สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

บัวลอย 4 สี







มา ชวนกันอ้วนอีกแล้วคะ ของดองไว้หลายวันแล้วคะ บัวลอย 4 สี ทำง่ายๆ คะ แต่ทานบ่อยๆ ไม่ค่อยดี เพราะมีแต่แป้ง น้ำตาล และไขมัน จากกระทิ นานๆ ทำทานให้หายอยาก

วิธีทำ บัวลอยสีเขียว

1 ถ. แป้งข้าวเหนียว
1/3- 1/2 ถ. น้ำใบเตย ไม่มีคะ ตาใช้กลิ่นใบเตยแทนคะ

ผสมค่อยๆ นวดให้เข้ากัน นวดจนแป้งนิ่ม พักไว้ 15 นาที

บัวสีเผือก
1 ถ. แป้งข้าวเหนียว
1/2 ถ. เผือกนึ่งสุกยีให้ละเอียด
3- 4 ช.ต. น้ำเปล่า

ค่อยผสมแป้ง กับเผือกนวดให้เข้ากัน ถ้าแป้งแห้งไป ค่อยๆ เติมน้ำเปล่าทีละช้อน อยากให้เหลวนะคะ นวดจนแป้งนิ่ม พักไว้ 15 นาที

บัวลอยฟักทอง

1 ถ. แป้งข้าวเหนียว
1/2 ถ. ฟักทองต้มสุก ยีให้ละเอียด ตาใช้ ฟักทองที่ทำ Canning ไว้คะ
ฟักทองใส่ขวด

ผสม แป้งข้าวเหนียวกับฟักทองนวดให้เข้ากัน ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำ เพระฟักทองมีน้ำอยู่แล้วคะ แต่ถ้าแห้งเกินไป เติมน้ำทีละ 1 ชัอนโต๊ะ นวดจนแป้งนิ่ม พักไว้ 15 นาที

บัวลอยแครอท

1 ถ. แป้งข้าวเหนียว.
1/2 ถ. แครอทต้มสุกจนเปื่อย ยีให้ละเอียด
2- 3 ช.ต. น้ำเปล่า

ผสมแป้งกับแครอทที่ยีละเอียดแล้ว ถ้าแห้งเกินไป ค่อยๆ ผสมน้ำเปล่าทีละข้อนโต๊ะ นวดจนแป้งนิ่ม พักไว้15 นาที

บัวลอยสีเขียว - ได้จากใบเตย
บัวลอยสีม่วงอ่อน - ได้จากเผือก
บัวลอยสีเหลือง - ได้จากฝักทอง
บัวลอยสีส้ม - ได้จาก แครอท

วิธีทำ

1 กระป๋อง กระทำสำเร็จรูป
1 ช.ช. เกลือป่น
1/3 ถ. น้ำตาลทราย ชอบหวานมาก หวานน้อยเพิ่มเอานะคะ

เมื่อแป้งที่ผสมพักได้ที่แล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ให้หมด
หลังจากนั้น นำน้ำเปล่าใส่หม้อ พอประมาณ กะว่าให้ท่วมบัวลอยที่เราจะนำไปต้ม
พอ น้ำเดือด ค่อยๆ ใ่ส่แป้งบัวลอยที่เราปั้นไว้ ลงไปทีละน้อย รอจนกระทั่ง แป้งลอยขั้นมา จากก้นหม้อ ตัก แล้วนำไปแช้น้ำเย็นจัดทันที เพื่อหยุดการสุก แป้งจะได้ไม่เละ

หลังจากทำแป้งหมดแล้ว พักไว้ในน้ำเย็นก่อน อย่าเพิ่งตักขี้นมา เดี๋ยวมันจะติดกันคะ

นำกระทิใส่หม้อตั้งไฟ เติมน้ำตาลทราย เกลือ ชิมรสดู หวานตามชอบ

พอกระทะเริ่มจะเดือดปุดๆ ให้รีบตักบัวลอยแข่น้ำเย็นลงทันที รอให้เดือดปุดๆ แีกทียกลง ตักใส่ถ้วยเสิรฟ

ถ้า ต้องการจะทำไข่หวานลงไปด้วย ให้แยกต้มน้ำใส่หม้ออีกใบ เติมขิงแก่ทุบลงไป พอน้ำเดือด ค่อยๆ ต่อยไข่ไก่ลงไป อย่าคนนะคะ เดี๋ยวไข่คาว

พอไขุ่สุก แล้ว นำ บัวลอยที่เราตักใส่ถ้วยไว้แล้ว แล้วตักไข่ใส่ถ้วยบัวลอยเสริฟคะ











 

credit : http://wistakitchen.bloggang.com


Read More...


ข้่า่วนางเล็ด







ขนม ข้าวนางเล็ด ตอนเด็กๆ ตาชอบกินมาก เพราะเป็นขนมที่ยายจะซื้อให้กินประจำเวลายายไปตลาด การทำข้างนางเล็ดที่ดี ต้องใช้ข้าวเหนียวทำคะ เวลาทอดข้าวจะพองสวย และกรอบน่าทาน กว่าการใช้ข้าวจ้าวทำคะ

พอมาอยู่กับแม่ ข้าวจ้าวเหลือ ข้าวเหนียวเหลือ แม่จะให้เอาใส่กระดง ไปตากแดด ให้แห้ง แล้วเก็บใส่ถุงไว้ พอได้เยอะแล้ว แม่ก็จะเอามาทอด แล้ว เคี่ยวน้ำตาลปี๊บ แล้วเอาไปคลุกกับข้าวที่ทอดแล้ว ไว้กินเล่นๆ กันในครอบครัว เวลาดูละครตอนค่ำ แต่ตอนนี้นั้นเราไม่ได้ทำให้เป็นแผ่น หรือ ใช้พิมพ์กดให้เป็นรูปร่าง คือมันเป็นเมล็ดข้าวธรรมดานี่แหล่ะคะ น้ำตาลปี๊บยี้ห้อที่ตาซื้อ มันเป็นแบบ ผาขนาดเท่า ขนมครก สีไม่ค่อยเข้มเท่าไร แต่ก็ made in Thailand คะ

วิธีทำข้าวเหนียวตากแห้ง ตาทำไว้นานแล้วคะ ยังหารูปไม่เจอ เดี๋ยวถ้าเจอแล้วจะเอามาลงได้ดูนะคะว่า ตาทำอย่างไง

สูตรข้าวเหนียวแห้ง

ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้ ทิ้งไว้ค้างคืนก่อนนะคะ
น้ำเปล่าพอประมาณ
เครื่องอบ หรือจะได้เตาอบก็ได้คะ

วิธีทำ

ตานำข้าวเหนียวมาบี้ออกจากกัน แล้วค่อยๆ พรมน้ำให้เปียก แต่ไม่แฉะนะคะ พอให้ข้าวมันไม่เกาะกัน

หลัง จากนั้น นำพาสติกแลป มาปู แล้วแผ่ข้าวเหนียวออกให้ทั่ว แล้วเอาพาสติกแลปทับอีกครั้ง แล้วใช้ไม่คลึงแป้งค่อยๆ โรลข้าวให้เรียบ อย่าให้หนามากนะคะ เวลาทอดข้าวจะไม่ค่อยพอง และจะแข็งด้วย

หลังจาก นั้นลอกแผ่นแลปด้านบนออก แล้วใช้ พิมพ์คุกกี้ หรือ พิมพ์อื่นๆ ที่เราชอบก็ได้คะ แต่อย่าให้ใหญ่เกินไป นะคะ เพราะเวลาเราตากแห้งแล้ว นำไปทอด ข้าวมันจะพองออกอีก 1 เท่า ถ้าเราใช้พิมพ์ใหญ่ ข้าวที่ทอดมันก็จะบานออก และใหญ่ไม่สวย ขนาดคุกกี้กดที่ตาแนะนำ ควรเป็น ไซต์กลางๆ นะคะ

แล้วนำไปตากแห้ง หรือ อบด้วยเครื่อง หรือ เตาอบก็ได้คะ ( เตาอบเปิดที่อุณภูมิ วอร์มหรือ สัก 100 F อบจนข้าวแห้งสนิท แล้วเก็บใส่ถุง หรือ ขวดโหลปิดฝาให้สนิท)


วิธีทำข้าวนางเล็ด

12 - 15 แผ่น ข้าวแห้ง
1 ขวด น้ำมันพืชสำหรับทอด
1/2 - 1 ก.ก. น้ำตาลปี๊ป
3- 5 ช.ต. น้ำเปล่า ( หรือ ใช้น้ำแตงโม)

นำกระทะตั้งไฟ เปิดไฟปานกลาง เติมน้ำมันพืชลงไป น้ำมันต้องเยอะหน่อยนะคะ เวลาทอดข้าวจะได้พองสวย

พอน้ำมันร้อน นำข้าวแห้งที่เราทำไว้ลงไปทอด ถ้ากระทะเล็กไม่ควรใส่ข้าวเกิน 3 แผ่นนะคะ เดี๋ยวจะทำให้ข้าวที่ทอดมันจะไม่พองเท่าที่ควร

อย่างให้เหลืองมาก พอข้าวพองทั่วแผ่นแล้ว รีบตักขี้น วางบนกระดาษซับน้ำมัน พักไว้จนหมด

นำ กระทะอีกใบ หรือหม้อก็ได้คะ นำน้ำตาลปี๊บเคี่ยวกับน้ำเปล่า อย่างใส่น้ำเปล่าเยอะนะคะ ค่อยๆ ใส่ที่ละช้อน พอไม่ให้ก้นกระทะ หรือ ก้นหม้อไหม้ เคี่ยวพอเหนียว ปิดไฟ พักไว้สักพักหนึ่งก่อนนะคะ อย่างเพิ่งนำไปราดหน้าข้่าวที่เราทอด เพราะน้ำตาลมันยังร้อนอยู่ เวลาราดแล้ว มันจะไหล หรือ ซึมลงก้นข้่าวหมด

พักไว้ให้น้ำตาลมันหาย เดือด เสียก่อน สักประมาณ 3- 5 นาที แล้วค่อยนำมาราดหน้าข้าวที่เราทอดไว้ แล้วพักไว้ให้น้ำตาลเย็น แล้วค่อยเสริฟ หรือ เก็บไว้ขวดโหล หรือ ถุง ปิดให้สนิท อย่าให้อากาศเข้าได้ เดี๋ยวข้าวที่เราทอดมันจะไม่กรอบคะ เสร็จแล้วคะ เพื่อนๆ พอมีเวลา ลองทำดูนะคะ ไม่ยากจริงๆ คะ ทำง่ายเพีียงแต่ต้องใช้เวลาในการทำข้าวให้แห้ง ถ้ามีเวลา ลองทำไว้เยอะๆ ก็ดีคะ จะเอาไปทอดทำเป็นข้าวตังหน้าตังก็ได้คะ เหมือนที่ตาทำ ข้าวตังหน้าตั้ง











credit :
http://wistakitchen.bloggang.com

Read More...


ขนม​จ้าง” สมัย​ก่อน​จะ​ได้​ทาน​กัน​แค่​ปี​ละ​ครั้ง บะ​จ่า​ง


Read More...


น้ำชุบแห้ง(น้ำพริกแห้ง)-สะตอเผา อีกเมนูอาหารใต้ขายคล่อง

‘อาหารปักษ์ใต้” ปัจจุบันก็แพร่หลายเหมือนอาหารอีสาน เป็นอีกกลุ่มอาหารยอดนิยม ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้ว อาหารปักษ์ใต้ก็ยังมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างจากอาหารภาคอื่น

ด้วย รสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน ถูกปากคนไทย ซึ่ง วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีสูตรอาหารปักษ์ใต้ การขายอาหารปักษ์ใต้ มานำเสนอให้ได้ลองพิจารณากัน...

ศุภ มน วงศ์ศิริ หรือ ขนุน เจ้าของร้านอาหารทะเล-อาหารปักษ์ใต้ “ครัวทะเล” เล่าให้ฟังว่า เดิมทีตั้งร้านอยู่แถวถนนประชาชื่น แต่เพราะพิษวิกฤติเศรษฐกิจทำให้ต้องปิดกิจการไป ซึ่งครอบครัวก็ลำบากกัน แต่ก็ช่วยกันคิดและช่วยกันทำมาหากิน โดยคุณแม่เอาเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือมาลงทุนทำไก่กะทิทรงเครื่องปักษ์ใต้ขาย โดยให้ลูก ๆ แยกย้ายนำไปขายตลาดต่าง ๆ หลังเลิกเรียนทุกวัน ซึ่งผลตอบรับดีมาก จนได้รางวัลโอทอป 4 ดาว และรางวัลการันตีความอร่อยอีกมากมาย

จุดนี้ก็สะท้อนว่าอาหารปักษ์ใต้เป็นช่องทางทำกินที่ไม่ควรมองข้าม

“เพราะ ความคุ้นเคยกับการทำอาหารและการขายของมาตั้งแต่เด็ก และเพื่อทำตามความฝันของพ่อที่อยากจะเปิดร้านอาหารเหมือนในอดีต ขนุนกับแฟนก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองด้วย พอดีเพื่อนพ่อมีที่ว่างอยู่ จึงให้เช่าในราคาที่ถูก สำหรับเปิดร้านอาหารใหม่ พอเปิดแล้วก็มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรให้การตอบรับดี โดยอาหารทะเลทางร้านจะสั่งของทะเลจากมหาชัยทุกวันเพื่อให้ได้ความสด

และ อาหารปักษ์ใต้ พวกเครื่องปรุงและวัตถุดิบ ส่วนใหญ่ก็จะสั่งตรงจากทางใต้ เช่น กะปิ เครื่องแกง เพื่อให้ได้รสชาติของใต้แท้ ๆ มากที่สุด” ขนุนบอก
อาหาร ปักษ์ใต้ของร้านนี้ ที่เด่น ๆ ก็มีมาก ที่ลูกค้าสั่งประจำก็เช่น สะตอผัดกุ้ง, ใบเหลียงผัดไข่, ไก่กะทิทรงเครื่องปักษ์ใต้, แกงเหลือง (แกงส้ม) ยอดมะพร้าวอ่อน หรืออ้อดิบ หรือหน่อไม้ดอง กับปลาเก๋า หรือปลากระบอก หรือกุ้ง หรือปู, คั่วกลิ้งหมู-เนื้อ, ปลากระบอกทอดขมิ้น , แกงไตปลา, ต้มส้มปลากระบอก, ปลากะพงโบราณ, แกงคั่วหอยแครง ฯลฯ

