย่างสวยงาม กับงาน มติชนเฮลท์แคร์ 2013 สู้โรคไร้พรมแดน งานแฟร์สำหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อ 30 พฤษภาคม-2 มิถุนายน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งประชาชนให้ความสนใจร่วมงานอย่างคึกคัก เพราะความน่าสนใจของสินค้าและกิจกรรมมากมายในงาน
หนึ่งในนั้น คือ ผลิตภัณฑ์จาก "น้ำมันรำข้าว" ซึ่งแปรรูปเป็นสินค้าหลายชนิด

รำ ข้าว คือ เยื่อทองที่ห่อหุ้มเมล็ดข้าวกล้อง ส่วนน้ำมันรำข้าวได้มาจากการนำเอารำข้าวและจมูกข้าวที่ผ่านการสีครั้งที่สอง แล้วนำรำข้าวและจมูกข้าวมาบีบอัดเอาน้ำมันออกมา

น้ำมันรำข้าว จึงเป็นน้ำมันธรรมชาติที่ได้จากข้าวกล้อง

ตาม หลักโภชนาการ พบว่ารำข้าวเป็นส่วนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดของข้าว มีสารสำคัญ คือ แกมม่า โอไรซานอล และวิตามินเอ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ เบต้าแคโรทีน วิตามินอีสูง กลุ่มโทโคโตรอินอล กลุ่มไฟโตสเตอรอล และกรดไขมันโอเมก้า 3, 6 และ 9 ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดปัญหาการเกิดโรคหัวใจและโรคที่เกิดจากหลอดเลือดตีบตัน บำรุงร่างกาย บำรุงสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นจำนวนมาก และยังมากกว่าพืชหลายชนิด จึงช่วยชะลอและลดปัญหาการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยบำรุงผิว บำรุง ดวงตาและสายตา แต่น้อยคนนักจะทราบประโยชน์เหล่านี้ ในประเทศไทยยังไม่ค่อยนิยมรับประทานน้ำมันรำข้าวหรือนำมาปรุงอาหารมากนัก

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร่วมออกบูธในงาน "มติชน เฮลท์แคร์" โดยมี ปานบัว บุนปาน ให้การต้อนรับ


พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโออกริฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตน้ำมันดิบจากรำข้าว และจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากน้ำมันรำข้าวแบรนด์ "The Rice Bran Oil Company" หรือ "ที.อาร์.บี.โอ." นำหลายผลิตภัณฑ์มาแนะนำในงานมติชนเฮลท์แคร์ 2013 บอกว่า คนทั่วไปมักเข้าใจว่า "รำข้าว" เอาไว้เลี้ยงสุกรเพียงอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วประโยชน์ของรำข้าวมีมากมายกว่านั้น จึงมีแนวคิดนำรำข้าวมาเพิ่มมูลค่าให้ได้มากที่สุด โดยสร้างโรงงานผลิตน้ำมันรำข้าว เพื่อสกัดเป็นน้ำมันดิบแล้วพัฒนาเป็นสินค้าต่างๆ ได้แก่ ขนมขบเคี้ยว เครื่องสำอาง น้ำมันนวด น้ำมันสลัด น้ำมันรำข้าวสำหรับปรุงอาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ออกวางจำหน่ายผ่านช่องทางร้านขายยาและร้านสะดวกซื้อกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาร่วมลงทุนเพื่อทำตลาดใน ญี่ปุ่นด้วย

"น้ำมันรำข้าว เหมาะกับการปรุงอาหาร เป็นที่นิยมมากในประเทศญี่ปุ่น ต่างชาติมีความต้องการมาก เป็นแนวทางที่ดีเพราะบ้านเราปลูกข้าวติดอันดับโลก แต่องค์ความรู้เรื่องประโยชน์ของน้ำมันรำข้าวยังน้อย ผมจึงต้องการเป็นตัวกลางในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาสร้างสินค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับข้าว ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยต่างๆ และหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้การสนับสนุน" พิธากล่าว

ในข้าวเปลือก 100 ตัน มีน้ำมันรำข้าว 7 ตัน หรือข้าว 1 ไร่ จะได้น้ำมันรำข้าว 1 ลิตร


และ นี่คือความท้าทายของพิธา ที่จะทำอย่างไรให้ส่วนสำคัญที่มีประโยชน์แฝงอยู่มากที่สุดของข้าวได้เป็นที่ รู้จัก และเป็นที่ต้องการของทุกคน ซึ่งถือว่าไม่ใช่งานง่ายๆ เขามีโรงสกัดน้ำมันรำข้าว กำลังการผลิตวันละ 400 ตันต่อวัน ถือว่าเป็นโรงสกัดน้ำมันรำข้าวขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ โดยจะรับข้าวเปลือกจากจังหวัดต่างๆ ในภาคกลาง แหล่งปลูกข้าวขนาดใหญ่ของประเทศ

