สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

วอฟเฟิลฮ่องกง "เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก" ปรับสูตรเพื่อคนไทยลุยแฟรนไชส์



       การได้มีโอกาสเดินทางไปยังต่างประเทศ แล้วได้ลิ้มลองขนมพื้นเมือง ที่แม้บางครั้งอาจจะไม่ถูกปากคนไทยเท่าไรนัก แต่สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำขนม เชื่อได้ว่าเมื่อชิมสักครั้งไอเดียคงบรรเจิดคิดเตลิดไปว่าขนมชนิดนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง ซึ่งหนึ่งในนั้นเจ้าของแฟรนไชส์ “วอฟเฟิลฮ่องกง เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก” ที่ได้ปรับปรุงสูตรขนมวอฟเฟิลฮ่องกงให้ถูกปากคนไทย ลบจุดด้อย ขจัดจุดอ่อน จนพร้อมขายแฟรนไชส์ให้กับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของธุรกิจ




       ชไมพร ขันธวิเชียร เจ้าของแฟรนไชส์วอฟเฟิลฮ่องกง เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก เล่าว่า เมื่อครั้งยังวัยรุ่นอายุ 20 ปี ได้เปิดร้านขายเสื้อผ้าร่วมกับเพื่อน ซึ่งแหล่งที่ซื้อเสื้อผ้าเพื่อไปจำหน่ายต่อคือ ฮ่องกง ทำให้ทั้งคู่มีโอกาสเดินทางไปฮ่องกงอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งก็อดที่จะลิ้มลองขนมวอฟเฟิลที่มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องถนนที่เป็นแหล่งชอปปิ้ง ทั้งถูกปากและไม่ถูกปากบ้าง แต่จุดด้อยที่เห็นได้ชัดคือแป้งที่นำมาทำขนม เมื่อทำเป็นวอฟเฟิลออกมาแล้วแป้งจะแข็งหากทิ้งไว้สักพัก หรือมีรสชาติที่ไม่กลมกล่อม จึงคิดอยากลองนำมาปรับปรุงสูตรและนำมาขายในเมืองไทยบ้าง ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเกิดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว


 


       สุดท้ายจึงตัดสินใจซื้อเครื่องทำขนมดังกล่าวจากฮ่องกง ซึ่งขณะนั้นยังเป็นเครื่องรุ่นเก่าไม่ได้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งขั้นตอนการทำต้องนำพิมพ์ 2 ด้านที่ใส่แป้งแล้วนำมาประกบกัน แล้วนำมาปิ้งบนเตาถ่านที่มีขดลวดให้ความร้อนทั้ง 2 ด้าน พร้อมกับการทำวอฟเฟิลฮ่องกง แต่เมื่อทำตามสูตรที่ได้มา ผลที่ออกมาก็คล้ายกับที่รับประทานที่ฮ่องกงคือไม่อร่อย เนื้อแป้งกระด้าง และเหนียว จึงต้องหยุดความคิดในการทำขนมวอฟเฟิลฮ่องกงไว้ชั่วคราว
 






       “ที่ฮ่องกงขนมวอฟเฟิลของเขา เป็นขนมพื้นเมืองหารับประทานได้ง่าย ซึ่งมีคอนเซ็ปต์คล้ายขนมครกในไทย ซึ่งวอฟเฟิลฮ่องกงนั้น คนฮ่องกงจะเรียกว่าเค้กไข่ เพราะส่วนผสมหลักคือไข่ไก่ และแป้งแต่ เมื่อเราลองนำมาทำบ้างรสชาติ และสูตรที่ได้ยังไม่เป็นที่พอใจจนกระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ไปเที่ยวฮ่องกงอีกครั้งกับสามี (นายสมเจตน์ ขันธวิเชียร) และเห็นเตาไฟฟ้าที่ทำสามารถทำวอฟเฟิลฮ่องกงได้ง่ายขึ้น จึงลองซื้อเตาดังกล่าวกลับเมืองไทยมาอีกครั้ง โดยพ่วงสูตรขนมมาด้วยตามธรรมเนียมเมื่อใครซื้อเตาก็จะได้สูตร แต่เมื่อลองนำมาทำก็เป็นสูตรเดิมๆ เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน เราจึงคิดว่าหากต้องการทำขนมชนิดนี้อย่างจริงจังต้องคิดสูตรเองขึ้นมาเพื่อถูกปากคนไทย”
 

  


       ชไมพร อาศัยความที่คลุกคลีอยู่กับวงการการทำขนมมานาน ทั้งการทำขนมส่งให้กับร้าน 904 และส่งตามที่ต่างๆ จึงลองผิดลองถูกหาแป้งที่เหมาะสมในการทำขนมวอฟเฟิลฮ่องกงอยู่นาน จนกระทั่งไปฝึกอบรมโครงการผู้ประกอบการใหม่ ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งหนึ่งในผู้ประกอบการที่เข้าอบรมด้วยกัน แนะนำแป้งที่ผู้ผลิตไม่ได้จำหน่ายในไทย ส่งออกไปต่างประเทศ 100% ให้ และเมื่อลองนำมาทำก็ได้ขนมวอฟเฟิลฮ่องกงที่มีความกรอบนอกนุ่มใน แต่ก็ยังไม่นำออกขายทันที แต่ได้ลองตลาดด้วยการทำให้เพื่อนได้ลองชิม ติชมเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข เป็นเวลาแรมปีเลยทีเดียว กว่าจะได้สูตรขนมที่ลงตัวอย่างในปัจจุบัน
 

  


       “เมื่อได้สูตรที่ลงตัว เราก็ลองนำแป้งมาผสมกับสตรอเบอรี่ ช็อกโกแลตชิบ ลูกเกด กีวี ก็รู้สึกว่ารสชาติเข้ากันได้ดี จึงทดลองขายเอง ทำคีออสก์ขึ้นมาติดป้ายว่า วอฟเฟิลฮ่องกง เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก นำร่องที่ตลลาดนัดสวนจตุจักร และ JJ Mall ซึ่งผลตอบรับดีมาก ขายวันแรกได้รายได้มาประมาณ 10,000 บาท (ยังไม่หักค่าใช้จ่าย) และล่าสุดได้ขยายสาขาไปที่สมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบ (ใกล้หอสมุดแห่งชาติ และโรงเรียนเซนต์คาเบรียล) จึงคิดขยายธุรกิจในรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งขณะนี้มีสาขาแรกอยู่ที่ซีคอนสแควร์ ซึ่งราคาขายอยู่ที่ชิ้นละ 29 บาท (ไม่ใส่เครื่อง) และราคา 39 บาท (ในเครื่อง)”
 

  


       สำหรับการลงทุนในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์ในเบื้องต้นเริ่มต้นที่ 30,000 บาท คืออุปกรณ์ทั้งหมด ได้แก่ ค่าคีออสก์ และจำนวนเตาที่จะนำไปตั้งในคีออส โดยราคาเตาอยู่ที่ 12,000 บาท/เตา ซึ่งหากเป็นคีออสก์ควรที่จะใช้ประมาณ 3 เตา จะเหมาะสมที่สุด ลูกค้าไม่ต้องรอนาน เพราะการทำวอฟเฟิลฮ่องกงแต่ละชิ้นจะใช้เวลาประมาณ 3.50 นาที ในขณะที่ราคาแป้งอยู่ที่ถุงละ 120 บาท สามารถทำได้ 10 ชิ้น ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ไป ได้เพิ่มหน้าต่างๆ เข้าไปด้วยเช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ และงา เป็นต้น
 

 

สนใจติดต่อ 086-386-6346, 086-376-1636

      
อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


มอร์เก้น” ไส้กรอกเยอรมันพรีเมี่ยม รุกแฟรนไชส์ขายอร่อยแบบต้นตำรับ



        ด้วยศักยภาพการผลิตไส้กรอกเยอรมัน ประกอบกับประสบการณ์ยาวนานในแวดวงแฟรนไชส์ของแบรนด์ “อีซี่ส์” (EZ’S) ได้ต่อยอดธุรกิจ โดยแตกแบรนด์ “มอร์เก้น บาย อีซี่ส์” (Morgen by EZ’S) นำเสนอความแตกต่าง ด้วยเมนูไส้กรอกเยอรมันชั้นพรีเมี่ยมหากินไม่ได้ในท้องตลาดทั่วไป เจาะกลุ่ม ครอบครัวและคนรุ่นใหม่ ที่อยากสัมผัสความอร่อยแบบต้นตำรับแท้ๆ

 
 


        พัชราวดี หมื่นนิกร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์ จำกัด ผู้ดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ “มอร์เก้น บาย อีซี่ส์” (Morgen by EZ’S) เผยว่า จากที่บริษัทดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ไส้กรอกเยอรมัน แบรนด์ อีซี่ส์ (EZ’S) มากว่า 15 ปี ซึ่งเน้นเป็นไส้กรอกกินเล่นสำหรับลูกค้าตลาดกว้าง ขณะเดียวกันเห็นโอกาสธุรกิจว่า ยังมีลูกค้าอีกกลุ่มที่เป็นคนรุ่นใหม่ มีกำลังซื้อสูง และอยากกินไส้กรอกเยอรมันขั้นพรีเมี่ยมแท้ๆ ที่สามารถกินเป็นอาหารหลักได้ ประกอบบริษัทมีศักยภาพในการผลิต และในตลาดยังไม่มีสินค้าที่จะตอบความต้องการดังกล่าวเลย ดังนั้น บริษัทจึงแตกแบรนด์มาเป็น“มอร์เก้น บาย อีซี่ส์” รูปแบบเป็นร้านอาหารสไตล์เยอรมันทันสมัย ให้บริการแบบเคาน์เตอร์เซอร์วิช มีโต๊ะให้กินในร้าน เริ่มเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2551 ที่เทสโก้ โลตัส สาขาศาลายา

 
  


       สำหรับความแตกต่างระหว่างไส้กรอกของมอร์เก้นกับอีซี่ส์ คือ ไส้กรอกมอร์เก้นจะเจาะจงเป็นไส้กรอกเยอรมันระดับพรีเมี่ยมเท่านั้น ซึ่งหากินได้เฉพาะบางท้องถิ่นในประเทศเยอรมนี เปรียบได้กับอาหารชาววังของไทย วัตถุดิบต่างๆ ล้วนเป็นเกรดเอทั้งสิ้น นิยมใช้ไส้ธรรมชาติ เช่นไส้แกะ ไส้หมู ไส้วัว เป็นต้น ปรุงรสด้วยสมุนไพรสดตามธรรมชาติ ขณะเดียวกันไส้กรอกบางตัวที่อาจมีขายในร้านอีซี่ส์ เมื่อเข้ามาอยู่ในร้านมอร์เก้นจะปรับขนาดให้ใหญ่และยาวขึ้น เฉลี่ยน้ำหนักชิ้นละ 100 กรัม เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอื่นๆ อย่างมันบดและซาวเคร้าท์ เพื่อให้เกิดเอกลักษณ์มีเฉพาะในร้านมอร์เก้น ส่วนราคาขายโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าไส้กรอกอีซี่ส์ เล็กน้อย ประมาณ 5-10%
      
       ด้านรสชาติมีทั้งเหมือนต้นตำรับแท้ๆ และบางชนิดปรับรสให้ถูกปากคนไทย และยังเสริมเมนูฟิวชั่นอื่นๆ เป็นทางเลือกหลากหลายนอกเหนือจากไส้กรอก เช่น สเต็ก สปาเก็ตตี้ ยำต่างๆ เป็นต้น รวมในร้านมีกว่า 20 รายการ ราคาเริ่มต้นที่จานละ 35-259 บาท


 


        ทั้งนี้ เลือกขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ พัชราวดี เผยว่า บริษัทเปิดสาขาแรกด้วยตัวเองที่เทสโก้ โลตัส สาขาศาลายา เพื่อเป็นร้านต้นแบบ ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี จากนั้น มีผู้สนใจมาเป็นแฟรนไซซี่ เปิดสาขา 2 ที่เทสโก้ โลตัส ศรีนครินทร์ สาขา 3 ที่เอสพลานาด ถ.รัตนาธิเบศร์ และกำลังเปิดสาขา 4 ที่ จ.พิษณุโลก ในกลางเดือนพฤษภาคม 2553 ที่จะถึงนี้     
  
       ด้านงบลงทุนแฟรนไชส์ ประมาณ 2-2.5 ล้านบาท (แล้วขนาดพื้นที่ เฉลี่ยประมาณ 50-70 ตารางเมตร) ซึ่งงบจำนวนดังกล่าว จากการสำรวจพบว่า เป็นระดับที่ยังมีผู้สนใจลงทุนจำนวนมาก โดยยอดขายหลังหักค่าใช้จ่ายทุกๆ อย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าซื้อวัตถุดิบ ค่าพนักงาน ฯลฯ แฟรนไชซี่จะเหลือกำไรสุทธิประมาณ 20% ทำให้มีอัตราคืนทุนได้ใน 1-2 ปี 

