สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ

6301 300x180 ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ

ขนม หวาน ของประเทศญี่ปุ่น…มักเรียกชื่อเดียวกันว่า “วากาชิ” มีมานานตั้งแต่ สมัยนะระ  หรือ ประมาณ 1,300 ปี มาแล้ว แต่มาเฟื่องฟูสุดๆ ใน ช่วงเอโดะ (ปี ค.ศ.1603-1867) โดยเฉพาะ เมืองเกียวโต และ โตเกียว ซึ่งแต่ละร้านแข่งกันทำขนมชนิดใหม่ๆ เช่น ยูคิโมจิ หรือ โมจิ และ ไดฟูกุ ออกมาเป็นต้นตำรับ…ขนมหวานประจำชาติ…!!

ชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้กิน…ชากา ชิ…กันบ่อยๆ เพราะเขานิยมรับประทานผลไม้กันมากกว่า ส่วน วากาชิ…จะเปิบเป็นของว่างและในโอกาสพิเศษ หรือมีพิธีการต่างๆ เช่น พิธีแต่งงาน หรือ พิธีชงชา ในการสร้างสรรค์ขนมวากาชินั้น  พ่อครัวหรือแม่ครัวมักจะมีแรงบันดาลใจมาจาก ธรรมชาติ ต้นไม้ ดอกไม้ หรือการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล  เช่น  ฤดูใบไม้ ร่วง จะทำ ขนมคิคุโกะโระโมะรูปดอกเบญจมาศ ส่วนฤดู หนาวก็ทำ ยูคิโมจิ หรือโมจิ และ ไดฟูกุ เป็นต้น

โมจิ  หรือ ไดฟูกุ เป็น ขนมอีกชนิดหนึ่งที่ทำจากข้าวเหนียว แล้วตัดเป็นก้อนๆ สามารถนำไปประยุกต์เป็นขนมอื่นๆได้อีกหลายชนิด โดยมีการนำมาผสมกับสมุนไพร หรือผลไม้ น.ส.จุติภัค ยัง- โนนตาด อยู่ที่ 88/15 ถนนเลียบทางด่วน  แขวงและเขตทุ่งครุ  กรุงเทพฯ เป็นผู้ที่คิดค้นสูตรขนมญี่ปุ่นให้มาเป็นสไตล์ไทยๆ บอกว่า ชื่นชอบที่จะทำ  ขนมญี่ปุ่นให้ออกมาในรูปแบบถูกปากคนไทย จึงทดลองไปเรียนรู้พยายาม  คิดค้นสูตรขนมไดฟูกุ  กระทั่งทุกอย่างลงตัว โดยมีส่วนผสมเตรียมไว้ กำหนดให้มี  แป้ง 40% และ  ไส้ 60%  ส่วนผสมหลักจาก แป้งข้าวเหนียว, แป้งมัน, เนยขาว และ  ส่วนผสมของไส้  ประกอบด้วย  งาดำ 50%, น้ำตาล 30%, ถั่ว 20%) ผงชาเขียว 5%, ถั่ว 50% น้ำตาล 30% และ น้ำมันพืช 15%

560 225x300 ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ

…ไส้ สตรอเบอร์รี่ หรือ ราส-เบอร์รี่ ให้ล้างผ่านน้ำเย็น สะเด็ดน้ำ แล้วใช้กระดาษซับน้ำออกให้แห้ง ตัดขั้วออกให้เรียบร้อย เมื่อเย็นก็นำมาหุ้มผลไม้ไว้ ให้รอบ ส่วนไส้ถั่วแดงกวน ให้นำ ถั่วแดงไปบดให้ละเอียด ใส่ น้ำตาลทรายลงไป ผสม ก่อนจะนำหม้อตั้งไฟกลาง กวนจนแห้งข้นก็ปิดไฟ พักไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ สำหรับทำไส้  หรือจะนำมาหุ้มผลไม้  เสร็จแล้วก็โรยแป้งที่คั่วแล้วหนาๆบนโต๊ะ…
จากนั้น ก็มาทำตัวแป้งกัน ผสมแป้งข้าวเหนียว น้ำเปล่า และ น้ำตาลทราย รวมกันในภาชนะ คนพอแป้งละลายหมดไม่เหลือเป็นเม็ดแล้ว หากอยากให้มีสีสันก็ใส่สีต่างๆตามใจชอบ, สีม่วงจากดอกอัญชัน, สีส้มจากแครอท และสีเหลืองจากขมิ้น ฯลฯ ก่อนนำพลาสติกแร็บคลุมชามแป้ง แล้วนำเข้า ไมโครเวฟไฟสูงสุดประมาณ 1 นาที แล้วนำออกมาใช้ไม้พายแตะๆ หากยังเหลวอยู่ก็นำเข้าเวฟต่ออีกไม่เกิน 1 นาที  หรือจนแป้งมีลักษณะแห้งๆ ปุดๆ พองๆ ตรงกลาง ถือว่าใช้ได้… นำไปใส่ไส้ผสมกันเท่านี้ก็เปิบได้แล้ว

2522 300x180 ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ

สำหรับ การใส่ไส้ที่หลากหลายให้ลิ้มลองรสชาติ เช่น เผือก งาดำ ใบเตย พุทราจีน ถั่วแดง ถั่วเหลือง ชาเขียว และ กาแฟ ผลิตภัณฑ์ตัวล่าสุด คือ ไดฟูกุ ไส้สตรอเบอร์รี่ ใครสนใจอยากลองทานขนมโมจิและไดฟูกุ หรือ สนใจที่จะนำสูตรไปทำเพื่อเปิบ เองบ้าง หรือ ขายเลี้ยงชีพ  เขาก็ไม่หวงวิชา  จะสอนให้ฟรี สามารถ กริ๊งกร๊างหา จุติภัค 08-7455-3351,  08-1557-2421 ได้ทุกวันในเวลาที่เหมาะสม.





เรื่องและภาพโดย : ไชยรัตน์  ส้มฉุน
เอื้อเฟื้อข่าวโดย : logo ไดฟูกุ..ขนมญี่ปุ่นปรับสไตล์ เป็นโมจิสมุนไพร..อร่อยอย่างไทยๆ

Read More...


คุกกี้” ช็อกโกแล็ตชิพขนมสุดฮิต ทำกินขายกำไรเท่าตัว

“คุกกี้” ช็อกโกแล็ตชิพขนมสุดฮิต ทำกินขายกำไรเท่าตัว.


Pic_177732
คุกกี้ช็อกโกแล็ตชิพที่พร้อมเปิบ.

“คุกกี้” ขนมยอดฮิตของเด็ก และผู้ใหญ่ที่ เวลานี้กลุ่มผู้ “เปิบ” ขยายวงกว้างบวกกับวัฒนธรรมการ นั่งจิบกาแฟ อานิสงส์นี้จึงส่งผลไปถึงกลุ่มแม่บ้าน และผู้ที่กำลังมองหาอาชีพเสริม หากอาชีพที่เล็งๆอยู่ขณะนี้ หากเป็นของกินน่าจะเป็นอาชีพที่น่าจับตา อาศัยเพียงฝีมือ ทำเลที่ตั้ง
และ…เมื่อเอ่ยถึงเมนูนี้ต้องไปถามสูตรเด็ดจาก ผศ.วาสนาขวยเขิน อาจารย์ประจำสาขาอาหารและ โภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลโชติเวช ที่คิดสูตร “คุกกี้ช็อกโกแล็ตชิพ” ขึ้น

ผศ.วาสนา ขวยเขิน.
ผศ.วาสนา ขวยเขิน.



ผศ.วาสนา บอกกับ “ทำได้ ไม่จน”ว่า…แรกเลยนักศึกษาที่กลับ มาจากฝึกงานจากโรงแรมทุกคน ต้องมาทำโปรเจกต์ ว่ากลับมาแล้วได้ประสบการณ์อะไรบ้าง กลุ่มเด็กจึงทำคุกกี้ พอชิมแล้วรสชาติอร่อยแต่ยังไม่กลมกลืนลงตัว ปรับส่วนผสม ใหม่แล้วให้อาจารย์ นักศึกษาช่วยกันชิม กระทั่งได้สูตรที่เหมาะสม
…จากนั้นจึงเริ่มเปิดสอนและ อบรมให้กับผู้ที่สนใจ พร้อมกับเปิดรับสั่งออเดอร์ ที่ผ่านมาในช่วงเทศกาล จะสั่งเข้ามาจากนอก ซึ่งนอกจากเด็ก จะได้ฝึกทักษะกันแล้วยังมีรายได้ขณะที่เรียน ฤดูกาลหนึ่งก็หลายพันบาทต่อคน สำหรับผลิตภัณฑ์เด่นๆ ที่สร้างชื่อก็คือ “คุกกี้ช็อกโกแล็ตชิพ” จะเป็นที่ยอมรับมากที่สุดในเอกลักษณ์เฉพาะในเรื่องของความอร่อย ใหม่สด

ส่วนผสมต่างๆที่ใช้.
ส่วนผสมต่างๆที่ใช้.

โดยเราจะคัดเลือกวัตถุดิบที่นำมาใช้เพราะ  หัวใจหลักของการทำอยู่ที่วัตถุดิบต้องใหม่สด คุณภาพดี สัดส่วนผสมที่ต้องเหมาะสม ประกอบไปด้วย แป้งอเนกประสงค์ ทั่วไป400 กรัม เนยสดแท้ 250 กรัม ห้ามใช้มาการีน เพราะจะไม่หอมอร่อยเก็บนานไม่ได้ น้ำตาลทรายแดง 60 กรัม ช่วยในเรื่องสี กลิ่นหอมเฉพาะตัว
น้ำตาลไอซิ่ง 150 กรัม โซดาไบคาร์บอเนต 3/4 ช้อนชา เพื่อช่วยให้กรอบ ผงฟู 2 ช้อนชา เกลือ 1/2 ช้อนชา วานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ ไข่ไก่ 1 ฟอง ลูกเกด 125กรัมเม็ดมะม่วงหักเล็ก 400 กรัม และ เม็ดมะม่วง ซีกอบ75กรัมช็อกโกแล็ตชิพ50กรัมจะใช้เม็ดใน ไม่ใช้นอกเพราะเม็ดโตกว่า อัลมอนด์สไลด์ 50 กรัม


…มาถึงขั้นตอนการทำ เริ่มจากร่อนแป้งสาลี ผงฟูรวมกัน 1 ครั้ง พักไว้ นำเนยสด เกลือ โซดา ตีด้วยเครื่องที่ความเร็วปานกลาง เติมน้ำตาลไอซิ่ง น้ำตาลทรายแดง กระทั่งขึ้นฟู ลดความเร็วเครื่องปั่น ใส่ไข่ ตามด้วยวานิลลา ปรับเครื่องปั่นให้ช้าลงแล้วเติมแป้งตีเข้ากัน จึงใส่เม็ดมะม่วงหักเล็ก ลูกเกด เสร็จแล้วตักวางบนถาดที่ทาเนยขาว แต่งหน้าด้วยช็อกโกแล็ตชิพ เม็ดมะม่วงซีก

ตีให้เข้ากันแล้วนำไปแต่งหน้าก่อนเข้าตู้อบ.
ตีให้เข้ากันแล้วนำไปแต่งหน้าก่อนเข้าตู้อบ.

นำเข้าอบไฟที่อุณหภูมิ 350 องศา ใช้เวลา 20 นาที จะได้คุกกี้ที่สุกเหลืองกลิ่นหอม พักไว้กระทั่งเย็นจึงบรรจุใส่ถุง ภาชนะที่เตรียมไว้ จะได้คุกกี้ 1.5 กิโลกรัม ขายได้ 525บาท (กิโลกรัมละ 350 บาท) หรือถ้าแพ็กใส่ถุงส่งขายเวลานี้ที่ราคาถุงละ 350 บาท โดยส่วนผสมทั้งหมดลงทุนเพียง 280 บาทเท่านั้น


สำหรับผู้ที่สนใจเข้าอบรมเพื่อทำเป็นอาชีพเริ่ม เพิ่มรายได้ หรือจะรับไปขายอีกต่อหนึ่ง สามารถกริ๊งกร๊าง ถามรายละเอียดกันได้ที่ โทร.0–2281–9231–4 ต่อ 5203 ในวันและเวลาราชการ.
เพ็ญพิชญา เตียว

ไทยรัฐออนไลน์

  • โดย เพ็ญ​พิชญา เตีย​ว
  • 10 มิถุนายน 2554, 05:00 น.

Read More...


