.
ของคาวกึ่งขนมรูปทรงใบไม้สีนวลเจือน้ำตาลอ่อนที่ค่อย ๆ หล่นออกมาจากเครื่องจักรผลิตแบบดั้งเดิมที่จำลองไว้ให้ผู้มาเยือนได้ชมขั้น ตอนการผลิตนั้น ทำให้โรงงานลูกชิ้นปลาคาเนซากิ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวห้ามพลาดของคนที่ไปเยือนเมืองเซนได
ลูกชิ้นปลาหรือซาซาคามะโบะโขะ เป็นอาหารพื้นเมืองเซนไดที่ใครไปใครมาต้องลิ้มลอง ด้วยรสชาติกลมกล่อมและความกรอบนอกนุ่มในที่กำลังพอเหมาะ แต่ชื่อนี้เพิ่งถูกตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้านั้นลูกชิ้นปลาแบบนี้มีชื่อเรียกว่า เทโนะฮิระ คามะโบะโขะ หรือโคะโนะฮะ คามะโบะโขะ
แต่บางคนที่ชอบรสชาติจัดจ้านกว่านั้นอาจจะแต้มความอร่อยด้วยโชยุ สัก 2-3 เหยาะ หรือเลือกที่จะซื้อซาซาคามะโบะโขะรสชาติยอดนิยมที่ผสมเนยแข็ง ไส้กรอกซาลามี่ หรือไข่หอยเม่น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนคนญี่ปุ่นก็บอกว่ามันเข้ากันได้ดีกับเหล้าสาเก ญี่ปุ่น
โรงงานลูกชิ้นปลาแห่งนี้นอกจากจะมีร้านอาหารและลูกชิ้นปลาแบบต่าง ๆ ให้ชิมแบบไม่อั้นแล้ว อีกอาคารหนึ่งยังมีการจัดแสดงโคมที่เคยส่งเข้าร่วมในเทศกาลทานาบาตะหรือ เทศกาลดวงดาวไว้ให้ชมด้วย เทศกาลทานาบาตะแห่งเมืองเซนไดเป็นเทศกาลประจำปีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ญี่ปุ่นด้วย
โคมกระดาษและเครื่องตกแต่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวญี่ปุ่นในเทศกาลทานาบา ตะที่จัดแสดงไว้ล้วนแต่เป็นชิ้นงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดมา แล้ว โดยแต่ละโคมมีจุดเด่นในเรื่องความสวยงามและเทคนิควิธีการนำเสนอที่มีการ พัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากที่เคยเป็นเพียงโคมที่ประดับด้วยกระดาษหลากสี ก็มีการเพิ่มลวดลายภาพวาด ก่อนจะทำให้ภาพเหล่านั้นดูราวกับเคลื่อนไหวได้ในสมัยต่อ ๆ มา แต่ทุกโคมยังคงประดิษฐ์ขึ้นจากกระดาษดังเดิม
นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดนิทรรศการวิวัฒนาการของโคมตั้งแต่อดีต จนปัจจุบันไว้ให้ชมเรื่องราวของโคมแต่ละยุคสมัยด้วย แต่สิ่งที่นักท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้เดินทางมาในช่วงที่มีเทศกาลทานาบาตะให้ ความสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ ทันซากุ หรือกระดาษ 5 สี ที่จัดเตรียมไว้สำหรับให้เขียนคำอธิษฐานเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จทั้งการ งานและความรัก แล้วนำไปผูกไว้กับกิ่งไม้ไผ่แบบเดียวกับช่วงเทศกาลทานาบาตะ
เทศกาลฤดูร้อนอย่างทานาบาตะนั้น ว่ากันว่าเกิดขึ้นจากตำนานความรักของเจ้าหญิงทอผ้านามว่า โอริฮิเมะ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำแห่งสวรรค์หรือทางช้างเผือก กับหนุ่มเลี้ยงวัวนามว่า ฮิโกะโบชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำแห่งสวรรค์
ด้วยความรักที่มีมากเหลือล้นทำให้ทั้งคู่ละเลยจากหน้าที่การงานของตัวเอง จนทำให้เทพเจ้าแห่งสวรรค์พิโรธจึงจับทั้งคู่แยกจากกัน แต่ยังใจดีอนุญาตให้กลับมาพบกันได้ปีละหนึ่งครั้ง ในวันที่ 7 เดือน 7 บนทางช้างเผือก
ยามค่ำคืนของทุกปีในวันดังกล่าวจะมีดาวฤกษ์สุกสว่าง 2 ดวง คือ ดาวเวกา (Vega) ดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงโอริฮิเมะ และดวงตานกอินทรี (Altair) ดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวนกอินทรี (Aquilia) ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนุ่มฮิโกะโบชิ จะโคจรมาพบกันบนทางช้างเผือกอย่างในตำนาน
