สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!

‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-4 ‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-1

เฉาก๊วย” อีกหนึ่งของหวานทานเล่นที่คนไทยให้ความนิยม บำรุงสุขภาพ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดความดัน
ช่วยระบบขับถ่ายได้ดี ยุคนี้ทำขายได้ทุกฤดูกาล แต่นอกจากรสชาติที่ถูกปากแล้ว ด้วยความที่มีคนทำขายกันเยอะ
จะให้ขายดีก็ต้องมีจุดขายที่โดดเด่น ดังเช่นรายที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...

ชัยวัฒน์ บงกชเกตุสกุล หรือ แชมป์ อายุ 24 ปี ซึ่งยึดอาชีพขาย “เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ
เจ้าเก่าเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า เป็นธุรกิจภายในครอบครัวที่ทำกันมานานกว่า 30 ปี ตั้งแต่สมัยคุณพ่อ
ตนเองหลังเรียนจบด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร ก็มารับช่วงต่อจากคุณพ่อได้ 8 ปีแล้ว
ซึ่งเดิมเป็นเฉาก๊วยโบราณที่มีขายกันทั่วไป ก็อยากจะนำความรู้ที่ร่ำเรียนมา
ปรับปรุงพัฒนาสินค้าให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ และมีจุดขายที่น่าสนใจเพื่อต่อยอดธุรกิจ
พอดีช่วงนั้นธุรกิจน้ำส้มปั่นใส่แก้วกำลังบูม ขายดีมาก

“จุดนี้เองทำให้เกิดปิ๊งไอเดียว่า ทำไมไม่เอาเฉาก๊วยที่เราทำอยู่มาดัดแปลง แปรรูปให้เป็นจุดเด่นในการขาย
ซึ่งเฉาก๊วยเป็นสมุนไพรจีน ดีต่อสุขภาพ ผมจึงคิดลงลึกไปอีกว่าดัดแปลงแล้วทำยังไงเฉาก๊วยจะไม่เสียคุณภาพ
รสชาติคงเดิม เก็บได้หลายวันโดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย ก็เริ่มทดลองทำอยู่นานหลายวัน
จดสัดส่วน-รายละเอียดทุกครั้งทุกขั้นตอน
แล้วมาลงตัวที่เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ ที่หอมกลิ่นใบเตย และหวานด้วยน้ำผึ้งรวง


ส่วนผสมในการทำเฉาก๊วย /น้ำเชื่อม ของเจ้านี้ก็มี... ใบเฉาก๊วยของแท้อย่างดี 8 กก., น้ำเปล่า 1 หม้อ,
แป้งพิเศษหรือแป้งท้าวยายม่อม, น้ำตาลทรายไม่ฟอกสี, น้ำตาลทรายแดง, ใบเตยหอม, น้ำผึ้งรวง และน้ำแข็ง

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ “เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ ใช้เครื่องปั่นน้ำแข็ง, เครื่องขูดเฉาก๊วย (คิดสร้างขึ้นเอง),
ปี๊บเปิดฝารูปสี่เหลี่ยม ใช้ไม้ขนาด 1X1 นิ้ว มาตอกตีขอบข้างใช้เป็นที่จับ หรือใช้ถังสเตนเลส, เครื่องซีลฝา,
เตาแก๊ส, ไม้พายด้ามยาว, กระชอน, หม้อสเตนเลส ต้มน้ำตาล, ผ้าขาวบาง, กระติกขนาดใหญ่,
กะละมังสเตนเลส หรือโหลแก้ว, หลอดดูดขนาดใหญ่, แก้วพลาสติก

‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-2 ‘เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ’ เพิ่ม ‘จุดต่าง’ สร้างธุรกิจ!-3
ขั้นตอนการทำ “เฉาก๊วย”
นำเอาใบเฉาก๊วยมาล้างให้สะอาดเพื่อให้ทรายและสิ่งปลอมปนอื่น ๆ ออกให้หมด แล้วนำใส่ภาชนะ
เติมน้ำสะอาดลงไป ยกขึ้นต้มด้วยไฟปานกลาง ใช้ไม้พายคอยคนเรื่อยๆ ไม่ให้น้ำล้นออกมา
ต้มไปเรื่อยๆ จนเปื่อย ใช้เวลาเคี่ยวประมาณ 4 ชม. ก็จะได้น้ำเฉาก๊วยที่ดำและเข้มข้น

ยกลงมาพักทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเฉาก๊วยเย็นแล้วนำมาเทใส่กะละมังเพื่อทำการกรองเอากากออก
โดยใช้ผ้าขาวบางรองซ้อนกัน 3 ชั้นวางลงบนปากภาชนะ เทน้ำเฉาก๊วยกรองผ่านผ้าลงไปโดยกรอง 3 ครั้ง
พยายามคั้นกากให้ได้น้ำมากที่สุด เมื่อกรองน้ำเฉาก๊วยเสร็จแล้วก็เทใส่ภาชนะ ยกขึ้นต้มด้วยไฟอ่อนอีก
หมั่นตักฟองที่ลอยอยู่บนผิวหน้าออกให้หมด พอเดือดนำแป้งมาละลายน้ำค่อยๆ ใส่ลงไป
จังหวะนี้ใช้ไม้พายกวนตลอดเวลาให้ส่วนผสมเข้ากันดี เมื่อสุกแล้วเนื้อเฉาก๊วยจะเนียนและได้รูปสวย
(
หากกวนช้าๆ จะทำให้แป้งจับตัวเป็นก้อน) เคี่ยวต่อสักครู่ จนได้ที่ก็ยกลงเทใส่บล็อกสี่เหลี่ยม
จนเย็นสนิทก็จะขูดเล็บแมวก็ได้ แต่อาจจะช้าถ้าทำในปริมาณมาก
เจ้านี้จึงใช้เครื่องขูดที่คิดสร้างขึ้นเอง เส้นเฉาก๊วยที่ได้จะมีขนาดเล็กเท่าๆ กัน และใช้เวลาไม่นาน

สำหรับ “น้ำเชื่อม” ส่วนผสมมี... น้ำตาลทรายแดง (น้ำตาลไม่ฟอกขาว) 24 กก. น้ำตาลโอทึ้ง 1/2 กก.,
ใบเตย 1/2 กก. (ล้างสะอาดแล้วหั่น), น้ำสะอาด และน้ำผึ้งรวง เพื่อความหอมหวานในแบบธรรมชาติ

วิธีทำ เริ่มจากนำน้ำสะอาดกับน้ำตาลโอทึ้ง ใส่ลงในภาชนะ ต้มด้วยไฟปานกลาง ใช้ไม้พายคนให้โอทึ้งละลาย
ต้มจนเดือด ใส่น้ำตาลทรายแดงตามลงไป คนให้ละลาย
นำใบเตยที่หั่นเตรียมไว้ใส่ลงไปต้มจนเดือดและมีกลิ่นหอม ต้มต่อสักครู่
ยกลงแล้วใส่น้ำผึ้งรวงลงไปในขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นพักน้ำเชื่อมไว้ให้เย็นสนิท
ทำการกรองด้วยผ้าขาวบาง ก่อนนำไปใส่โหลแก้ว เพื่อเตรียมขาย

การขายก็ใส่เส้นเฉาก๊วยและน้ำหวานเพียงเล็กน้อย หรือแล้วแต่ความชอบของลูกค้า
จากนั้นตักน้ำแข็งปั่นในกระติก ซึ่งเป็นน้ำแข็งที่ปั่นผสมน้ำเฉาก๊วยเข้มข้นเตรียมไว้
ตักใส่ลงไปในแก้วที่มีเฉาก๊วยและนำเชื่อม แล้วคนให้เข้ากัน ทำการปิดด้วยเครื่องซีลฝา
เขย่าเบา 2-3 ครั้ง ให้รสชาติเสมอกัน ก็เสร็จเรียบร้อย

ราคาขาย “เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ แก้วขนาด 16 ออนซ์ ราคา 10 บาท
ซึ่งถ้าลูกค้าจะซื้อกลับบ้านที่ร้านก็จะมีแบบเป็นแพ็กขายด้วย โดยใน 1 แพ็กจะมี 10 ซอง ราคา 60 บาท
ในซองจะมีเฉพาะเนื้อเฉาก๊วยผสมน้ำเชื่อม หรือถ้าต้องการแบบแยกเนื้อกับน้ำเชื่อมก็มีเช่นกัน
(
แต่แบบซื้อกลับบ้านเนื้อเฉาก๊วยจะทำเป็นก้อนสี่เหลี่ยม เพราะถ้าเป็นเส้น เนื้อเฉาก๊วยจะคืนตัวเป็นน้ำ)

สูตรของร้านนี้ที่ใช้ใบเฉาก๊วยแท้คุณภาพดี 8 กก. ต่อน้ำสะอาด 1 หม้อใหญ่ จะได้เนื้อเฉาก๊วยราว 15 กก.
ซึ่งส่วนประกอบสูตรนี้ต้นทุนอาจสูงหน่อย แต่ก็จะได้คุณภาพที่มัดใจลูกค้าได้ดี

เฉาก๊วยปั่นเกล็ดหิมะ” เจ้านี้อยู่แถวดอนเมือง ร้านสาขาแรกอยู่ข้างตึกเจ้เล้ง ขายทุกวันตั้งแต่ 11.00-19.00 น.
ส่วนสาขา 2 จะอยู่ฝั่งตลาดใหม่ดอนเมือง (ตรงข้ามตึกแอร์พอร์ต)
นอกจากขายที่ร้านแล้ว ยังสามารถทำเงินด้วยการรับไปออกร้านขาย หรือให้บริการในงานเลี้ยงต่างๆ
โดยติดต่อคุณแชมป์ได้ที่ โทร.08-4770-0599, 08-9078-6565 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ธรรมดา !!


เชาวลี ชุมขำ / ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน : รายงาน
จเร รัตนราตรี : ภาพ
เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 18 ม.ค. 2552
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

ที่มา :
http://library.dip.go.th
http://www.udclick.com

Read More...


ไอศกรีมมะพร้าวอ่อนในถ้วยดินเผา เสิร์ฟอร่อยบนความต่าง

จุดเด่นใส่ภาชนะแปลกตา
จุดเด่นใส่ภาชนะแปลกตา

ปิยะพันธ์ ถาวรกิจ’ ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่ยึดอาชีพขายไอศกรีมมะพร้าวอ่อน
สร้างจุดขายรสชาติอร่อยจากน้ำมะพร้าวล้วนๆ โดยไม่ผสมครีม เสิร์ฟในภาชนะเก๋อย่างกะลามะพร้าวอ่อน
และถ้วยดินเผารูปเรือ รูปปลา และรูปใบไม้ อาศัยช่องทางขายตามงานแสดงสินค้า

ปิยะพันธ์ ถาวรกิจ
ปิยะพันธ์ ถาวรกิจ

“เราเคยทำหอพักมาก่อน แต่ช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ดีก็เลยเลิก เห็นว่าอยู่ว่างๆ ก็เลยลองมาค้าขายดู
เริ่มจากทำขนมสาลี่ก่อน เป็นสาลี่โรยเผือก โรยข้าวโพด โรยสับปะรด ถือว่าเป็นเจ้าแรกก็ว่าได้ที่ทำขนมสาลีผลไม้”
ปิยะพันธ์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการหันมาทำอาชีพค้าขาย ธุรกิจดังกล่าวได้การตอบรับอย่างดี
แต่น่าเสียดายขายขนมสาลี่ได้เพียงประมาณ 4 ปี ก็ต้องเลิกขาย เพราะไม่มีคนงานคอยช่วย

แบบใส่กะลา
แบบใส่กะลา

“การทำขนมสาลี่ต้องมีคนช่วย พอดีตอนนั้นลูกน้องเข้าๆ ออกๆ บ่อยมาก ก็เกิดความเบื่อหน่าย
อีกอย่างคือสามีที่ทำงานประจำอยู่ก็ต้องคอยมาช่วยเรา ต้องขับรถไปส่งตามงานต่างๆ ช่วยยกของ
ก็เลยตัดสินใจเลิกขาย”

แม้จะต้องเลิกขายขนมสาลี่ไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปิยะพันธ์จะหยุดทำอาชีพค้าขาย
เพราะปัจจุบันเธอหันมาทำไอศกรีมมะพร้าวอ่อน ออกขายตามงานแสดงสินค้าต่างๆแทน

อาศัยเดินสายขายตามงานแสดงสินค้า
อาศัยเดินสายขายตามงานแสดงสินค้า

“ถึงวันนี้ก็ประมาณ 4 ปีแล้วที่หันมาทำไอศกรีมมะพร้าวอ่อนขาย ซึ่งเป็นไอศกรีมที่ไม่ใส่ครีม ใช้น้ำมะพร้าวล้วน
ลักษณะไอศกรีมเป็นเนื้อทราย ทานแล้วให้ความสดชื่น สามารถทานเป็นเจได้ นี่คือจุดขายของเรา”

