สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

“พุดดิ้งข้าว-ซอสลูกพลับ” เมนูชนะเลิศอาหารเพื่อสุขภาพฯ จาก มทร.ธัญบุรี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภัทราพิมพ์ แซ่อึ้ง



“พุดดิ้งข้าวกับซอสลูกพลับ” เมนูของหวานเพื่อสุขภาพ จาก นศ.มทร.ธัญบุรี คว้าชนะเลิศโครงการอาหารเพื่อสุขภาพจากผลิตภัณฑ์งานวิจัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชื่อสากล แต่รับประกันรสชาติแบบไทย
      
       “พุดดิ้งข้าวกับซอสลูกพลับ” เมนูไอเดียของ ภัทราพิมพ์ แซ่อึ้ง นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาอุตสาหกรรมงานอาหาร คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศโครงการอาหารเพื่อสุขภาพจากผลิตภัณฑ์งานวิจัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเภทอาหารหวาน/ขนมหวาน
      
       ภัทราพิมพ์ เล่าว่า “พุดดิ้งข้าวกับซอสลูกพลับ” แนวคิดมาจากสังขยาขนมไทย นำมาดัดแปลง กินคู่กับซอสลูกพลับ โดยตัวของพุดดิ้ง นำข้าวมอลต์ตามโครงการวิจัย ของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาใช้เป็นส่วนผสมหลัก ที่เลือกข้าวมอลต์เนื่องจากในข้าวมอลต์มีวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 สูงกว่าเมื่อเทียบกับข้าวทั่วๆไป สำหรับส่วน ผสมของพุดดิ้ง ประกอบด้วย 1. ข้าวมอลต์หุงสุก 40 กรัม 2. ไข่ไก่ 10 กรัม 3. น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม 4. กะทิ 10 กรัม 5. ขนุนหั่นสี่เหลี่ยม 20 กรัม 6. ใบเตย 10 กรัม ขั้นตอนการทำ 1. ตีไข่กับน้ำตาลปี๊บจนขึ้นฟู ใส่ใบเตยขย่ำลงไป ใส่กะทิตีให้เข้ากัน 2. ใส่ข้าว ขนุน และส่วนผสมข้อ 1 ลงไปในภาชนะ นำไปนึ่งประมาณ 15 นาที
      
       ส่วนผสมของซอสลูกพลับ ประกอบด้วย 1. ลูกพลับ 100 กรัม 2. น้ำแอปเปิ้ล 90 กรัม 3. ข้าวมอสต์สุก 40 กรัม 4. ผงนัว (เบเกอร์รี่) 5 กรัม 5. น้ำตาลทราย 20 กรัม 6. น้ำมะนาว 12 กรัม วิธีการซอสลูกพลับ เริ่มจาก ใส่น้ำแอปเปิ้ล ลูกพลับ ข้าวมอลต์สุก ปั่นให้ละเอียด จากนั้นเคี่ยวน้ำกับกระทะเทฟล้อนใส่น้ำตาลทราย น้ำมะนาว และผงนัว (เบเกอร์รี่) คนให้เข้ากัน ในลูกพลับมีประโยชน์มากมาย เช่น ช่วยลดความดัน แก้ไขแงะเจ็บคอ ปวดท้องประจำเดือน จากสูตรข้างต้นสามารถเสิร์ฟได้ 4 ที่ โดยให้พลังงานทั้งหมด 1,550 Kcal 1 ที่ให้พลังงาน 387.5 Kcal
      
       ความเป็นสากลของชื่อ แต่รสชาติแบบไทยๆ นำผลผลิตที่คิดค้นโดยคนไทยมาเป็นส่วนผสมเพิ่มคุณค่าให้กับอาหาร ทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ใส่ใจในสุขภาพ การปรับประยุกต์ใช้ส่วนผสมต่างๆเข้าด้วยกัน เกิดเป็นเมนูใหม่ สร้างสรรค์อาหารไทยให้ต่างชาติได้รู้จัก รสชาติคงความเป็นไทย “รสชาติของอาหารจะอร่อยขึ้นอยู่กับผู้ปรุง ดังนั้นผู้ปรุงควรใส่ใจลงไปในอาหารแต่ละจานด้วย” ประสบการณ์ในการแข่งขันตามเวทีก็สามารถพัฒนาฝีมือได้ ภัทราพิมพ์ กล่าวทิ้งท้าย
      
       นอกจากนี้ ภัทราพิมพ์ ยังได้เข้าร่วมการแข่งขันตามเวทีต่างๆ เช่น แข่งขันการทำงาน THAILAND CHEFS COMPETITION 2010 แข่งขันประเภททีม ได้รับรางวัลเหรียญเงิน แข่งขันการทำอาหารจากบัวของจังหวัดปทุมธานี ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 พุดดิ้งข้าวกับซอสลูกพลับ (Rice Pudding and Persimmon sauce) อาหารหวานที่มีกลิ่นอายของความเป็นไทย
      
       สอบถามรายละเอียด พุดดิ้งข้าวกับซอสลูกพลับ ได้ที่ 089-5240059

Read More...


"ซอสตำลึง" น้ำจิ้มสูตรใหม่ใส่ไอเดีย

ซอสลูกตำลึงที่ทำบรรจุขวดเรียบร้อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ส่วนผสมต่างๆในการทำซอสลูกตำลึงสุก

ใส่วัตถุดิบต่างๆลงต้มให้สุก คือ ตำลึง พริก กระเทียม

ต้มเครื่องต่างๆที่จะทำตัวซอส

เมื่อสุกดีแล้วก็นำลงเครื่องปั่น

ปั่นให้ละเอียดแล้วกรองเอาเมล็ดลูกตำลึงออก

ปรุงรสด้วย เกลือ น้ำตาล น้ำส้มสายชู และใส่อบเชยเพิ่มกลิ่นหอม

เคี่ยวให้ซอสงวดลง

"แคท" จารุวรรณ สิงห์สาธร กับผลงานซอสสูตรใหม่

ซอสลูกตำลึงที่บรรจุขวดพร้อมรับประทาน

น้ำจิ้มหรือซอสเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะครัวไทย ครัวจีน หรือครัวฝรั่งก็ต้องมีซอสอยู่คู่ครัวเสมอ แต่จะเป็นอย่างไรหากมีซอสแบบใหม่เพิ่มเข้ามาในครัวอีก 1 ขวด วันนี้ไลฟ์ ออน แคมปัส มีซอสสูตรใหม่มานำเสนอ
      
       ซอสที่ว่านี้ก็คือ ซอสลูกตำลึงสุก เป็นซอสรสเด็ดฝีมือเด็กไทยที่เลือกเอาสิ่งใกล้ๆตัวมาคิดค้น และใส่ไอเดียลงไปให้แปลกใหม่ไฉไลกว่าเดิม นอกจากได้รสชาติที่อร่อยแล้วยังมีคุณค่าทางโภชนาการดีๆอีกด้วย
      
       "แคท" จารุวรรณ สิงห์สาธร นัก ศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คิดค้นสูตรซอสลูกตำลึง ขึ้นมาเพื่อเป็นการพัฒนาสิ่งที่ทุกคนมองข้ามอย่างพืชผักท้องถิ่นที่เป็นผัก สวนครัวของคนไทยอย่างตำลึง ให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นอาหารแสนอร่อยที่ใครๆก็สามารถทำได้
      