โดยหน้าร้อนของทุกปีในช่วงเทศกาลทานาบาตะ ณ ถนนย่านชอปปิงใจกลางเมืองจะถูกประดับประดาด้วยโคมกระดาษญี่ปุ่นหลากสีที่ แขวนกับลำต้นไผ่กว่า 1,500 ต้นสองข้างทางเดิน ราวกับเป็นซุ้มที่สวยงามสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้มาเดินลอดผ่านชม และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะได้เห็นการตกแต่งประดับสถานที่หรือถนนทางเดินด้วย ต้นไผ่หรือกิ่งไผ่ที่แขวนแผ่นกระดาษสีสวยเขียนคำอธิษฐานของชาวเมือง
และในระหว่างเทศกาลซึ่งจัดขึ้นช่วงต้นเดือนสิงหาคมจะมีการแสดงบนเวที โดยเย็นวันก่อนที่เทศกาลจะเริ่มขึ้นจะมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างอลังการ ซึ่งจุดที่ชมดอกไม้ไฟได้ชัดเจนที่สุดจุดหนึ่งคือที่สวนสาธารณะนิชิโคเอ็น
ส่วนด้านบนของร้านอาหารและโรงงานยังมีการจัดนิทรรศการจัดแสดงผลงานที่สร้าง สรรค์ด้วยเทคนิคการปะกระดาษหลากสีและใช้ไฟส่องให้เห็นแสง สี และเงา ผลงานของฟูจิชิโระ เซอิจิ ศิลปินชาวเซนไดผู้มีชื่อเสียง ซึ่งว่ากันว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของโรงงานลูกชิ้นปลาคาเนซากิแห่งนี้ ด้วย
งานศิลปะที่จัดแสดงอยู่นั้นบอกเล่าเรื่องราวของท้องทะเลที่อยู่ในจินตนาการ โดยมีสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่บนพื้นโลกปะปนอยู่อย่างลงตัว ขณะที่บางส่วนเป็นภาพเกี่ยวกับเรื่องราวการใช้ชีวิตของผู้คนในแถบนั้น ซึ่งเทคนิคการปะกระดาษชั้นสูงที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น ดูราวกับมีชีวิตทุกครั้งที่แสงไฟสาดส่องให้เห็นมิติแห่งแสงและเงา
แม้เซนไดจะเคยประสบกับภัยพิบัติครั้งรุนแรงเมื่อปีก่อน แต่วันนี้ที่นี่ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมทั้งแหล่งท่องเที่ยวอันงดงามและผู้ คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากคนไทย อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเซนไดเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ www.sentabi.jp/5000/50000000.html
ลูกชิ้นปลาหรือซาซาคามะโบะโขะ เป็นอาหารพื้นเมืองเซนไดที่ใครไปใครมาต้องลิ้มลอง ด้วยรสชาติกลมกล่อมและความกรอบนอกนุ่มในที่กำลังพอเหมาะ แต่ชื่อนี้เพิ่งถูกตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนหน้านั้นลูกชิ้นปลาแบบนี้มีชื่อเรียกว่า เทโนะฮิระ คามะโบะโขะ หรือโคะโนะฮะ คามะโบะโขะ
แต่บางคนที่ชอบรสชาติจัดจ้านกว่านั้นอาจจะแต้มความอร่อยด้วยโชยุ สัก 2-3 เหยาะ หรือเลือกที่จะซื้อซาซาคามะโบะโขะรสชาติยอดนิยมที่ผสมเนยแข็ง ไส้กรอกซาลามี่ หรือไข่หอยเม่น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหนคนญี่ปุ่นก็บอกว่ามันเข้ากันได้ดีกับเหล้าสาเก ญี่ปุ่น
โรงงานลูกชิ้นปลาแห่งนี้นอกจากจะมีร้านอาหารและลูกชิ้นปลาแบบต่าง ๆ ให้ชิมแบบไม่อั้นแล้ว อีกอาคารหนึ่งยังมีการจัดแสดงโคมที่เคยส่งเข้าร่วมในเทศกาลทานาบาตะหรือ เทศกาลดวงดาวไว้ให้ชมด้วย เทศกาลทานาบาตะแห่งเมืองเซนไดเป็นเทศกาลประจำปีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ญี่ปุ่นด้วย
โคมกระดาษและเครื่องตกแต่งตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวญี่ปุ่นในเทศกาลทานาบา ตะที่จัดแสดงไว้ล้วนแต่เป็นชิ้นงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดมา แล้ว โดยแต่ละโคมมีจุดเด่นในเรื่องความสวยงามและเทคนิควิธีการนำเสนอที่มีการ พัฒนาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากที่เคยเป็นเพียงโคมที่ประดับด้วยกระดาษหลากสี ก็มีการเพิ่มลวดลายภาพวาด ก่อนจะทำให้ภาพเหล่านั้นดูราวกับเคลื่อนไหวได้ในสมัยต่อ ๆ มา แต่ทุกโคมยังคงประดิษฐ์ขึ้นจากกระดาษดังเดิม
