สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

“พอดี โฮมเมด”ความอร่อยลงตัว เสน่ห์ของว่างโดนใจวัยดิจิตอล

การที่คุ้นเคยกับการทำงานประจำ เมื่อต้องมาอยู่บ้านเฉยๆ เพื่อเลี้ยงลูก ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและคิดอยากหารายได้ให้กับครอบครัว ซึ่งงานเบเกอรี่ถือว่าเป็นงานที่สามารถทำที่บ้านได้ และเป็นความชอบส่วนตัวที่มุ่งมั่นไปหาความรู้เพิ่มเติมด้านนี้โดยเฉพาะ สุดท้ายจึงกลายเป็นธุรกิจเบเกอรี่ที่เน้น “พอดีคำ” ต่อยอดสู่ Snack Box จับกลุ่มลูกค้าออฟฟิศ


ขวัญ มีนะกนิษฐ เจ้าของไอเดียเบเกอรี่แบบ “พอดีคำ” ภายใต้แบรนด์ “พอดี โฮมเมด (Pordee Homemade) ตามชื่อของลูกสาว เล่าว่า ธุรกิจนี้เกิดจากความชอบส่วนตัวตั้งแต่ในสมัยเด็ก ที่มักจะใช้เวลาว่างในการทำเบเกอรี่ กับญาติพี่น้องที่มักใช้เวลาในการทำเบเกอรี่ โดยอาศัยการเปิดตำรา แล้วนำมาดัดแปลงใส่ส่วนผสมที่ชอบเพิ่มลงไป และนำไปแจกให้เพื่อนๆ ได้ลองชิม จนกระทั่งไปมีโอกาสศึกษาต่อที่สหรัฐฯ จึงได้ไปลงเรียนด้านเบเกอรี่เป็นคอร์สสั้นๆ เมื่อกลับมาก็ได้เรียนต่อที่ยูเอฟเอ็ม ซึ่งก็เป็นการเรียนเพื่อสนองความชอบส่วนตัวมากกว่าที่คิดจะยึดทำเป็น



จนกระทั่งเมื่อต้องออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงลูก จากคนที่เคยทำงานประจำ ด้านการตลาด กลับต้องมานั่งเลี้ยงลูกอยู่บ้าน จึงคิดหารายได้ให้กับครอบครัว จึงเริ่มงัดความรู้ด้านเบเกอรี่ที่ ได้ไปเรียนมาลองทำเบเกอรี่ขาย ตามคำแนะนำของสามี โดยเน้นความเป็นเบเกอรี่โฮมเมด และพอดีคำ ตามคอนเซ็ปต์ของคุณแม่ที่เน้นการทำขนมทานที่บ้านแบบพอดีคำ รับประทานได้สะดวก



“หลังจากที่เราตัดสินใจที่นำความรู้ด้านเบเกอรี่มาต่อยอดเป็นธุรกิจ เพื่อทำขายอย่างจริงจังแล้ว ช่องทางแรก เพื่อทำให้ขนมให้เป็นที่รู้จัก คือ ช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงง่าย โดยใช้รูปภาพของขนมที่ทำออกมาน่ารับประทานเป็นจุดดึงดูดให้ลูกค้าสนใจ ซึ่งก็ได้ผล เพราะหลังจากที่ลงภาพสินค้าและรายละเอียดของธุรกิจ ก็มีผู้สนใจโทรเข้ามาสอบถาม และสั่งขนมเป็นเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่มลูกค้าแรกคือ พนักงานออฟฟิศ ที่ต้องเสาะหาขนม เพื่อทานกับ Coffee Break ระหว่างการประชุมเป็นประจำ ทำให้ขนมของเราเป็นที่รู้มากขึ้นจากผู้ที่ได้ลองชิม และบอกต่อ”


ในช่วงแรกแม้แพคเกจจะธรรมดา ไม่ได้ทำกล่องขึ้นโดยเฉพาะ เป็นเพียงการติดสติ๊กเกอร์ที่กล่องเท่านั้น แต่ลูกค้าก็ให้การตอบรับดี จนดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 7 เดือน จึงคิดออกแบบกล่องกระดาษตามแบรนด์ ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ในช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดขายดีขึ้น



“เราเป็นผู้ผลิตเบเกอรี่โฮมเมด ที่ค่อยๆ โต ไปพร้อมกับสถานะการเงิน ไม่อยากลงทุนมาก ทำให้ปัญหาตอนนี้ ถ้าลูกค้าในจำนวนขนมหลักพันชิ้นก็ไม่สามารถผลิตให้ได้ เนื่องจากคนงานไม่พอ และเตาอบยังทำไม่ทัน แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ พยายามเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้มากที่สุด เช่น การผลิตบางขั้นตอนไว้ล่วงหน้า โดยที่ผ่านมาเราจะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเบเกอรี่จากโรงแรม ให้นวดแป้งไว้ให้ แล้วแช่แข็งไว้ พร้อมนำออกมาผลิตเบเกอรี่ชนิดต่างๆ ได้ตามต้องการ ทำให้ประหยัดเวลาลงไปได้มาก”


ปัจจุบัน “พอดี โฮมเมด” มีขนมอยู่ประมาณ 15 รายการ เช่น แซนวิสม้วนไส้ไก่ แยมโรล บราวนี่ พัฟแฮม กระหรี่พัฟไส้กรอก วูโลวองผักโขม ครัวซองแฮม เอแคลร์ บลูเบอรี่ชีสพาย และมักกะนีอบชีส เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าออฟฟิศที่สั่งซื้อไปจัดเลี้ยง โดยล่าสุดได้ทำจัดทำเป็นกล่องของว่าง มีขนม 4 ชนิดอยู่ในกล่องเดียวกัน เพื่อความสะดวกในการรับประทานของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าตามงานศพ จะชื่นชอบมาก โดยขายในราคากล่องละ 40 บาท ซึ่งราคาจะถูกกว่าการสั่งเป็นชิ้นที่ราคาเริ่มต้นที่ 12 บาท โดยทางร้านมีบริการส่งฟรีให้ด้วย เมื่อซื้อครบ 1,500 บาท เฉพาะย่านสุขุมวิท สาทร พระราม 4 และเพชรบุรีตัดใหม่ หรือรับอาหารได้ที่บ้านซอยสุขุมวิท 39



สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต ขวัญ บอกว่า ยังไม่คิดที่จะมีหน้าร้าน เพราะไม่มีเวลาร้านได้ตลอดเวลา รวมถึงขณะนี้ทางบ้านกำลังจะเปิดโรงเรียนอนุบาลหนูน้อย ที่เน้นสอนแบบวิถีพุทธ ซึ่งตนเองจะต้องไปสอนเด็กๆ ด้วย ดังนั้นเรื่องการมีหน้าร้านจึงต้องรอดูในอนาคต ส่วนแผนในการผลิต ตั้งใจจะทำ Snack Box หรือกล่องของว่างที่มีทั้งขนม และน้ำพร้อมอยู่ในกล่อง หวังรองรับลูกค้าทัวร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นเตรียมการณ์ในเรื่องของแพคเกจ และผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ


***08-1911-3253, 08-6533-7773, 02-258-8326
หรือที่ http://pordeehomemade.hi5.com***
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


รถกาแฟ ก็สามารถเติมเต็มชีวิตที่เคยผิดหวังในฐานะมนุษย์เงินเดือนไปได้

ความขยันอดทน ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจในยุคนี้เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเล็กหรือใหญ่ ปรัญชาในการดำเนินชีวิตนี้ย่อมใช้ได้เสมอ จากตัวอย่างจาก 2 สามีภรรยา ที่เคยทำงานประจำ แต่ก็ได้นำประสบการณ์ด้านการทำอาหาร มาปรับใช้กับธุรกิจ ที่ถึงแม้จะไม่ตรงกับสายงานที่ทำมามากนัก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ได้มาคือ ความขยัน อดทน ที่เป็นคุณสมบัติที่จำเป็นต่อธุรกิจ “Coffee Car”



ในยุคนี้การขายสินค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ให้ลูกค้ามีความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าให้มากที่สุด เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญยิ่ง ในขณะที่การแข่งขันก็มีสูง ดังนั้นใครที่สามารถยึดทำเลทองได้ก่อน โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ เพียงจ่ายแค่ค่าที่จอดรถ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง โดยชัยวัฒน์ กับอชิรญาณ์ ดีเจริญ 2 สามีภรรยาเจ้าของธุรกิจ Coffee Car ซอยรางน้ำ เล่าว่า เดิม อชิรญาณ์ ทำงานด้านอาหาร แต่เมื่อแต่งงานก็ต้องมาช่วยงานร้านขายส้มตำของครอบครัวสามี แต่ลึกๆ แล้ว ทั้งคู่อยากเปิดร้านในฝันอย่างร้านกาแฟเป็นของตัวเอง จึงเริ่มสำรวจทำเล พร้อมหาพื้นที่เช่าหน้าร้านขายกาแฟ แต่สุดท้ายต้องยอมจำนนกับค่าเช่าที่แสนแพง


“เมื่อเราทั้งคู่เจอค่าเช่าที่ค่อนข้างสูง จึงคิดดัดแปลงรถซูบารุ ที่เดิมใช้เป็นรถขนวัตถุดิบของร้านส้มตำ มาต่อเติมเป็นรถขายกาแฟ หวังลดต้นทุนในเรื่องค่าเช่าที่ จ่ายเพียงค่าที่จอดรถเท่านั้น ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ในขณะที่ปัญหาต่อมาคือ การทำกาแฟสดจากเครื่องชงกาแฟ ที่ต้องใช้ไฟฟ้า แต่ด้วยข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่ข้อจำกัดของรถซูบารุ เพราะหากไปจอดในสถานที่ที่ไม่มีที่ให้เชื่อมต่อไฟฟ้า ก็จะไม่สามารถทำกาแฟสดได้ จึงได้ควานหาเครื่องชงกาแฟที่คุณภาพกาแฟที่ออกมาไม่แพ้การชงจากเครื่องชงกาแฟ โดยที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า จนมาเจอเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ใช้ความร้อนจากเตาอินฟราเรด ที่สามารถชงกาแฟสดออกมาได้รสชาติเหมือนกับชงจากเครื่องกาแฟสด”



หลังจากที่ตัดสินใจเปิดร้าน Coffee Car ทำให้คุณน้องไปเรียนการทำเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เพิ่มเติม และลองมาเปิดร้านในย่านซอยรางน้ำ ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ด้วยรถซุบารุที่ถูกออกแบบมาเพื่อขายเครื่องดื่มโดยเฉพาะ แม้ในช่วงแรกทั้งคู่จะพบปัญหาในเรื่องที่จอดรถ ต้องโดนย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท้อแท้ พยายามขยับพื้นที่มาเรื่อยๆ จนได้พื้นที่ลงตัวคือ ตรงข้ามโรงแรม พูลแมน บางกอก คิงเพาเวอร์ ซึ่งมีลูกค้าหลักคือพนักงานออฟฟิศ และผู้ที่ผ่านมาในย่านนี้ โดยส่วนใหญ่มักจะสะดุดในรูปลักษณ์ของรถซูบารุ และเครื่องชงกาแฟสดขนาดกระทัดรัด ที่ลูกค้าเมื่อเห็นเค่เครื่องชง เกือบทุกรายต้องขอชิมรสชาติกาแฟสดจากเครื่องนี้


