สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว สร้างแฟรนไชส์ด้วยความคิดสร้างสรรค์



เมื่อพูดถึงร้าน "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักรสชาติน้ำซุปและความเหนียวของเส้นอร่อยจนเล่ากันปากต่อปาก ส่งผลให้ปัจจุบันเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีสาขากว่า 1,500 สาขาทั่วประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว พ.ศ.2535 คุณพันธ์รบ กำลา ซึ่งมาจากครอบครัวชาวนาในจังหวัดร้อยเอ็ด เดินทางเข้ากรุงเทพฯหารถเข็นมาเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเล็กๆ แต่เมื่อเห็นน้องชายซึ่งขายบะหมี่เกี๊ยวอยู่มีรายได้ดีจึงเพิ่มรถเข็นอีกคันขายบะหมี่เกี๊ยวด้วย ขายไปสักพักพบว่าบะหมี่เกี๊ยวได้รับความนิยมมากกว่า แต่เส้นบะหมี่ที่ใช้มีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับต้องการลดต้นทุนคุณพันธ์รบจึงคิดผลิตเส้นบะหมี่และแผ่นเกี๊ยวเอง
 

พ.ศ.2537 คุณพันธ์รบนำเงินที่เก็บหอมรอมริบซื้อเครื่องผลิตเส้นบะหมี่และแผ่นเกี๊ยว โดยจ้างผู้รู้มาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ลองผิดลองถูกอยู่ถึง 1 ปีเต็มจนได้สูตรเส้นบะหมี่และแผ่นเกี๊ยวที่เป็นของตัวเอง และตั้งชื่อร้านว่า "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"
 


หลังจากเปลี่ยนชื่อร้านได้สักพัก "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" สร้างรายได้ให้คุณพันธ์รบจนมีฐานะดีขึ้น เพียงแค่ 2 ปีมีเงินเก็บถึง 6-7 แสนบาท เมื่อเขาเดินทางกลับบ้านเกิดที่บ้านหนองมะเขือ ต.สระบัว อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อนบ้านเห็นว่าเขาขายบะหมี่เกี๊ยวแล้วรายได้ดี จึงขาย "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" บ้าง และเก็บเงินได้มากมาย ชื่อเสียงของ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" จึงติดตลาดมากขึ้น

ชื่อเสียงเริ่มโด่งดังระดับประเทศเมื่อคุณพันธ์รบไปออกรายการ "เกมแก้จน" หลังจากออกรายการวันนั้นก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาขอทำแฟรนไชส์เป็นจำนวนมาก ปี 2542 "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" ขยายสาขาจาก 150 สาขา เป็น 800 สาขา คุณพันธ์รบจึงจดทะเบียนเป็น "บริษัท ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว จำกัด" และสร้างโรงงานใหม่ในปี 2543 เพื่อรองรับลูกค้าที่มากขึ้น
 

ระบบแฟรนไชส์ของ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" จัดระบบให้ความสะดวกแก่ลูกค้าเป็นอย่างดี วัสดุที่ใช้ทั้งเส้น น้ำซุป ลูกชิ้น เครื่องปรุง ตะเกียบ แม้กระทั่งน้ำยาล้างจานก็ทำให้เป็นมาตรฐานเดียวกันหมด และยังเพิ่มเมนูอื่นๆ อย่างบะหมี่เป็ด ข้าวหน้าเป็ด และข้าวหมูแดงเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
นอกจากนี้ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" ยังเป็นจุดเติมเงินโทรศัพท์ ขายอุปกรณ์เสริมโทรศัพท์มือถือ ลูกอม และมีสินค้าอื่นๆ ขายอยู่ถึง 20-30 รายการ และยังขยายสาขาออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวแล้วด้วย
 


ทุกวันนี้ถือได้ว่าธุรกิจ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะคุณพันธ์รบคิดสร้างสรรค์และพัฒนาวัตถุดิบให้มีคุณภาพ สร้างชื่อให้ ติดตลาด ขยายตลาดให้กว้างขึ้น เข้าถึง ทุกชุมชนคล้ายร้านสะดวกซื้อ และต่อยอดธุรกิจ ติดต่อกับสินค้าประเภทอื่นๆ



อ้างอิงจาก ประชาชาติธุรกิจ

 

Read More...


Heads or Tails ขนมปังสูตรเยอรมนีคู่สังขยาแบบไทย

 
       น่าภาคภูมิใจที่ขนมปังสังขยาแบบไทยๆ มีโอกาสแจ้งเกิดในต่างประเทศ เพราะความคิดต่างและไม่หยุดนิ่งในการสรรหาวัตถุดิบแปลกใหม่มาทำเป็นสังขยา จนถูกอกถูกใจในหมู่คนไทยและต่างชาติ ของร้าน Heads or Tails ที่ยกระดับขนมปังสังขยาใบเตยขึ้นห้าง เพื่อแสดงศักยภาพขนมไทยให้ต่างชาติได้ลิ้มลอง



       จันทิมา ชีวมงคล เจ้าของร้านขนมปังสังขยา Heads or Tails ได้ย้อนตำนานร้านขนมปังเนื้อนุ่ม พร้อมสังขยาที่มีรสชาติและสูตรเฉพาะตัว ว่า การเปิดร้านนี้ เป็นการตัดสินใจ และเชื่อมั่นในฝีมือการอบขนมปัง และสังขยา ของตนเอง ที่ได้สูตรมาจากคุณย่า ที่มักทำให้ทานกันภายในครอบครัว จนเป็นที่ติดอกติดใจ จนกระทั่งเมื่อลูกๆ ของจันทิมา มีหน้าที่การงานแล้ว ทำให้ตนเองคิดหาธุรกิจทำสักอย่างหนึ่ง จึงหันมามองตลาด และความถนัดของตัวเองว่าชอบอะไร และจะทำอะไรที่ตนเองมีความชำนาญ ซึ่งต้องมีความเป็นไปได้ทางการตลาดด้วย นั่นก็คือ ร้านขนมปังสังขยา ที่เชื่อมั่นในสูตรที่ได้มา และสังขยาที่มีสูตรเฉพาะ




       สุดท้ายจึงเลือกทำเลย่านมหาวิทยาลัยเอแบคเป็นจุดเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งก็ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ทั้งตึกที่ต้องการเช่า กลับเปลี่ยนใจ ทำให้ต้องไปเลือกอาคารข้างๆ ขนาด 2 คูหา ซึ่งสภาพเก่ามาก ทำให้ต้องเสียค่าตกแต่งภายในสูงถึงหลักล้าน ซึ่งผู้เป็นสามีได้พูดว่า “งานนี้ไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย (Heads or Tails)” ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อร้าน ซึ่งตรงกับความต้องการของจันทิมาที่ไม่ต้องการตั้งชื่อร้านที่บ่งบอกถึงสินค้าร้านมากเกินไป และตรงกับวิธีการปิ้งขนมปังที่ต้องปิ้งทั้ง 2 ด้าน ส่วนโลโก้ก็ได้ชาวต่างชาติมาวาดให้ โดยแบบที่ใช้คือ คุณจันทิมา นั่นเอง ทำให้โลโก้ของร้านมีคล้ายธุรกิจของชาวต่างชาติ


 
 
       “หลังจากที่เราเปิดร้านที่ม.เอแบค ผลตอบรับดีมาก จนทางห้างเอ็มโพเรียม ติดต่อให้ไปเปิดสาขา เพราะคอนเซ็ปต์ของร้านตรงกับความต้องการที่เน้นสินค้าเรียบง่าย แต่ดูดี มีระดับ ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้เราตัดสินใจเซ้งร้านที่เอแบคให้ผู้ประกอบการรายอื่น เพราะเกรงจะดูแลทั้ง 2 สาขาไม่ทั่วถึง โดยปัจจุบันร้านที่ห้างเอ็มโพเรียม” เปิดให้บริการมาแล้วถึง 9 ปี และขณะนี้ได้ขยายอีก 1 สาขา คือที่ห้างสยามพารากอน เปิดมาแล้วกว่า 3 ปี” 


       ทั้งนี้จุดเด่นของร้าน Heads or Tails อยู่ที่ความสดใหม่ของขมปัง และสังขยา ที่ผลิตใหม่วันต่อวัน ไม่ทิ้งค้างคืน ซึ่งสูตรเป็นสูตรเฉพาะของครอบครัว โดยเนื้อขนมปัง จะกรอบนอกนุ่มใน คล้ายขนมปังปอนด์ที่ชาวต่างชาตินิยมรับประทานกัน ซึ่งสูตรขนมปังของร้านเป็นของประเทศเยอรมนี ในขณะที่สังขยาที่ลูกค้านิยม คือ สังขยาใบเตย เพราะมีรสชาติแบบไทยๆ ไม่เหมือนเจ้าอื่น คือใช้น้ำใบเตยแท้มาทำเป็นสังขยา ไม่ใส่วัตถุกันเสีย