  

 
       เจ้าของธุรกิจ ระบุด้วยว่า จากการเปิดมา 3 สาขาแล้ว ทุกแห่งยอดขายยังอยู่ระดับน่าพอใจ ไม่มีสัญญาณต้องปิดกิจการ โดยเฉลี่ยลูกค้าจะใช้จ่ายในร้านประมาณ 70-200 บาทต่อคน กลุ่มลูกค้าหลัก คือ ครอบครัวและคนรุ่นใหม่ฐานะระดับกลางขึ้นไป      

       ในส่วนของระบบบริหารแฟรนไชส์ โดยเฉพาะการควบคุมคุณภาพ กำหนดว่าต้องรับวัตถุดิบจากแฟรนไชซอร์เท่านั้น ซึ่งบริษัทมีโรงงานผลิตได้มาตรฐานสากล GMP และ HACCP ใช้เครื่องจักรสั่งตรงจากเยอรมัน และประเทศแถบยุโรป ซึ่งวัตถุดิบที่ส่งให้แฟรนไชซี่ทั้งหมดจะมาในรูปแบบกึ่งสำเร็จ ง่ายและสะดวกจะนำไปปรุงอาหาร รวมถึง จัดอบรมพนักงาน และวิธีบริหารร้านให้พร้อม และมีทีมตรวจสอบคุณภาพต่อเนื่อง นอกจากนั้น จะมีแผนส่งเสริมการตลาดให้ต่อเนื่อง เช่น มีโปรโมชั่นทุกๆ 45 วัน พัฒนาสินค้าใหม่ต่อเนื่อง และจัดกิจกรรมการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์ช่วยแฟรนไชซี่ โดยสำรองงบส่วนนี้ 3% จากรายได้ของบริษัทที่ได้จากยอดขายรวมของร้านมอร์เก้น



       “สิ่งสำคัญในทำธุรกิจแฟรนไชส์ คือ ความจริงใจของทั้งสองฝ่าย ดิฉันเปรียบการปล่อยแฟรนไชส์เหมือนคุณเอาลูกเราไปเลี้ยง เราจะไม่ยอมให้เอาชื่อเสียงไปทำเสีย ดังนั้น คนที่จะมาร่วมธุรกิจ จะดูจากความตั้งใจจริงเป็นอันดับแรก ซึ่งต้องรักในธุรกิจนี้ และรักในงานบริการ สามารถมีเวลามาดูแลธุรกิจได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่มีเงินเท่านั้น ส่วนทำเลจะให้สิทธิ์ผู้ลงทุนเป็นฝ่ายเสนอก่อน หรือจะให้บริษัทแนะนำทำเลที่เป็นเครือข่ายให้ก็ได้” พัชราวดี ระบุ


 
       ทั้งนี้ เป้าในการขยายแฟรนไชส์มอร์เก้น ในปีนี้ (2553) วางที่ประมาณ 4-6 สาขา กระจายในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และจังหวัดหัวเมือง ส่วนเป้าระยะยาวอีก 5-10 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีร้านมอร์เก้น ประมาณ 60 สาขาทั่วประเทศ
      
ธุรกิจแฟรนไชส์ Morgen by EZ’S

  • งบลงทุน 2-2.5 ล้านบาท (แล้วขนาดพื้นที่ เฉลี่ยประมาณ 50-70 ตารางเมตร)
  • กำไรสุทธิหักหลังค่าใช้จ่ายทั้งหมด ประมาณ 20%ของยอดขาย
  • คาดการณ์คืนทุน ใน 1-2 ปี
  • ควรมีเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ ประมาณ 2 แสนบาทต่อเดือน
  • แฟรนไชซอร์ ตั้งงบช่วยทำการตลาด 3% จากยอดขายรวมของธุรกิจ
โทร.0-2538-1925 หรือ www.ezssausage.com 

Read More...


โมจิไอศกรีม Kane ปั้นสูตรลับญี่ปุ่นสู่ขนมรสชาติไทย



       สูตรขนมที่มีต้นกำเนิดในต่างประเทศ เรื่องความลับของสูตรถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ไม่มีทางที่เจ้าของจะเปิดเผยกันง่ายๆ ดังนั้นหากเราติดรสชาตินั้นๆ แล้ว คงต้องดั้นด้นไปหารับประทานกันที่ถิ่นกำเนิด ซึ่งผิดกับหนุ่มนักเรียนนอก ที่ได้มีโอกาสลิ้มรสขนมโมจิไอศกรีม ของญี่ปุ่น ในสหรัฐฯ เมื่อครั้นเดินทางกลับมาเมืองไทยก็อดไม่ได้ที่ลองหาร้านที่มีขนมลักษณะนี้ จำหน่าย ซึ่งมีเพียงเจ้าเดียว ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมขนมโมจิไอศกรีมจึงไม่มีคนไทยทำขาย สุดท้ายจึงก่อเกิดเป็นธุรกิจ ที่เด็กหนุ่มรายนี้ท้อแท้ และคิดที่จะเลิกทำหลายต่อหลายครั้ง

       Kane Mochi (คาเนะโมจิ) แบรนด์ที่มีสำเนียงตามแบบฉบับภาษาญี่ปุ่น ที่ไม่ได้ตั้งชื่อให้สื่อว่าเป็นขนมโมจิเท่านั้น แต่แฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง และเป็นมงคล ซึ่งคำว่า คาเนะ แปลว่า เงิน ส่วนคำว่า โมจิ แปลว่า คนถือ เมื่อทั้ง 2 คนมารวมกันจะแปลว่า เศรษฐี โดยทั้งความหมายที่ดี กับการสื่อถึงสินค้า เรียกได้ว่าลงตัวเป็นที่สุด


 


       สำหรับการเริ่มต้นของธุรกิจนี้ มาจากการสังเกต และหัวคิดทางการค้า ของ ชานน อนันต์วิโรจน์ ที่ครั้งหนึ่งเพื่อนชวนให้ลองชิมขนมโมจิไอศกรีม ย่านไชน่า ทาวน์ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นลูกค้าขาประจำ จนกระทั่งเรียนจบกลับมาเมืองไทยก็เข้าทำงานบริษัทเอกชน และอยากรับประทานขนมดังกล่าว จึงลองหาร้านที่ทำหรือนำเข้ามาขายในไทย ซึ่งมีเพียงร้านเดียวที่นำเข้ามา และขายในราคาลูกละ 45 บาท ถือเป็นราคาที่แพงมาก ทำให้นายฉุกคิดว่าทำไม่มีคนไทยคิดทำขนมชนิดนี้มาขายบ้าง ซึ่งน่าจะได้รับการตอบรับดี เนื่องจากเป็นสินค้าที่ยังไม่มีในตลาดเมืองไทย


       “หลังจากที่ผมเกิดไอเดียจะทำขนมโมจิไอศกรีม ขั้นตอนแรกผมได้ทำการวิจัยสำรวจตลาดความต้องการของลูกค้าในเรื่องการตอบรับ และความกล้าที่จะลิ้มลอง ซึ่งผลการวิจัยที่ออกมาก็ค่อนข้างดี ทำให้เสริมความมั่นใจของเรายิ่งขึ้นในการทำธุรกิจนี้อย่างเต็มที่ โดยผมเริ่ม จากการค้นคว้าข้อมูล และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร ในสถาบันการศึกษาชั้นนำของไทยในเรื่องทำอย่างไรให้แป้งที่เมื่อนำไปแช่แข็ง พร้อมกับไอศกรีมแล้ว เมื่อนำออกมาไว้ในอุณหภูมิประมาณ 3-5 นาที ก็รับประทานได้ไม่แข็งจนเกินไป รวมถึงแป้งยังคงความเหนียวนุ่ม ซึ่งในช่วงแรกอาจารย์ก็ไม่ทราบวิธีการทำขนมลักษณะนี้ แต่เมื่อได้ลองผิดลองถูกทำให้ผมรู้ว่าจะต้องใช้แป้งอะไร มีส่วนผสมอะไรบ้าง และได้ลองมาทำเองแต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากกว่าจะได้สูตรขนมอย่างในปัจจุบัน ซึ่งผมรู้แล้วว่าทำไมที่ผ่านมายังไม่มีคนไทยทำขนมไอศกรีมโมจิออกมาจำหน่าย เพราะยากมาก ทุกขั้นตอนต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ”

       
       

       จากความเชื่อ ที่ว่าแม้ขนมโมจิไอศกรีมจะทำยาก แต่หากทำได้จะต้องขายได้อย่างแน่นอน ทำให้ ชานน ที่เคยคิดท้อจากความล้มเหลวของขนมที่ทำออกมาตามที่ตั้งใจไว้ไม่ได้ เคยคิดว่าตนเองคิดถูกหรือไม่ที่ลาออกจากงานประจำมาทำขนมไอศกรีมโมจิที่ยัง ไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่สุดท้ายก็อดทนต่อสู้ ภายใต้ความเชื่อที่ว่าสักวันต้องเป็นวันของเราพร้อมทั้งได้กำลังใจที่ดีจากครอบครัว ที่ไม่เคยว่ากล่าว แต่กลับสนับสนุนให้ลงมือทำอย่างเต็มที่ เพราะถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ลูกชายหาไม่ได้จากในตำราเรียน ซึ่งการได้ลองผิดลองถูก คิดแก้ปัญหา ฝึกคิดหากลยุทธ์ด้านการตลาด สิ่งเหล่านี้คุ้มค่ากว่าการส่งเรียนต่อในต่างประเทศเสียอีก ซึ่งหากธุรกิจนี้ล้มเหลวก็ถือว่าคุ้มแล้ว ที่ลูกชายได้ลงมือทำด้วยตัวเอง
 



             และแล้วไอศกรีมโมจิ ที่ ชานน ทุ่มเทแรงกายและใจมากว่า 1 ปี ก็เป็นผลสำเร็จ จึงต้องการลองตลาด และการตอบรับของลูกค้า จนเมื่อเพื่อนแนะนำให้ไปออกบูธงานเทศกาลไอศกรีม ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพระราม 3 ก็สนใจ และนำสินค้าไปให้ผู้บริหารได้ลองลิ้ม ซึ่งผู้บริหารประทับใจมาก และบอกให้นำสินค้าไปออกบูธในเทศกาลไอศกรีมทุกสาขาในเครือห้างเซ็นทรัล โดยข้อเสนอที่ได้มานั้น ชานน บอกว่า ทั้งดีใจ และเครียดไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากการจะนำสินค้าไปอออกบูธต้องผลิตให้ได้ 5,000 ลูก/วัน/สาขา แต่ขณะนั้นทำได้เพียง 200 ลูก/วันเท่านั้น แต่ก็ไม่ย่อท้อเพิ่มกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ จนได้ 2,000 ลูก/วัน และเป็นตนเองเป็นผู้ขายเอง ทำให้เรียนรู้พฤติกรรมผู้บริโภค การคิดต้นทุน กำไร ขาดทุน


       “การที่เราไปออกบูธครั้งแรก ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากเทศกาลไอศกรีมผ่าน 3 เดือน ผมรู้ว่าสินค้าชนิดนี้ไปได้อย่างอย่างแน่นอน จึงคิดเปิดร้านถาวร โดยเช่าพื้นที่ที่ห้างเซ็นทรัล ลาดพร้าว เพราะเชื่อว่าเป็นสาขาที่มีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทำให้สามารถเรียนรู้พฤติกรรมกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ ส่วนในเรื่องของรสชาติขณะนี้เรามีประมาณ 9 รสชาติ เช่น ชาเขียว นมสด (ขายดี) สตรอเบอรี่ ชานม วนิลา กาแฟ และมะนาว เป็นต้น โดยขายในราคาลูกละ 24 บาท สามารถเก็บไว้ในช่องแช่แข็งตู้เย็นตามบ้านได้นาน 4 วัน แต่หากเก็บอุณหภูมิ -25 ํC จะอยู่ได้นานเป็นเดือน ”

 

       ปัจจุบันร้าน Kane Mochi มี 3 สาขา ได้แก่ สาขาเซ็ลทรัลลาดพร้าวชั้น 1, สยามสแควร์ซอย 3 และสีลม คอมเพล็กซ์ ชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์ ซึ่งในอนาคตชานนจะขยายสาขาแฟรนไชส์อีก 3 สาขา คือ ยูเนียน มอลล์ ชั้น 2, เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ชั้น 6 และเสรีเซ็นเตอร์ ชั้น 1
 