ต่อยอดของดีเมืองเพชร "ตาลโตนดผง" ส่งขายนอก

"ตอนนี้ที่มีส่งให้เป็นญี่ปุ่นและ อังกฤษ ญี่ปุ่นเป็นต้นคิดออกแบบและผลิตเครื่องให้ มีข้อผูกพันที่ต้องผลิตส่งให้กับญี่ปุ่นในทุก 4 เดือน จำนวนส่ง 700-800 กิโลกรัม ต่อครั้ง ส่วนอังกฤษเป็นช่องทางที่ลูกชายไปเรียนและมีกลุ่มเพื่อนที่รู้จักนำไป จำหน่าย จึงยังเป็นจำนวนไม่มากนัก รวมถึงในประเทศไทยที่ยังวางจำหน่ายไม่แพร่หลายเท่าที่ควร มีมากในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และร้านเลมอนฟาร์ม ในกรุงเทพฯ เท่านั้น"


อาหารสร้างอาชีพสุทธิทัต










สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ขายดีต่อยอด เป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือโอท็อป (OTOP) มีให้เห็นเป็นจำนวนหลักหมื่นต่อภูมิภาคของประเทศ ซึ่งหลังตราแบรนด์เป็นสินค้าโอท็อปแล้ว ขึ้นอยู่กับกลุ่มหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ในการพัฒนายกระดับสินค้าให้ครองใจ จนกลายเป็นสินค้าท็อปฮิตติดลมบน นอกเหนือจากตราแบรนด์โอท็อปที่ได้รับมาก่อนหน้า



ส่วนใหญ่ของดีของขึ้นชื่อจะได้รับการพัฒนายกระดับมาจากทรัพยากร ธรรมชาติในท้องถิ่นนั้นๆ และหวังต่อยอดให้เป็นเสมือนหนึ่งอาชีพของชุมชน แต่ทั้งหมดก็ด้วยความสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอดให้สินค้าขายตัวเองได้หรือไม่ เช่น ตาลโตนด เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นของดีเมืองเพชรบุรี เพราะเป็นพืชที่ปลูกในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรีมากที่สุดของประเทศไทย ทั้งยังเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์นับจากรากถึงยอด โดยเฉพาะ "น้ำตาลโตนด" กลายเป็นน้ำตาลโตนดที่รสชาติดีที่สุดของประเทศ แม้ว่าจะมีผลิตในจังหวัดอื่นบ้างก็ตาม

ความหวานหอมอันเลื่องชื่อของน้ำตาลโตนด ปัจจุบัน ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการแปรรูป ออกแบบโลโก้ แพ็กเกจ และชื่อผลิตภัณฑ์ วางจำหน่ายเป็นน้ำตาลโตนดผง บรรจุในรูปของซองขนาดเล็ก ฉีกง่าย สำหรับปรุงรสชาติเครื่องดื่มร้อนโดยเฉพาะ "เส้นทางเศรษฐี" ขออาสาพาไปดูความสำเร็จของน้ำตาลโตนดของดีเมืองเพชรบุรี

รักษาฐานอาชีพ
สร้างผลิตภัณฑ์รองรับ

"ตอน นี้ที่มีส่งให้เป็นญี่ปุ่นและอังกฤษ ญี่ปุ่นเป็นต้นคิดออกแบบและผลิตเครื่องให้ มีข้อผูกพันที่ต้องผลิตส่งให้กับญี่ปุ่นในทุก 4 เดือน จำนวนส่ง 700-800 กิโลกรัม ต่อครั้ง ส่วนอังกฤษเป็นช่องทางที่ลูกชายไปเรียนและมีกลุ่มเพื่อนที่รู้จักนำไป จำหน่าย จึงยังเป็นจำนวนไม่มากนัก รวมถึงในประเทศไทยที่ยังวางจำหน่ายไม่แพร่หลายเท่าที่ควร มีมากในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และร้านเลมอนฟาร์ม ในกรุงเทพฯ เท่านั้น"

ข้อความข้างต้นเป็นคำให้สัมภาษณ์ของ คุณบุญสม นุชนิยม ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเพชรบุรี และอีกตำแหน่งคือแม่ของลูกและภรรยาที่ดีของครอบครัว "ยี่สาร"

คุณบุญสม แม้จะมีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นถึงประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ก็ไม่ได้ทำให้มุมมองในแง่ของภูมิปัญญาท้องถิ่นจะเลือนไป เพราะคุณบุญสมถือเป็นตัวตั้งตัวตีและเป็นหลักในการยกระดับน้ำตาลโตนดเป็นของ พรีเมี่ยม เทียบเท่าน้ำตาลชั้นดีชนิดบรรจุซองบนชั้นกาแฟ แม้ฟังดูอาจไม่แปลกเพราะน้ำตาลก็สามารถบรรจุซองสำหรับปรุงเครื่องดื่มร้อน ได้เช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาหากคิดคำนวณให้ดีจะทราบว่า น้ำตาลบรรจุซองล้วนเป็นน้ำตาลทรายที่ไม่ได้เริ่มต้นวัตถุดิบมาจาก "ตาลโตนด"

ทั้งปัจจุบันยังบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบเป็นซองกันความชื้นอย่าง ดี มีการผลิตที่ได้มาตรฐาน ได้ชื่ออย่างเป็นทางการ วางจำหน่ายภายใต้แบรนด์ "เสน่ห์เมืองเพชร"

คุณบุญสม เล่าย้อนที่มาที่ไปก่อนเติบใหญ่เป็นแบรนด์ว่า ด้วยพื้นฐานอาชีพดั้งเดิมของประชากรจังหวัดเพชรบุรี คือ ทำน้ำตาลโตนด เมื่อวันเวลาเปลี่ยนทำให้การสานต่อด้านอาชีพที่ต้องใช้กำลังกายในการขึ้นตาล เริ่มหดหาย เนื่องจากความเสี่ยงต่อชีวิต หากพลาดพลั้งนั่นหมายถึงโอกาสพิการหรือเสียชีวิต เพราะต้นตาลแต่ละต้นมีความสูงประมาณ 40 เมตร หรือแม้กระทั่งการทำคล้ายนั่งร้านพาดไปยังตาลแต่ละต้นตามแนวคิดของคนรุ่น ใหม่ก็นับเป็นความเสี่ยงที่ไม่ต่างกัน
แต่หากยังคงอาชีพทำน้ำตาลโตนดอยู่ ผลผลิตที่ได้สามารถนำรายได้เป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน เนื่องจากตาลเพียง 3 ต้น สามารถนำมาเคี่ยวเป็นน้ำตาลโตนดได้ 2 ครั้ง หรือน้ำตาลโตนด 7-10 กิโลกรัม ขึ้นกับฤดูการให้ผลผลิต

ความคิดของคุณบุญสม พุ่งประเด็นไปที่การรักษาอาชีพดั้งเดิมของท้องถิ่นไว้ในฐานะของคนเมือง เพชรบุรี แต่อีกนัยหนึ่ง คือ มุมมองของการพัฒนา "น้ำตาลโตนด" ให้ออกมาในรูปของผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ

รับซื้อราคาสูงกว่าตลาด
มุ่งแปรรูป "น้ำตาลผง"

นับ ถอยหลังไปก่อนหน้านี้ไม่นานนัก คุณบุญสม ยอมรับว่าเป็นความยากในความพยายามทำให้เกษตรกรที่มีอาชีพทำน้ำตาลโตนดมีราย ได้เทียบเท่ากับเกษตรกรผู้ปลูกพืชชนิดอื่น เพราะการส่งเสริมให้คงไว้ในอาชีพการทำน้ำตาลโตนดโดยการขึ้นตาลเองไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในมุมของการรับซื้อผลิตผลเป็นสิ่งที่ต้องขบคิด

ภาพของการเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ทำให้ถูกตั้งคำถามจากพ่อเมืองเพชรบุรีขณะนั้นว่า จะทำอย่างไรให้น้ำตาลโตนดขายดีเหมือนน้ำตาลทราย ทั้งยังแนะด้วยว่าควรทำให้น้ำตาลโตนดเป็นที่ต้องการจากตลาดในรูปของน้ำตาลผง สำหรับชง เพื่อเป็นช่องทางกระจายสินค้า แต่ด้วยมุมมองของพื้นฐานคนเพชรบุรีเดิม ทำให้คุณบุญสมมองว่า น้ำตาลโตนดไม่เหมาะแปรรูปเป็นน้ำตาลผง เนื่องจากคุณสมบัติของน้ำตาลโตนดหากถูกลมหรือความชื้นเพียงนิดเดียวจะละลาย
"จังหวะ นั้นมีรายการโทรทัศน์พูดถึงอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำน้ำตาลจากต้นจาก ยิ่งเมื่อรู้ว่าการทำน้ำตาลไม่แค่น้ำตาลปี๊บแต่เป็นน้ำตาลผง จึงพยายามติดต่อนายอำเภอในพื้นที่ และขอไปดูขั้นตอนการลงมือทำจริง"
คุณ บุญสม บอกว่า ขั้นตอนการทำเหมือนการเคี่ยวตาล จึงขอให้เจ้าของพื้นที่เคี่ยวน้ำตาลโตนดที่นำไปด้วยให้เกิดผง กลับได้รับการปฏิเสธ แต่ด้วยความสามารถในการเจรจาต่อรองจึงทำให้การไปในครั้งนั้นได้ประสบการณ์ อย่างมากเหลือ
"เมื่อลงมือทำเอง นำน้ำตาลโตนดไปเคี่ยวหลังจากปุดน้ำตาลละเอียดหายหมด ดิฉันยกเทลงกระบะ ก่อนใช้พายไม้คนกระทั่งขึ้นเกล็ด หลังแห้งรีบนำใส่ถุง คนที่ได้ชิมพูดเป็นคำเดียวกันว่า อร่อย หอมและหวาน ทั้งสียังออกเป็นสีทองอร่ามสวย"

นับเป็นครั้งแรกที่คุณบุญสมลงมือเคี่ยวน้ำตาลโตนดและได้ผลผลิตออกมา เป็นน้ำตาลผงอย่างที่เคยได้รับคำแนะนำ ทำให้เริ่มมองเห็นอนาคตของน้ำตาลโตนดผงที่อยู่ในมือ จึงเปิดรับซื้อน้ำตาลโตนดแท้จากชาวบ้านด้วยราคากิโลกรัมละ 60-65 บาท หรือในราคารับซื้อที่มากกว่าราคาท้องตลาด 20 บาท โดยไม่จำกัดจำนวน

"เสน่ห์เมืองเพชร"
ส่งญี่ปุ่น-อังกฤษ

หลัง ประสบความสำเร็จในการเคี่ยวน้ำตาลโตนดผง คุณบุญสมใช้ประสบการณ์เท่าที่มีทั้งหมดในการเคี่ยว เมื่อได้น้ำตาลโตนดผงจึงเก็บไว้บ้าง แจกจ่ายให้กับแขกของจังหวัดบ้าง และท้ายที่สุดได้มีโอกาสถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในนามของจังหวัดเพชรบุรี อีกทั้งระหว่างนั้นมีการพัฒนาเรื่องของการออกแบบแพ็กเกจ โลโก้ และชื่อสินค้า โดยได้รับการสนับสนุนจากจังหวัด เพราะเป็นสินค้าที่เชิดหน้าชูตาให้กับจังหวัดเป็นอย่างดี รวมทั้งการจดอนุสิทธิบัตรน้ำตาลโตนดผงแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจดทะเบียนเป็นประเภท อนุสิทธิบัตรกรรมวิธีการผลิต ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา

คุณบุญสม เล่าว่า เริ่มก้าวเข้าสู่รูปแบบของอุตสาหกรรมหลังจากตัดสินใจซื้อเครื่องผลิตน้ำตาล โตนดผง ซึ่งทราบจากการบอกเล่าของชายคนหนึ่งว่า มีเครื่องผลิตน้ำตาลโตนดผงอยู่ในอำเภอท่ายาง จึงตามไปพบและทราบว่า เครื่องผลิตน้ำตาลโตนดผงเป็นกรรมสิทธิ์ของชาวญี่ปุ่นที่นำเครื่องนี้มอบให้ กับคนไทยรายหนึ่ง สำหรับใช้ในการผลิตน้ำตาลโตนดผง โดยมีข้อผูกพันว่าน้ำตาลโตนดผงที่ผลิตได้ทั้งหมดต้องส่งให้กับญี่ปุ่นเพียง รายเดียว

"เจ้าของเดิมที่เป็นคนไทยดูแลการผลิตเสียชีวิตไปก่อนหน้าที่ดิฉันพบ เครื่อง จึงตัดสินใจซื้อเครื่องด้วยราคา 1,500,000 บาท และติดต่อกับเจ้าของเครื่องชาวญี่ปุ่นเพื่อผลิตน้ำตาลโตนดผงส่งให้เช่นเดียว กับชาวไทยคนแรก คนญี่ปุ่นต้นตอของเครื่องผลิต บอกกับดิฉันว่า ชาวญี่ปุ่นรับประทานน้ำตาลโตนดผงมานานกว่า 3 ปีแล้ว และติดใจในรสชาติ ความหอม หวาน จึงคิดค้นเครื่องผลิตและขอให้คนไทยผลิตส่งให้ โดยรับซื้อปีละ 3 ครั้ง ครั้งละ 700-800 กิโลกรัม"

คุณบุญสม ระบุด้วยว่า เครื่องดังกล่าวเป็นลิขสิทธิ์ของญี่ปุ่น ไม่มีจำหน่ายที่ใดในโลก จึงไม่กลัวการลอกเลียนแบบทำน้ำตาลโตนดผง ซึ่งผลผลิตที่ได้จากเครื่องจะได้น้ำตาลโตนดผง 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเครื่องไม่รับน้ำตาลปลอม หากนำน้ำตาลอื่นปนไประหว่างการผลิตจะทำให้เครื่องเกิดปัญหา

หลังมีชื่อสินค้า โลโก้ และแพ็กเกจเป็นของตนเอง คุณบุญสมเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย โดยให้วางจำหน่ายยังร้านค้าในแหล่งท่องเที่ยวและชุมชนของจังหวัดเพชรบุรี เพียง 4-5 ร้าน และร้านเลมอนฟาร์มในกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียว โดยจำนวนการผลิตหลักจัดส่งไปยังประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะ

สำหรับกำลังการผลิต คุณบุญสม ระบุว่า สามารถผลิตได้ 20 กิโลกรัม ต่อครั้ง ใน 1 วัน จะเดินเครื่อง 5-6 ครั้งแล้วแต่ออร์เดอร์ ซึ่งในอนาคตอยู่ระหว่างการขนส่งเครื่องที่มีกำลังผลิตมากขึ้นจากญี่ปุ่น โดยเครื่องดังกล่าวจะสามารถผลิตได้ครั้งละ 150 กิโลกรัม ต่อครั้ง ดังนั้น เมื่อสามารถผลิตได้สินค้าคราวละจำนวนมาก การสต๊อควัตถุดิบ คือ น้ำตาลโตนด จึงเป็นส่วนสำคัญ

ฤดูที่น้ำตาลโตนดมีมากคือระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ส่วนเดือนอื่นๆ เป็นปริมาณน้ำตาลที่มีน้อย หรือไม่มีเลย ทำให้คุณบุญสมจำต้องนำวัตถุดิบที่ได้มากในช่วงฤดูของผลผลิตเข้าห้องเย็นเช่า ซึ่งอยู่ในละแวกบ้าน