       “นอกจากขนมปังที่เป็นสูตรจากเยอรมนีแล้ว สังขยายังสดใหม่ทุกวัน และผลิตอย่างต่อเนื่องตลอดวัน ทำให้ลูกค้าได้สังขยาที่ร้อน ซึ่งทางร้านมีสังขยาให้เลือกหลากหลาย เช่น สังขยาใบเตย สังขยาสีส้มจากสีสำหรับทำขนมเค้ก สังขยาเผือก และฟักทองเกาลัดญี่ปุ่น ผลไม้นำเข้า ที่ปีหนึ่งๆ จะหารับประทานได้เพียง 4 เดือนเท่านั้น คือตั้งแต่เดือนพฤษภาคม-กันยายน ซึ่งหน้านี้ลูกค้าชื่นชอบมาก เพราะเป็นรสชาติสังขยาที่แปลกใหม่ไม่เคยมีใครกล้านำฟักทองเกาลัดญี่ปุ่นมาทำ และมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งการหาวัตถุดิบใหม่ๆ มาทำเป็นสังขยาถือเป็นจุดขายอีกอย่างหนึ่งของทางร้าน” 


 

       สำหรับราคาขายอยู่ที่ 25 บาท/แผ่น ยกเว้นสังขยาหน้าฟักทองเกาลัดญี่ปุ่นที่ตกแผ่นละ 30 บาท ซึ่งหน้าสังขยาเหล่านี้ลูกค้าสามารถเลือกได้สูงถึง 4 หน้าใน 1 แผ่นเลยทีเดียว เพราะทางร้านเข้าใจความต้องการของลูกเป็นอย่างดี ที่อาจจะอยากรับประทานสังขยาในหลายๆ รสชาติ ซึ่งที่ผ่านมาลูกค้ามีทุกเพศทุกวัยมาอุดหนุน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีเลือกร้าน Heads or Tails เป็นสภากาแฟ เพราะนอกจากขนมปังสังขยาจะมีรสชาติไม่เหมือนใครแล้ว เครื่องดื่มทุกอย่างทางร้านยังทำเอง เช่น กาแฟสด นมสด และชามะนาว เป็นต้น รวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติที่มาลิ้มลองประมาณ 20%

       ปัจจุบันทางร้านได้ขยายตลาดไปต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ โดยให้ทางแฟรนไชส์แต่ละประเทศส่งผู้ที่ความรู้ด้านเบเกอรี่มาอบรม รวมถึงนำวัตถุดิบในการทำขนมปังของประเทศนั้นๆ มาด้วย เพื่อการทำขนมปังให้มีรสชาติใกล้เคียงของร้านต้นตำรับมากที่สุด ส่วนแฟรนไชส์ในไทย จันทิมา บอกว่า จะคัดสรรมากเป็นพิเศษ โดยล่าสุดได้ตัดสินใจเลือกแฟรนไชซีเพียงรายเดียวเท่านั้น แต่เปิด 3 สาขา ทำเลในห้างสรรพสินค้าทั้งหมด ซึ่งใช้เงินลงทุนในแต่ละสาขาเฉียด 2 ล้านบาท ส่วนแผนธุรกิจต่อไป จันทิมา คิดที่จะเปิดร้านขายสลัด และแซนวิช เพื่อสุขภาพ ย่านแหล่งวัยรุ่น หวังเอาใจคนกลัวอ้วน
 

สนใจธุรกิจ กรุณาติดต่อ 0-2610-7594, 08-4556-4156




อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


อะโย่ ชิปส์’ มันฝรั่งเกลียวเสียบไม้ พลิกโฉมจังก์ฟูดรุกแฟรนไชส์


       มันฝรั่งทอดม้วนเป็นเกลียวยาวเสียบในไม้ แบรนด์ “อะโย่ ชิปส์” (AYOCHIPS) ถือเป็นการสร้างจุดเด่นทางการตลาด เรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้อย่างรุนแรง อีกทั้ง นำเสนอด้วยรสชาติหลากหลายจับลูกค้าวงกว้าง และที่สำคัญวางกลยุทธ์ ปรับทัศนคติจากอาหารขยะสู่เมนูประจำวัน ส่งให้ธุรกิจแฟรนไชส์รายนี้เป็นอีกดาวรุ่งที่น่าจับตา
  



       นวัตกรรมแดนกิมจิบุกตลาดไทย

      
       นันทิยา วรประทีป กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ๊ด ยัง วันส์ จำกัด เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ “อะโย่ ชิปส์” เล่าจุดเริ่มไอเดียเกิดจากเดินทางไปประเทศเกาหลี พบสินค้ามันฝรั่งเกลียวทอดเสียบไม้ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงจากชาวเกาหลี รวมถึงนักท่องเที่ยว เกิดเป็นความสนใจอยากนำนวัตกรรมนี้มาต่อยอดขายในประเทศไทย เพราะเชื่อว่า กลุ่มลูกค้าใกล้เคียงกัน จึงติดต่อเจ้าของธุรกิจชาวเกาหลี เพื่อซื้อลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร รวมถึง นำเข้าเครื่องจักร เพื่อมาทำตลาด และสร้างแบรนด์ใหม่ของตัวเองในประเทศไทย
      
       “สินค้าต้นตำรับเกาหลี รสชาติจะค่อนข้างจืด และขนาดไม้สั้น เมื่อมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง ดิฉันจึงปรับรูปแบบให้เหมาะกับคนไทยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรสชาติให้เข้มข้นและหลากหลายขึ้น ส่วนขนาดเพิ่มความยาวเป็นกว่า 40 เซนติเมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร เพื่อเรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ภาพลักษณ์เน้นเทรนด์เกาหลีตามกระแสนิยม” นันทิยา อธิบายเสริม และเล่าต่อว่า
 

 
 
โฉมใหม่ของมันฝรั่งทอด


       การคิดค้นรสชาตินั้น ต้องการให้ควบคุมลูกค้าครบทุกกลุ่ม ตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น คนทำงาน และนักท่องเที่ยว เบื้องต้นประเดิมที่ 7 รสชาติ ได้แก่ ต้นตำรับโรยเกลือ รสชีส รสซาวครีมและหัวหอม รสต้มยำกุ้ง ช็อกโกแลตดิพ โนริวาซาบิ และบาร์บีคิว ในอนาคตจะพัฒนาให้มีถึง 20 รสชาติ
      
       ด้านวัตถุดิบมันฝรั่ง คัดสรรมันฝรั่งพันธุ์ดีจากแถบภาคเหนือของไทย ซึ่งปราศจากสารอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น และไม่เป็น GMO


 


       ชูเมนูแปลกใหม่ ลบภาพอาหารขยะ
      
       นันทิยา เผยจุดเด่น คือ รูปแบบแปลกใหม่ของมันฝรั่งทอด เรียกความสนใจจากผู้พบเห็นได้อย่างดียิ่ง ที่ผ่านมาสินค้าดังกล่าวประสบความสำเร็จมาแล้วทั้งในตลาดประเทศเกาหลี และประเทศอื่นๆ ที่ซื้อลิขสิทธิ์ไปขาย อย่างไต้หวัน ญี่ปุ่น อังกฤษ และออสเตรเลีย นอกจากนั้น ความอร่อยยังเหนือกว่ามันฝรั่งทอดบรรจุซอง เพราะใช้วัตถุดิบสดใหม่ และทำสดๆ ลูกต่อลูกอีกด้วย
      
       ส่วนภาพของมันฝรั่งทอดที่ถูกมองว่าเป็นอาหารขยะนั้น เจ้าของธุรกิจ ชี้แจงว่า ในความเป็นจริง มันฝรั่งไม่มีผลร้ายแก่ผู้บริโภคเลย ตรงกันข้าม มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส เป็นต้น แต่ที่กลายเป็นอาหารขยะ อยู่กับการนำไปใช้ เช่น ทอดในอุณหภูมิไม่เหมาะสม หรือใช้น้ำมันคุณภาพต่ำ รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่รับประทานเกินขอบเขต ดังนั้น “อะโย่ ชิปส์” พยายามลบจุดอ่อนดังกล่าว โดยคัดสรรวัตถุดิบเกรดเอ ผลิตในกระบวนการเหมาะสม มีผลงานวิจัยรองรับ เพื่อให้ผู้บริโภค รับรู้ว่า การรับประทานมันฝรั่งที่ผลิตด้วยกระบวนคุณภาพในปริมาณเหมาะสมจะเกิดผลดีแก่ร่างกาย


       นอกจากนั้น เมื่อดูข้อมูลความเป็นจริงของตลาด แม้เมนูมันฝรั่งทอดจะถูกมองว่าเป็นอาหารขยะ แต่ยอดขายของมันฝรั่งทอดบรรจุซอง กับที่ขายตามร้านฟาสต์ฟู๊ดต่างๆ มูลค่ามหาศาล ดังนั้น ประเมินว่า โอกาสธุรกิจของเมนูมันฝรั่งทอดยังเปิดอีกกว้าง
 

