สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

น้ำแข็งไสปุยนุ่น “Ice Baby” หั่นราคาบุกตลาดป่าล้อมเมือง

.

       น้ำแข็งไสปุยนุ่นจากประเทศไต้หวันกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในบ้านเรา ทำให้มีหลายเจ้าผุดขึ้นเพื่อเกาะกระแสฮิต หนึ่งในนั้น คือ “ไอซ์ เบบี้” ที่พยายามสร้างความแตกต่างจากรายอื่น โดยหันมามุ่งเจาะตลาดระดับกลาง ขายในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมทำตลาดแบบป่าล้อมเมือง เน้นขยายสาขานอกกรุงเทพฯ เพื่อสร้างทางใหม่ให้แก่ผู้บริโภคตามต่างจังหวัดได้ลิ้มลองน้ำแข็งไสอินเทรนด์



       ธุรกิจน้ำแข็งไสปุยนุ่น “ไอซ์ เบบี้” (Ice Baby) เกิดขึ้นมาประมาณครึ่งปีแล้ว โดยมีหุ้นส่วน คือ บริภัณฑ์ แสงประเสริฐ นุชสรา กาญจนกุล กนกรัตน์ และเพ็ญจิตต์ อิ่มอรชร   
       สำหรับไอเดียเริ่มต้นนั้น บริภัณฑ์เป็นตัวแทนบอกเล่าว่า จากที่เคยเดินทางไปต่างประเทศ และได้ทดลองชิมน้ำแข็งไสของหลายๆ แห่ง ไม่ว่าจะเป็นฮาวาย ญี่ปุ่น และเกาหลี กระทั่ง พบน้ำแข็งไสจากประเทศไต้หวัน หรือที่เรียกว่า Chhoah-Peng แล้วเกิดประทับใจ เพราะมีความละเอียดนุ่มลิ้นมากที่สุด ทำให้สนใจนำมาทำตลาดในเมืองไทย


       ทั้งนี้ ก่อนจะเริ่มธุรกิจได้สำรวจตลาดในประเทศ พบว่า มีน้ำแข็งไสประเภทนี้อยู่แล้ว ทว่า แทบ ทั้งหมดจะมุ่งขายตลาดบน ราคาขายปลีกค่อนข้างสูง และขายอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น ทั้งที่จริงต้นทุนวัตถุดิบค่อนข้างต่ำ ทำให้เห็นช่องว่างระหว่างส่วนต่างของต้นทุนกับราคาขายปลีก จึงคิดจะทำตลาดที่มุ่งขายราคาระดับกลาง ให้ลูกค้าส่วนใหญ่ได้เข้าถึงง่ายขึ้น พร้อมเน้นพื้นที่นอกกรุงเทพฯ เพื่อให้ผู้บริโภคตามต่างจังหวัด ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศได้มีโอกาสกินน้ำแข็งไสชนิดนี้บ้าง

 



       อีกจุดเด่นของ “ไอซ์ เบบี้” คือ ผสมรสชาติต่างๆ ลงในน้ำก่อนนำไปเข้าเครื่องแช่แข็ง เมื่อได้เป็นก้อนน้ำแข็งแล้ว จึงนำไปไส ช่วยให้ได้น้ำแข็งไสที่มีรสชาติสม่ำเสมอกันทั้งหมด กินแล้วชุ่มลิ้น สดชื่น และละเอียดนุ่มเนียนเหมือนไอศกรีม นอกจากนั้น หนึ่งในหุ้นส่วนอย่างนุชสรา จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์อาหาร รับผิดชอบการปรุงสูตรให้เหมาะกับปากคนไทย โดยมีให้เลือกกว่า 14รสชาติ เช่น นม ชาไทย โยเกิร์ต ยาคูลท์ และรสผลไม้ต่างๆ เป็นต้น

       บริภัณฑ์ เผยว่า หัวใจที่ทำให้ได้น้ำแข็งไสที่ละเอียดนุ่มเนียนจนคล้ายไอศกรีม เกิดจากเครื่องจักรสำหรับทำก้อนน้ำแข็ง ซึ่งทำความเย็นได้ถึงลบ 30 องศา นำเข้ามาจากประเทศไต้หวัน ราคากว่า 5 แสนบาท ประกอบกับใส่ส่วนผสมที่เป็นสูตรเฉพาะ โดยมีวัตถุดิบอย่างนม นำเข้าจากออสเตรเลียและผลไม้แท้ เป็นต้น รวมถึง เครื่องไสน้ำแข็งคุณภาพสูงที่นำเข้าจากประเทศไต้หวันเช่นกัน




       ด้านการทำตลาดนั้น เขาเผยว่า เปิดสาขาแรกในห้าง Big C ลพบุรี โดยขายถ้วยเล็ก (8 OZ.) ใส่ท็อปปิ้งได้ 2 อย่าง ราคา 39 บาท ถ้วยกลาง (10 OZ.) ใส่ท็อปปิ้งได้ 3 อย่าง ราคา 49 บาท และถ้วยใหญ่ (14 OZ.) ใส่ท็อปปิ้งได้ 4 อย่าง ราคา 59 บาท ซึ่งจากราคาที่ไม่สูงเกินไปทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูง และจากนั้น ไม่นาน ขยายสาขา 2 ตามมาที่ จ.สระบุรี




       หลังได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้สนใจมาขอร่วมธุรกิจ ดังนั้น “ไอซ์ เบบี้” เปิดขายธุรกิจรูปแบบแฟรนไชส์ด้วย ขณะนี้มีผู้ร่วมธุรกิจ 3 สาขาแล้ว ได้แก่ อยุธยา นครสวรรค์ และหนองบัวลำภู ซึ่งทุกแห่งล้วนประสบความสำเร็จ โดยสาขาที่มียอดขายน้อยที่สุด ยังมียอดถึงกว่า 2,500 ถ้วยต่อเดือน   
       เจ้าของธุรกิจ เผยว่า ต้นทุนที่แท้จริงของน้ำแข็งต่อถ้วย ประมาณ 7-10 บาท รวมค่าท็อปปิ้ง เฉลี่ยแล้วต่อถ้วย จะมีต้นทุนประมาณ 13 บาท นำไปขายปลีกถ้วยละ 39-59 บาท เท่ากับกำไรต่อถ้วยมากกว่า 100% (ยังไม่รวมค่าเช่าสถานที่ ค่าพนักงาน) หากขายได้วันละ 40 ถ้วย ธุรกิจจะสามารถอยู่รอดได้ แต่จากค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา ทุกสาขามียอดขายประมาณ 80 ถ้วยต่อวัน


 


       ในส่วนการลงทุนแฟรนไชส์นั้น มีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ 1. ลงทุน 39,000 บาท ได้รับเครื่องไสน้ำแข็ง พร้อมอุปกรณ์ประกอบการขาย และ 2.ลงทุน 89,000 บาท ได้ รับอุปกรณ์ครบถ้วน เช่น เครื่องไสน้ำแข็ง ตู้เย็นโชว์ท็อปปิ้ง 15 หลุม ตู้เย็นแช่แข็ง และอุปกรณ์ประกอบการขาย นอกจากนั้น มีค่าตกแต่งร้านและจัดสถานที่ ขึ้นอยู่พื้นที่ขนาด และความต้องการของผู้ลงทุน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ขนาด 2x2 เมตร 20,000-40,000 บาท ขนาด 3x3 เมตร 40,000 บาทขึ้นไป

 


   
       ด้านเงื่อนไขแฟรนไชส์กำหนดว่า ต้องรับน้ำแข็งก้อนจากส่วนกลางเท่านั้น ในราคา 180-200 บาทต่อก้อน ( 1 ก้อนน้ำหนัก 3 กิโลกรัม สามารถทำน้ำแข็งไสถ้วยเล็กได้ 22-25 ถ้วย) โดยน้ำแข็งก้อนมีอายุเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึง 6 เดือน และในอุณหภูมิปกติกว่า 6 ชั่วโมง กำหนดว่าต้องสั่งอย่างต่ำครั้งละ 30 ก้อน ส่วนท็อปปิ้งต่างๆ ให้สิทธิ์ผู้ลงทุนไปซื้อหาและสร้างสรรค์ด้วยตัวเองตามความเหมาะสมในแต่ละ พื้นที่
 



       บริภัณฑ์ ยอมรับว่า ขณะนี้มีน้ำแข็งไสสไตล์นี้เกิดขึ้นใหม่หลายราย แต่ยังไม่มีคู่แข่งโดยตรงที่จะมุ่งจับตลาดระดับกลางตามต่างจังหวัดเหมือนแบ รนด์ “ไอซ์ เบบี้” และเชื่อว่า ธุรกิจน้ำแข็งไสยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน รวมถึง เป็นของกินเล่นที่ทันสมัย และไขมันต่ำ เข้ากับกระแสรักสุขภาพ ดังนั้น หากมีสูตรและรสชาติถูกปากลูกค้า และจับกลุ่มลูกค้าได้ถูกต้อง โอกาสประสบความสำเร็จยังเป็นไปได้

โทร.08-7117-2288 , 08-7117-8822 หรือ http://www.icebaby-franchise.com/
 ข้อมูลแฟรนไชส์ ไอซ์ เบบี้ น้ำแข็งไสปุยนุ่น - ไอศครีมเกล็ดหิมะ


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Download บทความนี้ : http://www.ziddu.com/download/13068880/IceBaby.pdf.html

Read More...


ขนมตาล-ขนมกล้วย ขนมอนุรักษ์ที่ยังทำเงินงาม

 

ขนมไทยที่อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกว่าคนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างไร ขนมไทยแต่ละชนิดล้วนมีเสน่ห์ แม้มีรูปลักษณ์ มีรสชาติ ที่แตกต่างกันไป แต่ก็ล้วนแฝงไว้ด้วยความละเมียดละไม ซึ่งวันนี้ “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลขนมไทย “ขนมตาล” และ “ขนมกล้วย” มานำเสนอให้ลองพิจารณา.....