นอกจากนี้ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีการจัดนิทรรศการวิวัฒนาการของโคมตั้งแต่อดีต จนปัจจุบันไว้ให้ชมเรื่องราวของโคมแต่ละยุคสมัยด้วย แต่สิ่งที่นักท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้เดินทางมาในช่วงที่มีเทศกาลทานาบาตะให้ ความสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ ทันซากุ หรือกระดาษ 5 สี ที่จัดเตรียมไว้สำหรับให้เขียนคำอธิษฐานเพื่อขอพรให้ประสบความสำเร็จทั้งการ งานและความรัก แล้วนำไปผูกไว้กับกิ่งไม้ไผ่แบบเดียวกับช่วงเทศกาลทานาบาตะ
เทศกาลฤดูร้อนอย่างทานาบาตะนั้น ว่ากันว่าเกิดขึ้นจากตำนานความรักของเจ้าหญิงทอผ้านามว่า โอริฮิเมะ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำแห่งสวรรค์หรือทางช้างเผือก กับหนุ่มเลี้ยงวัวนามว่า ฮิโกะโบชิ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำแห่งสวรรค์
ด้วยความรักที่มีมากเหลือล้นทำให้ทั้งคู่ละเลยจากหน้าที่การงานของตัวเอง จนทำให้เทพเจ้าแห่งสวรรค์พิโรธจึงจับทั้งคู่แยกจากกัน แต่ยังใจดีอนุญาตให้กลับมาพบกันได้ปีละหนึ่งครั้ง ในวันที่ 7 เดือน 7 บนทางช้างเผือก
ยามค่ำคืนของทุกปีในวันดังกล่าวจะมีดาวฤกษ์สุกสว่าง 2 ดวง คือ ดาวเวกา (Vega) ดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวพิณ (Lyra) ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงโอริฮิเมะ และดวงตานกอินทรี (Altair) ดาวที่สดใสที่สุดในกลุ่มดาวนกอินทรี (Aquilia) ซึ่งเชื่อว่าเป็นหนุ่มฮิโกะโบชิ จะโคจรมาพบกันบนทางช้างเผือกอย่างในตำนาน
โดยหน้าร้อนของทุกปีในช่วงเทศกาลทานาบาตะ ณ ถนนย่านชอปปิงใจกลางเมืองจะถูกประดับประดาด้วยโคมกระดาษญี่ปุ่นหลากสีที่ แขวนกับลำต้นไผ่กว่า 1,500 ต้นสองข้างทางเดิน ราวกับเป็นซุ้มที่สวยงามสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้มาเดินลอดผ่านชม และไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะได้เห็นการตกแต่งประดับสถานที่หรือถนนทางเดินด้วย ต้นไผ่หรือกิ่งไผ่ที่แขวนแผ่นกระดาษสีสวยเขียนคำอธิษฐานของชาวเมือง
และในระหว่างเทศกาลซึ่งจัดขึ้นช่วงต้นเดือนสิงหาคมจะมีการแสดงบนเวที โดยเย็นวันก่อนที่เทศกาลจะเริ่มขึ้นจะมีการจุดดอกไม้ไฟอย่างอลังการ ซึ่งจุดที่ชมดอกไม้ไฟได้ชัดเจนที่สุดจุดหนึ่งคือที่สวนสาธารณะนิชิโคเอ็น
ส่วนด้านบนของร้านอาหารและโรงงานยังมีการจัดนิทรรศการจัดแสดงผลงานที่สร้าง สรรค์ด้วยเทคนิคการปะกระดาษหลากสีและใช้ไฟส่องให้เห็นแสง สี และเงา ผลงานของฟูจิชิโระ เซอิจิ ศิลปินชาวเซนไดผู้มีชื่อเสียง ซึ่งว่ากันว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของโรงงานลูกชิ้นปลาคาเนซากิแห่งนี้ ด้วย
งานศิลปะที่จัดแสดงอยู่นั้นบอกเล่าเรื่องราวของท้องทะเลที่อยู่ในจินตนาการ โดยมีสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่บนพื้นโลกปะปนอยู่อย่างลงตัว ขณะที่บางส่วนเป็นภาพเกี่ยวกับเรื่องราวการใช้ชีวิตของผู้คนในแถบนั้น ซึ่งเทคนิคการปะกระดาษชั้นสูงที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น ดูราวกับมีชีวิตทุกครั้งที่แสงไฟสาดส่องให้เห็นมิติแห่งแสงและเงา
แม้เซนไดจะเคยประสบกับภัยพิบัติครั้งรุนแรงเมื่อปีก่อน แต่วันนี้ที่นี่ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมทั้งแหล่งท่องเที่ยวอันงดงามและผู้ คนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากคนไทย อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเซนไดเข้าไปดูข้อมูลได้ที่ www.sentabi.jp/5000/50000000.html
credit : http://www.dailynews.co.th/
Read More...