สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

บ้านโค้ก’ สร้างธุรกิจด้วยแบรนด์ดัง

ร้านบ้านโค้ก
อณัญญา สิทธิวีณา เจ้าของร้านบ้านโค้ก

ปัจจัยของความสำเร็จ ในข้อแรกๆ ที่มักจะได้ยินจากผู้ประกอบการก็คือความชอบหรือการหลงรักในสิงที่ตัวเองทำ “บ้านโค้ก” เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เริ่มมาจากความรักความชอบส่วนตัวแบบเต็มๆ ถึงจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นแม้จะดำเนินธุรกิจมาถึง 5 ปีแล้ว เพราะจังหวะที่เข้ามาทำธุรกิจทำให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วในช่วงต้น แต่ในส่วนของการอยู่รอดอย่างยั่งยืนนั้น ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนมากพอ แต่ก็นับได้ว่าในช่วงเวลานี้ เป็นการเตรียมขยับก้าวไปอีกขั้นของการเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จาก ที่ได้รับรู้ถึงโอกาสและอุปสรรคของธุรกิจ รวมทั้งจุดอ่อนจุดแข็งในตัวเองมาระดับหนึ่งแล้ว

เส้นทางธุรกิจของ “ร้านบ้านโค้ก” จากนักสะสมของที่เกี่ยวกับโค้กด้วยใจรัก และอยากหาเพื่อนที่หลงใหลในสิ่งเดียวกัน กลายมาเป็นจุดดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ได้อย่างไร อะไรคือความน่าสนใจและอนาคตของธุรกิจและผู้ประกอบการรายนี้

๐ ร้านบ้านโค้กขอแค่ได้เริ่มต้น

ตั้งแต่เมื่อเธอเกิดมาในวันที่ “โคคาโคล่า” ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “โค้ก” ทำให้เธอได้ชื่อ “โค้ก” เป็นชื่อเล่นที่ครอบครัวตั้งให้มาตั้งแต่เกิด จากวันแรกกว่า 20 ปีแล้วที่ “อณัญญา สิทธิวีณา” เริ่มต้นเป็นหนึ่งในคนรักโค้ก ด้วยการเก็บสะสมกระป๋องน้ำอัดลมโค้กที่แกรมมี่ทำคอลเลคชั่นนักร้องดังใน สังกัด อย่าง มาช่า วัฒนพานิช เจ-เจตริน และเต๋า – สมชาย เข็มกลัด เพราะนอกจากจะชื่นชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โค้กกระป๋องราคา 8 บาท ก็เป็นของสะสมชิ้นเล็กๆ ที่ถือว่าราคาไม่แพงเลย

ด้วยความหลงใหลในโลโก้ “Coca Cola” สีขาวแดง ที่เธอบอกว่าไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ให้ความรู้สึกถึงความคลาสสิกเป็นอมตะและไม่ เคยเบื่อที่จะมอง และด้วยความฝันว่าอยากจะมีบ้านหลังเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยของสะสมเกี่ยวกับโค้กทั้งบ้าน หลังจากเรียนจบและทำงานด้วยการช่วยธุรกิจครอบครัวซึ่งขายเคมีภัณฑ์ทางการ เกษตรอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ทำให้ค่อยๆ ใช้เงินที่หามาได้ไปกับการทะยอยซื้อของสะสมที่อยากได้มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีเงินซื้อ แต่ของสะสมที่เธอยอมจ่ายมากที่สุดในตอนนี้มีราคาไม่เกินหมื่น เพราะมองว่าถ้ามากกว่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เกินตัวเกินไป แม้ว่าจะอยากได้เท่าไหร่ก็ตาม

ร้านบ้านโค้ก
ภายในร้านบ้านโค้ก

และแล้วความฝันของเธอก็เริ่มเป็นจริงขึ้นมาในปี 2549 เมื่อราชพัสดุเจ้าของที่ดินและอาคารมีประกาศแจ้งว่าเจ้าของสิทธิ์อาคารที่ ไม่ได้ทำประโยชน์จะต้องคืนสิทธิ์ ประกอบกับตลาดร้อยปีสามชุกเริ่มจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมา ทำให้เธอตัดสินใจขอใช้อาคารห้องแถวไม้ 2 ห้อง ที่ป้าของเธอเป็นเจ้ามาอยู่และปิดร้างมา 10 กว่าปีแล้ว มาเปิดเป็น “ร้านบ้านโค้ก” เพราะอยากจะเอาของสะสมที่เก็บอยู่นานแล้วออกมาโชว์และหวังว่าจะได้เพื่อนใน ละแวกนั้นที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของโค้กเหมือนกัน

บวกกับความคิดที่อยากจะทดลองทำธุรกิจของตัวเอง จุดเริ่มแรกของ “ร้านบ้านโค้ก” จึงเน้นไปที่การหารายได้หลักจากการขายอาหารจานด่วน น้ำปั่น และกาแฟสด โดยมีสินค้าที่เกี่ยวกับโค้กจำหน่ายอยู่เล็กน้อย แต่จุดเด่นอยู่ที่การตกแต่งร้านด้วยของสะสมที่เกี่ยวกับโค้กกว่า 500 ชิ้น ที่นำมาจัดวางไว้ให้ชม
แม้ว่าร้านบ้านโค้กจะได้รับการตอบรับดีจากลูกค้าเป้าหมายทั้งคนในพื้นที่และ นักท่องเที่ยว ด้วยเมนูที่แตกต่างจากการดัดแปลงเอาอาหารพื้นถิ่นมาทำให้แปลกออกไปเป็นข้าว ผัดยำใบมะกอกกับผักสด และสเต๊กกับสลัดผัก ในราคาที่เป็นกันเองคือ 35 บาท และ 49 บาท แต่การขายอาหารก็ต้องหยุดไปหลังจากทำได้ประมาณ 6 เดือน เพราะพบว่าเหนื่อยและมีรายละเอียดที่จุกจิกเกินไปสำหรับเธอที่ต้องทำเองทั้ง หมดและให้บริการลูกค้าถึง 30 ที่นั่ง รวมทั้ง สถานที่ซึ่งเล็กเกินไปทำให้ “ร้านบ้านโค้ก” เปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไปเป็น “บ้านจัดแสดงของสะสม”

๐ร้านบ้านโค้กปรับคอนเซ็ปต์ธุรกิจ

ร้านบ้านโค้กเป็นการจัดแสดงของสะสมที่เกี่ยวกับโค้ก โดยมีการลงทุนเพื่อปรับแต่ง ติดกระจกและเครื่องปรับอากาศภายในร้าน และจัดวางมีซุ้มกาแฟสดอยู่ด้านนอก เพื่อแยกส่วนให้ชัดเจน และมีการเก็บค่าเข้าชม โดยเริ่มต้นจากคนละ 5 บาท ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการวิจารณ์กันมากทั้งในชุมชนเพราะเป็นแห่งเดียวที่เก็บ และด้วยการตกแต่งการใช้ป้ายขนาดใหญ่ที่สะดุดตา ทำให้ดูแปลกแยกในตอนนั้น กับทั้งนักท่องเที่ยวที่มีทั้งเสียงให้ตั้งเป็นกล่องบริจาคและให้เก็บในราคา ที่สูงกว่านี้