ส่วนการลงทุนธุรกิจนี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่ไม่สูงเกินไป เหมาะกับยุคนี้ที่จะทำให้คนตกงานสามารถเริ่มต้นธุรกิจ คือ ราคารถซูบารุที่ซื้อมาตั้งแต่แรกราคา 5 แสน (คุณน้องแนะนำว่าหากผู้ที่มีรถยนต์หรือรถจักยานยนต์อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาดัดแปลงเป็นรถขายกาแฟได้ ขึ้นอยู่กับงบประมาณ) ในขณะที่ค่าตกแต่งของรถซูบารุคันนี้อยู่ที่ 30,000-40,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงเกินไปนัก โดยเฉพาะกับธุรกิจการขายเครื่องดื่มกาแฟสด และเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เพราะหากขายดีก็จะคืนทุนเร็ว ซึ่งร้าน Coffee Car เคยทำสถิติการขายเครื่องดื่มหลากหลายชนิดทั้งกาแฟสด ชามะนาว โกโก้ ชาเย็น บลูโซดา ฯลฯ ได้ถึง 3,700 บาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) ซึ่งถือเป็นวันที่มีรายได้มากที่สุดตั้งแต่เปิดขายมา



“เราพยายามคิดเมนูเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ ขึ้นมาอย่างเนื่อง โดยอาศัยการคิดแทนลูกค้าที่บางครั้งอาจเบื่อหน่ายกับเครื่องดื่มที่มีนมผสม ดังนั้นเราจึงทำน้ำผลไม้ขึ้นมาด้วย เช่น น้ำลำไย น้ำมะพร้าว เก็กฮวย น้ำมะนาวใบเตย ขายในราคาแก้วละ 15 บาท ในขณะเครื่องดื่มอย่างกาแฟ ชานมเริ่มต้นที่ 15-30 บาทเท่านั้น”


นอกจากทั้งคู่จะเน้นไปที่ธุรกิจ Coffee Car แล้ว ความขยันในการดำเนินธุรกิจยังไม่จบ เพราะทั้งคู่ยังทำคอฟฟี่ เบรก (Coffee break) ด้วย โดยตกกล่องละ 30 บาท ประกอบด้วยน้ำผลไม้ และแซนด์วิช ในขณะที่ในแต่ละวันก่อนไปขายกาแฟ ทั้งคู่จะตื่นแต่เช้ามืดเพื่อทำแซนด์วิช และน้ำผลไม้บรรจุขวด ส่งตามร้านกาแฟโบราณ โดยจัดส่งแซนด์วิชประมาณ 600 กล่อง/วัน


มาวันนี้ความที่ทั้งคู่ขยันอดทน กับธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศร้อนของเมืองไทย ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความขยันและอดทนสามารถใช้ได้กับทุกธุรกิจจริงๆ และถือเป็นสิ่งดีๆ ที่คนตกงานสามารถนำไปปรับใช้กับการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับธุรกิจเล็กๆ อย่างรถกาแฟ ก็สามารถเติมเต็มชีวิตที่เคยผิดหวังในฐานะมนุษย์เงินเดือนไปได้


***สนใจติดต่อ 08-6097-9696, 08-1845-7086***
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


“กาแฟออแกนิคมูเซอ” ตำรับธุรกิจชาวเขาพันธุ์แท้

 
 
เป็นที่ทราบกันว่าเมื่อครั้งอดีตบริเวณที่ราบสูงของไทย ในภาคเหนือ ชาวเขาจะนิยมปลูกฝิ่นเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เข้าไปเปลี่ยนความคิด และพลิกฟื้นไร่ฝิ่น ด้วยพืชผักเมืองหนาว ที่ปัจจุบันกลายเป็นผลผลิตที่สร้างชื่อและรายได้ให้กับชาวเขา และสร้างความภาคภูมิใจแก่คนไทย

มาจนถึงวันนี้ชาวบ้านยังคงเดินตามแนวทางดังกล่าว มีชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเร่ร่อน ลักลอบปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชผักเมืองหนาวแทน โดยเฉพาะกาแฟ ที่เมืองไทยก็มีภูมิอากาศที่เหมาะสมไม่แพ้ต่างชาติ โดยในปัจจุบันถือเป็นรายได้หลักอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ในหมู่บ้านห้วยปลาหลด อ.แม่สอด จ.ตาก สามารถนำเงินที่ได้จากการปลูกกาแฟ ส่งให้ลูกหลานชาวเขาได้มีโอกาสเรียนหนังสือ และนำเอาความรู้ ความสามารถกลับมาพัฒนาบ้านเกิด ยกระดับราคากาแฟให้เหมาะสม พร้อมสร้างจุดขายด้วยกาแฟออแกนิค เพิ่มทางเลือกลูกค้า

เมล็ดกาแฟที่คั่ว แล้วขายในราคากิโลกรัมละ 450 บาท

กาแฟมูเซอ ถือเป็นหนึ่งของในผลผลิตตามโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชาวบ้านร่วมมือร่วมใจกันปลูกกาแฟออแกนิค ซึ่ง “นายจักรพงษ์ มงคลคีรี” เจ้าของร้านกาแฟมูเซอ และเป็นชาวเขาแต่กำเนิด ได้ต่อยอดองค์ความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาสู่การกลับมาพัฒนาบ้านเกิด เล่าว่า เมื่อครั้งเป็นเด็กตนเองอยู่ท่ามกลางไร่กาแฟ ที่ในหลวงสนับสนุนให้ปลูกกาแฟ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการให้ชาวเขารักษาป่าโดยทางอ้อมเพราะการที่ จะปลูกกาแฟได้นั้น ชาวเขาต้องรักษาป่าก่อน เพื่อให้ได้กาแฟแบบออแกนิค ปราศจากสารพิษ ซึ่งการรักษาป่าไว้นั้น ทำให้ได้น้ำจากธรรมชาติกลับคืนมา ส่งผลให้ชาวบ้านหันมาเอาใจใส่ในผืนป่ามากขึ้น





จนกระทั่งประมาณปีพ.ศ.2532 เมื่อครั้งที่นายจักรพงษ์อยู่ในวัยเรียน ก็เริ่มรู้สึกว่าราคากาแฟของคนในหมู่บ้านลดลงเรื่อยๆ โดยถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลาง ทั้งๆ ที่ผลผลิตยังคงคุณภาพเดิม รวมถึงยังปลอดสารพิษ ซึ่งราคาไม่น่าจะถูกขนาดนี้ จึงคิดหาแนวทางช่วยเหลือชาวบ้านไม่ให้ถูกเอาเปรียบ ด้วยการรวมตัวกันเป็นสหกรณ์เพื่อตั้งราคากลางที่จากเดิมราคาของเมล็ดกาแฟดิบ อยู่ที่ 3-5 บาท/กก. ในขณะที่ราคากลางในปัจจุบันอยู่ที่ 11-15 บาท/กก. ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นที่พอใจของชาวบ้าน

เมล็ดกาแฟดิบขายใน ราคากิโลกรัมละ 120 บาท
“ตอนที่ผมเรียนจบกลับมาก็เห็นว่า ชาวบ้านถูกเอาเปรียบในเรื่องของราคาจากพ่อค้าคนกลาง ที่ถูกกดราคาจนต่ำ ทั้งๆ ที่ผลผลิตเมล็ดที่ดอยมูเซอของเรามีคุณภาพดี และเป็นกาแฟที่สุกช้ากว่าที่อื่น ทำให้เมล็ดกาแฟสะสมอาหารไว้ได้มาก รสชาติจึงอร่อยกว่าที่อื่น รวมทั้งยังเป็นกาแฟออแกนิค ที่ปลอดภัยทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภคด้วย ซึ่งเป็นที่ต้องการของบรรดาพ่อค้า ดังนั้นหากจะถูกกดราคาผมเห็นว่าไม่เหมาะสม”

เมื่อจักรพงษ์ สามารถเพิ่มราคาให้กับเมล็ดกาแฟได้แล้ว ก็เริ่มทำตลาดกาแฟมูเซอให้เป็นที่รู้จักด้วยการ เปิดร้านกาแฟสดเล็กๆ บริเวณทางขึ้นน้ำตกทีลอซู ภายใต้ชื่อร้าน “กาแฟสดออแกนิคดอยมูเซอ” ที่ในช่วงแรกหวังเพียงให้เป็นแหล่งชิมรสชาติกาแฟของดอยมูเซอ สำหรับพ่อค้าคนกลาง แต่เมื่อชาวเขาได้เห็นการเพิ่มมูลค่ากาแฟในลักษณะนี้ ก็เริ่มหันมาทำกาแฟสดกันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชาวเขาอีกทางหนึ่งเมล็ดกาแฟสดบรรจุถุง ราคา 150 บาท

“เมื่อผมตัดสินใจที่จะเปิดร้าน กาแฟสด ก็เริ่มเรียนด้านการชงกาแฟจากสถาบันที่รับสอนในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน แต่อาศัยการฝึกฝนบ่อย จนเกิดความชำนาญ จนรสชาติเป็นที่ถูกใจของลูกค้า ซึ่งนอกจากทางร้านจะขายกาแฟสดแล้ว ยังนำพืชผักผลไม้เมืองหนาวตามฤดูกาลมาจำหน่ายในร้านด้วย เพื่อให้ชาวบ้านเห็นว่าการเปิดร้านจำหน่ายในลักษณะนี้ก็สามารถเพิ่มรายได้ ให้กับครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง นอกจากการขายให้กับพ่อค้าคนกลางเพียงอย่างเดียว”

ปัจจุบันผลผลิตของชาวมูเซอ นอกจากเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ได้คั่วขายในราคากิโลกรัมละ 120 บาท และที่คั่วแล้วราคา 450 บาท/กก. แล้ว ยังมีผักผลไม้เมืองหนาวอีกด้วย เช่น อโวคาโด แมคคาเดเมีย ปวยเล้ง ผักโขม กระหล่ำปลีม่วง น้ำผึ้งป่า กล้วยไม้ป่า และใบชาพันธุ์อัสสัม ซึ่งเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศใน จ.ตาก เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเป็นการปลูกแบบออแกนิคทั้งสิ้น โดยก่อนปลูกได้มีการตรวจสภาพดินตามมาตรฐานที่กำหนดอีกด้วย

***สำหรับการเดินทางไปที่ร้านกาแฟ มูเซอ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 เส้นทางขึ้นน้ำตกทีลอซู หรือสอบถามได้ที่โทร 08-9857-6850***

อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์


Read More...


