สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ง่ายๆ ดูน้ำตาล ในอาหาร แบบต่างๆกัน

เรามาดูน้ำตาล ในอาหารกัน ทุกวันนี้เราเดากันไม่ค่อยจะออกว่าอาหารแต่ละชนิดที่เราๆเท่านๆ กินกันเข้าไปนั้น มีน้ำตาล อยู่มากน้อย เท่าไร โดยเฉพาะขนมและผลไม้สดต่างๆ ที่เราทานนั้น บางครั้งเราเดาไม่ได้ว่าเท่าไร จึงจะเหมาะสมกับ ร่างกาย ที่บางครั้งเราอาจเข้าใจผิดไปว่า การทานผลไม้ ดีต่อสุขภาพ แต่นั้นก็เป็นการเพิ่มน้ำตาลให้กับเราอย่างไม่รู้ตัวครับ





































ขอบคุณจอมูล จาก FWD :

Read More...


สาคูไส้หมู 3สูตร

สาคูไส้หมู 3 สูตร โดย ต้นโอ๊ค และ แม่บ้านสวิส  และ แม่เจเจ (ต้ม,ลวก,นึ่ง)
สูตรที่1 คุณต้นโอ๊ค   : ผสมน้ำลงไปแค่พอเปียก ๆ เท่านั้นค่ะคุณ Mutita และคลุกด้วยมือเบา ๆ พอให้เม็ดสาคูเกาะกัน และควรเตรียมแป้งไว้ข้าง ๆ ไว้ทามือกันสาคูเหนียวติดมือด้วยค่ะ




ใส่ไส้ เตรียมต้มน้ำไว้รอเลยก็ได้ค่ะ ห่อเสร็จเทลงไปเลย ใช้วิธีการต้มก็ได้(ไม่ต้องนึ่ง) แต่การต้มข้อควรระวังคืออย่าให้ไส้รั่วไส้แตก ต้องปิดให้สนิทจริง ๆ



ห่อให้สนิทและพยายามทำให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้



เสร็จแล้วเอาลงไปต้มในน้ำเดือด ๆ พอสาคูลอยขึ้นมาก็พลิกนิดหน่อย



สาคูเป็นสีใส ๆ แสดงว่าใช้ได้แล้ว ตักออกได้เลยค่ะ



กินกับเครื่องเคียงต่าง ๆ ค่ะ ลองดูนะคะ หรืออาจมีเพื่อนคนอื่น ๆ อาจจะมาแนะนำเท็คนิคต่าง ๆ อีกหลากหลายก็ได้นะคะ หวังว่าคงได้ทำสาคูไส้หมูอร่อย ๆ ทานในเร็ว ๆ นี้นะคะ



เหลือแล้วเก็บใส่ช่องฟรีซได้ค่ะ แต่ควรแยกถุงเล็ก ๆ เพราะถ้าใส่ถุงรวมกันสาคูแต่ละก้อนจะติดกันค่ะ


 
สูตรที่2 โดย  แม่บ้านสวิส
พี่ทำแบบนี้ เอาน้ำอุ่น หรือน้ำร้อน เทใส่แป้ง ประมาณ ระดับเดียวกับแป้ง แล้วคนเบาๆ ทิ้งไว้ เป็นชั่วโมง ให ้แป้ง ดูดน้ำให้อิ่มตัว แล้วน้องจะหยิบมาปั้นง่ายๆ บางที เทน้ำไว้ ตอนเย็น เอาผ้าหรือฝาปิดไว้ อีกวัน ค่อยปั้น สาคูจะไม่่ค่อยแฉะติดมือ แต่ก็ต้องเอามือจุ่มน้ำเย็น บ้าง ถ้ามือเปื้อนไส้ ควรจะปั้นไส้ เป็นก้อนๆ เตรียมไว้ก่อน ทำให ้ง่ายและรวดเร็ว ในการห่อ

สูตรที่3 สาคูไส้หมู โดย แม่เจเจ



ส่วนผสม
1. สาคูเม็ดเล็ก 1-1/2 ถ้วย
2. น้ำเดือด 1-1/2 ถ้วย
3. หมูสับ 1/2 ถ้วย
4. รากผักชี + กระเทียม + พริกไทย โขลกรวมกัน 1 ชต
5. ผัดกาดหวาน หรือหัวไชโป๊หวาน 1/2 ถ้วย
6. น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย
7. ถั่วลิสงป่น 1/2 ถ้วย
8. เกลือ นิดหน่อย หรือถ้าใช้ผักกาดเค็ม ก็ไม่ต้องใส่เกลือ แต่ให้เพิ่มน้ำตาลไปอีกค่ะ หรือชิมรสดู ขาดเหลือรสไหน ปรุงเพิ่มเติมได้ค่ะ
9. กระเทียมเจียว
10. เครื่องเคียง เช่น ผักกาดหอม ผักชี และพริกขี้หนู

วิธีทำ
1. ต้มน้ำให้เดือด เทใส่ลงในสาคู พออุ่น นวดสาคูให้นิ่ม หาผ้าสะอาดชุบน้ำคลุมไว้ หมักทิ้งไว้ 1-2 ชม หรือจะหมักค้างคืนไว้ก็ได้ …
2. ตั้งกะทะ ใส่น้ำมัน พอร้อน ใส่สามเกลอ (รากผักชี+กระเทียม+พริกไทย) ลงไปผัดให้หอม จากนั้นใส่หมูสับ ผักกาดหวาน น้ำตาลปี๊บ และถั่วลิงสง ..ผัดไปจนน้ำตาลแห้งและเหนียวข้น ตักใส่ชาม พักไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อน เตรียมไว้
3. นำสาคูมาปั้นเป้นก้อน แล้วแผ่ออกให้แบน ใส่ไส้ ห่อเป็นลูกลม นำไปนึ่งในลังถึง ที่ปูด้วยใบตองทาน้ำมันนิดหน่อย ..นึ่งในน้ำเดือดจัดไฟแรง นาน 15 นาที
4. สุกแล้วปิดไฟ แต่อย่าเพิ่งเปิดฝาลังถึง รอสักพัก แล้วเปิด ตักใส่ในชามกระเทียมเจียว แล้วจัดวางบนจานที่รองด้วยผักกาดหอม ทานคู่กับผักชี และพริกขี้หนูค่ะ

http://www.pantown.com/board.php?id=16288&area=3&name=board3&topic=49&action=view

Read More...


มาแกะมังคุดโชว์ แบบโปร (ชาวสวน) โดยคุณ น้ำกลั่นแช่เย็น

ทุกทีใช้มีดปอกเปลือกมังคุด แต่มีพี่ที่มีสวนมังคุด บอกว่ามีวิธีปอกที่ไม่ต้องใช้มีด ไม่เลอะเทอะ และกินง่าย ก็เลยมาบอกต่อ สำหรับคนชอบ มังคุดค่ะ


 
ลูกมังคุด สดๆจากต้นเอง


1.  อุปกรณ์มังคุด   พร้อม  !!!!!      มือเปล่า   (อันบอบบาง 555)   พร้อม  !!!!!

 
2.  ใช้นิ้วโป้งกดท้ายลูกมังคุด (เรียกไม่ค่อยถูก) ให้เป็นแตกเป็นรอย (เหมือนในรูป)
 


3. กดเสร็จแล้วจะเป็นแบบนี้



4.  ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ บีบที่จุก (ด้านที่มีก้าน)   แล้วเปลือกก็จะแตก แบบนี้



5.  จากนั้นก็แกะเปลือกออก



6.  แกะแล้วก็จะออกมา เป็นแบบนี้   มีที่จับถือสะดวก  แถมยังกินง่าย ไม่เลอะเทอะ   ลูกตัวอย่างสุกงอมไปหน่อย สีก็เลยเหลืองไปนิด   >_<



ดูช้าๆ กันแบบชัดๆ



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก คุณ น้ำกลั่นน้ำเย็น
http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D9258436/D9258436.html

Read More...


คนใต้ผวาพระวิปัสสนาเตือนแผ่นดินไหว-สึนามิ‏

31-Mar-2011 05:03

คนระนองผวาหลังพระวิปัสนาโผล่เตือนเกิดแผ่นดินไหว-คลื่นยักษ์สึนามิปี 2554
หลังคำทำนายเกิดภัยพิบัติธรรมชาติพื้นที่ภาคใต้กลางเดือนมีนาคมตรง (31มี.ค.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและพิบัติภัยที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ล่าสุดในเขตพื้นที่ภาคใต้ที่ถูกฝนนอกฤดูถล่มจนสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ล่าสุดได้มีรายงานว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีการพูดถึงหนังสือเตือนที่ออกมาก่อนหน้านี้ของพระสายวิปัสนาชื่อพระภิกษุกัมมัฏฐาน ปวัตตโน แห่งสำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด ตั้งอยู่หมู่ที่ 9 ตำบลทุ่งระยะ อ.สวี จ.ชุมพร ที่ได้จัดส่งหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ ในหลายจังหวัดในเขตพื้นที่ภาคใต้ในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2554 ก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ครั้งล่าสุด แต่พบว่าไม่มีใครให้ความสนใจเนื่องจากขณะนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงปรากฏว่าผู้คนโดยเฉพาะหลายหน่วยงานที่เคยได้รับหนังสือแจ้งเตือนก่อนหน้าเริ่มหันมาให้ความสนใจ อีกทั้งยังมีคำเตือนภัยอื่นๆ ที่ยังรอการพิสูจน์โดยเฉพาะแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์สึนามิ ทำให้ชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างสอบถามถึงรายละเอียดในหนังสือและคำเตือนภัยที่ระบุไว้