ส่วนใหญ่น้ำมันรำข้าวเป็นที่รู้จัก ในลักษณะอาหารเสริม ซึ่งพิธาบอกว่า ปัจจุบันมีการเข้าใจและโฆษณากันผิดๆ ว่ามีคุณค่ามากมายเกินจริง ขอแนะนำว่า หากต้องการให้ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย ควรรับประทานควบคู่กับอาหารเสริมอื่นๆ ด้วย ส่วน "สารแกมม่าโอไรซานอล" ที่พบได้มากในน้ำมันรำข้าว เป็นสารสำคัญที่สามารถยับยั้งกระบวนการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลของร่างกาย จึงมีส่วนช่วยลดอาการไขมันในเลือดสูงได้

ประเทศญี่ปุ่นที่มีชื่อ เสียงเรื่องความปลอดภัยและความสะอาดของอาหาร นิยมนำน้ำมันรำข้าวมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะการทอดที่ใช้ความร้อนสูง เนื่องจากน้ำมันรำข้าวมีจุดที่ก่อให้เกิดควันสูง (High Smoke Point) ช่วยรักษากลิ่นรสของอาหาร ช่วยลดการเกิดควัน ไม่มีกลิ่นหืน และดีต่อสุขภาพ

นอก จากการทอดอาหารแล้ว ยังสามารถใช้ในการประกอบอาหารอื่นๆ เช่นการการผัด สามารถนำมาทำน้ำสลัดแทนน้ำมันมะกอก หรือจะใช้ทำเบเกอรี่ก็ได้ แม้จะมีกลิ่นไม่หอมเท่ากับการใช้เนย แต่ถ้าดูเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการและเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียว

ด้าน "สง่า ดามาพงษ์" ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ แนะนำการใช้น้ำมันปรุงอาหารให้เหมาะสมว่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันอะไรก็ตามควรใช้ให้พอเหมาะ ไม่ควรใช้ประกอบอาหารมากเกินไป ซึ่งน้ำมันทุกชนิดล้วนมีประโยชน์และโทษต่างกัน มีกรดไขมันอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวต่างกัน สัดส่วนไม่เท่ากัน

ดังนั้น จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสม หากรับประทานมากไปก็จะเกิดการสะสมในร่างกายได้ทั้งนั้น และควรเลือกใช้หลากหลายยี่ห้อ หรือชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะจะให้ประโยชน์ต่างกัน แนะนำให้ใช้น้ำมันปาล์มสำหรับทอด เพราะแตกตัวเป็นสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน ได้ยาก ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง แต่ไม่ควรทอดซ้ำเกิน 2 ครั้ง ส่วนการผัด แนะนำให้ใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกคำฝอย หรือน้ำมันถั่วเหลือง

เมื่อ ทราบประโยชน์ของน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารแล้ว ลองหันมาปรับเปลี่ยนการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม สร้างทางเลือกในการดูสุขภาพให้หลากหลาย

แต่หากต้องการดูแลสุขภาพแบบครบครัน แนะให้ไปงานมติชนเฮลท์แคร์ ต้องติดตามกันว่าปีหน้าจัดที่ไหน อย่าพลาดเชียว

หน้า 21,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 4 มิถุนายน 2556

Credit by..

แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


เกาะติด ปรากฏการณ์ "ชาไข่มุก" เครื่องดื่ม ยอดฮิต!!! แห่ง พ.ศ.นี้

เจอะเจออากาศร้อนระอุ เดินตากแดด เหงื่อตกมาตลอดทาง ชวนให้คิดถึงเครื่องดื่มดับกระหาย "น้ำอัดลม" - วาบความคิดแรกของใครต่อใครอาจเป็นอย่างนี้ แต่หากลองเหลือบมองดูรอบๆ ตัว จะพบกับเครื่องดื่มดับกระหายชนิดใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่น รวมถึงคนวัยทำงาน แก้วพลาสติกใสที่คนถือกันอยู่มากมาย จนกลายเป็น "ปรากฏการณ์" นี้คือ "ชาไข่มุก" ด้วย ความนิยมนี้เอง ทำให้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีร้านขายชานมไข่มุกยี่ห้อต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ต่างพากันพาเหรดเข้ามาตีตลาดไทยโดยเฉพาะสถานที่ดังซึ่งมีวัยรุ่นอยู่ มากอย่างสยามสแควร์ ก็เหมือนจะกลายเป็นเมืองหลวงของชาไข่มุกไปเสียแล้ว มีแทบทุกซอย แถมบางร้านยังตั้งติดกัน ตั้งประจันหน้า เชิญชวนบรรดาลูกค้าเลือกซื้อเลือก
หากันได้ตามสบาย
 
 

ชานม222ไข่มุกส
    ายพันธุ์ใหม่ มีหลายรสชาติ (ภาพจาก www.tlchai.com)

ชานมไข่มุก เป็นเครื่องดื่มที่มาจากไต้หวัน เข้ามาในไทยเมื่อประมาณปี 2543

ใน ช่วงแรกยังเป็นแบบดั้งเดิม ในรูปแบบของชาเขียว ชานม ที่ใส่ "ไข่มุก" ซึ่งถือเป็นตัวละครเอกของเครื่องดื่มชนิดนี้ ในช่วงนั้นชาไข่มุกมีราคาสูง ในท้ายที่สุดจึงจุดกระแสไม่ติด เหลือเพียงไม่กี่เจ้าที่ดำเนินกิจการยืนระยะมาได้

แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กระแสชาไข่มุกเริ่มกลับมาอีกครั้ง

และ คราวนี้ ด้วยรูปรสที่เพิ่มขึ้น หลากหลายขึ้น มีการปรับตัวให้ถูกปากกับรสของคนไทย ราคาขายที่ลดลงจากเมื่อก่อนจนสามารถซื้อหาได้ง่าย และคราวนี้ไม่ได้ระบาดเพียงแค่ย่านสยามสแควร์ หรือห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกต่อไปแล้ว แต่ได้กระจายไปยังห้างสรรพสินค้าขนาดกลาง สถานีรถไฟฟ้า สถานที่ชุมชนต่างๆ

แม้แต่ในต่างจังหวัด ก็สามารถหาซื้อ "ชานมไข่มุก" ได้ง่ายยิ่งกว่าเห็ดโคนเสียอีก

จะเครื่องดื่มอะไรก็ต้องมี "ไข่มุก"

ต่อปรากฏการณ์ที่น่าสนใจนี้ ในวันที่มีโอกาสทำตัวเป็นวัยรุ่นไปเดินเล่นย่านสยามสแควร์ ได้พูดคุยกับ จิราภรณ์ มโนสีหกุล เจ้าของร้านชาไข่มุก โอชายะ สาขาสยามสแควร์

เธอ บอกว่า เริ่มจับธุรกิจชาไข่มุกเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว กิจการได้รับความนิยมพอสมควร หากแต่ว่าการแข่งขันในตลาดชาไข่มุกในตอนนี้ถือได้ว่าสูงมาก มีการเปิดร้านใหม่อยู่เรื่อยๆ ทำให้แต่ละยี่ห้อต้องหาทางรักษากลุ่มลูกค้าของตนเองเอาไว้

ไข่มุก



"สิ่งสำคัญ คือ การรักษาคุณภาพ อย่างเช่นที่ร้านก็จะต้มไข่มุกใหม่ ทุกๆ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เพื่อให้ได้ไข่มุกที่ดี แต่ละร้านก็จะมีมาตรฐานแตกต่างกันไปตามนโยบายของบริษัทใหญ่"

จิรา ภรณ์เล่าว่า ปัจจุบันอากาศที่ร้อน แดดแรง เป็นผลเสียต่อธุรกิจ เพราะคนไม่ค่อยออกมาเดินซื้อกัน แต่ยี่ห้อที่มีสถานที่ตั้งในห้างสรรพสินค้าจะได้เปรียบและขายได้ดี สำหรับที่สยามสแควร์นั้นวันปกติจะขายได้มากช่วง 18.00-19.30 น. ถ้าเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะขายดีที่สุด เพราะมีเด็กมาเรียนพิเศษเป็นจำนวนมาก

นอกจากผู้ค้าที่เน้นขายชานม ไข่มุกแล้ว ร้านขายกาแฟทั่วไปก็มีการปรับตัวรับกระแสชานมไข่มุกฟีเวอร์ มีการเพิ่มรายการเครื่องดื่มประเภทนี้เข้าไปด้วย

"จริงๆ ไม่ได้คิดจะมีเมนูไข่มุก มันยุ่งยาก และเราก็ทำไม่เป็น แต่ว่าเป็นความต้องการของลูกค้า เขาอยากให้เพิ่มไข่มุกเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นชานม ชาเขียว หรือแม้แต่กาแฟ ดังนั้น ทางร้านจึงต้องหาข้อมูล โดยการไปซื้อไข่มุกจากร้านขายส่งมา เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า ไม่อย่างนั้นก็ขายสู้เขาไม่ได้"

อีกเสียงสะท้อนจากการสอบถามพนักงาน ร้านกาแฟ ซึ่งแม้ไม่ได้ขายเครื่องดื่มที่ใส่ "ไข่มุก" เป็นหลัก แต่เมื่อมีการปรับเพื่อรองรับความต้องการลูกค้า ก็ได้รับความนิยม เมนูเครื่องดื่มไข่มุกขายออกวันละ 30-50 แก้ว

เสียงสะท้อนผู้บริโภค รักแท้ หรือ แค่เห่อผู้บริโภคอย่าง ศุจีภรณ์ ชัญญพิพัฒน์ อายุ 21 ปี ซึ่งเคยลองชาไข่มุกมาตั้งแต่ช่วงฮิตในยุคแรกแล้วเลิกไป ก่อนจะกลับมานิยมอีกครั้ง ซึ่งเธอเองก็กลับมาดื่มอีกครั้ง บอกว่า ชอบดื่มชานมไข่มุก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ไม่ง่วง

"ตัว เองเป็นคนที่ไม่ดื่มกาแฟ ไม่ชอบเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนแรงๆ แต่พอมาเป็นชาไข่มุก คิดว่าลงตัว เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ไม่ดื่มกาแฟ"

เธอบอกว่า แรกที่มากินชานมไข่มุก เพราะเพื่อนดื่มเลยซื้อตาม และรู้สึกชอบ จากนั้นก็ซื้อดื่มอยู่เป็นประจำ