‘แม็คโคร’ สานฝันคนอยากมีธุรกิจ ควงค่ายรถจีนดัน “มินิมาร์ทเคลื่อนที่”

ตัวอย่างรถที่ดัด แปลงเป็นร้านมินิมาร์ทเคลื่อนที่

“แม็คโคร” ช่วยสังคมเอาใจคนอยากมีอาชีพ จับมือค่ายรถจีน “ดี เอฟ เอ็ม” ผลักดันธุรกิจ “มินิมาร์ทเคลื่อน ที่” โดยดัดแปลงรถกระบะอเนกประสงค์เป็นร้านค้าสะดวกซื้อ วิ่งให้บริการชุมชนในท้องที่ห่างไกล แจงตลาดนี้ยังมีโอกาสอีกมาก เผยเงินลงทุนรวมราว 5 แสน ไม่บังคับสั่งสินค้าแม็คโคร คาดคืนทุนได้ภายใน 1-2 ปี



ปรานต์ทิพย์ อัคริมาชญานนท์


นางสาวปรานต์ทิพย์ อัคริมาชญานนท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากโครงการ “แม็คโครมิตรแท้โชห่วย” ที่แม็คโครต้องการช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะร้านค้าปลีกรายย่อย หรือโชห่วย ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของแม็คโคร ผ่านการส่งเสริมประสิทธิภาพเชิงธุรกิจ รวมถึง ช่วยสร้างอาชีพให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ในท้องถิ่น ที่ผ่านมาได้ดำเนินการในหลายด้าน เช่น อบรมเป็นพี่เลี้ยงธุรกิจ ให้คำปรึกษา และช่วยปรับปรุงร้าน เป็นต้น มีโชห่วยร่วมโครงการมาแล้วกว่า 2,000 ราย

ทั้งนี้ โครงการล่าสุด ได้ร่วมกับบริษัท ดี เอฟ เอ็ม มินิทรั๊ค (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้ารถกระบะอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ยี่ห้อ “ดี เอฟ เอ็ม” จากประเทศจีน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจอยากมีอาชีพ ได้ทำธุรกิจ “มินิมาร์ทเคลื่อนที่” กล่าวคือ เป็นธุรกิจที่ นำรถกระบะดี เอฟ เอ็ม มาดัดแปลงเป็นร้านค้ามินิมาร์ท เพื่อเคลื่อนที่ไปขายสินค้าให้แก่ลูกค้าที่อยู่ในจุดที่ห่างไกลจากชุมชน เช่น หมู่บ้านตามท้องถิ่นชนบท

รองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ขยายความว่า ในชุมชนตามภูมิภาคที่ห่างไกลต่างๆ ยังมีกำลังซื้ออีกมาก จะเห็นได้จาก ทุกวันนี้ มีรถเร่ขายสินค้าตระเวนเข้าไปขายสินค้าถึงตามชุมชนต่างๆจำนวนมาก บ่งบอกว่า ในบางทำเลหรือบางท้องที่ ยังมีความต้องการซื้อสินค้าที่เข้าไปให้บริการถึงที่โดยตรง ดังนั้น มินิมาร์ทเคลื่อนที่จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากมีอาชีพ

“เนื่องจากแม็คโครมีจุดประสงค์หลักเพื่อช่วย เหลือสังคม ดังนั้น จึงไม่ได้จำกัดหรือบังคับว่า ผู้ร่วมโครงการจะต้องซื้อสินค้าจากแม็คโครเพียงรายเดียวเท่านั้น ตรงกันข้าม ผู้ประกอบธุรกิจมินิมาร์ทเคลื่อนที่ มีอิสระจะเลือกซื้อสินค้าจากแหล่งใดก็ได้ อย่างไรก็ดี เนื่องจากโดยรวมแล้ว สินค้าอุปโภคและบริโภคของแม็คโคร ราคาเฉลี่ยจะต่ำกว่าสินค้าของห้างดิสเคาน์สโตร์ต่างๆ ประมาณ 5-10% ทำให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย มักนิยมใช้บริการจากแม็คโคร ฉะนั้น ประโยชน์ที่แม็คโครจะได้รับ จะมาในลักษณะประโยชน์ทางอ้อม คือ ได้เพิ่มช่องทางในการขายสินค้ามากยิ่งขึ้น” นางสาวปรานต์ทิพย์ กล่าว



พิทยา ธนาดำรงศักดิ์


ด้าน นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี เอฟ เอ็ม มินิทรั๊ค (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า การลงทุนมินิมาร์ทเคลื่อนที่ เฉพาะตัวรถ ราคา 285,000 บาท ค่าซื้อสินค้าเข้าร้าน ประมาณ 100,000 บาท และค่าตกแต่งดัดแปลงรถเป็นร้าน 70,000-100,000 บาท สามารถเลือกได้ทั้งแบบร้านเคานต์เตอร์ โดยผู้ขายทำหน้าที่หยิบสินค้าให้ลูกค้า หรือร้านที่ให้ผู้ซื้อเดินเลือกหยิบสินค้าได้เองบนรถ นอกจากนั้น ทุกคันจะติดอุปกรณ์กระจายเสียงให้พร้อม เบ็ดเสร็จเงินลงทุนธุรกิจทั้งสิ้นประมาณ 400,000 – 500,000 บาท

สำหรับบริการที่ผู้ลงทุนจะได้รับ คือ ประกันภัยชั้น 1 ฟรีตามเงื่อนไข อีกทั้ง ได้บัตรสมนาคุณ ซื้อสินค้าชนิดใดๆ ก็ได้ในแม็คโคร มูลค่า 5,000 บาท รวมถึง มีบริการจัดสินเชื่อซื้อรถให้ในอัตราดอกเบี้ย 4.25% โดยกำหนดวงเงินดาวน์ที่ 50,000 บาท เขา เสริมว่า รายได้ของผู้ลงทุน นอกจากขายสินค้าในร้านแล้ว ภายในรถ ผู้ลงทุนสามารถต่อยอดประยุกต์หาสินค้า หรือบริการอื่นๆ มาเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ เช่น ขายอาหาร กาแฟ เบเกอรี่ ฯลฯ โดยผลกำไรที่ได้หักค่าใช้จ่ายแล้ว คาดการณ์ว่า คืนเงินทุนได้ประมาณ 12-25 เดือน (แล้วแต่ทำเล)    ายพิทยา ได้อธิบายถึงรถ ดี เอฟ เอ็ม ว่า ผลิตโดยบริษัท ตงฟง มอเตอร์ ประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์และรถเพื่อการพาณิชย์ มียอดการผลิตรถเป็นอันดับ 3 ของประเทศจีน ด้านคุณสมบัติของรถ รองรับน้ำหนักได้มากกว่า 800 กิโลกรัม สามารถเลือกใช้ได้ทั้งระบบน้ำมันหรือระบบก๊าซธรรมชาติ ทั้ง LPG และ NGV ทำให้ประหยัดพลังงานเหมาะจะใช้ในการค้าขาย ทั้งนี้ บริษัทฯ เนตัวแทนนำเข้ารถดี เอฟ เอ็ม มาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ปัจจุบัน มีศูนย์บริการอยู่ 29 สาขา ใน 22 จังหวัดทั่วประเทศ และวางเป้าจะเปิดเพิ่มให้ครบ 40 สาขาภายในปีนี้ (2553) อีกทั้ง ในอนาคตจะเปิดโรงงานผลิตในเมืองไทยด้วย และสำหรับการแนะนำธุรกิจมินิมาร์ทเคลื่อนที่ บริษัทฯ ใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อเดินสายโรดโชว์หมุนเวียนไปยังสาขาต่างๆ ของแม็คโคร ที่มีอยู่ 45 สาขาทั่วประเทศ สาขาละ 3 ครั้ง วางเป้าว่า ยอดขายรถ ภายใน 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ประมาณ 100-300 คัน ธุรกิจ “มินิมาร์ทเคลื่อนที่” จุดเด่น : มีความคล่องตัวในการเข้าถึงลูกค้า กลุ่ม ลูกค้าเป้าหมาย : ชุมชนที่อยู่ห่างไกลต้องการสินค้าที่บริโภคถึงตรง เงินลงทุน : 1. ตัวรถ 285,000 บาท 2. ค่าดัดแปลงเป็นร้าน 70,000-100,000 บาท 3. ค่าซื้อสินค้าเข้าร้าน ประมาณ 100,000 บาท ระยะ เวลาคาดคืนทุน : 12-25 เดือน โทร.02-351-8888 อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ตะคริว เกิดขึ้นเพราะอะไร

     หากคุณกำลังรู้สึกหวาดกลัวกับ อาการตะคริวของกล้ามเนื้อบริเวณทรวงอกที่อยู่ด้านหน้าของหัวใจ ยิ่งมีอาการบีบรัดมากขึ้นในบริเวณใกล้ ๆ หัวใจก็ทำให้รู้สึกวิตกกังวล เพราะเข้าใจว่าเป็นโรคหัวใจ บางรายมีอาการตะคริวของกล้ามเนื้อกระบังลม ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจ จนทำให้รู้สึกว่าหากใจลำบาก ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคของทางเดินหายใจอุดตัน เพราะนั้นเป็นอาการที่เราเรียกว่า "ตะคริว" ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เกิดขึ้นเพราะอะไร และมีสาเหตุจากอะไร ลองอ่านบทความข้างนี้ดูนะค่ะ

 

ทำงาน


    ตะคริว... คือ ภาวะกล้ามเนื้อแข็ง เกร็ง และปวด มักเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้สึกตัว อาการปวดเกร็งจะเกิดอยู่เพียงไม่นาน โดยพบว่ากล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวได้บ่อย คือ กล้ามเนื้อน่องและต้นขา ในทางการแพทย์ระบุไว้ว่า "ตะคริว เกิดขึ้นจากการปล่อยประจุไฟฟ้าของปลายประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง"

ลักษณะของผู้ที่เป็นตะคริว
- กล้ามเนื้อจะหดแข็งเป็นก้อนสามารถคลำได้ ทั้งนี้หากสังเกตแล้ว การเกิดตะคริวจะเกิด ขึ้นในเวลากลางคืน หรือภายหลังจากการออกกำลังอย่างหนัก
- บางคนอาจมีอาการปวดในช่วงแรก ๆ และค่อย ๆ ทุเลาลงไปเอง
- บางคนอาจปวดอย่างต่อเนื่องเป็นวัน ๆ ได้ เนื่องจากเกิดอาการอักเสบของกล้ามเนื้อในช่วงนั้น ๆ

ปัจจัย ที่ทำให้เป็นตะคริว
- สำหรับนักกีฬา การขาดเกลือแร่และอิเลคโตรไลด์ (Electrolyte) ซึ่งเกิดจากการขับของเหงื่อเป็นจำนวนมากในระหว่างเล่นกีฬา
- สำหรับในคนปกติพบว่า การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายแบบรวดเร็วก็มีผลเช่นเดียวกัน
- ภาวะที่กล้ามเนื้อขาดเลือด หล่อเลี้ยง ซึ่งเกิดได้บ่อยในระหว่างวัน โดยเฉพาะผู้ที่นั่งนอนหรือยืนในท่าที่ไม่สะดวกนาน ๆ ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก
- สำหรับผู้ที่ชอบสวมใส่เสื้อผ้ากางเกงที่รัดแน่นมากเกินไป อาจทำให้เลือดที่จะไปเลี้ยงลดลง กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน จนเกิดเป็นตะคริวได้
- ผู้ป่วยที่มีการสูญเสียปริมาณ น้ำในร่างกาย หรือการที่ร่างกายเสียเกลือโซเดียม เนื่องจากท้องเสีย อาเจียน การสูบบุหรี่ การใช้ยาบางชนิด หรือสูญเสียเหงื่อมากเนื่องจากความร้อน อากาศร้อน หรือทำงานในที่ที่ร้อนจัด ก็ส่งผลให้เกิดเป็นตะคริวรุนแรงขึ้นในทันทีได้

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สำหรับผู้ที่เป็นตะคริว เพื่อลดอาการเจ็บปวด คือ
- เมื่อเกิดตะคริวขึ้นที่ตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งใดให้คุณใช้ของเย็นหรือผ้าเย็น ประคบ อย่าใช้ของอุ่นหรือร้อนเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งมากขึ้น
- หลังจากนั้นให้ผู้ป่วยพยายามยืดกล้ามเนื้อจุดนั้นออกอย่างช้า ๆ เช่น หากคุณเป็นตะคริวที่น่อง ก็ให้เหยียดขาให้ตึงแล้วกระดกปลายเท้าขึ้นจะช่วยให้ตะคริวคลายออกได้เร็ว ขึ้น

           สำหรับ ผู้ที่เป็นตะคริวที่น่องและเป็น ๆ หาย ๆ อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะเดินนาน ๆ ให้คุณลองบริหารกล้ามเนื้อด้วย วิธีปฏิบัติง่าย ๆ คือ เริ่มจากยืนหันหน้าเข้ากำแพงห่างประมาณ 3-4 ฟุต จากนั้นให้ก้มตัวไปด้านหน้าโดยเอามือยันกำแพง ให้ส้นเท้าสัมผัสที่เข่า และหลังเหยียดตรง ทำต่อเนื่อง 3 นาที และพัก 1 นาที ให้ครบ 15 นาที นอกจากนี้การฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี ด้วยสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนได้เต็มที ก็เป็นการลดความเสี่ยงการเกิดตะคริวได้



จาก: thaihealth
ภาพประกอบจาก teenee.com



Read More...


