สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

Dr.Song’s" เสริมสวยเมนูสะเต๊ะ-หมูปิ้ง ชูมาตรฐานโลก ปูพรมแฟรนไชส์



เมนูหมูสะเต๊ะและหมูปิ้ง ซึ่งคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี ถูกหยิบมาแต่งตัวใหม่ในรูปแบบแฟรนไชส์ “ด็อกเตอร์ซองส์” (Dr.Song’s) โชว์จุดเด่นสะอาด และปลอดภัยผลิตในมาตรฐานระดับสากล ขณะที่วางระบบคุ้มคุณภาพตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ตั้งเป้ากระจาย 5,000 สาขาใน 2 ปี พร้อมอัดงบ 30 ลบ. แจ้งเกิดแบรนด์


ยอดศักดิ์ อภิชาตวรศิลป์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท ฟูดเบลสซิ่ง (1988) จำกัด เผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจด้านอาหารแปรรูป และซอสปรุงรส มากว่า 20 ปี มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 50 ชนิด โดยเป็นทั้งผู้ผลิตให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่ (OEM) และขายภายใต้แบรนด์ตัวเอง รวมถึง ส่งออกต่างประเทศ มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี
      
ทั้งนี้ มองโอกาสขยายธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันมนุษย์เงินเดือนจำนวนมาก อยากมีอาชีพสองไว้เป็นรายได้เสริม หรืออยากมีธุรกิจของตัวเอง รวมถึง คนอีกจำนวนมากอยากลงทุนทำธุรกิจแทนที่เอาเงินไปฝากธนาคารซึ่งดอกเบี้ยต่ำมาก เมื่อจับความต้องการดังกล่าว ประกอบกับเห็นว่าบริษัทมีความพร้อมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ โรงงานผลิต เทคโนโลยี และบุคลากร จึงคิดขยายธุรกิจแฟรนไชส์หมูสะเต๊ะ และหมูปิ้ง ในชื่อ DR.Song’s
      

 

“ผมมองว่า เมนูหมูสะเต๊ะ และหมูปิ้ง เป็นเมนูที่คนทั่วไปคุ้นเคยอยู่แล้ว เป็นได้ทั้งอาหารหลักและกินเล่น ซื้อง่ายขายคล่อง นอกจากนั้น ในท้องตลาดมีคู่แข่งไม่มากนัก และยิ่งเจาะจงที่เป็นสินค้าเกรดบนผลิตสะอาดได้มาตรฐาน แทบจะไม่มีคู่แข่งโดยตรงเลย” ยอดศักดิ์ ให้เหตุผลที่เลือกเมนูดังกล่าวมาทำแฟรนไชส์

อย่างไรก็ตาม แฟรนไชส์รูปแบบรถเข็นลงทุนไม่สูงนัก แทบทุกรายในประเทศไทย ล้วนเจอปัญหาคล้ายกันคือ ไม่สามารถดูแลคุณภาพให้เท่าเทียมกันได้ทั้งหมด

ประเด็นดังกล่าว ยอดศักดิ์ระบุว่ารับรู้อย่างดี และเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว โดยแฟรนไชส์ Dr.Song’s จะใช้ระบบดูแลตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง กล่าวคือ 1.เข้มงวดคัดกรองผู้จะมาเป็นเครือข่ายธุรกิจ ต้องมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น วุฒิภาวะ การศึกษา และทุน อีกทั้ง ส่งเสริมให้เป็นผู้บริหารร้านว่าจ้างพนักงานขายแทนที่จะลงไปขายด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีนี้จะช่วยกรอกผู้ลงทุนได้ระดับหนึ่ง

 

 

2.วัตถุดิบเกือบทั้งหมดต้องรับจากส่วนกลางเท่านั้น (ยกเว้นแตงกวา พริก และหอมแดง กับเนยใช้ทาระหว่างย่าง) ไม่ว่าจะเป็นหมูเสียบไม้ น้ำจิ้ม อาจาด ข้าวเหนียว ถุงหิ้ว และถ่านไม้ ซึ่งกฎดังกล่าวถือเป็นหัวใจของธุรกิจ เพราะวัตถุดิบทั้งหมดได้มาตรฐานส่งออก ผลิตในโรงงาน GMP , HACCP ฯลฯ โดยมีเครื่องหมายการค้าของบริษัทกำกับ ทำให้คุมคุณภาพสินค้าได้ง่าย ผู้ขายเพียงแค่แกะซอง แล้วอุ่นร้อนสามารถขายได้ทันที เช่น เนื้อหมูคัดเฉพาะเนื้อสันนอกกับสะโพกในส่วนที่ไม่มีมัน โดยเป็นหมูที่เลี้ยงในฟาร์มปิด นำมาหมักสำเร็จรูปด้วยซอสแล้วเสียบไม้ที่ฆ่าเชื้อ ซึ่งปลายไม้มีโลโก้ Dr.Song’s ติดไว้ป้องกันสินค้าเลียนแบบ แล้วบรรจุในซองของบริษัทอีกชั้นหนึ่ง สามารถเก็บในอุณหภูมิปกติได้ 6 เดือนถึง 1 ปี ผู้ขายจึงไม่ต้องกังวลการเน่าเสียหากขายไม่หมด
      

 

และ 3.ทางบริษัทมีสัญญาครอบคลุมชัดเจน อีกทั้งข้อมูลทุกๆ อย่างจะถูกเก็บบันทึกให้ระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้น จะส่งทีมตรวจสอบคุณภาพสม่ำเสมอ และหากมีสาขาใด จงใจผิดสัญญาจะยืดเคาน์เตอร์คืนทันที และในรายที่ผิดสัญญาอย่างร้ายแรงจะดำเนินคดีฟ้องร้องตามกฎหมาย
      
      
เจ้าของธุรกิจ อธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการลงทุน หากต้องการเฉพาะเมนูหมูสะเต๊ะ ลงทุน 25,000 บาท ได้รับเคาน์เตอร์ พร้อมอุปกรณ์เสริมพร้อมขาย เช่น ตู้แช่ เตาปิ้งที่ให้เลือกระหว่างเตาไฟฟ้า หรือเตาถ่าน (ตามความเหมาะสมของสถานที่ขาย) หากต้องการเสริมเมนูหมูปิ้งข้าวเหนียว เพิ่มเงินลงทุนอีก 10,000 บาทเป็น 35,000 บาท
      
ทั้งนี้ บริษัทจะส่งวัตถุดิบให้ สำหรับเมนูหมูสะเต๊ะ ชุดละ 45 บาท ประกอบด้วยหมู 10 ไม้ น้ำจิ้ม และอาจาด ส่วนหมูปิ้ง ชุดละ 50 บาท ประกอบด้วยหมู 10 ไม้และข้าวเหนียว กำหนดให้ขายปลีกที่ชุดละ 65 บาท และ70 บาทตามลำดับ ซึ่งราคานี้ ผู้ลงทุนจะมีกำไรประมาณ 1.78 บาทต่อไม้ ควรขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 50 ชุด (500 ไม้) จะมีรายรับ 890 บาทต่อวัน หรือเดือนละ 26,700 บาท หลังหักค่าพนักงานและค่าเช่าสถานที่แล้ว จะเหลือกำไรสุทธิประมาณ 15,000-18,000 บาท สามารถคืนเงินลงทุนได้ภายใน 1-2 เดือน
 

 
 
      
ยอดศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับราคาปลีกที่เฉลี่ยแล้วอยู่ที่ไม้ละ 6.5-7 บาทนั้น จากการสำรวจตลาด ลูกค้าเป้าหมายยอมรับราคานี้ได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจในความสำเร็จ เบื้องต้นบริษัทจะเริ่มวางสาขาของตัวเองก่อนไว้เป็นร้านต้นแบบ จำนวน 20 จุด ในทำเลเป้าหมาย ได้แก่ ในศูนย์อาหารตามห้างสรรพสินค้า โรงเรียนเอกชน มหาวิทยาลัย ปั๊มน้ำมัน และย่านท่องเที่ยว กำหนดเปิดร้านพร้อมกันในวันที่ 1 สิงหาคม 2552
 

      
ทั้งนี้ วางเป้าว่า จะขยายสาขาทั้งหมด 5,000 จุดทั่วประเทศ ภายในเวลา 2 ปี ซึ่งจากที่บริษัทได้ทดสอบตลาดโดยออกงานแสดงสินค้า มีผู้สนใจยื่นความจำนงแล้วกว่า 500 จุด ซึ่งจะทยอยเปิดตามๆ กันไป และเพื่อให้ผู้ลงทุนทุกรายประสบความสำเร็จ บริษัทจะทำประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง ทั้งทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และวิทยุ ให้ผู้บริโภคได้รู้จักสินค้าและคุ้นเคยกับแบรนด์ สำรองงบส่วนนี้ไว้ที่ 30 ล้านบาทในระยะเวลา 2 ปี
ติดต่อ โทร. 0-2711-3588, 0-2391-2505



อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


'Popular' ไอศกรีมทอดชูแบรนด์สร้างแฟรนไชส์



      
ไอศกรีมทอด ทางเลือกของผู้ที่ชื่นชอบการทานไอศกรีม และด้วยรสชาติที่ถูกปากใครหลายคนทำให้ไอศกรีมทอดได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน และมีคนสนใจทำไอศกรีมทอดออกจำหน่ายกันเป็นจำนวนมาก และสำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นเจ้าของร้านไอศกรีมทอด ในวันนี้มีแฟรนไชส์ออกมาให้เลือกกันหลากหลายแบรนด์ และหนึ่งในนั้น ก็ต้องยกให้แบรนด์ Popular
      