      
       ขยายความสำเร็จด้วยแฟรนไชส์
      
       เจ้าของธุรกิจ เผยว่า ใช้ทุนเริ่มต้นธุรกิจนี้ รวมกว่า2 ล้านบาท ทั้งเป็นค่าสิทธิบัตร เครื่องจักร ทำการตลาด ฯลฯ ใช้ระยะเวลาพัฒนาสินค้าเกือบ 1 ปี เริ่มเปิดสาขาแรกของตัวเองที่เมเจอร์ เอเวอร์นิว เมื่อเดือนตุลาคมปีนี้ (2551) ที่ผ่านมา หลังจากนั้น ขยายสาขาไปตามห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เช่น เดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วาน บางกะปิ บางแค และเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ นอกจากนั้น หาผู้ร่วมทุนในรูปแบบขายแฟรนไชส์ด้วย มีสาขาที่เซ็นทรัลพระราม 3 เซ็นทรัลเวิล์ด และสีลม คอมเพล็กซ์
      
       “หลังธุรกิจเปิดตัวได้ไม่นาน ได้กระแสตอบรับอย่างดี มีผู้สนใจขอร่วมธุรกิจจำนวนมาก ดิฉันจึงมองว่าเป็นโอกาสจะสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงได้รวดเร็วกว่าขยายด้วยตัวเองเท่านั้น อีกทั้ง เป็นโอกาสดีจะแชร์ประสบการณ์ และความสำเร็จร่วมกัน ” นันทิยา ระบุ
 


       ด้านวิธีรักษาคุณภาพแฟรนไชส์ จะทำธุรกิจผ่านสัญญาที่รัดกุม กำหนดต้องรับวัสดุดิบหลักจากบริษัทฯ เท่านั้น เช่น มันฝรั่ง ผงปรุงรส และซอง เป็นต้น โดยจะส่งให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง มีการจัดอบรมพนักงานก่อนเปิดร้านจริง อีกทั้ง จัดทีมงานออกดูแลตรวจสอบและแนะนำอย่างใกล้ชิด
      
       สำหรับการลงทุน มีให้เลือกทั้งแบบเคาน์เตอร์ปรับให้เหมาะกับสถานที่ คีออส์ และแบบชอป งบลงทุนอยู่ที่ 3-5 แสนบาท (แล้วแต่ขนาดและสถานที่) โดยใช้สาขาที่เปิดโดยแฟรนไซซอร์ ซึ่งมีรูปแบบต่างๆ ครบถ้วนเป็นร้านต้นแบบ เปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทุน พิจารณาโอกาสธุรกิจได้ด้วยตัวเองอย่างโปร่งใส และตรงไปตรงมา
      
       นันทิยา ระบุว่า ความน่าสนใจของแฟรนไชส์นี้อยู่ที่ความแปลกใหม่ ไร้คู่แข่งในท้องตลาด และกำไรต่อหน่วย ค่อนข้างสูง จากราคาขายปลีกไม้ละ 45 บาท มีต้นทุนค่าวัตถุดิบและการผลิต ประมาณ 30-40% หักค่าใช้จ่ายต่างๆ เหลือกำไรสุทธิประมาณ 30%ต่อไม้ จากสถิติที่เปิดร้านมาทั้งหมด ไม่มีแห่งใดล้มเหลว สาขาขายดีที่สุดมียอดหลักหมื่นบาทต่อวัน ส่วนสาขาแย่ที่สุด ยังไม่ถึงขั้นขาดทุน
      
       สำหรับเป้าขยายสาขา ในปีนี้ คาดจะมีรวมกันประมาณ 10-12 สาขา ส่วนปีหน้า (2552) จะเพิ่มอีกประมาณ 10 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ขณะที่แผนการทำตลาดจะเน้นโรดโชว์สร้างแบรนด์ ควบคู่กับออกโปรโมชั่นต่อเนื่องทั้งปี


 

       ชูกลยุทธ์เมนูแฟชั่นต่อยอดยั่งยืน
      
       นักธุรกิจสาว ยอมรับว่า เมนูมันฝรั่งเกลียวทอดเสียบไม้ ถือเป็นอาหารแฟชั่น ที่จะได้รับความนิยมอย่างสูงในระยะเวลาหนึ่ง โดยแผนการตลาดที่วางไว้จะใช้ช่วงเวลาทองนี้ สร้างแบรนด์ “อะโย่ ชิปส์” ให้เป็นที่รู้จักมากที่สุด เพื่อปูพื้นฐานธุรกิจให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน ผ่านการพัฒนาสินค้า ทั้งเพิ่มความหลากหลาย และออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง ภายใต้เครือ “อะโย่ กรุ๊ป” โดยยึดวัตถุดิบมันฝรั่งเป็นพื้นฐานหลักทุกเมนู พร้อมๆ เปลี่ยนทัศนคติผู้บริโภคให้มองมันฝรั่งเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์ทางโภชนาการ เป้าหมายสูงสุด ต้องการสร้างแบรนด์นี้ เป็นที่จดจำในฐานะแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเมนูมันฝรั่ง ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจของบริษัทฯ และผู้ซื้อแฟรนไชส์ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว
      
       “ความแปลกของมันฝรั่งเกลียวทอดจะเป็นใบเบิกทางให้ผู้บริโภคหันมาสนใจ หลังจากนั้น ธุรกิจจะยั่งยืนขึ้นอยู่ที่การพัฒนาสินค้า เพราะมันฝรั่งสามารถนำไปประยุกต์เป็นเมนูได้หลากหลายมาก ทั้งไทยและสากล นอกจากนั้น เราจะต้องสร้างแบรนด์ และปรับทัศนคติของผู้บริโภคที่คิดว่ามันฝรั่งเป็นอาหารขยะ หันมารับประทานมันฝรั่งเป็นประจำได้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน” นันทิยา กล่าวทิ้งท้าย


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


WIZARD เปิดตลาดแฟรนไชส์ รับเทรนด์ธุรกิจล้างรถมาแรง!



 

และสำหรับผู้ที่ต้องการจะได้เป็นเจ้าของศูนย์บริการล้างรถมีหลายวิธีให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้บริการด้วยการเรียนรู้ด้วยตัวเอง หรือการให้บริการในรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งมีให้เลือกหลายยี่ห้อ รวมถึงศูนย์บริการล้างรถยี่ห้อ วิซาร์ด WIZARD ศูนย์บริการล้างรถ ที่เกิดขึ้นมาจากการขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลรักษารถยนต์ และได้หันมาเปิดศูนย์บริการล้างรถ เพื่อต้องการเป็นช่องทางหนึ่งในการได้แนะนำสินค้าWIZARD
      
       ทั้งนี้ จากการยอมรับในตัวผลิตภัณฑ์ WIZARD ที่ลูกค้าให้การยอมรับและเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ทำให้ศูนย์บริการล้างรถ เกิดขึ้นและเป็นที่รู้จักไม่ยาก โดยมุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดกลางและบน ซึ่งจุดขายของ WIZARD ที่ลูกค้าจดจำได้ นอกจากตัวผลิตภัณฑ์ ที่ทาง WIZARD ผลิตขึ้นมาใช้เฉพาะกับศูนย์ล้างรถของตนเองแล้ว สิ่งหนึ่งที่ลูกค้านึกถึงเมื่อเข้ามาใช้บริการในศูนย์ล้างรถแห่งนี้ คือ เป็นศูนย์ล้างรถด้วยเครื่องล้างรถอัตโนมัติ
 



นายไชยะ สุริยาพรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท T.R. PRODUCT &MARKERING จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ศูนย์บริการล้างรถ WIZARD กล่าวว่า ได้เปิดศูนย์บริการล้างรถมานานกว่า 10 ปี และมีสาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 30 สาขา และจากความสำเร็จในการขยายสาขาของศูนย์ล้างรถ จึงมั่นใจว่าจะสามารถทำให้ผู้ที่ต้องการจะมีธุรกิจล้างรถเติบโตได้ โดยการเปิดขายแฟรนไชส์ ซึ่งทีผ่านมาไม่ได้เปิดขายแฟรนไชส์ เพราะไม่มั่นใจว่าจะโตได้จริงหรือเปล่า และไม่รู้ว่าคนที่มาซื้อแฟรนไชส์ของเราจะเข้าใจคอนเซ็ปต์ของเรามากน้อยแค่ไหน เพราะเราจะมีการจัดโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง
      
       อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทหันมาเปิดแฟรนไชส์ เพราะได้พิสูจน์แล้วว่า การทำตลาดในรูปแบบของการจัดโปรโมชั่นช่วยให้ศูนย์ล้างรถ WIZARD ประสบความสำเร็จ ซึ่งสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่จะมาร่วมทำธุรกิจกับ WIZARD ในครั้งนี้ได้ โดยแผนการขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์ของ WIZARD จะมุ่งเป้าไปที่ต่างจังหวัดเป็นหลัก
โดยตั้งเป้าขยายสาขาในจังหวัดใหญ่ จำนวน 12 แห่ง โดยวางแผนเปิดสาขาเดือนละ 1 แห่ง       
      
สำหรับการขยายสาขาในต่างจังหวัดจะเปิดสาขาแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางบริษัทเล็งไว้ว่าจะเปิดประมาณ 3 สาขา โดยขณะนี้มีผู้สนใจหลายราย แต่ทางบริษัทจำเป็นจะต้องเลือกรายที่มีความเหมาะสมและมีความตั้งใจจริง เพื่อจะได้ผู้ร่วมธุรกิจที่สามารถเปิดให้บริการไปได้ตลอด เพราะการขยายสาขาในรูปของแฟรนไชส์ในครั้งนี้ ทางบริษัทไม่ได้ให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เป็นผู้ลงทุนเสี่ยงแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ทางบริษัทจะร่วมลงทุนด้วย โดยการลงทุนในส่วนของเครื่องล้างรถอัตโนมัติ ซึ่งเป็นจำนวนเงินกว่า 3 ล้านบาท ส่วนค่าติดตั้งทางผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องเป็นผู้ออกเอง และเมื่อเลิกกิจการเครื่องดังกล่าวต้องส่งคืนบริษัท
 