ไอศกรีมกะทิกับเต้าทึง


ไอศกรีมกะทิกับเต้าทึง

เครื่องปรุง
1.เนื้อมะพร้าวอ่อน 1 ถ้วย
2.น้ำมะพร้าวเผา 4 ถ้วย
3.หัวกะทิ 1 ถ้วย
4.น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
5.แป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย


เครื่องเต้าทึง* แป๊ะก๊วยเชื่อม
* รากบัวเชื่อม
* เม็ดบัว
* ลูกเดือย
* ถั่วแดงต้ม
* พุทราจีนเชื่อม
* ถั่วเขียวซีกต้มสุก


วิธีทำ
1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย และน้ำมะพร้าวลงไปคนให้เข้ากัน พอน้ำตาลทรายละลาย นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปตั้งไฟอีกครั้ง เทแป้งข้าวโพดลงไปคนให้เข้ากัน พอส่วนผสมเริ่มข้นยกลงจากเตา
2. เทหัวกะทิลงไปในหม้อ แล้วคนให้เข้ากัน
3. เทส่วนผสมที่ได้ลงในถังปั่นไอศกรีม ปั่นส่วนผสมจนเริ่มแข็งใส่เนื้อมะพร้าวลงไป ปั่นต่อจนกระทั่งส่วนผสมแข็งเป็นไอศกรีม ตักไอศกรีมเสิร์ฟทันทีหรือตักใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดนำไปแช่ในช่องแช่แข็งเก็บไว้รับประทานวันหลังได้
4. วิธีเสิร์ฟ ตักไอศกรีมใส่ลงบนถ้วยไอศกรีมประมาณ 1-2 ก้อน แล้วตักเครื่องเต้าทึงใส่ลงไปตามชอบ ยกเสิร์ฟทันที



credit : http://food-recipes.vzazaa.com/

Read More...


สูตร ไอศกรีมทอด

 

สูตร ไอศกรีมทอด
เครื่องปรุง
1. ไอศกรีม รสที่ชอบ (ซ็อคโกแลต วนิลา…)
2. คุ๊กกี้ป่น 1 ถ้วย
3. ซินนามอน 1/4 ช้อนชา
4. ไข่ 1 ฟอง
5. นม 1 ช้อนโต๊ะ
6. ช็อคโกแลต
7. น้ำผึ้ง


วิธีทำ
1. ตักไอศกรีมเป็นก้อนกลมๆ นำไปใส่ในช่องฟิต อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
2. ผสมคุ๊กกี้ป่น กับ ซินนามอน เข้าด้วยกัน
3. นำไอศกรีมมาคลุ๊ก ส่วนผสมในข้อ 2 (ทำเร็วๆนะคะ เดี๋ยวไอศกรีมละลาย) คลุกเสร็จ นำไปแช่ในช่องฟิต
4. นำไข่กับนมตีให้เข้ากัน จนเป็นเนื้อเดียวกัน
5. นำไอศกรีมที่ได้จากข้อ 3 มาคลุกกับส่วนผสมในข้อ 4 นำไปแช่ช่องฟิต (แช่ประมาณ 1-2 ชั่วโมง)
6. ตั้งน้ำมันให้เดือด นำไอศกรีมที่ได้จากข้อ 5 ลงทอด ทอดจนกระทั่งเป็นสีน้ำตาล (ประมาณ 10 – 15 นาที)
7. ราดด้วยช็อคโกแลต กับ น้ำผึ้ง
6. เสริฟ


fried-ice-cream



Read More...


“ป่อเปี๊ยะเศรษฐี” ขายได้ไร้คู่แข่ง

รับตำแหน่งลูกจ้างมากว่า 20 ปี ความท้อที่ต้องพบกับคำว่าอิสรภาพขาดหาย บั่นทอนจิตใจให้ต้องก้าวพ้นจากตำแหน่ง แต่กระนั้นยังคงมองหาอาชีพ ซึ่งสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ไม่ขัดสน และที่สำคัญก่อเกิดสุขภายในใจ จวบจนได้สมัครเข้ารับความรู้จากศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน “ร้านป่อเปี๊ยะสดเศรษฐี” จึงถือกำเนิดขึ้นมาสร้างรายได้ควบคู่ความสุขใจที่ได้รับ

ธุรกิจใดสินค้าใด มีผู้ผลิตจำหน่ายมากราย โอกาสเติบโตในท้องตลาดย่อมเดินได้ไม่สะดวกนัก แต่หากผลิตภัณฑ์นั้นจัดจำหน่ายแบบปราศจากคู่แข่งขัน หรือถ้ามีก็น้อยราย ย่อมส่งผลตรงกันข้าม ดังเช่นกิจการดังจะกล่าวถึงต่อจากนี้


“ป่อเปี๊ยะเศรษฐี” ชื่อร้านจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด ของ คุณอภิญญา วงศ์กิตติชัยกุล หญิงสาวคนขยันวัย 46 ปี ที่ปัจจุบันหันเหจับธุรกิจอิสระค้าขายอย่างเต็มตัว หลังเคยประกอบอาชีพลูกจ้าง ตำแหน่งพนักงานบัญชีมากว่า 20 ปี


ทำงานประจำขาดอิสระ


ค้าขาย สนุก เกิดสุข
ย้อนไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อนหน้านี้ หลังศึกษาจบปริญญาตรี คณะบัญชี วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา) คุณอภิญญาเลือกเส้นทางชีวิตสมัครเป็นพนักงานประจำ รับตำแหน่งตรงตามสายซึ่งร่ำเรียนมา ควบคู่ธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับเครื่องจักร


เริ่มต้นทำงาน 08.30 น. กระทั่ง 19.00 น. เดินทางกลับบ้าน เป็นเช่นนี้ตลอดระยะเวลานับสิบปี ซึ่งหาอิสระยากยิ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามเจ้านายกำหนด กอปรกับธุรกิจส่วนตัวไม่สู้ดีนัก จึงเริ่มท้อ ในที่สุดตัดสินใจลาออกจากงานประจำ กลายเป็นคนตกงานอยู่ราว 3 เดือน


ชีวิตยังต้องดิ้นรน หากปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไป ดูแล้วไร้ค่า คุณอภิญญาจึงถามใจตัวเองว่าจะทำอะไรต่อ ในขณะความคิดหนึ่งยืนยันคำตอบ ไม่ขอเป็นลูกจ้างอีกต่อไป


อาชีพค้าขาย ผุดขึ้นพร้อมเสียงสนับสนุนจากคนรอบข้าง “อาชีพค้าขายเหมือนอยู่ในสายเลือด คือ แม่ขายผักในตลาดมาก่อน ส่วนตัวเอง ย้อนไปเมื่อครั้งศึกษาระดับ ปวช. เรียนภาคบ่าย ก็นำเวลาว่างตอนเช้ามาขายข้าวแกง รู้สึกว่าอาชีพค้าขายสนุก มีความสุข ได้พูดคุยกับผู้คน”


นิตยสารเส้นทางเศรษฐี ซึ่งน้องสาวติดตามเป็นแฟนประจำ นำถึงมือคุณอภิญญา ผู้เป็นพี่สาวได้ติดตามอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับอาชีพ ก่อเกิดจุดประกาย เพิ่มความกล้าก้าวสู่อาชีพอิสระ และเหมือนประจวบเหมาะกับตลาดสดวัดพระเงินแห่งใหม่ใกล้บ้าน รับสมัครผู้สนใจเข้าไปจับจองพื้นที่ค้าขาย โดยเก็บค่าเช่ารายเดือนหรือเฉลี่ยวันละ 80 บาท หากใช้กระแสไฟฟ้าเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้วันละ 5 บาท กับขนาดพื้นที่ 4 ตารางเมตร


“โดยส่วนตัวชอบทำอาหาร ตอนนั้นตั้งใจขายก๋วยเตี๋ยวหลอด เพราะทำเป็น แต่เจ้าของตลาดบอกว่ามีผู้จองเมนูนี้แล้ว จึงนั่งคิดว่าจะขายอะไรดี พอดีกับอ่านนิตยสารเส้นทางเศรษฐี พบตารางอบรมของศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน เปิดสอนเมนูใหม่ ป่อเปี๊ยะสด-ทอด ก๋วยเตี๋ยวหลอด จึงแจ้งให้ทางตลาดทราบว่าจะขายป่อเปี๊ยะสด”


สมัครเข้ารับอบรมเป็นเวลา 1 วัน จนได้ความรู้ชนิดว่านำกลับมาทำรับประทาน แล้วได้รับคำชม ซึ่งทุกคนต่างยืนยันว่าสามารถขายได้ จึงเตรียมพร้อมเดินทางไปสั่งชุดเคาน์เตอร์ย่านบางใหญ่ โดยเน้นโทนสีครีม เพื่อการมองเห็นสะอาดตา ในราคา 7,000 บาท ชุดเตาแก๊สขนาดเล็กราคา 1,000 กว่าบาท หม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับอุ่นน้ำจิ้มให้ร้อนตลอดเวลา เขียง มีด และภาชนะใส่วัตถุดิบ โดยเน้นโทนสีขาว


คุณอภิญญา กล่าวถึงเงินลงทุนเบื้องต้นสำหรับซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบไม่น่าจะเกิน 10,000 บาท “ผู้มีทุนน้อย ก็ประกอบอาชีพนี้ได้ โดยในส่วนของอุปกรณ์ อย่างเคาน์เตอร์ เปลี่ยนเป็นโต๊ะพับ เลือกที่แข็งแรงหน่อย สามารถลดต้นทุนได้มากโข”



0026


น้ำจิ้มต่างตรงน้ำบ๊วย

เพิ่มกลิ่นหอมจากงาขาว
ถามถึงวัตถุดิบกับการผลิตป่อเปี๊ยะสด ซึ่งเป็นเมนูประจำร้าน ป่อเปี๊ยะเศรษฐี ว่าสิ่งต้องมี คือ แผ่นป่อเปี๊ยะ ซึ่งหาซื้อได้จากร้านผลิตจำหน่ายโรตีสายไหม โดยคุณอภิญญาเดินทางไปรับจากผู้ค้าตลาดบางใหญ่ซิตี้ เพราะใกล้บ้าน กับราคาขายกิโลกรัมละ 70 บาท


วัตถุดิบต่อมาได้แก่ เต้าหู้ผัดกับหมูสามชั้น โดยหั่นเต้าหู้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดเล็ก สับหมูหยาบๆ นำขึ้นตั้งไฟ ปรุงรสด้วย ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม ผงพะโล้ พริกไทย เรียบร้อยพักไว้ให้เย็น นอกจากนั้น ในส่วนของไส้ยังมี กุนเชียงทอด ถั่วงอกลวก แตงกวาสด ไข่เจียวทอดแผ่นบางแล้วหั่นเป็นเส้น ผักแกล้ม ได้แก่ต้นหอม เสิร์ฟเคียงคู่น้ำส้มพริกดองและน้ำจิ้ม ซึ่งมีกรรมวิธีทำ โดยนำ บ๊วย น้ำตาลทราย น้ำสะอาด เกลือ เคี่ยวให้เดือด ใส่แป้งสาลี กวนให้เหนียว ชิมรสให้ออกหวานนำ โรยหน้าด้วยงาขาว เพื่อเพิ่มความหอม