       "ตำลึงเป็นผักที่ขึ้นตามรั้วบ้าน ยอดอ่อนของตำลึงนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น นำมาลวกและนึ่งเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก หรือนำไปปรุงอาหารเป็นแกงเลียง แกงจืด บางท้องถิ่นชาวบ้านนำผลอ่อนตำลึงไปดองและนำไปรับประทานกับน้ำพริกหรือปรุง เป็นแกงได้ ส่วนลูกตำลึงสุกก็สามารถรับประทานได้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเก็บลูกตำลึงสุกไปเลี้ยงนกเสียมากกว่า"
      
       จากการศึกษาค้นคว้า เจ้าของสูตรพบว่าลูกตำลึงมีสารอาหารทั้งฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี เช่นเดียวกับส่วนยอดและใบตำลึง สำหรับน้ำที่คั้นจากผลตำลึงดิบช่วยลดน้ำตาลในเลือดและโรคเบาหวานได้ คุณค่าโภชนาการของลูกตำลึง 100 กรัม ประกอบด้วย พลังงาน 20 แคลลอรี่ คาร์โบไฮเดรต 5.2 กรัม โปรตีน 0.7 กรัม แคลเซียม 25 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 25 มิลลิกรัม และเหล็ก 0.6 มิลลิกรัม
      
       "คิดสูตรเองค่ะ เคยกินตำลึงสุกตอนเด็กๆค่ะมันออกรสเปรี๊ยวๆเหมือนมะเขือเทศ สีแดงสดเหมือนกันก็เลยคิดว่าน่าจะเอามาทำซอสเหมือนซอสมะเขือเทศได้ เราก็ไปค้นข้อมูลมาว่ามันมีสารอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยังไงบ้าง ปรากฎว่าก็มีคุณค่าทางโภชนาการเยอะเหมือนกัน ก็เลยลงตัวที่การทำซอส ส่วนวิธีการทำเราก็ลองเอาสูตรการทำซอสมะเขือเทศมาดูว่ามีสัดส่วนของเครื่อง ปรุงอะไรบ้าง แล้วเราก็เอามาปรับโดยใช้เป็นลูกตำลึงสุกแทน อนาคตก็อยากพัฒนาไปจนมีแบรนของตัวเองได้ค่ะ อย่างที่ทำก็คิดชื่อเอง ทำฉลากเอง บรรจุลงขวดเองทั้งหมด ซึ่งทำได้ไม่ยาก"
      
       แคทอธิบายวิธีการทำซอสว่า ส่วนผสมได้แก่ ลูกตำลึงสุก 1 กิโลกรัม พริกชี้ฟ้าแดง 200 กรัม กระเทียมสับ 200 กรัม อบเชย 1 ชิ้น น้ำส้มสายชู 150 กรัม น้ำตาลทราย 400 กรัม เกลือ 50 กรัม ซึ่งจากสูตรดังกล่าวจะได้ซอสลูกตำลึง 600 กรัม ขั้นตอนในการผลิตซอสลูกตำลึง 1. นำน้ำใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ ใส่กระเทียม ลูกตำลึงสุก พริกชี้ฟ้า ต้มจนเปื่อย 2. นำส่วนผสมในข้อที่ 1 มายีบนตะแกรง หรือปั่นให้ละเอียด (เอาเมล็ดออก)
       
      
       3.
นำน้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือ ใส่หม้อตั้งไฟให้ละลายเข้ากัน 4. นำส่วนผสมที่ปั่นละเอียดแล้ว ใส่ลงหม้อ ตั้งไฟเคี่ยวจนข้น (ไฟแรงปานกลาง เคียวประมาณ 20 นาที) สังเกตสีจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม จากนั่นชิมรสชาติตามที่ชอบ 5. นำซอสลูกตำลึงกรอกใส่ขวด ที่ล้างสะอาด แล้วปิดฝาให้สนิท นำไปนึ่งฆ่าเชื้อโรคประมาณ 30 นาที เก็บไว้รับประทาน จะได้ซอสลูกตำลึงที่สามารถนำมารับประทานกับของทอด เช่น ใส้กรอก ไก่ทอด หรือจะนำไปปรุงอาหารแทนซอสมะเขือเทศก็ได้
      
       "ซอสตัวใหม่ที่ทำขึ้นมาคิดว่าผู้ บริโภคบ้านเราก็น่าจะยอมรับนะคะ ถ้าได้ชิมแล้วน่าจะชอบ คือมันใช้แทนซอสมะเขือเทศได้เลย บางคนอยากจะทำกินเองในครอบครัวก็ได้ ทำขายก็ดีเพราะทำไม่ยาก เครื่องปรุงมีไม่กี่อย่างแถมต้นทุนก็ต่ำ อย่าง เกลือ น้ำตาล น้ำส้ม อบเชย ก็ซื้อมาอย่างละนิดๆหน่อย ๆ รวมต้นทุนไม่ถึง 30 บาท ก็สามารถทำซอสออกมาได้ในปริมาณ 1 ขีด ตอนนี้ซอสที่ลองทำยังไม่ได้จัดจำหน่าย แต่คิดไว้ว่าอยากขายเองเหมือนกัน เคยให้เพื่อนๆชิมดู เขาก็บอกว่ามันรสชาติเหมือนซอสมะเขือเทศค่ะ"
      
       แคท กล่าวเพิ่มเติมว่า การนำลูกตำลึงสุกมาทำซอสลูกตำลึง เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกตำลึงสุกและเป็นทางเลือกหนึ่งของคนไทย สำหรับคนที่ชอบในรสชาติของซอสมะเขือเทศอยู่แล้ว หากได้ลิ้มลองซอสลูกตำลึงเชื่อว่าผู้บริโภคก็น่าจะชอบเช่นกัน หากทำรับประทานเองได้สามารถปรับเปลี่ยนรสชาติซอสลูกตำลึงได้ตามความชอบ แถมได้ความอร่อยจากความสดใหม่ ปลอดภัย และปราศจากสารเคมี
      
       "บาง คนยังไม่รู้ว่าลูกตำลึงสุกสามารถนำมาทำอาหารอย่างอื่นได้ แต่พอเอามาทำซอสก็คิดว่าคนจะรู้จักลูกตำลึงมากขึ้น เป็นการเพิ่มมูลค่าให้พืชผักพื้นบ้านของเราด้วย และมีคุณค่าทางอาหารมากมายเหมือนกับที่เรากินยอดตำลึง การคิดสูตรอาหารหรือการหาไอเดียใหม่ๆไม่ได้ยากเลย เพียงแค่ลองมองสิ่งใกล้ๆตัวก่อนแล้วศึกษาให้ดี ทดลองทำจนได้ผลเป็นมาตรฐานความสะอาดและปลอดภัย ก็จะทำให้เราพัฒนาฝีมือการทำคิดสูตรอาหารหรือการทำอาหรแปลกใหม่ขึ้นมาได้ เพราะของใกล้ตัวอาจจะมีคุณค่าอย่างที่เราไม่เคยคิดมาก่อนก็ได้" แคททิ้งท้าย  

  

Read More...