ในตอนที่ตลาดสามชุกยังไม่เป็นที่นิยมมีผู้ใหญ่ในพื้นที่พูดกับเธอว่า เสียเงินทำทำไม ไม่มีใครมาเดินหรอก คนพื้นที่ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวก็ไม่มา แต่ผ่านไปเพียงปีเดียวในช่วงปลายปี 2549 สถานการณ์ก็พลิกผัน เมื่อตลาดร้อยปีสามชุกกลับกลายเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวและเป็นหน้าเป็น ตาของคนท้องถิ่นจากการเข้ามาช่วยกันพลิกฟื้นของคนในชุมชนที่มีความรักและ ชื่นชมในสิ่งดีๆ ที่ตัวเองมี

ช่วงปี 2550-2551 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดสามชุกได้รับความนิยมสูงมาก และด้วยโดดเด่นของ “ร้านบ้านโค้ก” แม้จะเคยซ่อมแซมและตกแต่งภายในเอาไว้ด้วยเงินลงทุนถึง 3 แสนบาท แต่กลับไม่ได้คิดถึงการปรับปรุงโครงสร้าง บ้านเก่าอายุหลายสิบปีก็เกิดการทรุดตัวเมื่อมีคนแห่เข้าไปชมถึงวันละนับร้อย คน และเคยสูงถึงวันละ 600 คน ในช่วงที่มีชื่อเสียงมากๆ ทำให้ต้องเสริมซ่อมด้วยคานเพื่อรักษาโครงสร้างและความแข็งแรงของบ้านเอาไว้ และมีการจัดให้เข้าชมเป็นรอบๆ ละ 10-15 คนๆ ละ 10-15 นาที เพื่อไม่ให้แออัดเกินไปและทำให้คนที่เข้าชมรู้สึกว่าได้เข้ามาผ่อนคลายและ คุ้มกับค่าเข้าชมที่จ่ายไป

โดยเมื่อต้นปี 2554 ร้านบ้านโค้กมีการปรับเพิ่มค่าเข้าชมเป็นคนละ 20 บาท เพื่อให้เหมาะสมสอดรับกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งในตอนแรกก็มีความกังวลถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น แต่ในท้ายที่สุดก็พบว่าไม่ส่งผลกระทบกับจำนวนผู้เข้าชม เพราะมีการปรับปรุงในเรื่องของการบริการเพิ่มขึ้นด้วย เช่น การพูดจาที่เดิมเหมือนการสั่งเพราะต้องการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย เนื่องจากผู้เข้าชมไม่ค่อยระมัดระวัง มาเปลี่ยนเป็นการขอความร่วมมือหรือขอร้อง ทำให้บรรยากาศดีขึ้น

๐ ร้านบ้านโค้กคิดใหม่ให้ตอบโจทย์

ของสะสมที่เกี่ยวกับโค้กที่ “ร้านบ้านโค้ก” ไม่ได้เน้นที่การเป็นของหายาก หรือราคาแพง แต่เน้นที่ความชื่นชอบโดยส่วนตัวเป็นหลัก ในช่วงแรกของส่วนมากที่สะสมจะเป็นของที่ทำมาจาก เหล็ก ผ้า เป็นกระป๋อง จานชาม โมเดลเล็กๆ น่ารัก ไม่เน้นของที่ทำจากพลาสติกเพราะมีอายุการเก็บสั้นจากเนื้อวัสดุที่ชำรุด เปลี่ยนสีได้ง่าย จากนั้นจึงมีของสะสมอื่นๆ เพิ่มขึ้นมา ปัจจุบันของที่สะสมมีกว่า 5 พันชิ้นทั้งที่หาได้ในไทยและซื้อมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากอเมริกาและ ญี่ปุ่น และมีการจัดแบ่งเป็นโซน คือ โซนโมเดลของเล่น โซนผ้า โซนเครื่องเรือน โซนรูปภาพ และโซนป้ายต่างๆ

นอกจากนี้ กำลังจะจัดโซนใหม่เป็นโซนที่นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วม เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชอบซื้อหรือเอาของที่ตัวเองสะสมอยู่มาให้ ซึ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ผ่านมาให้เซ็นชื่อและลงวันที่เอาไว้ แต่ต่อไปคิดว่าจะเอามาจัดโชว์เป็นอีกโซนที่น่าจะได้รับความสนใจและอยากจะทำ

เธอมองว่าจุดดึงดูด ของ “ร้านบ้านโค้ก” ที่ทำให้คนมาเที่ยวชม เพราะความโดดเด่นของร้านที่มีการจัดวางของสะสมให้น่าดูกับการอนุญาตให้ถ่าย รูปได้ นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนมุมดิสเพลย์ใหม่ทุก 3 เดือนด้วย การนำของสะสมใหม่มาจัดแสดงและการจัดให้เข้ากับเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่ วาเลนไทน์ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจของคนที่มาซ้ำหรือเป็นคนที่ชอบโค้ก

แม้ว่าการวางคอนเซ็ปต์ร้านใหม่ทำให้มีรายได้จากการเก็บค่าเข้าชม สินค้า และกาแฟสด แต่เนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น จากทั้งกาแฟที่เริ่มแรกเคยมีเพียง 2 ร้านเท่านั้น กลับกลายเพิ่มเป็นนับสิบร้านเมื่อตลาดเติบโต เช่นเดียวกันสินค้าที่เกี่ยวกับโค้ก ก็มีคนที่เห็นโอกาสและนำมาจำหน่ายเช่นกัน
เธอจึงคิดว่าการขายสินค้าที่เกี่ยวกับโค้กไม่ใช่คำตอบทางธุรกิจ และเริ่มหันมาสร้างแบรนด์ “บ้านโค้ก” ด้วยการผลิตสินค้าของบ้านโค้กออกมาจำหน่ายควบคู่กันได้ โดยที่ผ่านมา มีตุ๊กตา “ซีซ่าจอมอ้วน” ซึ่งเป็นโลโก้ของร้านบ้านโค้ก ที่ทำออกมาเป็นตุ๊กตาตั้งโชว์ได้รับการตอบรับดีในช่วงตลอด 2 ที่ผ่านมา จึงมีแนวคิดที่จะทำสินค้าที่ลงทุนต่ำและขายได้เร็ว เช่น พวงกุญแจ และแม่เหล็ก ออกมาจำหน่ายในปีนี้ เพราะที่ผ่านมาสินค้าประเภทนี้ที่เป็นโค้กเป็นกลุ่มสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีที่เปิดขวด หมวก โค้กกระป๋อง และของพรีเมี่ยมจากโค้ก ซึ่งราคาไม่สูง ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ

