สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

มาทำซาลาเปากันดีกว่า

ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนนะครับว่า ซาลาเปาแบ่งออกเป็น 2 ชนิดด้วยกัน
1. ซาลาเปาต่อเชื้อ หรือซาลาเปาหน้าแตก เป็นซาลาเปาที่ต้องหมักต่อเนื่องกัน 3 วัน เนื้อซาลาเปาจะละเอียด หน้าจะแตกแบบปุยฝ้าย

2. ซาลาเปายีสต์ สามารถทำเสร็จได้ในวันเดียวจะคล้ายๆกับขนมปังเอาไปนึ่งครับ สามารถทำได้ในเวลาไม่นาน หน้าจะไม่แตกแต่จะเป็นรอยตามที่เราจีบเท่านั้น

ซึ่งวันนี้เราจะมาสอนการทำซาลาเปาแบบที่2กันครับ

มาเริ่มจากการทำไส้ก่อนเลย
ไส้ยอดนิยม ไส้หมูสับครับ

ส่วนผสมไส้หมูสับ
หมูสับ 600 กรัม
มันหมูแข็ง 200 กรัม
หัวหอมใหญ่ 200 กรัม หัวกลาง ๆ ประมาณ 2 หัว
รากผักชี 20 กรัม ประมาณ 10 ราก
กระเทียม 10 กรัม
พริกไทยป่น 30 กรัม
ซอสหอยนางรม 60 กรัม
ซอสปรุงรส 50 กรัม <<< แนะนำว่าน่าจะใช้ซีอิ๊วขาวนะครับ เพราะผมใช้ซอสภูเขาทองแล้วกลิ่นกับรสแอบแรงเกิน
น้ำตาลทราย 50 กรัม
น้ำมันงา 40 กรัม
แป้งข้าวโพด 20 กรัม
ต้นหอมซอย 20 กรัม
(อนึ่ง ... สัดส่วนของส่วนผสมไส้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามชอบนะครับ ไม่ตายตัว )

เริ่มการทำไส้ โดยการลำเลียงกระเทียม รากผักชี ใส่ครก แล้วตำๆๆๆๆๆ
สำแดงให้เห็นว่าเรามีสเน่ห์ปลายจวักแค่ไหน เสียงตำยิ่งต่อเนื่องสามีและแม่สามียิ่งรักยิ่งหลงนะคร้าบ
5555 (แต่ผมตำ3นาทีพัก5นาทีครับ555 เมื่อยมากๆ )


โขลกจนกระเทียม และรากผักชีพอละเอียด ใส่พริกไทยครับ จากนั้นโขลกให้เข้ากัน
พักไว้ก่อน


ซอยต้นหอม หัวหอมเป็นชิ้นเล็กๆ พักไว้เช่นกัน(แอบนอกสูตรใส่ผักชีไปด้วย แหะแหะ)


มันหมูแข็งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่เครื่องบด


บดจนเนียนละเอียดเลยนะครับ


จากนั้นใส่หมูสับและเครื่องปรุงที่เหลือลงไป เคล้าพอเข้ากัน


ตามด้วยสามเกลอที่โขลกไว้ หัวหอม(แอบเอาไปผัดก่อน เพื่อดึงความหวานออกมา)
ต้นหอมซอย และผักชีนิดหน่อยครับ


เคล้าจนเข้ากันดีเป็นอันเสร็จส่วนของไส้หมูสับครับ เอา wrap ห่อเข้าตู้เย็นพักไว้
(ถ้าไม่แน่ใจเรื่องความเค็มหรือรสชาติเอาไป Microwave ชิมแล้วปรับเปลี่ยนได้นะครับ)

ทำไส้เค็มเสร็จแล้วก็มาต่อกันที่ไส้ครีมกันเลย

ส่วนผสมไส้ครีม
น้ำตาลทราย 250 กรัม
ผงคัสตาร์ด 2 ช้อนโต๊ะ
นมข้นจืด 100 กรัม
แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
นมผง 2 ช้อนโต๊ะ
ไข่ไก่ 4 ฟอง
แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 100 กรัม
วนิลา 1ช้อนชา
เนยจืดหรือมาการีน 200 กรัม ตั้งไฟให้พอละลาย


วิธีทำสุดง่ายครับ .... เททุกอย่างรวมกันโลด


เติมกลิ่นวานิลลาเล็กน้อย ผมใส่แค่1/2ชช  ใครไม่ชอบไม่ใส่ก็ได้นะครับ


ผสมให้เข้ากัน เม็ดแป้งข้าวโพดพยายามบี้ๆให้แตกให้หมดนะครับ

นำส่วนผสมทั้งหมด ไปใส่ลังถึงที่น้ำเดือด นึ่งประมาณ30นาที ให้เปิดฝาเอาตะกร้อคนทุกๆ 10 นาที
คนจนเนื้อข้น สุกแห้ง