สนใจติดต่อ 0-2977-9038 หรือที่ www.kanemochiicecream.com


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


แฟรนไชส์ลูกชิ้นต้มยำรสแซบ สร้างจุดต่างด้วยผงปรุงรสเกาหลี



ลูกชิ้นอาหารว่างที่ถูกปากคน ไทย ทำให้มีร้านลูกชิ้นปิ้งย่าง และทอด เกิดขึ้นมากมาย เพราะทำง่าย ขายคล่อง ความแตกต่างของลูกชิ้นแต่ละราย อยู่ที่รสชาติของลูกชิ้น และน้ำจิ้ม และด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของ ลูกชิ้น ดวงดาว 5 รสแซบ แฟรนไชส์ภายใต้แบรนด์ “ดวงดาว”
       ความแตกต่างของแฟรนไชส์ลูกชิ้นดวงดาว อยู่ที่การปรุงรสด้วยผงปรุงรส 5 รสชาติ ได้แก่ ผงปรุงรสต้มยำ รสปาริก้า รสพิซซ่า รสสะเต๊ะ รสน้ำผึ้งโรยงา สำหรับคนรักสุขภาพ โดยต้นตำรับของลูกชิ้นรสแซบลักษณะดังกล่าว มาจากประเทศเกาหลี ซึ่ง “นายณรงค์ชัย วิชยรังสิมันต์” เจ้าของโรงงานลูกชิ้นดวงดาว ได้นำเข้าผงปรุงรสดังกล่าวเพื่อนำมาใช้ปรุงแต่งรสลูกชิ้นปิ้ง ทอด สร้างความแตกต่าง เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างธุรกิจแฟรนไชส์ของตนเอง
 



      
       นายวิชาญ คุณณรงค์ชัย ทายาทผู้รับผิดชอบดูแลธุรกิจแฟรนไชส์ลูกชิ้นดวงดาว เล่า ว่า เดิมทำโรงงานลูกชิ้น โดยเริ่มจากการทำส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้านเริ่มจากประเทศลาว ผ่านตัวแทนจำหน่าย ก่อนจะเริ่มมาทำตลาดในประเทศไทย เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา สาเหตุที่เปิดตลาดในประเทศลาว ก่อนทำขายภายในประเทศ เพราะในช่วงที่เริ่มทำลูกชิ้นออกขายอยู่ในระหว่าง การขอตราสินค้า เพราะถ้าไม่มีตรายี่ห้อ ไม่สามารถขายในประเทศได้ ในช่วงที่รอการขอขึ้นทะเบียนตราสินค้า เราจึงได้ไปทดสอบตลาดในประเทศลาว ก่อน ซึ่งผลตอบรับออกมาค่อนข้างดีมาก

       สำหรับการเปิดตลาดในประเทศไทยนั้น เริ่มเปิดตัวจากการเปิดขายแฟรนไชส์ลูกชิ้นดวงดาว และเนื่องจากร้านขายลูกชิ้นในบ้านเรามีเยอะมาก รวมถึงแฟรนไชส์ก็มีอยู่หลายราย คุณพ่อ คือ คุณณรงค์ชัย เจ้าของโรงงานและแฟรนไชส์ จึงได้คิดค้นหาวิธีที่จะทำให้แฟรนไชส์ลูกชิ้นดวงดาว แตกต่างจากร้านลูกชิ้น ปิ้งย่างทั่วไป เพื่อให้ลูกค้าที่ซื้อแฟรนไชส์ไปมีจุดขายในการเรียกลูกค้า
 


       

       จนกระทั่งได้มีโอกาส ได้ไปพบร้านลูกชิ้นที่ประเทศเกาหลี มีการปรุงรสชาติด้วยผงปรุงรส แทนการราดด้วยน้ำจิ้มเหมือนกับบ้านเรา และเห็นว่าในประเทศไทย ยังไม่เคยมีใครทำลูกชิ้นในแบบดังกล่าว จึงได้ค้นหาผู้ผลิตผงปรุงรสดังกล่าว และนำเข้ามาทดลองทำลูกชิ้นที่โรงงาน ซึ่งไปด้วยกันได้ดี จะมีการปรับสูตรบ้าง เพื่อให้เหมาะกับความชอบของคนไทย ปัจจุบันนำเข้าผงปรุงรสเข้ามาด้วยกัน 4 สูตร รสต้มยำ ปาริก้า สะเต๊ะ ส่วนของรสต้มยำมีมะนาวผง และผงป่น สำหรับคนที่ชอบรสจัดจ้าน แบบฉบับรสต้มยำไทยไทย ราคาขายไม้ละ 10 บาท ลูกชิ้น 4 ลูก
       ส่วนขั้นตอนการทำลูกชิ้นดวงดาว เหมือนกับลูกชิ้นทั่วไป คือ นำไปปิ้ง ทอด และเพิ่มการทอดแบบทอดมันหมูเกาหลี ซึ่งเพิ่มเครื่องปรุงสมุนไพรจากเกาหลีสำหรับการทอดมันหมูเกาหลี และปรุงรสโดยการทาเนย และทาน้ำจิ้ม ก่อนโรยผงปรุงรส เพื่อให้ผงปรุงรสติดและซึมเข้าไปในเนื้อลูกชิ้น ซึ่งรสที่ขายดีที่สุด จะเป็นรสพิซซ่า และรสน้ำผึ้งโรยงา

 

      
       นายวิชาญ กล่าวถึง การขายแฟรนไชส์ว่า ตั้งเป้าจะทำให้ได้ถึง 100 สาขา ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยราคาแฟรนไชส์จะมีให้เลือกตาม ขนาดของแฟรนไชส์ เริ่มต้นที่ 3,700 บาท ไปจนถึง 19,900 บาท โดยราคา 3,700 บาท ได้ป้าย ผ้าปูโต๊ะ วัตถุดิบ และ ราคา 7,500 บาท ป้าย พร้อมตู้โชว์ เตาแก๊สปิคนควัตถุดิบในการขาย ส่วนแบบคีออสขนาด 62ซม.x123ซม. และอุปกรณ์ครบชุด 25 รายการ ราคา 19,900 บาท และขนาด รองลงมา 62 ซม.x92ซม.และอุปกรณ์ 25 รายการ ราคา 16,900 บาท ส่วนแบบรถเข็นราคาถูกลงมา เริ่มต้น 14,900 บาท ขนาด 65 ซม.x134ซม. และอุปกรณ์ 25 รายการ
 




       สำหรับการเปิดขายแฟรนไชส์ เริ่มเปิดตัวครั้งแรกในงานแฟรนไชส์ที่จัดโดยนิตยสารตั้งตัว โดยภายในงานมีคนสนใจจองหลังจากเปิดขาย 4 วัน ประมาณ 20 ราย ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด และมีคนสนใจแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจกว่า 400 ราย คาดว่าจบงานน่าจะมีคนสนใจเปิดแฟรนไชส์ ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งที่คนสนใจกันมาก เพราะคิดค่าแฟรนไชส์ไม่สูง และเป็นสิ่งที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เชื่อว่า ซื้อแฟรนไชส์ไปจะได้รับผลตอบรับที่คุ้มทุนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
      
       ทั้งนี้ ในส่วนของผลตอบแทน คิดไว้ คือ ลูกชิ้น 1 กิโลกรัม ส่งในราคา 150 บาท สามารถขายได้ 250 บาท จะได้กำไรประมาณ 100 บาท ต่อลูกชิ้น 1 กิโลกรัม ส่วน วัตถุดิบอื่นๆ เช่น ผงปรุงรส ส่งในราคากิโลกรัมละ 250 บาท ซึ่งสามารถใช้ได้กับลูกชิ้นมากกว่า 10 กิโลกรัมขึ้นไป ซึ่งลูกค้าแฟรนไชส์จะต้องซื้อผงปรุงรส และลูกชิ้นจากทางเราเท่านั้น ส่วนวัตถุดิบอื่นๆสามารถหาซื้อเองได้ การจัดส่งลูกชิ้นส่งครั้งละ 10 กิโลกรัมขึ้นไป


 

 
       นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนที่จะพัฒนาลูกชิ้นสูตรใหม่ ขึ้นมา เช่น มีแผนจะทำลูกชิ้นสูตรคอลเลคเจน เพื่อคนที่รักและใส่ใจในสุขภาพ หรือ สูตรยำลูกชิ้น รวมถึง ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น โดยการพัฒนาสูตรใหม่ของเราก็จะต้องแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เพื่อช่วยให้แฟรนไชส์สามารถเรียกลูกค้าได้             
โทร.08-1478-1022

 อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


หมูย่างยกนิ้ว รสชาติที่บอกต่อ อีกหนึ่งแฟรนไชส์คืนทุนเร็ว



      
ยกระดับหมูย่างขึ้นห้าง “แฟรนไชส์ หมูย่างยกนิ้ว” ของผู้ที่ผันตัวเองจากการขายเสื้อผ้ามาขายหมูย่าง สูตรที่คิดค้นขึ้นเอง แต่กลับถูกปากลูกค้าที่บอกปากต่อปาก จนสามารถขยายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ คืนทุนเร็วเพียงไม่กี่เดือน แต่ต้องอาศัยความอดทนและความตั้งใจจริงของแฟรนไชซี      
       ประจิม โรจนชัยศรี เจ้าของแฟรนไชส์หมูย่างยกนิ้ว เล่าว่า แต่เดิมตนเองมีอาชีพขายเสื้อตามห้างสรรพสินค้า ซึ่งหนีไม่พ้นการเดินเที่ยวสำรวจบรรดาร้านค้าในห้างดังกล่าวอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะของกินที่ตนเองต้องหาอาหารที่สามารถรับประทานได้สะดวกรวดเร็ว เพราะไม่สามารถทิ้งร้านขายเสื้อผ้าไปหลายชั่วโมงได้ จนกระทั่งไอเดียการคิดที่จะทำหมูย่างเสียบไม้ขาย มาจากการที่ลูกสาว ได้ไปซื้อหมูย่างมาเจ้าหนึ่งที่เน้นการเสียบเนื้อหมูค่อนข้างหนา และมีรสชาติอร่อย ในราคาไม้ละ 10 บาท พร้อมข้าวเหนียว ที่ได้ย่างขายหน้าโรงเรียน ซึ่งลูกสาวมักจะซื้อมารับประทานเป็นประจำ





        ทำให้ประจิม ลองคิดทำเองดูบ้าง เพื่อให้ให้ลูกสาวรับประทาน โดยได้ซื้อเนื้อหมูคุณภาพดีมาหมัก รวมถึงการทำให้หมูนิ่มด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งผลในเรื่องของรสชาตินับว่าค่อนข้างดี สมาชิกในครอบครัวชื่นชอบ จึงสนับสนุนให้ลองทำขาย ซึ่งตนคิดว่าน่าจะได้กำไรดี เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน การที่จะทำให้คนจ่ายเงินในหลักร้อยเพื่อซื้อเสื้อผ้า เทียบกับการควักเงินออกจากกระเป๋าเพียง 10 บาท เพื่อซื้อหมูย่างสัก 1 ไม้ เป็นเรื่องที่ง่ายกว่า แม้ว่าด้วยจำนวนเงินที่ได้รับจากลูกค้าในแต่ละครั้งจะน้อยกว่าการซื้อเสื้อผ้า แต่หากเน้นในเรื่องปริมาณการขาย ก็สามารถทำกำไรได้เช่นเดียวกัน



  


       เมื่อประจิมตัดสินใจที่จะทำหมูย่างขาย จึงให้สามีออกแบบคีออสให้ เพื่อไปขายที่อิมพีเรียลเวิร์ล สำโรง พร้อมตั้งชื่อร้านว่า “หมูย่าง ยกนิ้ว” ที่เป็นชื่อที่เรียก และจำง่าย รวมถึงคำว่ายกนิ้ว ยังสื่อถึงความยอดเยี่ยม หรือสิ่งที่ดีๆ อร่อย ซึ่งการทำคีออสและการสร้างแบรนด์ เป็นการช่วยทำให้ลูกค้าสะดุดตา และคิดว่าเป็นอาหารที่ไม่ได้มีทั่วไป แต่เป็นอาหารของผู้ประกอบการรายหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาในตลาดชวนลิ้มลอง
 




       “ครั้งแรกที่เราขายหมูย่าง ยกนิ้ว ที่อิมพีเรียล เวิร์ล สำโรง เราได้คิดสูตรหมูย่างออกมารวม 4 รสชาติ แทนที่จะมีเพียงรสชาติดั้งเดิม เหมือนกับเจ้าอื่น คือ นอกจะมีรสดั้งเดิมแล้ว ยังมีรสพริกไทยดำ ผงกระหรี่ และน้ำพริกเผา ต่อมาก็เพิ่มอีก 4 สูตร คือ กระเพรา ลาบหมู พะแนงหมู และแกงเขียวหวาน ซึ่งรสชาติเหล่านี้ เราจะเน้นไปที่รสชาติไทย เป็นอาหารไทย ที่ลูกค้าคุ้นเคย ซึ่งการที่เราพยายามคิดรสชาติให้มีความหลากหลาย ก็เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า และเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการเพิ่มยอดขาย เพราะถ้าเรามีเพียงรสดั้งเดิม เพียงรสชาติเดียว ลูกค้าก็อาจเลือกซื้อเพียง 2-3 ไม้เท่านั้น แต่หากมีหลายรสชาติลูกค้าก็จะซื้อในจำนวนที่เพิ่มขึ้น จากความที่ต้องการลิ้มลองรสชาติใหม่ ที่ลูกค้าจะซื้อรวมกันเป็น 10 ไม้ก็ได้”