๐ ร้านบ้านโค้กคิดเพื่ออนาคต

เธอยอมรับว่า “บ้านโค้ก” เข้ามาในจังหวะที่ดีเพราะมีองค์ประกอบโดยรวมที่ดี ทำให้สำเร็จมีชื่อเสียงในช่วงแรก แต่ก็พบว่ามีข้อผิดพลาดในการบริหารจัดการ เพราะในช่วงที่มีรายได้มากจากการเข้าชม แทนที่จะนำรายได้ไปใช้กับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่กลับใช้เงินไปกับการประชาสัมพันธ์ เพราะความคิดเห็นที่แตกต่างกันของหุ้นส่วนซึ่งไม่ได้เพียงเข้ามาช่วยวาง คอนเซ็ปต์ใหม่ของธุรกิจซึ่งเป็นส่วนที่ดี แต่ยังเข้ามาจัดการในส่วนอื่นๆ ด้วย ซึ่งแม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยแต่ด้วยความเป็นเพื่อน เธอจึงปล่อยให้ทำ

แต่เมื่อค่าใช้จ่ายด้านการประชาสัมพันธ์สูงเกินควร และการให้ความสำคัญกับการทำรายการวิทยุชุมชนซึ่งมีการแสดงความคิดเห็นที่ ค่อนข้างรุนแรง เธอจึงมองว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดการสร้างศัตรู เพราะเธอชอบการสร้างมิตรภาพมากกว่า จึงมีการพูดคุยและทำให้เห็นถึงความคิดที่แตกต่างกันมากขึ้น ในที่สุด จึงมีการแยกตัวออกไป ทำให้ปีที่แล้วต้องชะลองานและวางแผนใหม่ เช่น การทำเว็บไซต์ใหม่ในชื่อ www.baancockthai.com เพราะเพื่อนนำเว็บไซต์ในชื่อ www.baancoke.com ไปใช้ และการทำกิจกรรมใหม่ๆ กับลูกค้า เช่น เที่ยวแบบคนรู้ใจ

“จากที่อยากจะลองทำ และเมื่อทำแล้วมีคนตอบรับเยอะ ลูกค้าน่ารัก เป็นกำลังใจให้ทำต่อ ธุรกิจนี้ถ้าจะคิดว่าได้เป็นล่ำเป็นสันก็คงจะยังไม่ได้ แต่ที่เคยคิดว่าจะออกมาทำธุรกิจเองไม่ต้องพึ่งที่บ้าน ก็ออกมาทำแล้ว ที่ผ่านมาประเมินตัวเองว่าสอบผ่าน ในการทำธุรกิจ เพราะปัญหาเรื่องการขาดทุนเริ่มลดลง แต่ยังทำไม่ได้เต็มที่ สำหรับการลงทุนครั้งใหม่ที่คิดไว้จะใช้คอนเซ็ปต์ลงทุนน้อย ในระยะใกล้อยากจะทำโฮมสเตย์เพราะที่นี่ยังมีที่พักน้อย ส่วนระยะยาวอยากทำให้มีครบทุกอย่าง ทั้งสถานที่จัดแสดง ร้านขายสินค้า ที่พัก และร้านอาหาร เพราะไม่อยากรบกวนทางบ้าน ตอนนี้เงินที่ได้จากแม่ให้เริ่มต้นลงทุน 3 แสนบาทใช้คืนให้แล้ว แต่ต้องจ่ายหนี้เงินกู้ให้กับธนาคารออมสินเป็นรายเดือนอีก และโดยส่วนตัวเป็นคนชอบกินชอบเที่ยว“

“อยากให้ร้านบ้านโค้กเป็นเหมือนบ้านญาติที่ต้องมาแวะเยี่ยมเยียนกัน ซึ่งในแง่ธุรกิจถ้าคิดว่าอยู่แบบพอเพียงจะอยู่ได้ ส่วนการแข่งขัน ที่เกิดขึ้นคิดว่าเป็นตัวช่วยกระตุ้นไม่ให้เฉื่อย และมองว่าเป็นเพื่อนในธุรกิจมากกว่าจะได้มีของสะสมที่เอามาแลกกันได้ เพราะแต่ละคนมีแนวทางการนำเสนอในแบบของตัวเองที่แตกต่างกันอยู่แล้ว การทำให้ได้ลูกค้าเป็นความสามารถเฉพาะตัว และเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไขอย่าให้มาบั่นทอนความตั้งใจที่ต้องทำให้ได้”นัก สะสมที่ใส่หัวใจผู้ประกอบการไม่หยุดเปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริงกล่าวทิ้ง ท้าย

ร้านบ้านโค้ก
ร้านบ้านโค้ก

ที่ปรึกษาทางธุรกิจรายหนึ่งให้ความเห็นว่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังสามารถคิดในเชิงกลยุทธ์ในลักษณะของการต่อยอดแบรนด์โค้กได้ อีกมากมายเพราะมูลค่าแบรนด์ของโค้กแข็งแกร่งมากกว่าผลิตภัณฑ์มานานแล้ว จึงมีนักสะสมและคนที่ชื่นชอบโค้กอยู่ทั่วโลก เพราะฉะนั้น ผู้ประกอบการที่นำแบรนด์โค้กมาใช้เชื่อมโยงกับธุรกิจ จะต้องแสดงมูลค่าเพิ่มของโค้กออกมาให้ได้

การเพิ่มมูลค่าแบรนด์” แบบง่ายๆ ด้วยการนำผลิตภัณฑ์ของโค้กที่มีอยู่มาเพิ่มมูลค่า เช่น นำโค้กวันเวย์มาแช่ให้มีลักษณะเป็นวุ้นแล้วขาย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้ความคิดแหวกแนวแต่มีโค้กเป็นจุดขาย เช่น ไก่ย่างโค้ก โดนัทโค้ก ฯลฯ หรือการนำบรรจุภัณฑ์ของโค้กมาเพิ่มไอเดียและสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น นำขวดโค้กมาทำเป็นโคมไฟ ฯลฯ หรือ แม้กระทั่งการนำของพรี เมี่ยมของโค้กที่ทำออกมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ใส่ลายเซ็นคนดัง ฯลฯ ทำให้ได้ทั้งสีสันความแปลกใหม่ที่สร้างรายได้และชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน

ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์

Read More...