นายนภา นทีทอง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง ซึ่งเป็นคนที่นำหนังสือที่ส่งมาจากสำนักสงฆ์ป่าถ้ำธารน้ำลอด มาให้ผู้สื่อข่าวดูว่า ทาง อบจ.ได้รับหนังสือแจ้งเตือนฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2554 ที่ผ่านมา โดยทางกองสาธารณภัยและสิ่งแวดล้อมเป็นคนรับเอกสารดังกล่าวที่ระบุว่าออกมาจากต้นทางเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2554 เกี่ยวกับเรื่องแจ้งเตือนเตรียมรับมือภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิ โดยหนังสือระบุส่งมายังนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระนอง ซึ่งช่วงแรกตนไม่ได้สนใจมากนัก แต่เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้พบว่าหลายเหตุการณ์สอดคล้องกับคำเตือน จึงทำให้ต้องกลับมาคิดและหาแนวทางป้องกันดีกว่าตั้งอยู่ในความประมาท

สำหรับข้อความในหนังสือที่พระภิกษุกัมมัฏฐาน ปวตตโน แจ้งเตือนมีรายละเอียดดังนี้ จะเกิดพิบัติภัยในปีนี้ ( 2554) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทยจะเกิดแผ่นดินไหวแถบเทือกเขาตะนาวศรี จังหวัดราชบุรี ราวๆ กลางปี 2554 จะส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์ของประชาชนใน จ.ราชบุรีในวงกว้าง นอกจากนี้จะเกิดแผ่นดินไหวที่กรุงเวียงจันทร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว , เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว , เกิดแผ่นดินไหวและแผ่นดินยุบตัวที่ จ.เชียงใหม่ โดยจะเกิดก่อนเดือนมิ.ย. 2554 นี้ และจะเป็นข่าวใหญ่ ต่อมาจะเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยัก์สึนามิส่งผลกระทบพื้นที่ภาคใต้ 3 ระลอก ภายในปี 2554 นี้ ซึ่งจะส่งผลสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าเหตุการณ์เมื่อปี 2547

โดยระลอกที่ 1 ช่วงวันที่ 4-15 มิ.ย. 2554 จะเกิดแผ่นดินไหวแถบทะเลอันดามันประเทศอินโดนีเซีย ประมาณ 5 ทุ่ม และเกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่มีความรุนแรงมากกว่าปี 2547 คลื่นเดินทางมาถึงประเทศไทยเวลา 02.50 น. จังหวัดที่ได้รับการปะทะโดยตรงจากคลื่นสึนามิประกอบด้วย กระบี่,ตรัง,ภูเก็ต,สตูล,พังงา และระนอง นอกจากนี้ยังมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวโดยเกิดแผ่นดินถล่ม,แผ่นดินยุบตัว และน้ำที่ดันขึ้นมาจากโพรงใต้ดิน ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนของแผ่นเปลือกโลก โดยมีความเสียหายหลายจังหวัดคือนครศรีธรรมราช,สงขลา(หนักที่สุด),พัทลุง,ชุมพร สำหรับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงสู่หลายๆ ประเทศทั้งอินโดนีเซีย,มาเลเซีย,สิงคโปร์,ไทย,พม่า รวมถึงประเทศรอบๆทะเลอันดามัน โดยประเทศไทยจะเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากเนื่องจากความประมาทของ จนท.และประชาชน

ส่วนระลอกที่ 2 จะเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ครั้งแรกประมาณ 1 เดือน โดยเหตุการณ์จะรุนแรงกว่าระลอกแรก มีความรุนแรงมากที่สุดในสามระลอก จะเกิดขึ้นทั้งสองฝั่งคือฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ผลกระทบเกิดขึ้นในทุกจังหวัดในภาคใต้

ระลอกที่ 3 จะเกิดขึ้นระหว่างปลายเดือน พ.ย.จนถึงต้นเดือน ธ.ค. 2554 มีความรุนแรงน้อยกว่าระลอกที่สอง พระภิกษุกัมมัฏฐาน ปวตตโน แจงรายละเอียดในหนังสือต่อว่าในปี 2555 มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างรุนแรงและแปลกประหลาดอีกหลายเหตุการณ์

" การแจ้งเตือนครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวอาตมาภาพเองเลย ซ้ำอาจจะเกิดโทษดั่งเช่นกรณีของคุณสมิทธ ธรรมสโรช ที่ออกแจ้งเตือนเรื่องโอกาสที่จะเกิดสึนามิในฝั่งทะเลอันดามันก่อนปี 2547 ซึ่งในครั้งนั้นมีผู้โจมตีการแจ้งเตือนดังกล่าวเป็นอย่างมาก ซึ่งท้ายสุดเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริงโดยไม่ได้มีการเตรียมการรับมือ ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก ซึ่งขณะนั้นอาตมาภาพยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เดินทางร่วมกับคณะเพื่อนนักศึกษาไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ จ.พังงา และอยู่เป็นอาสาสมัครในทีมพิสูจน์ศพของทีมแพทย์ศิริราช และแพทย์รามาที่วัดบางม่วงและวัดย่านยาว ได้เกิดความสังเวชที่ได้เห็นพี่น้องชาวไทยและต่างประเทศ ลูกเด็กเล็กแดงล้มตายเป็นจำนวนมาก อาตมาภาพจึงหวังว่าการแจ้งเตือนในครั้งนี้ก็เพื่อความไม่ประมาทและทำทุกอย่างเพื่อปกป้องชีวิตเพื่อนมนุษย์และรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น" พระภิกษุกัมมัฏฐาน  กล่าว

พระภิกษุกัมมัฏฐาน  แจงต่อว่าสิ่งหนึ่งที่จะยืนยันสิ่งที่แจ้งเตือนเป็นจริงหรือไม่ในภาคใต้คือ ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ภาคใต้ จะเกิดแผ่นดินไหวและแผ่นดินยุบตัวที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้ยินว่าเป็นข่าวใหญ่ทางสื่อ ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ที่ภาคใต้จะเกิดขึ้นจริง และให้เตรียมรับมือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่สำหรับตัวอาตมาภาพนั้นหมดความสงสัยไปนานแล้ว และยากที่จะอธิบาย นอกจากจะพิสูจน์ด้วยตนเอง

ขออนุโมทนามากๆครับช่วยแบ่งปัน สำหรับผู้ไม่ประมาทและห่วงใยเพื่อนมนุษย์

( ขอให้ใช้วิจารณญานในการอ่านนะครับ )

credit : คมชัดลึก:

Read More...


รถจักรยานขายเบียร์



รถจักรยานขายเบียร์ หรือที่รู้จักกันในนามว่า "เบียร์ ไบค์" ถือเป็นยานพาหนะ/บาร์เบียร์ยอดฮิตของนักดื่มชาวเยอรมนี ที่ต้องการจะนั่งดื่มเบียร์และปั่นจักรยานชมเมืองไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม ศาลเยอรมนีได้พิพากษาให้มีการควบคุมจำนวนของยานพาหนะดังกล่าว โดยระบุว่ารถจักรยานขายเบียร์เหล่านี้ได้ก่อให้เกิดอันตรายและรบกวนผู้ใช้ ท้องถนนรายอื่นๆ

ยานพาหนะชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นในประเทศ ฮอลแลนด์ แต่กลับมาเป็นที่นิยมในประเทศเยอรมนี โดยถูกนำมาให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในเมืองต่างๆ 34 แห่ง นอกจากจะรู้จักกันในชื่อรถจักรยานขายเบียร์แล้ว ชาวเยอรมนียังเรียกมันว่า "ผับจักรยาน" หรือ "โต๊ะประชุมเคลื่อนที่"

โดยลักษณะการทำงานของจักรยานดังกล่าวก็คือ การ อนุญาตให้นักดื่มจำนวน 16 คนมานั่งล้อมรอบโต๊ะที่มีถังเบียร์ตั้งอยู่ จากนั้น ทั้งหมดก็จะทำการบริการตัวเองและพรรคพวก พร้อมกับนั่งฟังเพลงและปั่นจักรยานไปรอบๆ เมือง ทั้งนี้จะมีเจ้าหน้าที่ประจำรถหนึ่งคนที่ไม่ดื่มเบียร์ ซึ่งคอยทำหน้าที่ถือพวงมาลัยบังคับทิศทางของจักรยาน

อัตราค่าเช่าของยานพาหนะ/บาร์เบียร์ชนิดนี้จะอยู่ที่ 280 ยูโร (ประมาณเกือบ 12,000 บาท) ต่อสองชั่วโมง โดยเหล่านักดื่ม/นักปั่นจะดื่มเบียร์ได้สูงสุดไม่เกิน 10 ลิตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ จะมีช่วงเวลาให้เหล่านักดื่มได้พักเข้าห้องน้ำ โดย ผู้ที่ปราศจากความอดกลั้น จนปล่อยของเสียของตนเองออกมาในสถานที่สาธารณะจะถูกปรับเป็นเงิน 250 ยูโร (ประมาณ 10,000 บาท)

แต่ ล่าสุด ได้มีผู้ขับขี่ยานพาหนะรายอื่นยื่นฟ้องร้องต่อศาลว่ารถจักรยานขายเบียร์ได้ ก่อให้เกิดความวุ่นวายบนท้องถนน สร้างปัญหาการจราจรติดขัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเหล่านักดื่มได้บริโภคเบียร์ไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็จะมีเรี่ยวแรงในการปั่นจักรยานลดน้อยลง จนส่งผลให้รถจักรยานที่พวกเขานั่งอยู่เคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า

ศาล ประจำเมืองดุสเซลดอร์ฟได้พิพากษาคดีดังกล่าวว่า ต่อไปผู้ประกอบธุรกิจให้บริการรถจักรยานขายเบียร์เหล่านี้จะต้องยื่นเรื่อง เพื่อขออนุญาตจากทางการเป็นกรณีพิเศษ ก่อนจะนำยานพาหนะของตนออกวิ่งบนท้องถนน และมีความเป็นไปได้ว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ยื่นเรื่องเข้าไปให้เจ้าหน้าที่จะไม่ได้รับการอนุ มัติ

อูโด้ เคลมท์ ผู้จัดการของบริษัท "เบียร์ไบค์" ผู้ให้บริการรถจักรยานขายเบียร์รายใหญ่ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เขาจะทำการต่อสู้กับคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งกำลังทำลาย "ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด" จากจำนวนสถิติที่ระบุว่ามียานพาหนะประเภทนี้ถูกเช่าจากนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 150,000 ครั้งต่อปี นอกจากนั้น รถ จักรยานขายเบียร์ยังไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องถนน และพนักงานที่คอยบังคับทิศทางรถก็ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกอบรมในระดับสูงมา แล้วทั้งสิ้น

 credit : http://www.munjeed.com/

Read More...