บิสกิตหน้าเมล็ดทุเรียนกรอบ ขนมแนวใหม่ใส่ไอเดีย

บิสกิตหน้าเมล็ดทุเรียนกรอบ ขนมแนวใหม่ใส่ไอเดีย

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ส่วนผสมตัวแป้งบิสกิต

โอ ณัฐชรัฐ แพกุล นศ.สาขาอาหารและโภชนาการกำลังผสมส่วนผสมต่างๆ

นวดแป้งบิสกิตให้ได้ที่

คลึงแป้งเป็นแผ่นแล้วใช้พิมพ์กดขนมเป็นชิ้นๆ

ขนมที่ใช้แม่พิมพ์กด

เรียงบิสกิตในถาด เตรียมเข้าเตาอบ

บิสกิตที่อบเรียบร้อยแล้ว

ส่วนผสมหน้าต่างๆของบิสกิต ซึ่งมีเมล็ดทุเรียนอบกรอบด้วย

ใส่ทุเรียนอบกรอบเป็นหน้าขนม

หน้าตาบิสกิตที่ทำออกมาสำเร็จ

นศ. สาขาอาหารและโภชนาการ มทร.ธัญบุรี อวดไอเดียขนมเทรนใหม่ เพิ่มของเหลือเป็นของขบเคี้ยว อร่อยแถมได้คุณประโยชน์จากธัญพืชอย่างเมล็ดทุเรียนอบกรอบ พัฒนาเป็นสูตรของว่างได้สุขภาพ กลายเป็น "บิสกิตหน้าเมล็ดทุเรียนกรอบ" ส่งเสริมอาหารว่างรักษ์สุขภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เมล็ดทุเรียน
     
       ทุเรียนขึ้นชื่อว่าเป็นราชาของผลไม้ และเป็นผลไม้เมืองร้อนที่อยู่กับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างสูง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่มีหนามแหลม เนื้อมีรสชาติที่หวานมัน ถึงแม้จะมีกลิ่นแรงไปหน่อยแต่ก็ซ่อนความหอมหวานในขณะเดียวกัน จึงทำให้หลายคนที่ติดใจผลไม้ชนิดนี้ไม่น้อย นอกจากนี้ทุเรียนยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารมากมาย เช่น ทุเรียนกวน ทุเรียนทอดกรอบ ข้าวเหนียวทุเรียน ส้มตำทุเรียน ทุเรียนเชื่อม เป็นต้น ในต่างประเทศอย่างประเทศฟิลิปปินส์ นิยมนำทุเรียนมาทำขนมหวานมากกว่าที่จะทำอาหารคาว ส่วนชาวมาเลเซียนิยมทำทุเรียนดองและแช่อิ่ม
     
       คนส่วนใหญ่ชอบรสชาติของเนื้อทุเรียน แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเมล็ดทุเรียนก็สามารถทานได้เหมือนเมล็ดของขนุน สามารถนำมานึ่ง คั่ว หรือทอดในน้ำมันมะพร้าว เนื้อข้างในจะมีลักษณะคล้ายเผือกหรือมันเทศแต่เหนียวกว่า ในเกาะชวาจะหั่นเมล็ดทุเรียนบางๆ และปรุงด้วยน้ำตาลเหมือนขนมฉาบน้ำตาล แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนทุเรียนทอดและกวน เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับเมล็ดทุเรียน จึงมีการคิดค้นขนมสูตรใหม่ขึ้นมาโดยใช้เมล็ดทุเรียนมาเป็นส่วนผสม
     
       "โอ" ณัฐชรัฐ แพกุล นัก ศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เปิดเผยว่า เมล็ดทุเรียนมีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย ไม่น้อยไปกว่าเนื้อทุเรียนเลย โดยใน เมล็ดทุเรียน1 เมล็ด ให้พลังงาน 254.5 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 2.9 กรัม ไขมัน 2.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 56 กรัม ใยอาหาร 1.9 กรัม น้ำ 47.8 มิลลิกรัม เถ้า 1.3 มิลลิกรัม นอกจากสารอาหารที่ได้รับแล้ว ยังเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับกลุ่มแม่บ้านที่ได้แปรรูปผลิตภัณฑ์ ทุเรียนอีกด้วย
     
       สำหรับส่วนผสมของบิสกิตเมล็ดทุเรียน กรอบ โออธิบายว่า ประกอบด้วย ส่วนผสมของบิสกิต คือ 1. แป้งเอนกประสงค์ตราว่าว 220 กรัม 2.เนยสด 100 กรัม 3.น้ำตาลไอซ์ซิ่ง 15 กรัม 4.ผงฟู 3 กรัม 5.เกลือป่น 3 กรัม 6.น้ำเย็น 45 กรัม 7.นมสด 30 กรัม ส่วนวิธีทำตัวบิสกิต เริ่มจาก ร่อนแป้ง น้ำตาลไอซ์ซิ่ง ผงฟู และเกลือป่น ใส่อ่างพักไว้ จากนั้นนำเนยหั่นเป็นชิ้นเล็กใส่ลงในแป้ง ใช้ที่ตัดเนยตัดเนยรวมกับแป้งจนเป็นเม็ดเท่าถั่วเขียว ใส่น้ำเย็นทีละน้อย (เพื่อไม่ให้เนยละลาย เวลาที่เกิดความร้อนขณะที่นวดแป้ง เวลาอบถ้าเนยละลาย บิสกิตจะไม่ฟูติดเป็นแผ่นแข็ง) จนหมด
     
       "จากนั้นก็นำมาทำเป็นก้อนกลมรวมกัน พักไว้ 15 นาที เสร็จแล้วจึงนำมาคลึงบนกระดาษไข ให้มีความหนาประมาณ 2 มิลลิเมตร ใช้พิมพ์กดขนมบนกระดาษไข ยาว 2 นิ้ว กว้าง 1.30 เซนติเมตร วางบนถาดอบที่ทาด้วยเนย ตามสูตรจะได้บิสกิตทั้งหมด 75 แผ่น จากนั้นทาหน้าบิสกิตด้วยนมสดให้ทั่ว ใช้ส้อมจิ้มหน้าขนมเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซสเซียส พอสุกใช้ที่แซะขนมแซะออกมาพักบนตะแกรง รอให้เย็น"
     
       โอเล่าต่อว่า หลังจากที่ได้บิสกิตเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมเมล็ดทุเรียนทอด เริ่มจากนำเมล็ดทุเรียนมาปลอกเปลือกนอกออก แช่น้ำ จากนั้นนำเมล็ดทุเรียนที่ปลอกเปลือกมาผ่าครึ่งตามแนวยาว แล้วหั่นในแนวขวางบางประมาณ 1 ม.ม. แล้วนำเมล็ดทุเรียนที่หั่นแล้วมาลวกในน้ำเดือด 30 วินาที เทใส่กระชอน เปิดน้ำเย็นให้ไหลผ่านทิ้งให้เสด็จน้ำ นำใส่ถาดเกลี่ยให้บาง นำเข้าตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาเซสเซียส 5 ชั่วโมง (ถ้าไม่มีตู้อบรมร้อนให้ตากแดด 1 วัน)
     