  


       จากรสชาติการหมักหมูย่างอย่างเข้มข้น และเนื้อหมูที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ ทำให้จุดเด่นของหมูย่างยกนิ้ว หนีไม่พ้นในเรื่องความนุ่ม และรสชาติที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี รวมถึงการไม่ใส่ผงชูรส สารบอแรกซ์ และสารกันบูด ที่ลูกค้าบอกปากต่อปาก ทำให้ประจิมตัดสินใจขยายสาขาที่ห้างเดอะมอลล์ บางแค อีกหนึ่งสาขา ที่ถือว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างมีศักยภาพมีคนมาเดินเที่ยวห้างดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จนมีลูกค้าหลายคนสนใจขอซื้อแฟรนไชส์ ซึ่งก็ต้องเลือกสรรผู้ที่สนใจที่จะขายหมูย่างอย่างจริงจัง เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยความอดทนสูง แม้จะขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่มีแอร์เย็นฉ่ำก็ตาม แต่ก็ต้องเผชิญกับกลิ่นและควันที่ต้องเล็ดลอดออกมาบ้าง แม้ว่าจะมีเครื่องดูดควันที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีติดมากับคีออสแล้วก็ตาม
 




       “การที่เราขยายสาขาในรูปแบบของแฟรนไชส์ ถือเป็นเรื่องที่ต้องรอบคอบ มีการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งเราจะไม่เน้นขยายสาขาอย่างรวดเร็ว แต่จะดูที่ทำเลที่ผู้สนใจเสนอมาเป็นหลัก โดยต้องเป็นที่ที่มีคนพลุกพล่าน บางครั้งจะวัดจากค่าเช่าพื้นที่ ถ้ามีราคาที่สูง ก็แสดงว่าเป็นทำเลที่ค่อนข้างดี เหมาะแก่การลงทุน เพราะจะได้ยอดขายในจำนวนที่สูงกว่าพื้นที่ราคาถูก หรือไม่เสียค่าเช่า ซึ่งปัจจุบันร้านหมูย่างยกนิ้วมีจำนวนสาขาทั้งหมด 14 สาขา โดยเป็นแฟรนไชส์ 12 สาขา ในกรุงเทพและปริมณฑล”


 


       สำหรับการลงทุนธุรกิจร้านหมูย่างยกนิ้ว ใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000 บาท (อุปกรณ์พร้อมขาย) โดยจะซื้อหมูย่างในราคา 6.50 บาท (แฟรนไชซีได้กำไร 35% ) ส่วนข้าวเหนียวต้องนึ่งเอง ซึ่งที่ผ่านมามีแฟรนไชซีบางสาขากำไรจากการข้าวเหนียว สามารถนำไปจ่ายเป็นค่าเช่าพื้นที่ในแต่ละเดือนได้ แต่โดยเฉลี่ยระยะเวลาการคืนทุนประมาณ 3-5 เดือน



สนใจติดต่อโทร. 0-2380-1833, 08-1298-9139 และ 08-6043-2152
 

Read More...


ไก่ย่างห้าดาว



เป็นไก่ย่างที่คนทั่วๆไปรู้จัก ถ้าพูดถึงไก่ย่างในประเทศไทย ทุกคนก็จะนึกถึงไก่ย่างห้าดาวเป็นอันดับแรก เพราะไก่ย่างห้าดาวเป็นที่รู้จักกันมา กว่า 20 ปี มีความสด อร่อย และมีมาตรฐานความปลอดภัย ไก่ย่างห้าดาวมีซุ้มจำหน่ายอยู่เกือบทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย

ลักษณะกิจการ
ร้านขายไก่ย่าง
ชื่อธุรกิจ (ไทย)ไก่ย่างห้าดาว
ชื่อธุรกิจ (อังกฤษ)5 Star Chicken
ความเป็นมา
เริ่มดำเนินการครั้งแรก เมื่อปี 2528 โดยมีจุดขายจุดแรกที่ ถ.ลาดพร้าว บริเวณปากซอยลาดพร้าว 80 โดยในการเริ่มดำเนินการครั้งนั้น เนื่องจากเป็นการเริ่มธุรกิจใหม่ จึงเป็นการดำเนินกิจการของบริษัทเอง ซึ่งก็ได้มีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2530 บริษัทจึงได้มีการดำเนินการสื่อสารกับผู้บริโภคเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งมีการผลิตภาพยนต์โฆษณาเรื่องแรกออกมา ซึ่งเป็นที่น่าประหลาดใจว่าภาพยนต์เรื่องนั้นยังคงมีผู้บริโภคจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ 
เมื่อบริษัทฯได้ดำเนินกิจการมาจนถึงปี 2543 นั้น บริษัทฯ ได้เก็บเกี่ยวองค์ความรู้ต่างๆ ในการบริหารจุดขาย ตัวอย่างเช่น การจัดการผลิตสินค้า ณ จุดขาย การบริหารสินค้าขาย การดูแลความสะอาดจุดขาย ระบบการบริหารบัญชีจุดขาย และที่สำคัญคือส่วนสนับสนุน อันได้แก่ ระบบ Logistic การบำรุงรักษาอุปกรณ์ ฯลฯ แล้วนั้น บริษัทฯจึงได้เริ่มการปรับการบริหารเป็นการดำเนินกิจการในรูปแบบแฟรนไชนส์ จากจุดเปลี่ยนนั้นเอง ทำให้ กิจการไก่ย่างห้าดาว ได้มีการขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง
โดยตัวบริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทจากการที่เข้าไปขายกับผู้บริโภคโดยตรงมาเป็นผู้ให้การสนับสนุน ด้านองค์ความรู้การจัดการให้กับลูกค้าแฟรนไชนส์ รวมทั้งการสนับสนุนการขายต่างๆอันได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสื่อสารการตลาด ระบบ Logistic เพื่อให้ลูกค้าแฟรนไชนส์ มั่นใจในการร่วมธุรกิจกับไก่ย่างห้าดาว
ในปี 2549 กิจการไก่ย่างห้าดาว ได้มีการพัฒนาธุรกิจใหม่ขึ้นมา คือ “ไก่ทอดห้าดาว” อันเป็นธุรกิจที่เกิดจากการที่บริษัทฯทำการศึกษาผู้บริโภค และได้รับความเห็นว่าเมนู “ไก่ทอด” เป็นรายการอาหารที่ผู้บริโภคอยากให้ ห้าดาวจำหน่าย ซึ่งมาจนวันนี้ กิจการไก่ทอดห้าดาวก็ได้มีการขยายตัวโดยจะมีจำหน่ายทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2551 นี้
นอกจากที่ได้กล่าวมาโดยสังเขปนี้ กิจการห้าดาว ยังได้มีการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆที่ตอบสนองต่อรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคชาวไทย ที่มีความต้องการผู้ให้บริการด้านอาหารที่อร่อย มีมาตรฐานการให้บริการที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งมีความคุ้นค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป ซึ่งจะมีการนำเสนอต่อไปในอนาคต
ลักษณะสินค้า
และบริการ
ปัจจุบันไก่ย่างห้าดาวมีด้วยกัน 4 สูตร ได้แก่ สูตรต้นตำรับ ตัวละ 89 บาท สูตรพริกไทยดำ สูตรจิ้มแจ่ว ราคาครึ่งตัว 52 บาท และสูตรเทอริยากิ เน้นน่องและสะโพก ราคาชิ้นละ 30 บาท สำหรับสูตรเทอริยากิขณะนี้อยู่ในช่วงทดลองตลาด สินค้าป้อนตลาดจริงเร็วๆนี้ จับตลาดคนรุ่นใหม่

มีแผนเพิ่มเมนูไก่ย่างเทอริยากิและเพิ่มขนาดตัวไก่เป็น 1,400-1,500 กรัม จำหน่ายตัวละ 89 บาท จากเดิมขนาด 700-800 กรัม ราคาตัวละ 79 บาท และขายไก่แบบครึ่งตัวในราคา 49 บาท

ไก่ย่างห้าดาว 2 สูตรใหม่ คือ "สูตรพริกไทยดำ" และ "สูตรจิ้มแจ่ว" ซึ่งเป็นการออกสูตรใหม่ในรอบกว่า 20 ปี จากเดิมที่มีเพียงไก่ย่างห้าดาวออริจินอลที่เป็นยอดขายหลัก นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มขนาดไก่พิเศษสำหรับ 2 สูตรดังกล่าว โดยใช้ไก่ขนาด 1,500-1,800 กรัม มีราคาตัวละ 104 บาท ขณะที่ไก่ขนาดปกติสูตรออริจินอลยังใช้ไก่ขนาด 1,200-1,500 กรัม จำหน่ายราคาตัวละ 89 บาท

ผลิตจากไก่สด CP ที่เลี้ยงในฟาร์มระบบปิด ตามมาตรฐานของ CPF หมักด้วยเครื่องเทศสด หอมกลิ่นกระเทียม พริกไทย ผ่านการย่างสุกที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส เนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย เป็นเอกลักษณ์ของห้าดาว เหมาะกับทุกเพศ
ประเทศThailand  Thailand
ค่าแฟรนไชส์3,000 บาท
จำนวนสาขา3,200 สาขา
รายละเอียดสาขาในกทม.มีจุดขายประมาณ 1,300 จุด ทีเหลือกระจายตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่,โคราช,พิษณุโลก,อุดรธานี,ขอนแก่น,สุราษฎร์ธานี,หาดใหญ่ เป็นต้น

ปัจจุบันบริษัทได้ขยายฐานตลาดไก่ย่างห้าดาวไปยังตลาดอินโดจีนแล้ว
นโยบาย
การขยายสาขา
ขายแฟรนไชส์
การลงทุนเงินลงทุนต่อจุด 2 แสนบาท รูปแบบการขยายสาขาเน้นการขายแฟรนไชส์ 100% โดยบริษัทลงทุนด้านอุปกรณ์ทั้งหมด ขณะที่ลูกค้าเสียค่าแรกเข้าและเงินทุนหมุนเวียน 10,000 บาท
ระยะเวลาคืนทุน-
คุณสมบัติ
ผู้ลงทุน
คุณสมบัติผู้ลงทุน
  1. อายุไม่เกิน 40 ปี
  2. สัญชาติไทย
  3. มีทำเลที่ตั้งซุ้มห้าดาวที่เหมาะสม ผ่านการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ของบริษัท
ค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของซุ้มห้าดาว
  1. (ประมาณ 15,000 บาท) ค่าค้ำประกันตู้และอุปกรณ์ต่างๆ 3,000 บาท ซึ่งจะได้รับคืนเมื่อเลิกกิจการ
  2. ค่าแรกเข้า 3,000 บาท ซึ่งท่านจะได้รับเสื้อฟอร์ม 3 ตัว หมวก 2 ใบ และเอี๊ยมกันเปื้อน 2 พัน
  3. ค่าขนส่งตู้ และอุปกรณ์ต่างๆ ไปยังจุดขายตามจริง
  4. ค่าสินค้า (บริการส่งสินค้าให้ฟรี)
อุปกรณ์ที่ทางบริษัทให้ยืม
  1. ตู้ย่าง ตู้เย็น อุปกรณ์การขาย เช่น เขียง มีด เป็นต้น
ขั้นตอนการพิจารณา
  1. มีทำเลที่เหมาะสมในการทำธุรกิจ (โดยการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่บริษัท)
  2. ต้องผ่านการฝึกงานอย่างน้อย 4 วัน (เสียค่าฝึกอบรม 250 บาท)
  3. มีเงินค้ำประกันตู้ 3,000 บาท*
  4. ค่าดำเนินการก่อนเปิดร้าน 3,000 บาท*
  5. ค่าขนส่งตู้ (ตามระยะทาง)
  6. เงินลงทุนซื้อสินค้าจากบริษัทมาจำหน่าย (ตามปริมาณการสั่งสินค้าของแต่ละจุดขาย)
สิ่งที่แฟรนไชส์ซี่
จะได้รับ
ขั้นตอนการเป็นเจ้าของซุ้มห้าดาว
  1. แจ้งทำเลที่ต้องการจะตั้งซุ้มห้าดาว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพิจารณาความเหมาะสม
  2. ผู้ที่จะขายต้องผ่านการฝึกอบรมกับทางบริษัท อย่างน้อย 4 วัน (ค่าฝึกอบรม 250 บาท/คน)