จะได้ข้นประมาณนี้ครับ นำออกมาทิ้งให้เย็น

ต่อไปเป็นส่วนของตัวแป้งซาลาเปาครับ
ส่วนผสมของแป้งซาลาเปาแบบหน้าไม่แตกนี้มี 2 ส่วนครับ
เราจะเริ่มจากการทำแป้งเชื้อก่อน

ส่วนผสมแป้งเชื้อ
แป้งสาลีสำหรับทำซาลาเปา 350 กรัม
ยีสต์ 2 + 1/4 ช้อนชา
น้ำอุ่น 225 กรัม (อย่าให้ร้อนเกินนะครับ ไม่งั้นยีสต์ตายแป้งจะไม่ฟูนะเออ
ทดสอบโดยเอานิ้วจุ่มแล้วพอทนได้ถือว่าโอเคครับ)


แป้งผมใช้ยี่ห้อนี้ครับ กิเลนเหลือง ( ไม่มีก็ลองหาแป้งยี่ห้ออื่นก็ได้นะ
เอาที่เค้าระบุว่าสำหรับทำซาลาเปาโดยเฉพาะก็จะดีครับ )
ร่อนสัก 2 ครั้ง


จากนั้นเติมยีสต์ผงลงไป (ร่อนแป้งก่อนแล้วค่อยใส่ยีสต์นะครับ อย่าสะเหร่อแบบผม
ร่อนพร้อมกัน เดือดร้อนต้องมาเทตามทีหลัง เพราะยีสต์เนี่ยร่อนเท่าไหร่ก็ไม่ผ่านที่ร่อนแป้งเลยสักนิด
เล่นเอากล้ามขึ้น)

ค่อยๆรินน้ำอุ่นลงไปแล้วนวดๆๆๆๆ ให้เข้ากัน แรกๆแป้งเชื้อจะเละติดมือเหนอะหนะ
กลิ่นสุดบรรยาย ... ฟุ้งกระจายเต็มบ้าน
ไม่ต้องตกใจนะครับ นวดไปสักพักแป้งจะติดมือน้อยลง
นวดจนแป้งเนียนเข้ากัน ในขั้นนี้ถ้ามีแป้งเป็นผงๆติดก้นกะละมังเติมน้ำได้นิดหน่อยนะครับ


ประมาณนี้ก็ใช้ได้แล้วครับ ผมนวดประมาณเกือบๆ10นาที
จากนั้นใส่กะละมังปิดด้วย wrap
ทิ้งให้ขึ้น 2 เท่า




ตามสูตรจะให้พักไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงนะครับ แต่ถ้าอากาศร้อนหน่อยแค่ราวๆ10นาทีก็ฟูแบบนี้แล้ว


แหวกๆดูแป้งจะเป็นใยๆแบบนี้

พอแป้งเชื้อขึ้น 2 เท่า ก็มาต่อกันที่แป้งส่วนที่ 2 กันเลยครับ

ส่วนผสมแป้งโด
แป้งเชื้อที่หมักไว้
แป้งสำหรับทำซาละเปา 150 กรัม
ผงฟู 2 ช้อนชา
น้ำเปล่า 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 125 กรัม
เกลือ 1 ช้อนชา
สารเสริมเอสพี 1 ช้อนชา
เนยขาว 50 กรัม


ร่อนแป้งกับผงฟูเข้าด้วยกันสัก 2 รอบครับ พักไว้ก่อน


หันมาดูในกะละมังแป้งเชื้อ
ใส่เกลือป่น น้ำตาลทราย และน้ำเปล่าลงไปในแป้งเชื้อที่ขึ้นฟูแล้ว
แป้งเชื้อจะอ่อนตัวลง เหลวขึ้น น้ำตาลทรายจะละลาย ตอนนี้แป้งจะแหยะๆหน่อยนะครับ
ขั้นนี้นวดนิดหน่อยพอน้ำตาลละลาย


จากนั้นโกยแป้งเชื้อใส่กะละมังแป้งกับผงฟูที่ร่อนไว้ครับ (สภาพเละเทะมากตอนนี้)
นวดให้เข้ากันจนไม่เหลือแป้งที่เป็นผงๆครับ นวดไปสักพักแป้งจะเริ่มแห้งขึ้นไม่ติดตามมือ