"กำไร" ตัวเลขของการประกอบธุรกิจ คุณบุญสมไม่ปฏิเสธว่า คนทำธุรกิจไม่มีใครไม่หวังรวย เธอเองก็เช่นกันหวังว่าสักวันหนึ่งจะรวย แต่ด้วยอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ประกอบอยู่ขณะนี้ อยู่ในระดับเริ่มต้น อีกทั้งจำต้องเปิดตลาดใหม่ให้กับสินค้า ราคาสินค้าที่วางจำหน่ายจึงทำให้เธอได้กำไรเพียงกล่องละ 4 บาท

ในท้ายที่สุด คุณบุญสมยังหวังว่า "เสน่ห์เมืองเพชร" ในรูปของน้ำตาลโตนดผง จะได้รับการตอบรับจากสังคมอย่างดี เพราะเป็นการผลิตโดยวัตถุดิบดั้งเดิมในท้องถิ่นของประเทศ ดังนั้น หากมีผู้สนใจนำไปจำหน่ายเพื่อเพิ่มยอดการผลิตให้กับสินค้าภายในประเทศ สามารถติดต่อได้ที่ โทรศัพท์ (081) 984-8946 หรือ (032) 414-128 คุณบุญสม ยินดีต้อนรับ

ข้อมูลจำเพาะ
กิจการ   รับซื้อน้ำตาลโตนด ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลโตนดผง
ชื่อกิจการ  เสน่ห์เมืองเพชร
ลักษณะกิจการ  เจ้าของคนเดียว
เจ้าของกิจการ  คุณบุญสม นุชนิยม
เงินลงทุน  หลักล้านบาท
วัตถุดิบ/วัสดุอุปกรณ์ น้ำตาลโตนดแท้ เครื่องผลิตน้ำตาลโตนดผง
รูปแบบการขาย  จำหน่ายส่ง
แหล่งซื้อวัตถุดิบ  รับซื้อจากเกษตรกรปลูกตาลในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี
สินค้า   น้ำตาลโตนดผง
จุดเด่นของสินค้า  หอม หวาน สีสวย
รายจ่ายซื้อวัตถุดิบ ขึ้นกับการรับซื้อวัตถุดิบ โดยให้ราคารับซื้อสูงกว่าราคาตลาด 20 บาท
พนักงาน  8 คน
ยอดขาย   ประมาณ 3-4 ตัน ต่อปี
สถานที่ตั้ง  เลขที่ 210/8-10 หมู่ 1 ถนนใหญ่ ตำบลท่ายาง อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
โทรศัพท์   (081) 984-8946 และ (032) 414-128

........................................................

ตาล เป็นพรรณไม้พวกปาล์มขนาดใหญ่ สกุล (Genus) Borassus ในวงศ์ (Family) Palmae เป็นปาล์มที่แข็งแรงมากชนิดหนึ่ง และเป็นปาล์มที่แยกเพศกันอยู่คนละต้น ต้นสูงถึง 40 เมตร และโตวัดผ่ากลางประมาณ 60 เซนติเมตร ลำต้นเป็นเสี้ยนสีดำแข็งมาก แต่ไส้กลางลำต้นอ่อน บริเวณโคนต้นจะมีรากเป็นกลุ่มใหญ่ ใบเหมือนพัดขนาดใหญ่ กว้าง 1-1.5 เมตร มีก้านเป็นทางยาว 1-2 เมตร ขอบทางของก้านทั้ง 2 ข้าง มีหนามเหมือนฟันเลื่อยสีดำแข็งและคมมาก โคนก้านแยกออกจากกันคล้ายคีมเหล็กโอบหุ้มลำต้นไว้ ช่อดอกเพศผู้ใหญ่ รวมกันเป็นกลุ่มคล้ายนิ้วมือ เราเรียกว่านิ้วตาล แต่ละนิ้วยาวประมาณ 40 เซนติเมตร และโตวัดผ่ากลางประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร โคนกลุ่มช่อจะมีก้าน ช่อรวมและมีกาบแข็งหลายกาบหุ้มโคนก้านช่ออีกทีหนึ่ง ช่อดอกเพศเมียก็คล้ายกัน แต่นิ้วจะเป็นปุ่มปม ปุ่มปมคือดอกที่ติดนิ้วตาล ดอกหนึ่งโตวัดผ่ากลางประมาณ 2 เซนติเมตร และมีกาบแข็งหุ้มแต่ละดอก กาบนี้จะเติบโตไปเป็นหัวจุกลูกตาลอีกทีหนึ่ง ผลกลมหรือรูปทรงกระบอกสั้นๆ โตวัดผ่ากลางประมาณ 15 เซนติเมตร ผลเป็นเส้นใยแข็งเป็นมัน มักมีสีเหลืองแกมดำคล้ำเป็นมัน หุ้มห่อเนื้อเยื่อสีเหลืองไว้ภายใน ผลหนึ่งๆ จะมีเมล็ดใหญ่แข็ง 1-3 เมล็ด
    
............................................................

จังหวัดเพชรบุรี มีต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย ดังปรากฏหลักฐานจาก "นิราศเมืองเพชร" ของ สุนทรภู่ ความตอนหนึ่งว่า "ทุกประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล" ด้วยเหตุนี้ ต้นตาลจึงกลายเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเพชรบุรีคู่กับเขาวัง หรือพระนครคีรี ปรากฏเป็นตราและธงประจำจังหวัดเพชรบุรี สืบมาจนถึงทุกวันนี้
ต้นตาลเมือง เพชร ให้ผลผลิตน้ำตาลโตนดที่ดีที่สุดมาตั้งแต่สมัยโบราณตราบจนถึงปัจจุบัน จึงมีชื่อเสียงติดปากคนทั่วไปว่า "น้ำตาลเพชรบุรี" เพราะมีรสหวานหอมอร่อย มีรสชาติกลมกล่อมชวนรับประทาน จนเป็นที่มาของคำว่า "หวานเหมือนน้ำตาลเมืองเพชร" ดังนั้น ต้นตาลจึงนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดเพชรบุรี โดยทั่วไปชาวชนบท ชาวนาจะปลูกข้าวและทำตาลควบคู่กันไป ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกต้นตาลไว้บริเวณคันนา ในตัวเมืองเพชรบุรี ก็ปรากฏว่ามีการปลูกต้นตาลเช่นกัน บริเวณที่มีต้นตาลมากที่สุดของจังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ ท้องทุ่งตำบลหนองไม้เหลือง ตำบลโตนดหลาย ตำบลไร่ส้ม ตำบลโรงเข้ เป็นต้น และทุกท้องที่ในเขตอำเภอบ้านลาด เมื่อมองผ่านต้นตาล จะมองไม่เห็นท้องฟ้าอีกด้านหนึ่ง แต่ปัจจุบันเนื่องจากมีการทำนา 2 ครั้ง เป็นผลให้ต้นตาลปรับสภาพไม่ทัน เพราะพื้นที่มีน้ำมากเกินไป กลายเป็นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ต้นตาลไม่ได้พักตัวที่เรียกว่า "แต่งตัว" ในที่สุดก็ต้องยืนต้นตายภายในเวลาไม่นานนัก เพราะระบบนิเวศเปลี่ยนจากเดิม ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
..................................................

ต้นตาลในจังหวัดเพชรบุรี แบ่งออกได้เป็น 2 พันธุ์ ดังนี้1. ตาลบ้าน มีจำนวนเต้าตาลในแต่ละผล 1-4 เต้า แบ่งสายพันธุ์ย่อยได้อีก 3 พันธุ์ คือ
1.1 ตาลหม้อ มีผลขนาดใหญ่ ผิวดำคล้ำ
1.2 ตาลไข่ มีผลสีขาวเหลือง ผลขนาดเล็กกว่า แต่เต้าตาลใหญ่ขนาดใกล้เคียงกับตาลหม้อ (มีเนื้อหุ้มเต้าตาลบาง)
1.3 ตาลจาก มีผลในทะลายแน่นคล้ายทะลายจาก
2. ตาลป่า มีผลเล็กขนาดตาลไข่ มีผลเขียวคล้ำ มีเต้า 1-2 เต้า ลำต้นสีเขียวสด ก้านใบยาว (บางคนเรียกว่า ตาลก้านยาว) พบแถบเขาแด่น อำเภอบ้านลาด และในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตาลป่ายังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนัก เพราะมักขึ้นอยู่ในป่า
ประโยชน์ของต้นตาล ต้นตาลเป็นต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองเพชรบุรี ที่แข็งแรงยืนยง สามารถทนแล้ง ทนฝน และกระแสลมร้อนหนาวตามสภาพดินฟ้าอากาศได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องบำรุงรักษามากนัก นอกจากต้นตาลจะให้ประโยชน์ในการทำน้ำตาลโตนดแล้ว ส่วนต่างๆ ของต้นตาลยังมีประโยชน์ในด้านต่างๆ อีก

credit : http://www.matichon.co.th/

Read More...


7 เซียน “เศรษฐีออนไลน์”



ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ



ตราวุฒิ เหลืองสมบูรณ์



พีร์ บุญชนะวิวัฒน์

 

ก่อนอื่นขอแจ้งข่าวว่าคอลัมน์ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้รวม เล่มเป็นหนังสือเรียบร้อยแล้วครับ ในชื่อเดียวกับคอลัมน์ คือ เศรษฐีออนไลน์ ตามไปอุดหนุนที่ร้านหนังสือใกล้บ้านท่านได้แล้วนะครับ หรือจะซื้อที่เว็บสำนักพิมพ์มติชนก็ได้ส่วนลด 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่อยู่นี้ http://tinyurl.com/6bos77y

ผมเขียนคอลัมน์นี้เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้วพร้อมๆ กับการท่องไปในโลกไซเบอร์ พบสิ่งใดน่าสนใจก็นำมาเล่าต่อกันฟัง ในตอนนั้นผมรู้สึกว่าบนแผงหนังสือมีเรื่องเกี่ยวกับการหารายได้ผ่านเว็บกัน บ้างแล้ว แต่ก็เป็นขั้น “ลึก” ไม่มีข้อมูลในแนว “กว้าง” ที่จะบอกว่าการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตมีอะไรและทำสิ่งใดได้บ้าง

ผมจึงใช้พื้นที่นี้พาผู้อ่านสำรวจแหล่งข้อมูลต่างๆ ไปด้วยกัน ทั้งเว็บในประเทศและต่างประเทศ พบเรื่องน่าสนใจต่างๆ มากมาย รูปแบบการทำธุรกิจออนไลน์ต่างๆ ท่านสามารถร่วมทำธุรกิจกับเขา หรือประยุกต์เอาไอเดียมาทำธุรกิจของตนเองก็ได้ เจตนาของคอลัมน์นี้ต้องการเป็นเหมือนบันไดขั้นต้นที่จะพาผู้ที่สนใจไปสู่ ความรู้ชั้นสูงในเรื่องอื่นๆ ต่อไป

สำหรับชื่อคอลัมน์นั้นผมตั้งให้สอดคล้องกับชื่อนิตยสาร เส้นทางเศรษฐี ด้วยมีเจตนารมณ์เดียวกันคือต้องการแนะนำอาชีพ และส่งเสริมผู้ประกอบการ เพียงแต่คอลัมน์ของผมเป็นอาชีพของผู้ประกอบการในโลกไซเบอร์




คนเขียนคอลัมน์ในนิตยสารเส้นทางเศรษฐี มิได้แปลว่าเป็นเศรษฐี คนเขียนหนังสือเศรษฐีออนไลน์ก็เช่นกัน เราเป็นเพียงผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้อ่านเท่านั้น ไอ้เรื่องทดลองทำเองนั้นก็ทำอยู่ ไม่ได้เสียหาย แต่คงไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนคนที่เขาทำจริงจัง

หลายคนคงอยากทราบว่าผมมีรายได้จากอินเตอร์เน็ตเท่าไหร่ บอกได้นิดหน่อย คือ เฉพาะเรื่องร่วมค้าขายกับเว็บอื่น ตั้งแต่ต้นปีผมได้รับเช็คจากต่างประเทศมา 2 ใบคือ  www.ClickBank.com และ www.yahoo.com รวมเป็นเงินประมาณ 200 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ไม่มากมาย แค่ขำขำ เพราะเราก็ไม่ได้ใช้เวลากับมันเยอะ

พูดถึงคนที่มีรายได้จากอินเตอร์เน็ตเป็นรายได้หลัก อาจจะไม่ถึงขั้นเป็นเศรษฐีเหมือนเจ้าของเว็บในต่างประเทศ แต่ก็เลี้ยงตัวได้อย่างสบาย ครั้งนี้ผมจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักสัก 7 คน เป็น 7 เซียนที่เข้าขั้นปรมาจารย์ คือเขียนหนังสือและจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่ผู้คนมาแล้วมากมาย ดังต่อไปนี้

1. ฉายาของเขาคือเจ้าพ่อ E-Commerce เมืองไทย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ เจ้าของเว็บ www.tarad.com เว็บสำเร็จรูปขายสินค้า และให้บริการด้านอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งจดโดเมนเนม เช่าโฮสต์ โฆษณา บริการช่องทางชำระเงิน อบรมสัมมนา ผลิตหนังสือ ฯลฯ

ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ จบปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ปริญญาโท 2 ใบจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ด้าน Internet & E-Commerce และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดตามเว็บส่วนตัวของเขาได้ที่ www.pawoot.com

2. ตราวุฒิ เหลืองสมบูรณ์ ผู้เขียนหนังสือ Google Make Me Rich และ Google AdWords โปรโมตเว็บ (ไซต์) ให้ดังศาสตร์ เป็น นักการตลาดแอฟฟิลิเอท (Affiliate Marketing) อันดับต้นๆ ของเมืองไทย ครั้งหนึ่งในงานสัมมนา ผมเคยเห็นเขาโชว์เช็คเงินสดจากเว็บที่เขาทำการตลาดให้จำนวน 60,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2 ล้านบาท)