       แฟรนไชส์ Popular เป็นไอศกรีมทอดที่เกิดจากความมุ่งมั่นของหญิงสาวที่มีชื่อว่า “ณัชชารีย์ อยู่คง” ซึ่งเธอใฝ่ฝันต้องการจะมีกิจการของตัวเอง เริ่มจากการทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ และด้วยความชอบทำให้เกิดความสนใจและต้องการจะเรียนรู้ แม้ว่าวันหนึ่งจะได้เดินตามความฝันนี้หรือไม่ และสุดท้ายก็เรียนรู้และทดลองทำจนเป็นผลสำเร็จ ได้ไอศกรีมที่เป็นสูตรของตนเอง และเป็นที่มาของร้านเล็กที่มีชื่อว่า "Popular" ก่อนจะมาเปิดแฟรนไชส์จนถึงทุกวันนี้
  


       ณัชชารีย์ เล่าว่า จุดเริ่มต้นของไอศกรีมทอด Popular เกิดขึ้นมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มจากเปิดหน้าร้านเล็กของตนเอง และด้วยรสชาติของไอศกรีม ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า และเนื่องจากมีการพัฒนาสูตรอย่างต่อเนื่องทำให้มีไอศกรีมรสชาติต่างๆ ออกมามากถึง 10 รสชาติ ได้แก่ รสช็อกโกแลต ช็อกโกแลตชิพ สตอร์เบอรี่ กาแฟ มอคค่าชิฟ วนิลลา บลูเบอรี่ ลูกเกด มะนาว และส้ม ทำให้สามารถรองรับลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย
      
       สำหรับรสชาติทั้งหมด พัฒนาขึ้นมาจากการที่ตนเองได้ศึกษาและเรียนรู้ ลองผิดลองถูกจนเป็นที่มั่นใจ และก่อนจะทำออกจำหน่ายจริง ก็มีการทดสอบรสชาติจากคนในครอบครัว และญาติพี่น้องก่อน จะให้ลูกค้าได้ทดลองชิม และเริ่มเปิดร้านเล็กเป็นของตนเอง และด้วยความตั้งใจทำไอศกรีมอย่างพิถีพิถันของตนเอง ทำให้ลูกค้าหลายคนติดใจในรสชาติ ยอมมาซื้อทานวันละหลายๆรอบ บางรายถึงกับขอซื้อสูตรเพื่อนำไปทำขายต่อ และเห็นว่าน่าจะช่วยสร้างอาชีพให้กับผู้สนใจได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดทำธุรกิจแฟรนไชส์ขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน



       โดยปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์อยู่ทั้งหมด 8 สาขา ในต่างจังหวัดทั้งหมด ได้แก่ นครศรีธรรมราช ฉะเชิงเทรา เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ เพชรบุรี และมีแผนที่จะขยายเพิ่มให้ครบ 20 สาขาในปีหน้า ซึ่งรูปแบบของแฟรนไชส์ จะแบ่งตามการลงทุน คือ ราคา 12,000 บาท และ ราคา 32,000 บาท
      
       ส่วนรายละเอียดของแฟรนไชส์ไอศกรีมทอด ราคา 12,000 บาท อุปกรณ์ที่จะได้รับประกอบไปด้วย ธงญี่ปุ่น ป้าย กระทะไฟฟ้า แป้ง 4 กิโลกรัม ตู้แช่ คู่มือการทำ ไอศกรีม ส่วนราคา 32,000 บาท อุปกรณ์จะได้รับคีออส ขนาด 1.20 เมตร ป้าย เมนู ธงญี่ปุ่น เตาไฟฟ้า อุปกรณ์ในการทอด ท็อปปิ้งแต่งหน้า 5 อย่าง ถ้วย 200 ชุด แป้ง 4 กิโลกรัม พร้อมฝึกอบรมให้ถึงที่ คู่มือการทำไอศกรีมทอด




       "ในส่วนของทำเลที่เหมาะสม จากประสบการณ์ของตนเอง จุดที่เป็นชุมชนต่างๆ เช่น สถาบันการศึกษา โรงเรียนหรือ มหาวิทยาลัย ตลาดนัด ตลาดคนเดิน หรือ บนห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ซึ่งการเลือกทำเลก็ต้องดูกลุ่มลูกค้าของเราเป็นหลัก ซึ่งจริงแล้วกลุ่มที่ทานไอศกรีมส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเด็ก วัยรุ่น หรือ วัยทำงาน ส่วนคนสูงอายุการทานไอศกรีมจะมีน้อยลงไป"
      
       จุดเด่นของสินค้าของเราที่แตกต่างจากคนอื่น อยู่ที่การคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพ เพื่อให้ได้ไอศกรีมที่มีรสชาติอร่อย และได้ลูกประจำ แวะเวียนเข้ามาซื้อกินกันอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญคือ ต้องราคาไม่แพง โดยไอศกรีมของเราจะขายในราคาถ้วยละ 15 บาท แต่อย่างไรก็ตามลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์ของเราไปก็สามารถตั้งราคาของตัวเองตามความเหมาะสม เพราะการเปิดร้านแต่ละแห่งค่าเช่าก็จะแตกต่างกันออกไป จุดเด่นของสินค้าของเราอีกอย่างหนึ่งคือ รูปแบบของแพคเกจจิ้ง ที่ออกแบบโดยให้ดูทันสมัย เหมาะกับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและเด็ก
 


       ณัชชารีย์ เล่าว่า เนื่องจากเป็นลักษณะของแฟรนไชส์ จำเป็นจะต้องให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์จากเราไปสามารถแข่งขันได้ เราจึงได้มีการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้วางแผนที่จะมีการจัดทำสินค้าที่บรรจุในแพ็คเกจสำเร็จรูป แยกไอศกรีมกับแป้ง เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อกลับไปทำทานที่บ้านได้ ด้วยรสชาติ และราคาที่ไม่ต่างจากทางร้าน นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาสูตรเพิ่มอีก 2 สูตร
 


      
       สำหรับลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์จากเรา โอกาสคืนทุน ตั้งไว้ประมาณ 1-3 เดือน โดยจะต้องมียอดขายอย่างน้อยวันละ 30 ถ้วย จึงจะสามารถอยู่ได้ ในส่วนร้านของเรานั้นมี 2 สาขาที่จังหวัดเพชรบุรี สามารถขายได้วันละประมาณ 50 ถ้วย กำไรที่ได้ต่อหน่วยประมาณ 40-60 % ส่วนคู่แข่งมีประมาณ 2-3 รายที่เปิดขายในลักษณะแฟรนไชส์ ความโดดเด่นของเราต่างจากคู่แข่ง อยู่ที่เนื้อแป้ง ไม่ต้องโรยท็อปปิ้งก็กินได้โดยรสชาติไม่จืด ซึ่งแฟรนไชส์ของเราจะต้องซื้อแป้งจากเราเท่านั้น ส่วนไอศกรีมจะร่วมกับบริษัท ครีโม ช่วยส่งไอศกรีมให้
      

โทร. 08-9611-9296 

Read More...


ปั่นแหลก" น้ำผลไม้สด แซงโค้งเข้าวินสร้างอาชีพ


       "ปั่นแหลก” ร้านน้ำผลไม้ปั่น ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของนักท่องเที่ยวที่มีโอกาสไปเที่ยว ตลาดโบราณสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี จุดเด่นของน้ำผลไม้ปั่นของร้านปั่นแหลกอยู่ที่ ความหลากหลายผลไม้ บวกกับความสดของผลไม้ ทำให้ได้สูตรน้ำผลไม้หลายสูตร สร้างทางเลือกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบดี่มน้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

 

       นายพงศ์สวัสดิ์ จินดาอินทร์ เจ้าของร้าน เล่าว่า ร้านปั่นแหลกของผมเป็นร้านน้ำผลไม้ปั่นที่เปิดขายอยู่ 2 แห่งที่ ตลาดสามชุก และตลาดในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี โดยความแตกต่างของน้ำผลไม้ปั่นของเราอยู่ที่ เราไม่ใช้น้ำตาลในการเพิ่มความหวาน แต่ใช้น้ำเชื่อมฟรุตโตส เป็นน้ำตาลที่ได้มาจาการหมัก น้ำผัก ผลไม้ ซึ่งฟรุตโตสที่ใช้เป็นน้ำเชื่อมฟรุตโตสสำเร็จรูป ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านทั่วไป ข้อดีของการใช้น้ำเชื่อมฟรุตโตส ช่วยในเรื่องของรสชาติน้ำผลไม้ปั่นที่จะออกมากลมกล่อมกว่าการใช้น้ำเชื่อมจากน้ำตาล
      
       นอกจากนี้จุดเด่นของ ร้านปั่นแหลก ยังอยู่ที่เครื่องปั่นน้ำผลไม้ ที่ทางร้านจะเลือกใช้เครื่องปั่นคุณภาพดี แม้ราคาจะสูงกว่าเครื่องปั่นทั่วไปหลายเท่า แต่เมื่อปั่นออกมาแล้วน้ำแข็ง และผลไม้จะละเอียดออกมาเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งในตลาดต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ร้านน้ำปั่นจะใช้เครื่องปั่นคุณภาพไม่ดี ทำให้น้ำแข็งและผลไม้ไม่เป็นเนื้อเดียวกัน และเมื่อเรานำเครื่องปั่นดังกล่าวมาใช้บวกกับสูตรของน้ำปั่นที่เราคิดค้นขึ้น ทำให้ลูกค้าหันมาซื้อน้ำปั่นจากร้านเรามากขึ้น