พอเข้ากันดี เติม SP ลงไปครับ จากนั้นนวดให้พอเข้ากัน
( สารเสริมSP เป็น Emulsifying agent ตัวนึง  มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ช่วยทำให้ เกิดฟองได้ดี
ซึ่งจากคุณลักษณะนี้ ทำให้เค้กหรือขนมที่ใส่ ทำง่ายขึ้นและไม่ยุบง่ายครับ
สามารถหาซื้อ SP ได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ทั่วไปครับ )


จากนั้นเติมเนยขาวลงไปครับ
(ถ้าไม่มีใส่น้ำมันพืชหรือพวกเนยที่ผลิตจากพืชก็ได้นะครับ
ตามสูตรที่ค้นๆมาเค้าจะไม่แนะนำให้ใช้เนยธรรมดา เพราะจะทำให้ซาลาเปาออกเหลืองและขุ่น)


นวดจนเนียนไม่สากมือ จากนั้นเอามาทุบๆชกๆสักหน่อยครับ


ประมาณนี้ก็ใช้ได้แล้วครับ


แบ่งแป้งเป็นก้อนๆขนาดประมาณ 25-28 กรัมต่อลูกครับ (ตามสูตรจะได้ประมาณ 30 ลูกครับ)
เอาผ้าขาวบางชุบน้ำหรือ
wrap คลุมไว้นะครับแป้งจะได้ไม่แห้ง


จากนั้นก็แผ่แป้งออก ใส่ไส้ตรงกลางแล้วค่อยๆจับจีบไล่ไปเรื่อยๆ
(ไม่สามารถถ่ายขั้นตอนมาให้ดูได้แต่ลองๆดูนะครับ แรกๆอาจจะจีบไม่สวย แต่เดี๋ยวก็โอเคเอง)


"ไอ่อ้วนนนน !!!! เอ็งจีบประสาอะไรฟระ ไม่เห็นสวยเลย !!!!!!!!!!"
<<< โดนบ่นไปหลายรอบเลยครับ


จีบเสร็จวางบนกระดาษรองซาลาเปา (ของผมเอากระดาษ A4ตัดเอาครับ ใช้ได้เหมือนกัน)
ไอ้ที่จีบแล้วปิดไม่มิด หรือไม่สวยน่ะ ... ของคนที่โดนดุข้างบนนะครับ



แล้วเอาไปนึ่งในรังถึง ใช้เวลาประมาณ15 นาทีครับ
เว้นที่เผื่อตอนซาลาเปาขยายด้วยนะครับ


15 นาทีผ่านไป มาดูผลงานกันหน่อย





แต่นแต๊นนนน .....

ผลลัพธ์ดังภาพครับ ... มีซาลาเปาเป็นดีซ่านด้วย แหะแหะ

ขอคอมเม้นท์เรื่องการห่อไส้ไว้นิดนึงนะครับ
ถ้าจีบไว้ไม่แน่น หรือปิดไส้ไม่มิด พอซาลาเปาขยายตัว จีบจะแตกไส้จะโผล่อย่างในภาพ
ถ้าเป็นไส้ครีม ห่อแล้วผิวด้านบนบาง จะเป็นดีซ่านเหมือนที่เห็นครับ
ต้องลองทำสัก2-3 ชุดจะเริ่มจับจุดได้ครับลองดูๆ

เทียบขนาดนึ่งแล้วกับยังไม่นึ่งหน่อย


ผ่าให้เห็นกันจะจะครับ ซาลาเปาแป้งบางๆนิ่มๆหอมๆ ไส้ตูมมมมมากๆ
ขายลูกละเท่าไหร่ดีเนี่ย 555

สูตรเค้าดีจริงๆนะครับแป้งนิ่ม ไส้อร่อยมากๆเลยล่ะ

เป็นยังไงบ้างครับ ไม่ยากใช่ไหมเอ่ย
หวังว่าทุกคนคงอิ่มอร่อยกับซาลาเปาสุดอร่อยสูตรนี้นะครับ

ไว้เจอกันใหม่ Entry หน้าครับ

ปล. ขอขอบคุณสูตรซาลาเปาสุดอร่อยจาก แม่สลิ่ม
      ไส้ครีมจาก โกโก้คุง
       และความรู้เรื่องซาลาเปาและสารเสริม SP จาก เจ๊หลี ครับ

Read More...