ปิยะพันธ์ยังสร้างจุดขายให้กับสินค้าของเธอ ด้วยการใช้ภาชนะใส่ไอศกรีมเป็นกะลามะพร้าวอ่อน
และถ้วยดินเผารูปเรือ รูปปลา และรูปใบไม้ แทนที่จะเป็นถ้วยพลาสติกธรรมดา ซึ่งเข้ากับกระแสลดโลกร้อนอีกด้วย

สำหรับราคาขาย ถ้าใส่ถ้วยกะลามะพร้าว ถ้วยละ 20 บาท ถ้าใส่ในถ้วยดินเผา ราคา 25 บาท
แต่ถ้าเป็นถ้วยพลาสติกคิดราคา 15 – 20 บาท

ภาชนะดินเผาแบบต่างๆ
ภาชนะดินเผาแบบต่างๆ

“การทำไอศกรีมเราจะทำมาจากที่บ้าน โดยเราจะเป็นคนจัดเตรียมวัตถุดิบแช่เย็นไว้ให้ลูกน้อง
เวลาจะผลิตเขาก็จะดึงออกมาทำได้เลย จึงทำให้ทุกถังมีมาตรฐานเหมือนกันหมด
โดยวันแรกของการออกงาน เราก็พอจะดูออกว่ามันจะขายดีหรือไม่ดี ซึ่งวันแรกจะลงไอศกรีม 2 ถังก่อน
แล้วทำเผื่อไว้ที่บ้านอีก 1-2 ถัง ถ้าไม่หมดก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่เสีย
ส่วนวันไหนที่ขายดี ตักไม่ทันวันรุ่งขึ้นจะต้องเตรียมไอศกรีมมาเพิ่ม
โดยเฉพาะวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ต้องเตรียมมาเยอะหน่อย”

แล้วถามว่า ปิยะพันธ์ มี
หลักในการเลือกออกงานแสดงสินค้าอย่างไร เธอบอกว่า1.ต้องดูว่างานนั้นมีการประชาสัมพันธ์ดีไหม ถ้างานไม่มีการประชาสัมพันธ์ คนไม่รู้ ก็มีคนมาเดินเที่ยวงานน้อย
ก็จะทำให้ขายสินค้าได้น้อยตามไปด้วย และ 2.ต้องดูทำเลในการตั้งร้าน ต้องไม่อยู่ในซอกเกินไป ไกลคนเกินไป


“ถามว่าเรารู้ว่ามีการจัดงานแสดงสินค้าได้อย่างไร ส่วนหนึ่งจะมีออร์แกไนซ์มาเดินตามงานที่เคยไปออก
แล้วจดชื่อเรา ชื่อร้าน และเบอร์ติดต่อเอาไว้ เมื่อมีงานเขาก็จะโทรมาแจ้งให้ไปออก

อีกช่องทางหนึ่งก็รู้จากพ่อค้าแม่ค้าที่เคยไปออกงานด้วยกัน บอกต่อๆ กันว่าจะมีงานตรงนี้นะ ให้รีบไปติดต่อ
หรือบางครั้งก็มีลูกค้ามาชักชวนให้ออกงาน ที่ทางหน่วยงานเขาทำงานอยู่จัดขึ้น”

ปัจจุบันปิยะพันธ์จะเลือกออกงานแสดงสินค้าที่มีระยะเวลาประมาณ 5 – 10 วัน ทั้งของภาครัฐและเอกชน
โดยรัศมีในการออกงานจะครอบคลุมอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่ถ้าไกลมากๆ ก็จะไม่ไป เพราะไม่คุ้มกับค่าที่

“ถ้าไปออกงานของหน่วยงานราชการส่วนใหญ่จะไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าเป็นงานที่จัดโดยภาคเอกชนจะมีค่าใช้จ่าย
อย่างที่เคยไปออกที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ค่าที่วันละ 2,000 บาท ก็พอขายได้ แต่ไม่เวิร์คเท่าไหร่
คือร้านที่ออกตอนนั้นมันเยอะด้วย งานไหนที่มีสินค้าซ้ำๆ กันมันก็แชร์กัน แต่ถ้ามีร้านเดียว ยอดขายก็จะดี
เราไปออกแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ไปออกอีกเลย เพราะค่าที่แพง
ส่วนที่เมืองทองธานี เคยไปออกงานโอทอปขายดีมาก แล้วที่งานสมุนไพรก็ขายดี งานนี้ค่าที่ตกประมาณ 2,000 บาท
แต่ถ้าค่าที่แพงมาก จะเป็นลักษณะแจมกับเพื่อนที่ขายสินค้าอีกประเภทหนึ่ง เพื่อช่วยกันหารค่าบูธ”

ปิยะพนธ์ บอกว่า การออกงานแสดงสินค้า ถ้ามีงานดีๆ เดือนละ 2 ครั้ง ก็อยู่ได้แล้ว
ส่วนในกรณีที่งานชนกัน ถ้าตรงกับวันเสาร์ อาทิตย์จะแยกสายให้สามีไปขาย
หรือบางทีก็ต้องจ้างลูกน้องไปขายเฉพาะ หรือไม่ก็ให้เพื่อนฝูงที่หยุดงานมาช่วยขาย แต่ก็มีไม่บ่อย
พยายามจะเลี่ยง ถ้าไม่จำเป็น คืองานนั้นมองแล้วว่าได้จริงๆ หรือเป็นงานที่ไม่เสียเงินทั้งสองงานเลย ถึงจะไป

ไอศกรีมมะพร้าวอ่อนในถ้วยดินเผา

“งานที่เราเคยขายไอศกรีมได้มากที่สุด คือ งานเพื่อนพึ่งภาฯ ยามยากที่วังสวนกุหลาบ จัด 6 วัน ขายดีมาก
วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ขายได้วันละประมาณ 10 ถัง ส่วนวันธรรมดาขายได้ 7 – 8 ถัง
ส่วนการออกงานในช่วงนี้ เนื่องจากฝนตกบ่อย ทำให้ขายได้ไม่ดีนัก อย่างตอนไปขายที่งานพฤกษานนท์
ก็มีคนมาเที่ยวงานไม่มาก แต่ก็โอเค งาน 10 วัน วันหนึ่งขายได้ไม่ต่ำกว่า 4,000 – 5,000 บาท มันก็ยังได้อยู่”

สุดท้ายปิยะพันธ์ แนะนำแม่ค้าหน้าใหม่ที่จะมาออกงานแสดงสินค้าว่า
“ในครั้งแรกๆ ต้องอดทนมากๆ กับการที่ว่าบางงานก็ได้ บางงานก็ขายไม่ดีนัก
และมันก็ขึ้นอยู่ที่สินค้าเราด้วยว่าจะโดนใจลูกค้าแค่ไหน
ในยุคนี้แนะนำว่าควรขายของกิน หรือสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวันจะไปได้ดีกว่า
เพราะลูกค้าเขาระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น



ข้อมูลจาก นิตยสาร SME Today ฉบับที่ 80 ประจำเดือนมิถุนายน 2552
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 สิงหาคม 2552
ที่มา : http://www.manager.co.th

Read More...


กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50

เมื่อปีที่ผ่านมาในวงการกล้วยน้ำว้าฮือฮาถึงกล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง
พ่อค้าหน่อกล้วยตามงานเกษตรต่างๆ เอากล้วยน้ำว้าเครือขนาดใหญ่มาโชว์ให้ลูกค้าชมแล้วก็ขายหน่อ
พร้อมขยายสรรพคุณซะเลอเลิศว่า ขนาดของเครือมีขนาดใหญ่ จำนวนหวีก็มากแต่ละหวีก็มีผลกล้วยมาก
จึงทำให้มีคนซื้อกล้วยน้ำว้ามะลิอ่องไปมากมาย เพราะเห็นขนาดใหญ่ของเครือและหวี
ราคาค่อนข้างแพงถึงต้นละ 80-120 บาท ผมก็หลงซื้อมา เพราะหลงนิยายพ่อค้ากล้วยกับเขาด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งได้ไปเจอผู้เชี่ยวชาญด้านกล้วย จึงรู้ว่ากล้วยน้ำว้ามะลิอ่องคืออะไร เรื่องกล้วยๆ ไม่น่าต้มกันได้

อาจารย์กัลยาณี สุวิทวัส นักวิชาการเกษตร 8 ชำนาญการ ของสถานีวิจัยปากช่อง
สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องกล้วยน้ำว้า เพราะอาจารย์เป็นผู้รวบรวมพันธุ์กล้วย
โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้าทุกสายพันธุ์ในประเทศไทย มาปลูกในสถานีวิจัยปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
เพื่อการศึกษาและคัดสายพันธุ์ ทำให้ทราบถึงความเป็นมาเป็นไปของกล้วยน้ำว้า ที่ปลูกกันอยู่ในบ้านเรา

อาจารย์กัลยาณี บอกกับเราว่า "กล้วยน้ำว้ามะลิอ่อง เป็นชื่อทางเหนือ แปลว่า ขาว เพราะไส้กล้วยมะลิอ่องจะขาว
แต่ทางเมืองนนท์จะเรียกกล้วยชนิดนี้ว่า กล้วยน้ำว้าสวน ซึ่งจะมีลักษณะลูกเล็กสั้นๆ ป้อมๆ ในแต่ละหวีมีไม่กี่ผล
เครือมีขนาดเล็ก คนซื้อเลยกลายเป็นเหยื่อของคนขายพันธุ์ไม้ คนที่ยังไม่รู้ก็คิดว่ากล้วยมะลิอ่องเป็นกล้วยเครือใหญ่
เคยเห็นตามงานพ่อค้าก็เอากล้วยน้ำว้าเครือใหญ่มาแขวน แล้วบอกว่า กล้วยมะลิอ่อง
ทำให้คนเข้าใจว่ากล้วยมะลิอ่องเป็นกล้วยเครือใหญ่ ก็ซื้อหาเอาไปปลูกกัน ก็ไม่ได้ไปแย้งเขา"

พอรู้เรื่องนี้ก็นึกภาพออกได้ว่า กล้วยมะลิอ่องนี้ก็เป็นกล้วยน้ำว้า ซึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนมีขายในกรุงเทพฯ
ขนาดลูกเล็กๆ ป้อมๆ อย่างที่อาจารย์ว่าจริง ชาวสวนแถบเมืองนนท์นำมาขาย
เมื่อเทียบกับกล้วยน้ำว้าอื่นที่มีขนาดใหญ่ดูน่ากินกว่า
ทำให้กล้วยน้ำว้าสวนดูเหมือนกับกล้วยเกร็นขนาดเล็กไม่น่าซื้อ กล้วยสวนของเมืองนนท์ก็เลยหายไป
เพราะหวีดูไม่สวย แต่สาเหตุที่สำคัญน่าจะเป็นเพราะราคาที่ดินที่สูงขึ้น ทำให้เรือกสวนเมืองนนท์หายไป
แต่ถ้าถามถึงความอร่อย กล้วยสวนจะมีรสชาติอร่อยกว่ากล้วยหวีใหญ่


ปรับปรุงพันธุ์กล้วยน้ำว้าเพื่อการค้า
ด้วยการที่อาจารย์กัลยาณีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกล้วยน้ำว้า จึงมีผู้ประกอบการรายหนึ่งเขามาปรึกษา
เรื่องเกี่ยวกับกล้วยน้ำว้าว่า เขาทำกล้วยแผ่นอบส่งออกไปประเทศทางยุโรป ตอนแรกทำไม่มากนัก
ส่งออกก็ไม่มีปัญหา แต่พอตอนหลังเพิ่มจำนวนส่งออกมากขึ้น มีปัญหาว่าทางยุโรปตีกลับ
เพราะหาว่าเอากล้วยแผ่นอบเก่าส่งไปให้ แต่ผู้ประกอบการรายนี้ยืนยันนอนยันว่าเป็นกล้วยใหม่ทำส่งไปให้
เพราะเขาเป็นผู้ทำและเป็นผู้ควบคุมการผลิตเองทั้งหมด