ส่วนค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องจ่าย เป็นจำนวนเงินประมาณ 1,620,000 บาท แบ่งเป็นเงินประกัน 6 แสนบาท และค่าแฟรนไชส์ฟรี 3 แสนบาท โดยทำสัญญาต่อกันจำนวน 12 ปี ซึ่งส่วนของพื้นที่และทำเลจะยึดในปั้มน้ำมันเป็นหลัก ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการติดต่อกับค่ายน้ำมันทุกค่าย จึงไม่ใช่ปัญหาในเรื่องของทำเลที่เหมาะสม ส่วนค่าเช่าขึ้นอยู่กับทำเล และข้อตกลงทำร่วมกันระหว่างเจ้าของปั้ม ซึ่งการเปิดศูนย์ล้างรถของ WIZARD จะต้องมีเงินทุนหมุนเวียนภายในร้านประมาณ 1 แสนบาทถึง 3 แสนบาท เพื่อจ่ายให้กับพนักงาน และซื้อผลิตภัณฑ์ โอกาสคืนทุนขึ้นอยู่กับทำเล แต่ตามแผนที่บริษัทวางไว้คือ ประมาณ 2 ปีแต่ไม่เกิน 3 ปี ผลตอบแทนสำหรับศูนย์ล้างรถ WIZARD ประมาณ 40% ถึง 50%
      
"ทั้งนี้ จะเห็นว่าปัจจุบันหลายคนหันมาให้ความสนใจกับการเปิดให้บริการล้างรถกันมาก เพราะผลตอบแทนค่อนข้างสูง และลูกค้ามีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาจะเห็นได้ว่าการเปิดศูนย์ล้างรถไม่ใช่เรื่องง่าย สังเกตได้จากผู้ที่จะอยู่รอดได้ในธุรกิจนี้มีน้อยมาก เนื่องจากเป็นงานบริการถ้างานออกมาไม่ดี ลูกค้าก็จะเปลี่ยนไปหารายใหม่ๆ ซึ่งการที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน เจ้าของกิจการจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าจะต้องทำในสิ่งที่จะมัดใจลูกค้าให้ได้ ซึ่งก็ไม่ต้องทำอะไรมากเพียงแค่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเขาคุ้มกับการเข้ามาใช้บริการแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะตั้งราคาแพงหรือถูกก็ตาม”
 


นายไชยะ เล่าถึง ศูนย์บริการล้างรถของWIZARD ปัจจุบันมีจำนวน 30 สาขา และบริษัทมีแผนจะเปิดด้วยตัวเองที่ไม่ใช่แฟรนไชส์อีก 20 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เฉลี่ยรายได้ที่เป็นกำไรต่อสาขาอยู่ในหลักหมื่นบาท การที่ศูนย์ล้างรถจะอยู่รอดได้ในแต่ละสาขาจะต้องมีรถเข้ามาใช้บริการอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25 คัน ซึ่งก็ไม่ใช่ล้างรถอย่างเดียว มีบริการอื่นๆ ที่สามารถเรียกเงินในกระเป๋าของลูกค้าได้ ซึ่งการให้บริการของศูนย์ล้างรถไม่ควรจะมากเกินไป เพราะถ้ามีรถเข้ามารับบริการมาก ลูกค้าเบื่อที่จะต้องเข้ามานั่งรอนานๆ ซึ่งวันหนึ่งควรรับลูกค้าไม่เกิน 50 คัน ถึง 60 คัน และการให้บริการไม่ควรเกิน 30 นาที สำหรับการล้างรถทั่วไป
     
สนใจธุรกจแฟรนไชส์ โทร. 0-2538-8111
 
ข้อมูลแฟรนไชส์ เมจิก บาย วิซาร์ด



อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์
ศูนย์บริการล้างรถเป็นธุรกิจที่เติบโตตามการเติบโตของตลาดรถยนต์ ที่ผ่านมาการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศไทยอยู่ในสัดส่วนที่สูงมาก ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ต่างหันมาให้ความสนใจเปิดให้บริการล้างรถกันเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เจ้าของรถทั้งหลายสามารถเลือกเข้ารับบริการกันได้ตามกำลังเงินในกระเป๋า และตามความต้องการของเจ้าของรถ      

Read More...


กล้วยปิ้ง ร.ศ.112' แฟรนไชส์กล้วยปิ้ง ยอดธุรกิจน่าลงทุนพร้อมทำเล


ขึ้นชื่อว่ากล้วยปิ้งหลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และถือเป็นธุรกิจที่ทำได้ไม่ยาก แต่เมื่อได้ยินร้านกล้วยปิ้งเปิดขายแฟรนไชส์ หลายคงจะงง ว่ากล้วยปิ้งทำไมต้องขายเป็นแฟรนไชส์ด้วย แต่หากได้ลิ้มลองกล้วยปิ้งของ ร.ศ.112 แล้ว คำว่าแฟรนไชส์ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจากสูตรของน้ำเชื่อมที่ทำจากน้ำผึ้งตั้งแต่สมัยคุณทวด ที่ถือเป็นจุดเด่นและยากที่จะเลียนแบบ ซึ่งธุรกิจนี้จะเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของกล้วยปิ้งที่เคยเป็นมา
 

 

นันท์มิตรา ศรีสมาน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดกล้วยปิ้ง ร.ศ.112 เปิดเผยถึงแนวคิดในการทำธุรกิจนี้ว่า กล้วยปิ้งเป็นสินค้าที่ทุกคนรู้จักกันดี และเป็นที่นิยมรับประทาน จึงได้เริ่มทดลองขายในช่วงเรียนอยู่มหาวิทยาลัย โดยขายได้ประมาณ 7-8 เดือน ก็ต้องหยุดขายไป แต่ไม่ใช่เป็นเพราะเหตุผลที่ขายไม่ดี แต่ติดปัญหาในเรื่องของบุคลากร และประกอบกับที่สำเร็จการศึกษาพอดี จึงเบนเข็มไปทำงานประจำให้ตรงกับที่ตนเองเรียนมา แต่ก็เริ่มเบื่อหน่าย ทำให้หันมามองธุรกิจการขายกล้วยปิ้งที่เคยทำอีกครั้ง ว่าธุรกิจนี้ถ้าหากทำอย่างจริงจังน่าจะทำกำไรได้ไม่ยากนัก รวมถึงการขยายธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ด้วย

 

“การขายกล้วยปิ้งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นธุรกิจที่ทำได้ไม่ยากนัก โดยไม่จำเป็นต้องซื้อแฟรนไชส์ แต่การที่เรามั่นใจว่าธุรกิจนี้สามารถขยายธุรกิจในระบบแฟรนไชส์ได้ และสามารถทำกำไรให้กับผู้ประกอบการได้อย่างน่าพอใจ คือสูตรของกล้วยปิ้ง โดยเฉพาะน้ำเชื่อมที่มีความหอมหวาน รสชาติดี เนื่องจากเป็นสูตรดั้งเดิมที่สืบทอดกันมานานกว่าศตวรรษตั้งแต่รุ่นคุณทวดในสมัย ร.ศ.112 รวมถึงวิธีการคัดเลือกกล้วยสุกในระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้คุณภาพของกล้วยเมื่อนำมาปิ้งจะมีกลิ่นหอม และเมื่อราดด้วยน้ำเชื่อมสูตร ร.ศ.112 จะทำให้กล้วยปิ้ง ร.ศ.112 มีรสชาติดี กลิ่นหอม และน่ารับประทานยิ่งขึ้น”

 

คู่แข่งเยอะ แต่เลียนแบบสูตรยาก
ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์ถือว่าเป็นที่นิยมของผู้ที่ประกอบธุรกิจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจประเภทอาหารที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากนัก หรือไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งธุรกิจกล้วยปิ้ง ร.ศ.112 ใช้เงินลงทุนประมาณ 45,000 บาท และในปัจจุบันจะเห็นกล้วยปิ้งได้ง่ายตามตรอกซอกซอย ซึ่งรสชาติจะไม่แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในเรื่องของน้ำเชื่อมที่ทุกร้านจะมีส่วนผสมของกะทิเป็นหลัก ทำให้การเก็บรักษาได้ไม่เกิน 2 วัน แต่สำหรับน้ำเชื่อมของกล้วย ร.ศ.112 แล้ว จะเป็นสูตรน้ำผึ้ง ที่สามารถเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นได้นานกว่า และมีประโยชน์กว่าการใช้กะทิ ซึ่งตรงจุดนี้เองที่นันท์มิตรา มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ส่วนเรื่องราคาก็สามารถแข่งขันได้กับร้านอื่น เนื่องจากราคาจะไม่แตกต่างกัน