"ทุก วันนี้ รู้สึกว่าชานมไข่มุกมีการปรับปรุงให้รสชาติดีขึ้น มีให้เลือกหลากหลายมากกว่าแต่ก่อนมาก ราคาก็ถูกลงด้วย สำหรับผู้บริโภค เวลาเลือกซื้อปัจจัยที่คิดถึงคือเรื่อง รสชาติ ส่วนตัวชอบยี่ห้อที่มีกลิ่นของชา ไม่หวานมาก เรื่องราคา ก็ไม่ได้คิดมาก เพียงแต่ไม่ควรเกิน 50 บาทกำลังดี" ศุจีภรณ์กล่าว

เมื่อถามถึง ประโยชน์ หรือคุณค่าทางอาหารจากเครื่องดื่มที่เธอชอบ ศุจีภรณ์ตอบว่า ชานมไข่มุก คงมีสารอาหารจำพวกแป้งจากตัวไข่มุก แต่ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ ก็ยังคงบริโภค เพราะถือว่าเป็นอาหารที่จัดอยู่ในหมวดของกินเล่น

ด้าน ศิวพร ว่องไชยกุล อายุ 21 ปี อีกหนึ่งแฟนคลับชาไข่มุก ซึ่งเคยดื่มมามาก ไม่ต่ำกว่า 5 ยี่ห้อ แสดงความเห็นว่า ชาไข่มุกที่คนทั่วไปชอบ ต้องมีดีที่รสชาติ ทั้งของตัวชาที่ไม่ควรหวานจนเกินไป และไข่มุกที่ไม่แข็ง ไม่เละ ควรเหนียวกำลังพอดี แต่ที่สำคัญราคาก็เป็นจุดสำคัญ ไม่ควรแพงจนเกินไป

"คิด ว่าชาไข่มุก อาจจะไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่ อีกทั้งยังมีน้ำตาล และกาเฟอีน แต่ส่วนตัวก็จะรับประทานต่อไปจนกว่าจะคิดสนใจเรื่องของสุขภาพ หรือการลดน้ำหนักอย่างจริงจัง" หญิงสาวกล่าว ก่อนโปรยยิ้ม

ชำแหละ "ชาไข่มุก" ข้อเท็จจริง "นักโภชนาการ"
ทิ้ง คำถามเรื่อง "คุณค่าทางอาหาร" ให้บรรดานักดื่มทั้งหลายได้ขบคิด พร้อมกับได้รับเสียงยืนยันจากหลายคนไปแล้วว่าอย่างไรก็จะยังคงเทใจให้กับ เจ้าเครื่องดื่มในหมวด "ของกินเล่น" นี้ต่อไป

สอบถามจาก ทิวาพร มณีรัตนศุภร นักโภชนาการ จากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้เรื่องชาไข่มุกว่า ในหนึ่งแก้วนั้น ประกอบด้วยส่วนประกอบหลักๆ เพียง น้ำชา น้ำเชื่อม คอฟฟี่เมต และไข่มุกเท่านั้น โดยไข่มุกที่อยู่ในชานมนั้นผลิตจากแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งจัดอยู่ในอาหารหมวดเดียวกับแป้งและน้ำตาล ไข่มุก 30 กรัม จะให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่

ทิวาพรบอกว่า แม้การดื่มชาจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพสามารถช่วยลดความดันโลหิต ไขมันในหลอดเลือด รวมถึงมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเกิดโรคหลอด เลือดหัวใจและโรคมะเร็ง แต่ทว่าประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของชาและความเข้มข้นในการบริโภค การบริโภคชาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ท้องผูก หรือนอนไม่หลับ

นอกจากนี้ มีการศึกษาวิจัยพบว่า การดื่มชาคู่กับนมหรือน้ำตาลจะลดคุณสมบัติของชาในการต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

ทิวาพรยังกล่าวอีกว่า น้ำตาล ในชานมไข่มุกถือเป็นสารที่ให้พลังงานสูญเปล่า ไม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การดื่มน้ำตาลในปริมาณมากๆ อย่างต่อเนื่องเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ รวมถึงสิ่งที่ควรคำนึงถึงอีกอย่างหนึ่งของชานมไข่มุกคือไขมันที่ได้จากครีม เทียม ซึ่งครีมเทียมส่วนใหญ่จะผลิตจากไขมันปาล์ม มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
"การ บริโภคชานมไข่มุกเป็นประจำอาจนำไปสู่การเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เหมือนกับการดื่มเครื่องดื่มประเภทชาและกาแฟ ผู้ดื่มชานมไข่มุกจึงควรคำนึงถึงพลังงานที่จะได้รับในแต่ละวัน

"หากดื่มชานมไข่มุก ก็ควรลดการบริโภคอาหารในกลุ่มข้าว แป้ง เป็นการทดแทนกัน หรือไม่ก็ลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ในชานมไข่มุก"
นักโภชนาการให้คำแนะนำ

และนี่คือปรากฏการณ์ "ชาไข่มุก" ซึ่งกำลังฮิตฮอตติดลมบนอยู่ในขณะนี้

กับ เรื่องราวของเครื่องดื่มนำเข้าจากไต้หวันที่เข้ามาตีตลาดผู้บริโภคชาวไทยได้ ชนิดแตกกระจาย แพร่หลายไปไกลชนิดหันไปทางไหนก็เจอแต่คนถือเจ้าแก้วเครื่องดื่มที่มีไข่มุก ดำๆ กองอยู่ก้นแก้ว

คุณล่ะ, วันนี้ดื่มชาไข่มุกแล้วหรือยัง?