ทั้งนี้ การเปิดร้านอาหาร อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำ-การขายอาหาร ก็ต้องเตรียมให้ครบครัน

ไม่ว่าจะเป็น ครกหิน, จาน, เขียง, มีด, ช้อน, ส้อม, ทัพพี, หม้อหลาย ๆ ขนาด, กะละมัง, กระทะ, เตาแก๊ส-เตาถ่าน, ตะแกรง, หม้อต้มน้ำซุป, ถาด ฯลฯ ซึ่งจะใช้อุปกรณ์อะไรมากน้อยแค่ไหน ขนาดอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับขนาดร้าน-รูปแบบการขาย

ต่อไปมาดูตัวอย่างสูตรอาหาร ปักษ์ใต้ ซึ่งนอกจากที่ว่ามาข้างต้นแล้ว ขนุนบอกว่า “น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา” ซึ่งเป็นน้ำพริกรูปแบบหนึ่ง เป็นหนึ่งในเมนูอาหารปักษ์ใต้ยอดนิยมที่อยู่คู่ครัวมานาน นี่ก็ได้รับความนิยมจากลูกค้ามาก

วัตถุดิบในการทำ หลัก ๆ ก็มี... ปลาทูสด, พริกขี้หนูสวน, กะปิกุ้งอย่างดี, น้ำตาลปี๊บ, หอมแดง, สะตอ


ขั้น ตอนการทำก็ไม่ยุ่งยากมาก เริ่มจากนำปลาทูสดมาควักไส้ ล้างให้สะอาด แล้วนำไปย่างบนเตาไฟให้สุก จากนั้นแกะเอาแต่เนื้อ พักไว้ ขั้นต่อไปนำกะปิกุ้งมาห่อใบตอง แล้วนำไปย่างไฟให้มีกลิ่นหอม พักไว้

นำ พริกขี้หนู หอมแดง ใส่ครกโขลกพอบุบ จากนั้นก็ใส่น้ำตาลปี๊บ กะปิกุ้งย่าง เนื้อปลาทูย่าง ลงไปโขลกรวมกัน โขลกให้ส่วนผสมต่าง ๆ เข้ากันดี ก็เป็นอันใช้ได้ พร้อมรับประทาน พร้อมเสิร์ฟ โดยมีสะตอสดย่างไฟให้พอสุกหอม เสิร์ฟคู่ไปด้วย

นอกจาก “น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา” แล้ว ขนุนยังให้สูตรการทำ “กุ้งทอดราดซอสมะขาม” ด้วย โดยวัตถุดิบก็มี... กุ้งแม่น้ำ, น้ำตาลปี๊บ, มะขามเปียก, น้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, หอมเจียว, ผักชี, พริกชี้ฟ้า, แป้งมัน, เส้นหมี่ขาวแช่น้ำ และน้ำมันพืช

วิธีทำ นำกุ้งมาล้าง แล้วปอกเปลือก ผ่าหลังดึงไส้ออก แล้วนำไปคลุกกับแป้งมันบาง ๆ นำไปทอดให้สุก พักให้สะเด็ดน้ำมัน นำเส้นหมี่ลงทอดจนฟู พักไว้



การ ทำน้ำซอสมะขาม ติดไฟ ตั้งกระทะ ใส่น้ำซุป พอน้ำซุปเดือดใส่น้ำตาลปี๊บลงไปเคี่ยว ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว เคี่ยวให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี ชิมให้ได้รสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เค็มนิด ๆ (เหมือนกับน้ำไข่ลูกเขย) ก็เป็นอันใช้ได้ เมื่อจะเสิร์ฟก็จัดกุ้งที่ทอดลงในจาน นำเส้นหมี่ทอดวางข้างตัวกุ้ง ราดด้วยน้ำซอสมะขามที่ตัวกุ้งให้พอขลุกขลิก โรยหน้าด้วยหอมเจียว เด็ดผักชีและพริกชี้ฟ้าแดงแต่งหน้าให้สวยงาม

ราคาอาหารที่ร้านของขนุนนั้น มีตั้งแต่จานละ 60 บาทขึ้นไป ซึ่งสำหรับ “น้ำชุบแห้ง-สะตอเผา” นั้น ก็ราคาชุดละ 60 บาท

ร้าน ครัวทะเลตั้งอยู่ที่ถนนร่มเกล้า ระหว่างซอย 3–4 เยื้องมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เลยไปประมาณป้ายรถเมล์ สังเกตตึกสีฟ้า ร้านเปิดบริการช่วงเวลา 16.00-23.00 น. ทุกวัน เบอร์ติดต่อ ขนุน คือ โทร.08-1407-2289, 08-6307-7170 ซึ่งร้านนี้นอกจากขายอาหารที่ร้านแล้ว ยังมีรายได้จากการรับจัดงานเลี้ยงทั้งในและนอกสถานที่ด้วย.



****
Credit : เชาวลี ชุมขำ  : http://www.dailynews.co.th/

Read More...


อร่อยหมูแดงหมูกรอบสูตรโบราณ หอมข้าวมันไก่หลากนํ้าจิ้ม


สัปดาห์ นี้ผมจะพาเพื่อน ๆไปกินอาหารที่จังหวัดนครสวรรค์ครับ เพราะว่าหลานของผมกลับมาจากเมืองนอก จึงถือโอกาสกลับไปเยี่ยมคุณพ่อ คุณแม่ ของหลาน ผมก็เลยได้ขึ้นไปที่จังหวัดนครสวรรค์กันเพื่อพบปะสังสรรค์และหาอะไรอร่อย ๆ กิน
    
ปรากฏว่า เฮียฮ้อ พ่อของหลานผมพาไปกินอะไรอร่อย ๆ มากมายเลยครับ ผมก็เลยจะเอามาเขียนให้เพื่อน ๆ ตามไปกินกัน เพราะแต่ละร้านที่เราได้ไปกินมานั้นเป็นร้านที่อร่อยทั้งนั้นเลย เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าผมได้ไปกินอาหารมาตั้ง 5-6 ร้านนะครับ แต่สำหรับอาทิตย์นี้ผมจะเขียนถึง 2 ร้านก่อน
    
ร้านแรกเป็นร้านอาหารโบราณดั้งเดิมเปิดมาหลายสิบปีได้แล้วครับ ชื่อว่า ร้านโกตา หมูแดงหมูกรอบ ร้านนี้มีอาหารที่น่ากินมาก ๆ คือ มีหมูแดง หมูกรอบ ดูจากขนาดตู้ที่ห้อยหมูกรอบและหมูแดงยังเป็นไม้และมีกระจกกั้น นับว่ายังเป็นร้านที่อนุรักษ์ของเก่าไว้ได้เป็นอย่างดี
   
ส่วนบรรยากาศก็เดิม ๆ ครับ มีโต๊ะตั้งอยู่ในร้านเต็มไปหมด แต่ก็ไม่ได้ตกแต่งอะไรให้สวยงาม พวกผมมากินกันและก็มีความสุขในการกินอาหารร้านนี้มากครับ ที่ร้านเขาทำหมูแดง หมูกรอบแบบโบราณครับ เวลาสั่งจะได้หมูแดงกับหมูกรอบที่อร่อย เพราะหมูแดงจะใช้ส่วนของหมูที่ยังมีมันติดอยู่นิด ๆ แต่ไม่มันจนเกินไปนัก แล้วเขาก็ย่างไม่แห้งจนเกินไปด้วยครับ เมื่อมีคนสั่งเขาก็จะสไลด์ใส่จานมาให้พร้อมกับหมูกรอบที่ทางร้านทำเองเหมือน กัน ลักษณะเกือบจะเหมือนที่ฮ่องกงเลยนะครับ แต่หมูกรอบของบ้านเรานั้น เขาจะสับมาเป็นชิ้นบาง ๆ แต่ที่ฮ่องกงจะชิ้นใหญ่กว่าครับ ผมก็ได้สั่งทั้ง หมูแดง และ หมูกรอบ เลยครับ
   
จากนั้น มี เครื่องเคียง ซึ่งก็คือ ต้นหอม แตงกวา และมีมะนาวให้ด้วยนะครับ ไม่นานนักทุกคนก็ได้อีกจานหนึ่งเป็นข้าวสวย ส่วนเนื้อหมูแดงและหมูกรอบจะแยกใส่จานมาต่างหาก แล้วยังมีซอสที่เขาทำเองมาให้อีกด้วย โดยซอสเขาก็ไม่เหมือนที่เรากินในกรุงเทพฯ และที่ร้านหมูแดงอื่น ๆ นะครับ เพราะว่าโดยมากแล้วจะมีรสหวาน ๆ มัน ๆ เข้มข้นมาก ๆ แต่ซอสของที่นี่จะเบาบางกว่า ไม่เข้มข้น แต่ยังมีรสชาติที่กลมกล่อมและมีกลิ่นหอมชวนกิน แต่ดูจากลักษณะภายนอกแล้วไม่เข้มข้นเท่าที่ควรครับ เพราะไม่เหมือนที่ผมเคยเห็นมา
   
ากนั้น สิ่งที่เขาเอามาให้ คือ น้ำปลาพริกพร้อมกับมะนาว ครับ      เราก็ตักเนื้อหมูแดงและหมูกรอบ ราดด้วยซอสและเอาน้ำปลาพริกราดและมะนาวบีบลงไปกินกับข้าวรสชาติกลมกล่อมดี ครับ แต่ว่าต้องใส่น้ำปลาพริกนะครับ มิฉะนั้นผมว่าจะไม่ค่อยอร่อย และไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร ตรงนี้คงขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย แต่ถ้ากินอย่างผม รับรองอร่อยจริง ๆ ครับ
   
แล้วก็ตามด้วยแตงกวา ซึ่งคุณแม่ของเจ้าของร้านนั่งหั่นแตงกวาเป็น กองอยู่ตรงนั้นเลยครับ ร้านนี้อร่อยและโบราณมาก ราคาไม่แพงเลยครับ ผมชอบมากเลยเมื่อเข้าไปในร้านนี้ เพราะทำให้รู้สึกว่าผมเป็นเด็กอยู่ครับ เนื่องจากบรรยากาศในร้านเขาทำแบบโบราณ ๆ ทำให้นึกถึงสมัยก่อน
   
หลังจากกินเสร็จเรียบร้อยแล้วเฮียฮ้อก็พาผมไปที่ถนนสายหนึ่ง ซึ่งมีร้านที่เป็นรถเข็นขายข้าวมันไก่ ที่นี่เป็นร้าน ข้าวมันไก่รถเข็น ที่อยู่ในซอยติดกับถนนใหญ่เลยนะครับ รถเข็นคันนี้ มีสุภาพสตรีเป็นเจ้าของร้าน โดยตั้งเป็นรถเข็นขวางทางอยู่ข้างหนึ่งของซอยแล้วก็มีโต๊ะและร่มตั้งเรียง กันอยู่ 
   
สำหรับข้าวมันของเขาหอม ทำได้ไม่มันจนเกินไปนัก ส่วนไก่ต้ม สำหรับผมอาจจะแห้งไปหน่อย ส่วนราคาไม่แพงครับ ที่ร้านนี้ยังมีไก่ทอดด้วยนะครับ  เมื่อจะเข้ามากินที่ร้านนี้ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะชาวบ้านแถวนั้น แต่ชาวบ้านแถวนั้นจะไม่ค่อยนิยมกินที่ร้านกัน ส่วนมากจะซื้อห่อกลับไปกินที่บ้าน เพราะอยู่ใกล้
   
เมื่อมาถึงร้านแล้วก็ต้องจับจองหาที่นั่งกัน เมื่อได้ที่นั่งแล้วก็สั่งอาหาร พวกเราสั่ง ข้าวมัน สั่ง ไก่ต้ม แล้วก็สั่ง ไก่ทอด มากิน ส่วน น้ำซุป ของที่ร้านนี้ต้องไปตักเอาเองนะครับ ซึ่งเขาจะจัดมุมเอาไว้ให้ เมื่อตักน้ำซุปเสร็จแล้วก็นำมาวางไว้ที่โต๊ะ พออาหารมาเสิร์ฟ เขาจะมีน้ำจิ้มมาให้ทั้งสองอย่าง คือทั้งน้ำจิ้มสำหรับข้าวมันไก่ทอด และน้ำจิ้มสำหรับข้าวมันไก่ต้ม
   
น้ำจิ้มทั้งสองชนิด เป็นน้ำจิ้มที่แตกต่างกันโดยปริยาย แต่อร่อยทั้งสองอย่างเลยครับ โดยส่วนตัวของผมชอบกินเป็นน้ำจิ้มของข้าวมันไก่ต้ม โดยผมจะกินกับข้าวมันไก่ต้มและก็กินกับข้าวมันไก่ทอดด้วยเลย เพราะว่ามีความเปรี้ยว ความเผ็ดและเข้มข้นมากกว่า ผมคิดว่าน้ำจิ้มข้าวมันไก่ทอดหวานไปหน่อยนะครับ
   
สำหรับคนที่ชอบกินหวาน ยังมีซีอิ๊วหวานใส่ขวดไว้ให้ รวมทั้ง น้ำปลาและซอสอื่น ๆ อีกด้วยนะครับ มีหลายอย่างมาก ร้านนี้อร่อยครับ ถ้าใครอยากจะไปกินต้องไปแต่เช้าเลยนะครับ แล้วไปนั่งกินที่นั่น เพราะสาย ๆ อาจจะอดกินได้เพราะหมดเร็วพอสมควรครับ
   
ผมมีความสุขที่ได้กินอาหารอย่างนี้ เพราะเป็นอะไรที่ง่าย ๆ ดีไม่แพง อร่อยสมราคา สมคุณภาพใครไปที่จังหวัดนครสวรรค์ อย่าคิดว่าไม่มีอะไรกินนะครับ อาหารเช้านครสวรรค์มีให้เลือกกินมากมายเลยล่ะครับ.