“เมื่อก่อนเปิดอินเตอร์เน็ตหาวิธีทำป่อเปี๊ยะสด พบว่าน้ำจิ้มซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างรสชาติ โดยทั่วไปใช้น้ำมะขามเปียก แต่เมื่อไปเรียนกับวิทยากรของศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ใช้บ๊วยแทน อันนี้ถือเป็นจุดต่าง รสออกมาหวานอร่อยด้วย นอกจากนั้น ยังใส่งาขาวเพิ่มความหอม”


แม้ร้านป่อเปี๊ยะเศรษฐี เปิดทำการได้ไม่นาน แต่ทั้งนี้กลับมีขาประจำอุดหนุน ซึ่งคุณอภิญญา ว่า จุดเรียกลูกค้าได้ดี คือรสชาติ ต่อมาเรื่องบริการ เน้นเป็นกันเอง พยายามจำหน้าลูกค้าให้ได้ ทักทายลูกค้าก่อนเสมอ แม้เพียงเดินผ่าน และเมื่อเกิดการซื้อขาย ควรสอบถามถึงสถานที่อยู่อาศัย เพื่อจะได้ทราบถึงโอกาสอัตราความถี่ที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำ


“พร้อมขายเมื่อตลาดเปิดคือ 1 มิถุนายน 2552
แม้ยอดขายไม่มาก วันหนึ่งประมาณ 25-30 กล่อง หรือเคยขายได้สูงสุด 40 กล่อง ถือว่าพอใจแล้ว จริงอยู่เมื่อเทียบกับเงินเดือน 20,000 กว่าบาท เมื่อครั้งทำงานประจำ อาจดูน้อย แต่ก็ได้จับเงินสดทุกวัน อีกสิ่งซึ่งตามมาคือ ความสุข และอิสระ”


สำหรับสนนราคาจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด 3 ชิ้น ต่อกล่อง 25 บาท หักลบค่าใช้จ่ายเหลือกำไรราว 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยสินค้าจะขายดีช่วงเที่ยงวัน และเย็นหลังเลิกงาน ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักได้แก่ ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง และหญิงชายวัยทำงานเป็นหลัก


“อย่างช่วงเย็นขายดี ต้องทำบรรจุกล่องไว้ก่อนสัก 3-4 กล่อง ลูกค้าบางคนเขาไม่รอ แต่โดยส่วนใหญ่ชอบให้ทำสด เหมือนเขาได้เห็นด้วย มองอนาคตกับทำเลนี้ ถือว่าเหมาะ เพราะมีหมู่บ้านจัดสรรหลายโครงการ อย่าง วันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ สินค้าขายดี หมดเร็ว เนื่องด้วยตลาดนัดบริเวณใกล้เคียงเปิดให้บริการ ทำให้ลูกค้าจำนวนมากเดินทางมา เชื่อว่าหากตลาดเป็นที่รู้จัก ผู้ค้าเข้ามาจับจองเต็มพื้นที่ โอกาสเติบโตไปได้สูง”


คุณอภิญญายังเตรียมพร้อมเปิดขายสินค้าเมนูอื่นเพิ่มเติม อย่างขนมปังหน้าหมู ป่อเปี๊ยะทอด แต่ทั้งนี้ต้องมีผู้ช่วย ซึ่งแต่ก่อนเคยเปิดขายป่อเปี๊ยะทอด โดยได้น้องสาวแบ่งเบาแรง คาดว่าหากน้องสาวว่างคงได้เริ่มต้นผลิตสินค้าใหม่ สร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง


0028




ปริมาณ ราคาเหมาะสม
ผู้ประกอบการคนขยัน ยังกล่าวถึงสิ่งซึ่งไม่ควรมองข้ามกับอาชีพค้าขาย นั่นคือ ความสะอาด ตั้งแต่จัดแต่งร้าน ภาชนะบรรจุอาหาร ตลอดจนกระบวนการผลิต ซึ่งคุณอภิญญาสวมถุงมือทุกครั้งขณะห่อป่อเปี๊ยะให้ลูกค้า สำคัญคือ ราคาขายเมื่อเทียบกับคุณภาพและปริมาณต้องเหมาะสม


และด้วยเป็นร้านเปิดใหม่ ในทำเลใหม่ คุณอภิญญาจึงจัดทำโปรโมชั่น โดยร่วมกับร้านจำหน่ายเครื่องดื่ม หากลูกค้าซื้อป่อเปี๊ยะ 1 กล่อง จะได้รับคูปอง 1 ใบ เมื่อสะสมครบ 4 ใบ สามารถนำไปแลกซื้อเครื่องดื่มได้ในราคา 15 บาท ถือเป็นการกระตุ้นความสนใจให้ลูกค้าเกิดการลิ้มชิมรส เพราะผู้ขายเชื่อว่า ความอร่อยแบบไม่เป็นสองรองใคร จะส่งผลให้ผู้ซื้อกลายเป็นขาประจำ


“ในส่วนของเครื่องดื่ม เหมือนกับจ่ายเงินแทนลูกค้า แม้ทำให้ส่วนกำไรน้อยลง แต่วิธีนี้ช่วยกระตุ้นยอดขาย คือช่วงเปิดการค้าแรกๆ สิ่งต้องคิดคือ ทำอย่างไรให้ลูกค้าซื้อ เมื่อเกิดการซื้อขายแล้ว เราเชื่อมั่นว่ารสชาติจะส่งผลให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และบอกต่อ”


คุณอภิญญา ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงลูกค้าว่า นอกจากมีขาประจำหลายราย โดยบางคนเดินทางมาซื้อทุกวัน ทั้งนี้ ในส่วนของคำติไม่มีกระทบหู นอกจากคำชมที่ได้รับอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดกำลังใจให้ผู้ประกอบการกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า


ถามถึงปัญหาอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจขายป่อเปี๊ยะสด คุณอภิญญา ว่า มีเพียงทำเลยังใหม่ เปิดดำเนินการได้ไม่กี่วัน แต่หากมองไกลในอนาคต ถือว่านี่คือโอกาสที่จะได้เติบโตไปด้วยกัน อีกทั้งยังถือเป็นความโชคดี ตรงคู่แข่งขันไม่มี เพราะตลาดแห่งนี้กำหนดรายการสินค้าต่อผู้ขายส่วนใหญ่รายเดียว
นอกจากไร้คู่แข่งในพื้นที่เดียวกัน กับบริเวณรอบข้าง ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดผลิตจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด “ย่านนี้ไม่มีผู้ผลิตจำหน่ายป่อเปี๊ยะสดเลย ซึ่งลูกค้าหลายคนบอกว่าหากินยากมาก ก็ไม่รู้ว่าทำไมไม่มี ซึ่งพอป่อเปี๊ยะเศรษฐีมาเปิด ทำให้เกิดโอกาสทางการค้า แต่ทั้งนี้ไม่เคยประมาท เพราะมีสินค้าอื่นให้ลูกค้าเลือกซื้อมากรายการ ฉะนั้นต้องมัดใจลูกค้าให้ได้ ทั้งในเรื่องรสชาติ ราคา คุณภาพ รวมไปถึงบริการ”


คุณอภิญญายังฝากถึงผู้สนใจต้องการประกอบอาชีพอิสระ แต่ยังไม่กล้าก้าวออกมาทำเต็มตัว “ก่อนอื่นถามตัวเองว่า ชอบอะไร ชอบค้าขายหรือเปล่า ถ้าชอบ แต่มีงานประจำทำอยู่ แนะนำให้ใช้เวลาว่างอาจเป็นช่วงเช้า เย็น หรือวันหยุด มาประกอบอาชีพเสริม ความชอบ ถือเป็นแรงขับเคลื่อนกระตุ้นให้เกิดความใส่ใจในอาชีพ จากนั้น ดูผลว่าสามารถเติบโตพอจะนำไปสู่ช่องทางสร้างรายได้หลักหรือไม่ สิ่งสำคัญอีกประการคือ สินค้า ต้องเลือกที่ตนเองชอบด้วย”


ประการต่อมาคือทำเล เลือกให้เหมาะกับสินค้า กลุ่มเป้าหมายชัดเจน หรือในกรณีบางรายอาศัยอยู่ในย่านคนพลุกพล่าน ติดถนน สามารถตั้งร้านหน้าบ้านได้เลย ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในส่วนค่าเช่าพื้นที่ได้มากโข


สำหรับผู้คิดแต่ไม่กล้าก้าว คุณอภิญญา ว่า อย่ารีรอ ขอให้เริ่มต้นทำ “โดยส่วนตัวถือว่าโชคดี เพราะเมื่อคิดจะทำ ก็ได้รับโอกาสทุกทาง ทั้งในเรื่องของพื้นที่ แหล่งเรียนรู้ ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก ทำให้เกิดความมั่นใจ อีกทั้งตราของศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน ทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น เกิดการรับรู้ว่าเราก็ศิษย์มีครู”


สนใจลิ้มชิมรสป่อเปี๊ยะสดสูตรเด็ด เดินทางไปได้ที่ร้าน “ป่อเปี๊ยะเศรษฐี” ตั้งอยู่ ตลาดสดวัดพระเงิน (ซอยวัดพระเงิน) ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่
จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ (081) 733-7325


ข้อมูลจำเพาะ
กิจการ ผลิตจำหน่ายป่อเปี๊ยะสด
ชื่อร้าน ป่อเปี๊ยะเศรษฐี
ลักษณะกิจการ เจ้าของคนเดียว
เจ้าของกิจการ คุณอภิญญา วงศ์กิตติชัยกุล
เงินลงทุน เบื้องต้นไม่เกิน 10,000 บาท
รายการสินค้า ป่อเปี๊ยะสด
อุปกรณ์ ชุดเคาน์เตอร์ เตาแก๊สปิคนิค หม้อหุงข้าวไฟฟ้า
ภาชนะสำหรับบรรจุเครื่องปรุงวัตถุดิบ เขียง มีด เป็นต้น
แหล่งซื้อ ร้านผลิตจำหน่ายชุดอุปกรณ์รถเข็น เคาน์เตอร์ ตู้
ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ หาซื้อได้ในตลาด หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป
วัตถุดิบและเครื่องปรุงรส แป้งป่อเปี๊ยะ ส่วนผสมของไส้ เต้าหู้ หมูสามชั้น ไข่ กุนเชียง แตงกวา
ถั่วงอกผักเคียง ต้นหอม น้ำส้มพริกดอง และน้ำจิ้ม ซึ่งมีส่วนผสม
ได้แก่ บ๊วย น้ำตาลทราย เกลือ น้ำธรรมดา งาขาว เป็นต้น


แหล่งซื้อ ตลาดสด
ราคาขายสินค้า 3 ชิ้นต่อกล่อง 25 บาท
ยอดขาย 25-30 กล่อง ต่อวันกำไร 30-40 เปอร์เซ็นต์
จุดเด่น ไม่หวงเครื่อง เน้นคุณภาพ ความสะอาด รสชาติน้ำจิ้มโดดเด่น
เพราะทำจากบ๊วย ได้กลิ่นหอมของงาขาว
อุปสรรคปัญหา ทำเลค้าขายเพิ่งเปิดทำการได้ไม่นาน ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากนัก
โอกาสทางการขาย ไม่มีคู่แข่งขันทั้งในพื้นที่เดียวกัน และรอบอาณาบริเวณ
จุดคุ้มทุน คาดการณ์ไว้ 2-3 เดือน

อนาคต ผลิตจำหน่ายเมนูอาหารว่างเพิ่มเติม เพื่อเสริมรายได้
สถานที่ตั้งร้าน ตลาดสดวัดพระเงิน (ซอยวัดพระเงิน) ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรีโทรศัพท์ (081) 733-7325

Read More...