       "จากนั้นนำเมล็ดทุเรียนอบแห้ง 100 กรัมใส่น้ำ 250 มล. และเติมน้ำส้มสายชู 15 กรัม ทิ้งไว้ 2 นาที เทใส่กระชอนทิ้งให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำเมล็ดทุเรียนที่ได้ลงทอดในน้ำมันไฟแรงปานกลางประมาณ 3 นาที ตักขึ้นใส่กระดาษซับมันทิ้งให้เย็น เมื่อได้ทั้งส่วนแล้วขั้นตอนต่อไป การเตรียมบิสกิตเมล็ดทุเรียนกรอบ ส่วนผสม 1. แผ่นบิสกิต 2. เมล็ดทุเรียนทอดกรอบ 3. ลูกเกด 20 กรัม 4. เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบกรอบ 40 กรัม น้ำตาลทราย 150 กรัม 4. เกลือป่น 5 กรัม 5. ครีมออฟทาร์ทาร์ 5 กรัม (เพื่อไม่ให้น้ำตาลจับตัวเป็นก้อน) 6. แป้งสาลีเอนกประสงค์ตราว่าว 20 กรัม 7. น้ำ 80 กรัม"
     
       ส่วนกรรมวิธี โออธิบายว่า เริ่มจากนำแป้งสาลีอเนกประสงค์ตราว่าวละลายกับน้ำ 30 กรัม ใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ ต้มจนแป้งสุกใส จากนั้นใส่น้ำตาลทราย เกลือ ครีมออฟทาร์ทา น้ำส่วนที่เหลือเคี่ยวจนละลายจนหมด คนเล็กน้อย วัดอุณหภูมิให้ได้ 114 องศาเซสเซียส (ถ้าไม่มีเทอร์มิเตอร์ สังเกตจากฟองจะละเอียด) แล้วจึงนำน้ำเชื่อมที่ได้มาทาที่บิสกิตบางๆ แต่งหน้าด้วยเม็ดมะม่วงหิมาพานต์ ลูกเกด และเมล็ดทุเรียนทอดกรอบ ราดหน้าด้วยน้ำเชื่อมอีกเล็กน้อย นำเข้าตู้อบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซสเซียส 10 นาที เพียงเท่านี้ก็ได้บิสกิตเมล็ดทุเรียนกรอบหอมกรุ่นแสนอร่อยเก็บไว้ทานเล่น
     
       โอ กล่าวทิ้งท้ายว่า บิสกิตเมล็ดทุเรียนกรอบเก็บไว้ได้ 1 อาทิตย์ ในอุณหภูมิห้อง และ 1 เดือนในตู้เย็น ไอเดียนี้สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเมล็ดทุเรียนได้ แถมเกิดสูตรขนมใหม่จากทุเรียนเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ชนิด ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น ขนมสูตรนี้เจ้าของไอเดียไม่หวงสูตร เนื่องจากตั้งใจไว้ว่าจะคิดค้นเพื่อนำมาเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจ ทั่วไป และอยากให้กลุ่มแม่บ้านนำไปผลิตเพื่อจำหน่ายออกสู่ท้องตลาดได้อีกด้วย


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ชิม'บักกุ๊ดเต๋'เสิร์ฟเป็นชุดอร่อยคล่องคอข้าวต้มรอบดึก


เมื่อ ปลายปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปประเทศสิงคโปร์ เพื่อถ่ายทำรายการกับคุณพ่อ โดยไปดูโรงแรมที่เพิ่งสร้างใหม่ครับ และได้ไปกินอาหารหลายแห่งด้วย มีอยู่แห่งหนึ่งที่ผมอยากเขียนถึง เพราะที่ร้านนั้นเหมือนกับว่าเป็นร้านอาหารประจำชาติของคนจีนที่อยู่ใน สิงคโปร์ไปแล้ว นั่นก็คือ ร้านอึง อา เซียว บักกุ๊ดเต๋ ซึ่งเป็นร้านที่คณะของเราแวะไปชิมกันมาด้วยครับ

ร้านนี้เป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวเลยนะครับ มีผู้คนแวะเวียนกันเข้ามาตลอด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวครับ ซึ่งหนึ่งในคณะท่องเที่ยวที่เข้าไปก็มีคณะของผมร่วมอยู่ด้วย 

คำว่า บักกุ๊ดเต๋ ก็คือ กระดูกหมูต้มยาจีนครับ อาหารที่กินกันวันนั้น เป็นชุดครับ โดยชุดอาหารที่เขาเสิร์ฟนั้น มีข้าว มีกระดูกหมูบักกุ๊ดเต๋ มีซี่โครงหมูบักกุ๊ดเต๋ ตับลวก ปาท่องโก๋ มีผักต้มในน้ำซุป รวมทั้ง ผักกาดผัด หนังหมูตุ๋น มีเห็ดลวกในน้ำบักกุ๊ดเต๋ และไส้หมูตุ๋นยาจีน ซึ่งทั้งหมดที่ผมกล่าวมานั้นจะมาพร้อมกันเป็นชุดเลยครับ 

ต้องบอกว่าบรรยากาศสนุกสนาน เฮฮาดีครับ ส่วนความอร่อยของอาหารนั้น ผมต้องเรียนตามตรงว่า ไม่อร่อยเท่าบ้านเราครับ ที่ภูเก็ต มีร้านอร่อยกว่านี้ตั้งหลายร้านครับ รสชาติเข้มข้นกว่านี้ ไม่จืดเหมือนที่ร้านนี้ ผมต้องขอตินะครับถ้าให้ไปอีกผมคงไม่ไปแล้ว ชุดบักกุ๊ดเต๋ ในวันนั้น มี ซี่โครงหมูบักกุ๊ดเต๋ กระดูกหมูบักกุ๊ดเต๋ หากเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสไปที่ร้านนี้ อย่าสั่งกระดูกหมูบักกุ๊ดเต๋เด็ดขาดเลยนะครับ แต่สำหรับซี่โครงหมูบักกุ๊ดเต๋ สั่งมากินได้ เพราะซี่โครงหมูนั้น เนื้อหมูยังมีความนุ่มและชุ่มชื้นอยู่ แต่ถ้าสั่งกระดูกหมูบักกุ๊ดเต๋ มาจะฝืดคอมาก ต้องกินน้ำตามเยอะ ๆ ถึงจะกลืนได้ เพราะเนื้อหมูแข็งกระด้างมาก

กลับมาที่ซี่โครงหมูบักกุ๊ดเต๋นะครับ เนื้อยังนุ่มนวลและอร่อยมากเลย ผมยังลอกเนื้อหมูให้คุณพ่อกินเลยครับ ส่วน ตับลวก เขาลวกนานจนเกินไป และ ปาท่องโก๋ ของเขาก็เดิม ๆ ครับ ส่วน ผักต้มน้ำซุป ซึ่งเป็นน้ำซุปบักกุ๊ดเต๋ เหมือนเอาผักไปลวกในนั้นเลยครับ แต่ในส่วนของผักกาดก็อร่อยดี และมีน้ำมันงาอยู่ในนั้น แต่ผมว่าไม่โดดเด่นเท่าไหร่ครับ

สำหรับ หนังหมูตุ๋น มีความโดดเด่นอร่อยและน้ำเข้มข้นดีครับ ส่วน เห็ดลวกในน้ำบักกุ๊ดเต๋ ผมต้องบอกว่า เอาเห็ดดิบมาให้ทำไมก็ไม่รู้นะครับ ผมเลยไม่ค่อยสบอารมณ์ สักเท่าไหร่ครับ