อาจารย์กัลยาณีถามคำแรกเลยว่า คุณรู้จักกล้วยน้ำว้าแค่ไหน
ผู้ประกอบการรายนี้บอกว่า ใครส่งกล้วยน้ำว้ามาผมก็ซื้อหมด ขอให้เป็นกล้วยน้ำว้า
"ไม่ได้ค่ะ" อาจารย์กัลยาณีบอกกับเขา แล้วชี้แจงให้ฟังว่า "กล้วยน้ำว้าในประเทศไทยที่ได้ศึกษามี 3 กลุ่ม
คือ
กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดง กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง
สำหรับกลุ่มแรกคือ
กลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้แดงมีผลดก ไส้กลางข้างในค่อนข้างแข็งหรือมีความฝาดสูง
เหมาะสำหรับเอาไปทำกล้วยเชื่อมหรือข้าวต้มมัด เพราะไส้จะค่อนข้างแข็งไม่เละ
ถ้าเอาผลสุกไปทำกล้วยบวชชีจะมีรสฝาดเจือ ไม่ค่อยอร่อย และถ้าเอาไปทำกล้วยตากจะมีสีคล้ำเหมือนกล้วยเก่า

อย่างที่ผู้ประกอบการรายนี้เจอปัญหา เพราะเอากล้วยน้ำว้าไส้แดงไปทำ ผู้ซื้อจึงตีกลับมาทั้งๆ ที่ทำใหม่
เพราะเอากล้วยน้ำว้าคละไส้ไปทำ ทั้งๆ ที่ทำเทคนิคเดียวกัน ล็อตเดียวกัน แต่สีมันต่างกัน
ซึ่งเกิดจากกล้วยที่มีไส้ต่างกัน แต่กล้วยน้ำว้าไส้แดงนำไปทำกล้วยอบน้ำผึ้งได้"

กลุ่มที่สองคือ กล้วยน้ำว้าไส้ขาวและกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง
อาจารย์กัลยาณีแนะนำให้ใช้ 2 พันธุ์นี้ สำหรับนำไปทำกล้วยแผ่นอบ
โดยแนะนำว่า "กล้วยน้ำว้ามะลิอ่องเป็นกล้วยน้ำว้าไส้ขาว เมื่อนำไปทำเป็นกล้วยแผ่นอบสีจะเหลืองสวย
ไม่เหลืองมากเหมือนกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้เหลือง ซึ่งกล้วยน้ำว้าไส้ขาวนี้เหมาะสำหรับทำกล้วยตาก กล้วยแผ่นอบ
ส่วนกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองจะเหมาะสำหรับกินสด กล้วยเชื่อม กล้วยบวชชี กล้วยทอด แป้งกล้วย
หรือทำได้ทุกอย่างไม่มีข้อจำกัด ในการแปรรูปกล้วยเพื่อเป็นการค้า กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองเหมาะที่สุด
เนื่องจากมีผลผลิตมาก ดูแลดีๆ จะได้ถึง 10-15 หวี ต่อเครือ ซึ่งกลุ่มกล้วยน้ำว้าไส้ขาว คือ มะลิอ่องทำไม่ได้
บำรุงให้ดียังไงผลผลิตก็เทียบกันไม่ได้ เพราะเป็นไปตามลักษณะสายพันธุ์"


กล้วยน้ำว้าไส้เหลืองใช้งานได้ครอบจักรวาล
สถานีวิจัยปากช่อง ได้ปรับปรุงพันธุ์กล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50 ซึ่งเป็นกล้วยน้ำว้าไส้เหลืองขึ้นมา
เนื่องจากกล้วยน้ำว้ากลุ่มไส้เหลืองสามารถนำมากินสดก็ได้ แปรรูปได้ทุกอย่าง
และยังมีผลผลิตที่ดกเหมาะสำหรับการปลูกเพื่อการค้าอีกด้วย

กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 เกิดจากการนำสายพันธุ์กล้วยน้ำว้าทั่วประเทศมาปลูกทดลอง แล้วคัดพันธุ์ขึ้นมา
เนื่องจากการผสมพันธุ์กล้วยยากมาก นักวิชาการจะไม่ใช้วิธีการผสมพันธุ์กล้วย
เมื่อคัดต้นกล้วยน้ำว้าที่มีคุณสมบัติดีที่สุดแล้ว ก็นำมาขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเนื้อเยื่อ
นำมาปลูกทดลองในสถานีวิจัยปากช่อง โดยการปลูกเปรียบเทียบกับสายพันธุ์อื่นอย่างละ 20 ต้น
และมีการนำผลผลิตมาเปรียบเทียบกันในแต่ละฤดูกาลอีกด้วย

อาจารย์กัลยาณีกล่าวว่า "ในช่วงฤดูร้อน เมื่อเทียบกับ 5-6 สายพันธุ์ กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 ยังเด่นกว่า
ฤดูฝนไม่ต้องกล่าวถึง เพราะปากช่อง 50 ดกกว่า ในฤดูหนาวโดยรวมผลผลิตไม่ค่อยดีก็ยังดีกว่าตัวอื่น
การเปรียบเทียบสายพันธุ์นี้ไม่ใช่ทำแค่ 1-2 ปี แต่ได้ปลูกเปรียบเทียบมาเกือบ 10 ปีแล้ว ทำมาครั้งละ 1-2 ไร่
ผลผลิตก็ยังสม่ำเสมอเหมือนเดิม ในการปลูกเพื่อเปรียบเทียบผลผลิต ไม่ใช่เปรียบเทียบแค่ระหว่างต้นต่อต้น
แต่ต้องเปรียบเทียบอย่างน้อย 10-20 ต้น และเปรียบเทียบในทุกช่วงฤดูกาล"

อาจารย์กัลยาณี เล่าว่า เคยมีเกษตรกรบางคนบอกว่า กล้วยน้ำว้าของเขามีผลผลิตมากกว่ากล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50
คือได้เครือละ 15 หวี แต่พอซักเข้าจริงๆ มีแค่ครั้งเดียวและก็ต้นเดียว ซึ่งเป็นเพราะสภาพต้นที่สมบูรณ์มาก
ไม่ได้มีจำนวนมากถึงเป็นหลายสิบต้นที่มีความสมบูรณ์เหมือนๆ กัน


เปรียบเทียบระหว่างหน่อกล้วยกับกล้วยปั่นตา
การคัดพันธุ์ เพื่อหากล้วยน้ำว้าที่มีผลผลิตดีที่สุดของสถานีวิจัยปากช่อง ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ก็เหนื่อยพอแล้ว
แต่ยังต้องเหนื่อยต่อไปอีก เพราะเรื่องยังไม่จบ ในการปลูกกล้วยเกษตรกรมักเคยชินกับการปลูกกล้วยด้วยหน่อ
เนื่องจากเห็นว่าขนาดของหน่อใหญ่กว่ากล้วยที่ได้จากการปั่นตามาก
ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่เข้าใจว่า กล้วยที่ปลูกจากหน่อโตเร็วกว่ากล้วยที่มาจากการปั่นตา

และถ้าสถานีวิจัยปากช่องขุดหน่อกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 มาขาย
คงจะไม่เพียงพอให้แก่เกษตรกรทั้งประเทศแน่นอน จึงต้องนำกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 มาปั่นตา
อาจารย์กัลยาณีก็ต้องเหนื่อยอีกรอบ โดยการทำแปลงทดลองระหว่างกล้วยที่ขุดหน่อมาปลูก
กับกล้วยที่มาจากการเพาะเนื้อเยื่อว่าแบบไหนดีกว่ากัน
โดยปลูกหน่อกล้วยสูง 1 เมตร กับกล้วยปั่นตาสูง 50 เซนติเมตร ปรากฏว่า ปลูกครบ 4 เดือน สูงเท่ากันเลย
เพียงแต่ในช่วงแรกต้นกล้วยที่ได้จากการปั่นตา ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ที่ใกล้ชิด
คือต้องมีการรดน้ำ ถากหญ้า ใส่ปุ๋ย พอต้นลอกคราบเปลี่ยนใบใหม่ต้นกล้วยก็จะเจริญเติบโตอย่างเร็ว
ส่วนกล้วยหน่อหลังจากการปลูกแล้วจะแตกใบแรก แล้วต้นยังนิ่งอยู่ เพราะต้องรอสร้างรากก่อน
เนื่องจากกล้วยที่ขุดหน่อมักจะไม่มีราก ใบใหม่จึงชะงักอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วจะไปโตทันกันเมื่อครบ 4 เดือน


เทคนิคการปลูกและการไว้หน่อ
การขุดหลุมปลูกกล้วยก็ต้องพิถีพิถัน ไม่ใช่การขุดรูฝังกล้วย แต่ต้องขุดเป็นหลุม 50 เซนติเมตร ทั้งกว้าง ยาว ลึก
แล้วใส่ก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก รากของกล้วยหยั่งลึกอยู่ประมาณ 50 เซนติเมตร รากของกล้วยก็เหมือนคน
พอมันรุดหน้าไปเจอดินแข็งๆ เพราะเราขุดหลุมนิดเดียวมันก็ถอยกลับแล้วไชขึ้นด้านบน โคนก็ลอย
เมื่อเป็นกอใหญ่ๆ ก็ล้มลง แต่การขุดหลุมให้ใหญ่แล้วเอาปุ๋ยหมักลงดิน ด้านล่างจะซุยรากก็จะแทงลงดิน
การขุดหลุมเป็นการลงทุนเพิ่มหรือเพิ่มเวลาทำก็จริง แต่ได้ประโยชน์มากเพราะกล้วยจะเป็นกอขนาดใหญ่
อยู่ได้ 5-6 ปี ถ้าขุดหลุมปลูกเล็ก เมื่อกล้วยเป็นกอจะเจอปัญหาโคนลอยและล้มไปในที่สุด


อีกอย่างหนึ่งที่อาจารย์กัลยาณีแนะนำคือ การไว้หน่อของกล้วยน้ำว้า
โดยปกติชาวบ้านจะไว้หน่อกล้วยทุกหน่อที่เกิดข้างต้นแม่
การมีหน่อมากๆ เหมือนแม่มีลูกมาก ก็จะแย่งอาหารกินกัน ทำให้ต้นและผลไม่สมบูรณ์
แต่อาจารย์แนะนำว่าปลูกกล้วยไปแล้ว 6 เดือน ถึงจะไว้หน่อได้ 1 หน่อ
พอหน่อนี้อายุได้ 3 เดือน ก็จะไว้อีก 1 หน่อ นอกนั้นตัดทิ้งให้หมด เพราะฉะนั้น กล้วยแต่ละกอจะมีไม่เกิน 4 ต้น

การดูแลตัดใบที่เสียออกก็เป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้กอโปร่ง ถ้าในตอนกลางวันมีแสงลอดเข้าไปถึงโคนกอกล้วย
ก็ถือว่าโปร่งเพียงพอ และการหมุนเวียนของอากาศก็จะดี เพราะกล้วยไม่มีหน่อหรือใบมากจนเกินไป
แต่การตัดแต่งใบต้องระวังถ้าเหลือใบต่ำกว่า 7 ใบ ต้นจะไม่พอเลี้ยงลูก
การปลูกกล้วยน้ำว้าดีกว่ากล้วยหอม หรือกล้วยไข่ เพราะสามารถทำเป็นกอได้
และการปลูกกล้วยไข่และกล้วยหอมไม่จำเป็นต้องขุดหลุมใหญ่
เพราะผลมันจะสมบูรณ์แค่ 2 รุ่น ก็จะต้องล้มต้นปลูกใหม่


โรคตายพราย
โรคตายพราย เป็นโรคที่ต้องระวังมากในกล้วยน้ำว้า เพราะถ้าเป็นในแปลงเมื่อไหร่
จะไม่สามารถปลูกกล้วยน้ำว้าได้อีกในระยะ 10-20 ปี เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังเรื่องหน่อพันธุ์ที่ซื้อมา
ต้องไว้ใจได้ว่าไม่ได้ขุดหน่อมาจากแปลงที่มีปัญหาเรื่องโรคตายพราย
สำหรับการปลูกเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนหรือขายเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่จำเป็นนัก
แต่ถ้าเป็นการปลูกเพื่อเป็นการค้าขนาดใหญ่ การใช้ต้นกล้วยพันธุ์ที่ปั่นตาจะไม่มีปัญหาเหล่านี้
สนใจรายละเอียดมากกว่านี้ติดต่อได้ที่ สถานีวิจัยปากช่อง โทร. (044) 311-796 ในวันและเวลาราชการ


รายงานโดย องอาจ ตัณฑวณิช ชมรมการจัดการทรัพยากรเกษตร www.ongart04@yahoo.com
คอลัมน์ เทคโนโลยีการเกษตร นิตยสาร เทคโนชาวบ้าน
วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 23 ฉบับที่ 495
ที่มา : http://info.matichon.co.th
ภาพจาก : http://www.bankaset.com

Read More...


ปลูกมะละกอ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง

‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง

มะละกอเป็นอีกผลไม้ที่ได้รับความนิยมจากคนไทย ทั้งรับประทานแบบผลสุกหรือใช้ผลดิบทำเป็นส้มตำ
ตลาดของมะละกอจึงกว้าง ขณะที่การปลูกขายนั้นสามารถปลูกแซมกับพืชหลักที่ปลูกอยู่แล้วก็ได้
หรือจะปลูกเป็นพืชหลักเพื่อจำหน่ายก็ไม่เลว และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็อาจเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี...