โคลสลอว์ไม่ง้อผู้พันกับไก่ไม่มีกระดูกคร้าบ

วันนี้เอาเมนูโคลสลอว์มาฝากกันครับ
สมัยยังเด็กวัยกระเตาะ กินบ่อยมากกกครับ
อยู่มาวันนึงผู้พันก็ถอดเมนูนี้ออกไปซะเฉยๆ
ประกอบกับหลังๆไก่ของท่านผู้พันคงโตไม่ทัน
ชิ้นเริ่มหดเล็กลงๆ จนรู้สึกว่าไม่สมกับราคาที่แพงขึ้นๆ
ก็เลยเลิกกินไปซะ

จนมาเจอสูตรนี้เข้าครับ เค้าเคลมว่าสูตรนี้ทำออกมาแล้วเหมือน
ที่ขายเลยนะจะบอกให้ ผมกับบิ๊กก็ไม่รอช้าครับ ที่จะลองทำตาม
เผื่อจะได้รำลึกความหลังครั้งยังเด็ก

มาดูกันดีกว่าว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง

กระหล่ำปลีซอย 8 1/8 ถ้วยตวง
แครอทสับ 1/3 ถ้วยตวง
หัวหอมใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนชา (เห็นบิ๊กบอกว่าใช้เป็นรสชาติแฝงครับเลยใส่ไม่เยอะ)
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วยตวง
เกลือ 1/2 ช้อนชา
พริกไทย 1/8 ช้อนชา
นมสด 1/8 ถ้วย
น้ำเลม่อน 2 ช้อนชา
มายองเนส 1/2 ถ้วยตวง
บัทเตอร์มิลค์ 3/4 ถ้วย

Buttermilk คือนมที่ได้รับการหมักโดยใช้เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งครับมีรสเปรี้ยว
สามารถหาซื้อได้ที่ foodland ครับ ถ้าไม่มีสามารถใช้อย่างอื่นแทนได้ครับตามนี้เลย
1 cup buttermilk = 1 cup yogurt
1 cup buttermilk = 1 cup milk PLUS 1 Tbsp vinegar or lemon juice (let stand for 10 minutes before using in recipe)
1 cup buttermilk = 1 cup milk PLUS 1-3/4 teaspoons cream of tartar

ข้อมูลจาก ที่นี่ ครับ
มาดูวิธีทำกันครับ

เริ่มจากซอยกะหล่ำปลีให้เป็นชิ้นเล็กๆครับ



ตามด้วยแครอท



เทรวมๆกัน แล้วพักไว้ก่อน


ต่อมาทำน้ำสลัดกัน

ผสมน้ำมะนาว น้ำตาล เกลือ พริกไทย นมสด เข้าด้วยกันครับ



ส่วนบัทเตอร์มิลค์....ไม่มีครับ แหะแหะ
เลยใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติแทนผสมให้เข้ากันเป็นใช้ได้

โยเกิร์ต กินแล้ว เกิดเกิดเกิดๆๆๆๆๆ ....
(จะได้ค่าโฆษณาไหมเนี่ย)
สำหรับสัดส่วนน้ำสลัดสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามชอบนะครับ
แต่พยายามชิมให้รสมันเข้มข้นหน่อยนะ
เพราะหมักไปแล้วน้ำผักออกมาจะทำให้รสชาติจืดลงบ้างครับ

เทน้ำสลัดลงไปคลุกๆๆๆๆให้เข้ากัน ตามด้วยหอมใหญ่ที่ขูดไว้
(ไม่ได้แค่สับครับ ขูดเลย เพราะจะได้เป็นรสชาติแฝง)
ปิดฝาแช่ตู้เย็น 1 คืนก็เป็นอันเสร็จ
(การนำไปแช่ตู้เย็นข้ามคืนจะช่วยให้กลิ่นเหม็นเขียวของกะหล่ำปลีสดหายไปครับ)


แต่นแต๊น เสร็จแล้วครับ หน้าตาดูพอไหวเนอะ
พอได้ชิม กลิ่นก็เหมือนของดั้งเดิมอยู่มากทีเดียวครับ
ติดตรงรสชาติที่หวานไปหน่อย เดี๋ยวครั้งหน้าต้องลดน้ำตาลลงหน่อย...