ไอศกรีมมะพร้าวหอม จุดเด่นที่ถ้วย-จุดขายที่เครื่อง

‘ไอศกรีมมะพร้าวหอม’ จุดเด่นที่ถ้วย-จุดขายที่เครื่อง-1 ‘ไอศกรีมมะพร้าวหอม’ จุดเด่นที่ถ้วย-จุดขายที่เครื่อง-2

คุณสมบัติเด่นสำหรับผู้ประกอบอาชีพค้าขายอาหารหรือขนม
นอกจากต้องมีฝีมือในการผลิตอาหารให้มีรสชาติติดปากลูกค้าแล้ว
การหาจุดขาย-สร้างจุดเด่นให้ลูกค้าติดใจก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ
อย่างผู้ประกอบการรายนี้ที่ทำ-ที่ขาย “ไอศกรีมกะทิในมะพร้าวอ่อน” ซึ่งทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมาเล่าสู่...

ดารารัตน์ รุ่งเรือง-ชนวิท รอดราคี” คือผู้ประกอบการรายนี้
โดยดารารัตน์ หนึ่งในเจ้าของไอเดีย “ไอศกรีมมะพร้าวในมะพร้าวอ่อน” เล่าว่า
เดิมทีที่บ้านมีอาชีพทำอาหารขายให้นักท่องเที่ยว อยู่ในตลาดน้ำบางน้ำผึ้งอยู่แล้ว
ต่อมามีโอกาสไปเห็นรูปแบบการเสิร์ฟไอศกรีมในกะลามะพร้าว จากงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เห็นว่าเก๋ดี
และน่าจะพัฒนาจนทำขายเป็นอาชีพได้ แต่จำเป็นต้องทำให้แปลกกว่ารูปแบบที่เห็นซึ่งเป็นไอศกรีมทั่วไป
จึงเกิดไอเดียว่าน่าจะนำ “มะพร้าวน้ำหอม” มาเป็นวัตถุดิบในการทำไอศกรีมกะทิ

จากนั้นจึงออกหาข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งมะพร้าวน้ำหอม ทั้งแหล่งใกล้บ้านและแหล่งที่มีชื่อเสียง
จนแน่ใจว่าวัตถุดิบมีเพียงพอต่อการผลิตเพื่อขาย จึงคิดค้นสูตร “ไอศกรีมกะทิ” ในรสชาติที่ตนเองต้องการ
จนออกมามีรสชาติอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยใช้ชื่อหน้าร้านว่า...มะพร้าวหอม ไอศกรีมกะทิในลูกมะพร้าวอ่อน

ดารารัตน์บอกว่า ไอศกรีมกะทิเจ้าอื่นอาจจะเน้นที่เครื่องไอศกรีม หรือท็อปปิ้งหน้าต่างๆ
แต่สำหรับเธอด้วยความที่มีข้อจำกัดในเรื่อง “พื้นที่ขาย” หรือหน้าร้าน ซึ่งมีพื้นที่ไม่มากพอที่จะวางเครื่องไอศกรีม
เธอจึงคิดว่าไหนๆ ก็จะทำไอศกรีมมะพร้าวก็น่าจะใช้ “เนื้อมะพร้าว” ซึ่งเป็น “มะพร้าวอ่อน” เป็นไส้ไอศกรีม
โดย “น้ำมะพร้าว” ที่เหลือก็นำมาใช้เสิร์ฟแถมไปพร้อมกับไอศกรีมให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นอีกจุดที่ลูกค้าชอบใจมาก

“คิดว่าน่าจะใช้เนื้อมะพร้าวอ่อน ซึ่งมีรสชาติอร่อยอยู่แล้วเป็นเครื่อง น้ำที่เหลือก็แจกฟรีให้ลูกค้า
ซึ่งเราจะขายแยกก็ได้ แต่ไม่ทำ เพราะคิดว่าเป็นการสร้างความประทับใจ
ก็เลยกลายเป็นคอนเซ็ปท์กินไอศกรีมเราเหมือนได้กินมะพร้าวทั้งลูก” เจ้าของไอเดียไอศกรีมในลูกมะพร้าวกล่าว

สำหรับมะพร้าวที่นำมาใช้เพื่อเป็นถ้วยใส่ไอศกรีม จะเลือกใช้มะพร้าวขนาดเดียว
ในตลาดจะเรียกลูกมะพร้าวขนาดนี้ว่า “มะพร้าวไซส์ 6 บาท”
แต่จริงๆ ราคาขายอาจจะสูงถึงลูกละ 7.50-8 บาทได้ในบางช่วง โดยเฉพาะหน้าร้อน-หน้าแล้ง
เนื่องจากช่วงนี้มะพร้าวจะออกผลผลิตน้อย ซึ่งผู้ประการรายนี้เตรียมตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2550
และขายจริงเมื่อเดือน มี.ค. 2551 ที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง ปรากฏว่ากระแสตอบรับดี มีลูกค้าติดใจและจดจำผลิตภัณฑ์ได้

นอกจากเรื่องรสชาติและไอเดีย ที่รวมถึงการนำ “ธงป้ายชื่อ” มาส่งเสริมการขาย
โดยลูกค้าสามารถสะสมธงที่ปักบนไอศกรีมให้ครบตามจำนวนที่กำหนด นำมาแลกไอศกรีมทานฟรีได้ 1 ถ้วย

“ตอนนี้มีลูกค้าหลายคนที่ติดต่อเข้ามา อยากจะขอรับไอศกรีมเราไปขายบ้าง เราก็เลยทำในรูปของกึ่งๆ แฟรนไชส์
โดยขณะนี้มีอยู่ 5 ราย เพราะเราค่อนข้างจะเน้นในเรื่องทำเลขาย
เนื่องจากไอศกรีมของเราค่อนข้างมีราคาสูงกว่าไอศกรีมกะทิเจ้าอื่นๆ คืออยู่ที่ถ้วยละ 25 บาท
ดังนั้นทำเลขาย ควรเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของที่อยู่ในบริเวณเดียวกับแหล่งท่องเที่ยว
เพราะจะเป็นทำเลที่ขายได้ดีที่สุด” เจ้าของไอศกรีมกะทิแนะนำ
‘ไอศกรีมมะพร้าวหอม’ จุดเด่นที่ถ้วย-จุดขายที่เครื่อง-4 ‘ไอศกรีมมะพร้าวหอม’ จุดเด่นที่ถ้วย-จุดขายที่เครื่อง-3
กึ่งๆ แฟรนไชส์ที่ว่า ใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 10,000 บาท
โดย 5,000 บาทแรกเป็นค่าแบรนด์ อีก 5,000 บาทเป็นค่าร่วมลงทุน
โดยค่าไอศกรีมต่อถังมี 2 ขนาดคือ ถังขนาด 17 กก. (ตักได้ 170 ลูก) ราคา 1,400 บาท
ถังขนาด 25 กก. (ตักได้ 250 ลูก) ราคา 1,800 บาท คิดจากราคาขายต่อถ้วย ต่อไอศกรีม 1 ลูกเอาราคา 25 บาทคูณ
หากเป็นถัง 17 กก.จะมีรายได้ 4,250 บาท ส่วนถัง 25 กก.ได้ 6,250 บาท

อย่างไรก็ตาม ทุนเบื้องต้นในการขายจะอยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทขึ้นไป
เป็นค่าอุปกรณ์ในการผลิตและถังเก็บไอศกรีม อาทิ เครื่องคั้นกะทิ ถังปั่นไอศกรีม ถังเก็บไอศกรีม
และอุปกรณ์ในการตักไอศกรีม ส่วนทุนวัตถุดิบ ดารารัตน์บอกว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 60% จากราคาขาย

วัตถุดิบในการทำ จะมีส่วนผสมหลักๆ อาทิ กะทิคั้นสด, นมสด, น้ำตาลทราย, น้ำสะอาด, เผือกนึ่งสุก, ขนุนสด
และเนื้อมะพร้าวอ่อน สำหรับใช้เป็นเครื่องไอศกรีม

ส่วนขั้นตอนการทำ มีขั้นตอนการทำไม่ซับซ้อนอะไร เหมือนกับการทำไอศกรีมกะทิสดทั่วไป
คือนำกะทิสดมาผสมน้ำใส่ลงไปในหม้อต้ม จากนั้นคนจนเนื้อกะทิแตกมัน
นำน้ำกะทิที่ได้ใส่ลงไปในถังปั่นไอศกรีม จากนั้นเติมน้ำตาลทราย นมสด และส่วนผสมที่เตรียมไว้
คือเผือกนึ่งสุกกับขนุนสด ใส่ลงไปรวมกัน รอจนถังปั่นไอศกรีมทำการปั่นจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
จึงนำไปแช่ในตู้แช่แข็งหรือใส่ลงในถังเก็บไอศกรีมรักษาความเย็น พร้อมขาย

ไอศกรีมกะทิที่หลายคนอาจมองว่าเชย มองว่าตัน แต่จริงๆ แล้วตลาดยังมีความต้องการอยู่
เพียงแต่ควรให้ความสำคัญในเรื่องการสร้างรูปแบบ สร้างจุดขายให้แตกต่าง รวมถึงการเลือกทำเล

แนวคิดในเรื่องการตลาด ก็เป็นองค์ประกอบที่จำเป็นอย่างยิ่งกับอาชีพค้าขาย
เพราะอาชีพนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดกรณีเมนูซ้ำกัน
หากแต่ใครที่รู้จักพลิกแพลง-ดัดแปลงสร้างจุดเด่น ก็จะประสบความสำเร็จได้
ซึ่งใครสนใจติดต่อ ดารารัตน์ หรือชนวิท ก็ไปติดต่อได้ที่ ร้านมะพร้าวหอม ถ.เพชรหึงษ์ อ.พระประแดง
จ.สมุทรปราการ หรือที่ตลาดบางน้ำผึ้ง หรือ โทร. 08-4000-2875, 08-1285-1182


คู่มือลงทุน...ไอศกรีมมะพร้าวหอม
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 50,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้ ขายถ้วยละ 25 บาท
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, แหล่งท่องเที่ยว
จุดน่าสนใจ ใช้มะพร้าวทั้งลูกเป็นจุดขาย


ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th
ที่มา : http://www.udclick.com

Read More...


เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!

‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-4 ‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-1

เฉาก๊วย” อีกหนึ่งของหวานทานเล่นที่คนไทยให้ความนิยม บำรุงสุขภาพ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดความดัน
ช่วยระบบขับถ่ายได้ดี ยุคนี้ทำขายได้ทุกฤดูกาล แต่นอกจากรสชาติที่ถูกปากแล้ว ด้วยความที่มีคนทำขายกันเยอะ
จะให้ขายดีก็ต้องมีจุดขายที่โดดเด่น ดังเช่นรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ชัยวัฒน์ บงกชเกตุสกุล หรือ แชมป์ อายุ 24 ปี ซึ่งยึดอาชีพขาย “เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ
เจ้าเก่าเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า เป็นธุรกิจภายในครอบครัวที่ทำกันมานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่สมัยคุณพ่อ
ตนเองหลังเรียนจบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ก็มารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้ 8 ปีแล้ว
ซึ่งเดิมเป็นเฉาก๊วยโบราณที่มีขายกันทั่วไป ก็อยากจะนำความรู้ที่ร่ำเรียนมา
ปรับปรุงพัฒนาสินค้าให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ และมีจุดขายที่น่าสนใจเพื่อต่อยอดธุรกิจ
พอดีช่วงนั้นธุรกิจน้ำส้มปั่นใส่แก้วกำลังบูม ขายดีมาก

“จุดนี้เองทำให้เกิดปิ๊งไอเดียว่า ทำไมไม่เอาเฉาก๊วยที่เราทำอยู่มาดัดแปลง แปรรูปให้เป็นจุดเด่นในการขาย
ซึ่งเฉาก๊วยเป็นสมุนไพรจีน ดีต่อสุขภาพ ผมจึงคิดลงลึกไปอีกว่าดัดแปลงแล้วทำยังไงเฉาก๊วยจะไม่เสียคุณภาพ
รสชาติคงเดิม เก็บได้หลายวันโดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย ก็เริ่มทดลองทำอยู่นานหลายวัน
จดสัดส่วน-รายละเอียดทุกครั้งทุกขั้นตอน
แล้วมาลงตัวที่เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ ที่หอมกลิ่นใบเตย และหวานด้วยน้ำผึ้งรวง


ส่วนผสมในการทำเฉาก๊วย /น้ำเชื่อม ของเจ้านี้ก็มี... ใบเฉาก๊วยของแท้อย่างดี 8 กก., น้ำเปล่า 1 หม้อ,
แป้งพิเศษหรือแป้งท้าวยายม่อม, น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี, น้ำตาลทรายแดง, ใบเตยหอม, น้ำผึ้งรวง และน้ำแข็ง

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ ใช้เครื่องปั่นน้ำแข็ง, เครื่องขูดเฉาก๊วย (คิดสร้างขึ้นเอง),
ปี๊บเปิดฝารูปสี่เหลี่ยม ใช้ไม้ขนาด 1X1 นิ้ว มาตอกตีขอบข้างใช้เป็นที่จับ หรือใช้ถังสเตนเลส, เครื่องซีลฝา,
เตาแก๊ส, ไม้พายด้ามยาว, กระชอน, หม้อสเตนเลส ต้มน้ำตาล, ผ้าขาวบาง, กระติกขนาดใหญ่,
กะละมังสเตนเลส หรือโหลแก้ว, หลอดดูดขนาดใหญ่, แก้วพลาสติก

‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-2 ‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-3
ขั้นตอนการทำ “เฉาก๊วย”
นำเอาใบเฉาก๊วยมาล้างให้สะอาดเพื่อให้ทรายและสิ่งปลอมปนอื่น ๆ ออกให้หมด แล้วนำใส่ภาชนะ
เติมน้ำสะอาดลงไป ยกขึ้นต้มด้วยไฟปานกลาง ใช้ไม้พายคอยคนเรื่อยๆ ไม่ให้น้ำล้นออกมา
ต้มไปเรื่อยๆ จนเปื่อย ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 4 ชม. ก็จะได้น้ำเฉาก๊วยที่ดำและเข้มข้น

ยกลงมาพักทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเฉาก๊วยเย็นแล้วนำมาเทใส่กะละมังเพื่อทำการกรองเอากากออก
โดยใช้ผ้าขาวบางรองซ้อนกัน 3 ชั้นวางลงบนปากภาชนะ เทน้ำเฉาก๊วยกรองผ่านผ้าลงไปโดยกรอง 3 ครั้ง
พยายามคั้นกากให้ได้น้ำมากที่สุด เมื่อกรองน้ำเฉาก๊วยเสร็จแล้วก็เทใส่ภาชนะ ยกขึ้นต้มด้วยไฟอ่อนอีก
หมั่นตักฟองที่ลอยอยู่บนผิวหน้าออกให้หมด พอเดือดนำแป้งมาละลายน้ำค่อยๆ ใส่ลงไป
จังหวะนี้ใช้ไม้พายกวนตลอดเวลาให้ส่วนผสมเข้ากันดี เมื่อสุกแล้วเนื้อเฉาก๊วยจะเนียนและได้รูปสวย
(
หากกวนช้าๆ จะทำให้แป้งจับตัวเป็นก้อน) เคี่ยวต่อสักครู่ จนได้ที่ก็ยกลงเทใส่บล็อกสี่เหลี่ยม
จนเย็นสนิทก็จะขูดเล็บแมวก็ได้ แต่อาจจะช้าถ้าทำในปริมาณมาก
เจ้านี้จึงใช้เครื่องขูดที่คิดสร้างขึ้นเอง เส้นเฉาก๊วยที่ได้จะมีขนาดเล็กเท่าๆ กัน และใช้เวลาไม่นาน

สำหรับ “น้ำเชื่อม” ส่วนผสมมี... น้ำตาลทรายแดง (น้ำตาลไม่ฟอกขาว) 24 กก. น้ำตาลโอทึ้ง 1/2 กก.,
ใบเตย 1/2 กก. (ล้างสะอาดแล้วหั่น), น้ำสะอาด และน้ำผึ้งรวง เพื่อความหอมหวานในแบบธรรมชาติ

วิธีทำ เริ่มจากนำน้ำสะอาดกับน้ำตาลโอทึ้ง ใส่ลงในภาชนะ ต้มด้วยไฟปานกลาง ใช้ไม้พายคนให้โอทึ้งละลาย
ต้มจนเดือด ใส่น้ำตาลทรายแดงตามลงไป คนให้ละลาย
นำใบเตยที่หั่นเตรียมไว้ใส่ลงไปต้มจนเดือดและมีกลิ่นหอม ต้มต่อสักครู่
ยกลงแล้วใส่น้ำผึ้งรวงลงไปในขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นพักน้ำเชื่อมไว้ให้เย็นสนิท
ทำการกรองด้วยผ้าขาวบาง ก่อนนำไปใส่โหลแก้ว เพื่อเตรียมขาย

การขายก็ใส่เส้นเฉาก๊วยและน้ำหวานเพียงเล็กน้อย หรือแล้วแต่ความชอบของลูกค้า
จากนั้นตักน้ำแข็งปั่นในกระติก ซึ่งเป็นน้ำแข็งที่ปั่นผสมน้ำเฉาก๊วยเข้มข้นเตรียมไว้
ตักใส่ลงไปในแก้วที่มีเฉาก๊วยและนำเชื่อม แล้วคนให้เข้ากัน ทำการปิดด้วยเครื่องซีลฝา
เขย่าเบา 2-3 ครั้ง ให้รสชาติเสมอกัน ก็เสร็จเรียบร้อย

ราคาขาย “เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ แก้วขนาด 16 ออนซ์ ราคา 10 บาท
ซึ่งถ้าลูกค้าจะซื้อกลับบ้านที่ร้านก็จะมีแบบเป็นแพ็กขายด้วย โดยใน 1 แพ็กจะมี 10 ซอง ราคา 60 บาท
ในซองจะมีเฉพาะเนื้อเฉาก๊วยผสมน้ำเชื่อม หรือถ้าต้องการแบบแยกเนื้อกับน้ำเชื่อมก็มีเช่นกัน
(
แต่แบบซื้อกลับบ้านเนื้อเฉาก๊วยจะทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม เพราะถ้าเป็นเส้น เนื้อเฉาก๊วยจะคืนตัวเป็นน้ำ)

สูตรของร้านนี้ที่ใช้ใบเฉาก๊วยแท้คุณภาพดี 8 กก. ต่อน้ำสะอาด 1 หม้อใหญ่ จะได้เนื้อเฉาก๊วยราว 15 กก.
ซึ่งส่วนประกอบสูตรนี้ต้นทุนอาจสูงหน่อย แต่ก็จะได้คุณภาพที่มัดใจลูกค้าได้ดี

เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ” เจ้านี้อยู่แถวดอนเมือง ร้านสาขาแรกอยู่ข้างตึกเจ้เล้ง ขายทุกวันตั้งแต่ 11.00-19.00 น.
ส่วนสาขา 2 จะอยู่ฝั่งตลาดใหม่ดอนเมือง (ตรงข้ามตึกแอร์พอร์ต)
นอกจากขายที่ร้านแล้ว ยังสามารถทำเงินด้วยการรับไปออกร้านขาย หรือให้บริการในงานเลี้ยงต่างๆ
โดยติดต่อคุณแชมป์ได้ที่ โทร.08-4770-0599, 08-9078-6565 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ธรรมดา !!