   
เจ้าของสูตร “ขนมตาล-ขนมกล้วย” ที่จะนำเสนอวันนี้ คือ ป้านุ่ม-บุญมี นุ่มทอง อายุ 60 ปี เจ้าของร้านขนมไทยสูตรต้นตำรับที่หน้าวัดโบสถ์ จ.นนทบุรี ป้านุ่มเล่าให้ฟังถึงขนมตาลที่ลูกค้าติดอกติดใจว่า สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น ใช้เนื้อตาลล้วน ๆ ผสมแป้งเล็กน้อย เนื้อขนมที่ออกมาจึงนิ่มอร่อย หอมหวานเนื้อตาลแท้ ๆ ซึ่งเดิมป้านุ่มทำขนมไทยขายหลายชนิด แต่ภายหลังเพื่อความสะดวก และไม่ให้เกิดความยุ่งยากเวลาคนสั่งขนม จึงลดการทำขนมอื่น ๆ ที่มีขั้นตอนมาก ลดการทำขนมเหลือแค่สองอย่าง คือขนมตาล-ขนมกล้วย
   
“ทำขนมไทยขายเลี้ยงครอบครัวมานานกว่า 40 ปีแล้ว ไม่ได้ประชาสัมพันธ์อะไรเลย อาศัยการบอกต่อของลูกค้า สิ่งที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าซื้อขนมของเราจำนวนมาก คือรสชาติที่กลมกล่อม ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกตาลและมะพร้าวที่สั่งตรงจาก จ.เพชรบุรี รสชาติความอร่อยที่แตกต่างไปจากเจ้าอื่น โดยขนมของป้าสามารถเก็บได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีการใส่สารกันบูด และใช้สีธรรมชาติล้วน ๆ” ป้านุ่มกล่าว
   
การทำอาชีพขายขนมดังกล่าวนี้ อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ต้องใช้ก็มี...เตาสำหรับนึ่งขนม, ลังถึงขนาดใหญ่, กะละมังสเตนเลส, ผ้าขาวบาง, กระชอน, ทัพพี, ถ้วยอะลูมิเนียม, ถ้วยตะไล หรือกระทงใบตองก็ได้
   
ส่วนผสมการทำ “ขนมตาล” ตามสูตรนี้ก็มี... เนื้อลูกตาลยีเรียบร้อยแล้ว, แป้งข้าวเจ้า, น้ำตาลทราย, น้ำกะทิสด, มะพร้าวอ่อนขูดเป็นเส้น (ใส่มากก็อร่อยมาก) และเกลือป่น
   
ขั้นตอนการทำ ขนมตาลกะทิสด เริ่มจากนำน้ำกะทิมาผสมกับน้ำตาลทราย ทำการคนให้ละลายเข้ากัน แล้วตั้งพักไว้ ผสมแป้งข้าวเจ้ากับเนื้อตาล  ใช้มือเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน ค่อย ๆ ใส่น้ำกะทิที่ผสมน้ำตาลลงไปทีละน้อย นวดจนแป้งนุ่มมือและเนียนเข้ากันดี  จึงเติมกะทิส่วนที่เหลือทั้งหมดตามลงไป คนให้ส่วนผสมให้เข้ากันดี จากนั้นก็นำแป้งที่นวดผสมเสร็จเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด ก่อนจะนำตั้งพักไว้ในที่มีแดดส่อง หรือที่อุ่น ๆ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง รอให้แป้งขึ้นตัว (ขนมตาลแบบโบราณต้องใจเย็น ๆ ต้องรอจนแป้งขึ้นจนเป็นฟองปุด ๆ ขนมตาลสมัยใหม่ ย่นย่อเวลาหมักแป้งด้วยการใส่ผงฟูบ้าง ยีสต์บ้าง)
   
ระหว่างรอ นำมะพร้าวอ่อนที่ขูดเตรียมไว้ไปนึ่งสักครู่ (เพื่อไม่ให้เสียง่าย) ยกลงตั้งไว้ให้เย็นแล้วโรยด้วยเกลือป่นเล็กน้อยพอมีรสชาติ  นำถ้วยอะลูมิเนียมหรือถ้วยตะไลเรียงในลังถึง เมื่อส่วนผสมแป้งได้ที่ดีแล้ว ใช้ทัพพีคนแป้งเบา ๆ ตักหยอดใส่ถ้วยเกือบเต็ม ก่อนจะยกวางบนลังถึงนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ  15 นาที หน้าตาขนมตาลที่นึ่งสุกดีแล้วจะขึ้นฟูจนหน้าแตก ยกลงตั้งไว้ให้เย็น แคะออกจากถ้วยวางในภาชนะ เป็นอันเสร็จ
   
ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำ “ขนมกล้วย” เป็นรูปแบบ ขนมกล้วยนึ่งมะพร้าวอ่อน ส่วนผสมก็มี... แป้งข้าวเจ้า, แป้งมัน, น้ำตาลทราย, มะพร้าวอ่อนขูดหรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ, เกลือป่น, น้ำกะทิ, เผือก, กล้วยสุกงอม และน้ำตาลปี๊บ
   
วิธีทำ เริ่มจากปอกกล้วยแล้วบดให้ละเอียดด้วยครกหรือเครื่องบดก็ได้ ส่วนเผือกปอกเปลือกแล้วใช้ที่ขูดมะละกอดิบขูดให้เป็นเส้น นำกล้วยและเผือกมาเคล้าให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลปี๊บ คลุกให้น้ำตาลละลาย ใส่แป้งมันและแป้งข้าวเจ้าลงไป เคล้าให้เข้ากัน ใส่น้ำกะทิไปทีละน้อย อย่าใส่มาก ค่อย ๆ ใส่แล้วคลุกเคล้าไป อย่าให้เหลว ให้ข้นไว้ก่อน ใส่เกลือ น้ำตาลทราย และมะพร้าวอ่อนขูดที่เตรียมไว้ลงไป เคล้าให้น้ำตาลและเกลือละลายเข้ากันทั้งหมด หากข้นมากไปก็ใส่น้ำกะทิเพิ่มลงไปอีกเล็กน้อย ชิมดูให้มีรสหวานเค็มมัน กลมกล่อม
   
ตักใส่ภาชนะที่จะนำไปนึ่ง อาจจะใช้ถ้วยหรือกระทงใบตองก็ได้  นึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 15-20 นาที
สุกแล้วก็ยกลงตั้งไว้ให้เย็น  แคะใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ เท่านี้ก็พร้อมขาย
   
ป้านุ่มบอกว่า ความอร่อยของขนมกล้วยนึ่งอยู่ที่ความนุ่มนวลของเนื้อขนม และความหวานหอมของกล้วย อีกทั้งรสชาติจะต้องกลมกล่อม ไม่เค็มหรือหวานไป  ถ้า 3 อย่างนี้โอเค ความอร่อยก็ไม่หนีไปไหน
   
สำหรับราคาขาย ขนมตาลกะทิสด และ ขนมกล้วยนึ่งมะพร้าวอ่อน เจ้านี้ขายชิ้นละ 10 สลึง (2.50 บาท) และมีการจัดเป็นชุด ขายชุดละ 20 บาท ร้านตั้งอยู่หน้าวัดโบสถ์ จ.นนทบุรี (เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ-เย็นตาโฟ) ขายตั้งแต่เช้า บ่าย ๆ ก็หมดเกลี้ยง และยังขายที่ตลาดจตุจักรมีนฯ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ด้วย

*************       
   
ใครต้องการสั่งออร์เดอร์ขนมของป้านุ่ม ต้องสั่งล่วงหน้า 1 วัน โดยติดต่อป้านุ่ม หรือคุณอ้อย ได้ที่ โทร. 08-1814-8955 ซึ่ง “ขนมตาล-ขนมกล้วย” ยุคนี้เป็นขนมอนุรักษ์ที่มีตลาดหลายรูปแบบ ทั้งซื้อทานกันทั่วไป ใช้ในงานเลี้ยง งานประชุมสัมมนา งานทำบุญเลี้ยงพระ รวมถึงเป็นของฝากของขวัญช่วงปีใหม่ได้ด้วย
   
ถือเป็นขนมอนุรักษ์ที่ยังทำเงินได้ดีทีเดียว.


เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง-ภาพ




Read More...


ตู้ขายน้ำหอมอัตโนมัติ

เครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ หรือฝรั่งเรียกว่า Vending Machine นั้น มีให้เห็นกันทั่วไป คนไทยอย่างเราคงคุ้นกันกับตู้ขายเครื่องดื่ม ที่ใช้หยอดเหรียญแล้วเครื่องดื่มกระป๋องจะหล่นลงมาให้ แบบนี้คุ้นเคย แต่ในระยะหลัง เราเริ่มสังเกตเห็นตู้ขายสินค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่ขายกันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

จนในที่สุด เราได้เห็นเครื่องขายสินค้าแบบหรูหราบ้าง เช่น ตู้ขายน้ำหอมอัตโนมัติของร้านขายสินค้าเครื่องสำอาง Sephora นำมาตั้งขายอยู่ในเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ข้อมูลจาก Springwise

Read More...