ทีนี้มาดูการทำไก่ไร้กระดูกกันดีกว่า

เอาเนื้อไก่ไปแช่น้ำเกลือครับ ทิ้งไว้ 1คืน อยากได้ไก่เค็มแค่ไหนก็ชิมน้ำเกลือเอานะครับ



หมักได้ที่ ...เทน้ำเกลือทิ้งเสร็จ ... ก็มาเตรียมเครื่องเทศกัน
อ่าาา ไอ้ที่มืดๆในครกเป็นพริกไทยดำนะครับผสมกับพริกไทยขาว โขลกให้ละเอียดเลย



เครื่องเทศที่ใช้หมักในวันนี้ครับ
(ไม่มีสูตรตายตัวนะครับอยากหมัก อยากใส่อะไรตามใจชอบเลย)



สาดลงไปในไ่ก่คลุกให้เข้ากัน



จากนั้นก็เตรียมตัวทอดครับ วันนี้ผมใช้แป้งยี่ห้อนี้



แบ่งแป้งบางส่วนลงคลุกกับเนื้อไก่ครับ


คลุกให้เข้ากัน เพื่อให้แป้งเคลือบเป็นชั้นบางๆหุ้มไก่ไว้ เวลาทอดจะได้กรอบๆครับ



แล้วก็เอาไก่มาคลุกกับแป้งอีกรอบนึงจนทั่ว


จากนั้นก็ส่งลงไปว่ายในน้ำมันครับ

น้ำมันที่ใช้ทอดต้องร้อน(ใช้ไฟกลาง)นะครับ
วิธีทดสอบก้อลงหยดแป้งลงไปถ้าแป้งลอยเลยโดยไม่จมก็ใช้ได้ครับ
เวลาทอดอย่าใช้ไฟแรงนะครับไม่งั้นแป้งจะไหม้แต่ไก่ข้างในไม่สุก
แล้วก็อย่าใช้ไฟอ่อน เพราะไก่จะอมน้ำมันครับ


ทอดจนสุกเหลือง

แค่นี้ก็ได้ไก่ทอดแสนอร่อยกินคู่กับโคสลอว์ แบบไม่ต้องง้อผู้พันแล้วววว

Read More...


โคลสลอว์ (เค้าว่า..)สูตรเลียนแบบ KFC

แม่แจ่มใสได้สูตรนี้มาจาก web เมืองนอก web หนึ่ง จำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร ได้มาก็จดลงสมุด แล้วทำชื่อweb หายไป เป็นปีแล้วคะ ยากแก่การจำ

web นี้มีสูตรหลายอย่างที่เขาอ้างว่าทำได้เหมือน หลายๆยี่ห้อดัง บางสูตรต้องเสียเงินในการดาวน์โหลด แต่อันนี้ไม่ต้อง.....

เขาว่าเหมือนของ KFC แม่แจ่มใสว่าใช้ได้เลยหล่ะ






.........ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง.....


.....สูตรค่ะสูตร...

มายองเนส (real มายองเนสนะ ไม่ใช่สลัดครีม) 1/2 ถ้วย

น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย

นมสด 1/4 ถ้วย

butter milk 1/4 ถ้วย (แม่แจ่มใสใช้นมแทนคะ ขี้เกียจไปซื้อ)

น้ำมะนาว 2 1/2 ชต.

น้ำส้มสายชู 1 1/2 ชต. (KFC ใช้แบบไหนไม่รู้ แม่แจ่มใสใช้แบบ อสร.นี่แหละ ไม่มีกลิ่นฉุนๆดี)


เกลือ 1/2 ชช.

พริกไทย 1/8 ชช.

กะหล่ำปลี 8 ถ้วย (ใช้ประมาณ 1 หัวกลางๆ)

แครอท 1/4 ถ้วย (ใช้ประมาณ 1 หัว)

หอมใหญ่ 2 ชต.






เอาส่วนผสมที่ไม่ใช่ผักทั้งหมดรวมกัน คนให้เข้ากันดี กะให้น้ำตาลละลายด้วยคะ แล้วโรยพริกไทย คนให้เข้ากัน







ส่วนผักก็สับเล็กๆ แม่แจ่มใสใช้เครื่องซอยคะ และไม่ใส่หอมใหญ่เพราะลูกไม่ชอบทาน














ได้ผักตามต้องการแล้ว เทส่วนผสมของเหลวลงไป คนให้ทั่วถึง









แหม...ชามสีแจ๋นไปหน่อย แสบตาดีแท้... เสร็จแล้วค่ะ ปิดภาชนะ แช่เย็นได้เลย


ถ้า ไม่แน่ใจว่ารสจะถูกปากไหม ก็อาจจะลดส่วนเครื่องปรุงลงหน่อย แล้วชิมดูว่าน่าจะเพิ่มอะไรอีกนะคะ อย่างแม่แจ่มใสทำ จะเติมเกลืออีกนิด แต่ลดน้ำตาลหน่อยนึง


พอเย็นได้ที่ก็เอามาชิมกันหน่อย....ของชอบ....




credit :
http://happytammy.bloggang.com



Read More...