 

ทำเลจัดหาให้ไม่ทับซ้อน
ในส่วนของทำเลที่ตั้งของร้านนั้น ทางกล้วยปิ้ง ร.ศ.112 จะเป็นผู้จัดหาให้เอง ขึ้นอยู่กับความพอใจของลูกค้าที่จะลงทุนในทำเลนั้นหรือไม่ ซึ่งวิธีดังกล่าวจะไม่ทำให้แฟรนไชส์ซีแย่งลูกค้ากันเอง ซึ่งผลสุดท้ายก็จะขาดทุนกันทั้งคู่ โดยทำเลที่ร้านกล้วยปิ้ง ร.ศ.112 จะเน้นย่านชุมชน และย่านแหล่งธุรกิจ เป็นต้น ซึ่งหากในบริเวณนั้นมีร้านกล้วยปิ้งเปิดอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะนันท์มิตราเชื่อว่าหากลูกค้าได้ชิมสินค้าจะรู้ถึงความแตกต่าง และจะเกิดความเชื่อว่าสินค้าตัวนี้จะสามารถทำกำไรได้ ราคาขาย 4 ลูก 20 บาท ส่วนการคืนทุน นันท์มิตราบอกว่า ระยะเวลาการคืนทุนประมาณ 3 เดือน แต่หากไม่มีการจ้างลูกจ้างประมาณ 2 เดือนก็สามารถคืนทุนได้แล้ว แต่ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ทำเลและค่าเช่าที่ด้วย ทั้งนี้กล้วยปิ้ง ร.ศ.112 ตั้งเป้าเปิดสาขาในกรุงเทพฯ รวม 15 สาขา ซึ่งขณะนี้กำลังจะเปิดดำเนินการนำร่อง 3 สาขา คือที่ ฮ่องกง พลาซ่า ย่านสาธร, ข้างตึกซัน (Sun Tower) ย่านจตุจักร และหลังอาคารสินธร ถ.วิทยุ

การลงทุนธุรกิจกล้วยปิ้ง ร.ศ.112
รูปแบบที่ 1ค่าแฟรนไชส์ 47,000 บาท

อุปกรณ์ที่จะได้รับ

  1. โต๊ะขาย (Kiosk) พร้อมป้าย
  2. เตาปิ้งสแตนเลสระบบแก๊สและ มิเตอร์วัดความร้อน
  3. ชามอ่างสแตนเลสใส่น้ำเชื่อมสูตร "ร.ศ.๑๑๒"
  4. น้ำเชื่อมสูตร "ร.ศ.๑๑๒" ฟรี 5 แกลลอน
  5. ถุงใส่กล้วยพร้อมถุงหิ้วพิมพ์ชื่อและ LOGO "ร.ศ.๑๑๒"
  6. อุปกรณ์การขายอื่นๆ ครบชุด
รูปแบบที่ 2ค่าแฟรนไชส์ 58,000 บาท
อุปกรณ์ที่จะได้รับ

  1. โต๊ะขาย (Kiosk) พร้อมมิเตอร์วัดความร้อน
  2. ชามอ่างสแตนเลสใส่น้ำเชื่อมสูตร ป้าย
  3. เตาปิ้งสแตนเลสระบบไฟฟ้าและ"ร.ศ.๑๑๒"
  4. น้ำเชื่อมสูตร "ร.ศ.๑๑๒" ฟรี 5 แกลลอน
  5. ถุงใส่กล้วยพร้อมถุงหิ้วพิมพ์ชื่อและ LOGO "ร.ศ.๑๑๒"
  6. อุปกรณ์การขายอื่นๆ ครบชุด
รูปแบบที่ 3
ค่าแฟรนไชส์ 65,000 บาท (กรณีมีที่ขายในห้างให้ด้วย)

อุปกรณ์ที่จะได้รับ

  1. โต๊ะขาย (Kiosk) พร้อมมิเตอร์วัดความร้อน
  2. ชามอ่างสแตนเลสใส่น้ำเชื่อมสูตร ป้าย
  3. เตาปิ้งสแตนเลสระบบไฟฟ้าและ"ร.ศ.๑๑๒"
  4. น้ำเชื่อมสูตร "ร.ศ.๑๑๒" ฟรี 5 แกลลอน
  5. ถุงใส่กล้วยพร้อมถุงหิ้วพิมพ์ชื่อและ LOGO "ร.ศ.๑๑๒"
  6. อุปกรณ์การขายอื่นๆ ครบชุด

ติดต่อ คุณพัตรพิมล โชติเศวตอนันต์, คุณณปภัช ศรีสมาน 
โทร. 0-2578-1190, 081-828-3664, 081-753-7068

อีเมล์
patpimolc@yahoo.com 
เว็บไซต์
http://www.banana112.com
 

ข้อมูลแฟรนไชส์ กล้วยปิ้ง ร.ศ.๑๑๒

Read More...


Feel Top ตู้เติมเงินมือถือ เจ้าแรกในไทยเช็คข้อมูลผ่านเน็ต


       กระแสธุรกิจบริการเครื่องหยอดเหรียญอัตโนมัติ กำลังเป็นที่นิยมของมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องการมีรายได้เสริมโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปคอยดูแลร้าน ไม่ว่าจะเป็นตู้น้ำดื่ม หรือเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ซึ่งเครื่องหยอดเหรียญเหล่านี้ ล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน ตอบสนองความต้องการได้ตรงจุดโดยเฉพาะย่านชุมชนไม่เว้นแม้แต่วงการสื่อสารในสังคมปัจจุบัน ที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือในกลุ่มของนิสิตนักศึกษา หรือนักเรียน ส่วนใหญ่จะใช้มือถือแบบเติมเงิน แต่หากจะให้ซื้อบัตรเติมเงินในหลักร้อยบาท คงจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างคิดหนักอยู่เหมือนกัน จากจำนวนเงินในกระเป๋า
 

 

       ซึ่งตรงนี้เองทำให้บริษัท ธนทัต โซลูชั่น จำกัด คิดผลิตตู้เติมเงินมือถือขึ้น โดยหาจุดด้อยจากตู้เติมเงินมือถือทั่วไป นำมาเสริมเป็นจุดแข็งให้กับธุรกิจ จนกลายเป็นผู้ประกอบการหนึ่งเดียวของไทยที่ได้นำเอาระบบ GPRS มาใช้กับตู้เติมเงินมือถือ ที่เจ้าของสามารถเช็คข้อมูลการเติมเงินของลูกค้าได้ตลอดเวลาผ่านอินเทอร์เน็ตตู้เติมเงินมือถือภายใต้แบรนด์ Feel Top เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการหัวใสที่สามารถอุดช่องว่างทางการตลาดธุรกิจตู้เติมเงินมือถือได้สำเร็จ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาในกรณีที่เครื่องมีปัญหา ลูกค้าไม่สามารถเติมเงินได้ หรือเงินไม่เข้า ด้วยศูนย์ Call Center ตลอด 24 ชั่วโมง โดยที่เจ้าของธุรกิจไม่จำเป็นต้องออกมาดูแลลูกค้าเอง เพราะมีทีมงานจากแฟรนไชส์ซอว์เตรียมพร้อมให้การช่วยเหลือ

      
       นายกิตติ์ธนา ประเสริฐสุนทร ผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท ธนทัต โซลูชั่น จำกัด เล่าว่า แต่เดิมตนเองอยู่ในแวดวงของการสื่อสาร โดยเป็นผู้ให้เช่า Video Conferences ตามโรงแรมหรือหน่วยงานต่างๆ จนเห็นโอกาสทางธุรกิจของตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือแบบหยอดเหรียญที่มีอยู่ทั่วไปว่ายังมีปัญหาบางเรื่องที่สร้างความไม่สะดวกให้กับผู้ใช้งานและเจ้าของธุรกิจ รวมถึงขณะนี้อัตราการเติบโตของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นธุรกิจการขายบัตรเติมเงินจึงเติบโตตามกระแสนี้ไปด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าที่ผ่านมาบัตรเติมเงินมูลค่า 50 บาท หาซื้อได้ยากเต็มที จะมีก็แต่บัตรราคาหลัก 100 บาทขึ้นไป ทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือไม่ต้องการที่จะเติมเงินในจำนวนมากต้องประสบปัญหาดังกล่าว จากจุดนี้เองทำให้มีตู้เติมเงินขึ้นเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งกับลูกค้า เพราะมีเงินเพียง 10-20 บาทก็สามารถมีเงินในโทรศัพท์เพื่อโทรอออกได้แล้ว
  



       “การที่ผมอยู่ในแวดวงสื่อสารอยู่แล้ว ทำให้การคิดนำระบบ GPRS เข้ามาใช้กับธุรกิจตู้เติมเงินมือถือจึงเป็นเรื่องที่ยากไม่มากนัก โดยใช้เวลาทดลองระบบประมาณ 8 เดือน จนสามารถอุดโหว่ต่างๆ ได้สำเร็จ เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานและเจ้าของธุรกิจ จากศูนย์ Call Center 24 ชั่วโมง”
      