Beard papa's เอแคร์ก้อนยักษ์ไส้เย็น แฟรนไชส์เบเกอรี่จากแดนปลาดิบ


Beard PaPa's (เบี้ยด ปาป้า) เป็นชื่อร้านเบเกอรี่ ที่ถือกำเนิดและมีชื่อเสียงอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเบียดปาป้า คือ CHUX CREAM ซึ่ง CHUX CREAM ที่ว่านี้มันเป็นไส้อยู่ในขนมเอแคร์ก้อนยักษ์ และวันนี้ เบียดปาป้าได้มาเปิดในประเทศไทยแล้ว โดยการนำเข้าของ คุณสุทธิรัตน์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ทายาทเจ้าของบริษัทมิลล์คอนสตรีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) ที่อาศัยช่วงเวลาว่างจากงานบริหารมาทำร้านเบเกอรี่ ขนมที่เธอชื่นชอบ
 


       เบี้ยดปาป้า ได้เปิดให้บริการมาเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี บนศูนย์การค้าสยามพารากอน คนไทยจะรู้จักเบียดปาป้ากันในรูปของเอแคร์เย็นก้อนยักษ์ หรือ ถ้าเป็นนักเดินทางที่ชอบท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็คงจะได้รู้จักในชื่อเสียงของเบียดปาป้า ที่เปิดให้บริการอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าหลายแห่งในประเทศญี่ปุ่น และในอีกหลายประเทศ อาทิ จีน อังกฤษและฮ่องกง โดยการขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์ที่มีต้นตำรับมาจากประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัท โมจิโนโฮ กรุ๊ป
 


       สำหรับในประเทศไทยคุณสุทธิรัตน์ ได้ซื้อแฟรนไชส์มาเช่นกัน ในราคาประมาณ 2-3 ล้านเยน และที่คุณสุทธิรัตน์ ตัดสินใจเลือกซื้อแฟรนไชส์ เบี้ยดปาป้า เข้ามาเปิดในประเทศไทย เพราะเกิดจากความชอบส่วนตัว ซึ่งคุณสุธิรัตน์และครอบครัวได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศบ่อย และได้รู้จัก CHUX CREAM ขนมที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส และได้ชิม CHUX CREAM ในหลายประเทศ หลังจากนั้น ได้มารู้จักกับเบี้ยดปาป้า ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นแบรนด์ที่จำหน่าย CHUX CREAM ในรูปของเอแคร์เย็น ทุกคนในครอบครัวได้ชิมก็ชอบในรสชาติจึงตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์มาเปิดในประเทศไทย
 



       จุดเด่นของเบี้ยดปาป้า คือ การทำสดสดให้ลูกค้าให้เห็นทุกขั้นตอนการทำ ดังนั้น ร้านที่เปิดให้บริการจะเหมือนจะยกครัวมาวางไว้หน้าร้าน ความสดที่เกิดจากอบใหม่ แป้งที่กรอบ และไส้ที่หอมและเย็น ช่วยเสริมให้รสชาติของเอแคร์เย็นเป็นที่ถูกใจลูกค้า และเป็นที่รู้จักของกลุ่มผู้บริโภคคนไทยได้ไม่ยาก แม้ว่าการแข่งขันในธุรกิจขนมในกลุ่มเบเกอรี่ที่นำเข้าจากต่างประเทศจะมีอยู่หลายรายในศูนย์การค้าชั้นนำ


       คุณสุธิรัตน์ เล่าว่า สำหรับเบี้ยดปาป้า ไม่ได้มีการวางแผนการตลาดอะไรมากนัก เพราะเป็นธุรกิจครอบครัวที่เกิดจากความชอบ และด้วยเราเชื่อมั่นในรสชาติ จึงไม่ได้มีการทำการประชาสัมพันธ์อะไรอาศัยการบอกกันแบบปากต่อปากไปเรื่อย รูปแบบของร้านเป็นคีออส แบบซื้อและเดินทานหรือ ซื้อกลับบ้านไม่มีที่นั่งทาน เพราะเป็นรูปแบบกับต้นแบบแฟรนไชส์ในประเทศญี่ปุ่น และเหมือนกับในหลายประเทศที่นำเบี้ยดปาป้าไปเปิด แต่ในประเทศไทยอาจจะต่างจากประเทศอื่นๆ เพราะเราเลือกเปิดในศูนย์การค้า
  



       ส่วนแผนการขยายสาขา มีแผนจะขยายแต่ช่วงนี้รอจังหวะ ซึ่งสาขาต่อไปก็ยังคงยึดขยายสาขาในศูนย์การค้า ปัจจุบันที่สาขาแรกที่สยามพารากอน มีขนมอยู่ 2 แบบ คือ CHUX CREAM และ CORONET เป็นตัวใหม่ที่เพิ่งนำมาจำหน่าย โดยเครื่องดื่มที่ขายภายในร้านจะเป็นสูตรของเราเอง เพราะบริษัทเจ้าของแฟรนไชส์ไม่มีเครื่องดื่ม ปัจจุบันมีเครื่องดื่ม 2 สูตร คือ สตอเบอรี่ และโกโก้


       สำหรับยอดขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 1,000 ชิ้น ราคาขายชิ้นละ 45 บาท ซึ่งราคาจะใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ ที่ซื้อแฟรนไชส์ไป คือ ประมาณ 35-50 บาท ที่ประเทศจีนจะถูกสุด ประมาณ 35 บาท ขณะที่ประเทศยุโรปหรือเมริกา ประมาณ 50 บาท กลุ่มลูกค้าปัจจุบันจะมีอยู่ทุกเพศ ทุกวัย มีตั้งแต่ เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ซึ่งสินค้าดูเหมือนเป็นขนมแฟชั่น แต่เป็นขนมแฟชั่นที่เราอิงเรื่องสุขภาพ เพราะไส้ไม่หวานมาก ทำให้ผู้ใหญ่สามารถทานได้ ซึ่งการทาน CHUX CREAM เทียบได้เท่ากับการทานนม 1 กล่อง


       ทั้งนี้ ในส่วนของการคืนทุนของร้านเบี้ยดปาป้า สาขาแรกนี้ ทางคุณสุทธิรัตน์ตั้งเป้าไว้ว่าจะสามารถคืนทุนได้ประมาณ 2-3 ปี ซึ่งแผนการขยายสาขามีสาขาที่ 2 และ 3 ภายในปี2551 ต้องรอจังหวะหาพื้นที่ศูนย์การค้าด้วย เพราะต้องการวางภาพลักษณ์และวางตำแหน่งของร้านให้เหมาะสม เพราะทางเจ้าของแฟรนไชส์ต้องมาดูด้วยว่าในเมืองไทยทำอย่างไร ในส่วนของการแข่งขันไม่ได้กลัวเรื่องนี้เพราะสินค้าของเราค่อนข้างจะฉีกออกไปจากรูปแบบที่มีอยู่ในท้องตลาด เหมือนเป็นทางเลือกใหม่ให้กับลูกค้ามากกว่า แต่เราน่าสนใจกว่าสินค้าตัวอื่นๆ เพราะเป็นการทำสดสด และความสดจะช่วยเพิ่มรสชาติให้ขนมน่าทานมากขึ้น
      
สนใจโทร. 081-875-4567


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


เจ้เปิ้ล นมสด 12 รส แฟรนไชส์คัดจากเต้า



       “รักใครให้ดื่มนม รักตัวคุณก็ต้องดื่มนม...” นี่เป็นคำขวัญประจำร้าน “เจ้เปิ้ลนมสด” ธุรกิจนมสดปั่น ใน จ.สกลนคร สร้างชื่อมากว่า 10 ปี จนเป็นขวัญใจวัยรุ่นประจำท้องถิ่น ด้วยจุดขายนมสดแท้ 100% คัดจากเต้า ควบกระแสใส่ใจสุขภาพ เพิ่มความหลากหลายด้วยสูตรเด็ด 12 รสชาติ อีกทั้ง ต่อยอดธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ หวังคลุมพื้นที่ในจังหวัด และใกล้เคียง
      
 


      
       กิจการแฟรนไชส์ “เจ้เปิ้ล นมสด” เป็นของ “เมตตา ผาลลาพัง” เริ่มขึ้นเมื่อปี 2540 ได้แรงบันดาลใจจากตัวเองชอบดื่มนมสดมาก แต่ในท้องตลาดหาดื่มยาก ส่วนใหญ่จะขายแบบนมผงดัดแปลง หรือนมผสม จึงอยากทำธุรกิจขายนมสดแท้ๆ อย่างน้อยตัวเองจะได้ดื่ม และยังช่วยส่งเสริมให้ลูกหลานในบ้านหันมาดื่มนมอีกด้วย 
 
       เธอ เล่าว่า ช่วงแรกเช่าตึกแถวเล็กๆ ในตัวเมือง จ.สกลนคร ขายนมร้อน ถุงละ 6 บาท โดยรับนมสดแท้มาจาก "ศูนย์รวมนมภูพาน” ที่ ต.พังขว้าง อ.เมือง จ.สกลนคร ซึ่งเป็นแหล่งเลี้ยงวัวนม ตามแนวพระราชดำริ
      
       ผลการเปิดร้าน ทั้งนักเรียน นักศึกษา ให้การตอบรับอย่างสูง ยอดขายวันละหลายร้อยถุง และเพื่อให้ถูกใจลูกค้าวัยรุ่นยิ่งขึ้น ได้ปรับปรุงสูตรนำนมสดแท้มาทำเป็นนมสดปั่นกว่า 12 รสชาติ ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะตัวคิดค้นขึ้นเอง เสิร์ฟพร้อมขนมปังสังขยาทำจากนมสด รวมถึง ลงทุนกว่าแสนบาท เปิดร้าน “เจ้เปิ้ลนมสด” อย่างเป็นทางการ บริเวณ ม.ราชภัฎ สกลนคร ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมวัยรุ่น ส่งให้ร้านเป็นที่คุ้นเคยของวัยรุ่นเมืองสกลอย่างดี ต่อเนื่องกว่าทศวรรษ

      
      
สูตรเด็ดสดจากฟาร์ม      
       เมตตา เผยถึงเคล็ดลับที่ทำให้เครื่องดื่มนมสดปั่นถูกใจลูกค้ามากว่า 10 ปี คือ ใช้นมสดคุณภาพสูง ซึ่งต้องคัดเลือกจากฟาร์มที่เลี้ยงวัวได้มาตรฐาน ซึ่งจะให้น้ำนมสดและสะอาด โดยทางร้านจะรับใหม่ทุกเช้า เฉลี่ย 150 กิโลกรัมต่อวัน แล้วนำมาต้มในอุณหภูมิ 80 องศา ซึ่งจะได้นมสดรสชาติดีที่สุด รอจนเย็นแล้วไปแช่แข็งในอุณหภูมิ -30 จนกลายเป็นนมสดแช่เย็น ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องสะอาดที่สุด และไม่ใส่สารกันเสียใดๆ ทั้งสิ้น
 


       สำหรับการคิดค้นสูตรต่างๆ นั้น จะสอบถามความต้องการของลูกค้า แล้วมาทดลองจนได้รสชาติที่อร่อย นอกจากนั้น พยายามเสริมสารอาหารที่มีคุณค่าแก่ร่างกายลงไป อย่างผลไม้ชนิดต่างๆ ปัจจุบัน รวมแล้ว 12 สูตร เช่น สตอเบอรี่ ครีมโซดา โกโก้ มะนาว องุ่น ส้ม กาแฟ โอรีโอ เป็นต้น และยังคงคิดค้นสูตรใหม่เพิ่มเติมเรื่อยๆ เรียกความสนใจจากลูกค้าตลอดเวลา