จ.แพร่ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน มีการปลูกส้มและลำไยเป็นพืชเศรษฐกิจมานาน
แต่ปัจจุบันเกษตรกรประสบปัญหาเรื่องราคาผลผลิตตกต่ำ ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน
เกษตรกรหลายรายต้องกู้หนี้ยืมสินมาทำการเกษตร ทำให้มีรายได้ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
ดังนั้น ทางศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่ กรมวิชาการเกษตร จึงได้สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชที่ให้ผลผลิตเร็วทดแทน
เพื่อให้ได้รายได้เร็วที่สุด และ “มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์” ก็เป็นพืชทางเลือกหนึ่งที่ให้ผลผลิตเร็ว
สามารถปลูกแซมในสวนส้มและสวนลำไยเก่าได้ทันที

มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ เป็นมะละกอพันธุ์ใหม่ที่มาแรงและกำลังได้รับความนิยมในขณะนี้
ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค ทนทานต่อการขนส่ง

ปราณี กาใจ เป็นเจ้าของสวนลำไยที่ประสบปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย
และได้รับคำแนะนำให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์
โดยร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน อรวรรณ โพธิ์คำ และ ประสิทธิ์ ธรรมใจสุก
โดยปราณีบอกว่า หลังจากที่ราคาลำไยในตลาดตกต่ำลง
ทางเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร ก็เข้ามาให้ลองปลูกมะละกอฮอลแลนด์ทดแทนดู
จากการที่ได้ฟังข้อมูลก็เห็นว่าน่าสนใจ เพราะเป็นพืชที่ให้ผลเร็ว อีกทั้งยังมีตลาดแน่นอน
จึงตัดสินใจตัดต้นลำไยทิ้งไป 3 ไร่ เพื่อนำพื้นที่มาปลูกมะละกอฮอลแลนด์

มะละกอพันธุ์นี้มีอายุเก็บเกี่ยว 8 เดือน น้ำหนักผลอยู่ที่ประมาณ 800-2,000 กรัมต่อผล เนื้อมีสีแดงอมส้ม ไม่เละ
เนื้อหนา 2.5-3.0 เซนติเมตร ความหวานวัดได้ 11-13 องศาบริกซ์ ผลผลิตต่อต้น 60-80 กิโลกรัม
มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์นี้สามารถปลูกได้เกือบทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง
ดินที่เหมาะสมควรมีความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-5.0

เกษตรกรผู้ปลูกบอกว่า สำหรับการปลูกและการดูแลมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ก็ไม่ยุ่งยาก
เริ่มจากการเตรียมพื้นที่ โดยการไถและทำเป็นแปลงปลูก
จากนั้นขุดหลุมให้ความลึกประมาณที่จะใส่ต้นพันธุ์ลงไปได้ โดยให้มีระยะปลูก 2.5x3 เมตร
ซึ่งใน 1 ไร่จะสามารถปลูกต้นมะละกอได้ประมาณ 224 ต้น

ต้นพันธุ์นั้นปัจจุบันมีขายทั่วไป ราคาถุงเพาะละ 10 บาท โดยจะมีอยู่ 3 ต้นใน 1 ถุงเพาะ
‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง-1 ‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง-2
เมื่อเตรียมพื้นที่ปลูกเรียบร้อยแล้ว ก็ลงต้นพันธุ์หลุมละ 1 ถุงเพาะ
แต่ก่อนที่จะลงต้นพันธุ์ในหลุม ให้ใส่ปุ๋ยคอกรองลงก้นหลุมประมาณ 1 ช้อนโต๊ะก่อน
เมื่อลงปลูกเรียบร้อยก็ให้น้ำตามปกติ

การรดน้ำจะให้ตอนที่ดูแล้วว่าที่โคนต้นมีความแห้งมากแล้ว เวลาให้ก็รดน้ำพอประมาณ ไม่ให้น้ำขังอยู่ที่โคนต้น
ส่วนการใส่ปุ๋ยนั้นจะให้ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง
การให้ปุ๋ยจะต้องให้สลับกันระหว่างปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15
ที่สำคัญต้องค่อยกำจัดวัชพืชที่ขึ้นรอบๆ บริเวณต้นมะละกอออกด้วย

หลังจากที่ลงปลูกมะละกอไปได้ประมาณ 3 เดือน มะละกอทั้ง 3 ต้นที่อยู่ในหลุมเดียวกันจะเริ่มออกดอก
ให้ทำการตัดต้นที่เป็นตัวผู้และตัวเมียทิ้ง เหลือไว้แต่ “ต้นกะเทย” เนื่องจากต้นกะเทยจะให้ผลที่ดก
และลูกมะละกอที่ออกมาจะยาวสวย เนื้อหนากว่าต้นที่เป็นตัวเมียและตัวผู้
โดยการสังเกตต้นกะเทยนั้นก็ให้ทำการแหวกกลีบดอกดู
ถ้าต้นไหนที่มีทั้งเกสรตัวเมียและตัวผู้อยู่ในดอกเดียวกัน...นั่นก็คือต้นกะเทย


เมื่อตัดเหลือแต่ต้นกะเทยแล้ว ก็ดูแลให้ปุ๋ยให้น้ำตามปกติไปอีกประมาณ 7-8 เดือน
มะละกอก็จะให้ผลและเริ่มเก็บขายได้ ในระยะที่มะละกอติดผลอ่อน
ก่อนเก็บให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 รอบๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะต่อต้น
การเก็บนั้น เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกประมาณ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย

‘ปลูกมะละกอ’ ขาย ‘พันธุ์ฮอลแลนด์’ มาแรง-3

“หลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลขายได้ทุกสัปดาห์
ไปจน 3 ปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ต้องตัดทิ้ง ปลูกใหม่”

สำหรับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้นั้น ถ้าขายส่งให้โรงงาน ราคาตอนนี้จะอยู่ที่กิโลกรัมละประมาณ 6 บาท
แต่ถ้านำไปขายตามตลาดเองก็จะได้กิโลกรัมละประมาณ 15 บาท
ซึ่งเจ้าของสวนรายดังกล่าวบอกว่า ตอนนี้มีรายได้จากการขายมะละกอต่อไร่ต่อเดือนละประมาณ 10,000 บาท

เกษตรกรผู้ปลูกมะละกอขายรายนี้ อยู่ที่ ม.6 ต.วังธง อ.เมืองแพร่ จ.แพร่
ส่วนผู้ที่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์
ลองสอบถามไปที่ “ศูนย์วิจัยพืชสวนแพร่” เบอร์โทรศัพท์ 0-5452-1387


คู่มือลงทุน...ปลูกมะละกอฮอลแลนด์
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่ในการปลูก
ทุนหมุนเวียน ขึ้นอยู่กับปริมาณพื้นที่ในการปลูก
รายได้ ประมาณ 10,000 บาท/ไร่/เดือน
แรงงาน ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ตลาด หาแหล่งขายส่ง, ขายปลีกเอง
จุดน่าสนใจ ตลาดกว้าง, ปลูกง่ายให้ผลเร็ว


ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th
ที่มา : http://www.udclick.com

Read More...


ผัดไทย“แป้งเผือก”เมนูอาหารเทศกาลเจ

เปาะเปี๊ยะสด
เปาะเปี๊ยะสด

ปัจจุบัน หลายคนเริ่มหันมา "การกินเจ" กันมากขึ้น ทั้งที่ "ถือศีล" และ "เพื่อสุขภาพ"
แต่อาหารที่มีขาย ส่วนใหญ่มักจะหนักไปทาง "แป้ง" เมื่อกินเข้าไปจำนวนมากหลายวัน
ก็อาจเป็นผลให้ "ห่วงยางรอบเอวขยายวงกว้าง" เพิ่มมากขึ้น
ฉะนี้...เพื่อเป็นอีกทางเลือกให้กับกลุ่มผู้บริโภค รวมทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ขาย
น.ส.รุจิรา เรมัย นักศึกษาจากภาควิชาสาขาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
จึงคิดค้นเมนู "อาหารพลังงานต่ำจากเผือก" มาต้อนรับเทศกาลเจที่จะถึงนี้
โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุดาพร ทิมฤกษ์ เป็นที่ปรึกษา

น.ส.รุจิรา เรมัย และ ผศ.สุดาพร ทิมฤกษ์
น.ส.รุจิรา เรมัย และ ผศ.สุดาพร ทิมฤกษ์

น.ส.รุจิรา บอกกับ "ทำได้ ไม่จน" ว่า การบริโภคอาหารในแต่ละมื้อ
สิ่งสำคัญที่สุดต้องคำนึงถึงคุณค่าที่ร่างกายได้รับ ควรมีให้ครบตามหลักโภชนาการ
โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ ที่มีการละเว้นเนื้อสัตว์
ดังนั้น เพื่อให้ได้สารอาหารตามที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วน นักศึกษาจึงได้นำ "เผือก" มาเป็นวัตถุดิบหลัก

สำหรับเผือกปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงาน 94 แคลอรี แคลเซียม วิตามิน โปแตสเซียม ฟลูออไรด์ และธาตุเหล็ก
ซึ่งนอกจากร่างกายจะย่อยได้ง่าย ยังสามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
อาทิ ผัดซีอิ๊ว ผัดไทย ก๋วย-เตี๋ยวหลอด บาร์บีคิว ผัดเม็ดมะม่วง
และ...เมนูอร่อยเด็ดที่ทีมงานนำมาฝากก็คือ "ผัดไทยแป้งเผือก"

ผศ.สุดาพร บอกว่า สูตรและกรรมวิธีนั้นแสนจะง่าย สิ่งสำคัญสุดจะต้องทำแป้งเผือกก่อน ซึ่งส่วนประกอบมี
แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย
แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
เผือกหอม หั่นละเอียด 200 กรัม
เห็ดหอม แช่น้ำหั่นละเอียด 100 กรัม
น้ำเปล่า 2 ถ้วย
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
จากนั้นเทใส่ถาดหรือถ้วยกลม เอาไปนึ่งให้สุกใช้เวลาประมาณ 30 นาที

แป้งเผือกที่นึ่งสุกแล้ว
แป้งเผือกที่นึ่งสุกแล้ว

...เสร็จแล้วพักให้เย็น หากจะทำเป็นผัดไทยหรือซีอิ๊ว ให้ตัดเป็นชิ้นยาวพอประมาณ
หรือถ้าทำบาร์บีคิว ผัดเม็ดมะม่วง ให้ตัดเป็นลูกเต๋าขนาดใหญ่พอคำ
แป้งเผือกที่นึ่งสุกแล้วหากไว้ในตู้เย็นจะเก็บได้นาน 3 วัน...

มาถึงกรรมวิธีการปรุงให้อร่อยลิ้น
ถ้าต้องการให้แป้งเผือกมีกลิ่นหอม ควรนำไปทอดในน้ำมันก่อน
และเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน ควรใส่เต้าหู้ซึ่งหั่นเป็นลูกเต๋า ตามด้วย คะน้า แครอท ถั่วงอก
นำทั้งหมดลงไปผัด ปรุงรสตามใจชอบ เสร็จแล้วก่อนเสิร์ฟโรยด้วยถั่วหรือเม็ดมะม่วง
...เพียงเท่านี้ก็จะได้เมนูใหม่ทำไว้กินก็ได้ หรือจะทำขายกำไรก็งามไว้ต้อนรับเทศกาลกินเจ...

บาร์บีคิวแป้งเผือก
บาร์บีคิวแป้งเผือก

นอกจากนี้ ผศ.สุดาพรยังแถมท้ายมาว่าทางภาควิชาฯ
ได้จัดประกวดอาหารคอกเทลขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน 52 นี้
ใครที่สนใจกริ๊งกร๊างสอบถามได้ที่ 08-1827-3702, 08-4144-4029 ในวันเวลาที่เหมาะสม.


โดย เพ็ญพิชญา เตียว
16 ตุลาคม 2552
ข้อมูลโดย : http://www.thairath.co.th

Read More...


หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ -1

การเก็บ "หน่อไม้ฝรั่ง" ส่งขายทั้งตลาดภายในประเทศและส่งออกไปยังเพื่อนบ้าน
เกษตรกรชาวไร่ต้องตกแต่งตัดโคนที่แข็งแก่ออกทิ้ง เพื่อให้สวยงาม ดูแล้วน่ากิน
ซึ่งหลังรวบรวมผลิตผลเสร็จ จะเหลือ "โคนแข็ง" อยู่ เหลือทิ้งกลายเป็นขยะมากมาย
เพื่อลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน น.ส.จันทร์จีรา ทองร้อยยศ นักศึกษาชั้นปีที่ 4
ภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี
จึงนำมาแปรรูปเป็น "หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส"

จันทร์จีรา บอกกับ "ทำได้ ไม่จน" ว่า ในหน่อไม้ฝรั่ง มีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ
มีวิตามิน B 3 บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น และจากการที่พบเห็นว่าโคนหน่อไม้ฝรั่งในชุมชน
หลังตกแต่งเสร็จแล้วจะมีเหลือทิ้งจำนวนมาก รู้สึกเสียดาย อีกทั้งราคาซื้อขายค่อนข้างแพง
จึงคิดว่าน่าจะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในรูปแผ่นปรุงรส
เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของกลุ่มคนที่ชอบทานของขบเคี้ยวเล่นในยามว่าง

หน่อไม้ฝรั่ง

ขั้นตอนกรรมวิธีการทำนั้นไม่ยุ่งยาก เริ่มจากนำโคนหน่อไม้ส่วนที่ตัดทิ้ง 500 กรัม มาล้างน้ำให้สะอาด
เลือกเอาเฉพาะที่ยังมีสีเขียวมาปอกเปลือกเอาส่วนที่แข็งออก จากนั้นนำไปลวกในน้ำร้อนจัดนาน 1-2 นาที
เสร็จแล้วแช่ในน้ำเย็นจัดปล่อยทิ้งไว้
...จากนั้นผัดเครื่องปรุงประกอบด้วย พริกไทยป่น 2.5 กรัม น้ำมันพืช 10 กรัม กระเทียม 15 กรัม
กระทั่งมีกลิ่นหอม จึงใส่เกลือ 5 กรัม น้ำตาล 7.5 กรัม ตักใส่รวมกับหน่อไม้ นำไปปั่นให้เข้ากัน

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส

เสร็จแล้วนำถุงพลาสติกขนาด 12 x 18 นิ้ว ซึ่งทาด้วยน้ำมันพืช นำไปรีดเป็นแผ่นบางๆ ให้สม่ำเสมอกัน
แล้วแกะออกเป็นแผ่น นำไปอบลมร้อนในอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 5 ชั่วโมง
นำมาตัดเป็นแผ่นขนาด 1.5-1 นิ้ว
เพียงเท่านี้ก็จะได้ หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส ซึ่งมีลักษณะเหมือนสาหร่ายแผ่น ที่ขายตามท้องตลาด
...แล้วยังอุดมด้วยคุณประโยชน์ด้านโภชนา ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ลดปริมาณคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด
เพราะมีการปรุงแต่งกลิ่นรสชาติจากสมุนไพร ทั้งกระเทียมและพริกไทย
ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณมาก

ใครที่สนใจทำไว้สำหรับกินเล่นในครอบครัว
หรือจะทำขายเพื่อ "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้" ก็ไม่จนเงินใช้อย่างแน่นอน
สามารถกริ๊งกร๊างสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 08-1362-7269 ในวันและเวลาที่เหมาะสม.


รายงานโดย เพ็ญพิชญา เตียว
ข้อมูลโดย : http://www.thairath.co.th

Read More...


ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว’ สูตรนี้ขายดี-ไม่เหมือนใคร

‘ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว’ สูตรนี้ขายดี-ไม่เหมือนใคร-1


ปลาร้า” อาหารประจำถิ่นชาวอีสานนั้น นับวันยิ่งไม่ธรรมดา
อาหารที่มีทั้งโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ ชนิดนี้ ผู้ที่ไม่ใช่คนอีสานก็ทานเป็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อประกอบกับมีคนอีสานกระจายอยู่ทุกทิศทั่วไทย อาชีพผลิตและจำหน่ายปลาร้าจึงยิ่งทำได้แพร่หลาย
ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอ...

จากการร่วมคณะของ สสส.ไปดูศูนย์เรียนรู้ชุมชนเกษตรรักษาสิ่งแวดล้อม
ตามแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะมุสลิมไทย (สสม.) ที่ฉะเชิงเทรา ช่วงที่ว่างจากโปรแกรมหลัก
ทางทีม “ช่องทางทำกิน” ก็ลองสำรวจตรวจสอบในพื้นที่
ก็ไปพบผู้มีอาชีพทำปลาร้าขายรายหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “ลัดดา รังประเสริฐ” ซึ่งทำ “ปลาร้าข้าวคั่ว
ขายเป็นธุรกิจย่อยๆ สามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย

ลัดดาเล่าว่า ปลาร้าข้าวคั่วสูตรที่ทำขายนี้เป็นแบบฉบับของต้นตระกูล จะไม่ค่อยเหมือนที่ไหน
และการทำขายก็จะเน้นขายเป็นตัวแห้งๆ ไม่ได้เป็นน้ำๆ
โดยเจ้าของสูตรปลาร้าข้าวคั่วสูตรนี้ทำขายมานานกว่า 15 ปีแล้ว
ซึ่งเดิมทีเดียว ก็ยังไม่ได้ยึดอาชีพทำปลาร้าข้าวคั่วขายอย่างจริงจัง ในตอนแรกนั้นเป็นแม่ค้าขายปลาสด
ทั้งจับมาขายและรับมาขาย ขายในตลาดสด ซึ่งช่วงนั้นก็ถือว่าพอขายได้ พอมีรายได้เลี้ยงครอบครัว

หลังจากยึดอาชีพขายปลาสดอยู่หลายปี ภายหลังก็เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายปลาสดกันมากขึ้น
ทำให้มีคู่แข่งทางการตลาดมากขึ้น รายได้เริ่มน้อยลง จนตนเองเริ่มมีปัญหาทางด้านการเงินในครอบครัว
จึงเริ่มที่จะมองหาช่องทางทำกินใหม่ๆ มองหาสินค้าใหม่ๆ มาขายแทนปลาสด

“ก็เริ่มมองหาสินค้าที่จะมาขายเสริม ก็คิดได้ว่าเรามีสูตรการทำปลาร้าข้าวคั่วจากรุ่นปู่รุ่นย่า
ก็เลยลองทำออกไปวางขาย ปรากฏว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี
จึงตัดสินใจยึดการทำปลาร้าข้าวคั่วขาย เป็นอาชีพหลักแทนการขายปลาสด ซึ่งก็ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
จนปัจจุบันครอบครัวอยู่กันได้สบายๆ เพราะปลาร้า”

ลัดดายังบอกอีกว่า “ปลาร้านั้น ทำได้ไม่ยากเกินความสามารถ เริ่มทำใหม่ๆ ก็ลองทำเป็นธุรกิจแบบเล็กๆ ไปก่อน
พอเริ่มมีลูกค้ามากขึ้น มีเงินทุนเพิ่ม ค่อยเริ่มขยายกิจการ


‘ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว’ สูตรนี้ขายดี-ไม่เหมือนใคร-2

สำหรับอุปกรณ์หลักๆ ที่ใช้ทำปลาร้าข้าวคั่ว ก็มี โอ่งดินเผา, ไม้ไผ่, ผ้ายาง, มีด เป็นต้น

ส่วนวัตถุดิบที่จำเป็นๆ ก็คือ เกลือเม็ด, ข้าวคั่ว ขณะที่ปลาชนิดที่ลัดดาใช้ทำปลาร้านั้น จะใช้ปลายี่สก
เป็น “ปลายี่สกเพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีเนื้อเยื่อ ก้างนิ่มและก้างน้อย เหมาะที่จะใช้ทำ

ขั้นตอนและวิธีทำปลาร้าข้าวคั่วสูตรนี้ เริ่มจากนำปลายี่สกมาทำการล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด
จากนั้นก็ทำการขอดเกล็ด ตัดครีบหลังและครีบหางออก ทำการผ่าท้องเอาไส้และขี้ปลาออก
แล้วก็แล่ปลาแผ่ออก จากนั้นจึงนำไปล้างน้ำเปล่าให้สะอาดอีกครั้ง หลังจากทำความสะอาดปลาแล้ว
ก็นำปลามาคลุกกับเกลือเม็ดให้ทั่วถึงทุกตัวในอัตราส่วนปลา 1 ตัน ต่อเกลือเม็ด 300 กิโลกรัม
และจึงนำไปใส่ในโอ่งดินเผาให้เต็มโอ่ง ใช้ผ้ายางปิดให้มิดชิด หมักทิ้งไว้ราว 7 วัน

โอ่งที่ใช้หมักนั้น อย่าลืมว่าต้องล้างทำความสะอาดก่อน หมักเกลือได้ระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้ว
ตามสูตรนี้ก็จะนำปลาขึ้นมาทำการคลุกเคล้ากับข้าวคั่วในอัตราส่วนปลา 1 ตัน ต่อข้าวคั่ว 200 กิโลกรัม
เมื่อคลุกเคล้าข้าวคั่วจนทั่วทุกตัวแล้ว ก็นำลงไปใส่ในโอ่งดินเผา ใช้ผ้ายางคลุมปิดให้มิดชิด
ใช้ไม้ไผ่ขัดด้านบนอีกขั้น เพื่อให้ฝาปิดแน่นขึ้น เพื่อเป็นการกันแมลงวันเข้าไปตอมและวางไข่
หมักทิ้งไว้อีกประมาณ 1 เดือน ก็สามารถนำขึ้นมาบรรจุใส่ถุงขายได้

ที่สำคัญหลังจากหมักปลาลงในโอ่งแล้วจะต้องฉีดน้ำสะอาดบนโอ่งวันละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันแมลงวันมาวางไข่
เพราะเวลาหมักปลาลงในโอ่ง น้ำหมักในโอ่งจะล้นขึ้นมาตามขอบโอ่ง เป็นตัวล่อแมลงวัน
ปลาร้าสูตรนี้จะไม่หมักปลากับข้าวคั่วเลย จะหมักกับเกลือก่อน แล้วถึงหมักกับข้าวคั่วอีกครั้ง
สูตรนี้จะไม่ทำให้เนื้อปลาเละ ที่สำคัญในการผสมเกลือต้องให้ได้ความเค็มมากพอ
แล้วจะทำให้ได้ปลาร้าที่รสชาติดีและปลาไม่เน่า” เจ้าของสูตรบอก

การทำปลาร้าข้าวคั่วของลัดดานั้น จะทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยทำครั้งละประมาณ 2.5 ตัน ต้นทุน
ในการทำนั้นอยู่ที่ตันละประมาณ 24,000 บาท โดยจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 60 บาท

ใครสนใจ “ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว” สูตรของลัดดา อยากลองซื้อไป รับประทานหรือจะสั่งไปจำหน่ายต่อ
ติดต่อได้ที่ หมู่ 17 ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา โทร. 0-3858-5134, 08-6883-6170
ส่วนใครอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีปลามาก อยากจะลองทำปลาร้ายขายดูบ้าง ก็ลองไปฝึกฝนฝีมือกันดู !!.


--จบ--

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
ข้อมูลโดย : เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 10 ม.ค. 2552--

ที่มา :
http://www.dailynews.co.th
http://www.udclick.com

Read More...