หน้า 20,มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน 2556

Credit by.. http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1370575248&grpid=&catid=09&subcatid=0901

แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


ข้าวปั้นแซลมอน' สูตรอาหารพื้นบ้านแดนซามูไรจากสุดยอดเชฟซูชิ

เจาะลึกชีวิตของเชฟ “ชินจิ นากามิเนะ” ผู้ครองตำแหน่งแชมป์ซูชิ 2 สมัยจากรายการทีวีแชมเปี้ยนส์ และสูตรการทำข้าวปั้นแซลมอน เมนูที่หารับประทานได้ทั่วไป แต่ต้องมีอะไรที่เชฟผู้นี้มั่นใจอยากนำเสนอ

“ซูชิ” คือชีวิต สุดยอดเชฟทีวีแชมเปี้ยน 2 สมัย “ชินจิ นากามิเนะ” เขาคือเด็กชายจากเมืองฮอกไกโดที่เริ่มต้นอาชีพเชฟซูชิตั้งแต่วัย 19 ปี และอยู่กับอาชีพนี้มาตลอดชีวิต และหากจะตั้งคำถามว่าเขาประสบความสำเร็จในอาชีพดังกล่าวมากเพียงใด ตำแหน่ง “แชมป์ซูชิ 2 สมัยจากรายการทีวีแชมเปี้ยน” รายการแข่งขันทำอาหารชื่อดังแห่งประเทศญี่ปุ่นน่าจะเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี


Pic_345899



นับ เป็นอีกความโชคดีของนักชิมซูชิในเมืองไทย เพราะปัจจุบันเชฟชินจิได้เข้ามาทำ หน้าที่เชฟซูชิแห่งร้านซูชิโอตารุได้กว่า 6 เดือนแล้ว ทั้งลีลาการทำอาหารที่คล่องแคล่วจนน่าทึ่ง บวกกับชื่อเสียงความเชี่ยวชาญระดับโลก จึงทำให้เชฟท่านนี้คิวแน่นเอี๊ยด มีนักชิมมาต่อคิวรอชิมรสซูชิฝีมือเขาเพียบ ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของผู้อ่านเหลือเกินที่จะได้เจาะลึกถึงชีวิตและวิธีการ ใช้ชีวิตของเชฟผู้นี้ แถมยังได้รับสูตรการหุงข้าวซูชิและปั้นซูชิแบบมืออาชีพแถมท้ายมาอีกด้วย



“ตอน เด็กๆ ครอบครัวของผมยากจน คุณแม่ทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในร้านซูชิ พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ผมเลยออกมาทำงานที่ร้านซูชิที่แม่ทำงานอยู่ ฝันว่าวันหนึ่งจะเปิดร้านซูชิเพื่อให้ฐานะครอบครัวดีขึ้น ผมทำงานทุกอย่างในร้าน ตั้งแต่ล้างจาน กวาดถูร้านหุงข้าว ช่วยแล่ปลา ทำแบบนี้อยู่ 5 ปี กว่าจะได้เริ่มขึ้นมาเป็นเชฟซูชิที่หน้าบาร์ หลังจากได้เป็นเชฟแล้วผมก็หาประสบการณ์เพิ่มด้วยการเข้าแข่งขันทำซูชิใน รายการต่างๆ จนมาได้ตำแหน่งแชมป์ซูชิในรายการทีวีแชมเปี้ยนติดกัน 2 สมัยในปี 1989-1990”    

เชฟชินจิได้เล่าถึงกฎกติกาความ ยากของรายการทีวีแชมเปี้ยนส์ว่า “เกณฑ์การแข่งขันในรายการทีวีแชมเปี้ยน เขาดูทั้งหมดสามเรื่อง คือ หนึ่งความรู้ในเรื่องปลา ต้องบอกได้ว่าปลาสดไม่สดเป็นอย่างไร ชิมแล้วบอกได้ว่าคือ ปลาอะไร สดแค่ไหน สอง ความรู้เรื่องการปั้นข้าวซูชิ จะปั้นอย่างไรให้อร่อย และสุดท้าย  ขั้นตอนการทำให้ซูชิสวยงาม” เชฟชินจิเล่าถึงความละเอียดอ่อนในการทำซูชิที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดคิด เอาไว้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่สำหรับเขาแล้วซูชิจะมีความหมายมากกว่าแค่การปั้นข้าว แล้วเอาปลามาวาง"