เชาวลี ชุมขำ / ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน : รายงาน
จเร รัตนราตรี : ภาพ
เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 ม.ค. 2552
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

ที่มา :
http://library.dip.go.th
http://www.udclick.com

Read More...


ไอศกรีมมะพร้าวอ่อนในถ้วยดินเผา เสิร์ฟอร่อยบนความต่าง

จุดเด่นใส่ภาชนะแปลกตา
จุดเด่นใส่ภาชนะแปลกตา

ปิยะพันธ์ ถาวรกิจ’ ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่ยึดอาชีพขายไอศกรีมมะพร้าวอ่อน
สร้างจุดขายรสชาติอร่อยจากน้ำมะพร้าวล้วนๆ โดยไม่ผสมครีม เสิร์ฟในภาชนะเก๋อย่างกะลามะพร้าวอ่อน
และถ้วยดินเผารูปเรือ รูปปลา และรูปใบไม้ อาศัยช่องทางขายตามงานแสดงสินค้า

ปิยะพันธ์ ถาวรกิจ
ปิยะพันธ์ ถาวรกิจ

“เราเคยทำหอพักมาก่อน แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดีก็เลยเลิก เห็นว่าอยู่ว่างๆ ก็เลยลองมาค้าขายดู
เริ่มจากทำขนมสาลี่ก่อน เป็นสาลี่โรยเผือก โรยข้าวโพด โรยสับปะรด ถือว่าเป็นเจ้าแรกก็ว่าได้ที่ทำขนมสาลีผลไม้”
ปิยะพันธ์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการหันมาทำอาชีพค้าขาย ธุรกิจดังกล่าวได้การตอบรับอย่างดี
แต่น่าเสียดายขายขนมสาลี่ได้เพียงประมาณ 4 ปี ก็ต้องเลิกขาย เพราะไม่มีคนงานคอยช่วย

แบบใส่กะลา
แบบใส่กะลา

“การทำขนมสาลี่ต้องมีคนช่วย พอดีตอนนั้นลูกน้องเข้าๆ ออกๆ บ่อยมาก ก็เกิดความเบื่อหน่าย
อีกอย่างคือสามีที่ทำงานประจำอยู่ก็ต้องคอยมาช่วยเรา ต้องขับรถไปส่งตามงานต่างๆ ช่วยยกของ
ก็เลยตัดสินใจเลิกขาย”

แม้จะต้องเลิกขายขนมสาลี่ไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปิยะพันธ์จะหยุดทำอาชีพค้าขาย
เพราะปัจจุบันเธอหันมาทำไอศกรีมมะพร้าวอ่อน ออกขายตามงานแสดงสินค้าต่างๆแทน

อาศัยเดินสายขายตามงานแสดงสินค้า
อาศัยเดินสายขายตามงานแสดงสินค้า

“ถึงวันนี้ก็ประมาณ 4 ปีแล้วที่หันมาทำไอศกรีมมะพร้าวอ่อนขาย ซึ่งเป็นไอศกรีมที่ไม่ใส่ครีม ใช้น้ำมะพร้าวล้วน
ลักษณะไอศกรีมเป็นเนื้อทราย ทานแล้วให้ความสดชื่น สามารถทานเป็นเจได้ นี่คือจุดขายของเรา”

ปิยะพันธ์ยังสร้างจุดขายให้กับสินค้าของเธอ ด้วยการใช้ภาชนะใส่ไอศกรีมเป็นกะลามะพร้าวอ่อน
และถ้วยดินเผารูปเรือ รูปปลา และรูปใบไม้ แทนที่จะเป็นถ้วยพลาสติกธรรมดา ซึ่งเข้ากับกระแสลดโลกร้อนอีกด้วย

สำหรับราคาขาย ถ้าใส่ถ้วยกะลามะพร้าว ถ้วยละ 20 บาท ถ้าใส่ในถ้วยดินเผา ราคา 25 บาท
แต่ถ้าเป็นถ้วยพลาสติกคิดราคา 15 – 20 บาท

ภาชนะดินเผาแบบต่างๆ
ภาชนะดินเผาแบบต่างๆ

“การทำไอศกรีมเราจะทำมาจากที่บ้าน โดยเราจะเป็นคนจัดเตรียมวัตถุดิบแช่เย็นไว้ให้ลูกน้อง
เวลาจะผลิตเขาก็จะดึงออกมาทำได้เลย จึงทำให้ทุกถังมีมาตรฐานเหมือนกันหมด
โดยวันแรกของการออกงาน เราก็พอจะดูออกว่ามันจะขายดีหรือไม่ดี ซึ่งวันแรกจะลงไอศกรีม 2 ถังก่อน
แล้วทำเผื่อไว้ที่บ้านอีก 1-2 ถัง ถ้าไม่หมดก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่เสีย
ส่วนวันไหนที่ขายดี ตักไม่ทันวันรุ่งขึ้นจะต้องเตรียมไอศกรีมมาเพิ่ม
โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ต้องเตรียมมาเยอะหน่อย”

แล้วถามว่า ปิยะพันธ์ มี
หลักในการเลือกออกงานแสดงสินค้าอย่างไร เธอบอกว่า1.ต้องดูว่างานนั้นมีการประชาสัมพันธ์ดีไหม ถ้างานไม่มีการประชาสัมพันธ์ คนไม่รู้ ก็มีคนมาเดินเที่ยวงานน้อย
ก็จะทำให้ขายสินค้าได้น้อยตามไปด้วย และ 2.ต้องดูทำเลในการตั้งร้าน ต้องไม่อยู่ในซอกเกินไป ไกลคนเกินไป


“ถามว่าเรารู้ว่ามีการจัดงานแสดงสินค้าได้อย่างไร ส่วนหนึ่งจะมีออร์แกไนซ์มาเดินตามงานที่เคยไปออก
แล้วจดชื่อเรา ชื่อร้าน และเบอร์ติดต่อเอาไว้ เมื่อมีงานเขาก็จะโทรมาแจ้งให้ไปออก

อีกช่องทางหนึ่งก็รู้จากพ่อค้าแม่ค้าที่เคยไปออกงานด้วยกัน บอกต่อๆ กันว่าจะมีงานตรงนี้นะ ให้รีบไปติดต่อ
หรือบางครั้งก็มีลูกค้ามาชักชวนให้ออกงาน ที่ทางหน่วยงานเขาทำงานอยู่จัดขึ้น”

ปัจจุบันปิยะพันธ์จะเลือกออกงานแสดงสินค้าที่มีระยะเวลาประมาณ 5 – 10 วัน ทั้งของภาครัฐและเอกชน
โดยรัศมีในการออกงานจะครอบคลุมอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่ถ้าไกลมากๆ ก็จะไม่ไป เพราะไม่คุ้มกับค่าที่

“ถ้าไปออกงานของหน่วยงานราชการส่วนใหญ่จะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นงานที่จัดโดยภาคเอกชนจะมีค่าใช้จ่าย
อย่างที่เคยไปออกที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ค่าที่วันละ 2,000 บาท ก็พอขายได้ แต่ไม่เวิร์คเท่าไหร่
คือร้านที่ออกตอนนั้นมันเยอะด้วย งานไหนที่มีสินค้าซ้ำๆ กันมันก็แชร์กัน แต่ถ้ามีร้านเดียว ยอดขายก็จะดี
เราไปออกแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ไปออกอีกเลย เพราะค่าที่แพง
ส่วนที่เมืองทองธานี เคยไปออกงานโอทอปขายดีมาก แล้วที่งานสมุนไพรก็ขายดี งานนี้ค่าที่ตกประมาณ 2,000 บาท
แต่ถ้าค่าที่แพงมาก จะเป็นลักษณะแจมกับเพื่อนที่ขายสินค้าอีกประเภทหนึ่ง เพื่อช่วยกันหารค่าบูธ”

ปิยะพนธ์ บอกว่า การออกงานแสดงสินค้า ถ้ามีงานดีๆ เดือนละ 2 ครั้ง ก็อยู่ได้แล้ว
ส่วนในกรณีที่งานชนกัน ถ้าตรงกับวันเสาร์ อาทิตย์จะแยกสายให้สามีไปขาย
หรือบางทีก็ต้องจ้างลูกน้องไปขายเฉพาะ หรือไม่ก็ให้เพื่อนฝูงที่หยุดงานมาช่วยขาย แต่ก็มีไม่บ่อย
พยายามจะเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็น คืองานนั้นมองแล้วว่าได้จริงๆ หรือเป็นงานที่ไม่เสียเงินทั้งสองงานเลย ถึงจะไป

ไอศกรีมมะพร้าวอ่อนในถ้วยดินเผา

“งานที่เราเคยขายไอศกรีมได้มากที่สุด คือ งานเพื่อนพึ่งภาฯ ยามยากที่วังสวนกุหลาบ จัด 6 วัน ขายดีมาก
วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ขายได้วันละประมาณ 10 ถัง ส่วนวันธรรมดาขายได้ 7 – 8 ถัง
ส่วนการออกงานในช่วงนี้ เนื่องจากฝนตกบ่อย ทำให้ขายได้ไม่ดีนัก อย่างตอนไปขายที่งานพฤกษานนท์
ก็มีคนมาเที่ยวงานไม่มาก แต่ก็โอเค งาน 10 วัน วันหนึ่งขายได้ไม่ต่ำกว่า 4,000 – 5,000 บาท มันก็ยังได้อยู่”

สุดท้ายปิยะพันธ์ แนะนำแม่ค้าหน้าใหม่ที่จะมาออกงานแสดงสินค้าว่า
“ในครั้งแรกๆ ต้องอดทนมากๆ กับการที่ว่าบางงานก็ได้ บางงานก็ขายไม่ดีนัก
และมันก็ขึ้นอยู่ที่สินค้าเราด้วยว่าจะโดนใจลูกค้าแค่ไหน
ในยุคนี้แนะนำว่าควรขายของกิน หรือสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันจะไปได้ดีกว่า
เพราะลูกค้าเขาระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น



ข้อมูลจาก นิตยสาร SME Today ฉบับที่ 80 ประจำเดือนมิถุนายน 2552
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2552
ที่มา : http://www.manager.co.th

Read More...


กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50

เมื่อปีที่ผ่านมาในวงการกล้วยน้ำว้าฮือฮาถึงกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง
พ่อค้าหน่อกล้วยตามงานเกษตรต่างๆ เอากล้วยน้ำว้าเครือขนาดใหญ่มาโชว์ให้ลูกค้าชมแล้วก็ขายหน่อ
พร้อมขยายสรรพคุณซะเลอเลิศว่า ขนาดของเครือมีขนาดใหญ่ จำนวนหวีก็มากแต่ละหวีก็มีผลกล้วยมาก
จึงทำให้มีคนซื้อกล้วยน้ำว้ามะลิอ่องไปมากมาย เพราะเห็นขนาดใหญ่ของเครือและหวี
ราคาค่อนข้างแพงถึงต้นละ 80-120 บาท ผมก็หลงซื้อมา เพราะหลงนิยายพ่อค้ากล้วยกับเขาด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งได้ไปเจอผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วย จึงรู้ว่ากล้วยน้ำว้ามะลิอ่องคืออะไร เรื่องกล้วยๆ ไม่น่าต้มกันได้

อาจารย์กัลยาณี สุวิทวัส นักวิชาการเกษตร 8 ชำนาญการ ของสถานีวิจัยปากช่อง
สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกล้วยน้ำว้า เพราะอาจารย์เป็นผู้รวบรวมพันธุ์กล้วย
โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าทุกสายพันธุ์ในประเทศไทย มาปลูกในสถานีวิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
เพื่อการศึกษาและคัดสายพันธุ์ ทำให้ทราบถึงความเป็นมาเป็นไปของกล้วยน้ำว้า ที่ปลูกกันอยู่ในบ้านเรา

อาจารย์กัลยาณี บอกกับเราว่า "กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง เป็นชื่อทางเหนือ แปลว่า ขาว เพราะไส้กล้วยมะลิอ่องจะขาว
แต่ทางเมืองนนท์จะเรียกกล้วยชนิดนี้ว่า กล้วยน้ำว้าสวน ซึ่งจะมีลักษณะลูกเล็กสั้นๆ ป้อมๆ ในแต่ละหวีมีไม่กี่ผล
เครือมีขนาดเล็ก คนซื้อเลยกลายเป็นเหยื่อของคนขายพันธุ์ไม้ คนที่ยังไม่รู้ก็คิดว่ากล้วยมะลิอ่องเป็นกล้วยเครือใหญ่
เคยเห็นตามงานพ่อค้าก็เอากล้วยน้ำว้าเครือใหญ่มาแขวน แล้วบอกว่า กล้วยมะลิอ่อง
ทำให้คนเข้าใจว่ากล้วยมะลิอ่องเป็นกล้วยเครือใหญ่ ก็ซื้อหาเอาไปปลูกกัน ก็ไม่ได้ไปแย้งเขา"

พอรู้เรื่องนี้ก็นึกภาพออกได้ว่า กล้วยมะลิอ่องนี้ก็เป็นกล้วยน้ำว้า ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนมีขายในกรุงเทพฯ
ขนาดลูกเล็กๆ ป้อมๆ อย่างที่อาจารย์ว่าจริง ชาวสวนแถบเมืองนนท์นำมาขาย
เมื่อเทียบกับกล้วยน้ำว้าอื่นที่มีขนาดใหญ่ดูน่ากินกว่า
ทำให้กล้วยน้ำว้าสวนดูเหมือนกับกล้วยเกร็นขนาดเล็กไม่น่าซื้อ กล้วยสวนของเมืองนนท์ก็เลยหายไป
เพราะหวีดูไม่สวย แต่สาเหตุที่สำคัญน่าจะเป็นเพราะราคาที่ดินที่สูงขึ้น ทำให้เรือกสวนเมืองนนท์หายไป
แต่ถ้าถามถึงความอร่อย กล้วยสวนจะมีรสชาติอร่อยกว่ากล้วยหวีใหญ่


ปรับปรุงพันธุ์กล้วยน้ำว้าเพื่อการค้า
ด้วยการที่อาจารย์กัลยาณีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกล้วยน้ำว้า จึงมีผู้ประกอบการรายหนึ่งเขามาปรึกษา
เรื่องเกี่ยวกับกล้วยน้ำว้าว่า เขาทำกล้วยแผ่นอบส่งออกไปประเทศทางยุโรป ตอนแรกทำไม่มากนัก
ส่งออกก็ไม่มีปัญหา แต่พอตอนหลังเพิ่มจำนวนส่งออกมากขึ้น มีปัญหาว่าทางยุโรปตีกลับ
เพราะหาว่าเอากล้วยแผ่นอบเก่าส่งไปให้ แต่ผู้ประกอบการรายนี้ยืนยันนอนยันว่าเป็นกล้วยใหม่ทำส่งไปให้
เพราะเขาเป็นผู้ทำและเป็นผู้ควบคุมการผลิตเองทั้งหมด

อาจารย์กัลยาณีถามคำแรกเลยว่า คุณรู้จักกล้วยน้ำว้าแค่ไหน
ผู้ประกอบการรายนี้บอกว่า ใครส่งกล้วยน้ำว้ามาผมก็ซื้อหมด ขอให้เป็นกล้วยน้ำว้า
"ไม่ได้ค่ะ" อาจารย์กัลยาณีบอกกับเขา แล้วชี้แจงให้ฟังว่า "กล้วยน้ำว้าในประเทศไทยที่ได้ศึกษามี 3 กลุ่ม
คือ
กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดง กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง
สำหรับกลุ่มแรกคือ
กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดงมีผลดก ไส้กลางข้างในค่อนข้างแข็งหรือมีความฝาดสูง
เหมาะสำหรับเอาไปทำกล้วยเชื่อมหรือข้าวต้มมัด เพราะไส้จะค่อนข้างแข็งไม่เละ
ถ้าเอาผลสุกไปทำกล้วยบวชชีจะมีรสฝาดเจือ ไม่ค่อยอร่อย และถ้าเอาไปทำกล้วยตากจะมีสีคล้ำเหมือนกล้วยเก่า

อย่างที่ผู้ประกอบการรายนี้เจอปัญหา เพราะเอากล้วยน้ำว้าไส้แดงไปทำ ผู้ซื้อจึงตีกลับมาทั้งๆ ที่ทำใหม่
เพราะเอากล้วยน้ำว้าคละไส้ไปทำ ทั้งๆ ที่ทำเทคนิคเดียวกัน ล็อตเดียวกัน แต่สีมันต่างกัน
ซึ่งเกิดจากกล้วยที่มีไส้ต่างกัน แต่กล้วยน้ำว้าไส้แดงนำไปทำกล้วยอบน้ำผึ้งได้"

กลุ่มที่สองคือ กล้วยน้ำว้าไส้ขาวและกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง
อาจารย์กัลยาณีแนะนำให้ใช้ 2 พันธุ์นี้ สำหรับนำไปทำกล้วยแผ่นอบ
โดยแนะนำว่า "กล้วยน้ำว้ามะลิอ่องเป็นกล้วยน้ำว้าไส้ขาว เมื่อนำไปทำเป็นกล้วยแผ่นอบสีจะเหลืองสวย
ไม่เหลืองมากเหมือนกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง ซึ่งกล้วยน้ำว้าไส้ขาวนี้เหมาะสำหรับทำกล้วยตาก กล้วยแผ่นอบ
ส่วนกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองจะเหมาะสำหรับกินสด กล้วยเชื่อม กล้วยบวชชี กล้วยทอด แป้งกล้วย
หรือทำได้ทุกอย่างไม่มีข้อจำกัด ในการแปรรูปกล้วยเพื่อเป็นการค้า กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองเหมาะที่สุด
เนื่องจากมีผลผลิตมาก ดูแลดีๆ จะได้ถึง 10-15 หวี ต่อเครือ ซึ่งกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว คือ มะลิอ่องทำไม่ได้
บำรุงให้ดียังไงผลผลิตก็เทียบกันไม่ได้ เพราะเป็นไปตามลักษณะสายพันธุ์"


กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองใช้งานได้ครอบจักรวาล
สถานีวิจัยปากช่อง ได้ปรับปรุงพันธุ์กล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50 ซึ่งเป็นกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองขึ้นมา
เนื่องจากกล้วยน้ำว้ากลุ่มไส้เหลืองสามารถนำมากินสดก็ได้ แปรรูปได้ทุกอย่าง
และยังมีผลผลิตที่ดกเหมาะสำหรับการปลูกเพื่อการค้าอีกด้วย

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 เกิดจากการนำสายพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วประเทศมาปลูกทดลอง แล้วคัดพันธุ์ขึ้นมา
เนื่องจากการผสมพันธุ์กล้วยยากมาก นักวิชาการจะไม่ใช้วิธีการผสมพันธุ์กล้วย
เมื่อคัดต้นกล้วยน้ำว้าที่มีคุณสมบัติดีที่สุดแล้ว ก็นำมาขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเนื้อเยื่อ
นำมาปลูกทดลองในสถานีวิจัยปากช่อง โดยการปลูกเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นอย่างละ 20 ต้น
และมีการนำผลผลิตมาเปรียบเทียบกันในแต่ละฤดูกาลอีกด้วย