       สำหรับจุดเด่นของตู้เติมเงินมือถือ Feel Top ได้มีการนำเอาระบบออนไลน์มาใช้ โดยยึดถือสโลแกนง่ายว่า “เติมเงินง่าย ดูได้ผ่านเน็ต” ซึ่งคำว่าเติมเงินง่าย แปลว่า ลูกค้าที่มาเติมเงินปุ๊บ ก็ต้องใช้งานได้ปั๊บ ส่วนคำว่า ดูได้ผ่านเน็ตนั้น หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ย่อมต้องการรู้ว่ามีเงินอยู่ในตู้กี่บาท มีลูกค้ามาใช้บริการกี่คน และเป็นเบอร์อะไรบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าของตู้ต้องเดินทางไปดูด้วยตัวเอง ในขณะที่ Feel Top เจ้าของธุรกิจเพียงเปิดอินเทอร์เน็ต เช็คดูข้อมูลเหล่านี้ได้ตลอดเวลา โดยทางบริษัทฯ ได้ทำการส่งข้อมูลเหล่านี้จากทุกตู้ผ่านสัณญาณ GPRS แล้วนำข้อมูลมารวมกันไว้ที่ส่วนกลาง เพื่อพร้อมออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที
  



       ส่วนรูปแบบการลงทุนทาง Feel Top ได้แบ่งการลงทุนออกเป็นรุ่นต่างๆ ดังนี้

  1. รุ่น Mr. Feel-Top แบบยืน (เหรียญ+ธนบัตร)
    ราคา 59,000 บาท
  2. รุ่น Mr. Feel-Top แบบนั่ง (เหรียญ+ธนบัตร)
    ราคา 54,900 บาท
  3. รุ่น Mr. Feel-Top แบบยืน (เหรียญ)
    ราคา 43,900 บาท
  4. รุ่น Mr. Feel-Top แบบนั่ง (เหรียญ)
    ราคา 39,900 บาท

     
  5. รุ่น NT-073 Classic รับได้เฉพาะเหรียญอย่างเดียว รุ่นนี้จะบางกว่ารุ่นอื่น เหมาะสำหรับร้านขายของชำที่มีเหรียญให้แลก ราคาเพียง 29,900 บาท
    โดยเน้นทำเลย่านสถานศึกษา โรงงานอุตสาหกรรม และชุมชน
      
       นายกิตติ์ธนา กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับเทรนด์ตู้เติมเงินมือถือว่า ยังมีการเติบโตในทิศทางที่ดี โดยเป็นแบบก้าวกระโดด เพราะขณะนี้บริษัทเจ้าของระบบในไทย อย่าง ดีแทค เอไอเอส และทรู กำลังลดต้นทุนในการผลิตบัตรเติมเงิน ดังนั้นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้บริการบัตรเติมเงิน ต้องปรับพฤติกรรมมาเป็นการเติมเงินแบบออนไลน์แทน ทำให้โอกาสธุรกิจนี้ยังเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน เพราะหากใครที่คิดจะลทุนก่อน ก็จะสามารถเลือกทำเลทองให้กับตนเองได้ก่อนเช่นกัน


ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2920-2200 หรือที่
www.feel-top.com


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


Bake@Home ครบเครื่องเบเกอรี่ ว่าที่แฟรนไชส์สานฝันคนอยากเปิดร้าน



       ธุรกิจร้านเบเกอรี่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจในฝันของใครหลายคน ทว่า การเปิดร้านไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยทั้งฝีมือ อุปกรณ์ และระบบจัดการที่พร้อมสมบูรณ์ จุดนี้เอง ทำให้แฟรนไชส์รายเก๋าเครืออโรม่า เข้ามาคว้าโอกาส เสนอทางเลือกขายแฟรนไชส์ Bake@Home ร้านเบเกอรี่ครบวงจรที่เปิดได้ง่ายๆ มีจุดขายจากเมนูกว่า 80 รายการ สามารถตอบความต้องการของสมาชิกทุกคนในครอบครัว โดยนำร่องเปิดร้านต้นแบบ เพื่อปูทางขายแฟรนไชส์จริงในช่วงปลายปีนี้
   


       นงนภา วงศ์วารี ผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร อโรม่า กรุ๊ป ผู้บริหาร บริษัท อโรม่า ไฟน์ ฟู้ด จำกัด เผยว่า เนื่องจากบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ร้านกาแฟ “94 Coffee” ที่มีสาขากว่า 40 แห่ง โดยมีการผลิตเค้กส่งขายในร้านกาแฟอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างดี อีกทั้งมองอนาคตธุรกิจร้านเบเกอรี่ นับวันจะยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประเมินความพร้อมของบริษัท ทั้งบุคลากรที่เชี่ยวชาญในการผลิต และประสบการณ์ในการขายแฟรนไชส์ บริษัทจึงแตกไลน์ธุรกิจเปิดขายแฟรนไชส์ร้านเบเกอรี่
Bake@Home

 
 
      
       นงนภา ระบุจุดขายของ
Bake@Home จะเป็นร้านเบเกอรี่ขนาดเล็ก แต่บรรยากาศอบอุ่น ให้ความรู้สึกเป็นมิตรกับลูกค้า ขณะที่สินค้า ตอบความต้องการของสมาชิกครอบครัวได้ทุกคน มีให้เลือกกว่า 80 รายการ ตั้งแต่เมนูขนมปัง เค้ก และพาย อีกทั้ง เพิ่มค่าด้วยการแต่งหน้าสวยงาม และไส้ต่างๆ ให้เลือกมากมาย


       “ธุรกิจเบเกอรี่เจ้าดังที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน แต่ละรายจะเน้นเมนูเด่นต่างกันไป เช่น บางแบรนด์เน้นขนมเค้ก ส่วนขนมปังมีไม่มาก ขณะที่อีกแบรนด์เน้นขนมปังไม่เน้นเค้ก แต่สำหรับ
Bake@Home มีทั้งเบเกอรี่และเค้กในอัตราใกล้เคียง ประมาณ 60% ต่อ 40% เพื่อให้ใครก็ตามที่เข้าร้าน น่าจะมีขนมสักอย่างที่ถูกใจ ดังนั้น สินค้าของ Bake@Home ถ้าแยกแต่ละตัวอาจไม่โดดเด่น แต่เมื่อวางรวมกัน จะมีความหลากหลายสูง สามารถตอบโจทย์ได้ทุกคน” เจ้าของธุรกิจ อธิบายเสริม
ทั้งนี้ วางลูกค้าเป้าหมายไว้ระดับกลางบนขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคตลาดกว้าง และมีศักยภาพการซื้อพร้อม ราคาขาย ตั้งไว้ที่ชิ้นละ 22-65 บาท
 

 

       เพื่อเตรียมพร้อมเปิดขายแฟรนไชส์ Bake@Home บริษัทได้เปิดร้านต้นแบบของตัวเองแห่งแรกที่โกลเด้นเพลส สาขาสะพานสูง เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา ใช้เงินลงทุนไปกว่า 7 แสนบาทเป็นค่าตกแต่งร้าน ค่าอุปกรณ์ และการวางระบบต่างๆ
 

       นงนภา ระบุว่า จะใช้ร้านนี้เป็นต้นแบบ เพื่อเรียนรู้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ รวมถึง วางระบบบริหารจัดการให้พร้อมที่สุดก่อนจะขายแฟรนไชส์จริงในช่วงปลายปีนี้ อีกทั้ง ภายในกลางปีนี้ (2552) เตรียมขยายสาขาเพิ่มด้วยตัวเองอีก รวมเป็น 4 แห่ง เช่น โลตัสศรีนครินทร์ อินทราสแควร์ และโกลเด้นเพลส พระราม 9 เป็นต้น แต่ละสาขาจะมีรูปแบบร้านและกลุ่มลูกค้าแตกต่างกันไป

       นอกจากนั้น กำลังก่อสร้างโรงงานผลิตเบเกอรี่ ด้วยทุนกว่า 10-15 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้าขายในช่องทางตลาดต่างๆ ในเครือของบริษัท ตั้งแต่ แฟรนไชส์
Bake@Home ร้านกาแฟ 94 Coffee และรับจ้างผลิตให้ร้านเบเกอรี่ต่างๆ เป็นต้น
 


       สำหรับรูปแบบแฟรนไชส์ Bake@Home ที่จะเปิดขายปลายปีนี้ ทางบริษัทซึ่งเป็นแฟรนไชซอร์จะเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ร่วมธุรกิจทุกด้าน ตั้งแต่สินค้า วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น การอบรมความรู้ และระบบบริหารจัดการร้าน โดยเงินลงทุนธุรกิจ ตั้งไว้ประมาณ 5 แสนถึง 1 ล้านบาท มีให้เลือกทั้งแบบร้านเต็มรูปแบบ ร้านพ่วงกับร้านกาแฟ และแบบร้าน Corner คาดการคืนเงินลงทุนได้ภายใน 2 ปี ซึ่งยอดขายที่ผ่านมาของร้านต้นแบบโกลเด้นเพลส สาขาสะพานสูง มีรายได้สามารถคืนทุนได้ตามเป้าที่วางไว้