“สำหรับผม การนำข้าวมาปั้นแล้ววางชิ้นปลาลงไปบนนั้น ผมไม่เรียกว่าซูชิ เพราะซูชิมีความละเอียดอ่อนมากกว่านั้น ตั้งแต่การจับข้าวต้องมีปริมาณพอเหมาะ เมื่อปั้นออกมาแล้วก้อนซูชิต้องพอดีคำกับลูกค้าแต่ละคน เพื่อที่ลูกค้าจะได้กินซูชิให้หมดได้ภายในคำเดียว ส่วนการปั้นก็ต้องมีเทคนิคที่จะปั้นให้ข้าวมีรูอากาศอยู่ตรงกลางเล็กน้อย เมื่อกินแล้วเมล็ดข้าวจะแตกตัวกระจายเคล้ากับหน้าซูชิแล้วได้รสดีที่ สุด”       เชฟชินจิบอกอีกว่า นอกจากการคัดสรรวัตถุดิบที่สดใหม่ที่สุดจะถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำซูชิ แล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ซูชิของเขาอร่อยและถูกใจคนกินได้คือ ต้องใส่หัวใจลงไปด้วย

“ในญี่ปุ่นการกินซูชิ ลูกค้าจะนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์เพื่อมองเชฟปั้นซูชิและคุยกับเชฟไปด้วย ส่วนตัวเชฟเองก็จะได้มองปากคนกินแล้วปั้นข้าวออกมาให้พอดีคำกับลูกค้าแต่ละ คน เป็นการปั้นที่ต้องคำนึงถึงคนกิน เชฟต้องใส่หัวใจและความรู้สึกที่อยากให้คน กินอร่อยลงไปด้วย พอปั้นเสร็จก็จะยื่นซูชินั้นให้กับมือคนกินเลย ซึ่งผมมองว่ามันคือการที่เราส่งมอบสิ่งที่เราทำจากใจให้ตัวคนกินก็จะรับรู้ ได้ถึงความรู้สึกนั้น"



“ผม เลือกที่จะมาเปิดร้านซูชิในเมืองไทย เพราะเพื่อนของผม (เจ้าของร้านซูชิโอตารุ) ชวนให้มาทำซูชิของแท้ให้คนไทยได้กิน ซึ่งตรงกับความต้องการของผมที่อยากให้คนไทยซึ่งนิยมกินอาหารญี่ปุ่นมานานได้ รู้จักกับซูชิที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร เพราะอย่างที่บอกว่า ซูชิไม่ใช่แค่ปั้นข้าวแล้วเอาปลามาวาง แต่มันต้องใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งการหุงข้าว เลือกปลาแล่ปลา และทั้งหมดนี้ไม่ใช่ใครก็ฝึกได้ง่ายๆ เพราะการปั้นซูชิไม่มีตำราสอน ไม่มีคุกบุ๊กเหมือนการทำอาหารประเภทอื่น ดังนั้น ทุกอย่างต้องมาจากการสังเกตและเรียนรู้มาด้วยความอดทนเป็นระยะเวลานาน"

“นัก กินซูชิคนไทยต่างกับคนญี่ปุ่นตรงที่คนญี่ปุ่นจะชอบกินรสชาติที่แท้จริงของ อาหาร กินปลาก็คือกินปลา ไม่ต้องเพิ่มรสชาติอะไรเข้าไป แต่คนไทยชอบอาหารที่มีรสชาติหลากหลาย ต่อให้เป็นซูชิก็อยากให้มีหลายรสชาติ เช่น อยากให้เติมซอสรสต่างๆ ลงไป ดังนั้น เราในฐานะเชฟก็ต้องมีการปรับบางส่วน เช่น ปรุงซอสในแบบที่นักกินชาวไทยชอบ เพราะสุดท้ายแล้วความสุขของเชฟหลายคน ซึ่งรวมถึงตัวผมด้วยก็คือ การที่คนกินบอกว่าอาหารที่เราทำอร่อย” เชฟชินจิกล่าวปิดท้าย




ซูชิหน้าแซลมอน สูตรเชฟชินจิ

ส่วนผสม (สำหรับ 15 ชิ้น)

ข้าวญี่ปุ่น                    200    กรัม
น้ำเปล่า                    700    กรัม
สาเก                      20    กรัม

ส่วนผสมน้ำปรุงรส



น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว                   1,800    กรัม
น้ำตาล                           1,200    กรัม
เกลือ                    400    กรัม
น้ำเปล่า                    100    กรัม
ส่วนผสมอื่นๆ
วาซาบิฝน                    1    ช้อนโต๊ะ
ปลาแซลมอนสด                200    กรัม
โชยุสำหรับจิ้ม

วิธีทำ

1. ทำน้ำปรุงรสโดยนำส่วนผสมทั้งหมดยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดปิดไฟ ยกลงพักไว้ให้เย็น
2.  หุงข้าวโดยแช่ข้าวในน้ำ 30 นาที จากนั้นนำไปหุงในหม้อหุงข้าวจนข้าวสุก นำออกมาใส่ภาชนะทรงแบน เทน้ำปรุงรสใส่ลงไปในข้าว แล้วใช้ทัพทีคนข้าวให้ทั่ว จากนั้นพัดหรือใช้ลมเป่าเพื่อให้ข้าวคลายความร้อนกระทั่งข้าวเริ่มอุ่น จึงเก็บเข้ากระติกเก็บความร้อน