บ้านไอซ์ ปักษ์ใต้จานเด็ด หรอยอย่างแรง

ด้านหน้าร้านบ้านไอซ์
       อาหารปักษ์ใต้นั้นมีเอกลักษณ์อยู่ตรงที่ความจัดจ้านเผ็ดร้อน จนหลายๆ คนไม่ค่อยจะได้ลิ้มลองเพราะกลัวจะแสบลิ้น แต่ “ผ่านมาแวะกิน” คิดว่าความเผ็ดก็เป็นรสชาติหนึ่งของชีวิตที่ไม่ควรพลาด ในคราวนี้ก็เลยอยากจะพามาลองชิมอาหารใต้จานเด็ดกันที่ร้าน “บ้านไอซ์” ที่อยู่ใน ซ.วัดเสมียนนารี
บรรยากาศภายในร้าน
       ร้าน “บ้านไอซ์” มีให้ลองชิมกันทั้งอาหารใต้และอาหารภาคกลาง แต่จะเน้นที่อาหารใต้เสียมากกว่า โดยที่จะเป็นรสชาติแบบคนเมืองคอน หรือ นครศรีธรรมราช แต่ก็นำมาปรับรสชาติไม่ให้เผ็ดมากเกินไปจนคนกรุงเทพฯ กินไม่ได้ ส่วนวัตถุดิบภายในร้านบางอย่างก็ต้องสั่งตรงมาจากเมืองคอนโดยเฉพาะ อย่างเช่นพวกพริกแกงต่างๆ เพื่อจะให้ได้รสชาติความเป็นปักษ์ใต้อย่างแท้จริง
       
       ภายในร้านจะจัดที่นั่งแบบสบายๆ ไม่อึดอัด แถมยังดูสบายตาเพราะจะเป็นโทนสีเขียวที่ช่วยให้ผ่อนคลาย แถมยังมีหนังสือหลากหลายชนิดวางไว้ให้เลือกอ่านกันได้ด้วย และที่ชั้น 2 ก็ยังจัดเป็นห้องๆ เผื่อว่าใครอยากจะมาสังสรรค์แบบส่วนตัวก็ทำได้เช่นกัน
ข้าวยำ
       คราวนี้มาดูกันหน่อยว่าจะลองชิมจานไหนดี เริ่มกันที่ ข้าวยำ (90 บาท) อาหารใต้เมนูเด็ดที่ใช้ข้าวหอมมะลินุ่มๆ ครบเครื่องด้วยตะไคร้ ใบมะกรูด ถั่วฝักยาว ถั่วงอก แตงกวา ถั่วพู ใบบัวบก ส้มโอ กุ้งแห้งป่น มะพร้าวคั่ว และพริกป่น มาพร้อมกับน้ำบูดูสั่งตรงจากสายบุรี แล้วมาปรุงรสชาติเพิ่มเติมความอร่อยให้มากขึ้น เวลาเสิร์ฟมาจะนำมาคลุกเองที่โต๊ะหรือจะให้ทางร้านคลุกเคล้ามาเลยก็ได้ จานนี้หอมกลิ่นสมุนไพรหลากหลายชนิด น้ำบูดูรสหวานๆ หอมๆ ได้ความเปรี้ยวจากส้มโอ กินแล้วเข้ากันดี หรือหากชอบความเปรี้ยวก็บีบมะนาวเพิ่มด้วยก็ได้
ผัดสะตอกะปิกุ้ง
       ส่วนจานนี้ก็คือ ผัดสะตอกะปิกุ้ง (130 บาท) ที่ใช้สะตอข้าว เลือกที่ไม่อ่อนไม่แก่เกินไปมาแกะเอาแต่เม็ด แล้วผัดกับกุ้ง และกะปิที่ปรุงรสจัดจ้าน ใส่ใบมะกรูด และหอมใหญ่เพิ่มกลิ่นและรสชาติ จนได้ความเผ็ด เข้มข้นและหอมมัน กินกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเหอะอย่าบอกใคร
แกงส้มปูหน่อไม้ดอง
       แกงส้มปูหน่อไม้ดอง (600 บาท) เมนูนี้ใช้ปูทะเลสดๆ เนื้อแน่นเต็มไปด้วยไข่ มาต้มกับพริกแกงเหลือง หน่อไม้ดองที่ต้องนำมาต้มน้ำทิ้งก่อน แล้วใส่ยอดมะพร้าวอ่อน ปรุงรสเปรี้ยวหวาน ชิมแล้วกลมกล่อมหอมหน่อไม้ดอง เผ็ดกำลังดี
       