       สำหรับชนิดของผลไม้ก็เหมือนกับร้านน้ำปั่นทั่วไป แต่จะมีให้เลือกหลากหลายขึ้นอยู่กับว่าลูกค้าชื่นชอบอะไร เช่น สตอเบอรี่ บลูเบอรี่ แตงโม ลาสเบอรี่ กล้วย แอปเปิ้ล องุ่นดำ กีวี ส้ม ฯลฯ และนอกจากน้ำผลไม้ ทางร้านได้คิดสูตร น้ำปั่นอื่น ที่นอกเหนือจากผลไม้ เช่น สมูตตี้ โยเกิร์ต ผสมนมเปรี้ยว เครื่องดื่ม ชา กาแฟปั่น ซึ่งร้านปั่นแหลก เป็นน้ำผลไม้ปั่น ในจังหวัดสุพรรณบุรี เพียงร้านเดียวที่ได้รับเครื่องหมายรับรองคุณภาพ เชลล์ชวนชิม จาก “มรว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์” ที่ได้เดินทางมาตลาดสามชุก และเห็นว่าร้านของเรามีน้ำผลไม้ปั่นที่รสชาติดี และสะอาด จึงได้มอบเครื่องหมายเชลล์ชวนชิม โดยที่เราเองไม่ได้ทำเรื่องขอเหมือนกับร้าน


       "โดยสูตรน้ำผลไม้ปั่นที่สร้างชื่อให้กับร้านปั่นแหลก มาตลอด เป็นสูตรผลไม้รวมที่ ทางร้านได้คิดค้นและลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง จนได้สูตรน้ำผลไม้ที่กลมกล่อม และเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า สร้างชื่อให้กับทางร้านปั่นแหลก ซึ่งเราเองก็ไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ เพราะต้องการสงวนไว้เพื่อเป็นจุดขายให้กับร้านของเรา และลูกค้า ที่เป็น แฟรนไชส์ของเรา การคิดสูตรน้ำผลไม้ เราจะต้องรู้ว่าผลไม้อะไร มีรสชาติอย่างไร และควรจะใส่ผลไม้อะไรเข้าไปด้วยกันได้ และผลไม้อะไรที่ไม่ควรจะผสมกัน เพราะจะทำให้รสชาติเสีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องมีการลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ไม่มีสูตรตายตัว”
      

 

       ส่วนร้านปั่นแหลก มีสูตรน้ำผลไม้ปั่นและน้ำปั่นทั่วไป มากถึง 90 สูตร ถึง 100สูตร ให้ลูกค้าได้เลือกกันตามความชอบ แต่ที่ขายดีสุดเป็นสูตรน้ำผลไม้รวมที่เราคิดค้นขึ้น ราคาเริ่มต้นที่ 20 บาท สำหรับผลไม้ชนิดเดียว และ 25 บาท สำหรับผลไม้ 2 ชนิดขึ้นไป ส่วนสมูตตี้ และน้ำปั่นเครื่องดื่มอื่น ราคาแก้วละ 30 บาท ในขณะที่ยอดขายเฉลี่ยวันละ 400 แก้ว จะขายได้มากในช่วงวันหยุดที่ตลาดสามชุก บางวันสามารถขายได้ถึงวันละ 1,000 แก้ว ส่วนร้านที่ตัวเมืองสุพรรณ จะขายได้วันละประมาณ 70-80 แก้ว ต่อวัน ตลาดสามชุกขายได้วันละ 200 แก้วขึ้นไปต่อวัน

       นายพงศ์สวัสดิ์ เล่าว่า หลังจากเปิดมาได้ระยะหนึ่ง ก็มีคนสนใจต้องการจะให้เราไปเปิดขายตามสถานที่ต่างๆ บางคนก็สนใจต้องการทำร้านแบบเดียวกับเรา และใช้ชื่อปั่นแหลกเหมือนกับเรา และนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวก็มักจะถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ กลับไป เราเองก็กลัวเรื่องของการใช้ชื่อ และการทำตามแบบ เป็นจุดเริ่มต้นในการคิดทำแฟรนไชส์ และได้เริ่มทำแฟรนไชส์ ซึ่งผ่านมาได้ประมาณ 1 ปี ปัจจุบันมีสาขาแฟรนไชส์จำนวน 20 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ส่วนใหญ่จะเปิดตามศูนย์การค้า เช่น คาร์ฟูร์ สาขาลาดพร้าว คาร์ฟูร์สาขาสำโรง และบิ๊กซี สาขาบางพลี สมุทรปราการ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี และประตูน้ำที่เรากำลังจะเปิด ฯลฯ
 

 
 
       สำหรับรายละเอียดราคาแฟรนไชส์เริ่มต้นที่ 39,000บาท ลูกค้าจะได้ คีออส พร้อมอุปกรณ์ในการขาย เช่น โถปั่น ซึ่งราคาเป็นหลักหมื่นบาท พร้อมกับอบรมให้ 1 วัน ส่วนสูตรของน้ำปั่น ลูกค้าสามารถปรับได้ตามความต้องการของลูกค้า เพราะลูกค้าแต่ละกลุ่มจะชื่นชอบผลไม้ที่แตกต่างกัน แต่ห้ามลดเรื่องคุณภาพ เพราะจะทำให้เสียมาถึงเราได้ และสุดท้ายคนที่เสียก็คือ เจ้าของร้านเอง เพราะแม้จะชื่อเดียวกันแต่ถ้ารสชาติไม่เหมือนกัน ลูกค้าจะหาสิ่งที่ดีที่สุด แต่ถ้ารสชาติผิดเพี้ยนมากเราก็ต้อง ขอยกเลิก แฟรนไชส์



       นอกจากนี้ ทางกระทรวงแรงงานยังได้ขอให้เราไปช่วยสอนและแนะนำคนตกงานที่สนใจต้องการจะเปิดร้านน้ำปั่น และทางกระทรวงฯยังได้ ช่วยคนตกงานที่ไม่มีเงินทุน โดยจัดสรรเงินกู้เพื่อการสร้างอาชีพ ตามโครงการของธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยให้ผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมการทำน้ำปั่นจากที่เราเปิดสอนกระทรวงแรงงาน สามารถขอยื่นกู้เพื่อซื้อแฟรนไชส์ร้านปั่นแหลกได้
      
โทร. 08-6677-4997



อ้างอิงจากผู้จัดการออนไลน์

Read More...


‘ขาหมูเจ้าสัว’ แฟรนไชส์น้องใหม่ช่วยตกงาน ดัน 5 พันสาขาทั่วกรุงฯ


       การที่รัฐบาลพยายามผลักดันธุรกิจอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศนั้น วิธีการเริ่มต้นที่จะทำให้คนไทยเชื่อถือและยอมรับในรสชาติและฝีมือ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการขายแฟรนไชส์น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ได้เร็วขึ้น ดังนั้นคงไม่แปลกใจ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันธุรกิจแฟรนไชส์อย่างสุดตัว พร้อมช่วยโปรโมต และเซ็นลงนามสัญญาร่วมกันที่จะดันธุรกิจอาหารไทยสู่การขยายแฟรนไชส์กว่าพันสาขาทั่วประเทศ
      
       ล่าสุดได้จับมือกับบริษัท บริษัท ที เอส เอ็น เวิลด์ซัพพลาย จำกัด แฟรนไชส์ขาหมูเจ้าสัว และอูเอโนะ ราเมน ของ 3 หุ้นส่วน คือ นายธีรยุทธ ทุมมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร / CEO , นายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ และนายนิกร เลาหพงษ์ชนะ กรรมการบริหาร ที่อาศัยความคุ้นเคยในแวดวงการเมืองของนายนิกร นำขาหมูของบริษัทหนึ่งมาให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ได้ลองรับประทาน ก็ติดใจในรสชาติ และวัตถุดิบที่เลือกสรรมาแป็นอย่างดี จึงแนะนำให้ต่อยอดทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมปรับสูตรในเรื่องของรสชาติเล็กน้อย สู่สูตรชาววัง ที่จะเน้นไปที่ความหวานของขาหมูเล็กน้อย สุดท้ายจึงลงตัวที่ธุรกิจขาหมูเจ้าสัวและอูเอโนะ ราเมน พร้อมขยายแฟรนไชส์ทั่วกรุงเทพฯ รวม 5,000 สาขา
 



       นายธีรยุทธ เล่าว่า แต่เดิมหุ้นส่วนของบริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงานผลิตแป้งเกล็ดขนมปัง ซึ่งธุรกิจก็ไปได้ดี แต่ธีรยุทธ กลับคิดว่าตนเองต้องสร้างธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน โดยมองไปที่อาชีพรถเข็นขายอาหารที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งนายนิกร ได้ไปรู้จักกับโรงงานที่ผลิตขาหมู ที่บรรจุลงในถุงสุญญากาศที่ได้มาตรฐาน และสามารถเก็บไว้ได้นาน รวมถึงรสชาติ และวัตถุดิบที่เลือกนำมาใช้ก็มีคุณภาพดี จึงคิดนำมาต่อยอดให้คนมีอาชีพ เพิ่มรายได้


  