    หลังจากผ่านการฝึกอบรมแล้ว จึงทำสัญญา* และเริ่มเปิดซุ้มขาย
    เอกสารที่ใช้ในการทำสัญญา: สำเนาทำเบียนบ้าน 3 ใบและสำเนาบัตรประชาชน 3 ใบ
ระเบียบข้อปฏิบัติ
  1. ผู้ขายต้องสวมเสื้อฟอร์ม เอี๊ยมกันเปื้อน และหมวกของบริษัท
  2. ต้องดูแลความสะอาดซุ้มและเครื่องมือเครื่องใช้เป็นอย่างดี เพราะบริษัทให้ยืมโดยไม่คิดค่าเช่าใดๆ
  3. ต้องไม่นำสินค้าที่ไม่ใช่ของบริษัทมาขายที่ซุ้มหรือนำมาเก็บรวมกับเครื่องเครื่องใช้ของบริษัท
  4. ต้องไม่นำสินค้าเก่า ค้างวัน กลับมาขาย
  5. ต้องให้การสนับสนุนสินค้าใหม่ของทางบริษัท
  6. ชำระสินค้ากับทางบริษัทเป็นเงินสดทันทีเมื่อได้รับสินค้า
  7. ขายสินค้าตามราคาที่บริษัทกำหนด
อื่นๆ
บริษัท ซีพีเอฟผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย "ไก่ย่างห้าดาว" แนะนำไก่ย่างห้าดาว 2 สูตรใหม่ รสชาติจัดจ้านถึงใจ กับ สูตรพริกไทยดำ ที่พิถีพิถันคัดสรรเครื่องเทศและสมุนไพรไทยหลากชนิด ผสมผสานคลุกเคล้าจนถึงเนื้อใน ให้ความหวานของสมุนไพรไทยและสูตรจิ้มแจ่ว มีดีที่น้ำจิ้มแจ่วรสเด็ด เปรี้ยวหวานกลมกล่อมกำลังดี สูตรพิเศษเฉพาะไก่ย่างห้าดาวเท่านั้น

ทั้งสองสูตรใช้ไก่ใหญ่คัดพิเศษขนาด 1,500-1,800 กรัม ย่างในเตาย่างมาตรฐานที่อุณหภูมิสูงกว่า 200 องศาเซลเซียส ให้คุณมั่นใจได้ว่า ไก่ย่างห้าดาว อร่อย คุ้มค่า และปลอดภัยอย่างแท้จริง พิสูจน์ความอร่อยได้ในแบบครึ่งตัว และเต็มตัว ที่จุดขายไก่ย่างห้าดาวทั่วประเทศ


Q1 สนใจทำธุรกิจกับห้าดาวต้องทำอย่างไร

A1 การเข้าร่วมทำธุรกิจกับห้าดาวนั้นไม่มีอะไรยุ่งยากครับ แค่มีใจที่ต้องการทำธุรกิจส่วนตัว มีพื้นที่จุดขายที่มีลูกค้าผ่านดีๆสัก 3*3เมตร เงินทุนตั้งต้น 15000บาท ก็สามารถเริ่มธุรกิจกับเราได้แล้วครับ โดยขั้นตอนในการติดต่อมีดังนี้ครับ
โทรเขาที่เบอร์ 0-2746-9211-2 เพื่อแจ้งทำเลจุดขายที่คุณมีอยู่กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะตรวจเทียบเบอร์ผู้จัดการเขตและแจ้งให้คุณโทรหา (ต้องรบกวนในการโทรนี้ เนื่องจาก จุดขายของห้าดาวนั้นมีการกระจายตัวอยู่ และเป็นการป้องกันไม่ไห้เกิดการเปิดจุดซ้ำซ้อน เพราะว่าผู้จัดการเขตนั้น ทุกๆท่านจะรู้จักพื้นที่ของตนเองได้ดีกว่าพนักงานที่ส่วนกลาง)
ผู้จัดการรเขตจะนัดหมาย วันเวลาที่จะเข้าตรวจพื้นที่ (หากการพูดคุยทางโทรศัพท์เบื้อต้นนั้นจุดขายไม่มีการซ้อนทับกัน)

หากตรวจพื้นที่ผ่านแล้ว จึงจะเริ่มมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นโดยมีค่าใช้จ่ายดังนี้

  1. ค่าแรกเข้าแฟรนไชส์ 3,000 บาท
  2. ค่าค้ำประกันเครื่องมือ 3,000 บาท
  3. ค่าฝึกอบรม 250 บาท
  4. ค่าขนส่งอุปกรณ์ คิดตามที่เกิดจริง
  5. ค่าสินค้า คิดตามที่เกิดจริง
เมื่อมีการชำระค่าแรกเข้ามายังบริษัทฯนั้น ที่ลูกค้าจะได้คือ หมายเลขประจำตัวเพื่อใช้ติดต่อกับบริษัทฯ และการนัดหมายเข้าทำการฝึก ซึ่งการฝึกจะทำในลักษณะสอนโดยการปฎิบัติ เนื่องจากธุรกิจห้าดาวนั้นเป็นการให้บริการปรุงอาหารจึงมีรายละเอียดปลีกย่อยที่จะต้องปฏิบัติที่ค่อนข้าละเอียดเพื่อให้สินค้ามีมาตรฐานเดียวกัน โดยจุดฝึกนั้นจะเป็นจุดขายจริงที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทฯให้สามารถใกอบรมกับผู้ประกอบการรายใหม่ได้ โดยจะเลือกจุดที่สะดวกกับผู้เข้าฝึกมากที่สุด โดยค่าฝึกอบรม 250บาทนั้นให้ผู้เข้าฝึกชำระแก่ครูฝึกโดยตรง

การฝึกอบรม จะเริ่มด้วยภาคทฤษฎี จากนั้นจะเป็นภาคปฎิบัติ อันจะเริ่มจากการปฎิบัติตัวภายในจุดขายตั้งแต่เริ่มเปิดขายจนถึงการเก็บร้าน และการบริหารสินค้าและการจัดเก็บ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 7วัน โดยในวันที่ 7นั้นครูฝึกจะทำการทดสอบผู้เข้ารับการอบรมว่ามีทักษะความรู้เพียงพอที่จะดูแลจุขายตนเองหรือไม่ หากไม่ผ่านก็จะต้องฝึกอบรมเพิ่มจนกว่าจะผ่านการทดสอบ

เมื่อผ่านการทดสอบแล้วลงดำเนินการขายจริงที่จุดขายของตนเองแล้วภายใน 7วัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายฝึกอบรมจะเข้าทำการเยี่ยมจุดขายเพื่อทดสอบความรู้ความเข้าใจในการจัดการของผู้ประกอบการ หากผ่านการทดสอบก็ดำเนินการขายต่อไป แต่หากมีข้อบกพร่องก็จะให้พักการจำหน่ายเพื่อกลับไปฝึกอบรมใหม่อีกครั้งจนกว่าจะผ่านการทดสอบ

Q2 สนใจทำธุรกิจกับห้าดาวต้องทำอย่างไร

A2 ในการร่วมธุรกิจกับห้าดาวนั้น เป็นเสมือนการร่วมลงทุนระหว่างบริษัทฯกับลูกค้า คือลูกค้ามีเงินทุน พื้นที่ และคน ขณะที่บริษัทฯจะให้การสนับสนุนในด้านความรู้ในการจัดการ เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆโดยการให้ยืม ซึ่งบริษัทฯเรียกเก็บค่าค้ำประกันเครื่องมือเพียง 3000 บาทเท่านั้นเองซึ่งจะได้รับคืนหากส่งคืนเครื่องมีอและอุปกรณ์ในสภาพปกติไม่มีการชำรุดเสียหาย
Q3 การสนับสนุนจากบริษัทฯ มีอะไรบ้าง
A3 การสนับสนุนจากบริษัทฯ นั้นแบ่งได้เป็นสองส่วน คือ
ในส่วนที่เป็นความรู้ในการจัดการซุ้ม โดยบริษัทฯมีระบบที่เรียกว่า QSCM ซึ่งจะเป็นองค์ความรู้หลักในการที่จะดูแลจัดการภายในซุ้ม รวมไปถึงการให้การบริการแก่ลูกค้าด้วย โดยรวมไปถึงการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการผลิตด้วย

ส่วนที่สอง คือส่วนของการตลาด บริษัทจะได้ดูแล การทำวิจัยผู้บริโภค การผลิตสื่อเพื่อประชาสัมพันธ์กับผู้บริโภคในการดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการ การจัดการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายเป็นระยะๆ ซึ่งงบประมาณในส่วนของการส่งเสริมการขายนี้บริษัทฯจะรับผิดชอบ แต่ในส่วนของการโฆษณานั้นบริษัทฯ ขอให้เถ้าแก่เล็กได้ร่วมมีส่วนในการสนับสนุนงบโฆษณา โดยคิดเป็น%จากยอดสั่งซื้อจากบริษัทฯ 1.5% ของยอดการสั่งซื้อในใบเสร็จ


ชื่อผู้ติดต่อบริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด
ที่อยู่สถานที่ตั้ง 111 ซอยบางนา-ตราด 20 แขวงบางนา เขตบางนา กทม. 10260

ภาคเหนือตอนบน 08-1952-4112
ภาคเหนือตอนล่าง 08-1973-6349
ภาคตะวันออก 08-1330-3109, 08-1913-3260, 08-1310-2760
ภาคใต้ตอนบน 08-6682-9579
ภาคใต้ตอนล่าง 08-6686-4641
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 08-9711-6189
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง 08-1739-7237
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 08-1888-5735
โทร.02-746-9731-8
โทรสาร0-2746-9697
อีเมล์-
เว็บไซต์www.5dao.co.th
www.cpf.co.th

Read More...


แฟรนไชส์ไก่ทอดสมุนไพรสูตรแป้งปาท่องโก๋ธัญพืช



       ไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ (Marty Herbal Chicken) ไก่ทอดแนวใหม่ เอาใจคนรักสุขภาพ ด้วยการนำสมุนไพรมาเป็นส่วนผสมในแป้งชุบไก่ทอด และยังนำสมุนไพรมาเป็นเครื่องเคียงรับประทานคู่กับไก่ทอด ช่วยเพิ่มรสชาติในการรับประทานไก่ทอด และสร้างจุดขายให้กับร้านไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้
      
       นางสาวรานี สุรเชษฐไชยกุล เจ้าของร้านไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ เล่าว่า ที่มาของไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ เกิดขึ้นมาจากตนเองและพี่ชาย ทำร้านปาท่องโก๋ สูตรธัญพืช และวันหนึ่ง ได้ทดลองนำแป้งทำปาท่องโก๋ ซึ่งในแป้งปาท่องโก๋ของเราจะแตกต่างจากแป้งทั่วไป เพราะเป็นแป้งสูตรพิเศษมีส่วนผสมของสมุนไพรธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ข้าวโพด ลูกเดือย ข้าวบาร์เล่ย์ ฯ เมื่อนำไก่มาชุบลงในแป้งปาท่องโก๋ พอทอดออกมาได้ไก่ที่กรอบและอยู่ได้นานกว่าแป้งทอดไก่ทั่วไปถึง 2-3 ชั่วโมง และประกอบกับในช่วงนั้น เกิดความคิดว่า เราน่าที่จะมีอาหารอื่นๆ เสริมนอกเหนือจากปาท่องโก๋ และสามารถเป็นอาหารหลักได้




       “และปาท่องโก๋ ก็เป็นกิจการของพี่ชาย เราก็ควรจะได้มีกิจการที่เป็นของตัวเอง คิดทำไก่ทอดสมุนไพร มาร์ตี้ออกมา และอาศัยประสบการณ์จากการทำปาท่องโก๋ มาช่วยในการพัฒนาด้านการตลาด โดยเฉพาะในเรื่องของการทำแฟรนไชส์ ซึ่งในส่วนของปาท่องโก๋นั้น ปัจจุบัน มีแฟรนไชส์อยู่มากถึง 50 สาขา รู้จักกันในชื่อของแฟรนไชส์ “โก๋อินเตอร์” เราก็นำประสบการณ์ตรงจุดนั้น มาพัฒนาด้านแฟรนไชส์ ให้กับไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ จึงได้เป็นที่มาของแฟรนไชส์ไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ ในปัจจุบัน ซึ่งเปิดมาได้นานกว่า 6 เดือน”
      
       ปัจจุบันยังไม่มีร้าน หรือ สาขาแฟรนไชส์ แต่อย่างใด เพราะเป็นช่วงเริ่มต้น ซึ่งเป็นช่วงของการแนะนำตลาด โดยใช้ช่องทางการขายผ่านงานแสดงสินค้า ทั้งในห้างสรรพสินค้า และในศูนย์แสดงสินค้าต่าง ๆ โดยมุ่งเป้าการขยายสาขาในห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก เพราะต้องการจะเข้าไปเจาะตลาดในกลุ่มไก่ทอดระดับกลาง เนื่องจากในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่จะมีแต่ไก่ทอดที่มีราคาค่อนข้างสูง ถ้าเข้าไปขายในห้างได้คิดว่า ด้วยราคาที่ไม่แพง และคุณภาพที่พยายามจะทำออกมาให้ใกล้เคียงกับไก่ทอดชื่อดังที่ขายในห้าง และในห้างสรรพสินค้าก็ยังไม่มีใครทำมาก่อน จึงค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะทำตลาดได้