7-11” เปิดช่องดึงสินค้าเอสเอ็มอีเข้าร้าน

เซเว่นรับเสนอสินค้า sme
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์

“เซเว่น อีเลฟแว่น” เปิดช่องหนุนเอสเอ็มอี ขยายตลาดวางขายในร้านสาขาและแคตตาล็อก แจงปัจจุบัน มีสินค้าเอสเอ็มอีกว่า 800 รายการ ระบุมีทีมงานพร้อมเสริมแกร่ง กระตุ้นต้องเป็นสินค้าได้มาตรฐาน
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟแว่น (7-11) เปิดเผยว่า นโยบายของเซเว่นฯ ต้องการเน้นส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้เอสเอ็มอีมีช่องทางกระจายสินค้าที่กว้างขวาง ในขณะเดียวกัน ทางเซเว่นฯ ได้ประโยชน์ที่มีสินค้าหลากหลายบริการลูกค้า

ทั้งนี้ ช่องทางตลาดผ่านร้านเซเว่นฯ แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ วางสินค้าในร้านสาขา กับผ่านแคตตาล็อกเซเว่นฯ ซึ่งปัจจุบัน มีสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าขายในร้านเซเว่นฯ ประมาณ 800 ราย แบ่งเป็นขายในร้านสาขาทั่วประเทศ 300 ราย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทอาหาร และผ่านทางแคตตาล็อกของเซเว่นฯ อีกประมาณ 500 ราย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเครื่องใช้ อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าของเอสเอ็มอีที่มีวางขายเฉพาะบางสาขาในท้องถิ่นอีกนับพันราย

หลักเกณฑ์คัดเลือกสินค้า sme เข้าเซเว่น

นายสุวิทย์ เผยต่อว่า หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกสินค้าของเอสเอ็มอีที่จะเข้าร้านเซเว่นฯ ควรเป็นสินค้าแปลกใหม่ เป็นที่ต้องการของตลาด ราคาไม่สูงเกินไป และที่สำคัญต้องได้มาตรฐาน และมีความพร้อมในการผลิตเพื่อขาย โดยทางเซเว่นฯ จะมีทีมงานคอยช่วยเหลือ และพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควบคู่ไปด้วย ส่วนการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างกัน เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยเฉลี่ยจะคิดค่าส่วนแบ่งจากยอดขาย หรือ GP (GROSS PROFIT) ราว 30-40% แล้วแต่ชนิดสินค้า

“นโยบายของเรา ต้องการให้ร้านเซเว่นฯ เป็นเวทีให้เอสเอ็มอีได้ทดสอบตลาด และขยายโอกาสสู่วงกว้าง ซึ่งจะช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถเติบโตได้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม เอสเอ็มอีที่จะนำสินค้าเข้าเซเว่นฯ ต้องมีความพร้อม โดยเฉพาะการสร้างมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค” นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจจะเสนอสินค้าเข้าวางขายในร้าน 7-11 สามารถติดต่อได้ที่ฝ่ายจัดซื้อ โทร.0-2677-9000 หรือ www.cpall.co.th , www.7eleven.co.th