ถัดมาที่ ไส้หมูตุ๋นยาจีน อร่อยใช้ได้ครับ สรุปแล้วถ้าใครจะไปกินบักกุ๊ดเต๋ ไม่ต้องบินไปไกลถึงสิงคโปร์นะครับ ไปกินแถว ๆ ภูเก็ตจะอร่อยกว่ามากครับ หม้อละร้อยกว่าบาทหรือสองร้อยกว่าบาท ผมว่ายังดีกว่าเลยครับ มีรสชาติกว่า หอมกว่าและเข้มข้นมากกว่าครับ แต่ถ้าใครจะกินก็ไม่ว่ากันนะครับ แต่ให้ไปเพื่อไปลอง ไปเพื่อให้เห็น ไปเพื่อลิ้มรสดูว่าอาหารบักกุ๊ดเต๋ ที่ประเทศสิงคโปร์เป็นอย่างไร

อีกร้านหนึ่งที่ผมจะพูดถึงก็คือ ร้านข้าวต้มนายแดง ที่จังหวัดเชียงใหม่เวลาที่ผมไปเที่ยวตอนกลางคืนแล้วกลับออกมา หลังจากฟังนักร้องร้องเพลงและไปเที่ยวกับพวกน้อง ๆ แล้ว ผมจะไปกินอาหารที่ร้านข้าวต้มนายแดงครับ

ร้านข้าวต้มนายแดงที่ผมกำลังพูดถึงนี้ อยู่ใกล้ ๆ เชียงใหม่แลนด์ครับ ที่ร้านนี้มีอาหารที่ผมชอบหลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็น ผัดผักบุ้งไฟแดง ที่เขาผัดได้ดีมาก ผักสุกกำลังดี

ยังมีของตุ๋นต่าง ๆ ที่ผมชอบมาก ทั้ง เลือดเป็ด เต้าหู้พะโล้ และมี จับฉ่าย ที่รสชาติไม่หวานจนเกินไป ซึ่งผมชอบมากและอร่อยมากครับ มี หมูพะโล้ เป็นขาหมูคล้าย ๆ คากิครับ รสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยมาก เข้มข้นดีครับ และมี ต้มจืดผักกาดดอง และ ยำผักกาดดอง  ของเขาก็อร่อยนะครับ ทำได้ดีมาก

สิ่งที่น่ากินที่สุดและเป็นสิ่งที่ผมชอบ ก็คือ ยำกุนเชียงกับไข่เค็ม ผมกินไข่เค็มเข้าไปเผ็ดมากเลยครับ ทำให้ผมต้องกินข้าวต้มร้อน ๆ เข้าไปหลายคำเลยครับ

สำหรับเลือดเป็ดกับเต้าหู้พะโล้ ในส่วนของเต้าหู้พะโล้เขาจะเอาเต้าหู้ไปทอดก่อนแล้วนำมาใส่ในน้ำพะโล้ ส่วนเลือดเป็ดเขาเอาไปตุ๋นในน้ำพะโล้จนกระทั่งแข็ง โดยส่วนตัวผมชอบมากเลยครับ รสชาติดี อร่อยมากครับ

ร้านนี้ผมจะบอกว่าอร่อยกว่าร้านบักกุ๊ดเต๋ที่สิงคโปร์เสียอีกครับ รวมทั้งราคาก็ถูกกว่าด้วย ฉะนั้น ท่านผู้อ่านไปเที่ยวเชียงใหม่แล้วก็แวะไปกินข้าวต้มที่ร้านนายแดงกันนะครับ

สมัยนี้มีร้านอาหารใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่ร้านข้าวต้มนายแดง เป็นร้านที่เก่าแก่มาก เจ้าของร้านทั้ง 2 คน ก็น่ารักครับ ลองหาโอกาสไปทานกันนะครับ ไปลองดูว่าอร่อยอย่างที่ผมได้เล่าให้เพื่อน ๆ ฟังหรือเปล่า.

.......

ชิมให้เป็น

อาทิตย์นี้จะพูดถึงเมนู'กระดูกหมูบักกุ๊ดเต๋'


บักกุ๊ดเต๋ เป็นอาหารที่มีลักษณะเป็นน้ำแกงแบบจีน นิยมรับประทานในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน ไต้หวัน และบางเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง บาตัมในอินโดนีเซีย และอำเภอหาดใหญ่และในจังหวัดภูเก็ตของไทย ชื่อบักกุ๊ดเต๋ แปลตามตัวอักษรได้ว่า “น้ำชากระดูกและเนื้อสัตว์”
โดยทั่วไปจะประกอบด้วยซี่โครงหมูอ่อนตุ๋นในน้ำต้มสมุนไพรและเครื่องเทศ ได้แก่ โป๊ยกั้ก อบเชย กานพลู ตังกุย เมล็ดยี่หร่า และกระเทียม เป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งอาจมีส่วนประกอบอื่นเพิ่มเติมอีก เช่น เครื่องในสัตว์  เห็ดชนิดต่าง ๆ ผักกาด เต้าหู้แห้ง หรือเต้าหู้ทอด และอาจมีสมุนไพรจีนอื่น ๆ เช่น ยูซู  (เหง้าของพืชสายพันธุ์โพลิโกนาตัม) และ จูซิ  (ผลบัคธอร์น) ที่ทำให้น้ำแกงมีรสหวานมากขึ้นและเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย

ในระหว่างที่ตุ๋นนั้น จะปรุงรสด้วยการเติมซีอิ๊วขาวและซีอิ๊วดำลงในน้ำแกง มีผักชีสับหรือหอมเจียวเป็นเครื่องตกแต่ง  ตามปกติแล้วบักกุ๊ดเต๋จะทานกับข้าวหรือก๋วยเตี๋ยวก็ได้ และมักจะมีปาท่องโก๋ไว้จุ่มกับน้ำแกงและมีเครื่องดื่มเป็นชาจีน  ซึ่งเชื่อกันว่า จะช่วยเจือจางหรือละลายไขมันจำนวนมากในเนื้อหมู โดยทั่วไปแล้ว นิยมรับประทานบักกุ๊ดเต๋เป็นอาหารเช้า

หลังจากที่ได้ลองชิมบักกุ๊ดเต๋ร้านนี้แล้ว ผมจะเขียนอีกแต่ต้องรอให้ผมไปประเทศสิงคโปร์ก่อนนะครับ แล้วชิมร้านอาหารบักกุ๊ดเต๋ที่อร่อยกว่านี้มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังดีไหมครับ ครั้งนี้ผมต้องเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับร้านบักกุ๊ดเต๋ครับ ไม่เขียนถึงไม่ได้เลยครับ เพราะบักกุ๊ดเต๋เป็นอาหารที่คนในสิงคโปร์ชอบกินกัน แต่เมื่อผมได้ชิมแล้วรู้สึกผิดหวังมากครับ เพราะบักกุ๊ดเต๋ที่ผมเคยกินมาอร่อยกว่าที่ร้านนี้มาก.

...............