ตราวุฒิสามารถส่งลูกค้ามาสมัครลงโฆษณากับกูเกิ้ล หรือ Google AdWords จำนวนถึง 1,000,000 ราย จนได้ใบรับรองจากกูเกิ้ล เขาเรียนจบวิศวะ สาขาเทเลคอมมิวนิเคชั่น จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แล้วไปเรียนต่อปริญญาโท ที่อเมริกา

3. ชาญวิทย์ จตุวีรพงษ์ อดีตโปรแกรมเมอร์ของตลาดหลักทรัพย์ และเขียนโปรแกรมให้กับบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่แคนาดา เจ้าของเว็บ www.thaiadpoint.com สร้างรายได้ให้กับผู้เล่นเน็ต โดยเป็นสื่อกลางให้กับผู้ลงโฆษณา และผู้เข้าชมเว็บ ปัจจุบัน เว็บแห่งนี้มีสมาชิกกว่า 300,000 คน มีรายได้จากอินเตอร์เน็ตมากขนาดไหน เอาเป็นว่าเขาและครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ (ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก) ได้อย่างไม่เดือดร้อนก็แล้วกัน

4. จอห์น เรดเตอร์ เป็นชื่อในวงการของเขา เจ้าของเว็บ www.Redtor.com บล็อกเกอร์จากเมืองอุบลราชธานี เจ้าของสถิติหาคนเข้าเว็บได้มากสุด 40,000 คน ต่อวัน ได้เงินจาก Adsense มากสุด 46,000 บาท ต่อเดือน ได้เงินจาก Amazon มากสุด 210,000 บาท ต่อเดือน โดนแบนจากเจ้าของเว็บก็หลายครั้ง มีลีลาการเขียนบล็อกที่ยียวนกวนใจ ชอบแต่งเพลง และนำมาโพสต์ให้ฟังกันบ่อยๆ

5. สิทธิศักดิ์ บุญมาก ผู้เขียนหนังสือ สอนให้รวยด้วย Amazon เจ้าของเว็บ www.makemany.com บล็อกการตลาด นำเสนอข้อมูลข่าวสาร เทคนิคและกลยุทธ์ในการทำการตลาดออนไลน์ การปรับแต่งเว็บให้ติดอันดับการค้นหา (SEO), สร้างรายได้กับ Amazon ตัวเลขที่โชว์บนเว็บ เขาเคยทำได้ 5,000-8,000 เหรียญสหรัฐ ต่อเดือน เลยทีเดียว

6. พิมพ์พร นรินทร์โท หรือ อาจารย์อ้อ วิทยากรอิสระของหลายสถาบัน เจ้าของเว็บ www.ilearn.in.th แหล่งองค์ความรู้ทางด้าน Internet Marketing Learning Center เช่น สอนวิธีการเริ่มต้นทำธุรกิจออนไลน์ การสร้างรายได้จากอะเมซอน Amazon Associates

7. คนสุดท้าย คือ พีร์ บุญชนะวิวัฒน์ เป็นเซียนหุ้น เจ้าของหนังสือขายดี 7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด เขาเป็น Proprietary Trader ให้กับบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง อาชีพนี้เปรียบเสมือนมือปืนรับจ้างที่คอยลั่นไกทำกำไรจากตลาดหุ้น ให้กับผู้จ้างวาน ในหนังสือเขียนไว้ว่ารายได้ไม่น้อยหน้าซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่เลย

ติดตามงานของเขาได้ที่ http://wizard-kids2m.blogspot.com

เนื่องจากระยะหลังผมเขียนถึงการค้า “ทอง” และ “ยางพารา” ซึ่งเป็นอนุพันธ์ ในกลุ่มของหุ้น สามารถซื้อขายกันทางอินเตอร์เน็ตได้ ใน 7 เซียน เศรษฐีออนไลน์จึงมีกูรูเรื่องหุ้นอยู่ด้วย คงไม่ว่ากันนะครับ

ตัวอย่างบุคคลทั้งหมดนี้คงทำให้คนที่อยากมีธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตมีกำลังใจ และอุ่นใจในการก้าวเดินไปบนเส้นทางนี้มากขึ้นนะครับ

 credit : http://www.matichon.co.th/

Read More...


“แชมป์” หมูกระทะ นครสวรรค์ เคล็ดลับครองแชมป์ 20 ปี!


“เมื่อร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์เริ่ม แพร่หลายเข้ามาในจังหวัดนครสวรรค์ มีร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์หลายรายเปิดรอการขาย หวังชิงตลาดหมูกระทะที่มีอยู่ ด้วยประสบการณ์ในร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์ที่ขอนแก่นหลายปีก่อน ทำให้คุณธีระพงศ์ทราบดีว่า ของแปลกใหม่ย่อมเป็นของที่ดึงดูดใจลูกค้า ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าประจำที่เคยมีสูญเสียไป เขาจึงปรับกลยุทธ์ด้วยการเปิดร้านหมูกระทะเพิ่มอีกสาขา แต่ครั้งนี้เลือกเปิดในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์”

“ความยากของการทำบุฟเฟ่ต์ คือ การควบคุมต้นทุน ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการภายในร้าน เช่น การซื้อของควรซื้อจำนวนมาก เป็นล็อตหรือน้ำหนักเป็นตัน เพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่ถูกลง”



หากลองเปิดเว็บไซต์กูเกิ้ลเพื่อค้นหาคำว่า “แชมป์หมูกะทะ นครสวรรค์” พบว่า มีมากถึง 8,900 รายการ จัดว่าเป็นคำค้นที่ได้รับความนิยมไม่น้อย

หมูกระทะ เป็นอาหารรับประทานนอกบ้านที่ผู้รับประทานมีเป้าหมายในปริมาณมากกว่าคุณภาพ ของอาหาร แต่ในยุคที่ความหลากหลายของหมูกระทะมากขึ้น รสชาติจึงเป็นแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าเข้าร้าน ยิ่งเมื่อการเติบโตที่พุ่งพรวดของร้านหมูกระทะมากขึ้นชนิดทะยานไม่หยุด ทำให้หลายรายจำต้องปิดตัวลง เพราะแข่งขันด้านราคาไม่ไหว

แต่ขณะที่ แชมป์หมูกะทะ มีมากถึง 8 สาขาทั่วประเทศ นับจากขอนแก่น 2 สาขาอุบลราชธานี 1 สาขา อุดรธานี 2 สาขา กำแพงเพชร 1 สาขา และ นครสวรรค์ 2 สาขา

 หอบเงินตั้งหลัก        
 หมูกระทะชุด นำร่อง 
นักบริหารหนุ่มที่มีความรู้ไม่สูงนัก แต่สามารถบริหารจัดการร้านขนาดใหญ่ที่รองรับคนได้มากถึง 900 คน ต่อวัน ทั้งยังยืนหยัดต้านคู่แข่งสินค้าในไลน์เดียวกันมานานถึง 9 ปี ชนิดไม่พลาดพลั้ง ถือเป็นบุคคลที่น่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างยิ่ง



เจ้าของร้านแชมป์หมูกะทะ จังหวัดนครสวรรค์ ที่มีอยู่ 2 สาขา แห่งแรกเป็นร้านหมูกระทะตามสั่ง ที่มีเพียงรายเดียวของจังหวัด และอีกสาขาเป็นร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์ที่มีคู่แข่งใกล้ตัวถึง 4 ราย เปิดโอกาสให้ “เส้นทางเศรษฐี” เก็บประสบการณ์มาถ่ายทอด

คุณธีระพงศ์ เมธานิธิกุล เผยอย่างหมดเปลือกถึงที่มาที่ไปของหมูกระทะ อันเป็นที่นิยมเปิดบริการในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์อย่างหลากหลายว่า แรกเริ่มเดิมทีมีต้นกำเนิดในภาคอีสานในแบบฉบับของ “เจง กิส ข่าน” ราว 30 ปีก่อน แล้วพลิกผันมาเรียกให้เข้ากับยุคสมัยเป็น “หมูย่างเกาหลี” ก่อนมาสิ้นสุดที่ “หมูกระทะ”

คุณธีระพงศ์เอง เป็นหนึ่งในญาติพี่น้องที่มีประสบการณ์การเปิดร้านหมูกระทะในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมก่อนมาตั้งรกรากที่จังหวัดนครสวรรค์ แต่ในขณะนั้น คุณธีระพงศ์ไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าของร้าน แต่ทำงานด้านบริการและอื่นๆ ที่สามารถจัดการได้



เมื่อการเติบโตที่มากขึ้นเป็นเท่าตัวของร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์ คุณธีระพงศ์จึงตัดสินใจหอบเงินจำนวนหนึ่งมายังจังหวัดนครสวรรค์ เพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างที่ยังไม่เกิดการกระจายของร้าน บุฟเฟ่ต์หมูกระทะ
จำนวนเงินกว่า 200,000 บาท เป็นเงินตั้งตัว คุณธีระพงศ์ใช้สำหรับเช่าพื้นที่และได้ร้านเล็กๆ ขนาดที่นั่งเพียง 20 โต๊ะ เขาเลือกจำหน่ายแบบหมูกระทะตามสั่ง หรือเป็นชุด แทนบุฟเฟ่ต์

  ลูกค้าติด ขยายโต๊ะ-สาขา 
   เปิดเพิ่มบุฟเฟ่ต์ต้านคู่แข่ง 
ในยุคนั้นพนักงานเริ่มแรกมีเพียง 3-4 คน มีคุณธีระพงศ์เป็นหัวหอกนำทีม ตั้งแต่การจ่ายตลาดในตอนเช้า การจัดร้าน การหมักเครื่องปรุง การรับออร์เดอร์ การเสิร์ฟ กระทั่งเก็บเงิน

เพียง 1 ปี หลังการเปิดร้าน การตอบรับเพิ่มเท่าตัว ทำให้คุณธีระพงศ์ต้องขยายพื้นที่ให้บริการ จาก 20 โต๊ะ เป็น 50 โต๊ะในที่สุด

เมื่อร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์เริ่มแพร่หลายเข้ามาในจังหวัดนครสวรรค์ มีร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์หลายรายเปิดรอการขาย หวังชิงตลาดหมูกระทะที่มีอยู่ ด้วยประสบการณ์ในร้านหมูกระทะบุฟเฟ่ต์ที่ขอนแก่นหลายปีก่อน ทำให้คุณธีระพงศ์ทราบดีว่า ของแปลกใหม่ย่อมเป็นของที่ดึงดูดใจลูกค้า ซึ่งอาจทำให้ลูกค้าประจำที่เคยมีสูญเสียไป เขาจึงปรับกลยุทธ์ด้วยการเปิดร้านหมูกระทะเพิ่มอีกสาขา แต่ครั้งนี้เลือกเปิดในรูปแบบของบุฟเฟ่ต์









ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบตามสั่ง หรือบุฟเฟ่ต์ ร้านหมูกระทะของคุณธีระพงศ์ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี
“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรสชาติที่ลูกค้าติดใจในเครื่องปรุง ความสด สะอาด นอกจากนั้น เข้าใจว่าลูกค้าติดผม เพราะผมลงทำหน้าที่เองในทุกๆ อย่าง พูดคุยกับลูกค้า เป็นกันเอง และอาจเป็นเพราะลูกค้ามองว่าผมเป็นคนรุ่นใหม่ หรือคนหนุ่มที่ทำงานเอง ใส่ใจในทุกขั้นตอน”

เมื่อถามถึงทำเลเพื่อเป็นมุมมองของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ คุณธีระพงศ์ บอกว่า เรื่องทำเลสำหรับเขาใช้ความรู้สึกวัด เพราะมีตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้า ร้านอาหารบางแห่งที่ไม่มีที่จอดรถแต่มีคนเข้าร้านเยอะมาก หรือตัวเองที่ทำเลแรกเปิดร้านบริเวณหัวโค้ง หลายคนมองว่าไม่น่าจะอยู่รอด แต่กลับกลายเป็นร้านหมูกระทะที่ขายดีที่สุดร้านหนึ่งของจังหวัด



-->



  บริหารจัดการสำคัญ         
  คุณภาพวัตถุดิบต้องเยี่ยม 
คุณธีระพงศ์ ให้เกร็ดความรู้ในการบริหารจัดการร้านรูปแบบบุฟเฟ่ต์ว่า ความยากของการทำบุฟเฟ่ต์ คือ การควบคุมต้นทุน ซึ่งเกิดจากการบริหารจัดการภายในร้าน เช่น การซื้อของควรซื้อจำนวนมาก เป็นล็อตหรือน้ำหนักเป็นตัน เพื่อให้ได้ราคาต้นทุนที่ถูกลง

ปัจจัยที่ทำให้คุณธีระพงศ์ เลือกเปิด 2 สาขาคนละรูปแบบ เนื่องจากมองว่า ร้านหมูกระทะเป็นชุดหรือตามสั่ง สามารถรองรับลูกค้าระดับพรีเมี่ยมหลังกระแสบุฟเฟ่ต์เบาลง ส่วนร้านหมูกระทะแบบบุฟเฟ่ต์ที่ยังคงต้องมี เพราะเป็นแรงต้านคู่แข่งไม่ให้โตไปกว่านี้ การดึงลูกค้าและเพิ่มแรงต้านร้านหมูกระทะรายอื่นด้วยการเปิดร้านใหม่จึงเป็น สิ่งจำเป็น

แบบฉบับการทำงานของคุณธีระพงศ์ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการ รวมถึงคุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ แม้ว่าราคาขายต่อหัวจะอยู่ที่ 89 บาท แต่คุณภาพวัตถุดิบจะต้องใหม่สดสะอาดเสมอ และไม่เพิ่มวัตถุดิบให้หลากหลายมากเกินไป เพราะอาจทำให้ได้วัตถุดิบที่ไม่คงคุณภาพ


ตัวอย่างการเลือกซื้อหมู คุณธีระพงศ์ บอกว่า เขาเลือกซื้อเนื้อหมูส่วนสันนอก สามชั้นสไลซ์ จากแผงหมูในตลาดสดมากกว่าซื้อในห้างค้าปลีก เพราะเนื้อหมูจะหวาน และในการหมักหมูต้องเครื่องปรุงเข้าถึงเนื้อหมู จึงจำเป็นต้องหมักทิ้งไว้ให้ได้ตามเวลาเสมอ

ความพิเศษที่แชมป์หมูกระทะมี คือ การเพิ่มบริการส่งถึงที่ หรือดีลิเวอรี่ ทั้งออร์เดอร์แจ่วฮ้อน และหมูกระทะ ซึ่งนับเป็นรายแรกของจังหวัดนครสวรรค์ที่เริ่มให้บริการรูปแบบนี้

ทั้ง 2 สาขาของร้าน “แชมป์หมูกะทะ” ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก แต่ที่เห็นเด่นเป็นสง่าอยู่บริเวณสามแยกพิษณุโลก เป็นร้านในรูปแบบชุดและตามสั่ง ส่วนอีกสาขาตั้งอยู่ในซอยย่งอัน ริมหนองสมบูรณ์ ไปไม่ถูกสอบถามทางได้ที่ โทรศัพท์ (056) 313-293 และ (056) 313-238


.......................................................