การชิมหมูแดง หมูกรอบและซอส

   
อาทิตย์นี้จะขอพูดเรื่องการ ชิมหมูแดง หมูกรอบและซอส ครับ การที่เราจะชิมหมูแดงหรือหมูกรอบให้เป็นนั้น เราควรจะรู้จักลักษณะหมูแดงว่าเป็น
อย่างไร เพราะวิธีการทำหมูแดงของแต่ละร้านไม่เหมือนกันนะครับ แต่ร้านนี้ที่ผมไปชิมนั้น ทำได้ดีมากครับ
   
ที่เป็นเช่นนี้อาจจะเป็นเพราะเป็นร้านเก่าแก่มีประสบ การณ์ในการทำ เนื่องจากทำมานานจนเกิดความชำนาญ และรู้หลักการทำหมูแดงอย่างถูกต้อง ถึงทำให้เนื้อหมูแดงข้างนอกยังมีสีแดง ๆ อยู่ แต่ก็มีความแห้งและสุกแล้วนะครับ แต่ว่าข้างในยังมีความชุ่มชื้นอยู่ ตรงนี้ต้องยอมรับว่ากรรมวิธีในการทำดีมาก รู้ว่าเนื้อหมูแดงที่ดี ที่อร่อยจะต้องทำอย่างไร
   
เมื่อกัดหมูแดงเข้าไปแล้วจะได้กลิ่นเครื่องหมักที่หมักไว้ และยังได้ความนุ่มนวล รวมทั้งความชุ่มชื้นของชิ้นเนื้อหมูแดง ไม่แห้งผาดเหมือนกินกระดาษทิซชูนะครับ
   
ส่วนหมูกรอบของที่ร้านนี้นั้น จะชิมให้เป็นจะต้องดูที่ชั้นของมันหมูที่เป็นหมูสามชั้นและสังเกตความกรอบ ด้วยครับ นั่นหมายความว่า ต้องดูบนหนังของหมูกรอบที่เขาทำว่ากรอบและยังมีไขมันอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ ซึ่งไขมันที่ผมว่านั้นจะต้องเป็นไขมันที่ไม่มากจนเกินไปนัก คือ มีไขมันติดอยู่เล็กน้อยเท่านั้น
   
ซึ่งร้านนี้เขาทำแบบโบราณครับ ไม่มีพิธีรีตองอะไรเลย แต่ว่าอร่อยมาก เพราะฉะนั้น ต้องไปชิมกันดูนะครับและก็ลิ้มรสดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่อย่ากินแบบเร็วเกินไปนักนะครับ ต้องเคี้ยวและดูถึงลักษณะเวลาที่หมูกรอบเข้าไปในปากได้รสชาติอะไรบ้างแล้วจะ รู้ว่าอร่อยจริง ๆ ครับ.


เปาะเปี๊ยะหอยนางรม

เครื่องปรุงไส้เปาะเปี๊ยะ
-    น้ำมันพืช    1    ช้อนโต๊ะ
-    เบคอนหั่นเป็นเส้น ๆ    50    กรัม
-    กระเทียมสับ    1    ช้อนโต๊ะ
-    กะหล่ำปลีซอย    2    ถ้วยตวง
-    แครอทขูดเป็นเส้น    1    ถ้วยตวง
-    เกลือป่น    1    ช้อนชา
-    พริกไทย    1/2    ช้อนชา
วิธีทำ
    1. นำกระทะใส่น้ำมันพืชลงไปตั้งให้ร้อน
    2. ใส่เบคอนลงไปผัดพอหอม ใส่กระเทียมสับ กะหล่ำปลีซอย แครอทขูดเป็นเส้น ผัดพอสลด
    3. ปรุงรสด้วย เกลือป่น พริกไทย ผัดให้เข้ากัน (ไม่ต้องสุก แค่พอผักสลด) ยกออกพักไว้ให้เย็น
เครื่องปรุงหมักหอย
-    รากผักชี    1    ช้อนโต๊ะ
-    กระเทียม    1    ช้อนโต๊ะ
-    พริกไทย    1/2    ช้อนชา
-    เกลือป่น    1/2    ช้อนชา
-    หอยนางรมสะเด็ดน้ำซับให้แห้ง    200    กรัม
วิธีทำ
    1. ในครก นำรากผักชี กระเทียม พริกไทย เกลือ มาโขลกรวมกัน
    2. ในชามผสม ใส่หอยนางรม และเครื่องที่โขลกไว้ ลงไปหมักไว้ ประมาณ 10 นาที   
    3. พักไว้เป็นไส้เปาะเปี๊ยะ
เครื่องปรุงเปาะเปี๊ยะทอด
-    แป้งเปาะเปี๊ยะ    10    แผ่น
-    ไส้เปาะเปี๊ยะที่ผัดแล้ว    ตามต้องการ
-    หอยนางรมที่หมักแล้ว    200    กรัม
-    ไข่ไก่    1    ฟอง
-    น้ำมันพืช    สำหรับทอด
-    น้ำจิ้มบ๊วย    พอประมาณ
-    น้ำจิ้มซีฟู้ด    พอประมาณ
 วิธีทำ
    1. นำแผ่นเปาะเปี๊ยะมาวาง ตักไส้ที่ผัดไว้ลงขอบสามเหลี่ยมของแผ่นแป้ง วางหอยนางรมลงไปทับ และพับขอบเข้าหากัน
    2. นำไข่ไก่ใส่ถ้วยตีให้เข้ากัน นำไปทาส่วนปลาย ของแป้ง แล้วม้วนให้ปลายติดกับตัวแป้ง
    3. นำกระทะใส่น้ำมันตั้งเตาให้ร้อน นำเปาะเปี๊ยะลงทอด พอแป้งสุกเหลือง ตักออกสะเด็ดน้ำมัน
    4. จัดเปาะเปี๊ยะที่ทอดแล้วใส่จาน เสิร์ฟกับน้ำจิ้มบ๊วย หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด
ความรู้คู่ครัว
    ทำไมการทอดแผ่นเปาะเปี๊ยะจะต้องใช้ไฟแรงในการทอดเพราะอะไร?
    เพราะไม่ต้องการให้หอยสุกเกิน
หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


ปลุกชีพข้าวหมากตลาดน้ำ เติมความรู้เจาะคนรุ่นใหม่

ข้าวหมาก อาหารพื้นเมือง ที่นับวันจะเลือนหายไปจากความทรงจำของคนไทย
เช่นเดียวกับอาหารโบราณของคนไทยอีกหลายชนิดซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ถ้าไม่ได้มีการอนุรักษ์การทำอาหารพื้นเมือง เหล่านี้ไว้เพราะส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง

นางกุลิสรา ติณวัฒนานนท์ (หนึ่ง) เจ้าของสูตร
นางกุลิสรา ติณวัฒนานนท์ (หนึ่ง) เจ้าของสูตร

สำหรับผู้ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวตลาดน้ำ คงจะได้มีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรสชาติของอาหารโบราณ
ที่ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยนัก รวมถึงข้าวหมาก และสำหรับผู้ที่อยู่ในย่านกรุงเทพฯ ปริมณฑล
และต้องการชิมรสชาติของข้าวหมาก วันนี้ มีตลาดน้ำที่อยู่ใกล้ๆ เปิดให้บริการกันในย่านชานเมืองหลายแห่งรวมถึงตลาดน้ำคลองลัดมะยม ย่านพุทธมณฑลสาย 1 ตลิ่งชันซึ่งที่นี่ มีข้าวหมากสูตรโบราณที่ขึ้นชื่อ และรู้จักกันในชื่อ “ใบกล้วยข้าวหมาก หนึ่ง&ม่วย

ข้าวหมากในห่อใบตอง
ข้าวหมากในห่อใบตอง

นางกุลิสรา ติณวัฒนานนท์ ( หนึ่ง) เจ้าของสูตรข้าวหมากใบกล้วย เล่าว่า ได้เริ่มทำข้าวหมากขายมาได้ประมาณ 3 ปีจุดประสงค์ที่ทำข้าวหมากขาย ก็มาจากความต้องการที่จะอนุรักษ์อาหารไทยโบราณให้ยังคงอยู่คู่คนไทยและประเทศไทย ซึ่งนอกจากข้าวหมาก ก็ยังมีอาหารโบราณอื่นๆ ที่เริ่มหาทานได้ยากเช่น ทอดมันสมุนไพร หน่อกะลา และขนมโบราณ อย่างข้าวเหนียวตัด เป็นต้น

ผลพ่วงจากการเราตั้งใจอนุรักษ์อาหารไทยโบราณ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรอนุรักษ์มรดกไทย
เห็นถึงความสำคัญตรงจุดนี้ จึงได้คัดเลือกให้เราได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกไทยในหมวดอาหาร
โดยได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีนอกจากนี้ ในส่วนของข้าวหมาก เราก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสุดยอดโอทอป 3 ดาว ระดับประเทศด้วย

ข้าวหมากขายอยู่บนเรือ
ข้าวหมากขายอยู่บนเรือ

สำหรับสูตรข้าวหมากเป็นสูตรโบราณที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากป้า ซึ่งทำขายอยู่กับบ้านมานานหลายสิบปีและต่อมาเลิกทำไป เพราะลูกค้าเริ่มลดน้อยลง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่รู้จักและกินไม่เป็นในส่วนของตนเองเริ่มทำในช่วงที่มีการโปรโมทการทำตลาดน้ำคลองลัดมะยมก็เลยตัดสินใจนำข้าวหมาก ทอดมันหน่อกะลาใส่เรือพายมาขายเพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของตลาดน้ำ คือการอนุรักษ์ของใช้และอาหารโบราณ

“ส่วนชื่อข้าวหมาก หนึ่ง&ม่วย มาจากชื่อของตนเองและพี่สาว เพราะทำขายกัน 2 ร้าน แต่เป็นสูตรเดียวกันลูกค้าสามารถซื้อร้านไหนก็ได้รสชาติเดียวกัน และราคาเหมือนกันและในส่วนของชื่อใบกล้วย มาจากอาหารของเราทุกชนิดจะใส่ภาชนะทำจากใบกล้วย หรือใบตองเพราะการใส่ใบตองเป็นการช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติ และลดการใช้ถุงพลาสติกที่สำคัญอาหารใส่ใบตองดูสดใหม่ และน่ากินมากขึ้น”

ตลาดน้ำคลองลัดมะยม

นอกจากการขายที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม บางส่วนมีขายส่งให้กับคนทั่วไปที่มารับไปจำหน่ายอีกทอดหนึ่งโดย ลูกค้าจะมีทั้งที่มารับไปเองและให้เราจัดส่งให้ ราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานที่ส่งใกล้ หรือไกลซึ่งราคาขายส่งจะอยู่ที่ห่อละ 3.50 บาท ไปจนถึง 4 บาท ส่วนราคาขายปลีกห่อละ 5 บาท และ 6 บาทแล้วแต่สถานที่ขายแต่ละแห่ง แต่ในส่วนของคุณหนึ่งและม่วย ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยมจะขายห่อละ 5 บาท

นางกุลิสรา เล่าว่า ทั้งนี้จากการที่เราได้เข้าไปขายในมหาวิทยาลัยมหิดลทำให้รู้ว่า ปัจจุบันลูกค้าในกลุ่มนักศึกษาวัยรุ่น มีความรู้ในเรื่องของคุณประโยชน์ของข้าวหมากมากขึ้นซึ่งประโยชน์ของข้าวหมากช่วยบำรุงผิว บำรุงเลือด และสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายและเมื่อความรู้ตรงนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้เราได้ลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นที่รักและใส่ใจสุขภาพหันมากินข้าวหมากกันมากขึ้น

สำหรับรายได้ขายปลีกที่ตลาดน้ำอยู่ที่วันละขั้นต่ำ 300 ห่อขึ้นไปขายเฉพาะวันเสาร์- อาทิตย์ และวันศุกร์จะเข้าไปขายอยู่ในมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งขายวันละ 300ห่อ เช่นกันส่วนขายส่งนั้นทำส่งขายทุกวัน วันละ 1,000 ห่อไปจนถึง 3,000 ห่อ ลูกค้ามาจากการบอกกันแบบปากต่อปากจากการที่ลูกค้าได้มาซื้อกินที่ตลาดน้ำและชื่นชอบ ก็มาเป็นลูกค้าประจำกันเช่นเดียวกับการขายส่งก็มาจากจุดเริ่มต้นที่ตลาดน้ำนี้เช่นกัน

ข้าวเหนียวตัดสูตรโบราณหวานตามธรรมชาติ
ข้าวเหนียวตัดสูตรโบราณหวานตามธรรมชาติ

ส่วนข้าวหมากที่จะให้คุณประโยชน์ตรงนี้ได้ดี ต้องเป็นข้าวหมากที่อยู่ในช่วงที่เรียกว่าข้าวหมากสุก
หรือปริมาณแอลกอฮอล์ที่ไม่มากอยู่ที่ประมาณ 0.05 %
ซึ่งข้าวหมากจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
คือ ข้าวหมากดิบ ยังนำมาทานไม่ได้ ช่วงที่สอง ข้าวหมากสุก กำลังทาน
และช่วงที่สาม เป็นข้าวหมากงอม คือ ทิ้งไว้นานปริมาณแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้นกินไปมากก็ทำให้เมาได้
ซึ่งอายุการเก็บรักษาข้าวหมากให้อยู่ในช่วงข้าวหมากสุกอยู่ระหว่าง 2-7 วัน หลังจากนั้นเป็นข้าวหมากงอม


“สาเหตุที่เราได้ลูกค้าประจำค่อนข้างมาก เพราะรสชาติที่เป็นแบบโบราณ
ซึ่งเป็นจุดเด่นของเราที่ต่างจากคนทำข้าวหมากในปัจจุบัน
เคล็ดลับของการทำข้าวหมากสูตรโบราณ คือ ต้องไม่ใส่น้ำตาล
แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะเติมน้ำตาล ทำให้ไม่ได้รสชาติความหวานแบบธรรมชาติ
และเราเลือกใช้ลูกแป้งหมักอย่างดี ซึ่งซื้อลูกแป้งมาจากจังหวัดเชียงใหม่
และบวกกับเคล็ดลับและเทคนิคการทำข้าวหมากที่เป็นสูตรเฉพาะ ทำให้รสชาติออกมาดี”

โทร. 08-5551-2935


จาก อาชีพแก้จน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
8 มิถุนายน 2552
ที่มา : http://www.manager.co.th

Read More...


หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ -1

การเก็บ "หน่อไม้ฝรั่ง" ส่งขายทั้งตลาดภายในประเทศและส่งออกไปยังเพื่อนบ้าน
เกษตรกรชาวไร่ต้องตกแต่งตัดโคนที่แข็งแก่ออกทิ้ง เพื่อให้สวยงาม ดูแล้วน่ากิน
ซึ่งหลังรวบรวมผลิตผลเสร็จ จะเหลือ "โคนแข็ง" อยู่ เหลือทิ้งกลายเป็นขยะมากมาย
เพื่อลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน น.ส.จันทร์จีรา ทองร้อยยศ
นักศึกษาชั้นปีที่ 4ภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรีจึงนำมาแปรรูปเป็น "หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส"

จันทร์จีรา บอกกับ "ทำได้ ไม่จน" ว่า ในหน่อไม้ฝรั่ง มีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ
มีวิตามิน B 3 บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น และจากการที่พบเห็นว่าโคนหน่อไม้ฝรั่งในชุมชน
หลังตกแต่งเสร็จแล้วจะมีเหลือทิ้งจำนวนมาก รู้สึกเสียดาย อีกทั้งราคาซื้อขายค่อนข้างแพง
จึงคิดว่าน่าจะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในรูปแผ่นปรุงรสเพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของกลุ่มคนที่ชอบทานของขบเคี้ยวเล่นในยามว่าง

หน่อไม้ฝรั่ง

ขั้นตอนกรรมวิธีการทำนั้นไม่ยุ่งยาก เริ่มจากนำโคนหน่อไม้ส่วนที่ตัดทิ้ง 500 กรัม มาล้างน้ำให้สะอาด
เลือกเอาเฉพาะที่ยังมีสีเขียวมาปอกเปลือกเอาส่วนที่แข็งออก จากนั้นนำไปลวกในน้ำร้อนจัดนาน 1-2 นาที เสร็จแล้วแช่ในน้ำเย็นจัดปล่อยทิ้งไว้
 

...จากนั้นผัดเครื่องปรุงประกอบด้วย พริกไทยป่น 2.5 กรัม น้ำมันพืช 10 กรัม กระเทียม 15 กรัม
กระทั่งมีกลิ่นหอม จึงใส่เกลือ 5 กรัม น้ำตาล 7.5 กรัม ตักใส่รวมกับหน่อไม้ นำไปปั่นให้เข้ากัน

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส

เสร็จแล้วนำถุงพลาสติกขนาด 12 x 18 นิ้ว ซึ่งทาด้วยน้ำมันพืช นำไปรีดเป็นแผ่นบางๆ ให้สม่ำเสมอกัน
แล้วแกะออกเป็นแผ่น นำไปอบลมร้อนในอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 5 ชั่วโมงนำมาตัดเป็นแผ่นขนาด 1.5-1 นิ้วเพียงเท่านี้ก็จะได้ หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส ซึ่งมีลักษณะเหมือนสาหร่ายแผ่น ที่ขายตามท้องตลาด


...แล้วยังอุดมด้วยคุณประโยชน์ด้านโภชนา ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ลดปริมาณคอเลสเทอรอลในเส้นเลือดเพราะมีการปรุงแต่งกลิ่นรสชาติจากสมุนไพร ทั้งกระเทียมและพริกไทยซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณมาก

ใครที่สนใจทำไว้สำหรับกินเล่นในครอบครัวหรือจะทำขายเพื่อ "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้" ก็ไม่จนเงินใช้อย่างแน่นอน สามารถกริ๊งกร๊างสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 08-1362-7269 ในวันและเวลาที่เหมาะสม.


รายงานโดย เพ็ญพิชญา เตียว
ข้อมูลโดย : http://www.thairath.co.th

Read More...


เมี่ยงปลาหมุน' เมนูเพื่อสุขภาพทำเงิน

'เมี่ยงปลาหมุน' เมนูเพื่อสุขภาพทำเงิน













หากพูดถึง “เมี่ยง” หลายๆ คนคงจะนึกถึงเมี่ยงคำเป็นอันดับแรกๆ
ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลอาชีพเกี่ยวกับเมี่ยงมาให้พิจารณากัน
แต่ไม่ใช่เมี่ยงคำ เป็นอีกหนึ่งเมนูเมี่ยงที่ดีต่อสุขภาพ
เพราะวัตถุดิบหลักทำจากปลา อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เมี่ยงที่ว่านี้ก็คือ “เมี่ยงปลา

ไพฑูล เพ่งกลิ่น เจ้าของสูตร “เมี่ยงปลาหมุน” เล่าว่า ทำอาชีพขายเมี่ยงปลาหมุนมาประมาณ 2 ปี
ก่อนหน้านี้เป็นพนักงานฝ่ายการตลาดหนังสือพิมพ์กีฬาฉบับหนึ่งนานถึง 14 ปี เมื่อถึงจุดหนึ่งก็อยากมีธุรกิจส่วนตัวทำ
จึงลาออกจากงานมามองหาลู่ทาง ซึ่งช่วงเป็นพนักงานฝ่ายการตลาดนั้นออกต่างจังหวัดตลอด
มีโอกาสได้เจอกับของกินแปลก ๆ โดยเฉพาะอาหารพื้นเมืองจะชอบกินมาก ก็พุ่งเป้าไปที่การขายอาหารกลุ่มนี้

ระหว่างที่มองหาอาชีพใหม่ ก็ทราบว่าธุรกิจเมี่ยงปลาเผากำลังดังอยู่ที่ชลบุรี และย่านหลังมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ก็สนใจ เลยสำรวจดูในโซนที่ตั้งใจจะทำการค้า พบว่ายังไม่มีใครทำ จึงตัดสินใจทำอาชีพนี้โดยนำสูตรจากซีพีมาปรับ
ลองผิดลองถูกอยู่นาน 3 เดือน ก็ลงตัวเป็นสูตรมาตรฐานของตัวเอง ซึ่งกระแสตอบรับก็ดี

ปลาที่ไพฑูลใช้เป็นปลาทับทิม ใช้ปลาสดๆ นำมาย่าง เนื้อปลาจะหวานสดอร่อย
ไม่มีการย่างค้างเอาไว้รอขายให้ลูกค้าเสียความรู้สึก ซึ่งสำหรับลูกค้าประจำจะมีการโทรฯสั่งล่วงหน้า 20-30 นาที
เมื่อลูกค้ามาถึงปลาก็ย่างสุกพอดี นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มเติมกลยุทธ์เรียกลูกค้าแบบถึงอกถึงใจด้วยระบบ “เดลิเวอรี่”
บริการส่งอาหารถึงบ้านลูกค้าในย่านซอยวัชรพล และบริเวณใกล้เคียง โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มแต่อย่างใด

สำหรับการทำอาชีพนี้ วัสดุอุปกรณ์หลักๆ ก็มี เตาหมุนย่างอัตโนมัติ, ถาดสเตนเลส, กะละมัง, คีมคีบถ่าน
และถ่านหุงข้าว ขณะที่ส่วนผสม-วัตถุดิบ หลักๆ คือ ปลาทับทิม, เกลือป่น, ตะไคร้, ใบมะกรูด

เครื่องเคียงที่กินคู่กับปลา ก็ประกอบด้วย เส้นหมี่ลวก และผักสด นานาชนิด
โดยผักที่ใช้รอง ก็เช่น ผักกาดหอม, ผักกาดขาว และใบชะพลู
ส่วนผักแกล้ม ก็มี ใบสะระแหน่, โหระพา, ผักชีฝรั่ง, ผักชีไทย เป็นต้น

หัวใจสำคัญของอาหารชนิดนี้ ซึ่งไพฑูลเรียกว่า “เมี่ยงปลาหมุน” อยู่ที่ “น้ำจิ้มรสเด็ด
จะมีทั้งน้ำจิ้มเผ็ด หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด รสชาติเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ดสะใจ และน้ำจิ้มหวาน รสกลมกล่อม หวานอมเปรี้ยว

ขั้นตอนการทำ “เมี่ยงปลาหมุน”
เริ่มจากนำปลามาทำความสะอาด ผ่าท้องควักไส้ ไม่ต้องขอดเกล็ด ล้างให้สะอาด พักพอสะเด็ดน้ำ
นำตะไคร้ทุบพอแตก ใบมะกรูดฉีก ยัดเข้าไปในพุงปลาให้เต็ม เพื่อดับกลิ่นคาว
นำเกลือป่นที่เตรียมไว้มาคลุกให้ทั่วตัวปลา นำเหล็กแหลมหรือไม้ที่ใช้ย่างปลามาเสียบตัวปลา ก่อนจะนำไปย่าง

การย่างจะใช้เตาถ่านที่ไฟร้อนกรุ่นๆ อยู่ด้านล่าง โดย อุปกรณ์สำหรับย่างต้องสั่งทำพิเศษ
ใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน ใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงาน ทำให้เกิดการหมุนตัวปลาที่ย่าง
ใช้เวลาหมุนย่างประมาณ 25 นาที ปลาก็จะสุกสม่ำเสมอกันดี มีสีสันและกลิ่นหอมชวนรับประทาน

สำหรับน้ำจิ้มรสเด็ด
ถ้าเป็นน้ำจิ้มชนิดเผ็ด หรือน้ำจิ้มซีฟู้ด ส่วนผสมก็มี พริกขี้หนูสวนสีเขียวสด, รากผักชี,
กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก, โหระพา, มะนาว, เกลือ และน้ำตาลทราย
โดยนำน้ำตาลทรายกับน้ำไปต้มจนเป็นน้ำเชื่อม แล้วทิ้งไว้ให้เย็น ปั่นกระเทียม ใบโหระพา รากผักชี,
พริกขี้หนูทั้งหมด ให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน เทใส่ในชาม
เติมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำมะนาว คนให้เกลือละลาย ปรุงรสให้แซบสะใจ เปรี้ยว เค็ม หวาน

ถ้าเป็นน้ำจิ้มหวาน ใช้น้ำมะขามเปียก, น้ำปลา, น้ำตาลปี๊บ และถั่วลิสงตำหยาบ
โดยนำน้ำตาลปี๊บใส่หม้อต้ม เติมน้ำสะอาดลงไปนิดหน่อย
พอเดือดก็ใส่น้ำปลา น้ำมะขามเปียก คนผสมให้เข้ากัน เคี่ยวต่อจนงวด ชิมให้ได้รสเปรี้ยว เค็ม หวาน
โรยหน้าด้วยถั่วลิสงคั่วตำหยาบๆ หรือจะใช้ถั่วตัดก็ได้ รสชาติจะจัดจ้านอีกแบบ

การขาย เมื่อลูกค้าสั่งเมี่ยงปลาหมุน ก็จะเสิร์ฟ หรือขายเป็นชุดๆ พร้อมกับผักสด เส้นหมี่ลวก น้ำจิ้มรสเด็ด 2 ชนิด
ส่วนวิธีรับประทานเมี่ยงปลาหมุน ก็เหมือนแหนมเนือง เริ่มจากเด็ดผักสดขนาดพอคำวางไว้ในจาน
แกะเนื้อปลาวางตามลงไป ตามด้วยเส้นหมี่ลวก ราดด้วยน้ำจิ้มรสเด็ด ซึ่งมี 2 รสชาติให้เลือกตามชอบ

ราคาขาย “เมี่ยงปลาหมุน” ของไพฑูล ขึ้นอยู่กับขนาดของปลา
ขนาดเล็ก น้ำหนัก 8-9 ขีด ราคา 180 บาท
ขนาดกลาง 1-1.2 กก. ราคา 200 บาท
ขนาดใหญ่ น้ำหนัก 1.3 กก.ขึ้นไป ราคา 220 บาท

ไพฑูลขาย “เมี่ยงปลาหมุน” อยู่ที่ลานจอดรถหน้าห้างเนเบอร์เซ็นเตอร์ ห้าแยกวัชรพล
ขายทุกวันช่วง 17.00-21.00 น. พร้อมมีชุดอุปกรณ์เตาย่างแบบหมุนอัตโนมัติขายให้ผู้สนใจด้วย
โดยใครต้องการติดต่อไพฑูลก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-7001-5888
ซึ่งนี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ด้วยเมนูปลาเพื่อสุขภาพ.

-------------

คู่มือลงทุน เมี่ยงปลาหมุน
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับขนาด-รูปแบบร้าน
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา
รายได้ ราคาชุดละ 180-220 บาท
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ตลาดนัด, ชุมชน
จุดน่าสนใจ เมนูปลาเพื่อสุขภาพเป็นจุดขาย


เชาวลี ชุมขำ รายงาน
ที่มา : http://www.dailynews.co.th

Read More...


ขนมจีนบุฟเฟ่ต์’ ไม่ใหม่...แต่ยังไปได้ดี!!

‘ขนมจีนบุฟเฟ่ต์’ ไม่ใหม่...แต่ยังไปได้ดี!!