       “ธุรกิจร้านเบเกอรี่เป็นอีกธุรกิจในฝันของหลายคน ซึ่งดิฉันเชื่อว่า โอกาสของตลาดยังมีอีกมาก ดูได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปัจจุบันหันมากินขนมปังแทนอาหารเช้าแล้ว ดังนั้น ความสำเร็จของการเปิดร้านเบเกอรี่ ขึ้นอยู่กับค้นหาความต้องการของผู้บริโภคให้เจอ แล้วนำจุดนั้น มาสร้างสรรค์เป็นจุดเด่นของธุรกิจ ซึ่งทางบริษัท จะใช้ร้านที่เปิดด้วยตัวเองเป็นต้นแบบ เพื่อสร้างโมเดลร้านที่เชื่อว่า จะช่วยให้คนที่อยากมีธุรกิจร้านเบเกอรี่ของตัวเอง สามารถเปิดร้านได้ง่ายๆ” นงนภา ระบุ



เปิดกลยุทธ์ร้าน
Bake@Home
      
       ในส่วนการผลิตของ
Bake@Home เป็นลักษณะกึ่งโฮมเมด ผลิตจากส่วนกลางแล้วส่งไปที่สาขา โดยจะทำสดใหม่ทุกวัน ไม่ใส่สารกันบูดใดๆ ทั้งสิ้น และที่สำคัญมีข้อกำหนดว่า ถ้าขายเหลือจะต้องทิ้งทั้งหมด ไม่มีการนำสินค้าใกล้หมดอายุมาขายลดราคาช่วงเย็นอย่างเด็ดขาด

ทว่า เนื่องจากมีเมนูกว่า 80 รายการ ความยากที่สุด คือ บริหารต้นทุนและผลิตให้เหมาะสม มีสินค้าเหลือทิ้งต่อวันน้อยที่สุด


 

       “ส่วนตัวแล้ว ดิฉันเชื่อว่า การลดราคาจะเป็นการทำร้ายธุรกิจ เพราะลูกค้าจะไปคอยซื้อตอนลดราคา ทำให้แบรนด์ด้อยคุณค่าลง แต่ขณะเดียวกัน หากมีสินค้าเหลือทิ้งมาก ก็เป็นต้นทุนเสียเปล่า มูลค่าสูงมาก ปัญหานี้ เป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้ที่ผ่านมา ธุรกิจเบเกอรี่ยังไม่สามารถขยายเป็นแฟรนไชส์ได้มากนัก” นงนภา เผย


       อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาของร้าน
Bake@Home พยายามเก็บสถิติความนิยม และยอดขายของแต่ละรายการ เพื่อผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า อีกทั้ง ปรับรายการตามความเหมาะสม เช่น วันธรรมดาจะเหลือเฉพาะเมนูยอดฮิตและประจำ ประมาณ 50 รายการ ส่วนวันหยุด เสาร์และอาทิตย์ จึงกลับมาผลิตเต็มทุกเมนูอีกครั้ง รวมถึง อบรมพนักงานให้กระตือรือร้นในการขาย นอกจากนั้น มีการหมุนเวียนเมนูพิเศษตามเทศกาล เพื่อกระตุ้นยอดขาย เป็นต้น

ท่านใดสนใจ โทร.0-2539-5206, 0-2538-5674


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


มัณฑนา"ขนมถ้วยมะพร้าวอ่อน รวยด้วยแฟรนไชส์ต้นทุนต่ำ



    
   ในยุคที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ การช่วยเหลือ และมีน้ำใจของคนไทยจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่จะทำให้คนไทยและประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติไปได้ และสำหรับผู้ที่ต้องการจะมีอาชีพแบบต้นทุนต่ำ วันนี้ มีแฟรนไชส์ “มัณฑนาขนมถ้วยมะพร้าวอ่อน” ที่น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งในภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้      
       สำหรับแฟรนไชส์ขนมถ้วยมะพร้าวอ่อนนี้เป็นของ นายธีรวุธ ศรีธนาอุทัยกร ที่เปิดร้านขายขนมถ้วย เพราะต้องการจะมีอาชีพอิสระ และได้สูตรขนมถ้วยมาจากพี่สาว ซึ่งเรียนจบด้านคหกรรม จากวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และหลังจากได้สูตรมาก็ทดลองทำขาย โดยใช้ช่องทางการขายร่วมกับร้านก๋วยเตี๋ยวเหมือนกับขนมถ้วยทั่วๆไป แต่เน้นการทำและนึ่งสดๆ
 


 

       นายธีรวุธ เล่าว่า ขนมถ้วยของเราต่างจากรายอื่นๆ เพราะจะนึ่งสดๆ ซึ่งขนมถ้วยจะอร่อยก็ต้องนึ่งสด ถ้านึ่งทิ้งไว้แล้วหน้าจะไม่นุ่ม และปกติขนมที่ทำจากกะทิสด จะมีอายุอยู่ได้ไม่นานถ้าไม่ใส่สารกันบูดจะอยู่ได้ไม่เกิน 5-6 ชั่วโมงเท่านั้น และการที่เรานึ่งสดๆ ทำให้เราไม่จำเป็นต้องใส่สารกันบูด และที่ต่างอีกอย่างหนึ่ง คือเป็นสูตรเฉพาะของเรา โดยการใส่เนื้อมะพร้าวอ่อน ลงไปในหน้าของขนมถ้วยความหอมของมะพร้าวอ่อนทำให้ขนมถ้วยน่ากินมากขึ้น จึงได้ออกมาเป็นขนมถ้วยมะพร้าวอ่อนรายแรก
      
       “ปัจจุบันมีคนทำเลียนแบบ โดยการเติมเนื้อมะพร้าวอ่อน หรือบางรายก็นำไปปรับโดยการเติมข้าวโพด เผือก ฟักทอง และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเลียนแบบกันบ้าง แต่สูตรสชาติของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ซึ่งกว่าผมจะปรับสูตรจนลงตัวและเป็นที่ถูกใจลูกค้า จนสามารถสร้างสาขาแฟรนไชส์ได้มากถึง 50 สาขาในปัจจุบัน ผมก็ได้มีการปรับสูตรมาแล้วหลายครั้ง”
      
       ในส่วนของการขายแฟรนไชส์ เกิดขึ้นมาจากครั้งแรกเปิดร้านขายอยู่ที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวนายแกละ ย่านบางใหญ่ แต่เนื่องจากไม่ได้ขายเอง จ้างเด็กขายทำให้ได้ไม่เต็มที และปัญหาค่อนข้างมาก จึงตัดสินใจยกร้านให้กับเด็กลูกจ้างให้เขาเป็นเจ้าของไปเลย และเราก็ทำหน้าที่ส่งวัตถุดิบให้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการขายแฟรนไชส์
 



       สำหรับแฟรนไชส์ของขนมถ้วยมะพร้าวอ่อน ต่างจากแฟรนไชส์ทั่วไป เพราะทางเจ้าของแฟรนไชส์จะลงทุนอุปกรณ์ให้ ส่วนคนซื้อแฟรนไชส์จะซื้อเพียงวัตถุดิบสำเร็จรูป ที่เป็นสูตรเฉพาะของเจ้าของแฟรนไชส์ ที่จะนำมาส่งให้ โดยส่งในราคาชุดละ 90 บาท สามารถทำขนมถ้วยได้ 80 ถ้วย ในราคา 200 กว่าบาท กำไรที่ได้ต่อชุดมากกว่า 1 เท่าตัว โดยราคาขายปลีกขนมถ้วยมะพร้าวอ่อนมัณฑนาอยู่ที่ 7 ถ้วย 20 บาท
      
       ทั้งนี้ ผู้ซื้อแฟรนไชส์ จะต้องสั่งวัตถุดิบที่เป็นสูตรผสมสำเร็จรูปจากทางเจ้าของแฟรนไชส์เท่านั้น และนำมานึ่ง ซึ่งนึ่งครั้งหนึ่งใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น และถ้าซื้อแฟรนไชส์ไปแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็สามารถขอยกเลิกได้ โดยทางเจ้าของแฟรนไชส์เก็บอุปกรณ์คืน ถ้ามีการเสียหาย และต้องซ่อมก็จะเก็บค่าซ่อมจากผู้ซื้อแฟรนไชส์
      
       นายธีรวุธ เล่าว่า ปัจจุบันมีแฟรนไชส์อยู่ด้วยกันทั้งหมดประมาณ 50 สาขา โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยปกติจะส่งวัตถุดิบสำเร็จรูปนี้ทุกวัน ซึ่งจริงแล้ววัตถุดิบที่ปรุงสำเร็จนี้ สามารถอยู่ได้ 2-3 วัน ส่วนยอดขายของแต่ละสาขาก็ขึ้นอยู่กับทำเล แต่เฉลี่ยขายได้สาขาละประมาณ 1,000 ถ้วยต่อวัน ส่วนสาขาที่ขายได้สูงสุดสามารถขายได้ถึงเดือนละ 80,000 บาท ถึง 90,000 บาท
ซึ่งช่วงขายดีสุดๆในช่วงแรก สามารถขายได้ถึงเดือนละ 140,000 บาท      
 