อาจารย์กัลยาณีกล่าวว่า "ในช่วงฤดูร้อน เมื่อเทียบกับ 5-6 สายพันธุ์ กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ยังเด่นกว่า
ฤดูฝนไม่ต้องกล่าวถึง เพราะปากช่อง 50 ดกกว่า ในฤดูหนาวโดยรวมผลผลิตไม่ค่อยดีก็ยังดีกว่าตัวอื่น
การเปรียบเทียบสายพันธุ์นี้ไม่ใช่ทำแค่ 1-2 ปี แต่ได้ปลูกเปรียบเทียบมาเกือบ 10 ปีแล้ว ทำมาครั้งละ 1-2 ไร่
ผลผลิตก็ยังสม่ำเสมอเหมือนเดิม ในการปลูกเพื่อเปรียบเทียบผลผลิต ไม่ใช่เปรียบเทียบแค่ระหว่างต้นต่อต้น
แต่ต้องเปรียบเทียบอย่างน้อย 10-20 ต้น และเปรียบเทียบในทุกช่วงฤดูกาล"

อาจารย์กัลยาณี เล่าว่า เคยมีเกษตรกรบางคนบอกว่า กล้วยน้ำว้าของเขามีผลผลิตมากกว่ากล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50
คือได้เครือละ 15 หวี แต่พอซักเข้าจริงๆ มีแค่ครั้งเดียวและก็ต้นเดียว ซึ่งเป็นเพราะสภาพต้นที่สมบูรณ์มาก
ไม่ได้มีจำนวนมากถึงเป็นหลายสิบต้นที่มีความสมบูรณ์เหมือนๆ กัน


เปรียบเทียบระหว่างหน่อกล้วยกับกล้วยปั่นตา
การคัดพันธุ์ เพื่อหากล้วยน้ำว้าที่มีผลผลิตดีที่สุดของสถานีวิจัยปากช่อง ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ก็เหนื่อยพอแล้ว
แต่ยังต้องเหนื่อยต่อไปอีก เพราะเรื่องยังไม่จบ ในการปลูกกล้วยเกษตรกรมักเคยชินกับการปลูกกล้วยด้วยหน่อ
เนื่องจากเห็นว่าขนาดของหน่อใหญ่กว่ากล้วยที่ได้จากการปั่นตามาก
ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจว่า กล้วยที่ปลูกจากหน่อโตเร็วกว่ากล้วยที่มาจากการปั่นตา

และถ้าสถานีวิจัยปากช่องขุดหน่อกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 มาขาย
คงจะไม่เพียงพอให้แก่เกษตรกรทั้งประเทศแน่นอน จึงต้องนำกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 มาปั่นตา
อาจารย์กัลยาณีก็ต้องเหนื่อยอีกรอบ โดยการทำแปลงทดลองระหว่างกล้วยที่ขุดหน่อมาปลูก
กับกล้วยที่มาจากการเพาะเนื้อเยื่อว่าแบบไหนดีกว่ากัน
โดยปลูกหน่อกล้วยสูง 1 เมตร กับกล้วยปั่นตาสูง 50 เซนติเมตร ปรากฏว่า ปลูกครบ 4 เดือน สูงเท่ากันเลย
เพียงแต่ในช่วงแรกต้นกล้วยที่ได้จากการปั่นตา ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ที่ใกล้ชิด
คือต้องมีการรดน้ำ ถากหญ้า ใส่ปุ๋ย พอต้นลอกคราบเปลี่ยนใบใหม่ต้นกล้วยก็จะเจริญเติบโตอย่างเร็ว
ส่วนกล้วยหน่อหลังจากการปลูกแล้วจะแตกใบแรก แล้วต้นยังนิ่งอยู่ เพราะต้องรอสร้างรากก่อน
เนื่องจากกล้วยที่ขุดหน่อมักจะไม่มีราก ใบใหม่จึงชะงักอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจะไปโตทันกันเมื่อครบ 4 เดือน


เทคนิคการปลูกและการไว้หน่อ
การขุดหลุมปลูกกล้วยก็ต้องพิถีพิถัน ไม่ใช่การขุดรูฝังกล้วย แต่ต้องขุดเป็นหลุม 50 เซนติเมตร ทั้งกว้าง ยาว ลึก
แล้วใส่ก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก รากของกล้วยหยั่งลึกอยู่ประมาณ 50 เซนติเมตร รากของกล้วยก็เหมือนคน
พอมันรุดหน้าไปเจอดินแข็งๆ เพราะเราขุดหลุมนิดเดียวมันก็ถอยกลับแล้วไชขึ้นด้านบน โคนก็ลอย
เมื่อเป็นกอใหญ่ๆ ก็ล้มลง แต่การขุดหลุมให้ใหญ่แล้วเอาปุ๋ยหมักลงดิน ด้านล่างจะซุยรากก็จะแทงลงดิน
การขุดหลุมเป็นการลงทุนเพิ่มหรือเพิ่มเวลาทำก็จริง แต่ได้ประโยชน์มากเพราะกล้วยจะเป็นกอขนาดใหญ่
อยู่ได้ 5-6 ปี ถ้าขุดหลุมปลูกเล็ก เมื่อกล้วยเป็นกอจะเจอปัญหาโคนลอยและล้มไปในที่สุด


อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์กัลยาณีแนะนำคือ การไว้หน่อของกล้วยน้ำว้า
โดยปกติชาวบ้านจะไว้หน่อกล้วยทุกหน่อที่เกิดข้างต้นแม่
การมีหน่อมากๆ เหมือนแม่มีลูกมาก ก็จะแย่งอาหารกินกัน ทำให้ต้นและผลไม่สมบูรณ์
แต่อาจารย์แนะนำว่าปลูกกล้วยไปแล้ว 6 เดือน ถึงจะไว้หน่อได้ 1 หน่อ
พอหน่อนี้อายุได้ 3 เดือน ก็จะไว้อีก 1 หน่อ นอกนั้นตัดทิ้งให้หมด เพราะฉะนั้น กล้วยแต่ละกอจะมีไม่เกิน 4 ต้น

การดูแลตัดใบที่เสียออกก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้กอโปร่ง ถ้าในตอนกลางวันมีแสงลอดเข้าไปถึงโคนกอกล้วย
ก็ถือว่าโปร่งเพียงพอ และการหมุนเวียนของอากาศก็จะดี เพราะกล้วยไม่มีหน่อหรือใบมากจนเกินไป
แต่การตัดแต่งใบต้องระวังถ้าเหลือใบต่ำกว่า 7 ใบ ต้นจะไม่พอเลี้ยงลูก
การปลูกกล้วยน้ำว้าดีกว่ากล้วยหอม หรือกล้วยไข่ เพราะสามารถทำเป็นกอได้
และการปลูกกล้วยไข่และกล้วยหอมไม่จำเป็นต้องขุดหลุมใหญ่
เพราะผลมันจะสมบูรณ์แค่ 2 รุ่น ก็จะต้องล้มต้นปลูกใหม่


โรคตายพราย
โรคตายพราย เป็นโรคที่ต้องระวังมากในกล้วยน้ำว้า เพราะถ้าเป็นในแปลงเมื่อไหร่
จะไม่สามารถปลูกกล้วยน้ำว้าได้อีกในระยะ 10-20 ปี เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังเรื่องหน่อพันธุ์ที่ซื้อมา
ต้องไว้ใจได้ว่าไม่ได้ขุดหน่อมาจากแปลงที่มีปัญหาเรื่องโรคตายพราย
สำหรับการปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนหรือขายเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นนัก
แต่ถ้าเป็นการปลูกเพื่อเป็นการค้าขนาดใหญ่ การใช้ต้นกล้วยพันธุ์ที่ปั่นตาจะไม่มีปัญหาเหล่านี้
สนใจรายละเอียดมากกว่านี้ติดต่อได้ที่ สถานีวิจัยปากช่อง โทร. (044) 311-796 ในวันและเวลาราชการ


รายงานโดย องอาจ ตัณฑวณิช ชมรมการจัดการทรัพยากรเกษตร www.ongart04@yahoo.com
คอลัมน์ เทคโนโลยีการเกษตร นิตยสาร เทคโนชาวบ้าน
วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 23 ฉบับที่ 495
ที่มา : http://info.matichon.co.th
ภาพจาก : http://www.bankaset.com

Read More...


ปลูกมะละกอ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง

‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง

มะละกอเป็นอีกผลไม้ที่ได้รับความนิยมจากคนไทย ทั้งรับประทานแบบผลสุกหรือใช้ผลดิบทำเป็นส้มตำ
ตลาดของมะละกอจึงกว้าง ขณะที่การปลูกขายนั้นสามารถปลูกแซมกับพืชหลักที่ปลูกอยู่แล้วก็ได้
หรือจะปลูกเป็นพืชหลักเพื่อจำหน่ายก็ไม่เลว และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็อาจเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี...