อาชีพทำอาหารขายก็ต้องรู้จักมองหาโอกาสตลาดและวิเคราะห์ลูกค้า
หากเพิ่มจุดเด่นในการบริการ-ปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้า
อาชีพขายอาหารธรรมดาๆ ก็สามารถต่อยอดและเพิ่มมูลค่าได้อย่างน่าสนใจ
อย่างเช่นร้าน “ขนมจีนบุฟเฟ่ต์” ที่แม้จะมีมานาน แต่จนวันนี้ก็ยังเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีได้

เอกยศ เก้าเอี้ยน” ครอบครัวทำธุรกิจขนมจีนอยู่ก่อน โดยขายทั้งปลีกและส่ง
ต่อมาเขามองว่าสามารถนำมาขยาย และเปลี่ยนรูปแบบให้บริการขนมจีนแบบบุฟเฟ่ต์ได้
เพราะวัตถุดิบก็มีอยู่แล้ว และไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
จึงตัดสินใจเปิดร้านขนมจีนบุฟเฟ่ต์ในชื่อ “มีน้ำยา” ในซอยลาดพร้าว 71 เปิดมาราว 3 เดือนแล้ว

ที่เลือกทำเลจุดนี้ เอกยศบอกว่า เนื่องจากเป็นพื้นที่โซนออฟฟิศ มีห้างร้านและสำนักงานอยู่มาก
เนื่องจากการให้บริการร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์นี้ จุดสำคัญคือควรเป็นพื้นที่ที่มีคนสัญจรไปมาอยู่ตลอด
โดยที่ร้านจะเปิดขาย 08.00-15.30 น. ซึ่งในแต่ละวันจะมีลูกค้าเฉลี่ยประมาณ 80-100 คน
โดยลูกค้าจะแน่นมากที่สุดก็คือช่วยพักกลางวัน คือตั้งแต่ 11.00-13.00 น.
ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์จะเป็นลูกค้ากลุ่มครอบครัว

สาเหตุที่มีลูกค้ามานั่งรับประทานเป็นจำนวนมาก คือราคาของบุฟเฟ่ต์ ที่ต่อคนคือ 35 บาท โดยตักได้ไม่อั้น
กินได้จนอิ่ม ของจะมีเติมตลอด ไม่ว่าจะเป็นขนมจีน ข้าวสวย และน้ำยา-น้ำพริก-แกง
โดยเมนูของทางร้านจะมีอยู่ 5 ชนิดคือ น้ำยาแกงเขียวหวาน, น้ำยาป่า, น้ำยากะทิ, แกงไตปลา และน้ำพริก

นอกจากนี้ ก็จะมีเมนูอาหารอื่นเสริมสลับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอด อาทิ ข้าวผัด, ผัดหมี่, น้ำพริกกะปิ
เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการรับประทานมากขึ้น
และร้านขนมจีนบุฟเฟ่ต์ก็ควรจะมีเมนูเสริม อาทิ ของหวาน, เครื่องดื่ม ไว้จำหน่ายเสริม
โดยที่ร้านนี้จะมีเฉาก๊วยน้ำแข็งให้บริการในราคาถ้วยละ 10 บาท

จุดสำคัญของธุรกิจแบบนี้คือ ต้องพยายามคัดของให้สดใหม่เสมอ เพราะลูกค้าอาจจะเดินเข้ามาทานซ้ำกันในวันถัดไป
นอก จากนี้ยังต้องมีพนักงานคอยตรวจดูปริมาณอาหารที่พร่องตลอด หากพร่องไปเกินครึ่งก็จะต้องนำอาหารออกมาเสิร์ฟ-มาเติมใหม่ทันที” เอกยศกล่าวแนะนำ

พร้อมบอกอีกว่า น้ำยาทุกชนิดจะมีสูตรเฉพาะตัว คือ รสชาติเข้มข้น แต่ไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป
แต่หากใครชอบรสชาติเผ็ด ก็สามารถเติมพริกทอดเพื่อเพิ่มรสชาติทีหลังได้
ส่วนเคล็ดลับของความอร่อยคือ เลือกใช้ของมีคุณภาพดี และใหม่สดทุกวัน
โดยที่ผ่านมาถึงจะมีกำไรไม่มากมายอะไรนัก แต่สามารถอยู่ได้สบาย ๆ

ทุนเบื้องต้นอาชีพนี้ ไม่รวมสถานที่ อยู่ที่ประมาณ 30,000 บาท ทุนหมุนเวียนอยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทต่อวัน
รายได้อยู่ที่ราคาขายหัวละ 35 บาท และมีรายได้เสริมจากเครื่องดื่มและของหวาน
‘ขนมจีนบุฟเฟ่ต์’ ไม่ใหม่...แต่ยังไปได้ดี!!-1








การเตรียมการขาย
ขั้นตอนแรกต้องเตรียมขนมจีน เมนูเสริมอย่างอื่นของร้านก็เตรียมไว้อย่างละหม้อหรือถาด
ที่สำคัญต้องเตรียมผักสด-ผักต้มที่ทานกับขนมจีนด้วย ได้แก่ หัวปลีซอย, ถั่วงอกต้ม, ผักบุ้งหั่นต้ม, กะหล่ำปลีซอย,
แตงกวาหั่นบาง, ใบแมงลัก, ถั่วฝักยาวหั่น, ถั่วงอกสด, ผักกาดดองหั่น
จัดวางไว้เป็นถาดเพื่อให้ลูกค้าเลือกรับประทานตามใจชอบ
ทั้งนี้ อีกหลักสำคัญคือ ของที่จัดไว้ต้องดูสวยงาม และใหม่สดสะอาดเสมอ
นอกจากนี้ก็ควรมี โถพริกน้ำปลา, โถน้ำตาล, โถพริกป่น, โถพริกขี้หนูแห้งทอด วางไว้ด้วย

สำหรับสูตรน้ำยา มาดูสูตร “น้ำยากะทิ” สัก 1 สูตร โดยวัตถุดิบตามสูตรก็มี
เนื้อปลาทู 1 กิโลกรัม,
กะทิคั้นสด 3 กิโลกรัม,
พริกไทยดำป่น 2 ช้อนโต๊ะ,
หอมแดง 10 หัว,
กระเทียม 1 ขีด,
กระชาย 2 หัว,
ตะไคร้ 5 ต้น,
ขมิ้น 1 เหง้า,
กะปิ 1 ถ้วยตวง,
เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ,
พริกสด 2 ขีด

วิธีทำ
ขั้นตอนแรกนำปลาทูสดที่เตรียมไว้มาต้มกับพริกและเครื่องสมุนไพร เพื่อดับกลิ่นคาวและเพิ่มความหอมในเนื้อปลาทู
จากนั้นทำการแกะเนื้อปลาทู พักไว้ นำส่วนผสมเครื่องแกงทำน้ำยามาปั่นให้ละเอียด
จากนั้นนำเนื้อปลาและส่วนผสมไปต้มในน้ำเดือด ใส่กะทิคั้น กะปิ และเติมเกลือเล็กน้อย
หรือปรุงรสตามต้องการ ชิมรสตามชอบ พอเดือดก็ยกลง เป็นอันเสร็จ พร้อมใช้ในการขาย
โดยเอกยศแนะนำว่า การทานขนมจีนให้อร่อยนั้น ต้องอุ่นน้ำยาให้ร้อนตลอดเวลา เพื่อให้มีกลิ่นหอม

และแม้ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์จะใช้ราคาถูกเพื่อดึงดูดลูกค้า
แต่เรื่องฝีมือการปรุงอาหาร และการบริการ ยังมีความสำคัญมากเช่นกัน ต้องควบคุมให้คุณภาพ-รสชาติดีคงที่
เพราะหากทำไม่อร่อย แม้ราคาจะถูกแค่ไหน ก็คงไม่มีใครเข้าร้านมากจนพอมีกำไรจากการขายแบบบุปเฟ่ต์อย่างแน่นอน

หัวใจของร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ นอกจากเรื่องปริมาณ และรสชาติแล้ว ด้านการบริการก็ยังเป็นส่วนสำคัญ
รวมถึงเรื่องความสะอาด ทำเล เพราะเหล่านี้จะส่งผลถึงการประสบความสำเร็จ”

ร้านขนมจีนบุฟเฟ่ต์ มีน้ำยา ของเอกยศ อยู่ในซอยลาดพร้าว 71 เบอร์โทรศัพท์คือ 08-7007-0006, 08-0667-7008
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่ง ไอเดียธุรกิจอาหารประเภทจานเดียว...ที่วันนี้ยังไปได้.


ศิริโรจน์ ศิริแพทย์ : รายงาน
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

Read More...


ซาลาเปารสขิง’ เมนูสุขภาพ...มัดใจลูกค้า

‘ซาลาเปารสขิง’ เมนูสุขภาพ...มัดใจลูกค้า

ซาลาเปา” เป็นของกินที่มีการทำขายอยู่ทั่วไป มีไส้ต่างๆ ให้ลูกค้าเลือกตามความพอใจ ราคาไม่สูง
แต่สำหรับการทำขายก็ถือว่ามีการแข่งขันกันสูงพอสมควร
ดังนั้น คนทำซาลาเปาขายจึงต้องมีการสร้างจุดขายเพื่อดึงให้ลูกค้าสนใจ
และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอข้อมูล “ซาลาเปารสขิง” ซึ่งก็น่าสนใจ...

อ้อ-สันศนีย์ จันทร์จันทร์ นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เป็นเจ้าของไอเดีย “ซาลาเปารสขิง
โดยมี ผศ.สุชาดา งามประภาวัฒน์ เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำ

เจ้าของไอเดียเล่าว่า ซาลาเปารสขิงถือว่าเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” อีกชนิดหนึ่ง
อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องทานอาหารระหว่างเดินทาง
โดยสรรพคุณของ
ขิงช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการเมารถเมาเรือได้ มีสรรพคุณดีกว่ายาแก้เมาเสียอีก

สรรพคุณของขิงที่
มีรสหวาน เผ็ดร้อน ช่วยขับลม แก้ท้องอืด จุกเสียด แน่นเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน แก้หอบไอ
ขับเสมหะ แก้บิด
โดยขิงสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายรูปแบบทั้งของคาว ของหวาน
หรือทานสดๆ เป็นเครื่องเคียง รวมถึงแปรรูปเป็นขิงผง ขิงดอง และน้ำขิงได้อีกด้วย
ส่วนซาลาเปาเป็นอาหารที่นิยมรับประทานรองท้องไม่ให้หิว

นอกจากนี้ ยังเป็นอาหารว่าง ที่กระตุ้นให้อยากรับประทานอาหารประเภทอื่นได้อีกด้วย
ซึ่งซาลาเปาก็มีทั้งไส้หวาน ไส้เค็ม มีทั้งไส้หมูสับ ไส้หมูแดง ไส้ครีม ไส้ถั่วดำ และก็ทำให้มีรสขิงได้ด้วย

การทำซาลาเปา
อุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ อาทิ หม้อนึ่งซาลาเปาหรือซึ้งนึ่ง, เครื่องนวดแป้ง, เตาแก๊ส,
ถาดอะลูมิเนียม, ไม้นวดแป้ง และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ด

สำหรับวัตถุดิบ-ส่วนผสมสำหรับทำ “ซาลาเปารสขิง” แยกเป็น...
ส่วนผสมที่ 1 ประกอบด้วย
แป้งสาลีตราบัว 120 กรัม,
ยีสต์ 1½ ช้อนชา,
น้ำเปล่า 3½ ช้อนโต๊ะ
และส่วนผสมที่ 2 ประกอบด้วย
แป้งสาลี 75 กรัม,
ผงฟู 1 ช้อนชา,
น้ำตาลทราย 35 กรัม,
เนยขาว 20 กรัม,
เกลือ ¼ ช้อนชา
และ น้ำขิง 2 ช้อนโต๊ะ
‘ซาลาเปารสขิง’ เมนูสุขภาพ...มัดใจลูกค้า-1


ขั้นตอนการทำ “ซาลาเปารสขิง”
เริ่มจากทำส่วนผสมที่ 1 นำแป้งสาลีผสมกับยีสต์ในกะละมัง คลุกเคล้าให้เข้ากัน ก่อนจะใส่น้ำสะอาดตามลงไป
ทำการนวดพอเข้ากัน ตั้งพักไว้ให้แป้งขึ้นเป็นเท่าตัว

ต่อไปเป็นการเตรียมส่วนผสมที่ 2 นำแป้งสาลีเทใส่ลงในกะละมัง ตามด้วยผงฟู น้ำขิง และน้ำสะอาด
คลุกเคล้าพอเข้ากัน จากนั้นก็นำแป้งส่วนผสมที่ 1 ที่ทำไว้ มาผสมเข้ากับส่วนผสมที่ 2 นวดพอเข้ากัน
แล้วจึงใส่เนยขาวเป็นขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นก็นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนแป้งเนียน
แล้วพักไว้ 10 นาทีให้แป้งได้ที่

ระหว่างนี้ก็ทำ ไส้ไก่ผัดขิง โดยส่วนผสมก็มี...
เนื้อไก่ 100 กรัม,
ขิงอ่อน 25 กรัม,
เห็ดหูหนู 50 กรัม,
หอมหัวใหญ่ 50 กรัม,
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ,
น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ,
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
และน้ำมันพืช

สำหรับขั้นตอนการทำไส้ไก่ผัดขิง เริ่มจากทำการล้างเนื้อไก่ ขิงอ่อน เห็ดหูหนู และหอมหัวใหญ่ ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
แล้วทำการหั่นส่วนผสมทั้งหมดเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ
จากนั้นนำกระทะตั้งไฟ พอร้อนใส่น้ำมันพืชลงไปเพียงเล็กน้อย ใส่หอมหัวใหญ่และขิงอ่อนลงไปผัดให้หอม
แล้วจึงใส่เนื้อไก่ตามลงไปผัดให้สุก ปรุงรสด้วยซอสปรุงรสและน้ำตาลทราย
จากนั้นจึงใส่เห็ดหูหนูตามลงผัด 4-5 ที พอแห้ง ชิมรสให้กลมกล่อม

รสได้ที่แล้วก็ยกลงจากเตา ตั้งพักไว้ให้เย็นเตรียมไว้

ขั้นต่อไปนำแป้งที่เตรียมไว้มาตัดแบ่งเป็นก้อนๆ ปั้นเป็นก้อนกลม ก้อนละ 20 กรัม
(ส่วนผสมตามที่แนะนำทำซาลาเปาได้ประมาณ 18 ลูก) พักไว้ 10 นาที เพื่อให้แป้งขึ้น
ก่อนจะทำการห่อไส้ ด้วยการใช้ไม้คลึงมารีดแป้งกลับไปกลับมาให้เป็นแผ่นกลม ตักไส้ใส่ลงตรงกลางแป้ง
ค่อยๆ จีบเป็นกลีบก่อนจะหุ้มปิดเพื่อความสวยงาม นำผ้าขาวบางชุบน้ำบิดให้แห้งคลุมปิดไว้
ก่อนจะนำไปนึ่งในน้ำเดือดราว 10 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย

อ้อ-สันศนีย์ บอกด้วยว่า
“ซาลาเปารสขิง” สามารถเก็บไว้ได้นานราว 2 เดือน ในช่องแช่แข็ง
เมื่อจะรับประทานก็นำออกมาเข้าไมโครเวฟ ซึ่งซาลาเปารสขิงนี้จะมีทั้งกลิ่นและรสของขิง เป็นรสชาติที่ลงตัว

ซาลาเปารสขิง” เป็นผลงานของนักศึกษา
แต่ก็สามารถนำไปพลิกแพลงต่อยอดทางการค้า เป็น “ช่องทางทำกิน” ได้
โดยคำนวณตั้งราคาขายให้มีกำไรประมาณ 40% หลังหักทุนวัตถุดิบ
ซึ่งหากใครสนใจ ต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ก็ลองติดต่อไปที่ ผศ.สุชาดา มทร.ธัญบุรี โทร. 08-9526-7598.