เมี่ยงลาว-หน้าตั้ง ข้าวตัง คุณยายอุดม

เมี่ยงลาว-หน้าตั้ง ข้าวตัง คุณยายอุดม

ข้าวตังเมี่ยงลาว-ข้าวตังหน้าตั้ง เป็นอาหารว่างไทยโบราณที่นับวันจะหาทานได้ยากเต็มที
เช่นเดียวกับผู้ชำนาญอาหารชนิดนี้ก็นับวันจะหาได้ยากเช่นกัน
เพื่อเป็นการอนุรักษ์อาชีพนี้ ทางคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน
จึงได้ไปสัมภาษณ์ขอข้อมูลเกี่ยวกับข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง มาให้ผู้อ่านได้ทราบกัน
คุณยายอุดม การสมใจ วัย 74 ปี ซึ่งยึด อาชีพขายข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง มานานกว่า 40 ปี เล่าว่า
ก่อนหน้ามีอาชีพขายข้าวโพดต้ม, ขนมต้มแดง-ต้มขาว ฯลฯ
ต่อมาเพื่อนที่ทำงานในกรมศิลปากรได้สอนการทำข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้งให้
ตั้งแต่บัดนั้นจึงได้ยึดอาชีพนี้เลี้ยงครอบครัวมาตลอด

ปัจจุบันคุณยายอุดมยังคงหาบข้าวตังขาย อยู่ที่หน้าศาลาว่าการ กทม.
และลูกๆ กับลูกสะใภ้อีก 3 คน ก็หาบข้าวตังขายตามสถานที่ต่าง ๆ
อาทิ หน้าร้านเป็ดย่างพูลสิน วัดตรีทศเทพ, หน้าร้านเป็ดย่างจิ๊บกี่ นางเลิ้ง และหน้าโบสถ์วัดมกุฏกษัตริยาราม
ซึ่งหากหมดรุ่นลูกรุ่นนี้ไปแล้วคงไม่มีใครสืบทอดต่ออีก

เรามาดูกันสิว่า....ข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง มีวิธีการทำอย่างไร...??
เริ่มที่ ข้าวตังดิบ ต้องสั่งซื้อมาจากต่างจังหวัด ราคา กก. ละ 85 บาท เหตุที่แพงเพราะว่าหายาก
แหล่งที่ทำข้าวตังดิบนั้น จะมาจากสถานที่ที่
ต้องหุงข้าวแบบเช็ดน้ำในปริมาณมากๆ โดยตักข้าวส่วนบนออกไป
ส่วนข้าวที่ติดก้นหม้อหรือก้นกระทะนั้นจะปล่อยให้แห้งกรอบสนิท และข้าวนั้นจะร่อนออกมาเอง
ซึ่งเรียกว่า
ข้าวตังดิบ นั่นเอง
ข้าวตังดิบนี้คุณยายอุดมเริ่มซื้อมาทำขายตั้งแต่ราคา กก. ละ 7 บาท จนปัจจุบัน ราคา กก. ละ 85 บาท
ซึ่งในแต่ละวันต้องใช้ 8-10 กก. โดยข้าวตังดิบที่ซื้อมาจะมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ๆ สีขาวขุ่น
ซึ่งก่อนอื่น
จะต้องทอดเป็นอันดับแรก โดยตั้งกระทะ ใส่น้ำมันท่วม ไฟแรงจัด
ความร้อนนั้นต้องมาจากเตาฟืนหรือเตาถ่าน ข้าวตังจึงจะอร่อยได้รสชาติจริงๆ
ซึ่งหากทอดด้วยเตาแก๊สรสชาติของข้าวตังนั้นจะไม่อร่อยเลย


การทอดนั้นต้องทอดด้วยความรวดเร็ว
เพราะเมื่อใส่ข้าวตังดิบลงไปในกระทะแล้ว ข้าวตังจะฟูเหลืองกรอบขึ้นมาทันที
พลิกทอดข้าวตังอีกด้าน เพื่อให้สุกเหมือนกัน
จากนั้นก็นำขึ้นมาพัก ให้สะเด็ดน้ำมันเสียก่อนที่จะนำลงไปบรรจุถุงพลาสติกเตรียมไว้
ในปริมาณถุงละ 200-300 กรัม ข้าวตังดิบ 1 กก. เมื่อทอดสุกแล้วน้ำหนักจะหายไปราว 300 กรัม

เมี่ยงลาว
มีลักษณะเป็นเม็ดๆ เรียงรายอยู่ในถาด โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูสดสีเขียว-สีแดง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทานคู่กับข้าวตัง


การทำเมี่ยงลาวก็ตั้งกระทะ เทน้ำมันลงไปไม่ต้องมาก ใช้ไฟร้อนปานกลาง (เน้นใช้เตาฟืนหรือเตาถ่าน)
จากนั้นใส่ขิงแก่โขลกละเอียด 500 กรัม ตามด้วยหอมแดงโขลกละเอียด 500 กรัม ลงไปเคี่ยวให้เข้ากัน
จากนั้นค่อยๆ เทถั่วป่น 4 กก. ลงไปผัดให้เข้ากัน ปรุงรสหวานเค็มตามใจชอบ ผัดกวนไปเรื่อยๆ จนงวดแห้ง
ซึ่งขั้นตอนการกวนนั้นจะต้องใช้ไฟอ่อน จากนั้นนำขึ้นมาพักไว้

เตรียมใบผักกาดดอง
ล้างให้สะอาดประมาณ 2 น้ำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก เตรียมไว้

จากนั้นมาถึงขั้นตอนการห่อเมี่ยงลาว
นำใบผักกาดดองมาพับเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตักเมี่ยงลาวลงไปบนใบผักกาดดอง
จากนั้นห่อใบผักกาดดองปิดเมี่ยงให้เรียบร้อย ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด เรียงใส่ถาดให้สวยงาม
โรยด้วยพริกขี้หนูสด หรือบรรจุใส่ถุงพลาสติก 6 ชิ้น เพื่อขายคู่กับข้าวตังในราคาชุดละ 20 บาท

ต่อมาเป็น หน้าตั้ง
ตั้งหม้อใช้ไฟแรง เทหัวกะทิ 1 กก. ลงไปเคี่ยวผสมกับขิงแก่โขลกละเอียด 500 กรัม
และหอมแดงโขลกละเอียด 500 กรัม เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมทั้ง 3 อย่างเข้ากันเป็นอย่างดี
เคล็ดลับสำคัญคือจำเป็นต้องให้ไฟนั้นร้อนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจะต้องคอยหมั่นเติมฟืนหรือถ่านอยู่เรื่อยๆ
เมื่อส่วนผสม 3 อย่างเข้ากันได้ที่แล้ว ค่อยๆ เทถั่วป่น 2 กก. ลงไปเคี่ยวในหม้อด้วย คอยกวนไปเรื่อยๆ อย่าหยุดมือ
ปรุงรสด้วยน้ำตาล+เกลือ เพื่อให้มีรสชาติ ในขั้นตอนการเคี่ยวนี้ ถั่วป่นจะติดกันเป็นก้อน
แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเวลาที่ยกขึ้นมาจากเตาแล้ว ก่อนที่จะบรรจุลงถุงนั้นต้องกวนไปเรื่อยๆ
โดยต้องคอยบี้ให้ถั่วแตกออกมา แล้วตักบรรจุลงถุงๆ ละ 1 กระบวย มัดปากถุงให้เรียบร้อย
ขายคู่กับข้าวตัง ชุดละ 20 บาท ยังมีหน้ามะพร้าว ขูดมะพร้าวทึนทึก ออกมาเป็นฝอยๆ
จากนั้นบรรจุลงถุงพลาสติคพอประมาณ

นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมน้ำตาลทรายผสมงาดำคั่วบรรจุใส่ถุงเล็กๆ ไว้ต่างหาก
หรือน้ำตาลเปล่าๆ ไม่ผสมงา สำหรับคนที่ไม่ชอบงาดำ ขายคู่กับข้าวตังในราคาชุดละ 20 บาทเช่นกัน

สำหรับใครที่สนใจอยากลองไปสอบถาม หรืออยากอุดหนุน ข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง-หน้ามะพร้าว
ของคุณยายอุดม การสมใจ วัย 74 ปี คนนี้ ไปกันได้ที่หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถนนดินสอ
คุณยายจะวางหาบขายบริเวณหน้าร้านมนต์นมสดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-20.00 น.

นอกจากข้าวตังหน้าต่างๆ แล้ว ยังมี เมี่ยงคำ
ว่างๆ ก็ช่วยไปอุดหนุนคุณยายกันหน่อยนะ !!.

สุภารัตน์ ยอดสิริวิชัยกุล : รายงาน
ข้อมูลโดย เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 22 มิ.ย. 2546
ภาพถ่ายโดย Soonthorn O.K.Nation
ที่มาของภาพจาก http://forum.thaidvd.net
ที่มาของข้อมูล : http://library.dip.go.th

Read More...


ข้าวแกงปักษ์ใต้ ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ

'ข้าวแกงปักษ์ใต้' ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ-1

อาหารปักษ์ใต้” ได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว เป็นที่ชื่นชอบและนิยมของคนไทยจำนวนมาก
เพราะมีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อนถึงพริกถึงเครื่องสมุนไพรเอามากๆ

ชนิดที่ว่าน้ำแกงเข้มข้น ทั้งเค็ม เปรี้ยว เผ็ด เด็ดถึงใจกันเลยทีเดียว
หลายคนเมื่อใดที่นึกถึงเมนู อาหารปักษ์ใต้ อย่างพวกแกงเหลือง, แกงไตปลา, คั่วกลิ้งแล้วละก็
อดที่จะน้ำลายสอที่มุมปากไม่ได้ ทำให้นึกอยากกินอาหารปักษ์ใต้ขึ้นมาทันที
วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีเทคนิคการทำอาหาร ร้าน “ข้าวแกงปักษ์ใต้” มาแนะนำ
เพื่อพิจารณาเป็นอีกช่องทางอาชีพ...

อนัญญา เที่ยงน้อย หรือคุณกุ้ง เจ้าของร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดี (นครศรีธรรมราช )
เนื่องจากเป็นคนที่แพ้ผงชูรส เวลาไปทานอาหารนอกบ้านเจอร้านที่ใส่ผงชูรสทำให้แพ้ ท้องอืด ปากชา
ไม่สบายทุกทีไป ประกอบกับเป็นคนชอบทำกับข้าวมาตั้งแต่เด็ก และคุณแม่สอนทำอาหารพื้นบ้านชาวใต้
จึงมีความคิดที่จะทำร้านอาหารปลอดผงชูรส และนำผักพื้นบ้านที่หากินในกรุงเทพฯไม่ได้
มาให้ชาวใต้ได้กินกันถึงในกรุง ซึ่งอาหารใต้ส่วนใหญ่มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้านเป็นส่วนประกอบหลัก
จึงดีต่อสุขภาพ

คุณกุ้งบอกว่า ด้วยความตั้งใจอยากมีร้านอาหารปักษ์ใต้เป็นของตัวเอง
ประกอบกับได้รู้จักเจ้าของร้านบิ๊กแอ็ปเปิ้ลที่มีพื้นที่เหลืออยู่ จึงขอเช่าทำร้านอาหารอย่างที่ได้ตั้งใจไว้

จึงเกิดร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดีขึ้น

วัตถุดิบที่ใช้ สั่งตรงจากบ้านเกิดโดยให้น้องชายส่งขึ้นรถทัวร์มาทุกเช้า
เช่น ใบเหลียง, มันขี้หนู, ใบลาน้ำ, ใบมันปู ส่วนเนื้อสัตว์จะสั่งจากร้านที่คัดเกรด
หลังจากได้วัตถุดิบมาแล้ว ผัก จะทำการล้างด้วยน้ำยาล้างผักและน้ำส้มสายชู จนกว่าจะสะอาดจริงๆ
ใบที่ไม่สวยก็จะคัดทิ้ง หลังจากนั้นถึงจะนำมาให้ลูกค้ารับประทาน

สำหรับเมนูอาหารของร้านที่ลูกค้ามาต้องสั่งทานเพราะหารับประทานยาก
เช่น ใบเหลียงผัดไข่ แกงเหลืองมันขี้หนูปลากะพง, ปลาแดง-ปลากระบอกทอดขมิ้น, ขนมจีนเส้นสด-น้ำยาใต้,
คั่วเนื้อข่าอ่อน, กุ้งต้มกะทิหน่อไม้อ่อน, คั่วกลิ้งหมู , น้ำพริกแมงดา, ต้มส้มปลากระบอก, ผัดเผ็ดสะตอกุ้ง เป็นต้น
'ข้าวแกงปักษ์ใต้' ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ-2

เมนูพระเอกของร้านที่จะแนะนำคือ ใบเหลียงผัดไข่ เป็นอาหารจานผัดที่ดูธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดา
และอีกหนึ่งเมนูโปรดชาวใต้ ปลาแดงทอดขมิ้น ซึ่งเมนูนี้คุณกุ้งบอกว่าจะใช้ปลาทะเลอื่นๆ ก็ได้

อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำร้านข้าวแกงปักษ์ใต้นั้น ต้องเตรียมให้ครบครัน
ที่ขาดไม่ได้คือครกหิน นอกนั้นก็เป็นพวกเขียง, มีด, ช้อน, ส้อม, ทัพพี, หม้อหลายๆ ขนาด, กะละมัง, กระทะ,
เตาแก๊ส, เตาถ่าน, ตะแกรง, หม้อต้มน้ำซุป, ถาด เป็นต้น

วิธีทำ “ใบเหลียงผัดไข่” วัตถุดิบก็มี... ใบเหลียง, ไข่ไก่, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาล, น้ำมันรำข้าว, น้ำปลา, กระเทียม
การทำเริ่มจากล้างใบเหลียงให้สะอาด นำมาหั่น ทุบกระเทียมดีๆ ให้พอแตก จากนั้นตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง
ใส่น้ำมันรำข้าวเล็กน้อย ใส่กระเทียมที่เตรียมไว้ลงไปผัดพอหอม ตอกไข่ใส่ลงไป
คั่วให้เกือบจะสุกแล้วนำใบเหลียงที่หั่นเตรียมไว้ใส่ตามลงไป ผัดกลับไปกลับมาสองสามครั้ง
ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาล พอผักสลด ตักขึ้นใส่จาน เป็นอันเสร็จ ขายในราคาจานละ 40 บาท
ต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบประมาณ 60%