3.  แล่ปลาแซลมอนโดยใช้มีดแล่ปลาไปทางเดียวกับลายไขมันของเนื้อปลา ให้ชิ้นปลามีน้ำหนักประมาณ 15 กรัม มีความยาว 2.5 นิ้วและกว้าง 1 นิ้ว
4.  ปั้นข้าวโดยหยิบข้าวขึ้นมาคราวละ 10-12 กรัม ปั้นพอให้ข้าวเป็นทรงรี จากนั้นกด ด้านล่างก้อนข้าวให้มีรูเล็กน้อย (เพื่อที่ข้าวจะแตกตัวกระจายเคล้ากับปลาได้ดีเมื่อกิน) แล้วกดด้านข้างให้เป็นเหลี่ยมเล็กน้อยเพื่อให้ก้อนข้าววางได้โดยไม่ล้ม
5. ป้ายวาซาบิบนข้าว จากนั้นนำปลาที่แล่ไว้มาวางบนข้าว แล้วค่อยๆ กดเนื้อปลาให้แนบสนิทกับก้อนข้าว รับประทานคู่กับวาซาบิฝนและโชยุ


ภาพ/ข้อมูล : Health & Cuisine

Credit by.. http://www.thairath.co.th/content/life/345899


แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...


นุ่มอร่อย 'ลิ้นวัวดองตุ๋นกับครีมซอส' หอมกรอบมัน 'ตับบดในแป้งพัฟ'

เมื่อวันก่อนผมได้ไปกินอาหารที่ร้าน ลิตเติ้ล บีสท์ หรืออสูรน้อย ย่านทองหล่อ 13 ซึ่งเป็นร้านอาหารที่รวบรวมอาหารไว้หลากหลาย มีทั้งอาหารฝรั่ง อาหารญี่ปุ่น อาหาร
อิตาเลียน อาหารยุโรป ซึ่งเขาทำได้ดีพอสมควร ส่วนบรรยากาศภายในร้านซึ่งเป็น 2 ชั้นก็สะอาดน่านั่งครับ

อาหารจานแรกที่ได้ลองชิมเป็นอาหารฝรั่งเศส มีชื่อว่า ปลาทูน่าทาทาร์ ถ้าพูดว่า ทาทาร์ ก็จะเป็นเนื้อปลาดิบ ซึ่งเป็นยำชนิดหนึ่งของฝรั่งเศส ใส่ไข่แดงให้มัน มีความเปรี้ยว เค็ม หอม เผ็ด กินกับรากบัวทอดกรอบ รสชาติดี

จานต่อมาเป็น พริกชิชิโตะย่าง เป็นพริกของญี่ปุ่นที่ไม่มีความเผ็ด เอาไปย่าง โรยเกลือเล็กน้อยจะได้กลิ่นที่หอม กินกับซอส อร่อยใช้ได้เลยครับ

ยังมี ตับบดในแป้งพัฟ เป็นตับไก่ปาเต้เอามาบดแล้วบีบเข้าไปในแป้งพัฟที่อบจนกรอบ ได้ทั้งความกรอบและความมันของตับ อร่อยมาก

มาถึงอาหารหลักเป็น ลิ้นวัวดองตุ๋นกับครีมซอส โดยเอาลิ้นวัวไปดองในน้ำเกลือแล้วมาต้มจนนุ่ม เสิร์ฟพร้อมกับซอสที่ทำจากกะหล่ำปลีซอยเป็นเส้นบาง ๆ ผัดกับครีมซอสใส่ไวน์ขาว เกลือ พริกไทย ซึ่งจะทำให้ไม่เลี่ยน เนื้อลิ้นวัวนุ่มจนละลายในปากแทบไม่ต้องเคี้ยว อร่อยมาก

ตามมาด้วย เกี๊ยวฝรั่งผัดกับ สตูหางวัว เป็นเกี๊ยวของอิตาลีเอาไปต้มแล้วผัดกับสตูหางวัว ที่เรียกว่า ลากรู เป็นสตูหางวัวที่เข้มข้นมากกินแล้วหนักท้องเหมือนกัน แต่รสชาติอร่อย




จากนั้นเป็น เพนเน่ผัดกับครีม เส้นเพนเน่คล้ายเส้นมะกะโรนีแต่เป็นเส้นตรงและใหญ่กว่า ผัดกับซอสเข้มข้นใส่เนื้อหมูและเห็ดทรัฟเฟิล เป็นเมนูที่ผมชอบน้อยที่สุดเพราะสำหรับผมรู้สึกว่าจะเลี่ยนไป แต่พนักงานบอกว่าคนไทยชอบสั่งเมนูนี้กัน

เมนูต่อมาเป็น ไหล่แกะอบกับถั่วเลนทิล ซึ่งถั่วเลนทิลเป็นถั่วที่ชาวตะวันออกกลางชอบเอามาทำเป็นแกงกะหรี่ แต่ฝรั่งจะเอามาต้มแล้วมาผัดกินกับแกะ จานนี้เสิร์ฟมาเยอะมาก ซึ่งเขาทำได้ไม่มันมากจนเกินไปนัก อร่อยครับ

ส่วนเมนูที่ผมชอบ คือ อกเป็ดอบกับแอปเปิลและสลัดผักร็อกเก็ต โดยจะเอาอกเป็ดไปทอดก่อนแล้วเอาไปอบจนกรอบนอก แต่เนื้อข้างในยังเป็นสีชมพูอยู่ เสิร์ฟกับแอปเปิลผัดกับเบคอน ใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย ทำให้ได้รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ กินกับสลัดร็อกเก็ต ใช้ได้เลยครับเมนูนี้