      “หลังจากที่ผมคิดหาอาชีพที่ลงทุนไม่สูงนักให้กับคนตกงาน หรือมีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว ซึ่งธุรกิจรถเข็นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งอาหารที่นำมาขายในแต่ละวันจะต้องลดความยุ่งยากให้กับเจ้าของธุรกิจได้ ซึ่งหลังจากที่คุณนิกรได้นำขาหมูของบริษัทหนึ่งมาให้ลองรับประทานปรากฏว่ามีรสชาติอร่อย และเชื่อว่าจะต้องถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน รวมทั้งยังสามารถต่อยอดสู่ระบบแฟรนไชส์ได้ เพราะเป็นขาหมูที่บรรจุอยู่ในถุงสุญญากาศที่เก็บไว้ได้นาน 365 วัน โดยไม่ต้องแช่เย็น พร้อมน้ำจิ้ม ไม่ใส่สารกันบูดและผงชูรส เหมาะสำหรับงานเลี้ยงต่างๆ เป็นของฝากในงานพิธีและเทศกาลสำคัญต่างๆ เพราะง่ายต่อการจัดเก็บ และพกพาสะดวก”
 

  


       เมื่อแนวคิดดังกล่าวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น นายนิกร ก็ได้นำขาหมูไปให้ รมว.ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ชิมก็ถูกใจ พร้อมปิ๊งไอเดียสร้างมาตรฐานให้กับร้านขาหมูเจ้าสัว ด้วยการร่วมมือกับสถาบันอาหารช่วยผลักดันเรื่องมาตรฐานและการขยายสาขา ช่วยเหลือคนตกงาน ด้วยแฟรนไชส์ “ข้าวขาหมูเจ้าสัว” และ “อูเอโนะ ราเมน” ที่มีรสชาติถูกปากคนไทยไม่แพ้กัน
      
       “การที่เรานำร่องด้วยข้าวขาหมู และราเมน เพราะเป็นอาหารที่คนไทยรู้จักดี ซึ่งจากการคำนวณขาหมู 1 ขา สามารถขายได้ประมาณ 20 จาน ซึ่ง 1 สาขาจะใช้ขาหมูประมาณ 4 ขา/วัน โดยในช่วงเริ่มต้นทางบริษัทฯ จะขยายสาขา โดยตั้งเป้าภายในปี 2552 รวม 30-50 สาขา เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักทั่วกรุงเทพฯ และวางแผนขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ทั้ง 2 แบรนด์ เฉพาะในกรุงเทพฯ ภายใน 3 ปี ซึ่งปี 2553 จำนวน 2,000 สาขา และปี 2554 จำนวน 5,000 สาขา ที่นอกจากจะขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์แล้วยังเน้นไปที่ตัวแทนขายส่งตามเขตต่างๆ ทั่วกรุงด้วย”


 


       ทั้งนี้การลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์อยู่ที่ 35,000 บาท พร้อมอุปกรณ์ครบครัน โดยเป็นการซื้อแฟรนไชส์เพียงครั้งเดียว ไม่เก็บค่าโฆษณา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้ง 2 แฟรนไชส์ ซึ่งผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

       โดยในอนาคตทางแฟรนไชส์ขาหมูเจ้าสัว และอูเอโนะ ราเมน จะขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศแต่เน้นไปที่การส่งวัตถุดิบ เช่น ขาหมูในถุงสุญญากาศให้กับผู้บริโภคโดยตรง ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา เพื่อให้ชาวต่างชาตินำไปรับประทานกับขนมปัง หรือการส่งออกไปยังประเทศจีน สำหรับรับประทานกับหมั่นโถว ในขณะที่อูเอโนะ ราเมน จะส่งออกไปเป็นน้ำซุปที่เป็นหัวเชื้อ เพื่อนำไปผสมกับน้ำตามสัดส่วน โดยเฉพาะซุปรสต้มยำกุ้งที่ต่างชาติรู้จักเป็นอย่างดี


สนใจติดต่อ 0-2249-4831



อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์


 

Read More...


ซีพี เฟรชมาร์ท กุญแจตอบโจทย์ "ครัวชุมชน"



การตอบรับ "ซาแซ" ของซีพีเฟรชมาร์ท ในช่วงเทศกาล ตรุษจีนปีนี้ ทำให้ "จักร์ชัย นุชประยูร" รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (ซีพีเอฟ) ซึ่งดูแลกิจการร้านซีพี เฟรชมาร์ท กล่าวว่า ยอดขายมากกว่าปีที่แล้วถึง 3 เท่าตัว

"จักร์ชัย" กล่าวว่า "ซาแซ" ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ไม่เฉพาะคนกรุงเทพฯ ขณะที่คนหัวเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา ขอนแก่น โคราช ก็มีไลฟ์สไตล์เดียวกัน ปัจจุบันมีสมาชิกบัตรซีพีเฟรชมาร์ท ในกรุงเทพฯ 5 หมื่นใบ ต่างจังหวัด 3 หมื่นใบ ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มเป็น 2 แสนกว่าใบ โดยจะทำซีอาร์เอ็มลูกค้าจากบัตรสมาชิก เราต้องรู้ข้อมูลการกินของแต่ละบ้าน ขณะนี้ถือว่า ซีพีเฟรชมาร์ททำตลาดมาถูกทางแล้ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทย

"เรากำลังศึกษาซอฟต์แวร์ที่มีลักษณะ personal need ของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งจะตอบโจทย์โปรโมชั่นในลักษณะ CRM personal packkage ในอนาคต"
 


เปิดร้านซีพีเฟรชมาร์ท ซีพีเอฟศึกษาตลาดอยู่นาน เพราะต้องการใช้ร้านซีพีเฟรชมาร์ทพัฒนาช่องทางการขายสินค้าซีพีถึง ผู้บริโภค ในลักษณะบี ทู ซี (business to consumer) จ้างบริษัทวิจัยศึกษาช่องทางตลาดทั้งแนวลึกและแนวนอนถึงพฤติกรรมลูกค้าว่าเป็นใคร

ต้นปี 2549 มี 10 สาขา ถึงปลายปีเพิ่มเป็น 30 สาขาทั่วประเทศ ปี 2550 ขยับเป็น 250 สาขา ปี 2551 มี 300 สาขา ปี 2552 มี 550 สาขา คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสาขา 1,000 แห่ง

"จักร์ชัย" กล่าวว่า สินค้าซีพีเอฟเข้าถึงผู้บริโภค 4 ช่องทาง คือ โมเดิร์นเทรด, ฟู้ดเซอร์วิส, เทรดิชั่นนอล มาร์เก็ตหรือตลาดสด และซีพีเฟรชมาร์ท ถือเป็น ช่องทาง "นิ้วก้อย" แต่จะโตขึ้นเป็น "นิ้วโป้ง" ในอนาคตได้ หากสามารถขยายสาขาเพิ่มถึง 3,000 สาขา

ซีพีเฟรชมาร์ททำวิจัยตลาดทั้งแนวลึกคือเจาะลึกถึงผู้บริโภคโดยตรง ส่วนแนวนอนทำมาร์เก็ตติ้งเซอร์เวย์ รวมทั้ง emotional ปรากฏว่าผู้ที่อยู่ข้างหลังคือ "แม่บ้าน" แม่บ้านเป็นตัวแทนของทุกคนในครอบครัว
 


"จุดขายของเราต่างจากร้านเซเว่นฯ ลูกค้าเข้าร้านเซเว่นฯหยิบของที่ต้องการ แต่ลูกค้าที่เดินเข้าร้านซีพีเฟรชมาร์ทจะต้องคิดว่า จะซื้อสินค้าให้กับใคร เราศึกษาพบว่า อาหารที่ผู้บริโภคพอใจมากที่สุดไม่ใช่ข้าวผัดกะเพรา แต่เป็นสปาเกตตีคาโบนาร่า เป็นตัวตอบโจทย์ที่เรามองเห็นความต้องการของเด็ก แต่ผู้ซื้อก็คือแม่ สินค้าตัวถัดมาที่ลองวิจัยตลาดคือ ข้าวผัดปู ข้าวผัดแฮม ข้าวผัดไส้กรอก ข้าวผัดไข่ และข้าวผัดหมู คำตอบที่ได้คือข้าวผัดแฮม เป็นที่ชื่นชอบของลูก คนที่ชอบข้าวผัดปูคือพ่อแม่ ตอนแรกคิดว่าสินค้าที่น่าจะขายดีคือข้าวผัดปู รองไปคือข้าวผัดไข่ ข้าวผัดไก่ และข้าวผัดแฮมเป็นตัวสุดท้าย แต่คำตอบที่ได้กลับข้างหมดเลย"

"สินค้าเราตอบโจทย์อาหารที่กลุ่ม แม่บ้านทำไม่ได้และก็ต้องไปซื้ออาหารภัตตาคาร เป้าหมายของเราคือการสอดแทรกช่องว่างตลาดทั้ง 4 ช่องทางของ ซีพีเอฟ สำหรับตลาดสด แม่บ้านที่ไปซื้อของในตลาดสด ก็สามารถซื้อสินค้าที่ซีพีเฟรชมาร์ทได้ ไปห้างก็มีอาหารโฟรเซ่น หรือชิลมิลล์ สินค้าเราก็ไปแทรกได้ ในคอนวีเนี่ยนสโตร์อย่างเซเว่นฯซึ่งมีสินค้าอาหารสำหรับคนเดียว