      
       ต่อยอดสู่ระบบแฟรนไชส์
      
       เมตตา เผยต่อว่า จากความสำเร็จที่ผ่านมา จึงอยากขยายสาขาร้านเพิ่มให้ครอบคลุมพื้นที่ จ.สกลนคร รองรับความต้องการของลูกค้าได้ทั่วถึง อย่างไรเสีย ติดปัญหาที่ตั้งแต่ทำธุรกิจนี้มา เธอรับผิดชอบทุกด้านคนเดียว ดังนั้น ถ้าขยายสาขาออกไปอาจดูแลไม่ทั่วถึง



       ด้วยเหตุนี้ เธอได้เข้าโครงการบ่มเพาะวิสาหกิจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่หน่วยบ่มเพาะวิสาหกิจ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จ.สกลนคร เพื่อขอคำแนะนำ ทำให้ได้แนวคิดจะขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ มีลูกค้าเป้าหมาย คือ นักเรียน นักศึกษา และคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ
      
       สำหรับรูปแบบแฟรนไชส์“เจ้เปิ้ลนมสด” นั้น เจ้าของกิจการ เผยว่า จะปล่อยขายในรูปแบบคีออส โดยมีข้อกำหนดต้องรับวัตถุดิบนมสดแช่แข็งจากส่วนกลางเท่านั้น ในราคาถุงละ 225 บาท (1 ถุงหนัก 7.5 กิโลกรัม) เพื่อรักษาคุณภาพรสชาติ ส่วนขั้นตอนการทำ และสูตรต่างๆ จะจัดอบรมให้ฟรี ผู้เริ่มต้นธุรกิจใช้เงินลงทุนเบื้องต้นได้อุปกรณ์ครบชุดพร้อมขายประมาณ 29,000 บาท กำหนดราคาขายที่แก้วละ 15-20 บาท โดยผู้ขายได้กำไรต่อแก้วประมาณ 30-50% มีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 3-4 เดือน
 



       เมตตา เผยว่า เริ่มขายแฟรนไชส์ เมื่อกลางปีนี้ (2550) มีผู้สนใจขอซื้อจำนวนมาก แต่คัดเลือกปล่อยไปเพียง 6 สาขาเท่านั้น อยู่ใน จ.สกลนคร 5 สาขา และ จ.หนองคาย อีก 1 สาขา ซึ่งจะใช้สาขาเหล่านี้ เป็นการศึกษาตลาด ตลอดจนเรียนรู้ปัญหาไปในตัว เพื่อนำกลับมาปรับปรุง และวางระบบแฟรนไชส์ให้ดียิ่งขึ้นไป ตั้งเป้าว่า ในปีนี้ จะขยายเพิ่มรวมเป็น 10 สาขา อยู่ใน จ.สกลนคร และใกล้เคียง
      
       ส่วนการรักษามาตรฐานแฟรนไชส์ในแต่ละสาขา จะจัดฝึกอบรม และให้คู่มือประกอบการปรุงรสที่กำหนดสูตรตายตัว หากทำตามคู่มือจะได้นมสดปั่นรสชาติมาตรฐานเหมือนกันทุกแก้ว รวมถึง ใช้วิธีให้ทีมส่งวัตถุดิบนมสดแช่แข็งเป็นฝ่ายตรวจสอบคุณภาพไปในตัว ถ้าไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขจะมีการตักเตือน ถ้ายังทำผิดซ้ำ 3 ครั้ง จะขอยกเลิกสัญญาระหว่างกัน
      
       นอกจากนั้น การทำแฟรนไชส์ โดยมี สสว. และ ม.เกษตร เป็นพี่เลี้ยงธุรกิจ ย่อมสร้างความมั่นใจผู้จะมาร่วมธุรกิจ และผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น




       เธอ ระบุเป้าหมายการขยายธุรกิจว่า อยากให้เครื่องดื่ม “เจ้เปิ้ลนมสด” เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมพฤติกรรมเยาวชน ให้หันมาสนใจดื่มนมมากขึ้น อีกทั้ง ช่วยสร้างรายได้ให้แก่ผู้ที่มีแนวคิด และใจรักในการทำธุรกิจเหมือนกันเข้าร่วมเป็นเครือข่ายภายใต้ตราสินค้าเดียวกัน
      
โทร.085-740-2517, 0-4274-4214


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


คลอโรฟิลด์”ยกระดับร้านมังสวิรัติ หนุนเกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสาร


       กระแสสุขภาพที่มาแรงในปัจจุบัน ทำให้มีสนใจเข้าสู่ธุรกิจเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ล่าสุด แอบโซลุท ฟู้ดส์บริษัทให้คำปรึกษาผู้ส่งออกผักผลไม้ ได้แตกไลน์เข้าสู่ธุรกิจร้านอาหาร หวังอีกช่องทางหนึ่งในการโปรโมตผักผลไม้ปลอดสารให้ได้รับความสนใจจากทั้งเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภค และยังเป็นรูปแบบใหม่ของร้านอาหารมังสวิรัติของคนรักสุขภาพที่จะเกิดขึ้นในเมืองไทย ภายใต้ชื่อร้าน “คลอโรฟิลด์”       
 


       นางสาวสุจิรา เธียรอุกฤษฎ์ ผู้จัดการฝ่ายการขายและการตลาด ห้างหุ้นส่วนจำกัด แอบโซลุท ฟู้ดส์ บริษัทให้คำปรึกษาและบริการด้านอาหาร กล่าวถึงที่มาของร้านอาหารมังสวิรัติแนวใหม่ "คลอโรฟิลด์" ว่า จากการทำงานให้คำปรึกษากับผู้ส่งออกผักผลไม้มาระยะหนึ่งและมีโอกาสได้ติดต่อกับเกษตรกรในต่างจังหวัดหลายแห่ง พบว่าเกษตรกรเหล่านี้มีปัญหาเรื่องราคาพืชผักที่ตนเองปลูกไม่สามารถแข่งขันกับราคาพืชผักที่ทะลักเข้ามาจากประเทศจีนได้ ประกอบกับกระแสความห่วงใยสุขภาพยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องและเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ และปริมาณคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก


     
       นอกจากนี้ แล้วคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่แป้งกับผัก และส่วนใหญ่จะหนักไปทางแป้ง ซึ่งพอทานมากๆ ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ที่ผู้หญิงไม่ชอบ คือ อ้วน อย่างไรก็ตามแนวโน้มความนิยมในการบริโภคอาหารมังสวิรัติยังคงมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นรูปแบบอาหารที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ ขณะที่ช่องทางหรือการให้บริการร้านอาหารสไตล์นี้มีไม่มาก จากปัจจัยทั้งหมดนี้ บริษัทจึงเห็นโอกาสทางการตลาด ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าพืชผักให้กับเกษตรกรได้


ดังนั้นจึงตัดสินใจจะเปิดร้านมังสวิรัติแนวใหม่ภายใต้ชื่อ "คลอโรฟิลด์" ขึ้นในไตรมาสแรกนี้ ทีสนามบินสุวรรณภูมิเป็นสาขาแรกในพื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร ลงทุน 10 ล้านบาท   



   
       สำหรับอาหารที่ร้าน Chlorophyll จะ แตกต่างจากร้านอาหารมังสวิรัติเที่เปิดให้บริการอยู่โดยทั่วไป ซึ่งลูกค้าจะไม่ต้องกังกลเกี่ยวกับปัญหาเดิมๆ ของการบริโภคอาหารมังสวิรัติ เพราะจะมีน้ำมันน้อย และเนื่องจากอาหารมังสวิรัติจะมีแต่ผักล้วนๆ ดังนั้นเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน ในบางเมนูบริษัทได้เติมโคเอ็นไซม์ที่สกัดจากพืชผักจากธรรมชาติเข้าไป
      
       "รับรองว่า เมื่อมาทานอาหารมังสวิรัติที่ร้านคลอโรฟิลด์ ลูกค้าจะมีประสบการณ์ใหม่ๆ ในการทานเมนูผัก เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านอาหารมาระยะหนึ่งและมีพื้นฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์การอาหารจึงทราบว่าเราสามารถทำเมนูผักให้อร่อยได้อย่างไร ตอนนี้เรากำลังพัฒนาสูตรอาหารหลายๆ อย่างที่สามารถตอบโจทย์อาหารเพื่อสุขภาพได้จริงๆ คือทานแล้วมีประโยชน์ดีต่อสุขภาพ และที่สำคัญไม่อ้วน "





       "การทำร้านอาหารเพื่อสุขภาพสไตล์ Vegetarian ของเรานั้น เราตั้งมาตรฐานสูงมากๆ คือใช้วัตถุดิบที่ปลอดเนื้อสัตว์ในทุกกระบวนการที่เราจะทำได้และใช้ผักผลไม้ต้องเป็นออร์แกนิก ซึ่งเราจะเข้าไปควบคุม ดูแลส่งเสริม และแนะนำตั้งแต่จุดเริ่มต้นกับเกษตรกรที่เราเข้าไปทำคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่ง"
      
       สำหรับ การทำคอนแทร็กต์ฟาร์มมิ่งนั้น เป็นการการันตีทั้งเรื่องราคาและปริมาณที่จะรับซื้อจากเกษตรกร ดังนั้นการมีแค่ร้านอาหารเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอที่จะเป็นช่องทางในการระบายสินค้าที่ต้องรับซื้อจากเกษตรกร ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการที่บริษัทจะต้องคิดโมเดลธุรกิจที่สามารถต่อยอดได้ โดยทำเป็นดิลิเวอรี่ออนไลน์ซึ่งมองว่าปัจจุบันช่องทางดังกล่าวน่าจะเป็นโอกาสในการขยายตลาดที่ตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้ได้ ขณะเดียวกันก็ยังศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการผลิตเครื่องดื่มที่สกัดจากพืชผักธรรมชาติอื่น ๆ อีกด้วย