ไอศกรีมกะทิ สูตรศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน หนึ่งในสถาบันอบรม มติชน อคาเดมี
หนึ่งในของหวานที่ขาดไม่ได้ในแต่ละวันของการขายบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ร้านแชมป์หมูกะทะ ของคุณธีระพงศ์ เมธานิธิกุล คือ ไอศกรีมกะทิสด

ทุกวันไอศกรีมกะทิสดจะถูกผลิตด้วยสูตรและฝีมือของคุณธีระพงศ์เอง และผลิตในปริมาณมากเพื่อเป็นสต๊อควันต่อวัน และในทุกวันไอศกรีมกะทิสดจำนวน 40-50 กิโลกรัม จะไม่เคยเหลือค้างข้ามวัน

ความพิเศษของไอศกรีมกะทิสด คุณธีระพงศ์ บอกว่า มีความเข้มข้นของวัตถุดิบสูง เป็นเนื้อกะทิล้วนๆ ใช้ถังสเตนเลสแช่ฟรีซในตู้ให้แข็ง ก่อนยกเสิร์ฟถึงร้านบุฟเฟ่ต์หมูกระทะทุกวัน

ก่อนหน้าราว 5 ปีเศษ คุณธีระพงศ์อาศัยผู้ผลิตไอศกรีมส่งรายวันในจังหวัดนครสวรรค์ ต่อเมื่อทบทวนการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนการผลิตแล้ว พบว่า หากผลิตไอศกรีมเองจะช่วยลดต้นทุนได้มาก และพบช่องทางการอบรมทำไอศกรีมกะทิสด และไอศกรีมฝรั่ง จากศูนย์อาชีพและธุรกิจ มติชน

เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาด เพราะเพียงไม่กี่วันหลังเข้ารับการอบรม คุณธีระพงศ์ซื้ออุปกรณ์การทำไอศกรีมเป็นของตนเอง และลงมือทำ ก่อนปรับสูตรให้เข้ากับคนในพื้นที่ที่ไม่นิยมรับประทานหวานจัด

จากเดิมต้นทุนเฉพาะไอศกรีมกะทิสดที่ต้องจ่ายวันละ 2,500-3,000 บาท เหลือเพียง 1 ใน 3 ของจำนวนเงินที่ต้องจ่าย นับเป็นการบริหารจัดการต้นทุนที่คุ้มค่ามากด้านหนึ่ง

ความอร่อยของเนื้อไอศกรีมอาจการันตีเป็นตัวหนังสือได้ไม่ชัดเจน สนใจชิมสามารถสั่งไปรับประทานที่บ้านได้ มีแพ็กขายเป็นกล่อง กล่องละ 500 กรัม ติดต่อได้ที่ ร้านแชมป์หมูกะทะ


ข้อมูลจำเพาะ
กิจการ                                   ร้านหมูกระทะชุด และบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ
ชื่อกิจการ                               แชมป์หมูกะทะ
ลักษณะกิจการ                        เจ้าของคนเดียว
เจ้าของกิจการ                         คุณธีระพงศ์ เมธานิธิกุล
เงินลงทุน                               หลักแสนบาท
วัตถุดิบ                                  เนื้อสัตว์ ผัก ของหวาน ผลไม้                              
รูปแบบการขาย                       บุฟเฟ่ต์
แหล่งซื้อวัตถุดิบ                      ตลาดสด
เมนูเรียกลูกค้า                        หมูหมัก เนื้อหมัก ไก่หมัก ลูกชิ้น อาหารทะเล หอยแครงลวก ส้มตำ ขนมจีนน้ำยา ข้าวผัด สลัดบาร์ ขนมจีน ยำผักบุ้งทอดกรอบ ผลไม้ตามฤดูกาล ไอศกรีมกะทิสด เฉาก๊วย น้ำแข็งไส
ราคาขายต่อหัว                       89 บาท 
ค่าใช้จ่ายต่อเดือน                   เกือบล้านบาท
พนักงาน                               60 คน
กลุ่มลูกค้า                             คนในท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา
สถานที่ตั้ง                             สาขา 1 (เป็นชุด-ตามสั่ง) สามแยกพิษณุโลก เลขที่ 30/17 หมู่ 10
                                          ตำบลนครสวรรค์ตก อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
                                          สาขา 2 (บุฟเฟ่ต์) ริมหนองสมบูรณ์ เลขที่ 112/367 ซอยย่งอัน
                                          ถนนดาวดึงส์ ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์
โทรศัพท์                              (056) 313-293 และ (056) 313-238


credit : http://www.matichon.co.th/

Read More...


แฟรนไชส์ “Dr.Sushi” ตั้งเป้าลุยตลาดใน กทม.



















ว่าไปแล้วผู้คนในบ้านเรานั้นนิยมรับประทานอาหารญี่ปุ่นมา เนิ่นนานหลายสิบปีแล้ว และเชื่อว่ากระแสนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป เห็นได้จากการเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นใหม่ๆ อยู่ตลอด หรือแม้กระทั่งตามตลาดนัดหรือตลาดทั่วๆ ไป แม้กระทั่งหน้าโรงเรียนก็มีการวางขายอาหารญี่ปุ่น “ซูชิ” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสังคมไทย

กุศมัยกรุ๊ป เจ้าของ Dr.Sushi
ฉะนั้น วันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีแฟรนไชส์อาหารญี่ปุ่นอยู่หลายเจ้า หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ “Dr.Sushi” ของบริษัท กุศมัย เคเทอริ่ง จำกัด ที่มี “คุณเกษมศักดิ์ ป้อมศุวรรณ” นั่งเก้าอี้ซีอีโอเชฟ ด้วยว่าเขาผู้นี้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องอาหารของเมืองปลาดิบเป็นอย่างดี ผ่านการทำงานในภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นมีชื่อ และเคยเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นมาแล้วด้วย

สาเหตุสำคัญที่บริษัทกุศมัยฯ เข้ามาจับธุรกิจอาหารญี่ปุ่น เพราะคลุกคลีอยู่ในวงการนี้อยู่แล้ว และมองว่าอาหารญี่ปุ่นแม้จะเข้ามาในประเทศไทยถึง 30 ปีแล้ว แต่ก็ยังไปได้ดี อย่างที่คุณเกษมศักดิ์ เล่าว่า “บริษัทผลิตเกี่ยวกับเสื่อไม้ไผ่ ทำไม้จิ้มฟัน ทำตะเกียบอยู่แล้ว โดยส่งออกต่างประเทศทั่วโลกแล้วก็ส่งในประเทศด้วย ต่อมาก็เปิดเป็นบริษัท กุศมัย คิชเช่นแวร์ ขายเครื่องครัว และเปิดบริษัท กุศมัย มอเตอร์ ผลิตรถสามล้อขาย ต่อมา ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย ประธานกรรมการกุศมัยกรุ๊ป ก็ชักชวนผมมาร่วมงาน เพราะตอนนั้นผมเปิดร้านขายอาหารญี่ปุ่นอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี แต่มีปัญหาเศรษฐกิจขายไม่ดี”

ทั้งนี้ การทำแฟรนไชส์อาหารญี่ปุ่นของ “Dr.Sushi” ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้ว มาจากความคิดของคุณเกษมศักดิ์ที่ว่า อยากทำให้เหมือนเป็นภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นเคลื่อนที่ โดยนำอุปกรณ์ครัวทุกอย่างของญี่ปุ่นมาลงในรถสามล้อไทยและแต่งรถให้สวยงาม สามารถวิ่งไปมาได้ตามจุดขายต่างๆ ถือเป็นจุดเด่นที่ยังไม่มีเจ้าไหนทำ โดยใช้รถสามล้อ “ซูโมต้า” ที่กุศมัยกรุ๊ปเป็นผู้ประกอบรถเอง

เรียกว่าไปจอดรถที่ไหนก็ปั้นซูชิกันต่อหน้าเดี๋ยวนั้นเลย ให้ลูกค้าได้ลิ้มรสกันสดๆ ไม่ใช่ปั้นมาจากบ้านนานหลายชั่วโมงกว่าจะถึงปากลูกค้า และอยากจะเลือกซูชิหน้าไหนแบบไหนก็สั่งได้ตามใจชอบ
 
สามล้อ ดร.ซูชิ 250,000 บาท
คุณเกษมศักดิ์ ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเข้ามาทำธุรกิจนี้ว่า “คนที่จะมาซื้อแฟรนไชส์ผม คุณสมบัติแรกคือต้องรักการบริการ รักการทำอาหาร ต้องมีใจและต้องอึด ส่วนงบประมาณในการทำดร.ซูชิแบ่งเป็นหลายระดับ สเต็ปแรกออกมาเป็นรถ สเต็ปสองเป็นคีออสตั้งทั่วๆ ไป ราคา 150,000 บาท ซึ่งถ้าเป็นดร.ซูชิติดล้อจะเริ่มต้นที่ 250,000 บาท โดยใช้รถขนาด 200 ซีซี 14.5 แรงม้า ใช้น้ำมัน 20 กิโลเมตร ต่อลิตร โดยออกแบบที่ญี่ปุ่นแต่ผลิตที่ประเทศจีน แล้วมาประกอบในประเทศไทย ซึ่งในราคา 250,000 บาท จะครบเบ็ดเสร็จเลย มีเครื่องครัว มีรถ ฝึกงานให้ ใช้เวลาฝึก 1 เดือนถึง 45 วัน และช่วยเปิดร้านให้ด้วย”

สำหรับการเลือกซื้อแฟรนไชส์ดร.ซูชิแบบรถหรือแบบคีออสนั้น ขึ้นอยู่กับความชอบของลูกค้า เพราะบางคนอาจจะอยากขับรถขายวันละ 2 จุด กลางวันจุดหนึ่ง เย็นจุดหนึ่ง และสามารถไปรับงานข้างนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งหรืองานบวช แต่ถ้าเป็นคีออสจะอยู่กับที่เลย

เตรียมเข็นอาหารญี่ปุ่นอีกหลายตัว
ในการทำแฟรนไชส์ดร.ซูชิ นั้นถือเป็นสินค้าชิ้นแรกของบริษัท ในอนาคตจะมีสินค้าอื่นๆ ตามมาอีก
“ตอนนี้เราทำแต่ซูชิก่อน ยังไม่อยากล่วงเข้าไปที่อาหารครัวร้อน ซึ่งตามแบบชุดแรกที่คำนวณไว้คือชุดเป็นรถดร.ซูชิ รถแบบต่อไปอาจจะเป็นรถราเม็ง ต่อไปก็เป็นรถข้าวหน้าญี่ปุ่น แล้วก็เป็นรถสเต๊ก สินค้าแต่ละอย่างจะเป็นแบรนด์ของตัวเอง เราจะไม่นำสินค้าไปปนกันเพราะจะทำให้งานสับสน ยกตัวอย่างคีออสคันเดียวแค่ซูชิอย่างเดียวเมนูก็เกือบ 20 อย่างแล้ว ถ้าจะดึงราเม็งมาร่วมกับซูชิด้วยจะสับสน”

ยันรสชาติเทียบเท่าภัตตาคาร
พูดถึงซูชิของที่นี่ คุณเกษมศักดิ์ รับประกันว่า รสชาติดีไม่แพ้ภัตตาคาร หรือตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แต่ราคาย่อมเยากว่ากันเยอะ

“ซูชิของเราจะใกล้เคียงกับที่ขายในภัตตาคารทั่วไป เซ็ตราคา 60 บาททุกเมนู ถ้าเป็นชุดเด็กจะมีข้าวปั้นหน้ากุ้ง ข้าวปั้นหน้าไข่หวาน แล้วก็จะมีแคลิฟอร์เนียมากิ โฟโตมากิ แล้วก็ข้าวห่อสาหร่ายไส้ต่างๆ เซ็ตหนึ่งมี 8-10 คำ เซ็ตหนึ่ง 60 บาท ถือว่าโอเคตกคำละ 10 บาทขึ้นไป และที่ขายราคานี้ได้เพราะเสียค่าเช่าพื้นที่น้อย ถ้าขึ้นห้างคงขายไม่ได้ ผมเป็นเชฟร้านอาหารมา การันตีได้ว่าวัตถุดิบทุกอย่างและความอร่อยไม่แตกต่างกัน คนส่วนใหญ่มักจะติดแบรนด์ แต่สูตรการทำใกล้เคียงกันอาจารย์ก็ใกล้เคียงกัน ทำงานมาด้วยกันถึงเวลาก็ไปแตกสาขา คนหนึ่งไปทำแบรนด์นี้คนนี้ก็ไปทำแบรนด์โน้น”