แต่สินค้าเราเหมาะสำหรับครอบครัว ลูกค้าก็มาซื้อที่เราได้ เราสามารถแชร์ตลาดได้ทุกส่วน แม้กระทั่งแม่ค้าที่ขายข้าวแกงอยู่ริมถนน เราไปซื้อข้าวแกงแค่ 3-6 ชั่วโมง สินค้าก็บูด แต่สินค้าเราไปเติมเต็มจุดนั้น วันเสาร์-อาทิตย์ตื่นสาย แวะซื้อสินค้าอาหารซีพีเฟรชมาร์ทไปเติมได้ไหม มันเป็นการเติมช่องว่างแต่ละช่อง ไม่ได้เป็นการแย่งตลาด การศึกษาตลาดแนวลึกก็คือการสอบถามแม่บ้าน ก็ได้คำตอบว่าอยากได้ข้าวแกงที่เก็บกินได้ถึง 2 วัน ในปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายขั้นต่ำไว้ 5,000 ล้านบาท จาก 3,000 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว"


สำหรับการลงทุน ผมคิดว่าที่เหมาะสมควรเป็นระยะสั้น 3-5 เดือน คืนทุนได้ภายใน 6 เดือน กิจการเราคืนทุนง่ายเพราะเป็นกิจการค้าปลีกในรูปเงินสด ทุกวันนี้ลงทุนอะไรที่ระยะยาวมีอัตราความเสี่ยงสูง
 


"วันนี้การลงทุนต้องทำตัวเบา ๆ และอย่าเอาเงินที่มีไปฝังอยู่กับดิน เช่น ซื้อพร็อพเพอร์ตี้ อย่างซีพีเฟรชมาร์ทหากไปซื้อห้องแถว ซื้อเสร็จก็ต้องจ่ายค่าตึกไปซื้อตู้เย็น ระบบคอมพิวเตอร์ เงินสดก็หมด แต่ถ้าใช้วิธีเช่าตู้เย็น คอมพิวเตอร์ เช่าตึก ก็ตัดค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน รายปีได้ ที่เหลือก็ใช้วัสดุตกแต่ง หากทำเลไม่เหมาะสมก็ย้ายได้ง่ายด้วย"

ล่าสุดซีพีเฟรชมาร์ทได้ทดลองให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าและนั่งทานภายในร้าน 5 สาขา เช่น ซอยสาทร 11 เพิ่งทำได้เดือนที่ 3-4 ซึ่งเป็นนโยบายการตลาดที่คล้ายกับยุโรป ที่มื้อเช้าคนมานั่งทานอาหารที่กินง่าย ๆ ราคา 5-6 ยูโร

รวมทั้งขยายการลงทุนในประเทศต่าง ๆ ที่มีกิจการของซีพี ล่าสุดเพิ่งเปิดทดสอบเปิดตลาดที่เขมร ส่วนเวียดนามก็ทำไปแล้ว มาเลเซียเพิ่งทดลองอยู่ 6-7 สาขา ต่อไปจะขยายไปที่บังกลาเทศ อินเดีย ส่วนการขายแฟรนไชส์ยังติดขัดปัญหาเรื่องระบบโลจิสติกส์ ซึ่งอยากทำให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้เป็นก้าวต่อไปของซีพี เฟรชมาร์ท


อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ

Read More...


คีย์ซักเซสอิ่มสะดวก "เซเว่นฯ" ก้าวด้วยฟู้ด ก้าวด้วยแฟรนไชส์



ถ้าบทบาทของ "ซีพี" คือการ ก้าวสู่ครัวของโลก บทบาทของ "ซีพี ออลล์" ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ก็ไม่ต่างกันนัก เพียงแต่ ลดสเกลจาก "ครัวโลก" มาเป็น "ครัวไทย" โดยเจาะเข้าถึงไลฟ์สไตล์คนไทยที่มีความเร่งรีบมากขึ้น สลัดภาพร้านสะดวกซื้อที่คุ้นเคย สู่ภาพ "ร้านอิ่มสะดวก"


 

ปิยะวัฒน์ ฐิติสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ ซีพี ออลล์ หนึ่งในผู้ขับเคลื่อน ร้านอิ่มสะดวกเซเว่นฯ ให้บรรลุทั้งในแง่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่และการขยายสาขา ที่ซีพีทาวเวอร์ เย็นวันหนึ่ง
- แผนขยายสาขาใน 3 ปีหน้า เป็นอย่างไร

เซเว่นฯ เน้นไปตามชุมชนใหญ่ ๆ ทั่วประเทศ สิ้นปีนี้น่าจะอยู่ที่ 5,700 สาขา เปิดเพิ่มปีละ 500 สาขา ดังนั้น อีก 3 ปี ก็จะได้ 7,000 สาขา ตอนนี้มีลูกค้าวันละเฉลี่ย 1,100-1,200 คนต่อสาขา หรือ วันละ 6,000,000 คน ก็นั่งเทียนคาดการณ์ว่าอีก 3 ปีข้างหน้า จะมีลูกค้าวันละ 8,000,000 คน
แต่ถ้ามองเป็นภาพใหญ่ วันนี้มีร้านโชห่วยทั่วประเทศกว่า 600,000 ราย ถึงช่วงนั้นก็อาจเป็น 700,000 ราย เราก็เป็นแค่ 1% ของค้าปลีก

อย่างไรก็ตาม แนวทางการขยายสาขาจากนี้ไป เซเว่นฯ โฟกัสที่แฟรนไชส์ ซึ่งปีนี้มีสัดส่วนอยู่ 50% เพิ่มปีละ 3% อีก 3 ปี แฟรนไชส์ก็จะเป็น 60% ฐานจะใหญ่ขึ้น เรื่อย ๆ แต่ร้านบริษัทอยู่คงที่ เพราะบริษัทอยากสร้างเถ้าแก่รุ่นใหม่ ทั้งพนักงาน เด็กจบใหม่ เพราะวันที่เราก้าวไปถึง 7,000 สาขา การให้แฟรนไชส์ดูแลตัวเองจะสะดวกกว่าให้ลูกจ้างดูลูกจ้าง แล้วบริษัทก็สามารถดูแลตลาดใหญ่เต็มที่ ดูเรื่องการจัดการต่อสาขาให้ดีขึ้น

 

- ทำไมเซเว่นฯ ถึงเปิดสาขาติด ๆ กัน บางพื้นที่ห่างกันไม่เกิน 50 เมตร

ถ้าไม่ใช้กลยุทธ์คุมตลาด คู่แข่งก็จะมาตีเรา บางทำเลที่เป็นเกรดเอมาก ๆ ยอดขายอาจสูงถึงวันละ 70,000 บาท เราก็เปิดสาขาที่ 2 ซึ่งอาจจะได้ยอดขายสัก 50,000 บาท ขณะที่สาขาแรกเหลือ 60,000 บาท คู่แข่งก็ไม่กล้ามาแล้ว แต่ถ้าปล่อยให้มีแค่สาขาเดียว พอคู่แข่งมาตียอดขายอาจลดเหลือแค่ 40,000 บาท ก็ได้ สู้ขยายสาขาเอง อย่างดีก็กระทบยอดขายเดิมเพียง 5-10%

- ทั้ง ๆ ที่เซเว่นฯ มีสาขาครอบคลุม ทำไม เทสโก้ฯ บิ๊กซี ท็อปส์ คาร์ฟูร์ ถึงสนใจตลาดนี้
วันนี้โลกแข่งขันสมบูรณ์ ทุกธุรกิจมีการแข่งขัน เขามองว่าเป็นโอกาส เพราะเห็นเราเติบโตทุกปี ตอนนี้เซเว่นฯ มี 5,000 สาขา อีก 10 ปี อาจเป็น 10,000 สาขา ถึงตอนนั้นเขาก็อาจมีสัก 4,000 สาขา เป็นเบอร์ 2 หรือเบอร์ 3

อีกประการหนึ่งคือ สาขาขนาดใหญ่เจอเรื่องกฎหมายผังเมืองที่เปิดตามชุมชนใหญ่ ๆ ไม่ได้ เขาต้องไปเปิดชานเมือง ซึ่งมันไม่คุ้ม ถ้าจะเข้าตัวเมือง ก็ต้องลดไซซ์ลงเหมือนเซเว่นฯ ผมเข้าใจอย่างนั้นนะ พยายามคิดแทนเขา ใช่ไม่ใช่อีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ)
 



- ภาพร้านอิ่มสะดวกที่พยายามปั้นถึงวันนี้คืบหน้าไปถึงไหน
วันนี้ภาพการเป็นร้านอิ่มสะดวกเริ่มเห็นชัดขึ้น เซเว่นฯ พยายามบอกว่าเราไปสู่อาหารมาหลายปีแล้ว โดยเอาอาหาร เครื่องดื่ม สแน็ก รวมถึงสินค้าในเครือ เพราะเครือซีพีกำลังผลักดันไปสู่เรื่องครัวโลก เซเว่นฯ ก็เอาจุดแข็งตัวนี้มาใช้ เริ่มต้นจากโฟรเซนฟู้ดหรืออาหารแช่แข็ง อีซี่โก เมื่อ 4-5 ปีก่อน พอวันนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มีวางจำหน่าย ทั่วประเทศ ขายได้ถึง 4,000,000 แพ็กต่อเดือน เราก็ทำเรื่องชิลด์ฟู้ดหรืออาหารแช่เย็นต่อ ขายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน 700-800 สาขา ตอนนี้ยอดขายก็ไม่เลว ได้สาขาละ 60 แพ็กต่อวัน ตอนนี้ก็พยายามผลักดันให้ชิลด์ฟู้ดมีขายทั่วประเทศ โดยต้องสร้างโรงงานและเครือข่ายหรือซีดีซี (Chilled Distribution Center) เพื่อป้อนสินค้าไปยังสาขารอบ ๆ