       ต่อด้วย บูดูทรงเครื่อง (120 บาท) ที่ใช้น้ำบูดูต้มสุกมาปรุงรส ใส่พริกขี้หนู หอมแดง ตะไคร้ ใบมะกรูด และเนื้อกุ้งต้มสุก เมนูนี้รสชาติเปรี้ยว เค็ม เผ็ด หอมนานาสมุนไพร กินกับผัดสดหลากชนิด
บูดูทรงเครื่อง
       แล้วมาดับความเผ็ดด้วย ปลาแดงขมิ้น (120 บาท) ทางร้านใช้ปลาแดงมาคลุกเกลือและขมิ้น นำไปทอด ราดด้วยกระเทียมเจียว ตัวปลากรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน หอมกลิ่นขมิ้นและกระเทียม หรือจะเป็นเมนู ปลาทูทะเลใต้ (100 บาท) ที่นำปลาทูมาเคี่ยวกับซีอิ้ว อ้อย และมะขามเปียกจนเข้าเนื้อ เวลาเสิร์ฟจะโรยหน้าด้วยพริกขี้หนูซอย หอมแดงซอย และชิ้นมะนาว ลองชิมปลาทูเนื้อแน่น รสหวานหอม แล้วบีบมะนาวลงไปอีกสักนิด ก็ทำให้ครบรสมากยิ่งขึ้น
ปลาแดงขมิ้น
       และเมนูปิดท้าย ผัดหมี่เมืองคอน (120 บาท) เมนูขึ้นชื่อที่ใช้เส้นเล็กผัดกับกุ้งสด กุ้งแก้ว และน้ำปรุงรสที่มีทั้งพริกแกง และกะทิ กินคู่กับถั่วงอก ใบบัวบก หัวปลีซอย และมะม่วงซอย จานนี้เส้นนุ่ม มัน หอม หวาน กินกับมะม่วงซอยก็จะเพิ่มรสเปรี้ยว แล้วตามด้วยความมันจากหัวปลี ก็ยิ่งอร่อยเพิ่มขึ้นไปอีก
ปลาทูทะเลใต้
       แต่ถ้าอยากจะมาเพิ่มเติมความอร่อย ก็ขอแนะนำ ขนมจีนน้ำยาใต้ (90 บาท) น้ำพริกแมงดา (120 บาท) ไข่แดงหุ้มเกราะ (120 บาท) ไก่คั่วเค็ม (120 บาท) และตบท้ายด้วยของหวาน สาคูแคนตาลูป (45 บาท) นอกจากนี้ทางร้านก็ยังมีเบเกอรี่โฮมเมด น้ำพั้นช์ และเต้าฮวย มาให้ลองชิมอิ่มอร่อยกันอีกด้วย
ผัดหมี่เมืองคอน   
       “บ้านไอซ์” ตั้งอยู่ที่99/203 ถ.เทศบาลสงเคราะห์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. การเดินทางจากถนนวิภาวดีรังสิต (ขาออก) เลี้ยวซ้ายเข้าซอยวัดเสมียนนารี ผ่านสี่แยกไฟแดงตรงไปกลับรถหน้าตลาดประชานิเวศน์ ขับมาจะเห็นร้านบ้านไอซ์ ตั้งอยู่ซ้ายมือ ทางร้านรับจัดเลี้ยงภายในร้าน มีที่จอดรถในหมู่บ้านด้านหลังร้าน เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น. โทร.0-2589-4875, 0-2580-5117

Read More...


ชวนกิน "ขนมหวานจีน" เย็นชื่นใจ

ขนมหวานจีนดั้งเดิม ถือเป็นอีกหนึ่งของจีนดับร้อนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะ“เฉาก๊วย”นั้น คนไทยคุ้นเคยกันดี เพราะสามารถหากินได้ทั่วไป นอกจากนี้ก็ยังมีขนมหวานจีนอีก 2 อย่าง ที่แม้ชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้นหูใครหลายๆคน แต่ว่ารสชาติความอร่อยนั้น ยากที่จะปฏิเสธยิ่งนัก


ดับร้อน ผ่อนคลายกับ “เฉาก๊วย

เฉาก๊วย

“เฉาก๊วย” เป็นขนมที่ทำจาก “ต้นเฉาก๊วย” ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่ง ตระกูลเดียวกันกับ ใบสะระแหน่ ,ใบกะเพรา,ใบโหระพา ในเมืองไทยหาต้นเฉาก๊วยดูได้ยาก เพราะสภาพอากาศและดินไม่เอื้อต่อการปลูก
เฉาก๊วย มีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ เหมาะกับสภาพภูมิอากาศร้อนแบบบ้านเราเป็นอย่างยิ่ง สำหรับร้านเฉาก๊วยเจ้าแรกที่จะพาไปรู้จัก คือ ร้าน”เฉาก๊วยดอนเมือง” ร้านนี้ตั้งอยู่หลังร้านเจ๊เล้ง ดอนเมือง 40/74-76 แขวงหลักสี่ เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ร้านเปิดบริการตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. สนใจติดต่อ โทร. 0-2565-2653, 0-2531-8081