ร้าน “ราชินีช้าง บาย ต้นส้ม” ใครว่าคนอ้วนแต่งสวยไม่ได้

 
 
ใครๆ ก็คิดว่าคนอ้วนแต่งตัวมากไม่ได้ โชว์สัดส่วนไม่ได้เหมือนคนผอม แต่ไม่ใช่เธอคนนี้ ต้นสัม สุภาวดี จันทร์เพ็ญ ราชินีช้าง ปี 2543 เธอสนุกกับการแต่งตัว โดยเฉพาะกางเกงยีนส์ที่เธอชอบเป็นชีวิตจิตใจ จนตัดสินใจเปิดร้านขายเสื้อผ้าคนอ้วน โดยเน้นกางเกงยีนส์ที่ปักตกแต่งด้วยฝีมือการออกแบบของเธอเอง

ต้นสัม สุภาวดี จันทร์เพ็ญ กล่าวถึงที่มาของร้านว่า ตนเป็นคนสะโพกผาย ถ้าใส่ยีนส์ไซต์ใหญ่ที่มีขายในไทย สะโพกจะพอดีแต่เอวจะหลวมมาก จนในที่สุดก็เจอกับกางเกงยีนส์ที่ถูกใจจากอเมริกา ที่ยืดหยุ่นตามสรีระของคนอ้วนอย่างเธอ

“จาก ยีนส์ธรรมดา พี่ก็ออกแบบให้ญาติซึ่งเขามีร้านตัดเย็บเสื้อผ้าปักเพิ่มให้ พอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ราชินีช้างเขาเห็น อยากได้บ้าง ก็เลยทำขายเขาในราคาต้นทุน พอเยอะเข้าก็เลยคิดว่าน่าจะเปิดร้านขาย เพราะอยากให้คนอ้วนอื่นๆ ได้ใส่ด้วย”

TonSom01

โดยขั้นตอนการตกแต่งเพิ่มเติมนั้น เธอจะเป็นคนเลือกวัสดุเอง ออกแบบเอง แต่ว่าขั้นตอนการตัดเย็บก็ให้ช่างที่ชำนาญงานเป็นคนทำ

“ราคา ยีนส์ที่ไม่แต่งอยู่ที่ 650-750 บาท ซักแล้วไม่หด สีไม่ตก เป็นผ้ายืดที่มีส่วนผสมของสเปนเด็กซ์อยู่มาก ยืดหยุ่นสูง ยืดตามสรีระของคนอ้วน และเนื้อผ้าหนา พอเอามาแต่งวัสดุที่ตกแต่งก็ต้องใช้เยอะ ตัวนึงก็ประมาณ 100-200 บาท พี่ก็ตั้งราคาขายแค่ตัวละ 990 บาท”

ตัวกางเกงยีนส์ตอนนี้รับมาจากอเมริกา แต่จะเกิดปัญหาว่าบางครั้งไม่มีสี ไม่มีไซส์ ทำให้ต้นส้ม คิดจะปรับแพตเทิร์นเพื่อตัดเอง แต่ก็เจอปัญหาผ้ายีนส์ในไทยไม่มีสเป็คที่ต้องการ

TonSom02

“ถ้า จะไปสั่งที่โรงงานให้ทำผ้าแบบที่ผสมเส้นไยที่ยืดหยุ่นเยอะๆ ให้ อย่างน้อยต้องสั่ง 5,000 หลา ซึ่งจะตัดได้ประมาณ 2,000 กว่าตัว เยอะขนาดนี้เราก็ต้องหาตลาดขายส่ง เพราะถ้าขายปลีกอย่างเดียวคงไม่ไหว ก็ต้องลองคุยกับร้านขายเสื้อผ้าที่รู้จักกัน ให้เขารับไปขายด้วย”

ต้นส้ม เล่าถึงการลงทุนว่า เริ่มต้นไปเกือบ 2 แสนบาท พื้นที่ร้านก็เช่าเดือนละ 2 หมื่น 2 พันบาท เป็นที่พักไปในตัว เพราะมีถึง 3 ชั้น

“เดิมแฟนพี่เขาจะทำร้านขายอุปกรณ์ตัดแต่งขนสุนัข แต่พี่แย่งมาทำเสียก่อน แต่พื้นที่ร้านก็กว้างพอสมควร คิดว่าคงจะต้องแบ่งพื้นที่กันคนละครึ่ง ให้เขาทำร้านของเขาด้วย”


TonSom03


ส่วนรายรับนั้นตั้งเป้าไว้เดือนละ 6 หลัก และคาดว่าประมาณ 2-3 เดือนก็น่าจะคืนทุน โดยกลุ่มเป้าหมายของ “ราชินีช้าง บาย ต้นส้ม” คือระดับกลาง เพราะเธอมองว่า คนอ้วนเป็นแค่กลุ่มเล็กๆ ถ้าจะไปมองกลุ่มเป้าหมายระดับสูงอีกก็คงไม่ไหว

“ลูกค้าจะมีหลากหลาย อย่างนักศึกษาก็จะชอบยีนส์เซอร์ๆ ถ้าคนทำงานบางคนก็จะชอบเรียบๆ แต่บางคนก็ชอบหวือหวา เน้นตกแต่งเปรี้ยวๆ”

ด้านแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ร้านนั้น ตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสื่อมวลชนที่มาทำข่าว แผนต่อไปก็คือลงโฆษณาในเว็บไซต์ต่างๆ หรือทำเว็บไซต์ของตัวเองด้วย


TonSom04


“ร้าน ก็ยังต้องตกแต่งเพิ่ม แต่ก็ยังไม่ค่อยมีเวลาทำ เพราะพอลูกค้าเข้าเราก็ต้องคอยดูแลลูกค้าตลอด คุยกับเขา บางคนก็จะอยู่คุยนานๆ ปรึกษาเรื่องนู้นเรื่องนี้เกี่ยวกับความอ้วน คาดว่าร้านจะตกแต่งเสร็จสมบูรณ์ ก็คงประมาณเดือนกุมภาพันธ์” ต้นส้ม กล่าวทิ้งท้าย


ร้าน “ราชินีช้าง บาย ต้นส้ม” ซ.รามคำแหง 39 (เทพลีลา) โทร. 0-1555-5950
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


“เอิร์ธ” เปิด “Chan” ขนมไทยใส่ไอเดีย

 
 
เอิร์ธ-ศัลย์ อิทธิสุขนันท์ เป็นอีกหนึ่งพิธีกรหนุ่มที่มีงานชุกพอสมควรทีเดียว แต่เขาก็ยังมีเวลาพอในการบริหารธุรกิจร้าน “Chan” หรือ “ชั้นขนมหวาน” ซึ่งร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ ที่ชอบทานขนมหวานไทยๆ เหมือนกัน โดยเปิดมานานกว่า 1 ปีแล้ว

chan02


ศัลย์ เล่าว่า เป็นคนชอบทานขนมหวาน โดยเฉพาะขนมไทย จึงลองเสาะหาสูตรใหม่ๆ ดู แต่ชิมไปชิมมาก็พบว่าสูตรไทยโบราณนี่แหละดีที่สุด และการเสาะหาขนมทานตามที่ต่างๆ ก็ทำให้ได้เจอกับเจ้าของสูตรขนมหลายๆ เจ้า บางเจ้าก็เป็นสูตรหายาก สูตรชาววังโบราณ บางที่ต้องพายเรือข้ามน้ำเข้าไป ลำบากแต่ก็สนุกมาก แม้ตอนนั้นจะยังไม่ได้คิดทำเป็นธุรกิจจริงจัง แต่ด้วยความอยากรู้สูตร อยากรู้วิธีทำ คุณย่าคุณยายที่ไปหาเขาก็ยินดีสอนให้ ไปหัดทำที่บ้านเจ้าของสูตรเลยก็มี


chan04


ศัลย์บอกถึงที่มาของชื่อ “Chan” ว่า มาจาก 3 เหตุผล คือ 1.มี “ขนมชั้น” เป็นพระเอก ที่สามารถทำเป็นรูปทรงสวยงามได้ และมีหลายรสชาติ 2.“ฉัน” ชอบกินขนมหวาน จึงอยากให้คนอื่นได้กินด้วย และ 3.คือ “ชั้นวางของ” ที่อยู่ในห้องรับแขก ซึ่งแต่ละบ้านมักจะมีแต่ขนมฝรั่งวางไว้ให้แขก ซึ่งอยากให้เป็นขนมไทยมากกว่า

“Chan” คือขนมไทยใส่ไอเดีย ประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย ด้วยการทำเป็นขนมแบบพอดีคำ สีสันสวยหวาน และแม้จะเป็นสูตรโบราณ เมื่อกาลเวลาแปรเปลี่ยนไป วัตถุดิบบางอย่างก็หายาก จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง และเน้นรสชาติให้ทันสมัยด้วย และไม่หวานเกินไป เพราะอยากให้ผู้ใหญ่ทานได้ด้วย


chan03


“เช่น ขนมชั้นถ้าเป็นสูตรเดิมจะใช้น้ำใบเตย เราก็ปรับเปลี่ยนเพิ่มรสชาติ เช่น ขนมชั้นสละ ชาเขียว หรือเอาลูกชุบใส่ในวุ้น ซึ่งขนมทั้งหมดจะผลิตสดวันต่อวัน โดยเพื่อนเอิร์ธ คือ พิม เป็นคนดูแลควบคุมการผลิตทั้งหมด ส่วนเอิร์ธดูแลเรื่องการตลาด ภาพลักษณ์ และมีพี่อีกสองคนเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเราใช้เงินทุนในการเริ่มธุรกิจนี้ไปประมาณแสนต้นๆ” ศัลย์ กล่าว
เปิดตลาดด้วยงาน “สู้แล้วรวย”

“พอ บริษัท เวิร์คพอยท์ ชวนไปออกงาน “สู้แล้วรวย” ก็เลยลองดู แม้จะยังไม่พร้อมเท่าไหร่ แต่ก็ได้ผลตอบรับที่ดีมาก ขนาดมีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์ แล้วทางห้างสรรพสินค้าก็ติดต่อมาให้ไปวางขาย เราก็เตรียมความพร้อมกันอยู่ประมาณเดือนเดียวก็ลงห้างฯ อีก 3-4 เดือนต่อมาก็เริ่มทำแคเธอริ่ง คือจัดเป็นชุดของขวัญ ของชำร่วย และบริการจัดเลี้ยงตามงานต่างๆ ซึ่งนอกจากขนมไทยแล้ว เราก็ยังมีบริการเบเกอรี่และน้ำสมุนไพรเพิ่มด้วย”

chan05


ซึ่งแคเธอริ่งนั้น ช่วงปลายปี 2547 ที่ผ่านมามีออเดอร์ค่อนข้างมาก จากบริษัทใหญ่ๆ ที่สั่งจัดเป็นตะกร้าของขวัญปีใหม่ เช่น โนเกีย, วอร์เนอร์บราเธอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ศัลย์เคยเป็นพิธีกรให้ตามงานต่างๆ โดย “Chan” มีบริการส่งด้วย แค่สั่งว่าต้องการขนมแบบใดบ้าง และส่งแผนที่บริษัทที่ต้องการจัดส่งมาให้เท่านั้น