       นอกจากนี้ จุดขายไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ เป็นการผสมผสานระหว่าง ไก่ทอดชุบแป้ง กับ ไก่ทอดหาดใหญ่ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการหมักไก่ เหมือนกับไก่ทอดหาดใหญ่ หรือหอมเจียวของกินคู่กับไก่ทอดหาดใหญ่ ซึ่งเราเองก็เป็นอิสลาม สูตรไก่ทอดหาดใหญ่ มีความรู้อยู่บ้าง และในอนาคต มีแผนที่จะออกเครื่องเขียง ที่เป็นสมุนไพร เช่นตะไครัทอด มาเสริมให้มีความเป็นสมุนไพรมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันในห้างสรรพสินค้ายังไม่มีไก่ทอดในลักษณะนี้ขายอย่างแน่นอน
      
       ส่วนราคา เริ่มต้นที่ 20 บาท สำหรับ ปีก น่อง 25 บาท และ สะโพก 35 บาท ส่วนราคาแฟรนไชส์ 59,000 บาท เก็บค่าแฟรนไชส์ครั้งเดียว และมีราคาเดียว ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับ ชุดทอดไฟฟ้า ที่สามารถตั้งเวลาทอดได้ ได้เคาน์เตอร์ และอุปกรณ์การขายครบชุด ส่วนสิ่งที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะต้องสั่งซื้อจากทางเจ้าของแฟรนไชส์ประกอบด้วย ไก่ผ่านการหมักแล้ว หอมเจียว น้ำจิ้ม แป้งชุบทอด ถ้าเป็นลูกค้าในต่างจังหวัด จะสอนวิธิการหมักไก่ให้ลูกค้าไปหมักเองได้ ไก่ที่นำมาใช้เป็นไก่ตัว และนำมาชำแหละเอง




       นางสาวรานี เล่าถึงที่มาของ ชื่อ "มาร์ตี้" ว่า การตั้งชื่อ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ต้องการจะสร้างคาแรคเตอร์ รวมถึงชื่อ ให้ออกมาคล้ายกับตัวเอง และเป็นชื่อที่เรียกติดง่าย จำง่าย และต้องการจะทำออกมาให้ดูทันสมัย ดึงดูดลูกค้าในกลุ่มวัยรุ่นและเด็ก จะเห็นได้จากรูปแบบของคีออส ที่เน้นสีสันสดใส และรูปแบบโลโก้ที่เป็นไก่ตัวเมียน่ารักๆ ใครที่ได้รู้จักตัวตนของเราจะรู้สึกได้ว่า คาแรคเตอร์สีสันของไก่ทอดสมุนไพรมาร์ตี้ นี่แหละมันคือตัวตนเองของเรา
      
       “สำหรับผู้ที่มาซื้อแฟรนไชส์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของ การทำอาหาร หรือ การทอดไก่ เลย เพราะทุกอย่างสำเร็จรูปทั้งหมด เพียงแค่ฉีกแป้งผสมน้ำในสัดส่วนที่กำหนดให้ และใส่ไก่ลงไปชุบทอด และในเตาทอด สามารถตั้งเวลาได้ ทำให้ไก่ทุกชิ้นออกมาสุกเท่ากันหมด และที่สำคัญไม่ต้องนั่งเฝ้า หน้าเตาให้ร้อน เพียงคนเดียวก็สามารถขายได้”
 




       ที่ผ่านมาหลังจาก ที่เราได้ออกงานแสดงสินค้าไปหลายแห่ง มีลูกค้าให้การตอบรับดีมาก โดยเฉพาะเด็กชื่นชอบกันมาก แต่ลูกค้าก็มีทุกเพศทุกวัย โดยออกงานแสดงสินค้าครั้งแรก สามารถขายได้ถึง วันละ 70 กิโลกรัม ซึ่งตอนนี้ ก็มีห้างสรรพสินค้าหลายแห่งสนใจให้เรานำสินค้าไปลง โดยลูกค้าที่มาติดต่อในช่วงนี้ จะมีทำเลห้างสรรพสินค้าให้เลือกลงได้ด้วย เพียงแค่มีเงินมาอย่างเดียวสามารถเปิดร้านได้เลย
      
โทร. 08-6787-4738


อ้างอิงจาก ผู้จัดการออนไลน์

Read More...


ไอซ์ มอนสเตอร์



ลักษณะกิจการ
ร้านขายไอศกรีม
ชื่อธุรกิจ (ไทย)ไอซ์ มอนสเตอร์
ชื่อธุรกิจ (อังกฤษ)Ice Monster
ความเป็นมา
Ice Monster ร้านขนมหวานน้ำแข็งใส ของว่างรสชาติหวานๆ เย็นๆ สูตรเฉพาะต้นตำรับจากประเทศฟิลิปปินส์ ร้าน Ice Monster นำเข้ามาโดยบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จํากัด ผู้ถือสิทธิ์การให้บริการ ไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทย


โดยคุณกรรชัย กำเนิดพลอย เปิดเผยว่า เพิ่งเปิดได้สักระยะหนึ่ง คิดว่าลูกค้ามีความสุขกับการทานขนมหวานน้ำแข็งใส ความแปลกใหม่ของทางเลือกที่ร้านมีบริการ อาทิ น้ำแข็งที่ไม่เหมือนใคร แบบป่นละเอียดมากๆ เหมือนเกล็ดหิมะ และน้ำเชื่อมก็เป็นสูตรเฉพาะที่ได้ลิขสิทธิ์จากฟิลิปปินส์ เรียกว่า ทานได้ทุกเพศทุกวัย และ ถูกปากแน่นอน


ICE MONSTER เริ่มเปิดให้บริการครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 โดยบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด นำทีมบริหารและดำเนินงานโดยดารา พิธีกรที่มากความสามารถ คุณกรรชัย กำเนิดพลอย และครอบครัว ICE MONSTER อาศัยแนวความคิดที่ต้องการสร้างสรรค์และพัฒนารูปลักษณ์และรสชาติของน้ำแข็งไสที่คนไทยคุ้นเคยให้มีความแปลกใหม่ ทันสมัยและน่าลิ้มลอง ด้วยการนำผลไม้นานาชนิดเข้ามาปรุงแต่งเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้า ทำให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคในระยะเวลาอันรวดเร็ว


ICE MONSTER เปิดให้บริการแห่งแรกที่สยามสแควร์ ซอย 11 แหล่งรวมของวัยรุ่นและเหล่าคนอินเทรนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ ICE MONSTER ด้วยการนำเสนอรูปแบบที่โดดเด่น คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ รวมทั้งรสชาติที่แตกต่าง
ลักษณะสินค้า
และบริการ
จำหน่ายขนมหวานน้ำแข็งใส ที่มีลักษณะเฉพาะตัว คือน้ำแข็งที่ไม่เหมือนใคร แบบป่นละเอียดมากๆ เหมือนเกล็ดหิมะ และน้ำเชื่อม
ประเทศThailand  Thailand
ค่าแฟรนไชส์-
จำนวนสาขา33 สาขา
รายละเอียดสาขาซัมเมอร์นี้มาดับร้อนกันได้ที่ ไอซ์มอนสเตอร์ ทั้ง 33 สาขา
  1. สยามสแควร์
  2. เดอะมอลล์ บางกะปิ
  3. เซ็นทรัลพลาซ่า ปิ่นเกล้า
  4. เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 2
  5. เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 3
  6. ซีคอนสแควร์
  7. ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
  8. แฟชั่นไอส์แลนด์
  9. นิมมานเหมินทร์ ซอย 9 เชียงใหม่
  10. เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต
  11. เซ็นทรัลซิตี้ บางนา
  12. ท๊อปส์ เซ็นทรัลเวิลด์
  13. เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน
  14. เซ็นทรัลพลาซ่า แจ้งวัฒนะ
  15. เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช
  16. เซ็นทรัลพลาซ่า ชลบุรี
  17. เอส เอฟ มาบุญครอง ชั้น 7
  18. โลตัส พลัส ศรีนครรินทร์
  19. ศูนย์การค้าแหลมทอง บางแสน
  20. เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว
  21. เอส เอฟ เอ็มบีเค ชั้น 7
  22. เซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น
  23. โลตัส สุราษฏร์ธานี
  24. แปซิฟิก ปาร์ค ศรีราชา
  25. คาร์ฟูร์ ชุมพร
  26. ศูนย์การค้าแหลมทอง ระยอง
  27. เซ็นทรัล พลาซา รัตนาธิเบศร์
  28. ยูเนี่ยน มอลล์
  29. เซ็นทรัล แอร์พอร์ต เชียงใหม่
  30. เดอะมอลล์ โคราช
  31. เดอะมอลล์ บางแค
  32. เซ็นทรัล พลาซา อุดรธานี
  33. เซ็นทรัล พลาซา พระราม 9
นโยบาย
การขยายสาขา
ขายแฟรนไชส์
การลงทุนรูปแบบร้านแฟรนไชส์
  • Shop และ Kiosk
  • ขนาดพื้นที่ (ต่อ 1 สาขา) : 15-30 ตารางเมตร
  • งบประมาณการลงทุน  : เริ่มต้น 1.7 – 2.5 ล้านบาท
ลักษณะพื้นที่ที่เหมาะสมกับการเปิดสาขา
  • Mega Store/ Department Store (ห้างสรรพสินค้า) ที่มีกำลังซื้อสูง
  • Entertainment Complex (แหล่งรวมความบันเทิง)
  • Trendy Meeting Mall (แหล่งพบปะสังสรรค์ที่ทันสมัย)
ระยะเวลาคืนทุน-
คุณสมบัติ
ผู้ลงทุน
-
สิ่งที่แฟรนไชส์ซี่
จะได้รับ
-
อื่นๆ
หากต้องการเสนอแนะข้อคิดเห็นเพิ่มเติม ติดต่อ


คุณชัญญา โชติญาณวงษ์
ผู้อํานวยการฝ่ายการตลาด
บริษัท ไอ ดู ไอซ์จํากัด


หน่วยงานลูกค้าสัมพันธ์ (ในนาม “มอนสเตอร์ แคร์”)
หมายเลขโทรศัพท์ 0 2966 2784-5 โทรสาร 0 2966 2782
หรือ อีเมล์ monstercare@icemonsterthailand.com

ชื่อผู้ติดต่อบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด
ที่อยู่43/5 หมู่9 ซ.ติวานนท์-ปากเกร็ด 34 ถ.ติวานนท์ นนทบุรี 11120
โทร.02-9617760-3
โทรสาร02-961-9336, 02-966-2782
อีเมล์community@icemonsterthailand.com
mailto:icemonster_hr@hotmail.com
เว็บไซต์

Read More...


ธุรกิจ “มินิปั้ม” คือธุรกิจขายปลีกน้ำมัน




ประวัติธุรกิจ



เราเริ่มจากการทำธุรกิจปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว มาเป็นเวลามากกว่า 40 ปี จนมีความชำนาญในด้านธุรกิจปั้มน้ำมันเป็นอย่างดี ต่อมาในช่วงปี 2545 ธุรกิจ Vending Machine หรือธุรกิจหยอดเหรียญเริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทย และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จึงได้แนวความคิดในการทำตู้น้ำมันหยอดเหรียญขึ้น เพื่อวางติดตั้งให้บริการน้ำมันในย่านชุมชน และสถานที่ที่หาเติมน้ำมันยาก เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้ยานพาหนะ และต่อยอดให้กับธุรกิจปั้มน้ำมันของครอบครัว เราจึงมุ่งมั่นและตั้งใจในการศึกษาและพัฒนาปั้มน้ำมัน หยอดเหรียญร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจปั้มน้ำมันและหยอดเหรียญ เพื่อทดลองทำตู้ตัวอย่างน้ำมันหยอดเหรียญขึ้น โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านต่าง ๆ ของธุรกิจนี้ เช่น ความปลอดภัย, ระบบชั่งตรวจที่เที่ยงตรง, การทำงานอัตโนมัติที่เข้าง่าย, และโปรแกรมต่าง ๆ ที่สร้างความเป็นอัจฉริยะ ให้ปั้มน้ำมันจนได้ปั้มน้ำมันตัวอย่างที่ต้องการ และทดลองติดตั้งจริงในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อทดสอบปัญหาของตัวเครื่องและโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ใช้บริการ และบริษัทได้ปรับปรุงและพัฒนาระบบการทำงานของตัวเครื่องและปัญหาด้านต่าง ๆ จนได้ปั้มน้ำมันอัตโนมัติที่มีมาตรฐาน และได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย จนได้เป็นเจ้าของอนุสิทธิบัตรเลขที่ 2925 ต่อมามีนักลงทุนที่เห็นโอกาสทางธุรกิจสนใจร่วมลงทุน และติดต่อขอซื้อตู้น้ำมันอัตโนมัติจำนวนมาก เราจึงเปิดตัวปั้มน้ำมันอัตโนมัติในแบรนด์ “Mini Pump” และเข้าร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพื่อผลักดันธุรกิจครบวงจรในรูปแบบแฟรนไชส์เพื่อเปิดโอกาส ให้นักลงทุนที่มองหาธุรกิจได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยปัจจุบัน Mini Pump จัดว่าอยู่แถวหน้าของวงการปั้มน้ำมันอัตโนมัติด้วยสาขาหลายร้อยจุดทั่วประเทศ และยังเตรียมแผนการขยายสาขาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และเตรียมรุกตลาดต่างประเทศ