       นางสาวสุจิรากล่าวอีกว่า ปัจจุบันกระแสการบริโภคอาหารมังสวิรัติได้เกิดขึ้นทั่วโลก และมีแนวโน้มดีมากในตลาดภาคพื้นเอเชีย
ดังนั้นจึงมีนักลงทุนจากต่างประเทศหลายรายจากสิงคโปร์ มาเลเซียสนใจที่จะซื้อแฟรนไชส์ร้านคลอโรฟิลด์ภายหลังจากเปิดสาขาต้นแบบที่สนามบินสุวรรณภูมิแล้ว
บริษัทจะเดินหน้าขยายสาขาโดยผ่านแฟรนไชส์ และขณะนี้มีนักลงทุนในไทยหลายรายให้ความสนใจ
และคาดว่าจะเปิดสาขาที่ 2 ภายใต้ระบบแฟรนไชส์ได้อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ถนนสาธร ภายในปีนี้       สนใจโทร.08-1409-4774
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ไขกลยุทธ์ Waffle Cool ปรับโฉมสอดไส้เจาะรากหญ้า

       เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วของแบรนด์ “เดอะ วอฟเฟิล” แจ้งเกิดจากผู้ประกอบการรายจิ๋วจนก้าวสู่ผู้นำตลาด หนึ่งในกลยุทธ์ที่เอสเอ็มอีรายนี้ใช้เพื่อรักษาแชมป์ของตัวเองไว้ คือ การขยายฐานลูกค้า โดยคลอดแบรนด์ “วอฟเฟิล คูล” เพื่อเจาะตลาดล่าง ซึ่งหัวใจสำคัญ คือ วิธีลดต้นทุนแต่รักษาคุณภาพเดิม รวมถึง สินค้าต้องมีจุดเด่นต่างออกไป
   

 

       สุพรรณี พนิตนรากุล ผู้จัดการบริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลาย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ขยายธุรกิจแฟรนไชส์ “เดอะ วอฟเฟิล” (The waffle) มากว่า 4 ปี ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลัก คือ คนระดับกลางกึ่งบน และวัยทำงาน เน้นทำเลหน้าห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟฟ้า และย่านธุรกิจ เป็นต้น โดยค่าแฟรนไชส์ประมาณ 60,000 บาท
      
       อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์ส่วนหนึ่ง เรียกร้องอยากจะขายในทำเลที่เสียค่าเช่าไม่สูงนัก เช่น ตลาดนัดต่างๆ ขายในโรงเรียน หรือถนนทางเข้าหมู่บ้าน เป็นต้น ทว่า ในแง่ของบริษัทฯ หากยอมปล่อยแฟรนไชส์ “เดอะวอฟเฟิล” ลงพื้นที่ดังกล่าว เกรงจะไม่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึง หวั่นเกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ ดังนั้น จึงออกแฟรนไชส์ใหม่อีกแบรนด์ ในชื่อ “วอฟเฟิล คูล” (Waffle Cool)
      
       เจ้าของธุรกิจ อธิบายต่อว่า “วอฟเฟิล คูล” จะเน้นลูกค้าตลาดกลางล่าง โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งกำลังซื้อไม่สูงนัก กำหนดราคาขายให้ต่ำลงเหลือชิ้นละ 13 บาท แต่คุณภาพความอร่อยเท่าเดิม โดยกลยุทธ์ปรับเปลี่ยนรูปแบบ ใช้วัตถุดิบแป้งชนิดเดิม แต่ลดปริมาณเนื้อแป้งลงชิ้นละ 20 กรัม แล้วใส่ไส้ต่างๆ ลงไปแทนที่ นอกจากจะได้ขนมชิ้นขนาดเท่าเดิมในต้นทุนต่ำลงแล้ว ยังช่วยให้สินค้ามีความแตกต่างออกไป
 

      
       “ความอร่อยของขนมวอฟเฟิล คือ แป้งโยเกิร์ต ซึ่งค่าวัตถุดิบในการผลิต ถือเป็นต้นทุนหลักของขนมชนิดนี้ ถ้าเราจะลดต้นทุนด้วยการลดหรือเปลี่ยนวัตถุดิบ แน่นอนว่าคุณภาพขนมต้องแย่ลงแน่ๆ ในที่สุดธุรกิจก็จะไปไม่รอด ดังนั้น ดิฉันเลือกที่จะใช้แป้งเหมือนกับ “เดอะวอฟเฟิล” ทุกประการ แต่ลดปริมาณเนื้อแป้งลง แล้วใส่ไส้ ซึ่งต้นทุนถูกกว่าไปแทน ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ “วอฟเฟิล คูล” เป็นอีกทางเลือกทั้งผู้บริโภค และผู้สนใจลงทุน โดยไม่ต้องแข่งกันเองกับแบรนด์เดิม” สุพรรณี เผย


       ขณะที่ภาพลักษณ์ของแฟรนไชส์ทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ “เดอะ วอฟเฟิล” สัญลักษณ์ หรือเคาวเตอร์จะออกแนวสากลฝั่งตะวันตก ดูเป็นผู้ใหญ่ ส่วน“วอฟเฟิล คูล” นำเสนอแนวทางสดใส น่ารัก ออกสไตล์ญี่ปุ่น
      
       สำหรับไส้ขนมที่ใส่ใน “วอฟเฟิล คูล” ประกอบด้วย ช็อกโกแลต ครีม ถั่วแดง เผือก สังขยา และแคนตาลูป โดยสั่งจากโรงงานผลิตไส้ขนมส่งออกโดยเฉพาะ ต่อชิ้นผู้ขายจะมีกำไรประมาณ 60% จากการเก็บข้อมูลแฟรนไชส์จะมีรายได้เฉลี่ยหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน



  


       ด้านลงทุนแฟรนไชส์ “วอฟเฟิล คูล” อยู่ที่ประมาณ 40,000 บาท และควรมีทุนหมุนเวียนประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน มีข้อกำหนดต้องรับวัตถุดิบแป้งและไส้จากบริษัทฯ เท่านั้น ส่วนคาดการณ์คืนทุนภายใน 3-4 เดือน ด้านการควบคุมคุณภาพจะมีทีมส่วนกลางตรวจสอบอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
      
       แม้ว่า“วอฟเฟิล คูล” จะมุ่งเจาะตลาดกลางล่าง แต่การเลือกทำเลนั้น สุพรรณี ระบุว่า หากพิจารณาไม่เหมาะสมโอกาสประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเช่น หากจะลงตลาดนัด ก็ควรเป็นตลาดนัดที่มีศักยภาพของผู้ซื้อพอสมควร หรือถ้าเป็นย่านที่อยู่อาศัย ควรเป็นทำเลที่ขายได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเช้า กลางวัน เย็น และค่ำ

 

 

       ส่วนเทคนิคในการเลือกเฟ้นทำเล ปัจจุบันดูได้ง่ายๆ คือ พยายามเกาะบริเวณร้านสะดวกซื้อเจ้าดัง หรือถ้าเป็นตามห้างสรรพสินค้า ควรจะเป็นหน้าประตูทางเข้า-ออก และทางขึ้น-ลงบันไดเลื่อน ซึ่งจุดดังกล่าวกลิ่นขนมจะเป็นตัวเรียกลูกค้า
      
       เจ้าของธุรกิจ เผยด้วยว่า ปัจจุบัน มีสาขาแฟรนไชส์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 70 สาขา แบ่งเป็นส่วน“วอฟเฟิล คูล” ราว 10 สาขา กระจายอยู่ตามปริมณฑล ส่วนอัตราอยู่รอดของแฟรนไชส์โดยรวมเฉลี่ย 80% นอกจากนั้น บริษัทฯ ขยายธุรกิจอีกด้าน โดยส่งวัตถุดิบแป้งขนมให้เครือเมเจอร์ เพื่อขายหน้าโรงภาพยนตร์ด้วย
      
       สำหรับ คู่แข่งในตลาด ปัจจุบันมีอยู่ 3 ราย โดยบริษัทฯ ยังถือเป็นผู้นำครองสัดส่วนตลาดกว่า 70-80% จากข้อได้เปรียบเป็นเจ้าแรก และมีปริมาณสั่งซื้อวัตถุดิบสูง ทำให้สามารถซื้อวัตถุดิบได้ในราคาต่ำกว่ารายอื่นๆ ช่วยรักษาคุณภาพสินค้า โดยไม่ต้องลดวัตถุดิบ
      
       ส่วนสภาพเศรษฐกิจในปีนี้ (2551) ซึ่งนักลงทุนและนักวิชาการหลายรายลงความเห็นว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง แต่ในมุมมองของสุพรรณีแล้ว กลับเชื่อว่าเป็นโอกาสสำคัญที่ธุรกิจจะขยายตัว
      
       “ถ้าเป็นช่วงเศรษฐกิจดี การหาทำเลเป็นเรื่องยากมาก แต่เมื่อเศรษฐกิจชะลอ ทำเลดีๆ เหล่านั้น เริ่มว่างมากขึ้น และค่าเช่าก็ถูกลง ดิฉันจึงมองเป็นโอกาสที่จะเข้าไปจับจองพื้นที่ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าเศรษฐกิจจะขึ้นหรือลง ธุรกิจอาหารยังทำยอดได้ดีสม่ำเสมอ ขอเพียงรักษาคุณภาพ ขายในราคาไม่แพงเกินไป ใช้หลักคิดแทนตัวเองเป็นคนซื้อ ธุรกิจก็จะสามารถอยู่รอดได้อย่างดี” สุพรรณี ทิ้งท้าย

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ป้าดวงดี”ขนมจีนจากฝีมือ ยอดขายถล่ม2,000 จาน/วัน


      
ขึ้นชื่อว่าขนมจีน ถือเป็นเมนูอาหารที่คุ้นเคยปากคนไทย ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่บางครั้งชื่อเรียกอาจมีความแตกต่างกันบ้าง รวมถึงรสชาติบางแห่งก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ โดยเฉพาะพริกแกง ที่ทำให้รสชาติของน้ำยาเปลี่ยนแปลงไป

 
 