“เรา จะรวบรวมว่าถนนเส้นนี้ต้องไปส่งที่ไหนบ้าง แล้วก็ไปพร้อมกันทีเดียวเลย ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วย ซึ่งถ้าเป็นออเดอร์เล็กๆ ก็คิดค่าส่งตามเส้นทาง แต่ถ้าเป็นออเดอร์ตั้งแต่ 5 พันบาทขึ้นไป เราจะจัดส่งให้ฟรี”

ส่วนการขายปลีกนั้น ที่ผ่านมา “Chan” วางในห้างกลุ่มเดอะ มอลล์ กรุ๊ป คือ ดิ เอ็มโพเรี่ยม และเดอะ มอลล์ ทุกสาขา แต่ตอนนี้พวกเขากำลังมองหาสถานที่ใหม่ เพราะไม่อยากบวกค่าเช่าที่แพง แล้วต้องขึ้นราคาขนม อยากทำคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผลมากกว่า โดยราคาขายปลีกถ้าเป็นขนมพอดีคำอยู่ที่ 8 ถ้วย 30 บาท ส่วนราคาส่งจะไม่กำหนดตายตัว สามารถคุยกันได้ เพราะขนมแต่ละอย่างวิธีทำความยากง่ายแตกต่างกัน ราคาจึงไม่เท่ากัน

chan01

“ตอน นี้มีร้านที่กำลังจะเปิดที่ ยู เซ็นเตอร์ ตรงสามย่าน เพราะถูกใจเรื่องค่าเช่าที่ไม่แพงมาก อยู่ในแหล่งชุมชน มีที่จอดรถ แล้วก็เป็นห้องแอร์ด้วย ส่วนเรื่องวางในห้างฯ คงต้องพักไปก่อน รายรับแต่ละเดือนของเราจึงไม่ค่อยแน่นอน”

เตรียมลุยแคเทอริ่งเต็มตัว
แผนต่อไป ศัลย์ตั้งใจไว้ว่าจะทำงานแคเทอริ่งให้เต็มตัวกว่านี้ ด้วยความชอบ เพราะแต่ละงานจะมีความแตกต่างกันไป และท้าทายขึ้นเรื่อยๆ

“แต่ ละงานเอิร์ธก็จะได้พูดคุยกับลูกค้า แนะนำเขาว่างานมงคลควรใช้ขนมอะไร งานไม่มงคลควรใช้ขนมอะไร หรือมันน่าจะทำอะไรได้บ้าง อย่างในงานแต่งงานงานหนึ่ง เราก็ทำขนมทุกอย่างให้เป็นสีชมพูหมดเลย ซึ่งทุกคนที่มาในงานก็แปลกใจและชอบกันมาก”
นอกจากนี้ ศัลย์ก็มียังอยากเปิดเป็นร้านกาแฟที่มีขนมไทยทานด้วย เพราะคิดว่าเข้ากันได้ดีไม่แพ้กาแฟกับขนมเค้ก

สุดท้าย ศัลย์พูดถึงความประทับใจกับขนมไทยโบราณว่า พอได้รู้สูตร รู้วิธีการทำขนมไทยต่างๆ ทำให้รู้ว่า กว่าจะได้ออกมาแต่ละอย่างมันต้องใช้เวลา ใช้กรรมวิธีมากมาย เข้าใจเลยว่าคนสมัยก่อนเก่งมาก เพราะทำขนมหวานกินกันทุกวันเป็นเรื่องปกติ

ติดต่อร้านชั้นขนมหวาน โทร 0-9114-0950 หรือ www.chankanom.com
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


Hobby Cake มอบสุขภาพดีปีใหม่ ชูไขมันต่ำ-รูปลักษณ์แหวกแนว

 
 
ด้วยภาระที่ยิ่ง ใหญ่ของความเป็นแม่ลูกชายฝาแฝด ทำให้ต้องลาออกจากอาชีพครูพยาบาล มาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการดูแลลูก ทั้งในเรื่องการทำอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ส่วนในเรื่องของขนมมีญาติ เป็นผู้ฝึกสอนให้ โดยได้นำสูตรขนมที่ได้ร่ำเรียนมามาปรับปรุง คัดสรรวัตถุดิบ ที่ดีต่อสุขภาพ จนก่อเกิดเป็นขนมเค้ก รสชาติเป็นที่ติดอกติดใจแก่ผู้ที่ได้ลิ้มลอง

ดิษยา กมลสุนทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท HB International จำกัด และเจ้าของเค้กโฮมเมด ภายใต้แบรนด์ Hobby Cake เล่าว่า เดิมตนเองเป็นคนที่ทำขนมไม่เป็น จนเมื่อมีคนมาสอนการทำเค้กให้ จึงได้นำสูตรและรูปลักษณ์ของเค้กแบบเดิมๆ มาดัดแปลง รวมถึงนำงานอดิเรกในเรื่องของศิลปะที่ตนเองชื่นชอบมาใช้การแต่งหน้าเค้กอีก ด้วย โดยเริ่มจากการทำเค้กถ้วยที่ต้องอาศัยเวลา แต่ก็ถือว่าเค้กถ้วยทำให้ให้แบรนด์ Hobby Cake เป็นที่รู้จักได้รวดเร็วขึ้น


Hobby-Cake


“เราเริ่มทำ จากครัวเล็กๆ ในบ้าน โดยที่ไม่มีหน้าร้าน ใช้การบอกปากต่อปากของเพื่อนๆ ที่ติดใจในรสชาติ ทำให้กิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนต้องจัดตั้งเป็นบริษัทฯ และใช้แบรนด์ของขนมเค้กว่า Hobby Cake ที่เริ่มมาจากงานอดิเรก จนกลายเป็นกิจการหลักและสร้างชื่อให้กับเราเป็นอย่างมาก”


Hobby-Cake06


สำหรับจุดเด่นของ Hobby Cake ถือเป็นเค้กที่ไม่ทำร้ายสุขภาพ เนื่องจากทางผู้ผลิตได้เลือกสรรวัตถุดิบทดแทน ที่ไม่ทำให้รสชาติของขนมเค้กเสียไป ซึ่งถือเป็นการทำงานอย่างมีระบบตามระเบียบวิธีวิจัย ที่ได้ร่ำเรียน มาประยุกต์ทำให้เค้กมีความโดดเด่น ไม่เหมือนใคร จนสามารถผลิตเค้กออกมาได้ 5 ประเภท คือ 1.เค้กเข้มข้น ที่ใส่วัตถุดิบอย่างเต็มที่ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็น Cake lovers อย่างแท้จริง 2.Low Cholesterol Cake เป็นเค้กที่ถูกปรับวัตถุดิบให้มีคลอเลสเตอรอลต่ำมาทำ แต่ยังคงรสชาติ อร่อยเหมือนเดิม และครีมที่ใช้ก็ปราศจากคลอเรสเตอรอล ส่งให้เค้กในกลุ่มนี้ได้รับการการันตีจากเชลล์ชวนชิมทั้ง 17 รายการ 3.Sugar Free และ No Sugar Added Cake เป็นเค้กที่ไม่ใส่น้ำตาลเลย แต่อาศัยความหวานจากช็อคโกแลต ซึ่งตีตราว่าเป็น Diabetic Chocolate สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน และผู้สูงอายุ 4.Egg less Cake เป็นเค้กที่ไม่ใส่ไข่ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการบริโภคไข่ หรือผู้ที่แพ้โปรตีนไข่ เป็นต้น และ 5.Vegetarian Cake คือเค้กที่ไม่ใส่ไข่ ไม่ใช้นมวัว แต่ใช้นมถั่วเหลืองแทน ซึ่งนับว่าเป็นความพิเศษของเค้กที่ไม่ทำลายหัวใจ และดีต่อสุขภาพ ซึ่งลูกค้าชาวญี่ปุ่นจะชื่นชอบเป็นพิเศษ


Hobby-Cake04


“การทำ Hobby Cake เราได้อาศัยความรู้ในวิชาชีพครูพยาบาลมาปรับใช้ในการทำเค้ก โดยเฉพาะด้านโภชนาการ โดยต้องการให้ลูกค้ามีสุขภาพดี และทำให้เค้กของเรามีความแตกต่างจากท้องตลาด รวมถึงต้องการจับลูกค้าในกลุ่มบี-เอบวก ราคาเริ่มต้นที่ปอนด์ละ 400- 550 บาท นับว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างแพงหากเทียบกับเค้าตามท้องตลาด แต่หากนำเรื่องสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคมาคำนวณด้วยแล้ว ก็ถือเป็นราคาที่คุ้มค่ามาก”

ในส่วนของขั้นตอนการผลิตทาง Hobby Cake ได้ใส่ใจในเรื่องของความสะอาดเป็นสำคัญ โดยแยกส่วนการผลิตเค้ก และช็อคโกแลต ออกจากตัวบ้าน ซึ่งออกแบบในเรื่องของความสะอาดคล้ายกับห้องผ่าตัด ที่เป็นห้องปลอดเชื้อ ทั้งอุปกรณ์ในการทำ และตัวพนักงานผู้ผลิต ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของ Hobby Cake สามารถเก็บไว้ได้นาน และระบุวันหมดอายุได้


Hobby-Cake03


และสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับ ดิษยา คือการได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ ให้เป็นผู้ทำเค้กวันเกิดให้แก่พระองค์ท่าน ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเมนูที่ทรงใช้คือ ช็อคโกแลต โลว์ คลอเลสเตอรอล (Chocolate Low Cholesterol) และเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติทาง Hobby Cake จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ช็อคโกแลต ทรงเสวย” ซึ่งในปีล่าสุด พระองค์ทรงเลือกใช้เค้กผลไม้สด (Sugar Free) ของร้านอีกด้วย ซึ่งเป็นที่ปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างสุดซึ้งหาที่เปรียบมิได้

ส่วนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ดิษยา บอกว่า ต้องการให้คนไทยมอบแต่สิ่งดีๆ และเกิดจากผู้ผลิตที่ตั้งใจผลิตสินค้าที่มาจากใจ ให้แก่กัน และหากคิดที่จะขนมที่ดีต่อสุขภาพ ให้นึกถึง Hobby Cake เป็นอันดับแรก ซึ่งทางร้านได้จัดเตรียมเค้ก และคุกกี้เพื่อสุขภาพ รวมถึงการสั่งทำเค้กขึ้นเป็นพิเศษตามรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ ที่ถือเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และมีส่วนร่วมในการออกแบบหน้าตาเค้ก โดยปัจจุบัน Hobby Cake มีหน้าร้านอยู่ที่ซอยลาดพร้าว 15 และวางจำหน่ายที่ห้างสยามพารากอน,เอ็มโพเรียม, อิเซตัน และราชกรีฑาสโมสร

***สนใจติดต่อโทร. 0-2512-0010-11, 081-317-3407 หรือที่ www.hobbycake.com***
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


‘แม่เก่ง’ ข้าวเหนียวมูนแฟนซี สมุนไพร 9 สี รสชาติโดนใจ

 
 