เข้าครัวกับหมึกแดง

สเต๊กอกเป็ดซอสพริกไทยดำ

เครื่องปรุงอกเป็ด


- อกเป็ดทั้งหนังบั้งเป็นตาราง 2 อก

- ซอสพริกไทยดำ 1 ซอง

- กระเทียมบุบ 3 หัว

- นํ้ามันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ

- หน่อไม้ฝรั่ง 4 แท่ง

- มะเขือม่วงหั่นแว่น 1 ลูก

- ซูกินี่หั่นแว่น 1 ลูก

- มะเขือเทศหั่นแว่น 1 ลูก

- ถั่วงอกอัลฟัลฟา พอประมาณ

- พริกไทยดำ สำหรับราดหน้า

วิธีทำ


1. ในชามผสม ใส่อกเป็ด ซอสพริกไทยดำ ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หรือค้างคืนก็ได้

2. เปิดกระทะย่างให้ร้อน นำอกเป็ดที่หมักไว้ ลงไปย่างให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน (ข้างในยังเป็นสีชมพูอยู่) พักไว้ 5 นาที

3. สไลซ์อกเป็ดแฉลบเป็นชิ้นพอคำ พักไว้

4. นำกระทะตั้งไฟ ใส่นํ้ามันมะกอกให้ร้อน เมื่อร้อน ใส่กระเทียมบุบลงไปจนกระทั่งหอม เมื่อหอมใส่ผักลงไปในกระทะและผัดอย่างเร็ว ปรุงด้วยเกลือ พริกไทย และยกออกจากเตา

5. เวลาเสิร์ฟ ตักผักทั้งหมดวางไว้ก้นจาน นำอกเป็ดที่สไลซ์วางบนผัก ราดด้วยซอสพริกไทยดำ และแต่งหน้าด้วยถั่วงอกอัลฟัลฟา

เครื่องปรุงซอสพริกไทยดำ


- นํ้ามันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

- หอมแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ

- มัสตาร์ด 1 ช้อนชา

- พริกไทยอ่อน 1/4 ถ้วยตวง

- บรั่นดี 1 ช้อนโต๊ะ

- ไวน์แดง 1/4 ถ้วยตวง

- พริกไทยดำ 1 ซอง

วิธีทำ

1. นำกระทะตั้งเตาให้ร้อน ใส่นํ้ามันพืชลงไปผัดหอมแดงสับให้หอม

2. ใส่มัสตาร์ด พริกไทยอ่อน ผัดให้พริกไทยสุก

3. ใส่บรั่นดีลงไป ผัดให้แอลกอฮอล์ระเหย ใส่ไวน์แดงรอให้ระเหยครึ่งหนึ่งก่อน แล้วจึงใส่ซอสพริกไทยดำลงไป ผัดให้เข้ากัน

4. ชิมรสให้ออกเค็ม เปรี้ยว หรือตามต้องการ นำไปราดอกเป็ดเสิร์ฟร้อน ๆ

ความรู้คู่ครัว


- ทำไมต้องใส่มัสตาร์ดเข้าไปในซอสพริกไทยดำ? เพื่อสร้างความเข้มข้นและเหนียวให้ซอส ให้กลิ่น หอม ฉุนนิด ๆ และมีรสชาติเผ็ด.

http://www.dailynews.co.th/

Read More...


กุ้งซีหมี่

คมชัดลึก : ผมติดใจกุ้งซีหมี่ของร่ำรวยโภชนา จึงขอสูตรมาสอนให้ทำกินที่บ้านครับ

เครื่องปรุง
            1.บะหมี่ไข่                                           2  ก้อน
            2.กุ้งแชบ๊วย                                         8   ตัว
            3.พริกไทยป่นตรามือ                              ช้อนชา
            4.ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่ว) ตรามือ                  1  ช้อนชา
            5.แป้งมันฮ่องกง                                   2  ช้อนโต๊ะ
           
            6.ซอสหอยนางรม                                 2  ช้อนโต๊ะ
            7.ซีอิ๊วดำหวาน                                     1  ช้อนชา
            8.น้ำตาลทราย                                     1  ช้อนชา
            9.น้ำซุปต้มกระดูก                                 1  ถ้วย
            10.หน่อไม้ดองหั่นเป็นเส้น                      1  ถ้วย
            11.เห็ดหอมแช่น้ำหั่นเป็นเส้น                  1  ถ้วย
            12.แครอทหั่นเป็นเส้น                           1  ถ้วย

วิธีทำ
            1.คลี่เส้นบะหมี่ไข่ให้กระจาย แล้วใส่กระชอนล้างแป้งที่เคลือบเส้นออกให้หมด
            2.นำเส้นบะหมี่ไข่ไปนึ่งให้สุก จึงนำไปผัดกับน้ำมันให้เหลืองกรอบใส่จานรอไว้
            3.เอากุ้งสดลงผัดกับน้ำมันให้สุก จึงใส่หน่อไม้ เห็ดหอม แครอท ลงผัดด้วย
            4.ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซอสหอยนางรม ซอสเปรี้ยว ซีอิ๊วดำ พริกไทย
            5.ตักน้ำซุปใส่จนท่วม รอให้น้ำเดือดจึงตีแป้งลงไปให้เหนียวหนึบ
            6.ตักราดลงบนเส้นบะหมี่ที่ผัดเตรียมไว้ให้ชุ่ม
            เครื่องปรุงซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่ว) ซีอิ๊วดำหวานเมืองจีน แป้งมันฮ่องกง มีขายที่โทร.0-2222-5578    



 

Read More...


เหมือนจะง่าย...แต่ยาก (มาก) ข้าวเหนียวปิ้งแม่สุทิน 40 ปี ตั้งใจดี ไม่มีเปลี่ยน!!

Pic_157156
กลิ่นหอมกรุ่น

ข้าวเหนียวปิ้ง...ของว่างที่แฝงความละเมียดละไมของอาหารไทยไว้ได้อย่างน่า ทึ่ง   แต่ด้วยความเคยชิน เราอาจจะไม่เคยรู้ว่ากว่าจะสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นข้าวเหนียวปิ้งให้เราได้กิน กันนั้น   มันไม่ง่ายเหมือนกับแกะห่อใบตองแล้วหยิบขนมใส่ปาก แต่ต้องลำบากลำบนนั่งทำขนมจนหลังขดหลังแข็ง กว่าจะได้ขนมแต่ละชิ้น โดยเฉพาะ "ข้าวเหนียวปิ้ง สูตรแม่สุทิน" เจ้าเก่า สุดเก๋าของชาวบางลำพู ของดีที่อยู่คู่ขาโซ้ยมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าเวลาจะผ่านกี่สิบปี ทั้งรสชาติและ ความตั้งใจยังดี...ไม่มีเปลี่ยน!