ที่มา: ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ถั่วกวน อบควันเทียน

http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-01.JPG
สมัยเด็ก..เพื่อนๆ เคยกินถั่วกวนสีเหลืองๆ ที่เค้าใส่โหลขาย 2 อันบาทไหมค่ะ .. พิมล่ะชอบมากๆ เลยค่ะขอบอก ^^ มาวันนี้ิพิมเห็นว่ามีถั่วทองที่นึ่งแล้วแช่อยู่ในช่องแข็ง + มีมะพร้าวขูดขาวเหลืออยู่จากการทำหน้าขนม ก็เลยขอมาทำถั่วกวนกินซะหน่อยจ้า
... เรื่องของเรื่องที่ทำถั่วกวนวันนี้ มันมีอย่างนี้ค่ะ ...  ก็พิมน่ะชอบทำขนมถั่วแปบไปขายที่ตลาดนัดแถวบ้านในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ตอนเช้าๆ ค่ะ   พิมขายกล่องละ 20 บาทมี 5 ตัว ทำไปครั้งนึงก็ 50 - 60 กล่องค่ะ  ก็ขายหมดทุกที ....  แล้ววันไหนหากพิมจะทำถั่วแปบเนี่ย พิมจะแช่ถั่วแปบไว้ตั้งแต่ตอนประมาณ 2 ทุ่มของคืนก่อนที่จะทำ 1 คืน  (คือแช่ถั่วไว้ก่อนจะทำ 6 ชม.)  แล้วพอประมาณตี 1 พิมก็จะลุกขึ้นมาทำ  (ทำเสร็จประมาณตี 6 โมงเช้า)    ...... แต่บางทีแช่ถั่วไว้แล้ว  ก็ดั๊นนนมีงานเข้า  ต้องออกไปทำงานนอกบ้านกระทันหัน   กว่าจะกลับมาถึงบ้านตี 2 ตี 3 ก็หมดเวลาที่จะทำขนมแล้ว  (เพราะว่าทำยังไงก็จะทำไม่ทัน)   ดังนั้นถั่วที่แช่เอาไว้นั้นก็เลยจะถูกเก็บใส่ช่องแข็งหลายครั้งเลยค่ะ
แล้วถั่วที่ถูกแช่เอาไว้ในช่องแข็งแล้ว นั้น  .. จริง ๆ มันเอาออกมาไว้ข้างนอกตู้เย็นให้น้ำแข็งละลาย เอาไปนึ่งให้ร้อนอีกรอบ  แล้วก็เอามาทำขนมถั่วแปบขายได้นะคะ แต่ว่าพิมไม่เอาอ่ะค่ะ ... แบบว่าถั่วที่ถูกนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้เอามาทำถั่วแปบในวันนั้น  พิมก็จะไม่เอามาทำถั่วแปบขายอีก    แต่ว่าจะเอาไปแปรรูปทำอย่างอื่นแทนอ่ะค่ะ   โดยส่วนใหญ่ พิมก็จะเอามันมากวน  ทำถั่วกวนแบบง่าย ๆ กิน  หรือไม่ก็เอาถั่วกวนไปทำลูกชุบบ้าง  ทำเม็ดขนุนบ้าง  หรือบางอารมณ์ก็จะเอาถั่วที่นึ่งไว้ไปทำเต้าส่วน  ทำสามแซ่บ้าง ... เรื่อยเปื่อยตามประสาพิมอ่ะค่ะ
มาวันนี้ .... สบโอกาสเหมาะๆ  แดดกำลังดี  พิมเลยขอเอาถั่วที่สะสมไว้ในตู้เย็นส่วนนึงมาทำถั่วกวนอบควันเทียนแบบง่าย ๆ ให้เพื่อน ๆ ดูกันนะคะ  ..... ^^ ..... ซึ่งถั่วกวนสูตรนี้เนี่ย นอกจากกินเฉยๆ ก็หอมหวานอร่อยแล้ว ยังเอาไปชุบไข่ใส่ในน้ำเชื่อมร้อนๆ กลายเป็นขนมเม็ดขนุนได้อีกค่ะ    (แต่เอาไปทำลูกชุบไม่ได้นะคะ คนละสูตรกันจ้า)
ยังไงก็มาดูหน้าตาถั่วกวนกันก่อนเลยนะคะ .. นี่ค่ะหน้าตาแบบนี้เลย
ป.ล. ดอกเข็ม เป็นแค่ของตกแต่งนะคะ กินไม่ได้  (แต่จริง ๆ มันก็กินได้น๊า)
ป.ล. พิมปั้นถั่วไม่ค่อยสวยนะคะ  อารมณ์กะปั้นให้เป็นก้อนๆ  ก็พอ หากใครปั้นได้งามกว่านี้ (เชื่อว่ามีเยอะจ้า) ก็อย่าว่าพิมน๊า ^^"
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-05.JPG
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-03.JPG
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-04.JPG
:: วัตถุดิบและเครื่องปรุง ::
- ถั่วทองดิบ 300 กรัม  ..... (แต่ในภาพเป็นแบบนึ่งสุกแล้ว หนัก 600 กรัม)
- หัวกะทิข้นๆ 2 1/2 ถ้วย
- น้ำตาลทรายขาว 1 1/2 ถ้วย
- มะพร้าวทึนทึดขูดขาว 100 กรัม
- เกลือ 3/4 ชช.
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-06.JPG
:: รายละเอียดและวิธทำ ::
เริ่มต้นเราก็มาทำความรู้จักกับถั่วทองกันก่อนนะคะ
ถั่วทองเนี่ย ... ทำมาจากถั่วเขียวค่ะ เค้าจะเอาถั่วเขียวมาผ่าซีก แล้วก็เอาเปลือกออก  ... ซึ่งหน้าซองของถั่วชนิดนี้ (ที่พิมเรียกว่า ถั่วทอง) เค้าจะเขียนไว้ว่า "ถั่วเขียวเราะเปลือก"  นะคะ  ซึ่งบางคนก็อาจจะเรียกสั้นๆ  ว่าถั่วซีก  แต่สำหรับพิมคุ้นเคยกับคำว่า "ถั่วทอง" ซะมากกว่า เนื่องจากว่าที่บ้านใช้ชื่อนี้เรียกถั่วชนิดนี้มาตั้งแต่พิมยังเด็กอ่ะค่ะ .... เอาเป็นว่า ถ้าพิมเอ่ยว่าถั่วทอง นั่นก็คือ ถั่วเขียวเราะเปลือก หรือ ถั่วซีก .... นะคะ ^^
สำหรับถั่วทองเนี่ย ตามสูตรนี้พิมจะใช้ถั่วทองดิบ 300 กรัมค่ะ ..... แต่เนื่องจากว่าพิมมีถั่วทองที่นึ่งสุกไว้อยู่แล้ว  ก็เลยขอใช้ถั่วทองที่นึ่งสุกนี่เลย   ซึ่งถั่วทองดิบ 300 กรัม จะเท่ากับถั่วทองที่นึ่งสุกแล้วประมาณ 600 กรัมนะคะ
แต่สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีถั่วทองดิบ .... ก็ให้เพื่อน ๆ นำถั่วทองดิบมาเทใส่กาละมัง เก็บกรวดเก็บเศษหิน (ถ้ามี)  ออกให้เรียบร้อยนะคะ จากนั้นก็นำไปล้างน้้ำสัก 2 น้ำ  แล้วก็แช่ด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนไว้ประมาณ 4 ชม. ค่ะ  (ถ้าแช่น้ำเย็นให้แช่ 6 ชม.)  ... พอครบ 4 ชม. ก็นำมาล้างอีกสัก 1-2 น้ำ จากนั้นก็ใส่ตะกร้าโปร่งที่ตาถี่ ๆ พักไว้จนสะเด็ดน้ำดี  ก็เอาไปนึ่งในซึ้งหรือหวดไม้ไผ่ที่น้ำเดือดจัด  นึ่งประมาณ 20-25 นาที  หรือจนกระทั่งสุกนิ่ม เมล็ดถั่วแตกดี ก็ใช้ได้ ... ปิดไฟเตา ยกลงเทถั่วใส่กาละมังหรือถาด และก็พักไว้ให้เย็นก่อนนำมาใช้นะคะ ^^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-07.JPG
ต่อมา .. ก็เป็นหัวกะทิค่ะ  หัวกะทิเนี่ยให้คั้นแบบข้นๆ เลยนะคะ  ... ซึ่งหัวกะทิ 2 1/2 ถ้วย พิมคั้นมะพร้าวขูดขาวประมาณ 8 ขีดค่ะ  (ต้องขออภัย พิมไม่ได้ตวงมาให้ว่าใส่น้ำเท่าไหร่ จึงจะได้หัวกะทิเท่านี้  ไว้คราวหน้าจะตวงมาให้อีกทีนะคะ)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-10.JPG
ต่อมาก็เป็นมะพร้าวขูดขาว ... ซึ่งมะพร้าวขูดขาวเนี่ย พิมใช้มะพร้าวทึนทึกมาขูดนะคะ ไม่ใช่มะพร้าวแก่ที่เอามาขูดเพื่อคั้นกะทิ ... เนื่องจากว่าหากใช้มะพร้าวแก่  มะพร้าวขูดที่ได้เนื้อมันจะแข็ง เวลากวนเสร็จแล้ว จะไม่นวลเนียนกลมกลืนไปกับถั่วกวนอ่ะค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-08.JPG