เชาวลี ชุมขำ : รายงาน
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

Read More...


บัวลอยไข่เค็ม’ หา ‘จุดต่าง’ สร้างอาชีพ

‘บัวลอยไข่เค็ม’ หา ‘จุดต่าง’ สร้างอาชีพ

ยุคนี้สมัยนี้ขนม “บัวลอย” มีการทำขาย-หากินได้ตลอดทั้งปีไม่เลือกฤดู แถมยังมีบัวลอยแบบแปลกๆ ใหม่ๆออกมานำเสนอแก่ผู้บริโภคเสมอๆ อาทิ บัวลอยเผือก บัวลอยทรงเครื่องไข่นกกระทา
ขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ การพลิกแพลงของผู้ทำขาย เพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า
อย่าง “บัวลอยไข่เค็ม” ที่ออกมาประชันกับบัวลอยไข่หวานที่ทีม “ช่องทางทำกิน” นำเสนอในวันนี้ ก็น่าสนใจ.....

เจ้าของสูตร “บัวลอยไข่เค็ม” ทำงานประจำอยู่แล้ว
แต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ววิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจภาพรวมในอนาคตอาจจะไม่ค่อยดีนัก ต้องหารายได้เพิ่ม
จึงไปเรียนปั้นขนมบัวลอยกับญาติที่อยุธยา เพราะทานแล้วรู้สึกชอบ

เมื่อทำเป็นก็เปิดร้านเอง แรกๆ ก็ขายตามตลาดนัด และค่อยๆ ขยับขยายมาขายในตึกแถวเป็นหลักแหล่ง
ที่เป็นบัวลอยไข่เค็มนั้น ปรียาพรรณ ทิพหา เจ้าของสูตรเล่าว่า เคยได้ยินว่ามีคนทำขายย่านฝั่งธนฯ
จึงลองหัดทำเองดูบ้าง ปรากฏว่าก็ทำได้ เพราะมีพื้นฐานการทำขนมเป็นอยู่แล้ว ส่วนที่เพิ่มเติมก็ไม่ยากอะไรและนอกจากตนเองที่ทำเป็นแล้ว ก็ยังสอนให้คนในครอบครัวอีก 3-4 คนทำได้หมดอีกด้วย

ในแต่ละวันร้านบัวลอยไข่เค็มร้านนี้จะใช้แป้งข้าวเหนียวสด 7 กก.
ขายทั้งบัวลอยธรรมดา บัวลอยไข่หวาน และบัวลอยไข่เค็ม แป้งบัวลอยจะมี 5 สีคือ สีขาว (เผือก),
สีเหลือง (ฟักทอง), สีชมพู (แก้วมังกร), สีเขียว (ใบเตย), สีน้ำเงินม่วง (ดอกอัญชัน)


โดยแป้งข้าวเหนียวเมื่อกลายเป็นแป้งบัวลอยแล้วจะเพิ่มน้ำหนักเป็น 15 กก. ตามเนื้อ และน้ำผลไม้-สมุนไพรที่เพิ่มเข้าไปหลักๆ จะเป็นแป้งบัวลอยเผือก 2 กก. แป้งบัวลอยฟักทอง 2 กก. ส่วนที่เหลือนั้นจะใช้อย่างละ 1 กก.

และการทำเป็นแป้งบัวลอย 5 สีนั้น ถ้าเป็นแป้งบัวลอยสีขาวจะใช้เผือกต้มสุก 1 กก.,
แป้งบัวลอยสีเหลืองจะใช้ฟักทองต้มสุก 1 กก., แป้งบัวลอยสีชมพูใช้เนื้อผลไม้แก้วมังกรแดง 1 กก.
ส่วนแป้งบัวลอยอีก 2 นั้น จะใช้ใบเตยสีเขียวเข้มกำใหญ่ และดอกอัญชันสีเข้มจำนวนหนึ่ง

การนวดแป้งก็จะเหมือนนวดแป้งทั่วไป ใช้มือนวด นวดโดยเจือด้วยน้ำต้มสุก พร้อมเนื้อผลไม้และน้ำสมุนไพรค่อยๆ นวดไป เติมน้ำและเนื้อไป ดูจนเข้ากันพอดีก็ใช้ได้
ซึ่งในส่วนแป้งสีชมพูนั้น แก้วมังกรแดงไม่ต้องต้มเหมือนเผือกหรือฟักทอง ใช้เนื้อผลไม้ได้เลย
ส่วนใบเตยและดอกอัญชันนำไปปั่นกับน้ำต้มสุกค่อนขวด (ขวดขนาด 1/2 ลิตร)
ปั่นแล้วกรองเอาแต่น้ำออกมา ก็จะได้น้ำสมุนไพรชนิดเข้มข้นสุดๆ นำน้ำนี้นวดกับแป้งข้าวเหนียวนวดแป้ง
เสร็จแล้วที่ร้านนี้จะใช้วิธีปั้นออกเป็นเม็ดเล็กๆ ทั้งหมดเลย คลุกเคล้าทุกสีให้เข้ากัน
แล้วนำแป้งบัวลอยจำนวนหนึ่งไปต้มสุก แล้วแช่น้ำไว้จะไม่ต้มทั้งหมด เพราะถ้าขายไม่ทันแป้งจะแข็งเป็นไต และจะไม่ปั้นไปขายไป เพราะเสียเวลา

จากนั้นก็ทำน้ำกะทิ ใช้หัวกะทิ 15 กก. และเนื้อมะพร้าวอ่อนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ 15-20 ลูก
(ไม่ใช้มะพร้าวแช่น้ำเพราะจะเสียเร็ว) อุ่นกะทิให้ร้อนก็ใช้ได้ กะทินี้ต้องอุ่นให้ร้อนตลอดเวลา

ส่วนน้ำเชื่อม
ใช้กระทะทองเหลืองเบอร์ 16 เป็นภาชนะทำ ใช้น้ำตาลทราย 2 กก. และน้ำเปล่า 2 ลิตร
เคี่ยวให้กลายเป็นน้ำเชื่อม ซึ่งน้ำเชื่อมนี้ใช้สำหรับทำต้มไข่หวาน (ใช้ไข่ไก่วันละ 90 ฟอง)
ซึ่งจะทำทิ้งคราวละไม่มาก เพราะถ้าทำมากๆ แล้วทิ้งไว้นานๆ ไข่จะแข็ง

สำหรับ “ไข่เค็ม
ใช้ไข่เค็มดิบเบอร์ใหญ่สุด (ใช้ไข่เค็มวันละ 60 ฟอง) ตอกแล้วช้อนแต่ส่วนไข่แดงออกมา
แล้วนำไปต้มสุก ใช้เวลาต้ม 10 นาที ก็ใช้ได้เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมขายได้เลย
โดยแต่ละชุดจะตักแป้งบัวลอย 1 ตะบวยเล็ก ใส่ไข่ (จะเป็นไข่หวานหรือไข่เค็มก็แล้วแต่) ตักน้ำเชื่อมใส่
และราดด้วยน้ำกะทิเป็นอันดับสุดท้าย

“บัวลอยไข่เค็มจะมีรสชาติไม่เค็มมาก ใช้เฉพาะไข่แดงสด ต้มให้สุก
ส่วนกะทิก็ออกรสเค็มๆ มันๆ เติมน้ำเชื่อมอีกหน่อย รสชาติก็ลงตัวพอดี”

ปรียาพรรณบอกราคาขายบัวลอยเจ้านี้ แบบไม่ใส่ไข่ 10 บาท, บัวลอยไข่หวาน 15 บาท
ส่วนบัวลอยไข่เค็มชุดละ 20 บาท ซึ่งถ้าทำในปริมาณที่ว่ามาข้างต้นจะลงทุนประมาณ 1,000-1,500 บาท
ขายหมดจะได้ประมาณ 2,500-3,000 บาท โดยทุนอุปกรณ์ในเบื้องต้นอยู่ประมาณ 15,000 บาท

ร้านขายบัวลอยต่างๆ รวมถึง “บัวลอยไข่เค็ม” ของปรียาพรรณ อยู่ในกรุงเทพฯ
อยู่ริมถนนนวลจันทร์ ฝั่งเยื้องกับซอยนวลจันทร์ 18-20 หมายเลขโทรศัพท์ 08-6900-2405, 08-9894-6226
 

ขายทุกวันตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น. ใครสนใจชิมรสชาติก็เชิญได้
และนี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าพิจารณา !!.


สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
ข้อมูลโดย : เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 6 เม.ย. 2551
ภาพจาก : http://www.siaminfobiz.com

Read More...


ฮวงจุ้ย… “เลือกทำเลดี มีชัยกว่าครึ่ง”

(บทความในนิตยสารช่องทางทำมาหากิน ฉบับเดือน ส.ค. 2551) 
การเลือกทำเลร้านค้า หรือห้างร้าน กิจการใดๆ ในศาสตร์ฮวงจุ้ยนั้น มีความสำคัญมาเป็นอันดับแรกเลยทีเดียว ทั้งนี้เพราะกิจการ หรือร้านค้าจะเจริญรุ่งเรือง การเลือกทำเลที่เหมาะสม และส่งเสริมเกื้อหนุนดี จะยิ่งเพิ่มพูนทวีความเจริญรุ่งเรืองให้กิจการนั้นๆก้าวหน้ายิ่งขึ้น
 
ขอยกตัวอย่าง การพิจารณามาให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจและสามารถนำไปใช้เลือกทำเลของท่านได้ ซึ่งหลักการที่เราจะพูดถึง คือการดึงเอาพลังชี่ที่ดี เข้าสู่ตัวอาคาร ซึ่งพลังชี่นี้ เป็นเสมือนพลังที่หล่อเลี้ยงตัวอาคารสิ่งปลูกสร้าง รวมไปถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆที่อยู่ภายในอาคารนั้น เปรียบเสมือนลมหายใจซึ่งมีออกซิเจน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตที่ก่อให้เกิดพลังชีวิต การเคลื่อนไหวและก่อกำเนิดสิ่งต่างๆ หรือบางตำราอาจเรียกว่า “พลังมังกร” ซึ่งในหลักการของฮวงจุ้ยนั้น การเลือกร้านค้า จำเป็นต้องหาทำเลที่เหมาะสม และสามารถรับพลังชี่ได้มาก ก็จะเกิดความเจริญรุ่งเรืองได้มาก นอกจากนี้กระแสชี่นี้ยังเป็นการนำพาคนจำนวนมากมายังร้านค้าของเราด้วย ซึ่งผมจะสรุปง่ายๆสำหรับการเลือกทำเลร้านค้าเบื้องต้น ซึ่งดึงเอาทำเลในเมืองที่เป็นอยู่ปัจจุบันจริงมาเป็นตัวอย่างให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจง่ายๆ และสามารถนำไปดัดแปลงใช้ได้จริงประกอบการพิจารณาเลือกทำเลร้านค้าของท่านเอง ดังนี้ 
1.        การเลือกทำเลที่ดี ควรสามารถรับกระแสพลังจากด้านหน้าได้ดี และมีตัวคอยดักกระแสให้เข้าสู่ร้านค้า เช่น ร้านค้าที่อยู่ริมถนนหากถนนรถวิ่งจากขวามาซ้าย ควรมีป้ายตั้งพื้น วางขวางไว้ทางซ้ายของร้านค้า หรือการติดป้ายแนวยื่นออกไปยังถนนควรอยู่ในตำแหน่งเยื้องไปทางซ้ายของหน้า ร้าน ไม่เอามาขวางไว้ทางขวามือ ก่อนถึงประตูร้านค้า ดังรูปที่ 1.
  