แนะนำธุรกิจมินิปั๊มส์


“ก้าวเดินอย่างผู้นำในธุรกิจตู้น้ำมันอัตโนมัติ”

จากบทพิสูจน์ของ “ธุรกิจตู้น้ำมันอัตโนมัติ” ที่ส่งผลลัพธ์ที่ดีนานับประการให้กับผู้ประกอบธุรกิจจนได้รับ กระแสความนิยมที่แพร่หลายในบ้านเรา ทำให้การเติบโตของธุรกิจดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง บวกกับความต้องการการใช้น้ำมันของผู้บริโภคในท้องตลาด ที่นับวันมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่สถานบริการน้ำมันที่มีอยู่ในท้องตลาดยังมีข้อจำกัดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสถานบริการน้ำมันขนาดใหญ่ (ปั้มน้ำมัน) ที่มีข้อจำกัดทางด้านเวลาในการให้บริการ ด้านทำเลที่ตั้งที่บางครั้งไม่สามารถตอบสนองความต้องการ ของผู้บริโภคตามแหล่งชุมชนย่อย ๆ ได้ หรือสถานบริการน้ำมันรายย่อย (ปั้มหลอด) ที่ทั้งมีข้อจำกัดของการให้บริการเนื่องจากบุคลากร รวมไปถึงด้านมาตรฐานของการให้บริการ บริษัท มินิปั้มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ตระหนักถึงโอกาสทางการตลาดดังกล่าว จึงริเริ่มธุรกิจออกแบบผลิต จัดจำหน่าย และบริการตู้จ่ายน้ำมันอัตโนมัติภายใต้แบรนด์ “Mini Pump” พร้อมเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้สนใจและกำลังมองหาความแปลกใหม่ทางการลงทุน


สโลแกน
“ให้น้ำมัน…..เติมเงินให้คุณ”

ธุรกิจคือความเสี่ยง ไม่มีธุรกิจใดที่มีเครื่องยืนยันความสำเร็จให้ผู้ลงทุนได้ เพราะการทำธุรกิจขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งภายนอกและภายใน และถ้าหากพูดถึงธุรกิจค้าปลีก มีอยู่หนึ่งปัจจัยที่จัดว่าสำคัญที่สุดในธุรกิจประเภทนี้ นั่นคือ ทำเล ทำเล และก็ ทำเล ธุรกิจขายปลีกใดที่มีทำเลที่ดีย่อมมีโอกาสในการขายมากกว่าธุรกิจที่อยู่ในทำเลที่ไม่ดี แต่นั่นไม่ใช่บทสรุปของการทำธุรกิจประเภทนี้ เพราะหากคุณรู้จักความแตกต่างระหว่าง “ขายปลีกหน้าร้าน” กับ “การทำธุรกิจขายปลีก” และเปลี่ยนความคิดในการขายปลีกหน้าร้านที่มุ่งแต่ขายเพียงอย่างเดียว มาเป็นการทำธุรกิจขายปลีกที่เน้นการบริหารธุรกิจให้เติบโตและมั่นคง ความสำคัญของการเลือกทำเล ก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนมีน้อยลง โอกาสประสบความสำเร็จมีมากขึ้น ความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน หากเรารู้จักลดความเสี่ยงลง และสร้างโอกาสให้ได้รับผลตอบแทนมาก ๆ เราก็จะคือผู้ประสบความสำเร็จ


ธุรกิจ “มินิปั้ม” คือธุรกิจขายปลีกน้ำมัน ที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะเป็นธุรกิจที่มีการซื้อซ้ำสูง และยานพาหนะทุกคันมีความจำเป็นที่ต้องใช้ “น้ำมัน” ทำให้โอกาสทางธุรกิจประเภทนี้ในการสร้างรายได้สูงมาก อีกทั้งหากเปรียบเทียบเงินที่ใช้ในการลงทุน กับผลตอบแทนที่ได้รับจัดได้ว่าคุ้มค่ามาก และเป็นธุรกิจที่เน้นให้คุณทำธุรกิจขายปลีกอย่างแท้จริง เพราะคุณไม่ต้องนั่งเฝ้า หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงาน เพียงคุณมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ การบริหารตู้น้ำมันอัตโนมัติให้รองรับการบริโภคน้ำมัน และดูแลตู้น้ำมันให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ การแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสของพื้นที่เล็ก ๆ ที่ไม่ทำเงินหรือไม่ถูกใช้สอยให้เกิดประโยชน์หรือ รายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำตามกฎการ “การเปลี่ยนพื้นที่เล็ก ๆ ให้เป็นเงินกันเถอะ” ถือว่าเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสของธุรกิจประเภทนี้
พันธกิจหลักของ Mini pump

คือการสร้างแบรนด์ Mini pump ให้โดดเด่นในใจของลูกค้าผู้ใช้ยานพาหนะ ว่าเป็นปั้มน้ำมันอัตโนมัติที่มีมาตรฐานสูงเท่าเทียมปั้มน้ำมันขนาดใหญ่ และมีเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยสร้างเครือข่ายผ่านระบบแฟรนไชส์ สรรหาผู้สนใจธุรกิจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จ


หัวใจแห่งความสำเร็จของมินิปั้ม

คือความมุ่งมั่นในการพัฒนา Mini pump ให้มีมาตรฐานสูงและมีเทคโนโลยีล้ำสมัย ตลอดจนมุ่งเน้นให้สมาชิกแฟรนไชส์ประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูงสุด


ทรัพย์สินทางปัญญาของมินิปั้ม

Mini pump ผู้นำด้านตู้น้ำมันอัตโนมัติ ได้ใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาตู้น้ำมันอัตโนมัติขึ้น โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพในการทำงาน, ความปลอดภัย, ระบบการจ่ายน้ำมันที่เที่ยงตรง, การประหยัดพลังงานและระบบอื่น ๆ จนได้ตู้น้ำมันอัตโนมัติที่มีมาตรฐานและยื่นขอจดสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2548 ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ยื่นขอจดกับกรมทรัพย์สินทางปัญหา และได้เป็นเจ้าของอนุสิทธิบัตรเลขที่ 2925 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549



Mini Pump ร่วมกับ True



“อิสระภาพของการเติมน้ำมัน....ด้วยโทรศัพท์มือถือ True”
บริษัท มินิปั้มส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับบริษัท ทรู คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวรูปแบบใหม่ของการบริการที่สร้างความสะดวกสบายให้ผู้ใช้ยานพาหนะ โดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ True หรือ True Move เติมน้ำมันแทนการใช้เหรียญหรือธนบัตร ซึ่งถือว่าเป็นการผสมผสานทางเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว




ข้อมูลจำเพาะ (ผลิตไทย อะไหล่นอก)

- สูง 2 เมตร x ยาว 1.8 เมตร x หนา 0.65 เมตร
- ปริมาณถังน้ำมันที่บรรจุ (2 ถัง) ถังละ 200 ลิตร
- หัวฉีดน้ำมัน 2 หัวฉีด
- กระแสไฟฟ้าที่ใช้ 220 โวลต์






จุดเด่นของ Mini Pump

เจ้าของอนุสิทธิบัตรหมายเลข 2925
Mini pump ได้ยื่นขอจดอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์เป็นรายแรก จำนวน 2 รายการคือ
1. หัวจ่ายน้ำมันหยอดเหรียญ (ยื่นขอจดเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2548)
2. ตู้จ่ายน้ำมันหยอดเหรียญ (ยื่นขอจดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2548)
Mini pump ได้รับอนุสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2549

ระบบความปลอดภัย

ลูกบอลดับเพลิง

เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยด้านอัคคีภัย Mini pump ได้รับสิทธิเพียงเจ้าเดียวในประเทศไทยในการมีลูกบอลดับเพลิงอัตโนมัติ โดยลูกบอลดับเพลิงจะทำงานเมื่อเกิดมีประกายไฟ และจะปล่อยสารเคมีจากภายในเพื่อดับไฟในรัศมี 4 ตารางเมตร เพื่อดับไฟ

ประกันอัคคีภัย (กรุงเทพประกันภัย)

Mini Pump ร่วมกับบริษัทกรุงเทพประกันภัย ได้จัดทำประกันอัคคีภัยโดยประกันจะคุ้มครองวงเงิน 200,000 บาทให้กับตู้น้ำมันอัตโนมัติของ Mini Pump ทุกตู้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของตู้ทุกท่าน

ระบบการจ่ายน้ำมันที่แม่นยำ

ด้วยความตั้งใจที่จะรังสรรค์ประดิษฐ์ตู้น้ำมันอัตโนมัติ ที่มีคุณภาพและเที่ยงตรงในการจ่ายน้ำมันที่สุด เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของความคุ้มค่าในการเติมน้ำมันของ Mini pump เราได้ระดมทีมงานวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบปั้มน้ำมัน และหยอดเหรียญเข้ามาร่วมในการออกแบบวงจรที่ถือเป็น นวัตกรรมใหม่ของวงการนี้ในเมืองไทย จนปัจจุบัน Mini Pump ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ยานพหนะเป็นอย่างดีในฐานะ ปั้มน้ำมันอัตโนมัติที่จ่ายน้ำมันเที่ยงตรงและแม่นยำ ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค
ประหยัดพลังงาน
มุมผู้บริโภค

การให้ความสำคัญในเรื่องการประหยัดพลังงานนั้น เป็นสิ่งที่ Mini Pump ยึดเป็นแนวทางในการเริ่มต้นธุรกิจนี้ ปั้มน้ำมันอัตโนมัติเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ช่วยชาติในการประหยัดพลังงานน้ำมันได้ เพราะผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกลจากปั้มใหญ่ ไม่ต้องขับรถไปเติมน้ำมันไกล ๆ เพราะระยะทางไปกลับรวมกันถือว่าเป็นการผลาญพลังงานน้ำมันโดยไม่ใช่เหตุ ดังนั้นปั้มน้ำมันอัตโนมัติจึงเป็นธุรกิจที่เพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภค ในการเติมน้ำมันเพราะสามารถเติมได้ไม่จำกัดจำนวนเงินขั้นต่ำ และไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะทาง อีกทั้งน้ำมันที่ได้ก็มีคุณภาพเท่าเทียมปั้มใหญ่

มุมผู้ลงทุน

ธุรกิจ เมื่อมีการลงทุน แน่นอนย่อมมีค่าใช้จ่ายในการบริหารงานเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ ทั้งคุมได้และคุมไม่ได้ สำหรับธุรกิจตู้น้ำมันอัตโนมัติ Mini Pump เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้ออกแบบให้นักลงทุนหรือ เจ้าของตู้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารธุรกิจต่ำที่สุด ด้วยเหตุผลให้ผู้ลงทุนได้รับกำไรและคืนทุนเร็วที่สุดนั่นเอง โดยปกติทุกธุรกิจล้วนมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าจ้างพนักงาน, ค่าเช่าพื้นที่ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ฯลฯ
ภาพลักษณ์ที่สะดุดตา
เป็นแบรนด์ที่บ่งบอกความเป็นตู้น้ำมันอัตโนมัติได้อย่างลงตัว แสดงถึงขนาดของปั้มที่กระทัดรัด ติดตั้งง่าย สะดวกสำหรับผู้เติม และค้นพบได้ทุกที่

เราใช้โทนสีที่โดดเด่น “เหลืองตัดน้ำเงินเข้ม” ใช้สีสันที่สะดุดตา เห็นได้แต่ไกล ซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่ผ่านไปมาพบเห็นได้ง่าย เพราะจากการวิจัยการใช้สี พบว่า สีที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดและโดดเด่นที่สุด คือ “พื้นโทนสีเหลือง ตัดสีดำ” สังเกตได้ว่าเราจะพบเห็นป้ายจราจร ประเภทป้ายเตือนให้ระวังจะใช้สีนี้ในการเตือนผู้ขับขี่

อัจฉริยะในการทำงาน

ตู้น้ำมันอัตโนมัติของมินิปั้มส์ ได้สร้างระบบอัจริยะไว้ภายในตัวเครื่องด้วยฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบเปิดปิดไฟอัตโนมัติ สามารถตั้งเวลาได้, โปรแกรมตั้งราคาต่อลิตร, บันทึกจำนวนเงินที่เติม, โปรโมชั่นส่งเสริมการขาย และฟังก์ชั่นอื่น ๆ อีกมากมายที่ซ่อนอยู่ภายในตู้ อีกทั้งการใช้งานของผู้เติมน้ำมันก็ไมยุ่งยาก เข้าใจง่าย