"สุทิน เป็นชื่อคุณแม่พี่เองค่ะ แม่พี่เป็นคนอัมพวา เมื่อก่อนคุณแม่ขายข้าวต้มมัด ได้สูตรมาจากคุณยาย บ้านคุณยายอยู่ในสวน เราก็จะมีกล้วย มีใบตองของเราเอง แม่ก็ทำแบบชาวบ้านๆ ขายอยู่แถวนั้น วันหนึ่งแม่ก็ไปขายที่วัด แล้วก็เอาข้าวต้มมัดไปถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็ถาม...ทำไมไม่ลองทำอะไรที่มันแปลกๆขายบ้าง เพราะข้าวต้มมัดที่ทำมันก็ซ้ำๆ มีคนทำกันเยอะแล้ว ทำไมไม่ลองเอาไปปิ้งให้มันหอมๆ...จากตรงนั้นก็เป็นการจุดประกายให้ คุณแม่ลองทำข้าวเหนียวปิ้งดู ตอนแรกก็ใช้สูตรเดียวกับข้าวต้มมัด ปรากฏว่ามันออกมาไม่อร่อย ทำทิ้งไปเยอะมาก ทำไปทำมาจนได้สูตรนี้ แม่พี่ก็เริ่มขายแบบจริงจัง พอคุณแม่เสีย พี่ก็รับช่วงต่อ ตัวพี่ทำมา 20 ปี ถ้ารวมแม่ด้วยก็ประมาณ 40 ปีแล้วค่ะ" พี่แอ๋ว ทายาทรุ่นที่สองผู้สืบสานการทำข้าวเหนียวปิ้ง เล่าถึงต้นกำเนิดความแซบแบบไม่มีกั๊ก

ขาแซบ  ขาโซ้ย  หลายท่านรู้จักมักคุ้นกับข้าวเหนียวปิ้งแม่สุทินเป็นอย่างดี มีนักชิมหลายสำนักแวะเวียนมาแนะนำไม่ขาดสาย ด้วยความพิถีพิถันปั้นแต่งอย่างใส่ใจ ทำ ให้ข้าวเหนียวห่อเล็กๆอัดแน่นไปด้วยความอร่อย เข้มข้น ถึงเครื่อง ถึงกะทิ ทุกคำที่เคี้ยว!
 
ปิ้งกันเห็นๆ
ปิ้งกันเห็นๆ

คุณพี่แอ๋วยึดคติ ‘ถ้าจะทำแล้วต้องทำให้ดี เพราะมีชื่อแม่การันตีอยู่ที่หน้าร้าน’ จะทำสุ่มสี่สุ่มห้า เร่งรัด ตัดขั้นตอน หวังแต่ผลกำไรอย่างเดียวไม่ได้ ทำให้พี่แอ๋วต้องใส่ใจทุกรายละเอียด   ตั้งแต่การเลือก "ข้าวเหนียว"   ต้องเป็นข้าวเหนียวเขี้ยวงูอย่างดี จะเป็นข้าวกลางปี หรือข้าวเก่าก็ได้ ไม่ว่ากัน หลังจากได้ข้าวเหนียวมาแล้ว ต้องนำมาแช่น้ำให้ข้าวอ่อนตัว  ระยะเวลาในการแช่ขึ้นอยู่กับอายุ ถ้าเป็นข้าวเก่าแช่นานหน่อย ถ้าเป็นข้าวกลางปีจะแช่น้อยกว่า ทุกครั้งที่ได้ ข้าวมา คุณพี่แอ๋วจะต้องคอยตรวจดูข้าวด้วยตัวเอง เพื่อคำนวณเวลาแช่ข้าวให้พอดิบพอดี ไม่นานจนเละเกินไป และไม่เร่งรีบจนข้าวแข็งเกินพอดี

หลังจากแช่ข้าวเหนียวจนบานได้ที่แล้ว นำไปมูนกับน้ำกะทิ ช่วงนี้ราคามะพร้าวดีดตัวแรงจนหลายคนอ่อนใจ แต่คุณพี่แอ๋วยังกัดฟันยืนยันใช้กะทิคั้นสด ไม่ยอมลดคุณภาพให้เสียมาตรฐานคุณแม่สุทิน!
พี่แอ๋วทายาทตัวจริง
พี่แอ๋วทายาทตัวจริง

เสร็จสิ้นกระบวนการมูนแล้วต้องพักข้าวเหนียวไว้ประมาณ 2 ชั่วโมงให้ข้าวซึมซับรับความมันของกะทิเข้าไปในตัวก่อนจึงเริ่มหยิบข้าว เหนียวใส่ห่อ วางไส้ตรงกลางแล้วหยิบข้าว เหนียวมาโปะอีกที ห่อให้มิดชิด ปิดหัวท้ายด้วยไม้กลัด และเล็มใบตองให้สวยงามเป็นอันเสร็จสิ้น รอส่งไปปิ้งในเวลาเช้ามืดของวันต่อไป

สูตรแม่สุทินมีข้าวเหนียวปิ้ง 3  ไส้ให้เลือกหม่ำ  คือ  ไส้กล้วย  ไส้ เผือก และไส้กุ้ง

"ไส้กล้วย" เป็นไส้คลาสสิก มีมาตั้งแต่ยุคบุกเบิก คุณพี่แอ๋วสั่งกล้วยมาจากสวนที่อัมพวา เจ้าของสวนมาส่งด้วยตัวเอง ซื้อครั้งละหลายร้อยหวี กล้วยที่ดีที่เหมาะต้องลูกไม่ใหญ่ กลมๆ สั้นๆ รสหวาน เนื้อเหนียวหนึบ เวลาปิ้งกับ ข้าวเหนียว   เนื้อกล้วยจะสุกกำลังดี คุณพี่แอ๋วใส่กล้วยทั้งลูก ถูกใจพลพรรคนักหม่ำกล้วยอย่างแรง
 

สำหรับ   "ไส้ เผือก" คุณพี่เลือกใช้ เผือกหอม นำมาฝานบางๆ ต้มกับหางกะทิจนเละได้ที่ นำมาใส่ เครื่องกวน ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลเล็ก น้อย  กวนประมาณ  6 ชั่วโมงจนเนื้อเนียนล่อน จึงจะถือว่าใช้ได้ เตรียมจับใส่ห่อรอปิ้ง ไส้เผือกของร้านนี้ไม่หวานจัด เน้นเนื้อเผือกล้วนๆ ไม่มีแป้งมากวนใจ!

อีกหนึ่งไส้ที่ไม่เหมือนคนอื่นคือ "ไส้กุ้ง" คุณแม่สุทินได้ความคิดอันบรรเจิดมาจากข้าวเหนียวหน้ากุ้งของพี่น้องชาวไทย ทางภาคใต้ จึงนำมาประยุกต์ให้เข้ากับข้าวเหนียวปิ้งแบบภาคกลาง โดยใช้กุ้งตัวใหญ่สับให้ละเอียด คลุกกับมันกุ้งและมะพร้าวขูด   จากนั้นนำไปผัดกับรากผักชี พริกไทย เกลือ และน้ำตาล  รสชาติจะเข้มข้นจัดจ้าน  ทานกับ ข้าวเหนียวเค็มมันๆเข้ากั๊น...เข้ากัน!!

พิเศษสำหรับช่วงเทศกาลเจ คุณพี่แอ๋วจะทำ "ไส้เม็ดบัว" แทนไส้กุ้ง ใครที่อยากลองต้องรอสักหน่อย เจเมื่อไหร่ได้อร่อยแน่!!
 