       ในขณะที่ขนมจีนน้ำยาที่ผู้คนส่วนใหญ่คุ้นเคย คงจะเป็นน้ำยากะทิของภาคกลาง เพราะหารับประทานได้ง่าย ตามท้องถนน และงานวัด ซึ่งการนิยมบริโภคขนมจีนตามงานวัด นี่เองที่เป็นสถานที่จุดประกายให้กับ “ป้าดวงดี” (ดวงดี กริ่งเกรียง) คิดที่จะทำธุรกิจนี้บ้าง เพราะจากความนิยมบริโภคของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย
  

 
 
       โดยป้าดวงดี เล่าว่า แต่เดิมประกอบอาชีพหลายอย่าง ทั้งการรับจ้างเย็บผ้า ขายก๋วยเตี๋ยว ในขณะที่ผู้เป็นสามีก็ตัดเย็บชุดสูทควบคู่กันไปด้วย ซึ่งก็มีรายได้ดี พอเลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อธุรกิจกำลังไปได้ดี สามีก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ทำให้ป้าดวงดีต้องหาเลี้ยงครอบครัวเพียงลำพัง ทำให้เงินทองเริ่มขาดมือ และเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก ถึงกับต้องขายบ้าน ขายรถ เพื่อนำเงินมาเป็นทุนประกอบอาชีพหลายอย่าง แต่ก็มีรายได้ไม่ดีนัก




       จนกระทั่งมาเลือกขายหมูปิ้งตามตลาดนัด ซึ่งธุรกิจก็ไปได้ค่อนข้างดี มีกำไรวันละ 300-400 บาท ซึ่งป้าดวงดีก็ไม่หยุดแค่นั้น พยายามคิดหาอาชีพที่จะสามารถต่อยอด และเพิ่มรายได้มากกว่านี้ จนกระทั่งได้เห็นร้านขายขนมจีนร้านหนึ่งที่ตั้งขายใกล้ๆ กัน ที่งานวัด ก็สังเกตเห็นว่าร้านขนมจีนขายดีมาก จึงได้ลองไปอุดหนุน ด้วยการซื้อมาลองชิมทุกประภท ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาป่า หรือน้ำยากะทิ เพื่อต้องการรู้ว่าอาหารที่ขายดีรสชาติเป็นอย่างไร 


  


       “ด้วยความที่ป้าชอบเข้าไปลองชิมอาหารที่เขาขายดีๆ มีคนกินเยอะ เพื่อให้รู้ว่าเขามีเทคนิคอะไรถึงขายดี และนำกลับมาลองทำบ้าง แต่ไม่ได้เลียนแบบทั้งหมด ซึ่งเป็นการต่อยอดจากของเดิมให้ดีขึ้น โดยพยายามคิดสูตรน้ำยาให้แปลกแหวกแนวออกไป ลองเลี่ยงวัตถุดิบแบบเดิมๆ ที่ส่วนใหญ่ใช้ปลาช่อนมาทำเป็นน้ำยา ป้าก็เปลี่ยนเลย หันมาใช้ปลาทับทิมตัวใหญ่แทน ซึ่งก็ทำให้ได้รสชาติ และความหอมเฉพาะตัว เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า รวมถึงได้เพิ่มลูกชิ้นปลา และขาไก่ต้มเปื่อย เพื่อเพิ่มความอร่อย”

       จากที่ในช่วงแรกขายขายได้วันละไม่กี่จาน แต่ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็มีลูกค้ารู้จักเพิ่มมากขึ้น ขายหมดทุกวัน ทั้งที่ในบริเวณตลาดนัดขายเพียงจานละ 10 บาท แต่ป้าดวงดีกลับขายในราคา 15 บาท จากการเลือกสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทำให้ลูกค้าชื่นชอบ จนกระทั่งมีคนชักชวนให้ไปขายหน้าห้างคาร์ฟู บางใหญ่ แม้ว่าในช่วงนั้นจะมีคู่แข่งอยู่หลายเจ้าก็ตาม แต่สำหรับป้าดวงดี ไม่หวั่นในเรื่องของคู่แข่งมากนัก เนื่องจากเชื่อมั่นในฝีมือ และคิดว่าหากได้ไปขายในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน จะสามารถช่วยเพิ่มยอดขาย และทำให้ขนมจีนป้าดวงดีมีคนรู้จักมากขึ้น


       ด้วยความที่ใส่ใจในการคัดสรรวัตถุดิบ และรสชาติมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้ร้านขนมจีนป้าดวงดี จากเดิมที่ได้ขายได้วันละ 1,000 บาท กลายมาเป็นวันละ 2,000-3,000 บาท หลังผ่านไปเพียง 6 เดือนเท่านั้น จนเมื่อเข้าปีที่ 2 ขายได้ตกวันละ 9,000 บาท จากจำนวนจานประมาณวันละ 2,000 ใบ ซึ่งจำเป็นต้องขยายจำนวนโต๊ะออกไปเรื่อยๆ จนเต็มถนนริมฟุตบาธ หน้าห้างคาร์ฟู บางใหญ่ ทำให้ป้าดวงดีสามารถปลดหนี้ได้ และในช่วง 16.00 น. ของทุกวัน ป้าดวงดีมีหน้าที่รับโทรศัพท์ สั่งออเดอร์ของลูกค้าเพียงอย่างเดียว

       “ปัจจุบันป้าได้ย้ายร้านมาขายที่ตลาดท็อป พลาซ่า ติดกับห้างคาร์ฟู บางใหญ่แทน เพราะที่เดิมทางเทศบาลไม่อนุญาตให้ตั้งขายแล้ว ซึ่งที่ใหม่ก็ขายดีไม่แพ้กัน มีที่นั่งรับประทานเป็นสัดส่วน ลูกค้าส่วนใหญ่จะมีทั้งพนักงานออฟฟิศ และคนที่ทำงานในละแวกนั้น ส่วนในต่างจังหวัดก็มีลูกค้าเช่นกัน โดยอาศัยการบอกปากต่อปาก ซึ่งจะเป็นจังหวัดใกล้เคียง สุพรรณบุรี อ่างทอง มหาชัย ปทุมธานี และย่านบางแค เป็นต้น"
 

      
       นอกจากป้าดวงดีจะขายขนมจีนที่ร้านแล้ว ยังรับสั่งทำแกงประเภทอื่นๆ ด้วย เช่น แกงไตปลา แกงเขียวหวาน ส่วนราคาขายน้ำยากะทิกิโลกรัมละ 120 บาท และน้ำยาป่า 100 บาท/กิโลกรัม รวมถึงขณะนี้ป้าดวงดียังได้ ขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ด้วย โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ

  1. ลงทุน 3,000 บาท มีน้ำยาพร้อมขาย
  2. ลงทุน 6,990 บาท พร้อมอุปกรณ์การขายที่จำเป็น พร้อมสิทธิในการใช้ชื่อ “ป้าดวงดี”
  3. ลงทุน 35,000 บาท อุปกรณ์พร้อมขาย ป้ายชื่อร้าน และได้รับสิทธิในการขายในทำเลละแวกนั้นด้วย
      
สนใจติดต่อ 08-9180-3117, 08-1336-2698 , 08-6521-6392 เปิดขายทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


แฟรนไชส์ ICE blinkz มิติใหม่ไอศกรีมโชว์ผัดสดๆ


       โชว์วิธีทำแปลกใหม่ ผัดกันสดๆ แบบลูกต่อลูก นี่คือจุดขายของ “ ICE blinkz” (ไอซ์ บลิงคส์) ไอศกรีมแฟรนไชส์แบรนด์ไทยรายล่าสุด ซึ่งนำเทคนิคจากต่างประเทศ มาผสมกับรสชาติฉ่ำหวานของผลไม้ หวังสร้างกระแสฮิตโดนใจวัยรุ่นไทย
  

 
       อภิลักษณ์ สิริกีรติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ลีฟวิ่งไอเดีย จำกัด ผู้บุกเบิกแฟรนไชส์ไอศกรีมผัดสด “ICE blinkz” เผยว่า ไอเดียมาจากส่วนตัวต้องเดินทางติดต่อธุระต่างประเทศเป็นประจำ ในหลายๆ ประเทศ อย่างเกาหลี หรือแถบยุโรป นิยมกินไอศกรีมแบบผัดเป็นก้อนกันสดๆ อย่างมาก
      
       ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีมาก่อน แต่มีน้ำผลไม้ปั่น ซึ่งลักษณะจะคล้ายๆ กับวัตถุดิบที่ใช้ทำไอศกรีมผัด จึงเกิดไอเดียนำวิธีการทำไอศกรีมสดมาผสมกับน้ำผลไม้ปั่น แลวนำเสนอเป็นไอศกรีมโฉมใหม่ในเมืองไทย รวมถึง จะแตกต่างจากในต่างประเทศ ตรงใช้ผลไม้เป็นวัตถุดิบหลัก


 


       “จุดขายของ ICE blinkz คือ เทคนิคการทำที่แปลกใหม่ ทำสดลูกต่อลูก เรียกความสนใจจากลูกค้าที่ผ่านไปมา โดยเราเป็นเจ้าแรกในเมืองไทย ส่วนความอร่อยจากวิธีทำแบบนี้จะได้รสชาติที่สดฉ่ำกว่าไอศกรีมแช่แข็งทั่วไป ยิ่งใช้วัตถุดิบหลักเป็นผลไม้ เมื่อกินเข้าไปแล้วจะยิ่งรู้สึกสดชื่น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย” อภิลักษณ์ อธิบาย และเผยต่อว่า

       บริษัทฯ ใช้งบประมาณกว่าเจ็ดหลัก ในการวิจัยพัฒนา ทั้งตัวสินค้าจนได้สูตรลงตัว และเครื่องผัดไอศกรีมที่มีคุณสมบัติทำความเย็นได้ถึง – 20 องศา สามารถผัดไอศกรีมแข็งเป็นก้อนในเวลา 1-2 นาที ผลิตโดยโรงงานในประเทศจีน และเกาหลี รวมถึง เปิดร้าน ICE blinkz ในห้างเดอะ มอลล์ บางกะปิ เมื่อประมาณเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อทดสอบกระแสตลาด