การทำสินค้าขาย เพียงอย่างเดียว หากเป็นนักการตลาดตัวยงแล้ว ถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการดำเนินธุรกิจ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องประกอบหลายธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยง แต่ทฤษฎีนี้คงใช้ไม่ได้กับข้าวเหนียวมูนแฟนซีสมุนไพร 9 สี ของร้าน “แม่เก่ง” ที่ ได้อาศัยการลองผิดลองถูกในการทำข้าวเหนียวมูนทั้งๆที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ เลย ส่งผลให้ในปัจจุบันทั้งรสชาติ คุณภาพ และข้าวเหนียวมูน รวมถึงความโดดเด่นในเรื่องสีสันจากสมุนไพรไทย ทำให้แบรนด์แม่เก่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานข้าว เหนียวมะม่วง


maakang01


นายวิศิษฐ์ เจษฎาพงศ์ภักดี เจ้าของข้าวเหนียวมูน “แม่เก่ง” เล่าว่า ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจของครอบครัว ที่ได้ร่วมกันระดมความคิด และลองผิดลองถูกในการทำข้าวเหนียวมูนร่วมกันมา สุดท้ายจึงมาลงกับรสชาติปัจจุบัน เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ที่ได้ลิ้มลอง ซึ่งในช่วงแรกครอบครัวนี้มีอาชีพรับผลไม้ตามฤดูกาลมาขาย พอถึงช่วงที่ผลผลิตมะม่วงออกสู่ตลาดจำนวนมาก ทางร้านจะขายดีเป็นพิเศษ รวมถึงลูกค้าก็แนะนำให้ลองทำข้าวเหนียวมูนมาขายบ้าง เพราะเมื่อ 30 ปีที่แล้ว บริเวณซอยโชคชัย 4 (54) ยังไม่มีเจ้าไหนที่ทำข้าวเหนียวมูนขาย จึงได้เริ่มจากการลองผิดลองถูกประมาณ 1 ปี รวมถึงได้มีการปรับปรุงสูตรอย่างต่อเนื่องจนมาลงตัวที่สูตรในปัจจุบัน


maakang02


“เราเริ่มจากความไม่รู้กระบวนการผลิตข้าวเหนียวมูนเลย อาศัยการทดลองทำมาเรื่อยๆ บางครั้งก็ท้อบ้าง เพราะกว่าจะทำออกมาเป็นที่พอใจทั้งรสชาติ และคุณภาพ ต้องทิ้งข้าวเหนียวไปกว่า 10 กระสอบ ส่วนแนวคิดที่นำสีจากสมุนไพรมาผสมเพื่อสร้างความแตกต่างจากเจ้าอื่นนั้น เกิดจากความคิดของลูกชายคนเล็ก (นายเฉลิมพันธ์ เจษฎาพงศ์ภักดี) ที่ได้นำข้าวเหนียวมูนสีม่วง ซึ่งเกิดจากการนำดอกอัญชันมาผสม และนำไปส่งอาจารย์ในวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ ทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำสีสมุนไพรมาเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมข้าวเหนียวมูน แม่เก่ง”


maakang03


ทั้งนี้ในเรื่องของสีสันที่นำเข้าเพื่อสร้างความแตกต่างได้เริ่มทำมา เมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีเพียงไม่กี่สีเท่านั้น แต่สำหรับในปีนี้ ถือเป็นปีมหามงคลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมายุครบ 80 พรรษา จึงคิดทำข้าวเหนียวมูนออกมาให้ครบ 9 สี โดยเป็นที่มาจากธรรมชาติล้วนๆ ได้แก่ สี ขาว จากกะทิสด สีเขียวจากใบเตย, สีม่วง จากดอกอัญชัน, สีส้ม จากแครอท, สีแดง จากบีทรูท, สีดำ จากข้าวเหนียวดำ, สีชมพู จากดอกเฟื่องฟ้า, สีเนื้อ จากแก่นฝาง และสีเหลืองจากขมิ้น


maakang04


สำหรับจุดเด่นของข้าวเหนียวมูนแม่เก่ง คือ รสชาติที่มีความหวาน มัน ข้าวไม่แฉะ และเมื่อรับประทานรสชาติยังติดลิ้นอยู่ ซึ่งเป็นเคล็ดลับเฉพาะของทางร้านในกระบวนการผลิต ในขณะที่การเก็บรักษาหากนำเข้าตู้เย็นจะสามารถเก็บได้นาน 1 เดือน เพราะใช้หัวกะทิล้วนจึงไม่เสียง่าย โดยขายข้าวเหนียวมูนทุกสีในราคากิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งกำลังการผลิตในช่วงหน้าข้าวเหนียวมะม่วงผลิตประมาณ 1,000 กิโลกรัม/วัน ส่วนเทศกาลผลไม้อื่นๆ จะอยู่ที่ 100-200 กิโลกรัม/วัน เน้นการขายหน้าร้านย่านลาดพร้าว ในซอยโชคชัย 4 (54) เกือบ 100% และขายส่งให้กับร้านอาหารและโรงแรมหลายแห่ง ซึ่งทางร้านได้อำนวยความสะดวกในการจัดส่งข้าวเหนียวมูนให้ถึงบ้าน โดยลูกค้าต้องรับผิดชอบค่าขนส่งเองทั้งหมด


maakang05


นอกจากทางร้านแม่เก่ง จะเลื่องชื่อในเรื่องของข้าวเหนียวมูนแล้ว แต่หากขาดมะม่วงสุก พันธุ์น้ำดอกไม้ที่มีรสชาติหวานสนิท ไม่ผ่านการบ่มแก๊ส คงจะทำให้การรับประทานข้าวเหนียวมะม่วงมื้อนั้นขาดความสมบูรณ์ไป ทำให้ทาง ร้านแม่เก่งสั่งมะม่วงสุกพันธุ์น้ำดอกไม้มาจำหน่าย โดยคัดสรรคุณภาพมะม่วงเกรดส่งออก จำหน่ายในกิโลกรัมละ 150 บาท มีให้รับประทานได้ตลอดทั้งปี นอกจากมะม่วงที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้ว ทางร้านยังมีเมนูอื่นๆ ให้เลือกสรร เช่น สังขยา และหน้าปลา เพื่อรับประทานร่วมกับข้าวเหนียวมูน รวมถึงข้าวต้มมัดที่อร่อยไม่แพ้กัน


maakang06


ธุรกิจนี้เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจครอบครัวอย่างแท้จริง ที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดและขั้นตอนการผลิตซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ ซึมซับให้กับลูกชายคนเล็ก ที่ตั้งใจสานธุรกิจนี้ต่อไป ซึ่งในขณะนี้ได้เข้ามาช่วยผลิตและขาย เกือบเต็มตัว เนื่องจากกำลังศึกษาระดับปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อนำความรู้มาพัฒนาธุรกิจต่อไป


***ติดต่อ 0-2538-3331, 08-9889-8891 และ 08-9881-2349*** หรือ www.moonrice9.com
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


อินเทรนด์กระแส “ลำไยช่วยชาติ” แปรรูปเป็น “ลำไยเบญจรงค์

 

       ทุกวันนี้ คงไม่มีใครบอกว่า ไม่เคยได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับ โครงการ “ลำไยช่วยชาติ” ของรัฐบาล ที่มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ราคาลำไยตกต่ำ ด้วยการรณรงค์ให้คนไทยหันมาร่วมมือร่วมใจอุดหนุนลำไย เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร       


       สำหรับการกินลำไย นอกจากแบบสดๆแล้ว ยังมีการนำลำไยไปแปรรูปเป็นของว่างหลากหลายรูปแบบ เช่น ข้าวเหนียวเปียกลำไย, ลำไยอบแห้ง หรือแม้กระทั่ง น้ำลำไย เครื่องดื่มดับกระหายรสชาติหอมหวาน เป็นต้น


 lamyai.jpg01


       นอกจากนั้น จากความคิดของ “อุจิตชญา จิตรวิมล” อาจารย์ประจำภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้คิดค้นสูตรขนมหวานที่ใช้ลำไยมาผสมวุ้น เกิดเป็นขนมชนิดใหม่ชื่อไพเราะ “ลำไยเบญจรงค์” เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแปรรูปลำไยเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย ซึ่งจะแปรรูปไว้รับประทานกันเองในครัวเรือนก็ได้ หรือหากจะทำออกจำหน่าย ก็รับรองว่า ถูกปากใครหลายคนอย่างแน่นอน

      
lamyai.jpg02


       อาจารย์อุจิตชญา เปิดเผยถึงที่มาของไอเดียเกิดจากได้ดูข่าวการรณรงค์เรื่องลำไยช่วยชาติแล้ว จึงมาคิดว่า น่าจะนำลำไยมาแปรรูปเป็นของหวานรูปแบบใหม่ที่มีวิธีการทำง่าย สามารถทำได้ทั้งเพื่อกินเอง และยังสามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกขายได้ด้วย

       สำหรับขั้นตอนการทำลำไยเบญจรงค์ เริ่มต้นตั้งแต่ การเลือกซื้อลำไย ต้องเป็นลำไยที่สดใหม่ เลือกที่เปลือกแห้ง ไม่บุบ เป็นไปได้ควรเป็น “ลำไยพันธุ์กะโหลก” เพราะจะได้ลำไยที่ลูกโต เมื่อนำมาคว้านเม็ดออกแล้วลำไยก็จะยังคงรูปสวย เมื่อได้ลำไยมาแล้วจึงนำลำไยมาปอกเปลือกและคว้านเม็ดออก จากนั้น นำลำไยมาจัดเรียงลงในถาดหงายหน้าลูกลำไยขึ้น



 lamyai.jpg03


       ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำวุ้น เริ่มจากนำน้ำใส่ในกระทะ ต้มจนเดือด นำผงวุ้นใส่ลงไป คนอย่างสม่ำเสมอจนผงวุ้นละลาย แล้วจึงตักวุ้นใส่ลงในถ้วยใส่สีผสมอาหารที่เตรียมไว้ ทั้ง 4 สี ได้แก่ สีส้ม,แดง,ม่วง และเขียว คนให้เข้ากัน นำมาหยอดใส่เบ้าเม็ดลำไยแต่ละลูกที่อยู่ในถาด รอจนวุ้นแข็งตัว แค่นี้ก็จะได้ลำไยเบญจรงค์ที่มี 5 ได้แก่ สีส้ม,แดง,ม่วง และเขียว จากวุ้น บวกกับสีขาวของลำไยสด รวมเป็นลำไย 5 สี พร้อมกินได้ทันที หรือจะเพิ่มรสชาติเป็นขนมหวานด้วยการใส่น้ำเชื่อม และน้ำแข็งใสเพิ่มก็ได้


lamyai.jpg04


       ส่วนถ้าต้องการทำออกขาย อาจารย์อุจิตชญา แนะนำเทคนิคการถนอมอาหารที่จะช่วยให้ ลำไยเบญจรงค์เก็บไว้ได้นานขึ้น โดยการนำลำไยที่ปอกเปลือกและคว้านเม็ดออกเรียบร้อย ใส่ลงในกระทะที่มีน้ำผงวุ้น ซึ่งถูกต้มจนเดือดแล้ว ใช้ไม้พายคลุกเคล้าวุ้นกับลำไยให้ทั่วผล จากนั้นนำมาจัดเรียงในถาด ตักน้ำผงวุ้นใส่ในเบ้าเม็ดลำไย รอจนวุ้นแข็งตัว จึงตักใส่ภาชนะบรรจุ การทำเช่นนี้วุ้นจะช่วยเคลือบที่ผลลำไย ทำให้ลำไยเบญจรงค์นั้น สามารถเก็บไว้ได้นานขึ้น


 lamyai.jpg05


       อาจารย์อุจิตชญา ระบุด้วยว่า ยินดีถ่ายทอดสูตรและวิธีการทำให้แก่ทุกท่านที่สนใจ สามารถสอบถามที่ภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 0-2549-3168, 0-2549-3160 ในวันและเวลาราชการ

         
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.