วิธีทำ “ปลาแดงทอดขมิ้น”
วัตถุดิบที่ใช้... ปลาแดงขนาดพอเหมาะ, ขมิ้นชัน, กระเทียม, เกลือ
การทำเริ่มจากคัดปลาสดๆ ขนาดพอดี นำขมิ้นชันกับกระเทียมดีๆ ใส่ครกโขลกเข้าด้วยกันพอหยาบๆ
แบ่งเป็นสองส่วน นำส่วนหนึ่งไปหมักปลาที่เตรียมไว้ กับน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ทิ้งไว้หนึ่งชั่วโมง
จากนั้นนำปลาไปทอดใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ทอดจนเหลืองสวย นำขึ้นใส่จาน
นำขมิ้นโขลกที่เหลือไปทอดน้ำมันอุ่นๆ พอเหลืองกรอบ ตักไปราดบนตัวปลา จัดแต่งให้สวยงาม พร้อมขาย
ราคาตัวละ 40 บาท ทุนวัตถุดิบประมาณ 60%

แต่ละวันเมนูข้าวแกงจะมีประมาณ 20 อย่าง สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องมีเมนูเด็ดยืนพื้นไว้ส่วนหนึ่ง
เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา ต้มส้มปลากระบอก หมูผัดกะปิ แกงคั่วหอยขม แกงหมูมะเขือพวง ฯลฯ
รวมถึง ใบเหลียงผัดไข่, ปลาแดงทอดขมิ้น

ราคาขายนั้น ถ้าเป็นข้าวแกงราด กับข้าว 1 อย่าง ราคา 30 บาท, ราด 2 อย่าง 40 บาท, แกงถ้วย 40 บาท,
ขนมจีนน้ำยากะทิ-น้ำยาป่า ชุดละ 30 บาท พร้อมผักเคียง หรือผักเหนาะจานใหญ่ๆ มากมาย
ซึ่งก็ถือว่าไม่สูง เมื่อเทียบกับคุณภาพอาหาร และผักที่บางอย่างหากินไม่ได้ในกรุงเทพฯ

คุณกุ้งบอกว่า กำไรไม่มาก เพราะต้นทุนสูง แต่ก็อยากให้ลูกค้าทานอาหารที่มีคุณภาพดี
เน้นความสะอาดและสดใหม่ และที่สำคัญรสชาติอาหารไม่เพี้ยนจากสูตรของชาวใต้ ซึ่งเหล่านี้คือ “จุดขาย”

ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดี (นครศรีธรรมราช) ของคุณกุ้งอยู่ตรงสี่แยกเกษตร-นวมินทร์ ตัดถนนสุคนธ์สวัสดิ์
ด้านซ้ายของร้านบิ๊กแอ็ปเปิ้ล เปิดบริการเวลา 08.00-15.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ เบอร์โทรฯ คุณกุ้ง 08-9798-4555
ทั้งนี้ ร้าน “ข้าวแกงปักษ์ใต้” ก็นับเป็นทางเลือกหนึ่งของอาชีพขายอาหารที่น่าสนใจ.


เชาวลี ชุมขำ เรื่องและภาพ
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

ที่มาของภาพ :
http://www.refer2rich.com
http://www.bloggang.com

Read More...


ขายขนมวุ้นเป็นอาชีพเสริม ไม่ยากอย่างที่คิด

ขายขนมวุ้นเป็นอาชีพเสริม ไม่ยากอย่างที่คิด

หากพูดถึงขนมเนื้อนิ่มๆ ใส อย่าง วุ้น คนส่วนใหญ่คงนึกถึงแต่วุ้นกะทิ
หรือหากเป็นสมัยก่อนที่ผู้เฒ่าผู้แก่รู้จักดี และนิยมทำก็จะเป็นวุ้นไข่ หรือวุ้นสังขยา
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวุ้นอะไร หลายๆ คนคงเคยชิมเคยทำกันมาบ้างแล้ว แล้วขนมที่ชื่อวุ้นนี้ก็ทำได้ไม่ยาก
จะหาวัสดุอุปกรณ์ในการทำก็ง่าย ราคาไม่แพง อีกทั้งเป็นขนมที่นิยมบริโภคกันอยู่ทั่วไป
ซึ่งเป็นข้อที่ยืนยันได้ว่า อาหารชนิดนี้ “ขายได้” แน่นอน

ในปัจจุบัน เราจะพบการทำวุ้นที่ดัดแปลงรูปแบบไปมาก อย่างที่เรียกกันว่า วุ้นเค้ก
ซึ่งก็เป็นวุ้นกะทินิยมทำสลับชั้นแล้วใช้พิมพ์รูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสัตว์รูปผลไม้ ดอกไม้แปลกๆ ใบไม้
ทั้งเป็นพิมพ์กด และพิมพ์ที่หล่อออกมาเป็นรูป
และนอกจากตัววุ้นอย่างเดียวแล้ว เรายังสามารถใส่ผลไม้บางชนิดลงไปด้วย ช่วยเพิ่มรสชาติของวุ้นให้ดีขึ้น
เช่น สามารถผสมกับโยเกิร์ต หรือผสมผลไม้ตามฤดูกาลอย่างสับปะรด ขนุน

โดยกรรมวิธีในการผลิตวุ้น ก็ไม่แตกต่างจากกรณีที่เป็นตัววุ้นล้วนๆ ส่วนต้นทุนการผลิตวุ้นนั้นก็ยังไม่สูงมาก
วัตถุดิบที่มีราคาสูงก็มีแต่เฉพาะตัวผงวุ้นเท่านั้น เพราะเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงแรกที่ทำขายอาจจะได้กำไรไม่มากนัก
แต่หากทำรูปแบบให้น่าสนใจ ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นไปเอง
นอกจาก รูปแบบที่น่าสนใจแล้ว ผู้ที่คิดจะผลิตวุ้นเพื่อขาย ต้องสนใจในเรื่องการบรรจุหีบห่ออีกด้วย
เพื่อให้ได้วุ้นที่น่ารับประทาน เป็นที่สะดุดตา

ในส่วนกระบวนการทำวุ้นนั้น เริ่มต้นอาจจะต้องรู้จัก ช้อนตวง เสียก่อน
เพราะการทำวุ้นต้องเคร่งครัดกับอัตราส่วนผสมต่างๆ ช้อนตวงมีขายตามร้านทั่วไป
และมีข้อแนะนำว่า ช้อนตวงชนิดสแตนเลส จะได้ขนาดถูกต้องกว่าแบบที่เป็นพลาสติก

ช้อนตวงส่วนใหญ่จะขายเป็นชุดมี 4 ขนาดด้วยกัน
คือ ขนาด 1 ช้อนโต๊ะ, 1 ช้อนชา, ครึ่งช้อนชา และ 1 ใน 4 ช้อนชา

นอกจากช้อนตวง ยังมี ถ้วยตวง สำหรับตวงวัตถุดิบที่เป็นของแข็ง เช่น น้ำตาล แป้ง
มีขนาด 1 ถ้วยตวง, ครึ่งถ้วยตวง, 1 ใน 3 ถ้วยตวง และ 1 ใน 4 ถ้วยตวง


การทำวุ้น
เริ่มต้น โรยผงวุ้นลงในน้ำตามส่วน คือ ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ถ้วยครึ่ง หรือ 3 ถ้วย
ถ้าไม่ใช้น้ำแต่เป็นกะทิก็เหมือนกัน ถ้าใช้เกินกว่านี้ วุ้นเมื่อเป็นตัวจะนุ่มไม่ค่อยอร่อย
เมื่อโรยผงวุ้นในน้ำแล้วสัก 1 นาที ให้วุ้นดูดน้ำให้เต็มที่ จึงนำไปตั้งไฟให้เดือดด้วยไฟปานกลาง
อาจจะใส่สี ใส่กลิ่น ใส่น้ำตาลทรายค่อนถ้วยตวง รสชาติจะไม่หวานจัด
แต่จะใส่มากหรือน้อยกว่านี้เล็กน้อยตามแต่ความชอบ ถ้าชอบหวานก็ใส่มากกว่านี้
เมื่อวุ้นเดือด เคี่ยวต่อสัก 5 นาที ก็เทลงพิมพ์ได้แล้ว

พิมพ์ทำวุ้น มีหลากหลายรูปแบบ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์เค้กทั่วไป

ในกรณีที่ทำเป็นวุ้นหลายๆ ชั้น เมื่อเทชั้นหนึ่งแล้วต้องรอให้ชั้นนั้นอยู่ตัวพอดี
คือ ให้เซตตัวประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยหยอดอีกชั้นลงไป
ตอนแรกๆ อาจจะหัดหยอดวุ้นกะทำให้ชำนาญก่อน คือวุ้นชั้นหนึ่งกะทิชั้นหนึ่ง จนกว่าจะเชี่ยวชาญ
จากนั้นเมื่อชำนาญดีแล้วจึงค่อยเทแบบที่เป็นสีสลับชั้นกัน คือเมื่อเทวุ้นซ้อน 2 ชั้น แล้วสีจะไม่ซึมเข้าผสมกัน
เพราะว่าแต่ละชั้นยังไม่อยู่ตัว หรือเทแล้วแต่ละชั้นไม่ติดกัน เพราะแห้งเกินไปกลายเป็นขนมชั้น
จากนั้นจึงค่อยมาเทวุ้นแต่ละชั้นเป็นสีสลับกัน

ที่สำคัญ ต้องนำเข้าตู้เย็น เพราะถ้าไม่อยู่ตู้เย็นวุ้นจะคืนตัว

ในช่วงแรกจะทำวุ้นอย่างเดียวก่อนก็ได้
ต่อไปเมื่อมีความชำนาญมากขึ้น ก็สามารถดัดแปลงเพิ่มเติมวัตถุดิบผสมลงไปได้ เช่น ใส่เมล็ดแมงลัก ฝอยทอง
หรืออาจจะเป็นลูกชุบ ทองหยิบ ทำให้หน้าตา รสชาติของวุ้นแตกต่างออกไป อาจจะเป็นผลไม้รวมกระป๋อง
ผลไม้สด แต่ถ้าจะใส่แตงโมคงต้องลดน้ำที่เป็นส่วนผสมของวุ้นลงเล็กน้อย เพราะว่าในแตงโมก็มีน้ำเช่นกัน
ใส่นมสดก็ได้ หากใส่นมจืดวุ้นก็จะกลายเป็นเต้าฮวยไป

อย่างไรก็ตาม การผสมวัสดุอะไรลงไป ควรจะต้องทดลองดูว่าใส่อะไร เท่าไหร่ สูตรเป็นอย่างไรก่อนทุกครั้ง

ตัวอย่างการทำวุ้นไข่ เริ่มต้นด้วย
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 2 ถ้วยครึ่ง
น้ำตาลทราย ¾ ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 1 ฟอง
สีผสมอาหารสีเหลืองไข่
กลิ่นมะลิ

ดำเนินการตามกระบวนการ ใส่วุ้นในน้ำ พอวุ้นดูดน้ำ ตั้งไฟเคี่ยว เติมน้ำตาล เติมกลิ่นมะลิเพื่อกลบกลิ่นไข่
นำไข่ 1 ฟอง ตีพอเข้ากันไม่ถึงกับฟู เมื่อเคี่ยววุ้นจนเดือดปุดๆ แล้ว เทไข่ให้กระจายให้ทั่ว เคี่ยวต่อจนไข่สุก
ถ้าวุ้นไม่เดือด ระวังไข่จะคาว และเวลาโรยไข่ให้ยกไข่สูงๆ เมื่อไข่สุกก็เทลงพิมพ์


ตัวอย่างการทำวุ้นมะพร้าว
เนื้อมะพร้าวอ่อนต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เริ่มต้นทำโดยการใช้ผงวุ้นใส่ในน้ำมะพร้าวแล้วเคี่ยว
เติมน้ำตาลพอได้ที่ ลดไฟให้อ่อนลง ใส่กะทิลงไป เคี่ยวจนเดือดรุมๆ ปิดไฟ
แล้วใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนชิ้นเล็กๆ ลงไปจากนั้นจึงตักหยอดพิมพ์


หมายเหตุ :
ในเรื่องของการทำวุ้น สิ่งที่สำคัญ คือ วัตถุดิบ
เป็นต้นว่า วุ้นต้องเลือกยี่ห้อที่จะนำมาใช้ เพราะแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติทางเคมีในการดูดน้ำ
ซึ่งผู้บริโภคจะรู้สึกได้เมื่อตอนรับประทาน จะติดใจหรือไม่ติดใจ วัตถุดิบวุ้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ


สำหรับกะทิ ควรจะเป็นกะทิทีคั้นจากมะพร้าวสด ๆ ทางที่ดีควรจะคั้นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องคั้นจากมะพร้าวที่ขูดขาว ไม่มีร่องรอยของกะลาดำๆ ติดมาด้วย
เพราะกะทิที่คั้นมาได้จะหอม หากใช้กะทิที่สำเร็จรูปรสชาติจะไม่ค่อยดี



การลงทุนทำวุ้น ใช้เงินไม่มาก ประมาณ 400-500 บาท เท่านั้น เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่มีอยู่ในครัวเรือนอยู่แล้ว

สำหรับผู้ที่คิดจะทำวุ้นเพื่อการจำหน่าย เริ่มต้นควรหาตลาดก่อน ว่าจะขายอย่างไร ตรงไหน
ดูกลุ่มลูกค้าว่าชอบวุ้นแนวไหน เพราะวุ้นมีสีสวยน่ารับประทาน อาจจะทำไว้หลายๆ แบบให้เลือก


เมื่อทำให้ไปเลือกดูพิมพ์ ถ้ามีกลุ่มลูกค้าเด็กหรือวัยรุ่น อาจจะใช้พิมพ์รูปสัตว์ ผลไม้ เพราะจะดูน่ารัก
อาจจะมีไม้หรือส้อมเล็กๆ ใส่ลงไปด้วย เพื่อสะดวกในการรับประทาน

รสชาติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อาจจะต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม เนื้อสัมผัสที่ดี
ถ้ามีร้านใหญ่หรือสามารถรับสั่งทำได้ อาจจะทำวุ้นเป็นชั้นๆ อันนี้จะได้ราคาดี
หรืออาจจะฝากขายตามร้านชำ ร้านขนมตามซูเปอร์มาร์เก็ต อันนี้ต้องขึ้นกับความสามารถในการติดต่อไปวางสินค้า

ถ้าจะวางตามซูเปอร์มาร์เก็ตต้องดูหีบห่อให้มิดชิด ต้องป้องกันการปนเปื้อน ให้ดูน่ารับประทาน
และควรบอกอายุการเก็บด้วย

วุ้นต้องอยู่ในตู้เย็น จะอยู่ได้ 1 สัปดาห์ ถ้าเกินจากนั้น แม้วุ้นจะไม่เสียแต่รับประทานไม่อร่อย
แล้ววุ้นจะค่อยๆ คืนตัว คือคายน้ำออกมา รสชาติเปลี่ยน มีกลิ่นหืน
ที่ว่าแช่ในตู้เย็นนี้ แช่ช่องธรรมดา อุณหภูมิประมาณ 8-10 องศา กำลังดี แช่แล้วรับประทานหวานชื่นใจ
ถ้าไม่แช่เย็นจะไม่อร่อยเลย

ช่วงที่จะขายวุ้นได้ดีที่สุด คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ส่งเป็นของขวัญแทนเค้ก
ซึ่งเราสามารถทำให้รูปร่างหน้าตาให้ออกสวยงามเหมือนเค้กได้ เพราะจะมีพิมพ์หลายรูปแบบให้เลือก
ซึ่งมีเทคนิคต้องหาความชำนาญในการหยอดพิมพ์ให้ออกมาเป็นรูปกลุหลาย รูประฆัง
สามารถตัดเป็นชิ้นๆ เหมือนเค้กได้


ข้อมูลโดย : http://www.bunditcenter.com
ภาพจาก : http://www.fotosearch.com
ที่มา :
http://www.raidai.com
http://www.udclick.com

Read More...


ซุปหน่อไม้ แอบแหวกแนว เมนูข้างถนนถูกปากไฮโซ

นันทนา ฤๅชัยสา เจ้าของร้าน พร้อมคุณแม่ที่คอยมาช่วยอยู่ข้างๆ เสมอ
นันทนา ฤๅชัยสา เจ้าของร้าน พร้อมคุณแม่ที่คอยมาช่วยอยู่ข้างๆ เสมอ

ขึ้นชื่อว่าซุปหน่อไม้ เมนูที่ขาดไม่ได้ในปาร์ตี้ส้มตำของใครหลายๆ คน
ซึ่งต้องมีส้มตำ ไก่ย่าง และข้าวเหนียวเป็นตัวชูโรง แต่สำหรับซุปหน่อไม้ เป็นเพียงเมนูเสริม เพื่อความอร่อย
หรือทำให้อาหารอีสานมื้อนั้นสมบูรณ์ขึ้น แต่คงจะยากที่ใครคิดจะทำซุปหน่อไม้ขายเพียงอย่างเดียว
เพราะเป็นเมนูที่หารับประทานได้ทั่วไป และต้องรับประทานร่วมกับเมนูอื่น
ดังนั้นหากไม่มีจุดขายที่ชัดเจน หรือรสชาติไม่โดดเด่นพอธุรกิจคงจะอยู่ยาก
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็ถูกนำมากับใช้กับร้านซุปหน่อไม้ริมถนนสุรวงศ์ ที่พยายามสร้างความแตกต่าง
จนปัจจุบันมีลูกค้าอุดหนุนไม่ขาดสาย นำจัดใส่ถุงอย่างต่ำวันละ 100 ชุด ไม่พอขาย

ซุปหน่อไม้ที่ยำเสร็จพร้อมรับประทาน
ซุปหน่อไม้ที่ยำเสร็จพร้อมรับประทาน

จากเด็กสาวที่เรียนจบอนุปริญญาด้านนิเทศน์ศิลป์ ราชภัฎพระนคร
หันมาเอาดีทางด้านการเป็นแม่ค้าขายซุปหน่อไม้ ที่มีลูกค้าหลากหลายระดับ
รวมทั้งระดับไฮโซ ที่โทรมาสั่งให้จัดไว้เป็นชุดๆ และขับรถมารอรับ ทำให้ในปัจจุบันรายได้ดังกล่าว
สามารถนำมาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไม่ขัดสน จากเงินเริ่มต้นธุรกิจเพียง 2,000 บาท

นันทนา ฤๅชัยสา เจ้าของร้านซุปหน่อไม้ บนถนนสุรวงศ์ เล่าว่า
ตนเองในช่วงที่เรียนก็ทำงานด้านงานออกแบบตกแต่งภายในไปด้วย เพื่อหารายได้ให้กับครอบครัว
รวมทั้งเป็นทุนการศึกษา โดยงานแรกที่ทำคือ ออกแบบโลโก้ให้กับมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง
จนกระทั่งเรียนจบก็แต่งงาน แต่เพียงไม่นานพ่อของสามีป่วยเป็นมะเร็ง ทำให้นันทนาตัดสินใจลาออก
มาคอยรับส่งพ่อของสามีจากบ้านย่านดอนเมืองไปส่งที่โรงพยาบาลราชวิถี
และส่งแม่ของตนเองไปขายล็อตเตอรี่ ที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสุรวงศ์
ซึ่งวิถีชีวิตเป็นอย่างนี้มาประมาณกว่า 1ปี จนกระทั่งพ่อสามีจากไป ก็กลับมาช่วยแม่ขายล็อตเตอรี่
อาชีพที่แม่ทำมานานกว่า 35 ปี แต่เมื่อคู่แข่งเยอะขึ้น ประกอบกับโดนลูกค้าโกงเงินทอนอยู่บ่อยครั้ง
จึงคิดเลิกขาย ซึ่งทั้งคู่ก็เริ่มมองหาอาชีพใหม่

ร้านตั้งอยู่ริมถนนสุรวงศ์ ผู้คนสัญจรพลุกพล่าน
ร้านตั้งอยู่ริมถนนสุรวงศ์ ผู้คนสัญจรพลุกพล่าน

ในช่วงนั้นญาติของพ่อที่อาศัยอยู่ที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีหน่อไม้ที่ขึ้นชื่อ
จากความอ่อนของหน่อไม้และความสดใหม่ จึงลองนำมาทำเป็นซุปหน่อไม้
โดยคิดเพียงต้องการแหวกแนวซุปหน่อไม้ที่จะใช้หน่อไม้ปี๊บ มีความเหนียว
ทำให้บางครั้งรับประทานซุปหน่อไม้ไม่อร่อย จึงลองนำหน่อไม้อ่อน มาลองทำดู
ก็รู้สึกว่าได้รสชาติของซุปหน่อไม้ที่แตกต่างจากที่เคยรับประทานมา

ช่วงเวลา 11.00 น. ลูกค้าเริ่มทยอยมาอุดหนุน
ช่วงเวลา 11.00 น. ลูกค้าเริ่มทยอยมาอุดหนุน

“เมื่อเราได้ลองผิดลองถูกในการนำหน่อไม้จากเกาะคา มาทำเป็นซุปหน่อไม้ที่มีกลิ่นหอมจากข้าวคั่ว
และพริกป่นที่คั่วเอง ไร้กลิ่นหมักดองของหน่อไม้ปี๊บ ก็ทำให้ได้รสชาติของซุปหน่อไม้ที่แปลกใหม่
พร้อมทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาด หรือสารพิษตกค้างจากหน่อไม้ปี๊บ
สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ทำเลที่แม่ขายล็อตเตอรี่ เปลี่ยนมาขายซุปหน่อไม้แทน
ซึ่งครั้งแรกใช้หน่อไม้สดประมาณ 10 กก. แต่เมื่อนำมาทำขายจริงจะเหลือหน่อไม้สดที่หั่นพร้อมนำไปยำ
ประมาณ 10 กก. ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า อาศัยปากต่อปากจากคนในละแวกเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือแม้แต่บริษัททัวร์ ที่ลูกทัวร์ชาวสิงคโปร์ก็เป็นลูกค้าประจำ
โดยมักซื้อไปเป็นของฝากนำขึ้นเครื่องไปอยู่เสมอกว่า 100 ชุด”


รับรองความสดใหม่ และรสชาติที่ต้องลิ้มลอง
รับรองความสดใหม่ และรสชาติที่ต้องลิ้มลอง

แม้จะเป็นเพียงแค่ซุปหน่อไม้ แต่สามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวมีกินมีใช้
สามารถเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวได้ทุกคน ถือว่าไม่ธรรมดา
ซึ่งเคล็ดลับความสำเร็จของธุรกิจนี้ เจ้าของร้านก็ไม่ได้ปกปิดสูตรแม้แต่อย่างใด แต่เน้นไปที่วัตถุดิบที่ต้องทำเอง
เน้นความสดใหม่ และมีใจบริการลูกค้า ต้องพยายามจำรสชาติของลูกค้าแต่ละคนให้ได้
รวมถึง มีการยำสดทุกจาน ขายในราคาชุดละ 20-30 บาท ที่มีทั้งนำไปยำเอง และพร้อมรับประทาน
โดยร้านนี้ไม่มีที่นั่ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะรู้ดี และโทรสั่งล่วงหน้า

ส่งผลให้ไม่เกินเที่ยงวัน ซุปหน่อไม้ที่ทำไว้เป็นชุดกว่า 100 ชุด ทยอยหมดลง
และที่ทำสดที่เตรียมไว้ก็ลดน้อยลงเช่นกัน เปิดขายในวันอังคาร-วันศุกร์

หน่อไม้สดต้มสุก เตรียมนำไปปรุงให้ลูกค้า ซึ่งเป็นหน่อไม้ที่เตรียมไว้ต่างหาก
นอกเหนือจากที่จัดไว้ 100 ชุดในแต่ละวัน

นอกจากเมนูซุปหน่อไม้ที่ขึ้นชื่อแล้ว นันทนายังทำเมนูอื่นๆ ขายควบคู่กันไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิมะม่วง ขนมจีนแกงไตปลา ห่อหมก และปลาทอดขมิ้น เป็นต้น
ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ กลัวลูกค้าเบื่อกับเมนูเดิมๆ ซึ่งเมนูใหม่เหล่านี้ก็มีการคัดสรรวัตถุดิบจากแหล่ง
ไม่ว่าจะเป็น กะปิ พริกแกงไตปลา ก็นำมาจากทางภาคใต้ ซึ่งพี่สะใภ้เป็นผู้จัดส่งมาให้

ซุปหน่อไม้ที่หลายคนมองข้ามไม่คิดจะทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง
มาวันนี้สร้างรายได้ไม่แพ้มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานตามออฟฟิศ แต่ต่างกันตรงที่ความภาคภูมิใจ
เพราะเป็นอาชีพที่เกิดมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของตนเอง รวมถึงมีความเป็นอิสระและได้เป็นนายตัวเอง

น้ำพริกกะปิมะม่วง ที่เป็นกะปิใต้
น้ำพริกกะปิมะม่วง ที่เป็นกะปิใต้

***สนใจติดต่อ 08-6991-5899 หน้าตั้งแยู่ฝั่งเดียวกับร้านจิมทอมป์สัน หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสุรวงศ์***


จาก อาชีพแก้จน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ที่มา : http://www.manager.co.th

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.