       สำหรับแผนธุรกิจนั้น เลือกจะขยายแบบแฟรนไชส์ เพื่อให้แบรนด์ ICE blinkz เป็นที่รู้จักมากขึ้นในเวลารวดเร็ว โดยเงื่อนไขการลงทุนแฟรนไชส์ ใช้ทุนเบื้องต้นประมาณ 230,000 บาท โดย 200,000 บาทเป็นค่าอุปกรณ์ครบชุด และค่าแฟรนไชส์ ฟี (Franchise fee) ส่วน 30,000 บาทเป็นเงินประกันคุณภาพ จะคืนเมื่อยกเลิกสัญญาระหว่างกัน
   
       อภิลักษณ์ เผยว่า ลูกค้าเป้าหมายไอศกรีม ICE blinkz ได้แก่ กลุ่มนักเรียน นักศึกษา และคนทำงานจบใหม่ ซึ่งกลุ่มนี้ชอบทดสอบของแปลกๆ ใหม่ๆ อยู่เสมอ และมีกำลังซื้อสูง โดยหัวใจที่จะกำหนดความสำเร็จของธุรกิจ คือ ทำเล ควรจะอยู่ในย่านสถานศึกษา หรือแหล่งวัยรุ่น ซึ่งขนาดพื้นที่ไม่จำเป็นต้องมาก แค่ประมาณ 6-15 ตารางเมตรเท่านั้น โดยเงื่อนไขผู้สนใจลงทุนต้องเป็นฝ่ายหาทำเลมาเสนอ จากนั้นบริษัทฯ จะมีทีมพิจารณา ถ้าวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ไม่เหมาะจะบอกตรงๆ ให้เปลี่ยนหาทำเลใหม่เสีย



  


       ทั้งนี้ ราคาขายปลีกหน้าร้านของ ICE blinkz กำหนดไว้ที่ลูกละ 39 บาท ซึ่งราคานี้ แฟรนไชส์ซีจะได้กำไรจากต้นทุนประมาณ 69% ถ้าหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าเช่า ค่าพนักงาน จะเหลือกำไรต่อหน่วยประมาณ 33% หากขายได้วันละ 70 ลูก/วัน สามารถคืนทุนได้ในเวลาประมาณ 8 เดือน โดยแฟรนไชส์ซี ควรมีเงินทุนหมุนเวียนสำรองประมาณ 100,000 บาท/เดือน
      
       “ร้านต้นแบบที่เดอะมอลล์ บางกะปิ มียอดขายประมาณ 100 ลูกต่อวัน อีกทั้ง ICE blinkz มีรูปแบบที่ต่างออกไป จึงไม่มีคู่แข่งโดยตรงเลย ขณะที่กลุ่มลูกค้าหลักเป็นเด็กวัยรุ่นไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร มีผลกระทบต่อคนกลุ่มนี้น้อยมาก ประกอบกับ ภาพรวมของธุรกิจไอศกรีมในเมืองไทยในปีที่ผ่านมา (2550) อัตราเติบโต 100% จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เชื่อว่า ธุรกิจนี้มีความน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุน ซึ่งจะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืนได้” อภิลักษณ์ ระบุ
 

 
 


       ในแง่ของการควบคุมคุณภาพแบรนด์ และแฟรนไชส์นั้น กำหนดต้องรับวัตถุดิบหลักจากบริษัทฯ เท่านั้น เช่น ครีมสำหรับทำไอศกรีม เป็นต้น นอกจากนั้น ก่อนเปิดร้านจริงมีการจัดอบรม และทุก 3 เดือนจะมีทีมตรวจสอบคุณภาพ เพื่อให้ปรึกษาแก้ปัญหาต่างๆ อีกทั้ง จะส่งเสริมการตลาดให้ต่อเนื่อง โดยสำรองงบปีนี้ (2551) ไว้ที่ 1 ล้านบาท สำหรับซื้อโฆษณา และทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ให้แบรนด์เป็นที่รู้จักของลูกค้ายิ่งขึ้น
      
       ทั้งนี้ ไอศกรีมผัด ICE blinkz มีให้เลือกทั้งหมด 25 รส โดยกลิ่นและหัวเชื้อไอศกรีม ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ และบางส่วนเป็นวัตถุดิบในประเทศ เน้นใช้ผลไม้สดเป็นส่วนผสม เช่น แอบปริคอทและสตรอว์เบอร์รี่จากเชียงใหม่ เป็นต้น


       อภิลักษณ์ เผยว่า เริ่มเปิดตัวแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการในงานแสดงสินค้าอาหาร 2551 (THAIFEX) ระหว่างวันที่ 21 – 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ผลตอบรับอย่างสูง มีผู้สนใจยื่นความประสงค์ซื้อแฟรนไชส์หลายสิบราย ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคัดเลือก นอกจากนั้น ได้ขยายไปสู่ต่างประเทศแล้ว โดยขยายแฟรนไชส์ 1 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย
      
       สำหรับเป้าหมายในปีนี้ จะขยายโดยบริษัทฯ เองประมาณ 4-5 แห่ง ซึ่งบางสาขาจะเป็นร้านขนาดใหญ่ ลูกค้านั่งกินในร้านได้ ส่วนการปล่อยแฟรนไชส์วางไว้ในปีนี้ ไม่เกิน 10 สาขา โดยจะคัดผู้ร่วมธุรกิจที่มีความพร้อม และทำเลเหมาะสมจริง ๆ เพื่อให้ประสบความสำเร็จทั้งสองฝ่าย


สนใจธุรกิจแฟรนไชส์ โทร.02-721-6549

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


Blink"แฟรนไชส์เสริมอาหาร แจมกระแสธุรกิจเพื่อความงาม



       ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวเนื่องกับความสวยความงามของผู้หญิงเป็นตลาดที่กำลังเติบโตอย่างมากในประเทศไทย เพราะด้วยความที่ผู้หญิงไทยต้องออกทำงานนอกบ้าน ต้องพบปะผู้คนความสวยงามจึงเป็นเรื่องจำเป็น และดูเหมือนว่าในปัจจุบันไม่ว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร ทุกคนจะต้องตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป แต่เรื่องความสวยความงามอย่างไรผู้หญิงก็ทุ่มทุนเต็มที่
      
       เป็นที่มาของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เกี่ยวเนื่องกับความสวยความงามออกมามากมาย และที่ยอมทุ่มทุนโฆษณาอย่างมาก จนเป็นที่รู้จักอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบลิ๊งค์ ( Blink) ของบริษัท ที.ซี.แนลเชอรัล จำกัด ที่บริหารงานโดย นายปิติ กิตติธีรพรชัย ที่ได้นำรูปแบบของแฟรนไชส์เข้ามาเสริมช่องทางการจัดจำหน่ายบลิ๊งค์ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพอิสระที่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการเอง
  



       นายปิติ เล่าถึงรูปแบบของแฟรนไชส์บลิ๊งค์ ว่า บริษัทได้จัดรูปแบบของร้านแฟรนไชส์เป็นแบบคีออส และเคาน์เตอร์ 3 ลักษณะ โดยแบ่งเป็นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก พื้นที่เล็ดสุดประมาณ 4 ตารางเมตร และใหญ่สุดประมาณ 9 ตารางเมตร เงินลงทุนขึ้นอยู่กับขนาดของคีออสประมาณ 30,000 บาท ไม่เกิน 40,000 บาท ราคานี้ไม่รวมค่าเช่า และพนักงาน
      
       สำหรับเงื่อนไขการเป็นแฟรนไชส์ร้านบลิ๊งค์ เสียค่าสิทธิ์การซื้อแฟรนไชส์ 40,000 บาท สัญญาการเป็นผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ ต่ออายุปีละ 1 ครั้ง และผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์ ต้องสั่งสินค้าตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ การลงสินค้าครั้งหนึ่งประมาณ 20,000 บาทถึง 30,000 บาท โดยทางบริษัทไม่บังคับให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ต้องลงสินค้าครั้งละมาก ซึ่งทางบริษัทจะจัดส่งสินค้าอาทิตย์ละ 2 ครั้งในกรุงเทพฯ และ อาทิตย์ละ 1 ครั้งในต่างจังหวัด
 

 

       “โดยประเภทสินค้าของเรามีด้วยกันทั้งสิ้น 40 รายการ และมีแผนที่จะแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาอีกหลายรายการ เพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าในทุกกลุ่ม ซึ่งเป็นการการันตีในเรื่องของผลตอบแทนและความอยู่รอดของธุรกิจ ซึ่งเรายินดีจะรับคืนสินค้าถ้าผู้ซื้อแฟรนไชส์ไปแล้วล้มเหลว ไม่สามารถบริหารงานต่อได้ ที่เรากล้าออกมาการันตี เพราะเชื่อมั่นในชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ของเราที่มีมานานกว่า 7 ปี และเราก็ทำประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป”
      
       ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดขายในลักษณะของคีออสของตัวเองมาแล้วจำนวน 25 สาขา และที่หันมาเปิดขายแฟรนไชส์ในครั้งนี้ ประการแรกทางบริษัทประสบปัญหาพนักงานขายหน้าร้านที่ให้บริการยังไม่เต็มที่เท่าที่ควร ดังนั้น ทางบริษัทจึงเปิดขายแฟรนไชส์ โดยต้องการให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เป็นเจ้าของกิจการเอง เพราะการที่เจ้าของเป็นผู้ขายเองจะให้บริการได้เต็มที่มากกว่า นอกจากนี้ต้องการจะเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ที่ต้องการจะเป็นเจ้าของกิจการ โดยไม่ต้องลงทุนสูง และผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งเราเซ็ตไว้ที่ประมาณ 35%
      

 
 