       สำหรับแฟรนไชส์ที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จและขอยกเลิกแฟรนไชส์ ในแต่ละปีมีการเปลี่ยนแปลงประมาณ 3-4 ราย ปัญหาส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากเขาต้องการจะทำเอง หรือ เจอทำเลไม่ดีขายไม่ได้ก็ต้องเลิก ไม่ทำตามเทคนิคการนึ่งที่แนะนำ ทำให้นึ่งออกมาแล้วหน้าไม่นุ่ม ลูกค้าไม่ชอบ ซื้อครั้งเดียวก็ไม่กลับมาซื้ออีก ซึ่งเมื่อรายเก่าเลิกไปก็มีรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยอดจำนวนแฟรนไชส์ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก หลังจากเปิดขายแฟรนไชส์ขนมถ้วยมะพร้าวอ่อนนี้มาประมาณ 8 ปี
      
       อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ ก็เริ่มมีคนให้ความสนใจมากขึ้น เพราะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่คนที่สนใจและโทรมาถามก็จะมาจากการที่เห็นป้ายโฆษณา และแผ่นพับใบปลิวที่แจก ตามสาขาแฟรนไชส์ เพราะเมื่อเห็นการขายจริง และได้ชิมว่าอร่อย จึงติดต่อกลับมา ได้ผลดีมากกว่าการโฆษณาผ่านสื่อ เพราะไม่ได้เห็นของจริง ซึ่งในอนาคตมีแผนที่จะทำขนมชนิดอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อนำไปวางขายตามสาขาแฟรนไชส์ เพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนซื้อแฟรนไชส์ และตนเองก็มีรายได้เพิ่มด้วย
 

      
       จุดเด่นของขนมถ้วยมะพร้าวอ่อน คือ ความแปลกใหม่ และรสชาติที่ไม่หวานมาก นึ่งสดๆ ทำให้หน้าขนมนุ่ม และเป็นขนมไทยรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ใส่สารที่เป็นอันตราย ส่วนผู้ว่างงานและไม่มีทุนมาก อาชีพนี้น่าจะเป็นทางเลือกให้กับคนไทยในภาวะวิกฤติ เช่นนี้ เพราะมีเงินทุนเพียง 2,000 บาท ก็มีอาชีพได้ สาเหตุที่คุณธีรวุธ เลือกที่จะลงทุนอุปกรณ์ให้เพราะเห็นว่า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม ให้กับคนที่ต้องการจะมีอาชีพโดยไม่ต้องลงทุนสูง
      
สนใจธุรกิจแฟรนไชส์ โทร. 08-7035-6018 




อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


พิชซ่าสมุนไพร’แฟรนไชส์ต้นทุนต่ำ ทางออกคนตกงานเพิ่มรายได้


จากการต่อยอดอาหารการกินอย่าง "พิชซ่า" ของคนพื้นเมืองมาปรับตัวแป้งให้นุ่มน่ารับประทานขึ้น จนเป็นที่ติดอกติดใจของคนพื้นเมือง จึงคิดนำสูตรแป้งพิชซ่าดังกล่าวมาสร้างอาชีพให้คนไทย  


อินเตอร์ พิชซ่า ธุรกิจที่เกิดจากความตั้งใจของผู้ประกอบการที่ต้องการทำธุรกิจร้านขายพิชซ่าเล็กๆ ให้กับคนไทยที่มีเงินลงทุนน้อย แต่กำไรงาม “ศิริวรรณ สัจจะเวทะ” หรือ การ์ตูน เจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ “อินเตอร์ พิชซ่า” (Inter Pizza) เล่าว่า ตนเองได้เรียนมาทางด้านคหกรรมศาสตร์ และทำงานด้านการสอนทำอาหารที่บ้านพักฉุกเฉิน ตามโครงการของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เพื่อช่วยผู้หญิงที่โดนทำร้ายให้มีอาชีพ
 


จนกระทั่งเพื่อนได้ชวนไปทำงานด้านการแปรรูปผลไม้ตกเกรด ที่ประเทศคูเวต เพื่อเพิ่มมูลค่า ทำให้ ศิริวรรณ ตัดสินใจเดินทางไปคูเวต และผลงานในช่วงทดลองงานเพียง 3 เดือนก็เข้าตาผู้บริหาร เพราะตนเองพยายามศึกษาหาความรู้ และปรับตัวเพื่อให้เข้ากับทีมงานได้ ควบคู่ไปกับการเข้าไปช่วยปรับเปลี่ยนรูปแบบครัวให้มีระบบมากขึ้น เช่น การแบ่งแผนก ผัด ทอด เจียว หรือแม้กระทั่งการปรับรูปลักษณ์ของอาหารบางเมนูแบบค่อยเป็นค่อยไป
      
       

 

“เมื่อเราตัดสินใจไปทำงานที่คูเวต โดยเข้าไปดูงานด้านแปรรูปผลไม้ อย่างทุเรียนที่ค้างสต็อกจนนิ่ม เราก็นำมากวนทำเป็นแยมผลไม้ ปรากฏว่าขายดีมาก ราคาแพงกว่าทุเรียนแบบสด ทางผู้บริหารก็พอใจที่เราสามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทได้ จนกระทั่งไปเห็นพิชซ่า ซึ่งคนในคูเวตนิยมรับประทานกันมาก แต่เนื้อแป้งจะแข็งมาก ทำให้คิดที่จะลองทำเนื้อแป้งให้ ให้นิ่มขึ้น โดยใช้ตัวแป้งอื่น ซึ่งใช้เวลาคิดค้นอยู่นานประมาณ 7 ปี จนได้ตัวแป้งที่นุ่มเหนียว และลองให้ผู้บริหารชิม ซึ่งผู้บริหารก็ติดใจและให้นำตัวแป้งพิชซ่านี้ออกสู่ตลาด โดยสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทเป็นจำนวนมาก”
 


       การที่ ศิริวรรณ ทำงานที่คูเวตอยู่หลายปี ก็ตัดสินใจกลับมาเมืองไทย โดยต้องการนำสูตรแป้งพิชซ่านี้ มาสร้างอาชีพให้กับไทย ซึ่งทางผู้บริหารขอซื้อสูตรในราคา 4 ล้านบาท แต่ทาง ศิริวรรณ ไม่คิดขายสูตร แต่ขอแลกเปลี่ยนเป็นเงินเพียง 2 ล้านบาท เพื่อนำมาทำทุนผลิตแป้งพิชซ่าเพื่อจำหน่ายในไทย ในขณะที่ทางคูเวตก็ยอม พร้อมยื่นเงื่อนไขให้ศิริวรรณต้องเดินทางมาทำงานที่บริษัทเดือนละครั้ง ซึ่งเงื่อนไขดังกล่าวก็ตกลงไปด้วยดี
 

 

       “เราคิดว่าหากเรานำสูตรแป้งนี้ที่คิดค้นขึ้นเองนั้น มาสร้างเป็นธุรกิจให้กับคนไทย จะสามารถสร้างอีกหนึ่งอาชีพให้คนไทยได้ ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงเกินไปนัก ซึ่งในช่วงแรกที่กลับมาก็ลองทำขายในหมู่บ้านย่านสุขาภิบาล 3 เน้นหน้าพิชซ่าที่แปลกตา เช่น พิชซ่าสมุนไพร ต้มยำกุ้ง ผงกระหรี่ แกงเผ็ดเป็ดย่าง แล้วแต่ลูกค้าจะเรียกร้อง ซึ่งทำขายประมาณวันละ 300 แผ่น จนเรามั่นใจในเรื่องรสชาติและแป้งพิชซ่า จึงทำคีออส ขายในลักษณะของแฟรนไชส์ แต่ไม่มีการเก็บค่าแฟรนไชส์ฟี (Franchise Fee) เพียงแต่ให้ผู้ที่ร่วมธุรกิจต้องมาซื้อแป้งสำเร็จรูปที่เรา ส่วนในเรื่องของวัตถุดิบก็จะแนะนำแหล่งที่ราคาถูก และมีคุณภาพภายใต้แบรนด์ อินเตอร์ พิชซ่า (Inter Pizza)”
 


ปัจจุบันอินเตอร์พิชซ่ามีทั้งหมด 20 หน้า ให้ลูกค้าได้เลือกสรร และมีสาขาแล้วกว่า 30 สาขา ในกรุงเทพฯ ในขณะที่สาขาในต่างจังหวัดจะเน้นไปที่แหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก เช่น เกาะช้าง ซึ่งถือเป็นทำเลที่ขายดี ส่วนทำเลย่านสถานศึกษา สถานีขนส่ง ก็เป็นอีกแหล่งที่ขายดี เนื่องจากราคาขายเริ่มต้นที่ 49-69 บาท/ถาด ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ลูกค้าเลือก ซึ่งหน้าพิชซ่าที่ขายดีคือ ซีฟู้ด ฮาวายเอี้ยน และต้มยำกุ้ง เป็นต้น
 


      
อินเตอร์ พิชซ่า ถือได้ว่าเป็นอาชีพที่ทำง่าย ขายคล่อง และใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงเกินไปนัก เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในยุคนี้ เพราะที่ผ่านมาอาชีพนี้ได้สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนตกงาน และมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการมีรายได้เสริมไปได้แล้วหลายราย

สนใจแฟรนไชส์ โทร.0-2927-5979, 089-0912-5757



อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.