นอกจากความใส่ใจในข้าวเหนียวและไส้แล้ว แม้แต่ "ใบตอง" ยังต้องพิถีพิถัน คุณพี่แอ๋วเลือกใช้ใบตองกล้วยตานีเท่านั้น ถึงจะให้กลิ่นหอมโดนใจ  ต้องจ่ายแพงขึ้นมาอีกหน่อย แต่เพื่อความหอมพี่แอ๋วยอมทุ่ม

นักหม่ำท่านใดที่อยากลองของดีระดับตำนาน "ข้าวเหนียวปิ้งแม่สุทิน" ให้มุ่งหน้ามาที่ตลาดบางลำพู ด้านกำแพงวัดบวรฯ แผงข้าวเหนียวปิ้งจะอยู่ปากซอยข้างธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำพู เปิดขายตั้งแต่ 6 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็น ทุกวันเว้นจันทร์ กลางเดือน และจันทร์ปลายเดือน ถ้าไม่ อยากมาเก้อเพราะของหมด โทร.ถามได้ที่เบอร์ 0–2961–2194, 08–5128–6003, 08– 6562–1443   สำหรับชาวบางใหญ่ ไม่ต้องลำบากมาถึงบางลำพู คุณพี่แอ๋วไปเปิดแผงข้าวเหนียวปิ้งอยู่ในศูนย์อาหารบางใหญ่ ขายทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เบอร์เดียวกัน โทร.ถามทาง สั่งของได้ ไม่ต้องเกรงใจ และไม่ว่าจะกินร้านบางลำพูหรือร้านบางใหญ่ก็ได้รสชาติเดียวกัน เพราะทำจากที่เดียวกัน แล้วส่งไปปิ้งทั้งสองสาขา ถนัดที่ไหนไปโซ้ยที่นั่น  รับประกันอร่อย  มัน  มาตรฐานเดียวกันทั้งสองเตา!!

ก่อนจบก่อนจาก เจ๊แซบขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียจากภัยธรรมชาติครั้งยิ่งใหญ่ในประเทศ ญี่ปุ่น   เจ๊แซบและพลพรรคนักโซ้ยขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไป ได้โดยเร็ว... ด้วยความห่วงใยจากใจ... เจ๊แซบ หัวเขียว!

เจ๊แซบ หัวเขียว

ไทยรัฐออนไลน์


Read More...


ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง

ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง

Pic_158197

 ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่องที่ มะปราง-ปัทมวดี เสนาณรงค์ ลูกสาวหนึ่งเดียวของท่านหญิงปัทมนรังษี เสนาณรงค์ นำเสนอวันนี้ ได้สูตรและวิธีการทำมาจากการเข้าคอร์สเป็นลูกศิษย์ป้ายแดงกลุ่มแรกของเชฟ "พล ตัณฑเสถียร" ในกิจกรรม "คนอร์ยกครัว" ซึ่งเปิดคอร์สทัวร์แกง อร่อย แนะเคล็ดลับการปรุงอาหารให้อร่อย

มะปรางเล่าว่า ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่องนี้ เป็นจานเด็ดที่เชฟพลบอกว่า เป็นเมนูแห่งความทรงจำที่คุณแม่ทำให้รับประทานบ่อยๆ จึงนำมาบรรจุในกิจกรรมของคนอร์ยกครัวฯด้วย ปกติเมนูบนโต๊ะอาหารของคนไทย นอกจากจานผัดและทอดแล้ว เมนูชามน้ำ หรือแกงต่างๆ ถือเป็นเมนูประจำบ้าน ที่แม่บ้านนิยมทำให้ สมาชิกในครอบครัวรับประทาน เพื่อไว้ซดคล่องคอ จะช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหารมื้อนั้นๆอร่อยยิ่งขึ้น


อาหารชามน้ำ จะทำให้อร่อยต้องใช้เวลาเคี่ยวน้ำแกงนาน ถึงจะได้รสชาติแบบถึงน้ำถึงเนื้อ แต่สมัยนี้ไม่ยุ่งยากอีกต่อไปแล้ว สามารถทำได้ง่ายๆและสะดวกมากๆ แค่ใส่คนอร์ซุปไก่ก้อนลงไป ก็จะทำให้น้ำแกงออกสีเหลืองทอง ซึ่งเป็นหัวใจความอร่อยของเมนูชามน้ำ นอกจากนี้ ต้องพิถีพิถันกับการเลือกเครื่องปรุงที่สดและสะอาดด้วย โดยเฉพาะเมนูก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่อง เส้นก๋วยเตี๋ยวและเครื่องหน้า ทั้งหมูสามชั้น เห็ดหอม หมูสับ ไข่นกกระทา และที่สำคัญคือ การปรุงน้ำแกงสีเหลืองทองที่บ่งบอกถึงความอร่อย เหมาะสำหรับเป็นอาหารว่างในงานปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง หรือทำทานเองที่บ้านได้

เครื่อง ปรุงทั้งหมด : เส้นก๋วยเตี๋ยว 500 กรัม/ถั่วงอก 200 กรัม/กุ้งแห้ง (แช่น้ำ) 40 กรัม/น้ำมันพืชสำหรับทอด/ซีอิ๊วดำ สำหรับเสิร์ฟ/พริกตำ สำหรับเสิร์ฟ/ผักชี สำหรับโรยหน้า

เครื่องปรุงสำหรับโรยหน้า : น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม/ ซีอิ๊วขาว 3 ชต./คนอร์ ซุปไก่หรือหมูก้อน 1 ก้อน/ หมูสามชั้น 250 กรัม/หมูสับ 150 กรัม/กระเทียม 4  กลีบ/เห็ดหอมแห้ง 3 ดอก/ผงปรุงครบรสคนอร์อร่อยชัวร์ 1/2 ชช./กระเทียมบด 1 กลีบ/ไข่นกกระทาต้มสุก 8 ฟอง/เต้าหู้ขาวแข็ง 190 กรัม/น้ำเปล่า 700–800 มล./เกลือและพริกไทยขาว


เครื่องปรุงไชโป๊ผัดกระเทียม : ไชโป๊หวานสับ 40 กรัม/กระเทียม 30 กรัม

วิธี ทำ : 1). ทอดกุ้งแห้งพักไว้ 2). แช่ เห็ดหอมแห้งให้นุ่มซอยเป็นเส้น 3). นำเต้าหู้ ใส่ในน้ำเย็นตั้งไฟพอเดือด แล้วตักขึ้นจากน้ำร้อนพักให้เย็นเพื่อลดกลิ่นเต้าหู้ 4). สับไชโป๊ กับกระเทียมให้ละเอียดนำไปคั่วในกระทะเทฟลอนจนแห้งกรอบ 5). หมักหมูสับกับผงปรุงครบรส คนอร์อร่อยชัวร์ และกระเทียมบด 6). เคี่ยวน้ำตาลปี๊บพอเป็นคาราเมล เติมน้ำร้อนลงไปเล็กน้อย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวกับคนอร์ซุปไก่ (หมู) ก้อน และกระเทียมบุบ 4 กลีบ 7). ใส่หมูสามชั้นลงไปผัดให้สุกและสีสวย ใส่ไข่นกกระทาต้มสุกและเห็ดหอม พร้อมน้ำเพิ่ม เคี่ยวไปเรื่อยๆ ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย 8). นึ่งเส้นก๋วยเตี๋ยวและถั่วงอกตักใส่จานเสิร์ฟกับเครื่องปรุงหน้า กุ้งแห้งทอดและไชโป๊คั่วกระเทียม ราดซีอิ๊วเล็กน้อย แต่งหน้าด้วยผักชีเสิร์ฟกับน้ำส้มพริกตำ.

credit : http://www.thairath.co.th/

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.