ส่วนนี่ก็น้ำตาลทรายค่ะ .. พิมเลือกใช้น้ำตาลทรายขาว ถั่วกวนของเราจะได้ออกมามีสีสวย ๆ ^^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-11.JPG
สุดท้ายเพื่อดึงรสหวานออกมาและทำให้รสชาติ ถั่วกวนเข้มข้นมากขึ้น  ก็ต้องใส่เกลือนิดหน่อยค่ะ  .. ปกติพิมจะใส่เกลือธรรมดานะคะ แต่วันนี้เกลือธรรมดาหมด เลยใช้เกลือไอโอดีนแทน ซึ่งก็จะใส่น้อยกว่าที่บอกไว้ในสูตร เนื่องจากเกลือไอโอดีนมันเค็มกว่าเกลือป่นธรรมดาเยอะเลยอ่ะค่ะ ^^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-09.JPG
เมื่อเราเตรียมวัตถุดิบต่าง ๆ ไว้พร้อมแล้ว ... เราก็มาเริ่มลงมือทำกันเลยดีกว่าค่ะ
เริ่มต้นเราก็จะต้องมาทำการบดถั่วกันก่อน .. สำหรับคนที่มี Food Processor  ก็ให้เอาเฉพาะถั่วลงไปบดในเครื่องที่ว่าได้เลยนะคะ  (ไม่ต้องเติมน้ำกะทิหรือของเหลวใดๆ) ...ก็ให้บดจนละเอียดค่ะ   แต่ถ้าหากไม่มีเครื่องที่ว่า แต่มีเครื่องปั่นน้ำผลไม้ที่เป็นโถสูงๆ ก็ให้เอาถั่วผสมกับน้ำกะทิ แล้วเอาไปปั่นในเครื่องปั่นน้ำผลไม้จนกระทั่งละเอียดดีนะคะ  แต่หากใครไม่มีเครื่องทั้งสองตัวที่พิมว่า ก็สามารถใช้ครก (ที่ล้างสะอาด+ไม่มีกลิ่น+เช็ดให้แห้ง)  โขลกถั่วจนแหลก .. แทนการใช้เครื่องปั่น ก็ได้ค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-12.jpg
นี่ค่ะ ... หน้าตาของถั่วที่พิมใช้เครื่อง food processor  บด .. ก็จะละเอียดประมาณนี้เลยค่ะ  ... (ไอ้เจ้าเครื่องนี้มันทำให้การทำครัวของพิมสะดวกมากเลยค่ะ ^^ ต้องขอขอบคุณคนคิดค้นนะคะ อิอิ)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-13.JPG
พอบดถั่วเสร็จ  เราก็เอาถั่วบดและส่วนผสมทั้งหมด (ตามข้างบน) เทใส่ลงไปในกระทะทอง หรือในภาชนะที่เราจะใช้กวนนะคะ   (ยังไม่ต้องเปิดไฟตอนเท)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-15.JPG
พอเทเสร็จ เอาไม้พาย (ไม้) คนๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันสักหน่อย  แล้วก็ค่อยเปิดไฟเตาค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-16.JPG
จากนั้นก็กวน ๆ คน ๆ ไปเรื่อย ๆ ผ่าน 5 นาที ... 10 นาที  .... 15 นาที ....ซึ่งช่วง 15 นาทีแรกเนี่ย สามารถใช้ไฟกลาง ๆ ได้ค่ะ
และในช่วงประมาณนาทีที่ 7-8  ไปจนถึงนาทีที่ 10 กว่า ๆ (ช่วงที่ถั่วกวนเริ่มข้น)   ถั่วกวนในกระทะจะเดือดปุดๆๆ แรงมากค่ะ บางทีก็จะกระเด็นออกมานอกกระทะ  ทำให้อาจจะโดนเนื้อตัวของเรา (โดยเฉพาะแขนที่กวน)  .... ช่วงนี้เราจึงต้องกวนไว ๆ หน่อยนะคะ หรือไม่งั้นก็ลดไฟเตาให้อ่อนลง  จะช่วยลดการกระเด็นได้อ่ะค่ะ
แล้วก็ช่วงที่ถั่วกวนเริ่มแห้ง ตอนนี้ให้ลดไฟลงเหลือไฟเกือบจะอ่อนนะคะ และหมั่นกวนตลอด กวนให้ถึงก้นกระทะ  อย่าทิ้งไม้พาย เพราะว่าโอกาสจะไหม้ก้นกระทะมีเยอะ   (เมื่อยมือก็ต้องทนค่ะ   เมื่อยกว่ากวนสังขยาใบเตยอีก >_<")
และเมื่อราว 30 นาทีผ่านไป ถั่วกวนของเราจะเริ่มใช้ได้นะคะ .... การดูว่าถั่วกวนใช้ได้หรือยังนั้น ให้ดูมันล่อนจากกระทะหรือไม่  ถ้าล่อนแล้ว แสดงว่าใช้ได้นะคะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-18.jpg
และเมื่อผ่านไปประมาณ 35 นาที   ถั่วกวนของพิมก็ใช้ได้พอดีเลยค่ะ   ซึ่งถ้าคิดว่าถั่วใช้ได้แล้ว  ก็ให้ตักออกจากกระทะเลยนะคะ เพราะหากกวนต่อไปอีกจนถั่วกวนแห้งเกินไป  เวลาถั่วเย็นตัวลง แล้วเราเอามาปั้น  ผิวของถั่วมันจะดูแห้งๆ และเนื้อถั่่วกวนก็จะแข็งเกินไปน่ะค่ะ  ^^
ป.ล. สำหรับเวลาที่ใช้กวน แม้จะใช้สูตรเดียวกัน แต่พิมเชื่อว่าแต่ละคนใช้เวลากวนไม่เท่ากันอ่ะค่ะ   เพราะว่าภาชนะที่เราใช้กวนนั้นมีความหนาบางไม่เท่ากัน  ไฟเตาที่เราใช้ก็แรงค่อยไม่เท่ากัน ... ยังไงก็ลองวัดเอาจากความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักเลยนะคะ ^^
-------------------------------------------
เมื่อกวนถั่วมาถึงตรงนี้แล้ว จริง ๆ แค่เพียงเราปล่อยไว้ให้เย็น  เราก็สามารถจะเอาถั่วกวนนี้มากินได้แล้วอ่ะค่ะ  แต่ว่าพิมอยากทำให้มันหอมอร่อยขึ้นมากกว่านี้  พิมก็เลยจะขอเอาถั่วกวนมาอบควันเทียนซะหน่อยค่ะ
วิธีการอบควันเทียนตามแบบของพิมก็คือ  พิมจะเอาถั่วกวนใส่ลงในกาละมังใบโตหน่อย (เป็นภาชนะแสตนเลส หรือ ภาชนะเคลือบ)  แล้วก็เอาถั่วกวนวางไว้ก้นกาละมัง  แอบเจาะรูตรงกลางนิด  แล้ววางถ้วยตะไลเอาไว้
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-19.JPG
จากนั้นก็จุดเทียนอบ พอเปลวไฟลามถึงตัวเทียน  พิมก็จะดับไฟ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-20.jpg
แล้วก็เอาเทียนอบที่มีควันกรุ่นๆ วางลงไปในถ้วยตะไลในกาละมังถั่วกวน
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-21.JPG
แล้วก็หาฝามาปิดกาละมัง ... ให้สนิท  (ไม่มีรู) ......... ทิ้งไว้ประมาณข้ามคืน ..... ^^ ก็จะใช้ได้ล่ะค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-22.JPG
พอเช้ามา .... หลังจากกินข้าวกินปลามื้อเช้าเสร็จ พิมก็เปิดฝากาละมัง ^^  แล้วก็หยิบถั่วกวนในกาละมังมาปั้นๆๆ  แล้วก็หย่อนเข้าปากตัวเองไปซะ 3 ปั้น (เท่าหัวแม่มือพิม) ..... อืมมมม มันทั้งหอม ทั้งหวาน ทั้งมันเลยค่ะ อร่อยมากๆ เลยน๊า ^^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-23.JPG
แต่แหมม ... พิมกินคนเดียวทั้งหมดนี่ ไม่หมดหรอกค่า  (ถ้าปั้นลูกแค่ในภาพนี้ ก็คงได้ไม่ต่ำกว่า 200 ลูกล่ะ)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-03.JPG
พิมก็เลยว่า เดี๋ยววันจันทร์ที่จะถึงนี้ พิมจะเอาถั่วกวนนี่มาทำเม็ดขนุนซะหน่อยค่ะ  (ถ้ายังเหลือ และหาไข่เป็ดได้น๊า) .......  แล้วถ้าทำจริง ๆ จะเอามาให้เพื่อน ๆ ชมกันอีกที .... ส่วนวันนี้ก็ขอลาไปกินถั่วกวนก่อนล่ะจ้า ^^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/preserved-peeled-mung-bean/preserved-peeled-mung-bean-04.JPG 