       ส่วนแผนการขยายสาขาในรูปของคีออสสแฟรนไชส์ ทางบริษัทตั้งเป้าขยายไว้ที่ 200 สาขา ที่เป็นของตัวเอง ประมาณ 50 สาขา และลูกค้ามาซื้อแฟรนไชส์ประมาณ 150 สาขา โดยแบ่งเป็นการขยายสาขาในกรุงเทพฯ 60 %ถึง 70% ส่วนที่เหลือเป็นการขยายสาขาในต่างจังหวัด โดยทำเลจะต้องเป็นพื้นที่ในชุมชน โดยยึดทำเลในศูนย์การค้าเป็นหลัก หรือ ถ้านอกศูนย์การค้าจะต้องเป็นแหล่งชุมชนอย่างเช่นในตลาดสด บางครั้งลูกค้าจะต้องยอมจ่ายค่าเช่าในราคาสูง แต่ผลตอบแทนออกมาจะคุ้มค่ากว่า
      
       อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทางบริษัทจะมีช่องทางการขายในหลายรูปแบบ แต่ราคาก็จะไม่แตกต่างกัน เพราะจะทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน แต่เป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และทางบริษัทยังเชื่อว่าแฟรนไชส์ยังมีช่องว่างที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อยู่ โดยวัดจากร้านหรือ คีออสที่บริษัทเปิดให้บริการมาตั้งแต่เมื่อกลางปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จ โดยยอดขายแต่ละสาขาประมาณเดือนละ 120,000 บาท ถึง 150,000 บาท
      
       ทั้งนี้ ลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์ควรที่จะมีรายได้ต่อเดือนจากยอดขายเดือนละไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทถึงจะอยู่ได้ เนื่องจากแต่ละแห่งต้องเปิดในศูนย์การค้าหรือแหล่งชุมชนจะต้องมีค่าเช่าพื้นที่ที่ค่อนข้างสูง เช่น ค่าเช่าในศูนย์การค้าขั้นต่ำประมาณต่อเดือน 10,000 บาทขึ้นไป เฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 20,000 บาท ถึง 30,000 บาท

 
       นายปิติ เล่าถึงการแข่งขันในธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในประเทศไทยว่า การแข่งขันถือว่าค่อนข้างสูง แต่ในทางกลับกันความต้องการสินค้าก็มีสูงเช่นกัน โดยเฉลี่ยอัตราการเติบโตในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งความต้องการของตลาดไม่ได้ตกลงแม้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรผู้หญิงก็ไม่ยอมไม่ได้เรื่องความสวยงาม
       
สนใจธุรกิจ กรุณาโทร.0-2440-0440 
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


Frozzen ฉีกกฎไอศกรีม ชูธงเลือกอร่อยได้ตามใจคุณ



       “ฟรอสเซน” (Frozzen) ไอศกรีมแบรนด์น้องใหม่รุกตลาดแฟรนไชส์ ชูจุดเด่นมิติใหม่ทำสดใหม่ลูกต่อลูก ได้ความอร่อยและนุ่มละมุนที่เหนือกว่า พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าสร้างสรรค์ไอศกรีมในแบบฉบับของตัวเอง
     
 

      
       Avi Bouhadaua กรรมการผู้จัดการ และธนิสร หาญกอบกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟรเซ่น จำกัด เผยว่า ไอศกรีม Frozzen คือการขยายธุรกิจจากบริษัทแม่ Time Out Gelato Bars ซึ่งดำเนินธุรกิจร้านไอศกรีม “Timeout” มากว่า 4 ปี มีสาขาอยู่ที่เมืองพัทยา 5 แห่ง จากประสบการณ์ดังกล่าว ช่วยให้มีพื้นฐานในธุรกิจนี้ครบวงจร อีกทั้ง มีเครื่องมือพร้อมผลิตวัตถุดิบไอศกรีมจำนวนมาก ดังนั้น เพื่อจะเพิ่มช่องทางกระจายวัตถุดิบกว้างขึ้น เป็นที่มาของการขยายธุรกิจ โดยสร้างเครือข่ายแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อ Frozzen
      
       “ไอศกรีมอื่นๆ ทั่วไปในท้องตลาด จะใช้วิธีทำเสร็จแล้วแช่แข็งรอไว้ตักให้ลูกค้า ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เสียรสชาติความอร่อยที่แท้จริงของไอศกรีมไป แตกต่างจากไอศกรีม Frozzen ใช้วิธีทำกันสดๆ ลูกต่อลูก ขั้นตอนแค่ใส่วัตถุดิบพื้นฐาน ซึ่งมีอยู่ 3 ชนิด คือ ช็อกโกแลต โยเกิร์ต และชิสเค้ก ลงในเครื่อง ส่วนรสชาตินั้น ให้ลูกค้าได้สร้างสรรค์เอง โดยเลือกใส่ส่วนประกอบอะไรก็ได้ที่มีกว่า 20 ชนิดลงไปในเครื่อง รอแค่ 30 วินาที จะออกมาเป็นไอศกรีมที่มีเนื้อนุ่มละมุน และสดใหม่กว่าไอศกรีมทั่วไป” Avi อธิบายถึงจุดเด่น


 


       ธนิสร อธิบายเสริมว่า เครื่องผลิตไอศกรีมชนิดนี้ นำเข้าจากประเทศแคนาดา มูลค่าตัวละประมาณ 1 แสนกว่าบาท โดยเคล็ดลับความอร่อยของ Frozzen คือ การทำแบบสดใหม่ลูกต่อลูก และแต่ละลูกมีเอกลักษณ์รสชาติต่างกันไป จากวัตถุดิบที่ลูกค้าจะเลือกใส่
      
       จุดเด่นอีกประการ คือ ราคาขายปลีกถูกกว่าไอศกรีมระดับเดียวกันในท้องตลาด โดยอยู่ที่ถ้วยเล็ก 2 สกู๊ป 49 บาท ซึ่งราคานี้ ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายกว่า


      
       ด้วยจุดประสงค์ต้องการกระจายวัตถุดิบ นำมาสู่การสร้างจุดเด่นให้ตัวสินค้า และหาผู้สนใจร่วมธุรกิจแฟรนไชส์ ด้วยเงินลงทุน 698,000 บาท รือเลือกผ่อน โดยวางเงินมัดจำ 349,000 บาท ที่เหลือผ่อน 12 งวด โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 15% ต่อปี
      
       Avi เผยว่า บูทแฟรนไชส์ Frozzen ขนาดประมาณ 3 x 2 เมตร ออกแบบเน้นความสดใส ตกแต่งด้วยระบบเล่นแสงสีไฟ LED เปลี่ยนสีตลอดเวลาเรียกความสนใจของลูกค้า
       ทั้งนี้ แม้ว่า Frozzen จะเป็นไอศกรีมแบรนด์น้องใหม่ ไม่เคยมีร้านต้นแบบมาก่อน แต่บริษัทฯ สร้างความมั่นใจให้ผู้จะลงทุน โดยใช้ประสบการณ์จากร้าน Timeout เป็นแม่แบบในการบริหารจัดการภายในร้าน โดยผลตอบแทนที่แฟรนไชส์ซี่จะได้ ถ้า 1 วันขายถ้วยเล็กราคา 49 บาท ได้ 50 ถ้วยจะคุ้มเงินลงทุนต่อวัน หากขายได้ 100 ถ้วยต่อวัน ระยะเวลาหนึ่งเดือนจะมีกำไร หลังหักค่าใช่จ่ายทั้งค่าเช่าและค่าพนักงาน ประมาณ 60,000 บาท สามารถคืนเงินลงทุนได้ในเวลา 1 ปี ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ร้าน Timeout มียอดขายสูงเกิน 100 ถ้วยต่อวันโดยตลอด




       สำหรับเงินลงทุน 698,000 บาท แฟรนไชส์ซีจะได้รับอุปกรณ์พร้อมเริ่มธุรกิจ เช่น บูทสำเร็จรูป ตู้แช่ เครื่องทำไอศกรีม และวัตถุดิบต่างๆ เป็นต้น รวมถึง การจัดอบรมเกี่ยวกับการบริหารร้าน และมีคู่มือ บันทึก DVD เพื่อนำไปอบรมพนักงานต่อไป
      
       ทั้งนี้ ตั้งกฎว่า ผู้ร่วมธุรกิจต้องรับซื้อวัตถุดิบหลักจากบริษัทแม่เท่านั้น ควบคุมผ่านระบบ POS (Point – of – sale) ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ระบบ touch screen บันทึกข้อมูลการซื้อขายสินค้า ระดับสต๊อก ตลอดจนสั่งซื้อวัตถุดิบผ่านระบบออนไลน์กับบริษัทฯ โดยตรง ซึ่งระบบนี้ช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพแฟรนไชส์ อีกทั้ง สามารถนำข้อมูลไปใช้เพื่อการตลาดได้ด้วย


      
       ด้านธนิสร เผยว่า ลูกค้าเป้าหมายของไอศกรีม Frozzen เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ โดยอาศัยจุดเด่นเป็นไอศกรีมที่มีสีสันในขั้นตอนการทำแบบสดๆ และเปิดโอกาสให้ลูกค้าเลือกรสชาติไอศกรีมในแบบของตัวเอง ประกอบกับราคาไม่แพงนัก ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าวัยรุ่น ขณะที่รสชาติสดใหม่ ไขมันต่ำ และมีส่วนประกอบของผลไม้ ช่วยจับกลุ่มลูกค้าคนทำงาน
      
       สำหรับการหาทำเล จะมีทั้งเปิดให้ผู้ลงทุนเป็นฝ่ายเสนอเข้ามาให้บริษัทฯพิจารณา กับอีกทาง บริษัทฯ มีพื้นที่ซึ่งติดต่อกับห้างสรรพสินค้าชั้นนำไว้แล้วเป็นทางเลือกเสนอให้ โดยทำเลเหมาะสมแนะนำว่าควรเป็นห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาคารสำนักงาน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สถานที่ท่องเที่ยว และย่านชุมชน เป็นต้น
      
       ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำผลกำไร 5% จากรายได้ทั้งหมดที่เข้ามา ใช้เพื่อส่งเสริมการตลาดให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เช่น ซื้อสื่อโฆษณา ออกงานแสดงสินค้า เป็นต้น ซึ่งเป้าหมายของบริษัทฯ ตั้งว่าภายในปีนี้ (2551) จะขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศ ประมาณ 30 แห่ง หลังจากนั้น จะเปิดตลาดสู่ประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
      
โทร. 086 341 3500 ,
www.ilovefrozzen.com


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.