ข้อดีของการมีซีดีซีจำนวนมาก ทำให้สามารถหาสินค้าขายดีของแต่ละท้องถิ่นมาจำหน่าย เพราะแต่ละภาคบริโภคสินค้าไม่เหมือนกัน ชิลด์ฟู้ดอาจจะมีเมนูทั่วไปขายทั่วประเทศ แต่ภาคใต้อาจมีแกงเผ็ด ๆ หน่อย หรือภาคเหนืออาจมีขันโตก

ตอนนี้จะขยายเมนูอาหารให้ทั่วประเทศ แล้วเป็นไปได้ก็จะเริ่มผลิตอาหารให้ครบ 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ทดลองที่กรุงเทพฯ ก่อน และยังเริ่มทำเบเกอรี่ กาแฟปั่น กาแฟร้อน น้ำผลไม้ปั่น ทดลองขายที่สาขาศรีบุญเรือง ต่อไปจะเป็นกลุ่มของทานเล่นระหว่างมื้อ ถ้ากลุ่มนี้สำเร็จ ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นอิ่มสะดวกอย่างแท้จริง

- สำหรับอาหารซึ่งมีอินไซด์เรื่องความอร่อย แก้โจทย์ตรงนี้อย่างไร
เจอคำถามนี้ ผมต้องแก้ผ้าหมดเลยนะ (หัวเราะ) โฟรเซนกับชิลด์ฟู้ด บริษัทให้ซีพีเอฟเป็นคนผลิตทั้งหมด เพราะเมนูเป็นความลับ ก่อนหน้านี้เคยไปจ้างข้างนอกไปพึ่งคนอื่นหายใจ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน บางทีก็ไปทำป้อนคู่แข่งอีก เลยไม่เอา

ส่วนเรื่องรสชาติ เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง เริ่มจากทำรีเสิร์ชก่อนว่าเมนูขวัญใจของลูกค้าคืออะไร แล้วก็ส่งคนเซอร์เวย์ทั่วประเทศ ว่าเมนูนั้นเจ้าไหนทำอร่อยที่สุดคัดเหลือ 3 ราย จากนั้นก็หากุ๊กมาถอดสูตร แล้วทดลองขายก่อนไม่กี่สาขา ถ้ายอดขายไม่ดี ก็ต้องปรับปรุงจนกว่าจะอร่อยใกล้เคียงกับเจ้าของสูตร
เรียกว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ ๆ อยากขาย คิดปั๊บแล้วก็ขายเลย อย่างนั้นไม่มีทางสำเร็จ

 

 

- ที่มุ่งมาทางอาหารเพราะกำไรดีกว่าหรือต้องการสร้างความแตกต่าง
ยอมรับว่าอาหารมาร์จิ้นเยอะ คู่แข่งก็ไม่มี ขณะที่โกรเซอรี่กว่าจะขายหมดใช้เวลานาน ลูกค้าเซเว่นฯ เป็นกลุ่มบีกับซี เขาซื้อสินค้าแค่ชั่วคราว ใช้หมดแล้วมาซื้อซ้ำเรื่อย ๆ ไม่ต้องตุน เราจึงขอให้ซัพพลายเออร์ผลิตสินค้าชิ้นเล็กลง อันนี้ก็เป็นอีก 1 เคล็ดลับ เมื่อสินค้าชิ้นเล็กลง ราคาต่อชิ้นถูกลง แต่มูลค่าแพงขึ้น ตอนนี้โกรเซอรี่ในเซเว่นฯ 50% เลยเป็นชิ้นเล็ก แล้วมันก็เป็นยูนิค (Unique) ซื้อได้เฉพาะที่เซเว่นฯ คู่แข่งขายแต่ขนาดกลางกับขนาดใหญ่

- วันนี้เซเว่นฯ ตอบโจทย์ลูกค้าครบถ้วนหรือยัง
วันนี้ต้องบอกว่าครบถ้วน ยอดขายสาขาเดิมเราโต 8% ต่อเนื่องมาหลายปี ทั้งที่เปิดตีกันไปมา แต่สัจธรรมโลกนี้ก็มีอยู่ ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้น มีแปรปรวน มีเสื่อม ตามหลักศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับความต้องการของลูกค้าที่มีวันเปลี่ยนแปลง คู่แข่งก็มีของใหม่ ๆ มาเสมอ
วันนี้เซเว่นฯมีครบแล้ว แต่เราไม่อยู่กับที่ ต้องหาสินค้าที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลอดเวลา หาสินค้าที่ตลาดไม่มี
 


อย่างล่าสุดข้อมูลจากรีเสิร์ชบอกว่าผู้ชายรักสวยรักงามมากขึ้น ต้องดูแลผิว มีน้ำหอม ครีม ก็ต้องตามให้ทัน หรืออย่างกรณี รถไฟฟ้า ที่ทำให้คนมี 2 บ้าน ตอบโจทย์การศึกษาและการทำงาน ไลฟ์สไตล์คนก็เปลี่ยน เพราะอย่างคอนโดฯเขาไม่อนุญาตให้ปรุงอาหาร คนก็ต้องเปลี่ยนมากินข้าวกล่อง นี่คือการเปลี่ยนแปลง

แต่ข้อมูลต้องมาจากการรีเสิร์ช เซเว่นฯถึงจะกระโจนไปในสิ่งที่เราไม่คิดจะทำ ถ้ารีเสิร์ชบอกอะไร เราก็ต้องไป


อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ

Read More...


เปิดตำนานแฟรนไชส์เซเว่นฯ สาขาแรกในไทย


       หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หลายคนคงจะจำกันได้ถึงร้านสะดวกซื้อรูปแบบดูทันสมัย เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเป็นร้านอะไรไปไม่ได้นอกจากร้านสะดวกซื้อ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ที่จนถึงวันนี้แบรนด์ได้ติดตลาด ทุกเพศทุกวัยได้มีโอกาสเข้าใช้บริการ หรือฝากท้องยามหิว ภายใต้คอนเซ็ปต์ล่าสุด “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” รวมถึงยังเป็นต้นแบบธุรกิจแฟรนไชส์ อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
      
       มาวันนี้แฟรนไชส์ร้านเซเว่นฯ สาขาแรก ก็ยังดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคง ไม่แพ้สาขาที่ทางบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ลงทุนเอง รวมกว่า 18 ปีแล้ว ที่เจ้าของร้านโชวห่วยเล็กๆ แต่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ที่ต้องการจะปรับปรุงร้านให้ดูทันสมัย แข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ ตัดสินใจขอร่วมธุรกิจแฟรนไชส์ ด้วยเงินลงทุนในยุคนั้นประมาณ 3 ล้านบาท
  


        บุญมี บุญยิ่งสถิตย์ หรือ เฮียมิ้ง เจ้าของแฟรนไชส์เซเว่น อีเลฟเว่น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2534 เล่าว่า อดีตตนเองเป็นเจ้าของกิจการร้านโชวห่วยในซอยเพชรบุรี 5 ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนมีผู้คนพลุกพล่าน ซึ่งกิจการก็ค่อนข้างไปได้ดี แต่ด้วยธรรมชาติของร้านโชวห่วยที่เจ้าของต้องขายของเองคนเดียว ต้องอยู่เฝ้าร้านตลอดเวลา เพราะหากปิดร้านก็ขาดรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนสินค้าที่จัดวางก็ไม่ได้จัดเป็นหมวดหมู่ ดั้งนั้นการที่ลูกค้าต้องการสินค้าอะไร ก็ต้องผ่านมามือเจ้าของร้านเองทั้งหมด ซึ่งเฮียมิ้งบอกว่า พฤติกรรมดังกล่าวสุดท้ายแล้วก็ดูคล้ายกับ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ซึ่งยอมรับว่าเหนื่อยเหมือนกัน

       จนกระทั่งมีร้านมินิมาร์ท มาเปิดใกล้กับร้านโชวห่วย ซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจในแบบของพี่น้องที่ร่วมกันทำ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านโชวห่วยมาก่อน ก็ได้รับความสนใจจากคนในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก ด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นร้านกระจก สะอาดสะอ้าน และจัดวางสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบ
 

 

       “ในช่วงที่ร้านเรามีคู่แข่ง ก็มีบริษัทฯ ซีพี เข้ามาติดต่อขอเซ้งร้าน แต่ยังไม่ได้แสดงตัว เพียงถามแค่ว่าทำร้านแบบนี้เหนื่อยไหม ซึ่งก็ตรงกับความคิดของเราที่ต้องการจะปรับปรุงพอดี เช่น ติดกระจก ติดแอร์ และมีเครื่องคิดเงินที่สะดวกรวดเร็ว แต่คงต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เนื่องจากขาดประสบการณ์ และเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป สุดท้ายจึงตัดสินใจให้ทางบริษัทซีพี เซ้งร้านไป ในวงเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งครอบครัวผมต้องย้ายออกไปภายใน 3 เดือน ซึ่งเมื่อเวลานั้นใกล้มาถึงจริงๆ สมาชิกในครอบครัวรู้สึกใจหาย ซึ่งภรรยาบอกว่าจริงๆ แล้วไม่อยากไปจากที่นี่ ผมจึงขอยกเลิกสัญญาโดยเสียค่าปรับไปประมาณ 50,000 บาท แต่วงจรชีวิตก็กลับมาในรูปแบบเดิมๆ คือ ยุ่งๆ เหนื่อยๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจติดต่อเข้าไปที่บริษัทฯ อีกครั้ง เพื่อขอซื้อแฟรนไชส์ ทั้งๆ ที่ในช่วงนั้นทางซีพี ยังไม่ได้เปิดขายแฟรนไชส์ แต่ด้วยโมเดลธุรกิจร้านเซเว่นกว่า 27 สาขา ก็ถือว่าระบบส่วนใหญ่พร้อมแล้วสำหรับการรองรับธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ จนก่อเกิดเป็นร้านเซเว่น อีเลฟเว่น รหัส 0028 เพชรบุรี 5 ขึ้น”