ในการซื้อแฟรนไชส์ของดร.ซูชินั้น จะต้องสั่งวัตถุดิบของบริษัทที่มีครบหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าวญี่ปุ่น น้ำส้ม สาหร่าย รวมถึงวัตถุดิบเกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นทั้งหมด

“ในราคาที่กำหนดไว้นี้ปีแรกฟรี ปีต่อไปเก็บปีละ 12,000 บาท เป็นค่าป้ายอย่างเดียว ซึ่งจะไม่มีรายเดือนเพราะเราเก็บเป็นรายปีตกเดือนละ 1,000 บาท ผมถือว่าโอเค ก็เหมือนเป็นค่าแบรนด์ ขณะที่บางแฟรนไชส์เขาเก็บต่อยอดการขายด้วย อาจจะ 2-3 เปอร์เซ็นต์”

ชี้ทำเลทองขายดี
ทั้งนี้ ก่อนจะซื้อขายแฟรนไชส์กันนั้น ทางบริษัทจะมีการแนะนำลูกค้าก่อนว่าเหมาะที่จะขายในทำเลแบบใด
“คนที่จะทำต้องดูทำเลก่อน ควรจะเป็นแหล่งชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน อย่างหน้าหมู่บ้านใหญ่ๆ แหล่งชุมชนใหญ่ๆ ที่เป็นออฟฟิศหรือแหล่งที่มีคนทานอาหารเยอะๆ อีกแหล่งคือตามมหาวิทยาลัย ตอนนี้เราขายอยู่ที่ชุมชนใหญ่บางบอน ตลาดต้นสนหลังตึกสินธร และที่ทาวน์อินทาวน์ พร้อมกันนั้นกำลังเจรจากับเทศกิจในเขตเยาวราชว่าจะขายได้ไหม”



-->


จากประสบการณ์ที่คุณเกษมศักดิ์นำรถสามล้อตระเวนไปขายตามแหล่งใหญ่ๆ ที่ได้ระบุไว้นั้น ปรากฏว่า เฉลี่ยแล้วขายได้วันละ 100 กล่อง คิดเป็นเงิน 6,000 บาท จะได้กำไรประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์

ส่วนการที่ทางบริษัทไปออกบู๊ธตามงานต่างๆ อาทิ งานแฟรนไชส์ ก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่อยู่ในระหว่างรอการตัดสินใจในเรื่องทำเล ซึ่งลูกค้าที่มาซื้อแฟรนไชส์ส่วนมากจะไปขายแหล่งออฟฟิศในกรุงเทพฯ แต่ก็มีต่างจังหวัดด้วย อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะต้องพิจารณาก่อน เพราะตามนโยบายจะเน้นตลาดในกรุงเทพฯ เป็นหลัก เพราะมองว่ากรุงเทพฯ เป็นตลาดใหญ่ ทุกที่มีกำลังซื้อหมด แต่จะโตในแหล่งชุมชนที่มีขนาดใหญ่ก่อน ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเป็นปีสองปีก็ว่ากันไป ถ้าจะก้าวกระโดดก็คงจะยากหน่อย”

ตั้งเป้าขยาย 10 จุดภายในปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าภายในกลางปีนี้จะทำให้ได้ 5 จุด พอสิ้นปีน่าจะเป็น 10 จุด คือจะใช้รูปแบบตลาดจุดละ 1 ที่ เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นว่าถ้าขายอยู่แหล่งนี้คนที่จะซื้อจะต้องขายอย่างไร

พร้อมกันนั้น คุณเกษมศักดิ์ ย้ำนักย้ำหนาว่า ของทุกอย่างเป็นของญี่ปุ่นหมด ไม่ว่าจะเป็นข้าวญี่ปุ่น น้ำส้มญี่ปุ่น วาซาบิสด สาเหตุที่ทำได้ก็เพราะบริษัทผลิตพวกนี้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ ในการขายแฟรนไชส์ ลูกค้าบางคนตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้การทำซูชินาน 3-5 วัน ซึ่งคุณเกษมศักดิ์ ก็ต้องอธิบายความจำเป็นว่า เรียนวันเดียวไม่สามารถทำเป็นได้ทันที การเรียน 3-5 วันเพราะต้องไปฝึกงานในจุดที่บริษัทไปตั้งจุดขายด้วย เพื่อที่จะได้รู้ว่าหน้างานที่จะขายให้ลูกค้าเป็นอย่างไร  และในเวลาที่ลูกค้ามาสั่งครั้งละ 3-5 กล่อง จะต้องวางแผนการทำงานอย่างไร จะคุยกับลูกค้าอย่างไร ต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ด้วย ไม่ใช่ว่าเรียนรู้วิธีทำแล้วจะขายได้เลย

ในฐานะที่เป็นเชฟอาหารญี่ปุ่น เขาบอกว่า “การทำซูชิไม่ยาก ขอให้เราตั้งใจและอดทนนิดหนึ่ง คนที่ทำเป็นคนที่ชำนาญทำง่ายแป๊บๆ เสร็จ แต่คนที่ยังไม่เคยทำแล้วมาทำตอนแรกดูเหมือนง่ายแต่ทำไปแล้ว...เอ๊ะทำไมมัน ยากจังเลย ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าระยะเวลาที่เริ่มเรียนและฝึกงานคือการทำงานครั้งแรก อาจจะช้านิดหนึ่งแต่หลังจากที่ผ่านไปเดือนหรือสองเดือนจะง่ายขึ้น”

อาหารญี่ปุ่นอนาคตสดใส
ถามย้ำอีกครั้งถึงตลาดอาหารญี่ปุ่นแบบซูชิ ซีอีโอเชฟของกุศมัยฯ มองว่า “ผมคิดว่าตลาดอาหารญี่ปุ่นยังไปได้ กลุ่มผู้บริโภคก็ยังมีอยู่เพียงแต่ว่าการนำเสนอต่อผู้บริโภคจะทำอย่างไรเท่า นั้นเอง เมื่อก่อนที่ผ่านมา 2-3 ปีก็มีคนนำเสนอเป็นตลาดล่าง แต่ตลาดล่างคือคนที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าห้าง พอไปตลาดเห็นก็ซื้อทาน แต่คนที่อยู่ในตลาดบนคือคนที่อยู่ในภัตตาคารอยู่ในห้างต่างๆ เขาก็เข้าห้างไปเลย ผมเองจับช่องว่างระหว่างบนกับล่างมาอยู่ตรงกลาง โดยคนที่อยู่ระดับล่างสามารถที่จะทานเหมือนคนที่อยู่ตลาดบนได้ ส่วนคนที่ภัตตาคารสามารถลงมาทานที่ตลาดล่างได้”

ฟังอย่างนี้แล้ว เชื่อว่าบางคนคงอยากจะมาขายซูชิแบบนี้บ้าง ซึ่งถ้าสนใจในแบรนด์ของดร.ซูชิ คุณเกษมศักดิ์ แนะนำว่า มาพูดคุยกับทางบริษัทได้ที่ โทรศัพท์ (02) 899-7882, (083) 145-7288, (02) 416-5615 อี-เมล info@kusamai.com หรือเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.kusamai.com ซึ่งทางบริษัทเองกำลังเจรจากับบริษัทไฟแนนซ์ เพื่อให้ปล่อยกู้สำหรับคนที่ศักยภาพผ่อนใช้

หลังสัมภาษณ์เสร็จสรรพก็ทดลองชิมดู ยอมรับว่าเงิน 60 บาทที่ซื้อไปคุ้มค่าทีเดียว เพราะรสชาติอร่อยอย่างที่เชฟเกษมศักดิ์คุยไว้จริงๆ...เสียดายอยากจะกลับไป รับประทานอีกครั้ง แต่เผอิญถิ่นที่อยู่หรือแม้กระทั่งที่ทำงานไม่ได้อยู่ในแหล่งที่มีแฟรนไช ส์ดร.ซูชิขายสักแห่ง สงสัยต้องรอจนกว่าทางบริษัทกุศมัยฯ จะทำแบบดีลิเวอรี่กระมัง

Read More...


ไก่เหลือง ต้นตำรับ ธีรชัย ไก่ย่างบางตาล





 


นอกจากเมนู “ส้มตำ-ไก่ย่าง” จะแพร่หลายเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศแล้ว เฉพาะสูตรที่เป็นเอกลักษณ์ของ “ไก่ย่าง” ยังแตกแขนงออกไปอย่างหลากหลาย 1 ในจำนวนนั้น “ไก่เหลือง” หรือบางครั้งเรียกกันตามถนัดปากว่า ไก่ย่างสูตรไก่เหลือง, ไก่ย่างชายหาด ฯลฯ จัดเป็นอีกแขนงหนึ่งที่คนไทยทั่วประเทศคุ้นเคย

ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่เมื่อย่างเสร็จแล้ว นำมาเตรียมวางขาย จะปรากฏเป็นเนื้อไก่ประกบไม้ 3 ซี่ สีเหลืองนวลบ้าง เหลืองอมส้มบ้าง แล้วแต่เทคนิคของพ่อครัวผู้ลงมือหมัก/ย่าง พบได้ทั้งจุดจำหน่ายตามร้านไก่ย่าง ไก่ย่าง-ส้มตำ ท่ารถขนส่งประจำทาง สถานีรถไฟ ไปจนถึงชายหาด แหล่งพักผ่อนที่มีชื่อเสียง

หากที่โด่งดัง เป็นที่รู้จักมากที่สุดในกระบวน “ไก่เหลือง” รูปแบบนี้เห็นจะได้แก่ “ไก่ย่างบางตาล” สูตรต้นตำรับจากหมู่บ้านเล็กๆ เขตรอยต่อ ราชบุรี-นครปฐม ที่วิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง แพร่หลายออกไปสู่พื้นที่ต่างๆ กระทั่งถูกยกระดับให้เป็น “สินค้าโอท็อป” ประจำจังหวัดราชบุรีไปเรียบร้อยแล้ว

และปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันที่ “ไก่ย่างบางตาล” โด่งดังเป็นที่รู้จักมากทุกวันนี้ เป็นเพราะฝีมือของ “ธีรชัย ธีระอนันต์ชัย” ผู้ปลุกปั้นแบรนด์ “ธีรชัย ไก่ย่างบางตาล” ให้โด่งดัง ยืนยาวมานานกว่า 30 ปีแล้วนั่นเอง



   
ย้อนตำนาน “บางตาล”
จากจุดเริ่มต้นเมื่อกว่า 60 ปีที่แล้ว สถานีรถไฟคลองบางตาล ในเขตจังหวัดราชบุรี อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ก็เป็นจุดแวะพักสำคัญของเส้นทางรถไฟสายใต้ในยุคนั้น

“เมื่อก่อนเป็นสถานีใหญ่ เพราะรถไฟยังเป็นรถจักรไอน้ำ ต้องจอดเติมน้ำ เติมฟืนตรงนี้ ก็เลยเป็นจุดที่เริ่มมีการขายของ ขายอาหารกันเยอะ มีร้านข้าวแกงมาขายก่อน ต่อมาก็เริ่มมีอาแปะคนหนึ่งเอาไก่มาย่างขายที่สถานีรถไฟ...” ธีรชัย เล่าถึงจุดเริ่มต้นเมื่อประมาณกว่า 60 ปีที่แล้ว

แม้จะไม่ใช่คนบางตาลโดยกำเนิด แต่หลังจากย้ายมาอาศัย ทำมาหากินในชุมชนนี้ เขาก็เริ่มเห็นการเติบโต จนกระทั่งกลายเป็น “ไก่ย่างบางตาล” ที่มีลักษณะเฉพาะตัว

ธีรชัย บอกว่า จำไม่ได้เหมือนกันว่า อาแปะชื่อเรียงเสียงใด รู้กันแต่ว่า มีพื้นเพมาจากสระบุรี เคยขายไก่ย่างอยู่สระบุรี มีสูตรที่เมื่อย่างออกมาแล้ว ไก่จะเหลือง หอม รสชาติเข้มข้น ถูกปาก ถูกใจลูกค้าที่ได้ลองแวะซื้อชิม
และก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนเริ่มทำตาม ต้นตำนานไก่ย่างบางตาลจึงสถาปนาตัวเองด้วยรูปลักษณ์ รสชาติเฉพาะตัวนับจากนั้น
    
“ไก่เหลือง” เข้ากรุง
ธุรกิจไก่ย่างบางตาลเฟื่องฟูอยู่ตรงสถานีรถไฟนั้นระยะหนึ่งก็เกิดจุด เปลี่ยนเมื่อการรถไฟพัฒนาจากรถจักรไอน้ำมาเป็นรถดีเซลราง สถานีคลองบางตาล กลายเป็นสถานีเล็กที่ไม่จำเป็นต้องจอดแวะเติมน้ำเติมฟืน ความคึกคักที่เคยเป็นก็ค่อยๆ ลดลง จากจุดนั้นเอง ทั้งลูกน้อง คนย่างไก่ของอาแปะ และอีกหลายๆ รายที่ขายไก่ย่าง ก็เริ่มแยกย้ายสลายตัว

“อาแปะเองก็หยุดทำไก่ย่าง หันไปเปิดร้านขายกาแฟ ขายอย่างอื่นไปเลย ลูกน้องแกก็ขยับขยายไปหาที่ทำมาหากินที่อื่น ไปทำกันแถวบางแสนก็มี แถวชะอำ คือแหล่งท่องเที่ยว ชายหาดที่มีนักท่องเที่ยวเยอะๆ บางส่วนก็ย่างไก่เข้าไปขายในกรุงเทพฯ” ธีรชัย เล่าถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของไก่ย่างบางตาลในยุคต่อมา

นั่นเองทำให้สายพันธุ์ ไก่ย่าง-ไก่เหลือง ระบาด แพร่กระจายออกไปจากสูตรเริ่มต้นที่บางตาล จนในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะไปเที่ยวชายหาดที่ไหน ก็มักได้เจอ ไก่ย่าง-ไก่เหลือง แบบนี้เสมอ แม้ว่ารสชาติ ความเข้มข้น สีสัน จะแตกต่างกันออกไปก็ตาม