บ๊วยเกี้ย-เช็งซิมอี๊

ตามติดอีกแห่งกับ “เฉาก๊วย คุณวี” ย่านบ่อนไก่ ที่มีจุดเด่น คือเหนียว นุ่ม หนุบ หนับแล้ว ยังจะมี พุทรา รากบัว แป๊ะก๊วย ถั่วแดง และลูกชิด เป็นเครื่องประกอบด้วย เพื่อสร้าง “หน้าตา” ให้ขนมน่าทานมากขึ้นไปอีก ร้านเปิดทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-15.00 น. โทร. 08-6569-4800

ร่นเฉาก๊วยรถเข็นที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งต้องยกให้ ร้าน “เฉาก๊วยเฮฮา” ตั้งอยู่ริมทางเท้าย่านสยามและมีสาชาตามห้างใหญ่ๆทั่วไป เฉาก๊วยที่นี่พิเศษตรงที่นอกจากเหนียมนุ่ม น้ำเชื่อมรสชาติยัง ไม่ซ้ำใคร เพราะเป็นสูตรแบบชาวจีนไหหลำ สนใจติดต่อ “เฉาก๊วย เฮฮา” โทร.08-7501-7766

เฉาก๊วยอีกร้านที่จะแนะนำให้รู้จักครั้งนี้ คือร้าน “อาคุงสูตรโบราณ”ร้าน จะอยู่ระหว่างท่าพระจันทร์กับท่าช้าง ขายเต้าฮวยเป็นหลัก แต่ก็มีเมนูอื่นๆในเลือกหลายเมนู เช่น เฉาก๊วยปาท่องโก๋ เฉาก๊วยเต้าฮวย ร้าน”อาคุงสูตรโบราณ” เปิดทุกวัน เวลา 11.00-19.00 น. โทร. 08-1775-2540

“บ๊วยเกี้ย-เช็งซิมอี๊” อร่อย ชื่นใจ

ใครไม่อยากกินเฉาก๊วยก็ยังมีของหวานอย่างอื่นมาแนะนำอย่าง“บ๊วยเกี้ยสูตรไหหลำ เจ๊น้อย” ร้านเล็กๆที่ตั้งอยู่ใน ซ.เจริญกรุง 67 “โบ๊กเกี้ย” “โบ๊ะเกี๊ย” หรือ”บ๊วยเกี้ย” คือ ชื่อเรียกของขนมหวานชนิดหนึ่งของคนจีนไหหลำ เป็นขนมหวานที่หากินได้ยากในบ้านเรา

เป็นการนำเอาแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้ามาผสมกวนให้เข้ากัน แล้วก็ผสมกับแป้งมันอีกที นวดจนให้แป้งเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมาปั้นด้วยมือทุกตัว ปั้นให้มีลักษณะเป็นตัวยาวๆ ปลายแหลมทั้ง 2 ข้าง แล้วนำไปต้มในน้ำเดือดให้ตัวบ๊วยเกี้ยสุกเป็นสีขาวใส

เครื่องของบ๊วยเกี้ยร้านนี้ใส่หลายอย่าง ทั้งมันเชื่อม ถั่วแดงต้ม แปะก๊วยเม็ดนุ่มสีเหลือง และถั่วลิสงที่คั่วเองแบบสดใหม่ ร้าน”บ๊วยเกี้ยสูตรไหหลำ เจ๊น้อย” เปิดทุกวัน เวลา 12.00-22.00 น. โทร.0-2211-4812, 08-7823-1884

อีกร้านที่ขายของหวานๆเย็นๆที่จะไม่เอ่ยถึงไม่ได้คือร้าน “เช็งซิมอี๊” ตรงถ.ตรอกจันทร์สะพาน 3 “เช็งซิมอี๊” มีความหมายว่า กินแล้วชื่นใจ สบายใจ ที่นี่มีเครื่องหวานเย็นมากมายกว่า 40 อย่าง “เช็งซิมอี๊”เปิดทุกวัน เวลา 12.00-24.00 น.โทร. 0-2212-4262, 08-9922-3180, 08-6090-1361


Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.