        เมื่อแฟรนไชส์สาขาแรกเกิดขึ้น โดยมีเฮียมิ้งเป็นเจ้าของ ด้วยเงินลงทุน 3 ล้านบาท กลับกลายว่าความเหนื่อยจะลดน้อยลง ด้วยระบบที่ทันสมัย และพนักงานที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี รวมถึงมีเจ้าหน้าที่จากทางบริษัทฯ เข้าไปดูแลและให้คำปรึกษาอยู่ตลอดเวลา แต่เฮียมิ้งกลับ ยอมรับว่าในช่วง 3 เดือนแรก เหนื่อยมาก เหนื่อยกว่าตอนทำร้านโชวห่วยอีก ถึงขนาดเคยคิดว่าเลือกทางผิดหรือเปล่า จากการที่ร้านต้องเปิดขายตลอด 24 ชั่วโมง จ้างพนักงาน ต้องเอาเงินไปจมกับสต็อกสินค้ากว่า 6 แสนบาท ในขณะที่มูลค่าสินค้าที่จัดวางภายในร้านประมาณ 4 แสนบาท

 
 
       ปัจจุบันเฮียมิ้งได้ขยายสาขาแฟรนไชส์รวม 3 สาขาแล้ว โดยอาศัยกำไรที่ได้รับจากการบริหารสาขาแรกมาต่อยอด และล่าสุดได้ให้ลูกชาย และลูกสะใภ้ สานต่อกิจการนี้ คือนายสาธิต หรือ ฮุย ทายาทธุรกิจที่มารับช่วงต่อ แม้ว่าตนเองจะเรียนจบมาทางด้านคอมพิวเตอร์ แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการบริหารร้าน เนื่องจากคลุกคลีมากับร้านเซเว่น มาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งจากร้านของตัวเอง และร้านที่ทางบริษัทซีพีลงทุนเอง
      
       “ผมอาศัยความคุ้นเคยตั้งแต่เด็ก ที่ตอนทางบ้านยังไม่ได้เปิดร้านเซเว่น ก็มักจะไปอุดหนุนสเลอปี้ (Slurpy) อยู่บ่อยๆ และเมื่อรู้ว่าที่บ้านจะเปิดเป็นร้านเซเว่นเอง ก็รู้สึกดีใจ และพร้อมที่จะช่วยคุณพ่อดูแลร้านนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมคือระบบ ที่ช่วงหลังมีการนำบาร์โค้ดเข้ามาใช้ รวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ทางบริษัทฯ ก็จัดให้มีการอบรมให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น”


      
       อย่างไรก็ตามแผนการขยายสาขาต่อๆ ไป คงจะเป็นหน้าที่ของทายาทธุรกิจที่ต้องสานต่อ ซึ่งขณะนี้ได้มีการเตรียมความในเรื่องของบุคคลากรและมาตรฐานการบริการที่ดี โดยคาดว่าภายในปีหน้าจะเห็นร้านเซเว่น ของครอบครัว “บุญยิ่งสถิตย์” เพิ่มอีก 1-2 สาขา



อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


แฟรนไชส์โรตีกรอบอาบัง เน้นภาพลักษณ์สร้างจุดขาย



       โรตี อาหารพื้นเมืองของชาวมุสลิม ที่ปัจจุบันได้รับความนิยมไปในทุกพื้นที่ แต่เนื่องด้วย ร้านขายโรตีทั่วไป ก็จะเป็นรถเข็น ที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่สะอาดไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้น ด้วยช่องว่างทางการตลาด ตรงจุดนี้เอง ทำให้ “นายสุรินทร์ ทองคำ” ตัดสินใจมาเปิดร้าน A Bung Crispy Roti
     
       นายสุรินทร์ เล่าว่า ได้เปิดร้านโรตี อาบังมาได้ประมาณ 6 เดือน ปัจจุบันมีอยู่ 10 สาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในรูปแบบของแฟรนไชส์ ก่อนจะตัดสินใจมาเปิดแฟรนไชส์ร้านโรตี ตนเองทำงานด้านธุรกิจออนไลน์ ให้กับเจ้าของธุรกิจดังมาแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ที่ตัดสินใจมาทำตรงนี้ เพราะมองเห็นช่องทางการทำตลาดด้านอาหารในเมืองไทย ว่ายังมีศักยภาพที่จะขยายตลาดได้อีกมาก และธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มักจะไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเหมือนกับธุรกิจอื่นๆ
 


       โดยได้มีศึกษาข้อมูลธุรกิจอาหารอยู่หลายประเภท ซึ่งพบว่า ธุรกิจอาหารที่ไปได้ดีมี อยู่ 4 ประเภท ซาลาเปา ปาท่องโก๋ ขนมปัง และโรตี และที่เลือกโรตี เพราะโรตีเป็นอาหารที่ทุกชาติในโลกรู้จักและมีการรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งถือเป็นอาหารหลักรองจากข้าวได้เลยที่เดียว และปัจจุบันโรตีที่ขายกันทั่วไปที่เป็นรถเข็น ลูกค้าบางคนก็ไม่กล้ารับประทานกลัวว่าจะไม่สะอาด เราจึงเห็นช่องว่างตรงจุดนี้ หันมาสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับโรตี โดยเน้นเรื่องของความสะอาด และความใส่ใจในการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ
      
       “ส่วนสูตรของโรตีอาบัง มาจากหลายแหล่ง และโดยส่วนตัวเป็นคนมุสลิม พอจะทำโรตีเป็นบ้าง และนำทุกสูตรที่เราได้ ทั้งจากอาบังขายทั่วไป และอาจารย์ในสถาบันการศึกษา นำความรู้จากทุกส่วนมาปรับจนได้ออกมาเป็นสูตรโรตีของเรา อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ เรายังคงรักษาสูตรโรตีดั้งเดิมที่เป็นมาจากอดีต โดยไม่ได้มีการปรับเสริมเติมแต่งอะไรเข้าไปมาก เพราะเชื่อว่าสูตรรสชาติโรตีดั้งเดิมที่ทำกินกันมาหลายร้อยปี ก็คงจะเป็นสูตรที่ดีที่สุดอยู่แล้ว”
 

  


       สำหรับสูตรโรตีอาบัง มีอยู่ด้วยกัน 4 สูตร รสดั้งเดิมนมเนย , กล้วย, กล้วยไข่, และไข่ โดยจะมีทั้งโรตีแป้งกรอบ โรตีแป้งธรรมดา นอกจากนี้ ยังมีโรตีกรอบทำเป็นของทานเล่น และ โรตีแช่แข็ง ลูกค้าซื้อไปอุ่นในไมโครเวฟ หรือ นำไปทอดอีกครั้งสามารถรับประทานได้เลย
     
       ส่วนราคาขายโรตี เริ่มต้นที่ 20 บาท 25 บาท และ 30 บาท ทุกสาขาจะตั้งราคาขายเหมือนกัน ส่วนทำเลการเปิดร้าน ที่ผ่านมา ยึดทำเลที่มีคนพลุกพล่าน เช่น สถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย โรงเรียน หรือ ตลาดสด แต่จะต้องเป็นตลาดสดที่มีระดับหน่อย เพราะด้วยราคาก็คงจะไม่สามารถวางขายตามตลาดสดทั่วไป
 



       ด้านราคาแฟรนไชส์ แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ แบบเคาน์เตอร์ ราคา 30,000 บาท และแบบรถเข็นราคา 35,000 บาท ส่วนผู้ที่ไม่มีเงินก้อน และต้องการลงทุน ทางแฟรนไชส์ของเราได้ร่วมกับธนาคารออมสิน จัดผ่อนชำระเป็นงวดๆละ 3,000 บาท ซึ่งสิ่งที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับหลังจากจ่ายเงิน คือ อุปกรณ์ครบชุด ที่ไม่รวมวัตถุดิบ โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องสั่งซื้อวัตถดิบจากเราเท่านั้น เพื่อจะได้ขายสินค้าในมาตรฐานเดียวกัน และสามารถซื้อวัตถุดิบในราคาที่ไม่แพง เพราะการที่เราซื้อมาก ต้นทุนถูกกว่า ส่วนลูกค้าต่างจังหวัด ได้มีการจัดตั้งตัวแทนหรือศูนย์กลางในการจัดหาและจัดส่งวัตถุดิบให้ โดยตัวแทนที่เป็นศูนย์กลางนั้นจะต้องมีสาขาภายใต้การดูแล 5 สาขาขึ้นไป ก็สามารถเปิดเป็นศูนย์ได้


 