credit : http://www.pim.in.th/

Read More...


ข้าวเหนียวมูน 3 หน้า ตอน "วิธีทำข้าวเหนียวมูน อย่างละเอียด"

http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-01.JPG
อาทิตย์ก่อนพี่ Ramida ได้ส่งรีเควสมาทางเวบบอร์ดว่าอยากได้สูตรและวิธีทำข้าวเหนียวหน้าต่างๆ สักหน่อย พอดีกับว่าพิมกำลังรื้อฟื้นสูตรเดิมที่เคยทำ เพื่อมาทดลองให้แน่นอน ก่อนที่จะนำไปทำขายอีกครั้ง...  ก็เลยสบโอกาสเหมาะพอดีกันเลยค่ะ
..... สำหรับสูตรที่พิมจะนำมาทำให้ดูในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวมูน  หน้ากุ้ง  หน้าปลาแห้ง  หน้าสังขยา  ผ่านการปรับปรุงสูตรมาหลายครั้งหลายคราวมากๆ  จนได้สูตรที่พิมคิดว่าดีที่สุดเท่าที่พิมจะทำได้ในตอนนี้แล้วอ่ะค่ะ  ^__^   แต่เนื่องจากว่าเพราะมันเป็นชุดใหญ่  ทำหลายอย่างด้วยกัน อีกทั้งพิมพยายามจะอธิบายให้ละเอียดที่สุด บอกเทคนิคเคล็ดลับที่พิมรู้ในทุกเรื่อง  รูปกับคำอธิบายก็เลยเยอะเป็นพิเศษ    พิมก็เลยขอแยกออกเป็น 2 ตอนนะคะ เพื่อนๆ จะได้อ่านกันง่าย ๆ ไม่ต้อง scroll หน้ากันยาวๆ
โดยตอนแรก พิมจะขอพูดถึงการทำข้าวเหนียวมูนก่อน ส่วนตอนที่ 2 จะพูดถึงการทำหน้ากุ้ง  หน้าปลาแห้ง  และก็หน้าสังขยาอ่ะค่ะ
แต่ก่อนจะลงมือทำ มาดูผลงานของพิมที่ทำในคราวนี้กันก่อนค่ะ .... ซึ่งจริง ๆ จะมี 3 หน้า 3 กระทงนะคะ แต่ว่าพิมชอบเลข 4  ก็เลยขอมี 4 กระทง ซึ่งกระทงสุดท้ายก็ขอเป็นหน้างาคั่วล่ะกันอ่ะค่ะ  (อร่อยนะจะบอกให้)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-10.JPG
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-70.JPG
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-69.JPG
:: ส่วนผสมและวัตถุดิบสำหรับทำ "ข้าวเหนียวมูน" ::
- ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1 กก.
- หัวกะทิ 600 กรัม  (คั้นจากมะพร้าวขูดขาว 1 กก.)
- น้ำตาลทรายขาว 500 กรัม
- เกลือป่นแบบธรรมดา 40 กรัม ............  (แต่วันนี้เกลือธรรมดาหมด พิมใช้เกลือไอโอดีนแทนนะคะ)
- สารส้มชนิดก้อน
- ใบเตยแก่ๆ 5-6 ใบ
:: วิธีทำ ::
เริ่มแรกเราก็มาทำการเตรียมข้าวเหนียวกันก่อนนะคะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-17.JPG
สำหรับข้าวเหนียว .... พิมเลือกใช้ข้าวเหนียวเขี้ยวงูจากเชียงราย ที่เป็นข้าวใหม่ค่ะ เพราะว่าเมล็ดข้าวจะเป็นสีขาว เรียวยาว  และมีความหอม  อีกทั้งนึ่งสุกง่าย ราคาที่ขายกันในตอนนี้ก็ประมาณโลละ 40 บ. +/- ไม่เกิน 4 บาทอ่ะค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-19.JPG
ส่วนสารส้ม พิมก็เลือกใช้แบบเป็นก้อน (มีแบบป่น แบบแท่งกับแบบก้อน)  .. สารส้มเนี่ย พิมฝากแม่ซื้อจากที่เมืองจันทบุรีค่ะ  ส่วนถ้าในกรุงเทพฯ พิมไม่แน่ใจว่าหาซื้อได้ที่ไหน  แต่คิดว่าตามร้านขายยาเก่า ๆ หน่อย หรือร้านขายของชำในตลาดใหญ่ ๆน่าจะมีนะคะ  (เค้าขายเป็นกิโลอ่ะค่ะ กิโลละเท่าไหร่ แม่พิมก็ลืมไปซะแล้ว)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-18.JPG
เริ่มต้นการเตรียมข้าวเหนียว เราจะต้องทำการขัดข้าวเหนียวกับสารส้มกันก่อนนะคะ (เรียกว่าขัดแห้ง)  โดยการเอามือนึงข้างที่ไม่ถนัด ตักข้าวเหนียวขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ  แล้วมือข้างที่ถนัดก็จับสารส้มถู ๆ กับข้าวเหนียว  ซึ่งจะต้องถูเบา ๆ นะคะ  เพราะหากถูแรงจะทำให้เมล็ดข้าวหักได้ค่ะ (การขัดแห้งแบบนี้ เพื่อให้ยางที่เคลือบเมล็ดข้าวออก เมล็ดข้าวจะได้สุกใสเวลามูนเสร็จแล้ว)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-20.jpg
และเมื่อเราขัดข้าวเหนียวกับสารส้มในแบบ แห้งทั่ว ๆ แล้ว  ก็ให้เราเติมน้ำลงไปในข้าวเหนียวค่ะ ปริมาณน้ำไม่ต้องเยอะนัก  กะว่าสูงสักข้าวเหนียว 1 - 1.5  นิ้วก็พอ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-21.JPG
แล้วก็ทำการขัดข้าวเหนียวกับสารส้ม (ในแบบเปียก) อีกครั้งค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-22.JPG
ซึ่งเมื่อเราขัดสารส้มกับข้าวเหนียวไปสัก พัก จะเห็นได้ว่าน้ำข้าวเหนียวขุ่นข้นมากๆ  .... ถึงตรงนี้ก็เป็นอันว่าเราขัดข้าวเหนียวได้ที่แล้วนะคะ  (อย่าลืมต้องขัดเบา ๆ ระวังเมล็ดหัก แตก)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-23.JPG
ก็ให้เราเทน้ำทิ้งค่ะ  (ส่วนสารส้ม ก็ล้างให้สะอาด  เอาไปผึ่งลมให้แห้ง  พอแห้งดีก็ใส่ถุงเก็บไว้ใช้งานอื่น)  และก็ซาวข้าวเหนียวสัก 3 - 4 รอบ จนกระทั่งน้ำซาวข้าวเหนียวใส มองเห็นเมล็ดข้าวอย่างชัดเจน ก็เป็นอันใช้ได้