ขณะที่ หมู่บ้านบางตาลบริเวณใกล้สถานีรถไฟคลองบางตาลก็แปลงสภาพกลายเป็น “หมู่บ้านไก่ย่าง” หรือแหล่งผลิต “ไก่เหลือง”

และตัวธีรชัยเอง ก็เป็นอีก 1 คนที่เป็นผู้นำพาเอา ไก่บางตาล มุ่งหน้าเข้ามาขายในกรุงเทพฯ ก่อนจะโด่งดังในเวลาต่อมา
    
แจ้งเกิด “ธีรชัย ไก่ย่างบางตาล”
“เริ่มแรกเลยผมก็ทำไม่เป็นหรอก ไก่ย่างเนี่ย อาศัยจ้างคนเก่าที่เขาทำขายอยู่มาช่วยกัน แล้วก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ มันหมักยังไง ต้องใช้สีผสมอาหารแบบไหน ผมขายเร่อยู่นาน จนมาเริ่มปักหลักขายอยู่ในหมู่บ้านชลนิเวศน์ หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊แกละนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มาขายริมคลอง คราวนี้คนก็เริ่มรู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมาลงหนังสือเส้นทางเศรษฐีนี่แหละ” ธีรชัย เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่เปิดหน้าร้าน ย่างไก่ขายอย่างจริงจังในกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว

หากคนที่เป็นลูกค้าขาประจำตั้งแต่ยุคแรก คงจำภาพรถขายไก่ย่างควันโขมง ริมคลองประปาใกล้สามแยกประชาชื่นได้เป็นอย่างดี

นอกจากแรงส่งจากปากต่อปาก เล่าขานความอร่อยเข้มข้นของ “ไก่ย่างบางตาล” ริมคลองประปาแถวประชานิเวศน์ 1 แล้ว การได้รับความสนใจจากสื่อไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ หรือรายการโทรทัศน์ในเวลาต่อมา คือปัจจัยสำคัญของความสำเร็จและแจ้งเกิดให้ชื่อของ “ธีรชัย ไก่ย่างบางตาล” เป็นที่รับรู้กันไปทั่ว

นอกจากจะถูกแนะนำผ่าน “เส้นทางเศรษฐี” แล้ว ในเวลาต่อมารายการโทรทัศน์ตั้งแต่ยุคที่ยังเป็น ไอทีวี รวมถึงรายการประเภทแนะนำร้านอร่อย ก็หมุนเวียนมา ชม-ชิม-โชว์ ความอร่อยของไก่จนเป็นปึกแผ่นมาถึงทุกวันนี้
จากที่ขายวันละไม่กี่ตัว ปัจจุบัน ธีรชัย บอกว่า ไก่ย่างของเขาเฉลี่ยแล้วขายประมาณวันละ 300 กิโลกรัม
แต่ขั้นตอนการชำแหละไก่ เสียบไม้ มัด ยังทำแบบดั้งเดิมที่บางตาลในทุกเช้ามืด ก่อนจะส่งเข้ามายัง 2 ร้านหลักที่สวนสามเหลี่ยมประชานิเวศน์ 1 และในหมู่บ้านชลนิเวศน์ เริ่มย่างขายกันตั้งแต่ 08.30 น. โดยประมาณ
และจนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่คิดจะย้ายไปไหนหรือเพิ่มสาขาแบบที่ใครๆ เขาทำกัน

“ผมเองก็ลองผิดลองถูกเรื่องทำเลมาหลายรอบ ต้องบอกว่า จุดที่ขายวันนี้ก็ไม่ได้ดีมากเพราะไม่ใช่จุดท่องเที่ยวหรือมีคนเดินเยอะ ที่ดังมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะสื่อช่วยแหละ”
    
ไม่ขายแฟรนไชส์-ไม่หวงสูตร
แม้จะโด่งดัง สร้างรายได้แบบสบายๆ แล้ว แต่เมื่อถามถึงการขยับขยายไปเปิดสาขา เปิดร้านในห้าง ในศูนย์การค้า หรือขายแฟรนไชส์ แบบที่กำลังฮิตกันอยู่ในขณะนี้ ไก่ย่างบางตาลของธีรชัยกลับขอเลือกที่จะไปเรื่อยๆ แบบพอเพียงเสียมากกว่า

เพราะความไม่มั่นใจว่า การเข้าไปขายในศูนย์การค้า ส่วนใหญ่ก็จะเจอกับปัญหาค่าเช่าแพง แล้วยังมีเรื่องการบริหารจัดการ แบ่งทีม แบ่งคนไปขายหน้าร้านอีกต่างหาก

ดังนั้น เรื่องขายตามศูนย์การค้าหรือขายแฟรนไชส์จึงยังดูเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับไก่ย่างต้นตำรับรายนี้
แต่สำหรับคนที่อยากทำ เขาก็ไม่เคยหวงสูตร และยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องลึกลับแต่อย่างใด

“เรื่องขายสูตร ขายแฟรนไชส์ก็ยังไม่ได้คิด มีคนมาขอสูตรกันเยอะแต่บางคนเอาไปแล้วก็ไม่เห็นจะทำจริงจัง ใครมาขอให้สอนก็ไม่หวงนะ ไม่เคยเรียกค่าแฟรนไชส์อะไรนะ แต่เขาเอาไปเองแล้วมักไม่ค่อยรอด

ไก่เหลือง มันมีทุกที่ สูตรก็คล้ายๆ กัน แต่อยู่ที่ฝีมือ ใครได้ไก่สด ทำเครื่องปรุงดี ร้านสะอาด สูตร ก็กระเทียม 1 กิโล พริกไทย 2 ขีด ต่อไก่ประมาณ 20 กิโล มีบางคนใช้เครื่องเท่านี้ แต่เขาหมักไก่ 30 กิโล 40 กิโล รสชาติมันก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง สูตรของผม ไม่เกิน 20 กิโล ที่เหลือก็เป็นเรื่องการย่าง ซึ่งก็ต้องมีเทคนิค ฝีมือใครฝีมือมัน”

นั่นเป็นเพราะ ลำพังที่ขายอยู่ทุกวันที่หน้าร้าน กับการรับงานออกซุ้มอาหารจัดเลี้ยง “ธีรชัย ไก่ย่างบางตาล” ก็อยู่ได้สบายๆ แล้ว

และนี่ก็คืออีก 1 ตำนานสุดยอดไก่ย่างไทยแท้ ที่เป็นเมนูเด็ดดัง และอาชีพสร้างรายได้ที่ไม่เคยล้าสมัยเลย
    


บางตาล หมู่บ้านไก่ย่าง OTOP
แม้วันนี้ บ้านบางตาล จะเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ สงบเงียบ เท่าๆ กับที่สถานีรถไฟคลองบางตาล ก็ไม่ได้คึกคักเหมือนในอดีต

แต่บทบาทของความเป็น “หมู่บ้านไก่ย่าง” ก็ยังปรากฏให้เห็น และเป็นต้นตำรับขนานแท้ที่ประกอบอาชีพกันได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

นอกจากอาคารใหญ่สูง 4 ชั้นของ ธีรชัย ไก่ย่างบางตาล แล้ว บ้านหลังอื่นๆ ก็ยังคงเป็นแหล่งผลิต “ไก่เหลือง” มากบ้าง น้อยบ้าง ตามกำลังของผู้ลงทุนรายนั้นๆ

ไม่แปลกที่หากเดินวนอยู่ในละแวกนั้น จะเห็นหลายๆ บ้านจัดการเรื่องไก่ เห็นมัดไม้ไผ่ที่เตรียมไว้สำหรับประกอบเข้ากับชิ้นส่วนไก่ บ้างก็มีรถมอเตอร์ไซค์พ่วงพร้อมเตาย่างมาจอดรอรับสินค้าไปขาย
นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์กลางของกลุ่มวิสาหกิจขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีไก่ย่าง และได้รับการประทับตราให้เป็น OTOP ของจังหวัดราชบุรีอีกด้วย

“เฉพาะของผมเอง ตอนนี้ลูกน้องทั้งหมดประมาณ 20 คน อันนี้รวมทำเตรียม หมัก ย่าง และขายหน้าร้าน ไก่ก็ต้องไปทำปรุงเครื่องที่บางตาล ตี 5 เอารถเข้ามาขายที่นี่ แต่บางตาลมันก็มีคนทำไก่ย่างกันทั้งนั้น ตอนนี้ก็มีรวมกลุ่มเป็น เอสเอ็มอีไก่ย่างบางตาล มีมาออกงานโอท็อปบ้าง แต่เราไม่ไป เพราะเท่าที่ทำตอนนี้ก็พอแล้ว
นี่คือภาพวันนี้ของ บางตาล แหล่งผลิต และต้นตำรับสูตร ไก่ย่างบางตาล ที่มีขายไปทั่วประเทศแล้วนั่นเอง
    
    
ข้อมูลจำเพาะ
ชื่อร้าน                                 ร้านธีรชัย ไก่ย่างบางตาล
สถานที่ตั้ง                             เลขที่ 322 ซอย 2 ถนนประชาชื่น แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์                               (081) 991-3224, (081) 854-2612
การเดินทาง                           จากถนนวิภาวดีรังสิตให้เลี้ยวซ้ายตรงทางเข้าวัดเสมียนนารี
                                           จากนั้นตรงไปทางถนนเทศบาลสงเคราะห์
                                           จะเห็นร้านธีรชัย ไก่ย่างบางตาล อยู่ติดถนนเทศบาลสงเคราะห์
เวลาเปิด-ปิดทำการ                  เปิดทุกวัน เวลา 08.00-18.30 น.
เมนูแนะนำ                             ไก่ย่างบางตาล, ส้มตำไทย-ปู-ส้มตำแตง-หอยดอง,
                                           ลาบหมู, น้ำตกหมู, ซุบหน่อไม้, ต้มแซ่บกระดูกอ่อน
credit : http://www.matichon.co.th/

Read More...


เล่นเส้น เล่นสี "บุญมีขนมจีน" น้ำยาเติมฟรีไม่มีอั้น

Pic_178218

หล่มเก่าขึ้นชื่อเรื่องขนมจีนน้ำยา ถ้ามาแล้วไม่ได้หม่ำคลำทางออกจากจังหวัดเพชรบูรณ์ไม่ถูก (ฮา) ทั้งอำเภอมีร้านขนมจีนอยู่มากมายขับรถไปชิมไปหาร้านถูกใจได้ตามสะดวก แต่ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาขับวนหาให้เปลืองน้ำมัน เจ๊แซบขอแนะนำ “ร้านบุญมีขนมจีน” ร้านเด็ดร้านดังที่คนในพื้นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี โซ้ยกันมาตั้งแต่หาบขายจนตอนนี้ขยายร้านใหญ่โตก็ยังโซ้ยกันต่อไป นอกจากเจ๊แซบจะติดอกติดใจในความเหนียว นุ่มของเส้นขนมจีนและความเข้มข้นของน้ำยารีฟิล (refill) เติมได้ไม่มีหยุด เจ๊แซบยังแอบประทับใจในความหน้าใสของ “คุณพี่บุญมี” เจ้าของร้าน ขนาดเด็กในร้านเรียก “ป้า” แต่คุณพี่ก็ยังหน้าใสมั่กๆ!!

“เปิดมา 14 ปีแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ทำต้นไม้ขายมาก่อน พอเงินบาทลอยตัวก็ขายไม่ดี ก็เลยเปลี่ยนมาขายขนมจีนแทน แต่ว่าก่อนหน้านี้ก็คือหาบขายมาก่อนอยู่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนจากหาบเร่ขายมาเปิดร้านค่ะ ร้านก็อยู่ตรงนี้มาตลอด ตอนแรกก็ไม่ได้มีโต๊ะเยอะขนาดนี้ มีแค่ 4 โต๊ะเอง แล้วตอนหลังก็ค่อยๆ ขยับขยาย สูตรที่ทำก็เป็นสูตรของที่บ้านทำทานกันอยู่แล้ว” ขนมจีนร้านนี้นอกจากเส้นจะเล็กไม่เหมือนใคร ยังมีสีสันสดใส คุณพี่บุญมีใช้ผักผลไม้และดอกไม้ที่ปลูกเองในสวนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ “ที่ทำขนมจีนหลายๆสีก็เพราะเรามีต้นไม้ที่เราปลูกเองที่นี่ เพราะเราเคยทำสวนมาก่อน เราก็เลยคิดว่าเอาที่เราปลูกมาทำสีให้ขนมจีนดีกว่า ทำมาแล้วลูกค้าก็ชอบ เราก็ทำเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จนตอนนี้มี 7 สีแล้วค่ะ”

นํ้ายากะทิ นํ้ายาป่า และนํ้าพริก แซบโดนใจขาโซ้ย
นํ้ายากะทิ นํ้ายาป่า และนํ้าพริก แซบโดนใจขาโซ้ย

มหกรรมแห่งการใส่สีลงในเส้นขนมจีนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้ความใจเย็นเป็นที่ตั้ง ทั้ง 7 สี มีที่มาต่างกัน สีขาวเป็นขนมจีนธรรมดา คล้ำขึ้นมาหน่อยเป็นขนมจีนข้าวกล้อง สีเหลืองมาจากฟักทอง สีม่วงดอกอัญชัน สีชมพูอ่อนจากแก้วมังกร สีส้มจากแครอทผสมน้ำแตงโม และสีเขียวจากใบเตย

ก่อนจะเริ่มเติมสีลงไป ในขนมจีน คุณพี่บุญมีต้องทำแป้งขนมจีนโดยใช้ข้าวเจ้าคัดเม็ดที่ไม่เต็มดี เลือกที่หักเป็นท่อนๆแช่น้ำ และหมักทิ้งไว้ 3 วัน จนแป้งเน่า ก่อนจะนำมากรองเอาน้ำออก ทยอยเทลงไปในเครื่องนวด เมื่อเม็ดข้าวถูกนวดจนกลายเป็นแป้งค่อยนำมาใส่ในถุงข้าววางพักไว้อีก 2 คืน จนแป้งแห้งและแข็งเป็นก้อน จึงนำมาต้มในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที พอแป้งสุกกำลังดี ตักขึ้นจากหม้อรอนำไปนวดกับส่วนผสมอื่นๆต่อไป... เจ๊แซบฟังแล้วเหนื่อยใจ แค่ทำแป้งยังไม่เริ่มใส่สีก็ปาเข้า ไป 5 วัน นับถือในความขยันอย่างแรง!!!