       สำหรับยอดขายแต่ละสาขาที่เปิดให้บริการในขณะนี้ แต่ละสาขามีรายได้เฉลี่ยวันละ 2,500 บาท ถึง 3,000 บาท กำไรประมาณ 50-60% โอกาสคืนทุนประมาณ 3-4 เดือน ส่วนลูกค้ากลุ่มผู้บริโภคอยู่ในช่วงอายุ 18 ปีถึง 40 ปี ส่วนคู่แข่งที่เป็นลักษณะเดียวกับเรา หรือใกล้เคียงประมาณ 5 ราย แต่ละคนมีจุดขายและมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป

       นายสุรินทร์ เล่าว่า ที่ผ่านมาได้ทำประชาสัมพันธ์แนะนำตัวเองผ่านทางเว็บไซต์ ลูกค้าส่วนใหญ่จึงรู้จักเราผ่านทางเว็บไซต์ ข้อดีของการตลาดแบบออนไลน์ ในยุคนี้เพราะต้นทุนต่ำ และเป็นการทำประชาสัมพันธ์ตรงกลุ่มเป้าหมาย และมีโอกาสขยายตลาดต่างประเทศได้ เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าที่เข้าไปดูสินค้าในอินเตอร์เน็ต ส่วนหนึ่งเพราะต้องการหาข้อมูลและซื้อสินค้า และปัจจุบันการซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์เพิ่มจำนวนขึ้นทุกปี





       ทั้งนี้ ได้ตั้งเป้ายอดขายแฟรนไชส์ไว้ที่ 500 สาขา ภายในระยะเวลา 3 ปี ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเรามีโครงการขยายตลาดไปต่างประเทศ เพราะในต่างประเทศมีการกินโรตีกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแนะนำ เริ่มจากการส่งโรตีแช่แข็งไปจำหน่ายก่อน ส่วนแฟรนไชส์อาจจะค่อยเป็นค่อยไป สำหรับสัดส่วนยอดขาย ของโรตีแช่แข็ง ประมาณ 30-40% ส่งขายร้านอาหาร และเตรียมส่งขายในซุปเปอร์มาร์เก็ต ส่วนโรตีกรอบทานเล่น ประมาณ 5-10% ที่เหลือเป็นโรตีสด
     
สนใจ ติดต่อ โทร. 08-1497-6490 



อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


เฉาก๊วยเฮฮา แฟรนไชส์เด็ก MBA ขอเดินตามฝันปั้นธุรกิจด้วยตัวเอง



       หนุ่มนักเรียนนอก หันมาสนใจธุรกิจรถเข็นริมถนน แต่ใครจะคิดว่าแม้จะเพียงธุรกิจเล็กๆ ก็สามารถขยายสาขาได้รวดเร็ว เพราะในเวลาเพียง 9 เดือน มีแฟรนไชส์แล้ว 21 สาขา ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูดี ทันสมัยฉีกแนวรูปแบบรถเข็นแบบเดิมๆ ทำให้มีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์เป็นจำนวนมาก แม้ในช่วงเริ่มต้นไม่คิดที่จะทำเป็นธุรกิจจริงจัง เพียงต้องการนำขนมหวานมาขายในร้านอาหารของคุณแม่เท่านั้น
 


       วงศ์สถิตย์ อนันตกฤตยากร เจ้าของบริษัท เฮฮา กรุ๊ป จำกัด แฟรนไชส์เฉาก๊วยเฮฮา ไอเดียหนุ่มนักเรียนนอกที่จบมาทางด้านบริหารธุรกิจ ที่ไม่ต้องการเป็นลูกจ้างใคร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เพราะรักอิสระ แต่เมื่อผู้เป็นพ่อต้องการให้ลองเป็นมนุษย์เงินเดือน เพื่อหาประสบการณ์ในองค์กรขนาดใหญ่ เรียนรู้สังคมที่มีเจ้านายและลูกน้อง เพื่อการบริหารธุรกิจของตัวเองในอนาคต จึงชิมลางกับหนุ่มแบงก์ที่ทำเพียง 6 เดือนก็ตัดสินใจลาออก หลังรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง และต้องการนำความรู้ด้านบริหารธุรกิจที่ร่ำเรียนมาใช้กับธุรกิจของตนเอง


       เมื่อตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ก็หันมามองสิ่งที่ใกล้ตัว คือร้านอาหารของคุณแม่ที่ยังไม่มีของหวานไว้บริการลูกค้า ตนจึงหาขนมที่ทำได้ไม่ยุ่งยาก เสิร์ฟให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายมาลงตัวที่เฉาก๊วย ด้วยคุณสมบัติสามารถเก็บไว้ได้นาน โดยนำร่องด้วยการซื้อเฉาก๊วยแบบถุงในน้ำเชื่อม แล้วนำมาใส่ถ้วยให้กับลูกค้า ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างดี จึงคิดหาแหล่งผลิต ตามสูตรที่ต้องการ พร้อมกับการสร้างแบรนด์ให้กับสินค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองถนัด
 

 


       “หลังจากที่ผมตัดสินใจทำธุรกิจเฉาก๊วย อย่างแรกที่คิดคือการสร้างแบรนด์ โดยเฉพาะชื่อที่ต้องจดจำง่าย ซึ่งคำว่าเฮฮา ถือเป็นชื่อที่เหมาะสม เพราะจดจำง่าย เรียกง่าย รวมถึงยังสื่อถึงความเป็นกันเองของผู้ผลิตและผู้บริโภค นอกจากนี้ผมยังเน้นการสร้างความแตกต่างจากผู้ประกอบรายอื่น เพราะผมคิดว่าาเฉาก๊วยเป็นขนมธรรมดา มีขายอยู่ทั่วไป หารับประทานได้ง่าย แต่รูปลักษณ์ไม่แตกต่าง ดังนั้นผมจึงเริ่มสร้างความแตกต่างด้วยรถเข็นที่ดูแปลกตา สะอาดถูกหลักอนามัย ในขณะที่แพคเกจที่นำมาใส่เฉาก๊วยก็มาจากกระดาษพร้อมชื่อโลโก้ แทนการใช้ถ้วยโฟม ส่วนในเรื่องของรสชาติ และเครื่องที่นำมาใส่รับประทานกับเฉาก๊วย ก็สร้างความแปลกใหม่ด้วยแปะก๊วย วุ้นมะพร้าว และพุทราจีน ซึ่งมีคุณค่าทางอาหาร พร้อมน้ำเชื่อมเข้มข้น ในขณะที่เฉาก๊วยผลิตเอง ได้การรับรองมาตรฐานจาก อย. และ GMP ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นที่ถูกใจของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก”


       ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของรถเข็น และป้ายชื่อ ที่สามารถสื่อถึงความทันสมัย ทำให้ไม่แปลกใจเลย เมื่อผู้พบเห็นจะสะดุดตา และอดลิ้มลองไม่ได้ ในราคาขายถ้วยละ 20 บาท โดยวางขายครั้งแรกเดือนเมษายน ย่านสยาม สีลม และชิดลม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า ที่ไม่เพียงแต่อุดหนุนเท่านั้น แต่สนใจที่จะขอซื้อแฟรนไชส์ด้วย ซึ่งในช่วงแรกวงสถิตย์ ไม่คิดขายแฟรนไชส์ เนื่องจากกังวลในเรื่องการควบคุมคุณภาพมาตรฐาน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ โดยเน้นการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยแฟรนไชส์สาขาแรกอยู่ที่ห้างยูเนี่ยน มอลล์ (ใกล้กับเซ็นทรัลลาดพร้าว) โดยเปิดขายมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 ที่ผ่านมา



       สำหรับการลงทุนในรูปแบบของแฟรนไชส์มี 2 รูปแบบ คือ 1.รถเข็น ลงทุน 22,000 บาท และ2.คีออส ลงทุน 12,000 บาท เงื่อนไขสัญญา 3 ปี ต่อสัญญาปีละ 10,000 บาท โดยกำหนดให้แฟรนไชซีต้องซื้อวัตถุดิบจากร้านเจ้าของแฟรนไชส์ คือ เฉาก๊วย น้ำเชื่อม ถ้วยกระดาษ และน้ำตาลทรายแดง ซึ่งขณะนี้ทางเฉาก๊วยเฮฮามีสาขาทั้งหมดรวม 21 สาขา


       “ตอนนี้ผมเริ่มกลัวในเรื่องของแฟรนไชส์ ที่โตเร็วเกินไป กังวลในเรื่องของการควบคุมคุณภาพ ซึ่งในปีนี้ผมคิดจะขยายอีกเพียง 3-4 สาขาเท่านั้น แต่หากเห็นทำเลที่ดีมีศักยภาพก็จะขยายสาขาเอง เพื่อง่ายต่อการควบคุมคุณภาพ”
     

       สำหรับอุปสรรคของธุรกิจเฉาก๊วยเฮฮา เรียกได้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขาย แต่จะเป็นในเรื่องของฤดูกาลมากกว่า เพราะส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมถนน มีผู้คนสัญจรไปมาจำนวนมาก ซึ่งในช่วงหน้าร้อนจะขายดีมาก แต่ในช่วงหน้าฝน ยอดขายจะลดลงไปประมาณ 20% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ เพราะเป็นสินค้าที่คนไทยรู้จักดี รับประทานง่าย และมีสรรพคุณเป็นยาสร้างสมดุลให้กับร่างกายได้

สนใจติดต่อ 08-7501-7766 หรือที่ www.heyhaa.com


อ้างอิงจาก ผู็จัดการออนไลน์

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.