จ.แพร่ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีการปลูกส้มและลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจมานาน
แต่ปัจจุบันเกษตรกรประสบปัญหาเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
เกษตรกรหลายรายต้องกู้หนี้ยืมสินมาทำการเกษตร ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
ดังนั้น ทางศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่ กรมวิชาการเกษตร จึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชที่ให้ผลผลิตเร็วทดแทน
เพื่อให้ได้รายได้เร็วที่สุด และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็เป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลผลิตเร็ว
สามารถปลูกแซมในสวนส้มและสวนลำไยเก่าได้ทันที

มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นมะละกอพันธุ์ใหม่ที่มาแรงและกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้
ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค ทนทานต่อการขนส่ง

ปราณี กาใจ เป็นเจ้าของสวนลำไยที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย
และได้รับคำแนะนำให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์
โดยร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน อรวรรณ โพธิ์คำ และ ประสิทธิ์ ธรรมใจสุก
โดยปราณีบอกว่า หลังจากที่ราคาลำไยในตลาดตกต่ำลง
ทางเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร ก็เข้ามาให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์ทดแทนดู
จากการที่ได้ฟังข้อมูลก็เห็นว่าน่าสนใจ เพราะเป็นพืชที่ให้ผลเร็ว อีกทั้งยังมีตลาดแน่นอน
จึงตัดสินใจตัดต้นลำไยทิ้งไป 3 ไร่ เพื่อนำพื้นที่มาปลูกมะละกอฮอลแลนด์

มะละกอพันธุ์นี้มีอายุเก็บเกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 800-2,000 กรัมต่อผล เนื้อมีสีแดงอมส้ม ไม่เละ
เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ความหวานวัดได้ 11-13 องศาบริกซ์ ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม
มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์นี้สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง
ดินที่เหมาะสมควรมีความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-5.0

เกษตรกรผู้ปลูกบอกว่า สำหรับการปลูกและการดูแลมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ก็ไม่ยุ่งยาก
เริ่มจากการเตรียมพื้นที่ โดยการไถและทำเป็นแปลงปลูก
จากนั้นขุดหลุมให้ความลึกประมาณที่จะใส่ต้นพันธุ์ลงไปได้ โดยให้มีระยะปลูก 2.5x3 เมตร
ซึ่งใน 1 ไร่จะสามารถปลูกต้นมะละกอได้ประมาณ 224 ต้น

ต้นพันธุ์นั้นปัจจุบันมีขายทั่วไป ราคาถุงเพาะละ 10 บาท โดยจะมีอยู่ 3 ต้นใน 1 ถุงเพาะ
‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง-1 ‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง-2
เมื่อเตรียมพื้นที่ปลูกเรียบร้อยแล้ว ก็ลงต้นพันธุ์หลุมละ 1 ถุงเพาะ
แต่ก่อนที่จะลงต้นพันธุ์ในหลุม ให้ใส่ปุ๋ยคอกรองลงก้นหลุมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะก่อน
เมื่อลงปลูกเรียบร้อยก็ให้น้ำตามปกติ

การรดน้ำจะให้ตอนที่ดูแล้วว่าที่โคนต้นมีความแห้งมากแล้ว เวลาให้ก็รดน้ำพอประมาณ ไม่ให้น้ำขังอยู่ที่โคนต้น
ส่วนการใส่ปุ๋ยนั้นจะให้ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง
การให้ปุ๋ยจะต้องให้สลับกันระหว่างปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15
ที่สำคัญต้องค่อยกำจัดวัชพืชที่ขึ้นรอบๆ บริเวณต้นมะละกอออกด้วย

หลังจากที่ลงปลูกมะละกอไปได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอทั้ง 3 ต้นที่อยู่ในหลุมเดียวกันจะเริ่มออกดอก
ให้ทำการตัดต้นที่เป็นตัวผู้และตัวเมียทิ้ง เหลือไว้แต่ “ต้นกะเทย” เนื่องจากต้นกะเทยจะให้ผลที่ดก
และลูกมะละกอที่ออกมาจะยาวสวย เนื้อหนากว่าต้นที่เป็นตัวเมียและตัวผู้
โดยการสังเกตต้นกะเทยนั้นก็ให้ทำการแหวกกลีบดอกดู
ถ้าต้นไหนที่มีทั้งเกสรตัวเมียและตัวผู้อยู่ในดอกเดียวกัน...นั่นก็คือต้นกะเทย


เมื่อตัดเหลือแต่ต้นกะเทยแล้ว ก็ดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำตามปกติไปอีกประมาณ 7-8 เดือน
มะละกอก็จะให้ผลและเริ่มเก็บขายได้ ในระยะที่มะละกอติดผลอ่อน
ก่อนเก็บให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 รอบๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะต่อต้น
การเก็บนั้น เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย

‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง-3

“หลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลขายได้ทุกสัปดาห์
ไปจน 3 ปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ต้องตัดทิ้ง ปลูกใหม่”

สำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้นั้น ถ้าขายส่งให้โรงงาน ราคาตอนนี้จะอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 6 บาท
แต่ถ้านำไปขายตามตลาดเองก็จะได้กิโลกรัมละประมาณ 15 บาท
ซึ่งเจ้าของสวนรายดังกล่าวบอกว่า ตอนนี้มีรายได้จากการขายมะละกอต่อไร่ต่อเดือนละประมาณ 10,000 บาท

เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอขายรายนี้ อยู่ที่ ม.6 ต.วังธง อ.เมืองแพร่ จ.แพร่
ส่วนผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์
ลองสอบถามไปที่ “ศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่” เบอร์โทรศัพท์ 0-5452-1387


คู่มือลงทุน...ปลูกมะละกอฮอลแลนด์
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่ในการปลูก
ทุนหมุนเวียน ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่ในการปลูก
รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/ไร่/เดือน
แรงงาน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ตลาด หาแหล่งขายส่ง, ขายปลีกเอง
จุดน่าสนใจ ตลาดกว้าง, ปลูกง่ายให้ผลเร็ว


ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th
ที่มา : http://www.udclick.com

Read More...


ผัดไทย“แป้งเผือก”เมนูอาหารเทศกาลเจ

เปาะเปี๊ยะสด
เปาะเปี๊ยะสด

ปัจจุบัน หลายคนเริ่มหันมา "การกินเจ" กันมากขึ้น ทั้งที่ "ถือศีล" และ "เพื่อสุขภาพ"
แต่อาหารที่มีขาย ส่วนใหญ่มักจะหนักไปทาง "แป้ง" เมื่อกินเข้าไปจำนวนมากหลายวัน
ก็อาจเป็นผลให้ "ห่วงยางรอบเอวขยายวงกว้าง" เพิ่มมากขึ้น
ฉะนี้...เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับกลุ่มผู้บริโภค รวมทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ขาย
น.ส.รุจิรา เรมัย นักศึกษาจากภาควิชาสาขาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
จึงคิดค้นเมนู "อาหารพลังงานต่ำจากเผือก" มาต้อนรับเทศกาลเจที่จะถึงนี้
โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุดาพร ทิมฤกษ์ เป็นที่ปรึกษา

น.ส.รุจิรา เรมัย และ ผศ.สุดาพร ทิมฤกษ์
น.ส.รุจิรา เรมัย และ ผศ.สุดาพร ทิมฤกษ์

น.ส.รุจิรา บอกกับ "ทำได้ ไม่จน" ว่า การบริโภคอาหารในแต่ละมื้อ
สิ่งสำคัญที่สุดต้องคำนึงถึงคุณค่าที่ร่างกายได้รับ ควรมีให้ครบตามหลักโภชนาการ
โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ที่มีการละเว้นเนื้อสัตว์
ดังนั้น เพื่อให้ได้สารอาหารตามที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน นักศึกษาจึงได้นำ "เผือก" มาเป็นวัตถุดิบหลัก

สำหรับเผือกปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงาน 94 แคลอรี แคลเซียม วิตามิน โปแตสเซียม ฟลูออไรด์ และธาตุเหล็ก
ซึ่งนอกจากร่างกายจะย่อยได้ง่าย ยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
อาทิ ผัดซีอิ๊ว ผัดไทย ก๋วย-เตี๋ยวหลอด บาร์บีคิว ผัดเม็ดมะม่วง
และ...เมนูอร่อยเด็ดที่ทีมงานนำมาฝากก็คือ "ผัดไทยแป้งเผือก"

ผศ.สุดาพร บอกว่า สูตรและกรรมวิธีนั้นแสนจะง่าย สิ่งสำคัญสุดจะต้องทำแป้งเผือกก่อน ซึ่งส่วนประกอบมี
แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย
แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
เผือกหอม หั่นละเอียด 200 กรัม
เห็ดหอม แช่น้ำหั่นละเอียด 100 กรัม
น้ำเปล่า 2 ถ้วย
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
จากนั้นเทใส่ถาดหรือถ้วยกลม เอาไปนึ่งให้สุกใช้เวลาประมาณ 30 นาที

แป้งเผือกที่นึ่งสุกแล้ว
แป้งเผือกที่นึ่งสุกแล้ว

...เสร็จแล้วพักให้เย็น หากจะทำเป็นผัดไทยหรือซีอิ๊ว ให้ตัดเป็นชิ้นยาวพอประมาณ
หรือถ้าทำบาร์บีคิว ผัดเม็ดมะม่วง ให้ตัดเป็นลูกเต๋าขนาดใหญ่พอคำ
แป้งเผือกที่นึ่งสุกแล้วหากไว้ในตู้เย็นจะเก็บได้นาน 3 วัน...

มาถึงกรรมวิธีการปรุงให้อร่อยลิ้น
ถ้าต้องการให้แป้งเผือกมีกลิ่นหอม ควรนำไปทอดในน้ำมันก่อน
และเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน ควรใส่เต้าหู้ซึ่งหั่นเป็นลูกเต๋า ตามด้วย คะน้า แครอท ถั่วงอก
นำทั้งหมดลงไปผัด ปรุงรสตามใจชอบ เสร็จแล้วก่อนเสิร์ฟโรยด้วยถั่วหรือเม็ดมะม่วง
...เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูใหม่ทำไว้กินก็ได้ หรือจะทำขายกำไรก็งามไว้ต้อนรับเทศกาลกินเจ...

บาร์บีคิวแป้งเผือก
บาร์บีคิวแป้งเผือก

นอกจากนี้ ผศ.สุดาพรยังแถมท้ายมาว่าทางภาควิชาฯ
ได้จัดประกวดอาหารคอกเทลขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน 52 นี้
ใครที่สนใจกริ๊งกร๊างสอบถามได้ที่ 08-1827-3702, 08-4144-4029 ในวันเวลาที่เหมาะสม.


โดย เพ็ญพิชญา เตียว
16 ตุลาคม 2552
ข้อมูลโดย : http://www.thairath.co.th

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.