ส่วนของหวาน เป็น ไอศกรีมแซนด์วิช  รูปร่างแปลกดี เป็นไอศกรีมที่ประกบด้วยคุกกี้ เสิร์ฟพร้อมกับถั่วตัด

ของหวานอีกเมนูหนึ่ง คือ พุดดิ้งมะเดื่อ โดยนำมะเดื่อสดมาทำเป็นพุดดิ้ง คล้ายคัสตาร์ดผสมขนมปัง ใส่มะเดื่อและมีไอศกรีมข้างบน เมนูนี้กินมากไม่ดีแน่ครับ เพราะมีทั้งไข่ นม ครีม แป้ง และไอศกรีม แต่อร่อยอย่าบอกใคร

ร้านนี้มีเมนูให้สั่งหลากหลาย ราคาก็ไม่แพงเกินไปนัก พนักงานเสิร์ฟ และเจ้าของร้านน่ารัก มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำอาหาร อยากให้ลองไปชิมกันดูนะครับ.
อกเป็ด - ชิมให้เป็น
การทำอกเป็ด โดยส่วนใหญ่อกเป็ดที่ทำกันสูตรจะเป็นของฝรั่งเศส ซึ่งจะเอาอกเป็ดที่ติดหนังไปอบให้หนังกรอบ ไขมันที่หนังจะให้ความชุ่มชื่นกับอกเป็ด อบไม่ให้สุกเกินไป มิฉะนั้นอกเป็ดจะไม่นุ่มและไม่หวาน และถ้าอยากได้เลือดตรงกลางเนื้อไว้เพื่อจะได้ความหวานต้องหมักอกเป็ดเสีย ก่อน เพราะถ้าเป็นอกเป็ดไทย พอเอาไปอบแล้วจะแข็ง ถ้าหมักจะทำให้มีรสชาติและนุ่มลงได้ โดยปกติ
อกเป็ดมีความเลี่ยน หนังก็เลี่ยน ต้องเสิร์ฟกับอะไรที่เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ช่วยตัดความเลี่ยนแล้วเพิ่มความอร่อยได้ เช่น แอปเปิล เบคอน น้ำผึ้ง และยังช่วยย่อยอีกด้วย
สปาเกตตีผัดเขียวหวานเนื้อ - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุงสำหรับแช่มะเขือเปราะ
-น้ำเปล่า 500  มิลลิลิตร
-น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
-มะเขือเปราะ 5 ลูก
วิธีทำ

1. ในชามผสม ใส่น้ำเปล่า น้ำส้มสายชู คนให้เข้ากัน

2. นำมะเขือเปราะผ่าให้ได้ 8 ชิ้น แล้วนำลงแช่
เครื่องปรุงสปาเกตตี
-น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
-พริกแกงเขียวหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
-หัวกะทิ 1/4 ถ้วยตวง
-เนื้อสันในหั่นแว่น 200  กรัม
-มะเขือเปราะหั่นแช่น้ำแล้ว 5 ลูก
-น้ำปลา 1  ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
-เส้นสปาเกตตีต้มแล้ว 200  กรัม
-พริกชี้ฟ้าแดงหั่นแฉลบ 2 เม็ด
-ใบมะกรูดซอย 2  ใบ
-ใบโหระพาเด็ดใบ 1/4 ถ้วยตวง
วิธีทำ

1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมัน พอร้อนใส่พริกแกงเขียวหวาน ผัดให้หอมโดยใช้ไฟปานกลาง แล้วใส่หัวกะทิผัดให้กะทิแตกมัน

2. ใส่เนื้อสันในลงไปผัดให้เข้ากัน แล้วใส่มะเขือเปราะผัดให้เข้ากัน แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ชิมรสให้ออกเค็ม หอม หวานเล็กน้อย

3. ใส่เส้นสปาเกตตีลงไปผัดจนรสชาติเข้าเส้น แล้วใส่พริกชี้ฟ้าแดงหั่นแฉลบ ใบมะกรูดซอย ผัดให้เข้ากันก่อนปิดไฟ ใส่ใบโหระพาเด็ดใบ แล้วตลบให้เส้นกลบใบโหระพา แล้วปิดไฟ ผัดให้เข้ากัน เสิร์ฟร้อน ๆ.
หมึกแดงไกด์ สำหรับ
ร้านลิตเติ้ล บีสท์
ความอร่อย   
ความสะอาด    
คุณภาพของวัตถุดิบ   
การบริการ   
ราคา     
ที่อยู่ : 44/9-10 ซอยทองหล่อ 13 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน
เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทรศัพท์ : 0-2185-2670
เวลาเปิด : 17.30-01.00 น. หยุดวันจันทร์
หมึกแดง
www.mcdangguide.com


Credit by.. http://www.dailynews.co.th/article/224/204855



แนะนำรวมบทความงานฝีมือเพิ่มรายได้

สร้างรายได้เสริม สร้างอาชีพเสริม ด้วยการทำสินค้า Handmade

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.