ขนมจีนเส้นสด...กดเอง
ขนมจีนเส้นสด...กดเอง
แป้งที่ถูกตักขึ้นมาจากหม้อ จะถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ สำหรับทำสีต่างๆ ถ้าเป็นขนมจีนธรรมดาแค่นวดให้ได้ที่แล้วใส่เครื่องกดทำเส้นขนมจีน เป็นอันสำมะเร็จ เสร็จสิ้น

สำหรับขนมจีนข้าวกล้อง ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำ แล้วทำทุกขั้นตอนเหมือนแป้งขนมจีน แล้วนำทั้งสองแป้งมานวดรวมกัน ก่อนจะนำไปกด นอกจากรสชาติดีแล้วยังมีประโยชน์อีกต่างหาก


อีก 5 สีที่เหลือ คุณพี่บุญมีต้องนำดอกอัญชัน ใบเตย แครอท และแตงโม ไปแยกปั่นและกรองเอาแต่น้ำมานวดกับแป้งขนมจีนที่เตรียมไว้ แล้วจึงนำไปกดเส้น แต่สำหรับสีเหลืองจะประหลาดกว่าสีอื่นเล็กน้อยเพราะต้องนำฟักทองไปนึ่งให้ สุกแล้วนวดเนื้อฟักทองเข้ากับแป้งจนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว คนที่ไม่หม่ำฟักทองไม่ต้องกังวล เจ๊แซบการันตีไม่มีกลิ่นไม่มีรสชาติฟักทองมากวนใจ


ขนมจีนร้านนี้จะขายเป็นชุด ในชุดมีขนมจีน 1 จาน หนึ่งจานมีขนมจีนม้วนเป็นก้อนๆพอดีหม่ำจำนวน 10 ก้อนคละมาครบ 7 สี พร้อมกับน้ำยา 3 หม้อ มีน้ำยากะทิ รสนุ่มละมุนละไม ใช้เนื้อปลาทับทิมคั่วกับเครื่องแกงที่ทางร้านทำเอง รสกลมกล่อมกำลังดี เร่งดีกรีขึ้นอีกนิดกับ น้ำยาป่า รสเข้ม แซมด้วยกลิ่นปลาร้าอ่อนๆ ราดชุ่มๆ โซ้ยกับผักสดๆ และไข่ต้มอร่อยขาดใจ ปิดท้ายด้วย น้ำพริก รสเปรี้ยวอมหวานกำลังดี ใส่พริกคั่วลงไปสักนิด เติมน้ำปลาอีกหน่อยอร่อยจนไม่อยากกลับบ้าน (หุหุ) แถมท้ายด้วยผักสารพัดชนิดทั้ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วฝักยาว สะระแหน่ ผักชีลาว ใบแมงลัก ใบสนิว ใบพลูคาว และยอดผักแพว ผักทุกชนิดไม่ได้ใช้สารเคมีเพราะพี่บุญมีปลูกเองอยู่รอบบ้าน โซ้ยได้สบายใจ ทั้งน้ำยาและผักเติมได้ไม่มีอั้น “เราให้อย่างนี้ตลอดค่ะ ถ้าน้ำยาหมด ผักหมดเราก็เติมให้ฟรีไม่คิดตังค์เพิ่มค่ะ คิดแต่ขนมจีนอย่างเดียว ผักร้านเราเยอะ เป็นผักพื้นบ้านทั้งนั้น เราปลูกเอง สด ใหม่ และอร่อยด้วยหอมลูกค้าส่วนใหญ่จะชอบค่ะ”


นักโซ้ยที่นิยมความหลากหลาย คุณพี่บุญมีจัดของทานเล่นไว้เป็นเครื่องเคียงมากมายมีทั้งไส้อั่วไส้กรอก สมุนไพรไข่ต้มลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นปลาลวก หมูย่าง และอีกสารพัดสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามฤดูกาล ของทานเล่นไม่รวมอยู่ในชุดขนมจีน กินเท่าไหร่ จ่ายเท่านั้น

“บุญมี ขนมจีน” หรือ “ขนมจีนแม่บุญมี” หรือ “ร้านขนมจีนบุญมี” คือ ร้านเดียวกัน เรียกสลับกันไปมาบางคนอาจจะงง ให้สังเกตถ้าเห็นรูปพี่บุญมีหน้าใสติดอยู่ตามเสาเข้าไปนั่งหม่ำได้ไม่ผิด ร้าน (ฮา)


ตัวร้านตั้งอยู่ในอำเภอหล่มเก่า อยู่ไม่ไกลจากอำเภอหล่มสักมากนัก ประมาณ 5 กิโลเมตร เส้นทางที่ไปถนนหล่มสัก–เลย ร้านนี้อยู่ตรงข้ามกับ อบต.นาแซง อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ หรือเยื้องๆกับโรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม มี ป้ายบอกชัดเจน หรือโทร.ถามทางได้ที่เบอร์ 08–9643–2775, 0–5670–9274 ร้านเปิดทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น

ก่อนจบก่อนจากเจ๊แซบ ฝากกระซิบถึงสมาชิกชมรมคนเลิฟปลาร้า คุณพี่บุญมีใจดีมีน้ำปลาร้ารสแจ่มไว้คอยบริการ ถ้าอยากทานบอกเด็กในร้านได้เลยคร้า...


เจ๊แซบ หัวเขียว
Thairath

Read More...


สเต๊ก..เสียบ​ไม้​ย่าง อาหาร..ยุค​ทันสมัย











Credit : http://www.thairath.co.th/column/eco/capable/169199

Read More...


ข้าวมันไก่ 5 ดาว” ธุรกิจเล็ก “สร้างเถ้าแก่เล็ก”

’ข้าวมันไก่“ เป็นอีกหนึ่งจานด่วนยอดฮิต สามารถทำขายเป็นอาชีพสร้างรายได้ ซึ่งด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ส่งผลให้คนหันมาทำธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก กระบวนการจัดการไม่ยุ่งยาก แต่สามารถสร้างรายได้มั่นคง โดยสำหรับธุรกิจ “ข้าวมันไก่” นั้น ธุรกิจ 5 ดาว หนึ่งใน แฟรนไชส์ ที่ประสบความสำเร็จ สร้างงานสร้างอาชีพ สร้างเจ้าของธุรกิจ ที่เรียกกันติดปากว่า “เถ้าแก่เล็ก” มานานกว่า 30 ปี ก็อาจจะเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ที่ดี ของคนอยากทำธุรกิจ…


ธุรกิจ 5 ดาว ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด โดยสนับสนุนการเป็นเจ้าของธุรกิจภายใต้คอนเซปต์ สร้างงานสร้างอาชีพให้เถ้าแก่เล็กทั้ง 100% มานานต่อเนื่อง ปัจจุบันมีจำนวนจุดขายทั้งหมดประมาณ 4,100 จุดขาย ประกอบด้วย 5 ไลน์ธุรกิจ คือ ไก่ย่าง ไก่ทอด ข้าวมันไก่ บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง และห้าดาวเรดดี้มีล


อนงค์ เพชรสูงเนิน วัย 44 ปี เป็นเถ้าแก่เล็ก “ข้าวมันไก่ 5 ดาว“ อยู่ที่สุขุมวิท 101 เจ้าตัวเล่าว่า เป็นคนบุรีรัมย์ เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ เช่นคนต่างจังหวัดทั่วไป โดยเป็นพนักงานโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้ากว่า 10 ปี ก็ไม่มีเงินเหลือเก็บ จึงพยายามหารายได้เสริมด้วยการรับเสื้อผ้ามาเย็บนอกเวลา แต่ก็ได้เงินบ้างโดนโกงบ้าง ต่อมาน้องสาวแฟนชักชวนร่วมทำธุรกิจข้าวมันไก่ 5 ดาว เห็นว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงตัดสินใจร่วมธุรกิจ


ก่อน ร่วมทุนก็ศึกษาและสอบถามเรื่องผลิตภัณฑ์ของ 5 ดาวพอสมควร จากการสังเกตพบว่า ไม่ว่าจะเป็นไก่ย่าง ไก่ทอด ไก่จ๊อ หรือข้าวมันไก่ ล้วนได้รับความนิยม อีกอย่างก็เป็นธุรกิจที่มุ่งเน้นสร้างอาชีพให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็ม อี หรือรายย่อยเป็นหลัก ด้วยเงินลงทุนที่ไม่สูง ที่สำคัญคือราคาเมนูอาหารเป็นธรรมกับผู้บริโภค จึงตัดสินใจทำธุรกิจนี้

อนงค์ เลือกทำไลน์ “ข้าวมันไก่” โดยบอกว่า เป็นเมนูอาหารที่คนไทยคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ใช้งบลงทุนเพียง 25,000 บาท ก็เปิดร้านขายได้ โดยทางบริษัทฯจะอบรมวิธีการขายให้ รวมถึงการจัดส่งสินค้าและติดตั้งอุปกรณ์การขายให้เสร็จสรรพ พร้อมทั้งดูแลด้านการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้แก่เถ้าแก่เล็กตลอดอายุสัญญา


เมนู “ข้าวมันไก่ 5 ดาว” มีทั้งหมด 5 รายการ ได้แก่ ข้าวมันไก่ต้ม ราคาจานละ 27 บาท ข้าวมันไก่สไปซี่ จานละ 30 บาท ข้าวมันไก่ย่าง จานละ 35 บาท ข้าวมันไก่โกลเด้นชิค จานละ 30 บาท ข้าวมันไก่สองสี (ไก่ต้มผสมไก่ทอด) จานละ 35 บาท มีกำไรเฉลี่ยต่อจาน 7-10 บาท ซึ่งแต่ละรายการก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดี

“วันแรก (19 ส.ค. 2553) ที่เปิดร้าน ผลตอบรับจากลูกค้าดีมาก วันนั้นขายได้ประมาณ 200 จาน รู้สึกมีกำลังใจและดีใจมาก ขายไปประมาณ 1 เดือนก็คืนทุน ลูกค้าที่เข้ามาทานส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานออฟฟิศและนักเรียน ลูกค้าก็จะชมข้าวมันที่นุ่มกำลังดี ซึ่งใช้ข้าวหอมมะลิ และชมรสชาติน้ำจิ้มที่อร่อยกลมกล่อม” เถ้าแก่เล็กอนงค์เล่า



พร้อม ทั้งบอกต่อว่า วันนี้หากยังเป็นลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท ด้วยอายุประมาณนี้แล้วคงลำบาก การร่วมธุรกิจนี้จึงนับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เนื่องจากทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีอาชีพที่เป็นธุรกิจของตนเอง มีรายได้ที่มั่นคงแน่นอน สามารถสร้างบ้าน และเลี้ยงดูครอบครัวให้อยู่ดีมีสุขได้

เมื่อถามถึงปัจจัยที่ทำ ให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ อนงค์บอกว่า ธุรกิจนี้จริง ๆ คือตัวเราเป็นเจ้าของ เป็นเถ้าแก่เอง บริษัทจะคอยสนับสนุน จึงต้องมีความขยันอดทนเป็นองค์ประกอบ นอกเหนือจากคำแนะนำ สูตร รสชาติข้าวมันไก่ที่ได้มาตรฐาน และกระบวนการจัดการ ณ จุดขาย ที่เน้นอำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้ประกอบการ จาก 5 ดาว สิ่งสำคัญที่จะส่งผลต่อความสำเร็จสำหรับเถ้าแก่เล็ก อนงค์บอกว่า ประกอบด้วย 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ประกอบการรายย่อยที่ร่วมธุรกิจ ซึ่งจะต้องมีความขยัน อดทน และซื่อสัตย์จริงใจต่อลูกค้าของตนเอง และอีกฝ่ายคือเจ้าของธุรกิจ 5 ดาว ที่ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ สินค้ามีคุณภาพมาตรฐานคงที่ มีระบบบริหารจัดการที่ดี และที่สำคัญอย่างยิ่งคือมีความจริงใจ ใส่ใจดูแลความเป็นไปของผู้ร่วมธุรกิจ ให้อยู่ได้ยั่งยืนไปด้วยกัน


ทั้ง นี้ อนงค์ยังบอกอีกว่า ในอนาคตได้วางเป้าหมายว่าจะพยายามขยายธุรกิจ เพิ่มไลน์ธุรกิจ อย่างเช่น ไก่ย่าง ไก่ทอด บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง หรือห้าดาวเรดดี้มีล ไว้ในร้านเดียวกัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค และต่อยอดความสำเร็จในธุรกิจ

ผู้ที่สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตัว เอง ต้องการร่วมทำธุรกิจ ’ข้าวมันไก่ 5 ดาว“ สามารถติดต่อสอบถามได้ ดังนี้...กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคกลาง ภาคตะวันออก ติดต่อที่ โทร. 0-2746-9678-80 หรือ 08-1702-8119, 08-0448-6678, 08-3277-9527, 08-1339-1041, 08-3543-5609, ภาคเหนือ ติดต่อที่ โทร. 08-6587-4900, 08-1235-0012, ภาคอีสาน ติดต่อที่ โทร. 08-6641-1186, 08-5874-4415 ส่วนภาคใต้ ติดต่อที่ โทร. 08-4265-8175, 08-5891-4948.

Credit : เชาวลี ชุมขำ : http://www.dailynews.co.th/

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.