pic0011.gif 
2.        ควรเลือกร้านที่ก่อนถึงสะพานลอยคนข้ามเล็กน้อย จะดีกว่าร้านที่เลยไป กรณีนี้ใช้ได้กับถนนลอยฟ้ารถข้าม หรือสิ่งปลูกสร้างที่พาดผ่านทุกชนิด ดังรูป


pic002.gif 

3.        จุดรถลงสะพาน หากไม่มีสะพานคนข้ามทอดผ่าน หรือป้ายดักกระแสเข้ามายังตัวอาคาร ถือว่าไม่ดี ควรมีทางรถวิ่งเข้า และมีสะพานคนข้ามคอยดักไว้จะดีกว่า
4.        พื้นที่ด้านหน้าอาคาร ไม่ควรใกล้ถนนมากเกินไป ควรเว้นพื้นที่ลานด้านหน้าให้กว้าง ซึ่งภาษาทาง ฮวงจุ้ยเราเรียกส่วนนี้ว่า “เห ม่งตึ๊ง” ลานเหม่งตึ๊งที่ดี ควรกว้าง ได้สัดส่วน ไม่ลาดออก ไม่เอียงออกข้างทั้งสอง จุดนี้ในทางฮวงจุ้ยคือ จุดพักสะสมพลังงานชี่ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวอาคาร หากไม่มีจะทำให้พลังสะสมตัวได้น้อยถือว่าไม่ดี และควรมีการไหลของพลังงานชี่เข้าสู่ตัวอาคารจึงจะถูกต้อง
pic003.gif 
5.        หากด้านหน้าอาคารมีกำแพง หรือตึกที่สูงกว่าลานโล่ง ระยะความสูงของกำแพง ไม่ควรสูงเกินระยะห่างถนนกับอาคาร 1.5 – 3 เท่า เช่นลานด้านหน้ามีระยะห่างจากถนนถึงตัวอาคาร 3 เมตร กำแพงไม่ควรสูงเกิน 1-2 เมตร จึงจะดี หากสูงกว่านี้ จะทำให้กระแสเข้าสู่ตัวอาคารได้ยาก




pic004.gif 


6.        เหม่งตึ๊ง ที่ไม่ดี คือ มีการลาดเอียงออกไป หรือกระแสน้ำ หรือถนนตีจาก หรือมีการทิ่มแทงเข้าหมาเหม่งตึ๊ง ถือว่าไม่ดี



pic005.gif
7.        เหม่งตึ๊งที่แคบเกินไป มีพื้นที่ด้านหน้าน้อยก็ถือว่าไม่ดีเช่นกัน หรือเหม่งตึ๊งที่กว้างเกินไป ไม่มีอะไรปิดกั้นเลยก็ไม่ดีเช่นกัน
8.        เหม่งตึ๊งที่มีลักษณะแตกๆหักๆ ไม่เรียบก็ถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่ดีเช่นกัน
9.        เหม่งตึ๊ง ควรอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าตรงกึ่งกลางด้านหน้าของอาคารจึงจะดี
10.     เพื่อให้สามารถเก็บกักพลังงานชี่ได้ นอก จากด้านหน้าจะมีที่ราบแล้ว ด้านหลังควรมีลักษณะสูงใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้กระแสชี่ที่เข้าจากทางด้านหน้าไหลออกไปทางด้านหลังได้ ง่ายดาย
11.      กรณีเป็นร้านค้า ทำเลที่เป็นทางตัน ซอยตัน ถือว่าไม่ดี เนื่อง จากไม่มีการสัญจรไปมาของผู้คน (ไม่เกิดกระแส) ถึงแม้ว่าจะเก็บกักกระแสได้เต็มที่ก็ตาม แต่โดยส่วนใหญ่ในความเป็นจริง เมื่อไม่มีผู้คนสัญจร กระแสก็ไม่เกิด จึงควรเลี่ยง

12.     ความสัมพันธ์ของอาคารสิ่งปลูกสร้าง ต้องสัมพันธ์กับถนน แม่น้ำ เช่น ถนนที่ขนาดใหญ่ กว้าง อาคารควรเป็นตึกสูงใหญ่ รับสอดคล้องกันด้วยจึงจะเจริญรุ่งเรือง  หาก อาคารสูงใหญ่ แต่ถนนด้านหน้าเป็นซอยเล็กแคบ อย่างนี้ก็ไม่เหมาะสมเจริญรุ่งเรืองยากต้องแก้ไขด้วยอย่างอื่น หรือ อาคารเล็กเกินไปแต่ถนนกว้างมากๆก็ไม่อาจจะเก็บกระแสเอาไว้อยู่ได้เช่นกัน (มักพบเห็นได้ตามร้านค้าอาคารเล็กๆตามถนนทางหลวงทั่วไป
pic006.gif 
13.  การเลือกทำเลตามเส้นทางถนน ให้สังเกตสิ่งแวดล้อมโดยรอบของถนนว่ามีพลังชีวิตที่ดีหรือไม่ ถนนที่มีพลังชีวิตที่ดีต้องมีต้นไม้ขึ้นปกคลุมพอประมาณ และมีพลังชีวิตของต้นไม้คอยหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นอย่างสมดุล ถนนเส้นใดที่ต้นไม้ไม่เจริญเติบโต แห้งแล้ง ไม่มีชีวิตชีวา ก็ให้เลี่ยงถนนเส้นนั้น เนื่องมาจากขาดพลังชี่ที่ดีนั่นเอง
pic007.gif


14.     อย่างไรก็ตาม เส้นทาง ถนนแต่ละเส้นนั้น พลังชี่สามารถสร้างได้เช่นกัน ถ้ามีทุนทรัพย์มากพอ ก็สามารถบูรณะ หรือตกแต่งให้เกิดพลังชี่ที่ดีได้เช่นกัน แต่หากมีงบประมาณจำกัด การเลือกไปตั้งทำเลยังที่ๆมีพลังชี่ดีอยู่แล้วจะช่วยประหยัดได้มากกว่า
15.     ตำแหน่งใกล้สี่แยก โดยปกติแล้วถือว่าเป็นตำแหน่งที่ดี เจริญรุ่งเรืองได้ง่าย เพราะเป็นที่รวมของกระแสพลังงานมารวมกัน แต่ ในปัจจุบันตำแหน่งสี่แยกจะมีการจราจรพลุกพล่าน และมักจะมีสะพานคนข้าม หรือถนนพาดผ่านด้านบน ทำให้ชัยภูมิบริเวณสี่แยกในเมืองใหญ่ๆมักจะกลายเป็นทำเลที่เสื่อมได้ ดังนั้นควรพิจารณาโดยรอยคอบ นอกจากนี้ควรดูในแง่ของการเดินทางด้วย หากใกล้สี่แยกไม่มีที่จอดรถ เปรียบดั่งกระแสไม่สามารถหยุดพักได้ วิ่งมาแล้วก็ผ่านไป อย่างนี้ก็ถือว่าไม่ดีเช่นกัน ควรเลือกเลยออกมาจากสี่แยกระยะนึงจะดีกว่า
16.     หากมีหลายห้องให้เลือกในแนวเดียวกัน ให้ลองดูระดับสู่งต่ำของแต่ละอาคาร จุดที่ดีคือห้องหรืออาคารที่อยู่ต่ำกว่า หรือให้สังเกตเวลาฝนตกแล้วน้ำไหลมารวมกันที่ใด ในบริเวณนั้นจึงจะถือว่าดี 
pic008.gif 
  พูดถึงเรื่องการเลือกทำเลที่ต่ำกว่า อาจจะมีผู้อ่านหลายท่านบอกว่า ที่ต่ำจะดีกว่าอย่างไร เพราะเวลาฝนตกมีโอกาสน้ำท่วมกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ผมจะขอชี้แจงให้ทราบง่ายๆ ว่า การเลือกชัยภูมิในทางฮวงจุ้ยนั้น หากอยู่ที่ต่ำกว่า จะดีในแง่ของเรื่องทรัพย์ เงินทอง ทำมาค้าขึ้น แต่เสื่อมในแง่ของสุขภาพ และบารมี อำนาจ หากอยู่ในตำแหน่งที่สูงจะดีในแง่ของบารมี อำนาจ และสุขภาพ แต่อาจจะเสื่อมในเรื่องของทรัพย์ เงินทอง ดัง นั้น หากต้องการเลือกทำเลเพื่อค้าขาย ผู้เขียนขอแนะนำให้เลือกที่ต่ำเพื่อความเจริญทางการค้าจะดีกว่า ส่วนทำเลสำหรับบ้าน ที่พักอาศัยต้องดูให้เหมาะสมทั้งสุขภาพ บารมี และเงินทองให้สัมพันธ์กัน ซึ่งซินแสที่มีประสบการณ์และเข้าใจศาสตร์ฮวงจุ้ยจำเป็นต้องผสมผสานทุกๆส่วน ให้สมดุลกันทั้งสองส่วนจึงจะทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองต่อผู้อยู่อาศัย นั่นเอง
ท่านที่ต้องการอ่านบทความย้อนหลังอ่านได้ที่ http://www.fengshuix.com หรือสอบถามเพิ่มเติม ที่อีเมล์ fs@fengshuix.com หรือโทร.089-697-4500 หากคำถามของท่านมีประโยชน์จะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป
Fengshuix.com

Read More...


วิธีทำของกินเล่นแบบไทยๆ กระทงทอง

วันเพ็ญเดือน 12 น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริงวันลอยกระทง

           
       ส่วนผสมของแป้ง
     
       แป้งสาลีร่อน 1 ถ้วย
       แป้งข้าวจ้าวร่อน 1 1/2 ถ้วย
       หัวกระทิ 6 ช้อนโต๊ะ
       ไข่เป็ด 1 ฟอง
       เกลือ 1 1/2 ช้อนชา
       น้ำปูนใส 1 ถ้วย
       น้ำมันสำหรับทอด
     
       ส่วนผสมของไส้
     
       หมูหั่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ1/2 ถ้วย
       แครอท มันสำปะหลัง ถั่วแขกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ รวมกัน 1/2 ถ้วย
       พริกไทย รากผักชี กระเทียม โขลกละเอียดรวมกัน 1/3 ถ้วย
       น้ำมัน 1/3 ถ้วย
       ซีอิ้วขาว น้ำตาล สำหรับปรุงรส
     
       เมื่อเตรียมส่วนผสมกันพร้อมแล้ว ก็ลงมือทำกันได้เลย เริ่มจากการทำแป้งกระทงทองกันก่อน โดยนำแป้งสาลีกับแป้งข้าวจ้าวที่ร่อนแล้วมาผสมกับหัวกะทิ ใส่ไข่เป็ดลงไป ผสมให้เข้ากัน เติมน้ำปูนใสลงไป ถ้าแป้งเป็นเม็ดให้กรองก่อนนำไปทอด
     
       พอได้ส่วนผสมของแป้งแล้วก็นำมาทอด โดยใช้พิมพ์กระทงทองจุ่มลงไปในน้ำมันที่ร้อนจัด เพื่อให้แม่พิมพ์ร้อน น้ำมันต้องท่วมแม่พิมพ์ พอแม่พิมพ์ร้อนแล้ว นำแม่พิมพ์ไปชุปแป้งที่ผสมไว้แล้ว ให้แป้งติดทั่วแม่พิมพ์ด้านนอก แล้วรีบยกออกลงไปทอดในน้ำมันให้เหลือง กรอบ แล้วถอดออกจากแม่พิมพ์
     
       คราวนี้มาทำไส้ เริ่มจากใส่น้ำมันลงในกระทะตั้งไฟกลางๆ พอร้อน ใส่เครื่องที่โขลกผัดให้หอม ใส่หมู แครอท มันสำปะหลัง ถั่วแขกลงผัด ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว น้ำตาล ผัดให้สุกพอประมาณ ชิมรสชาติให้ออกหวานๆ เค็ม ยกลง ตักใส่กระทงทองที่เตรียมไว้เป็นอันว่าเสร็จสิ้นกระบวนการทำ พร้อมที่จะหม่ำกันได้ตามสบาย

credit : http://www.msuzone.com/

Read More...


แปรรูปข้าวยำ..ปักษ์ใต้ อาหารพกพา..สะดวกเปิบ

ข้าวยำ…อาหารพื้นเมืองชาวปักษ์ใต้ที่มีรสชาติดี ทั้งส่วนผสมจัดอยู่ในอาหารเพื่อสุขภาพทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั่ว ทั้งประเทศ แต่ในขณะเดียวกันการพกพาอาจจะไม่ค่อยสะดวกสบาย เนื่องจากมีเครื่องปรุงและส่วนผสมค่อนข้างเยอะ

นักศึกษาจากคณะ อุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ทุ่งใหญ่ นำทีมโดย ผศ.พูลทรัพย์ อินทร์สังข์ อาจารย์ชไมพร เพ็งมาก นางผลดี แซ่แต้ นางสาวสกุณา สมมุ่ง และ นางสาวอัญชิสา มะสุวรรณ์ ร่วมกันคิดค้นสูตรเพื่อแปรรูปข้าวยำให้พกพาสะดวก และสามารถรับประทานได้ทุกที่ทุกเวลา โดยตั้งชื่อว่า…ข้าวยำศรีวิชัย


ทีมงาน แปรรูปข้าวยำศรีวิชัย.