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-24.jpg
จากนั้นก็ใส่น้ำให้ท่วมข้าวเหนียวประมาณ 2-3 นิ้วค่ะ   แล้วก็ทำการแช่ข้าวเหนียวไว้ประมาณ 3 ชม.
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-25.JPG
ผ่านไป 3 ชม. เราก็จะได้ข้าวเหนียวที่แช่ได้ที่ออกมาหน้าตาประมาณนี้นะคะ   (ลักษณะเมล็ดข้าวจะดูอ่อนนุ่มกว่าตอนเริ่มแช่)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-47.JPG
จากนั้นก็ให้เราทำการเทข้าวเหนียวใส่กระชอนหรือตะกร้าโปร่งๆ ที่ตาถี่ ๆ เพื่อให้ข้าวเหนียวสะเด็ดน้ำ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-48.JPG
พอข้าวเหนียวสะเด็ดน้ำดีแล้ว  ก็ให้เราเอาข้าวเหนียวนั้นไปนึ่งให้สุกค่ะ  โดยปกติเนี่ยถ้ามูนข้าวเหนียวทีละเยอะๆ  พิมจะใช้วิธีการนึ่งด้วยรังถึงนะคะ  ซึ่งจะใช้เวลาในการนึ่งประมาณ 25-30 นาที แต่ว่าวันนี้ทำแค่กิโลเดียว พิมก็ขอนึ่งด้วยหวดล่ะกันค่ะ เพราะว่ามันเร็วดี  (ใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที ขึ้นกับน้ำและไฟที่ใช้)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-49.JPG
ระหว่างนึ่งข้าวเหนียว พิมก็จะมาเตรียมทำน้ำกะทิสำหรับมูนข้าวเหนียวนะคะ ....... ซึ่งส่วนประกอบสำหรับน้ำกะทิมูนข้าวเหนียวเนี่ย ก็ตามข้างบนที่พิมบอกไว้เลยค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-50.JPG
วิธีการทำน้ำกะทิมูนข้าวเหนียวนั้นก็ไม่ยากเย็นอะไร  ให้เราเอาหัวกะทิเทใส่กาละมังใบโตหน่อย   แล้วก็ใส่น้ำตาลทราย เกลือ ลงไป ค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-51.jpg
จากนั้นก็ใช้ใบเตยช่วยในการขยำน้ำตาลทรายกับน้ำกะทิ ... จนกระทั่ง้นำตาลทรายและเกลือละลายหมดดี ก็เป็นอันว่าใช้ได้  (ใช้เวลาไม่นาน)
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-52.JPG
พอน้ำตาลทรายละลายหมดแล้ว  ก็ทำการกรองน้ำกะทิด้วยตะแกรงตาถี่ๆ หรือผ้าขาวบางพับทบ 2 ชั้น .... 1 ครั้งค่ะ  เพื่อกรองเศษผง เศษใบเตย หรือน้ำตาลทรายที่ละลายไม่หมดทิ้งไป
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-53.JPG
กรองเสร็จแล้วก็จะได้น้ำกะทิ สีหวาน ๆ อย่างนี้นะคะ ^^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-54.JPG
ซึ่งตอนที่เราทำน้ำกะทิเสร็จเรียบร้อย  ข้าวเหนียวที่เรานึ่งไว้ก็จะสุกพอดีกัน  (เวลาใกล้เคียงกันอ่ะค่ะ)
ป.ล. หากนึ่งข้าวเหนียวด้วยหวดแบบนี้  หลังจากเรานึ่งไป 10 นาทีแล้ว  ให้เรากระดกข้าวเหนียวด้านล่างขึ้นมา และให้ด้านบนลงไป และนึ่งต่ออีกประมาณ 5-7 นาที ข้าวเหนียวก็จะสุกทั่วกันดี
ป.ล. อย่านึ่งข้าวเหนียวนานเกินไป  ไม่งั้นข้าวเหนียวจะบานเละเวลาที่เราเอาไปมูน / และอย่านึ่งโดยใช้เวลาน้อยเกินไป ไม่งั้นพอมูนเสร็จ ข้าวเหนียวไม่สุกดี  กินแล้วจะหรุบ ๆ  หากไม่แน่ใจ ใช้วิธีหยิบขึ้นมากัดดูสัก 3-4 เมล็ดก็ได้ค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-55.JPG
แล้วพอข้าวเหนียวสุกดี  ก็ให้รีบเทข้าวเหนียวทั้งร้อนๆ ลงไปในน้ำกะทิที่เราเตรียมไว้เลยค่ะ  แล้วก็จัดการคนด้วยพายให้เข้ากันดี  แล้วก็ปิดฝาไว้ให้สนิทประมาณ 10 นาที ......  พอ 10 นาทีผ่านไป ก็ให้เราเปิดฝา แล้วทำการคนข้าวเหนียวแบบปาดไปปาดมาอีกครั้ง  แล้วก็ปิดฝาอีกรอบค่ะ
จากนั้นก็ทิ้งไว้อีก 20 นาที แล้วก็เปิดฝามาคนข้าวเหนียวแบบปาดไปปาดมาอีกรอบ  และก็ปิดฝาทิ้งไว้อีก 10 นาทีสุดท้ายค่ะ
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-56.jpg
และเมื่อ 30-40 นาทีผ่านไป  เราก็จะได้ข้าวเหนียวมูนที่เม็ดยาว เรียว สวย นุ่ม หอม และเป็นเงาแวววาว ... ออกมาหน้าตาประมาณนี้นะคะ   ซึ่งพิมรับรองว่าสูตรนี้เนี่ย หากเพื่อนๆ ตวงไม่ผิด  ข้าวเหนียวมูนจะไม่แฉะหรือแห้งจนเกินไปแน่นอนอ่ะค่ะ ^__^
http://pim.in.th/images/all-thai-sweet/sticky-rice-in-coconut-cream/sticky-rice-in-coconut-cream-58.JPG
ทีนี้เวลาจะกิน หรือจะขาย ... พิมก็จะเอามาจัดใส่กระทงใบตองเล็ก ๆ แบบนี้นะคะ ... แล้วก็ใส่หน้าต่าง ๆ ที่เราชอบลงไป  ไม่ว่าจะหน้ากุ้ง หน้าปลาแห้ง  หน้าสังขยา หน้ากระฉีก หรือหน้างา .... แค่นี้เราก็จะได้ข้าวเหนียวมูนสุดแสนอร่อย พร้อมเอาไปโชว์หรือเอาไปทำขายได้แล้วอ่ะค่ะ ^__^ ... ซึ่งสำหรับวิธีทำหน้าข้าวเหนียวมูนต่างๆ นั้น  เปิดชมได้ใน "วิธีทำข้าวเหนียวมูน 3 หน้า ตอนที่ 2" .. นะคะ 

credit : http://www.pim.in.th/

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.