การไม่หยุดนิ่งในด้านเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

ด้วยความไม่หยุดนิ่งของเทคโนโลยี และวิสัยทัศน์ที่ต้องการเป็นผู้นำตลอดกาลในด้านตู้น้ำอัตโนมัติ Mini pump จึงนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการตรวจเช็คระบบการจ่ายน้ำมัน และตั้งค่าต่าง ๆ ซึ่งสามารถประมวลผลออกมาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
นอกจากนี้ เรายังพัฒนาระบบการบริการให้ลูกค้าผู้บริโภคที่เติมน้ำมันให้สามารถรับธนบัตร 20, 50, 100 บาท ได้แทนการรับเหรียญ 1, 5, 10 บาท เพียงอย่างเดียว และยังไม่สิ้นสุดการพัฒนา เพราะ Mini pump พร้อมแล้วกับการมีบริการใช้โทรศัพท์มือถือเติมน้ำมันได้ โดยร่วมกับบริษัท ทรู คอเปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวระบบการเติมน้ำมันด้วย SMS ซึ่งจัดว่าเป็นเจ้าแรกของโลกในธุรกิจนี้

บริการด้วยหัวใจ

Mini pump ได้ปรับระบบในการบริการลูกค้า โดยเน้นให้บริการลูกค้าด้วยความจริงใจ และเต็มใจ เพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ และได้เพิ่มประสิทธิภาพในการซ่อมบำรุงให้ลูกค้าทั่วประเทศ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต และเพื่อเป็นการเพิ่มความรวดเร็วในการซ่อม จึงได้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการตรวจเช็คและตั้งค่าโปรแกรมต่าง ๆ ในการซ่อมให้ลูกค้า ตลอดจนการใช้ช่างซ่อมบำรุงที่มีความรู้ความเข้าใจ และมีความชำนาญอย่างแท้จริงเท่านั้น

การสร้างแบรนด์และกลยุทธ์การตลาด

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้บริษัทและสมาชิกทุกท่านประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ นั่นคือการสร้างแบรนด์ Mini pump ให้โดดเด่นในใจของผู้ใช้ยานพาหนะว่า Mini pump เป็นปั้มน้ำมันอัตโนมัติที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพในจ่ายน้ำมันที่สะอาดและปลอดภัย อีกทั้งยังเพิ่มความคล่องตัวและสะดวกสบายในการเติม และฉีกข้อจำกัดด้านการเติมขั้นต่ำอีกด้วย
Mini Pump เป็นธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกับธุรกิจขายปลีกอย่างร้านสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven ก็คงไม่ต่างกันนัก เพราะข้อดีของธุรกิจนี้คือ ความสะดวกและการบริการ

หากคุณมีสิ่งเหล่านี้ คุณมีโอกาสรวย

• พื้นที่เล็ก ๆ หน้าบ้านไม่ใช้ประโยชน์ ไม่ทำให้เกิดรายได้ (มาแปรสภาพให้ทำเงินกันเถอะ)
• มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยเฉพาะพวกมอเตอร์ไซด์จำนวนมาก
• อยู่ไกลจากปั้มใหญ่

รูปแบบการลงทุน


สำหรับตู้น้ำมันอัตโนมัติ Mini Pump ถูกออกแบบให้ใช้กระแสไฟฟ้าบ้าน 220 โวลต์ ใช้ระบบ Flow Meter ที่แช่อยู่ในน้ำมันและปั่นน้ำมันเป็นรอบลิตร เราไม่ใช้ระบบมอเตอร์เพราะอาจเกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัย ในมอเตอร์จะมีสายทองแดง และการใช้มอเตอร์จะกินไฟมากกว่า ดังนั้น Mini pump จะเสียค่าไฟเพียงเดือนละ 100 กว่าบาทเท่านั้น ถูกกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านบางประเภทด้วยซ้ำ และมีความปลอดภัยมากกว่า


รายละเอียด
รายละเอียด
รายละเอียด
ราคา
130,000 เหลือ 120,000
200,000 เหลือ 190,000
จำนวนบรรจุ
200 ลิตร
400 ลิตร
เครื่องรับธนบัตร
30,000 เหลือ 20,000
(นำเข้าจากยุโรป)
30,000 เหลือ 20,000
(นำเข้าจากยุโรป)
จำนวนลูกบอลดับเพลิง
1 ลูก
2 ลูก
ค่าติดตั้ง
ฟรี ทั่วประเทศ
ฟรี ทั่วประเทศ



สิ่งที่คุณจะได้รับ

1. ตู้น้ำมันอัตโนมัติ
2. คู่มือการใช้งานและการบำรุงรักษา
3. เครื่องมือซ่อมเครื่องด้วยตนเอง
สิทธิที่คุณจะได้รับ

1. สิทธิ์ในการใช้แบรนด์ Mini Pump
2. สิทธิ์ในการเป็นเพียงเจ้าเดียวในพื้นที่ (ตามเงื่อนไขบริษัทฯ)
3. ประกันตัวเครื่อง 1 ปี
4. ประกันอัคคีภัย (กรุงเทพประกันภัย 1 ปี)
5. การดูแลตัวเครื่องตลอดอายุการใช้งาน
6. การอบรมการใช้งานและเทคนิคต่าง ๆ
7. การตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ในพื้นที่ให้ผู้บริโภครับรู้
เงื่อนไขการชำระเงิน

เงินสด หรือ เงินผ่อน
อัตราเงินดาวน์, ระยะเวลาการผ่อนชำระ และอัตราดอกเบี้ย สามารถปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับการตกลงกับบริษัทโดยจะพิจารณาเป็นกรณี

คุณสมบัติผู้ลงทุน

1. มีทำเลที่ตั้ง , รถจักรยานยนต์ผ่าน
2. มีเงินลงทุน ตั้งแต่เพียงหลักหมื่นบาท
3. ต้องการประกอบธุรกิจที่ไม่ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์

Mini Pump เน้นสร้างแบรนด์โดยใช้การรับรู้ในท้องที่เมื่อมีการติดตั้งประจำพื้นที่นั้น ๆ และมีการสร้างการรับรู้ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วยการใช้การประชาสัมพันธ์ในวงกว้าง ทางโทรทัศน์,วิทยุ ,สิ่งพิมพ์ E-commerce ผ่านทางเว็บไซต์ www.minipump.co.th และเว็บไซด์อื่น ๆ มาก
กิจกรรมออกงานแสดงสินค้า ประจำเดือนมีนาคม 2549

งานแฟรนไชส์ ประเทศจีน (ปักกิ่ง, กวางโจว, เซี่ยงไห้) วันที่ 7-15 พฤศจิกายน 2549
งานเมดอินไทยแลนด์ ณ เมืองทองธานี วันที่ 1-10 ธันวาคม 2549
งานพืชสวนโลก Agritech วันที่ 8-14 มกราคม 2550
งานแสดงเทคโนโลยีอุตสาหกรรม Thailand Industrial Fair 2007 วันที่ 8-11 กุมภาพันธ์ 2550
งาน Franchise & SME Expo 2007 วันที่ 22-25 กุมภาพันธ์ 2550
งาน Bangkok International Motor show ครั้งที่ 28 วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2550
งาน Franchise Vietnam 2007 วันที่ 6-8 เมษายน 2550

ผลตอบแทนจากการลงทุน


กำไรที่ตั้งต่อลิตร
ปริมาณน้ำมันที่เติมต่อเดือน (ลิตร)
2550
1,500
3,000
4,500
6,000
 
กำไรขั้นต้น (บาทต่อเดือน)
3 บาท
4,500
9,000
13,500
18,000
4 บาท
6,000
12,000
18,000
24,000
5 บาท
7,500
15,000
22,500
30,000
สรุป ธุรกิจตู้น้ำมันอัตโนมัติ สามารถทำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ อีกทั้งยังใช้พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร การคืนทุนอยู่ที่ 4 เดือน – 1 ปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับทำเล และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (ค่าเช่าที่, ค่าขนส่งเติมน้ำมัน, ค่าไฟ, ฯลฯ)


ขั้นตอนการเริ่มต้นธุรกิจ

1. ศึกษารายละเอียด
2. สรรหาทำเลที่ตั้ง
3. จองสิทธิ์ในพื้นที่และมัดจำจองตู้
4. ติดตั้งตู้และเริ่มธุรกิจ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

ชื่อผู้ติดต่อ คุณสกล สัจเดว
ที่อยู่ บริษัท มินิปั๊มส์ (ประเทศไทย) จำกัด
165/2-3 หมู่1 ต.บางเพรียง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ 10560
โทร. 081-5706813 , 081-840-9574, 02-708-1846, 02-7082494 และ 02-7082495
โทรสาร 02-338-1598
อีเมล์ contact@minipump.co.th
sakolsachdev@yahoo.com
เว็บไซต์ http://www.minipump.co.th



ที่มา : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท มินิปั๊มส์ (ประเทศไทย) จำกัดข้อมูลแฟรนไชส์ มินิปั๊มส์


Mini Pump เป็นผู้นำด้านตู้น้ำมันอัตโนมัติ (แบบหยอดเหรียญและธนบัตร) เจ้าของอนุสิทธิบัตรเลขที่ 2925 ในเมืองไทย ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้บริหารในการขยายธุรกิจด้วยรูปแบบ แฟรนไชส์มากกว่าการจำหน่ายตู้น้ำมันอัตโนมัติเพียงอย่างเดียว ทำให้นักลงทุนผู้สนใจธุรกิจให้ความเชื่อมั่นในธุรกิจ ซึ่ง Mini Pump เตรียมเน้นการตลาดเชิงรุก และการสร้างแบรนด์ไปยังผู้บริโภคผู้ใช้ยานพาหนะ ให้เห็นถึงข้อดีของการเติมน้ำมันจากตู้น้ำมันอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีแผนการตลาดแบบ Mass Marketing ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์, วิทยุ, หนังสือพิมพ์, อินเตอร์เน็ต ฯลฯ นอกจากนี้ยังมุ่งการสร้างแบรนด์ผ่าน Local Marketing ซึ่งได้แก่ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ, การสร้างแบรนด์ในพื้นที่ ณ จุดตั้งของตู้น้ำมัน

ในด้านการพัฒนารูปแบบการจ่ายเงินให้ผู้บริโภคเกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และถือเป็นครั้งแรกในวงการเติมน้ำมันที่สามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เติมน้ำมันได้ Mini Pump ได้เข้าร่วมกับ True เป็นพันธมิตรในการสร้างอิสรภาพในการเติมน้ำมัน ด้วยการฉีกข้อจำกัดของการเติมน้ำมันด้วยเหรียญหรือธนบัตร และเพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

ด้วยการพัฒนารูปแบบการให้บริการของ True ที่สร้างความสะดวกสบายให้คนไทยในการชำระเงินผ่านโทรศัพท์ระบบ True ทำให้การร่วมมือกันในครั้งนี้จะสร้างผลการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคของ True และผู้บริโภคที่เติมน้ำมันของ Mini Pump ให้ได้รับความสะดวกอย่างเต็มที่


รู้จักกับ Mini Pump

ตู้น้ำมันอัตโนมัติ Mini Pump พยายามศึกษาและวิจัยเพื่อให้เข้าถึงความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจ และผู้บริโภค ตู้จ่ายน้ำมันอัตโนมัติ สามารถรับได้ทั้งเหรียญและธนบัตร ทั้งยังพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยยิ่งขึ้นตลอดเวลา


ตัวเครื่อง

ผลิตจากเหล็กหนา แข็งแรง ทนทาน พร้อมระบบล็อค ภายในมีระบบป้องกันอัคคีภัย ด้วยพัดลมดูดอากาศแรงสูงเพื่อป้องกันไอระเหยของน้ำมัน ระบบถังเก็บน้ำมันมีระบบล็อคปิดสนิท โดยอุปกรณ์ทุกชิ้นภายในตัวตู้ของ Mini pump การซิลปิดสนิท เพื่อป้องกันประกายไฟ และ Mini pump ยังมีระบบดับเพลิงอัตโนมัติด้วยลูกบอลดับเพลิง ติดตั้งในตัวตู้


ลูกบอลดับเพลิง

ตัวตู้จะมีลูกบอลดับเพลิง ที่ได้การรับรองมาตราฐานอย่างดี ติดตั้งอยู่ภายใน ถ้ามีประกายไฟเกิดขึ้น ลูกบอลดับเพลิงภายในจะระเบิดออกเพื่อดับเพลิงโดยทันที


ประกันอัคคีภัย

ผู้ลงทุนทุกท่านจะได้รับกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยจาก บริษัท กรุงเทพ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในวงเงินประกัน 200,000 บาท เป็นระยะเวลาหนึ่งปี


การบริการและรับประกัน

มั่นใจ ด้วยคุณภาพ การบริการ และการรับประกันชิ้นส่วนต่างๆ ที่เกิดปัญหาให้ฟรี ตลอดระยะเวลาการใช้งาน 1 ปี อาทิ หัวจ่าย, ระบบหยอดเหรียญ, ระบบปั๊มส์ เป็นต้น

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.