ผศ.พูลทรัพย์ อินทร์สังข์ เล่าว่า ที่มาของ ข้าวยำศรีวิชัย…ก่อนที่จะได้สูตรการทำข้าวยำ ก็มีการลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง เพื่อให้ได้ ข้าวยำที่มีรสชาติใกล้เคียงกับข้าวยำสดมากที่สุด ทั้งยังให้ คิดค้นถึงวิธีการเก็บรักษา และ การยืดอายุอาหารไว้ให้ได้นานที่สุด เพราะข้าวยำทั่วไป ซึ่งมีขายอยู่ ทางภาคใต้ จะเก็บได้ไม่นานรสชาติอาหารก็เปลี่ยนไป การรับประทานข้าวยำให้อร่อยต้องอยู่ที่ส่วนผสมหลากหลาย และต้องสดใหม่ ด้วยส่วน ผสมเกือบทั้งหมดคือ…ผัก

“ข้าวยำศรีวิชัย  มีส่วนผสมเหมือนกับข้าวยำโดยทั่วไป มีส่วนผสมหลัก ได้แก่ ข้าวสุก น้ำบูดู กุ้งแห้งป่น และผักต่างๆ เช่น ใบมะกรูด ใบชะพลู ถั่วฝักยาว ถั่วงอก ขมิ้น มะพร้าวคั่ว แตงกวา ตะไคร้ ดอกไม้ เช่น ดอกดาหลา นำมาคลุกเคล้าบริโภคเป็นอาหารมื้อหลัก” ผศ.พูลทรัพย์ กล่าวและว่า



ในส่วนของข้าวยำศรีวิชัย เป็นการแปรรูปให้เป็นอาหารว่าง พกพาง่าย รับประทานสะดวก ส่วนผสมที่แตกต่างไปจากเดิม คือ จากการใช้ข้าวสุกเปลี่ยนมาใช้ข้าวฟองแทน โดยยังเน้นส่วนผสมเดิมทุกอย่าง เพราะต้องการคง ความเป็นเอกลักษณ์ ของข้าวยำปักษ์ใต้ และ คุณค่าทางโภชนา-การ โดยเฉพาะขั้นตอนในการบรรจุใส่ห่อ จะต้องปิดให้สนิทเพื่อป้องกันอากาศผ่านเข้าไป ทำให้สามารถ เก็บได้นานถึง 3 เดือน ในอุณหภูมิปกติและไม่มีกลิ่นหืนของน้ำมันอีกด้วย

ปัจจุบัน ข้าวยำศรีวิชัยวางจำหน่ายอยู่เฉพาะที่มหาวิทยาลัยด้วย สนนราคาเพียงแค่ 35 บาทต่อ 1 ถุง นอกจากนี้ ยังได้รับความสนใจจากกลุ่มแม่บ้านในชุมชนเป็นอย่างมาก เพราะนำมาผลิตจำหน่ายก็เป็นการ เพิ่มรายได้ และ สร้างอาชีพให้กับชุมชน อีกด้วย


ส่วนผสม ต่างๆ.

ข้าว ยำศรีวิชัย จึงเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคที่อยู่ภาคอื่นๆได้รับประทาน และในอนาคตจะแปรรูปอาหารอื่นๆ เพื่อให้เกิดทางเลือกกับประชาชนที่ต้องการบริโภคอาหารปักษ์ใต้อีกต่อไป

ใคร สนใจต้องการฝึกทำข้าวยำศรีวิชัย ก็กริ๊งกร๊างหา…ผศ.พูลทรัพย์ อินทร์สังข์ 08-1968-2596 หรือ 0-7547-9496 ในเวลาราชการ.

ไชยรัตน์ ส้มฉุน
ข่าวไทยรัฐออนไลน์.

Read More...


ผลิตขนมดอกไม้สีรุ้ง ความสวยงามที่บริโภคได้

Pic_108146
ทีมงานสามสาวผลิตขนมดอกไม้สีรุ้ง.

ดอกไม้…โดย ธรรมชาติแล้ว มักมีสีสันที่สวยงามและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของแต่ละชนิด ซึ่งบางชนิดก็สามารถนำมาทำเป็น…อาหารได้ทั้งคาว และ หวาน ในการรับประทานดอกไม้ส่วนใหญ่จะนำมา กินสดๆ หรือ ชุบแป้งทอด

หากจะ สังเกตว่า ดอกไม้รับประทานได้ หรือไม่? ก็อาจจะต้องดูจาก พฤติกรรมการกินของสัตว์ ซึ่งมนุษย์ก็ย่อมบริโภคได้เช่นเดียวกัน ในทางการแพทย์ระบุถึงประโยชน์ทางสมุนไพร และสรรพคุณทางยาอีกด้วย เช่น ลดการอักเสบ ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และ รักษาริดสีดวง

ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล 
ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล 
 
นอกจากนี้ ดอกไม้หลายชนิด ยังมีสารสำคัญอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoid) ซึ่งเป็น สารที่พบบริเวณดอก ซึ่งช่วยในการ สร้างสีสันให้สวยงาม ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ในปัจจุบันมีการนิยม นำดอกไม้มาแปรรูปเป็นอาหารเพื่อบริโภค กันมากขึ้น

…ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล อาจารย์จากภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมกับ Faculty of Agriculture and Life Sciences Lincoln University. New Zealand โดยมี


น.ส.จริสรา ทองทัพไทย น.ส.คณาพร ฤกษ์เกษมสันต์ และ น.ส.นุชนารถ แย้มสรวน นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ “ผลิตขนมดอกไม้สีรุ้ง” (Rainbow Flowers) เพื่อนำความรู้ไปสอนให้กับผู้ที่สนใจ

ผศ.อุจิตชญา บอกว่า ดอกไม้ที่นำมาเข้าร่วมกันเป็นขนมดอกไม้สีรุ้งทั้ง 7 สี นั้นประกอบด้วย ดอกคำฝอย มีสารแซฟฟลาวเวอร์เยลโลว์ และคาร์ทามิน ช่วยบำรุงโลหิต ลดไขมันในเส้นเลือด เตยหอม มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ดอกเฟื่องฟ้า มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ และระบบขับถ่าย ดอกกระเจี๊ยบ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ชะลอแก่ ป้องกันต่อมลูกหมากโต แก้อาการเบาขัด…
…ดอกอัญชัน มีสารแอนโทรไซยานิน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดวงตา และลดการอักเสบดวงตาจากเบาหวาน ดอกดาวเรือง มีสารเบตาแคโรทีน ชนิดลูทีน ช่วยบำรุงดวงตา บรรเทาอาการไอ โรคคางทูม หลอด–ลมอักเสบ เป็นยาฟอกเลือดขับลม และ ดอกเข็ม มีคุณสมบัติรักษาดวงตา เช่นโรคตาแดง ตาแฉะ และแก้ท้องผูก ให้ถ่ายคล่อง…!!!

วัตถุดิบและการทำขนม 
วัตถุดิบและการทำขนม
สำหรับ ขั้นตอนการผลิตขนมดอกไม้สีรุ้ง ให้นำส่วนผสม เช่น แป้งสาลี ร่อนแล้ว 1 ถ้วยครึ่ง น้ำตาลทรายป่น ครึ่งถ้วยตวง น้ำมันถั่วเหลือง หนึ่งในสี่ถ้วยตวง และ เกลือ หนึ่งในสี่ช้อนชา นำมาเตรียมไว้ จากนั้นให้นำดอกไม้แต่ละชนิด แต่ละสีมาสับอย่างละเอียด แล้วแยกกันไว้ ก่อนที่จะนำมา คลุกเคล้าลงในถ้วยกับส่วนผสมของแป้ง ในขั้นต้น โดยให้ ทุกส่วนเข้ากันเป็นก้อนเนื้อเดียวปั้นให้เป็นก้อน โดยระหว่างนี้ต้อง ใช้น้ำมันถั่วเหลืองหยอดลงไประหว่างการผสมทีละน้อย   เพื่อไม่ให้เกิดการติดถ้วยและติดมือ

เมื่อได้ส่วนผสมที่เป็นก้อนกลม แล้ว จึงนำมาบดเป็นแผ่นออกวางบนถาด จากนั้นใช้  บล็อกทำกลีบดอกไม้  มีกดทับแบ่งออกมาเป็นชิ้นๆแต่ละสี ก่อนจะนำทั้ง 7 สี

มาประกอบเข้า ด้วยกัน โดย จะต้องใช้ส่วนผสมสีขาวที่ปั้นเป็นก้อนเล็กๆติดไว้ตรงกลางของดอกเพื่อเป็น เกสร โดยจะต้องทาด้วยไข่แดงเพื่อให้ทุกส่วนติดกัน และโรยงาขาวไว้ด้านบนสร้างความสวยงาม
เมื่อมาถึงขั้นตอนสุดท้าย โดยต้องนำมาเรียงไว้ บนถาดที่ปูด้วยกระดาษไข นำเข้าเครื่องอบ ขนมที่อุณหภูมิ 280 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 30 นาที จนกระทั่งขนมสุก มีกลิ่นหอม จึงนำมาแซะออกจากกระดาษไข และ ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงปิดผนึกเพื่อรักษาความกรอบไว้รับประทานได้ นานมากกว่า 1 เดือน

ขนมดอกไม้ สีรุ้งนี้ ถึงจะอร่อยและสวยงาม แต่ก็มีปัญหาเกี่ยวกับขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก ใช้คนมาก ใช้เวลานาน รวมทั้งผู้ทำต้องเป็นคนมือเย็น และใจเย็นอีกด้วย แต่หากทำสำเร็จก็รับรองว่า ผลงานจะสวยงาม และอร่อยถูกปาก…ถูกใจผู้บริโภคแน่นอน…!!

ขนมดอกไม้ สีรุ้งที่ผลิตขึ้นนี้ ผศ.อุจิตชญา บอกว่า ไม่มีขาย แต่จะสอนให้เป็นวิทยาทาน เพื่อสร้างความรู้ สนใจกริ๊งกร๊างสอบถามที่ 08-3114-8263, 08-4649-0104, 08-3050-6689 หรือคลิก http://www. rmutt.ac.thไชยรัตน์ ส้มฉุน

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย ไชยรัตน์ ส้มฉุน

Read More...


น้ำพริกเผา”มันไข่”รสแซบ จากสินทรัพย์ในดินสู่เมนูสุขภาพ

Pic_96401
น้ำพริกเผามันไข่ที่ช่วยเพิ่มรสชาติเมนูให้แซบหลาย.

ยุค นี้ผู้คนในสังคมเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพตัวเองกันมากขึ้น หลายรายยกให้ 1 วันในสัปดาห์ หันมา “เปิบ” อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ (มังสวิรัติ) ปรุงแต่ง แต่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของไทยเราที่มักจะมีเมนูรสแซบกินเพื่อทำให้อาหาร มื้อนั้นๆหม่ำได้คล่องคอมากขึ้น

ฉะนี้…เพื่อเอาใจคอ “มังสวิรัติ” รวมทั้งกลุ่มที่กลัวคอเรสเทอรอลถามหา น.ส.อรอนงค์ สุทิน และ น.ส.วิภารัตน์ ทัพป้อม นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี จึงคิดเมนู “น้ำพริกเผามันไข่” ขึ้น โดยมี ผศ.อภิญญา พุกสุขสกุล และ ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล คอยให้คำปรึกษา

น.ส.อรอนงค์ เล่าให้ “ทำได้ ไม่จน” ฟังว่า… มันเทศเป็นพืชหัวชนิดหนึ่งมีขายตามท้องตลาด ที่นิยมรับประทานมีอยู่ 2 ชนิด คือ เนื้อสีครีม โดยทั่วไปมักนำมาทำเป็นอาหารหวาน  เช่น มันเชื่อม มันฉาบ มันทอดรังนก แกงบวด ไข่นกกระทา หรือมันทิพย์ ฯลฯ กับ เนื้อสีเหลืองส้ม หรือที่ทางพื้นบ้านจะเรียกว่า “มันไข่” ซึ่งชนิดนี้มีเปลือกสีไข่ไก่ รูปร่างทรงกระบอก ด้านหัวท้ายเรียว ตรงกลางป่องออกคล้ายไข่

นำส่วนผสมไปบดแล้วผัดในไฟอ่อนเพื่อช่วยเพิ่มกลิ่นให้หอม.

…จาก การค้นคว้ารวบรวมข้อมูลพบว่า “มันไข่” มีคุณค่าทางโภชนาการต่างๆมากมาย ทั้ง คาร์โบไฮเดรต วิตามินเอ (เบต้าแคโรทีน) และ แคลเซียม ที่ เป็นแหล่งอาหารให้พลังงาน ช่วยในการมองเห็น และยังช่วย เสริมสร้างกระดูกฟันให้แข็งแรง จากคุณสมบัติดังกล่าว จึงได้นำมาทดลองทำเครื่องผสมใน อาหารคาวหลายเมนู และที่รสชาติเยี่ยม ผู้บริโภคให้การตอบรับมากที่สุดก็คือ “น้ำพริกเผา”

สำหรับกรรมวิธี การปรุงสูตรนั้น น.ส.วิภารัตน์ บอกว่าแสนจะง่าย โดยใช้ ส่วนผสมคือ นำ มันไข่ ปริมาณ 21/3 ถ้วยตวง ซึ่งใช้แทนกุ้งแห้งที่เป็นส่วน ผสมของน้ำพริกเผา เพื่อช่วยให้ลดต้นทุนในการผลิต ซึ่งมันชนิดนี้มีความหวานตามธรรมชาติ ดังนั้น จึงดีต่อสุขภาพเพราะไม่ต้องพึ่งสารให้ความหวานใดๆ พริก แห้งทอด กระเทียมเจียว หอมแดงเจียว น้ำปลา น้ำมะขามเปียก (ใช้เนื้อมะขาม เปียก 340 กรัม/น้ำ 3 ถ้วย ตวง) และ น้ำมันพืช


น.ส.อรอนงค์ สุทิน และ น.ส.วิภารัตน์ ทัพป้อม.

จากนั้นนำ พริกแห้งทอด กระเทียมเจียว หอมแดงเจียวบดให้ละเอียด ละลายน้ำตาลปี๊บ (สำหรับใครที่ชอบรสหวาน) กับน้ำปลาใส่ตามลงไป แล้วจึงนำไปปั่น ตามด้วยมันไข่ใส่ตาม ทีละน้อย ปั่นพอเข้ากัน เสร็จแล้วนำไปผัดในน้ำมัน โดยใช้ไฟอ่อนประมาณ 20 นาที จนสุกมีกลิ่นหอม ยกลงจากเตาพักให้อุ่น บรรจุลงในขวด สัดส่วนนี้จะได้น้ำพริกเผามันไข่ที่สามารถนำไปประยุกต์เป็นเมนูจานเด็ดได้ หลาก หลาย เช่น ข้าวผัดน้ำพริกเผามันไข่ น้ำพริกเผามันไข่กับขนมปัง ประมาณ 7 กระปุก (ปริมาณ 185 กรัม)
ยุคสมัยนี้ขยันเข้าไว้ ไม่จนเงินใช้อย่างแน่นอน สำหรับผู้ที่สนใจทำขายยามว่าง หรือต้องการซื้อไว้ ติดครัวเรือนสามารถกริ๊งกร๊างสอบถามเพิ่มเติมกันได้ที่ โทร. 0-2549-4994 ในวันและเวลาราชการ.

เพ็ญพิชญา เตียว

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.