สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

อาหาร...ต้านภัยหนาว

เข้าสู่ฤดูหนาวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แม้อากาศจะเย็นลงบ้างในบางจังหวัด แต่สำหรับชาวกรุงถือว่าได้สัมผัสความเย็นแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง แต่หลายคนก็ยัง (แอบ) มีหวังกับความหนาวที่อาจจะมาเยือนได้โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับอากาศที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอด เวลา...

มูลนิธิ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรแนะนำเมนูอาหารต้านภัยหนาว เน้นการต้านโรคหวัดที่เกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลงรวมทั้งอาหารที่ให้ความอบอุ่น ที่จะช่วยปรับสมดุลให้กับร่างกาย

          เริ่มกันที่ "แกงบอน" หรือแกงนางหวาน ที่เป็นเมนูขึ้นชื่อในเรื่องของอาหารลดน้ำหนัก แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นเมนูที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายด้วยเช่นกัน
อาหารไทย แกงบอนช่วยป้องกัน ภัยจากอาหาศหนาว


          บอนเป็นพืชพื้นบ้านดั้งเดิมของชาวไทย ส่วนที่นิยมรับประทานก็คือ นำยอดอ่อน ก้านใบ และไหลอ่อนมากินเป็นผัก แต่ต้องมีความชำนาญในการปรุงอย่างถูกวิธีจึงจะกินได้โดยไม่คันและไม่มีผล ข้างเคียง

          เคล็ดลับมีหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่การปอก ควรทามือด้วยปูนที่กินกับหมากให้ทั่วมือเสียก่อน ส่วนการนำมาปรุงเป็นอาหารต้องมีเครื่องปรุงที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะขาม ยอดมะขาม ส้มป่อยหรือน้ำมะกรูด เพื่อดับพิษคันของบอน

          หมอยาพื้นบ้านมักจะบอกว่า กินแกงบอนจะช่วยรักษาริดสีดวงทวารทุกชนิด ช่วยในการระบายท้อง ช่วยปรับธาตุและบำรุงร่างกาย ส่วนการศึกษาสมัยใหม่พบว่า ในก้านบอนมีไนเอซินสูงมากถึง 13 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ที่ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยควบคุมการทำงานของสมองและระบบประสาท รักษาสุขภาพของผิวหนัง ลิ้น และเนื้อเยื่อของระบบย่อยอาหาร จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลอีกด้วย

          "ต้มข่าไก่ใส่หัวสะเลเต" ข่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์มากในหน้าหนาว คือช่วยบำรุงธาตุไฟ ช่วยย่อยอาหาร แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และยังช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและต้านมะเร็ง

ต้มข่าไก่ ใส่หัวสะเลเต ช่วยต้านอากาศหนาวได้ดี



          ต้มข่าไก่จึงเป็นตำรับอาหารไทยที่เลื่องชื่อ แต่ถ้าจะให้มีรสหอมชวนรับประทานยิ่งขึ้น ให้ซอยหัวสะเลเตหรือมหาหงษ์ใส่ลงไปจะช่วยเพิ่มรสชาติและมีสรรพคุณในการแก้ ปวดหัวด้วย

          "ข้าวหมาก" คนโบราณบอกว่า ผู้หญิงควรกินข้าวหมาก เพราะข้าวหมากเป็นยาร้อนจะช่วยบำรุงเลือดลมสตรี ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไม่เป็นสิว ฝ้า และยังพบว่าในข้าวหมากมีธาตุสังกะสีมากช่วยลดการเกิดและช่วยรักษาสิว

          ข้าวหมากมีจุลินทรีย์ที่เป็นโปรไบโอติกซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีแนวโน้มในการ นำมาใช้เพื่อดูแลสุขภาพ มีการศึกษาพบว่าโปรไบโอติกกระตุ้นให้มีการสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันการเกิดมะเร็ง ช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานปกติ ช่วยให้ดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และเป็นยาบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย

          "รำหมกกล้วย" รำข้าวมีส่วนประกอบสำคัญคือ จมูกข้าว ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นน้ำนมรำข้าวที่เป็นวิตามินที่ไม่ละลายน้ำ และยังอุดมไปด้วยวิตามินที่ละลายน้ำ รวมทั้งเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย

          โดยเฉพาะวิตามินที่ไม่ละลาย เช่น วิตามินอีธรรมชาติ แกมมาโอริซานอล ช่วยทำให้ผิวยืดหยุ่น เต่งตึง ลดจุดด่างดำ ลดริ้วรอยและยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ เป็นต้น สำหรับวิตามินที่ละลายน้ำได้ คือวิตามินบีรวม ช่วยในการทำงานของระบบประสาท เหน็บชา ฯลฯ

          ส่วนแร่ธาตุอื่น ๆ อาทิ แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี ช่วยเพิ่มพลังงาน เพิ่มการเผาผลาญ เสริมสร้างการเติบโตของสมอง ฯลฯ

          นอกจากนั้นในกล้วยน้ำว้าซึ่งเป็นผลไม้พื้นบ้านที่มีคุณค่าทางอาหารสูง ที่สำคัญคือ มีกรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตในเด็ก รวมทั้งวิตามินเอวิตามินบี อีกด้วย

บทความโดย หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

Read More...


เทคนิคและการเลือกวัตถุดิบเพื่อทำน้ำพริกแกง

น้ำพริกแกงหรือเครื่องแกง เป็นส่วนผสมที่สำคัญในแกงไทยหลายชนิด เช่น แกงส้ม แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แกงบอน แกงคั่ว แกงมัสมั่น แกงไตปลา แกงแค แกงอ่อม เป็นต้น ในแกงแต่ละชนิดก็จะมีส่วนผสมหลักเหมือนกัน แต่ต่างกันในเรื่องจำนวน ปริมาณ หรือเครื่องเทศบางชนิด ซึ่งทำให้แกงแต่ละชนิดมีกลิ่นเฉพาะตัว โดยมีหลักในการเลือกและการเตรียมดังนี้

เทคนิคและการเลือกวัตถุดิบเพื่อทำน้ำพริกแกง 1. พริก พริกที่ใช้ในการโขลกน้ำพริกแกงใช้ได้ทั้งพริกสดและแห้ง ถ้าต้องการเผ็ดมากจะใช้พวกพริกขี้หนู เผ็ดน้อยใช้พริกชี้ฟ้า
- พริกสด เลือกเม็ดแก่ สดใหม่ ไม่มีรอยเน่า ไม่มีแมลงกัดแทะ ล้างให้สะอาดผึ่งให้แห้ง หั่นเป็นชิ้น
- พริกแห้ง เลือกที่ไม่เป็นรา สีแดงเข้ม เมื่อโขลกแล้วจะได้เครื่องแกงที่สีแดงสวย ผ่าแกะไส้ในและเมล็ดออก หั่นแช่น้ำให้นิ่ม ไม่ควรใช้น้ำร้อนจะทำให้สีและรสเผ็ดของพริกละลายไปกับน้ำ ก่อนโขลกบีบเอาน้ำออกให้หมด

2. หอมแกง เลือกที่สุด ไม่เน่า ปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ หั่นให้ชิ้นเล็กจะได้โขลกได้ง่ายขึ้น การเรียกชื่อมักเรียกผิดว่า “หอมแดง” ซึ่งในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นชื่อไม้ล้มลุก มีหัวชนิดหนึ่ง Eleutherine bulbosa. (Mill) Urb. ในวงศ์ Iridaceae ใบแบนคล้ายใบหมากแรกเกิด ดอกสีขาว หัวสีแดงเข้ม รสเผ็ดซ่า ใช้ทำยาได้

3. กระเทียม เลือกที่สด ไม่ฝ่อ ปอกเปลือกล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ ถ้าหัวใหญ่ให้หั่นจะโขลกง่าย
4. กระชาย เลือกรากอ้วน ๆ สด ล้างน้ำ ขูดผิวออก หั่นขวางบาง ๆ

5. ข่า เลือกข่าแก่ในการทำเครื่องแกง ขูดรอยใบออก ล้างน้ำหั่นขวางบาง ๆ

6. ขิง เลือกขิงแก่ เตรียมเช่นเดียวกันกับกระชาย

7. ขมิ้น นิยมใช้ขมิ้นชันและขมิ้นอ้อย ขมิ้นชันจะมีสีเหลืองเข้มและกลิ่นฉุนกว่าขมิ้นอ้อย แต่มีขนาดเล็กกว่า แต่ในเครื่องแกงไทยนิยมใส่ขมิ้นอ้อยเพราะกลิ่นไม่แรง ส่วนขมิ้นชันจะใช้ในเครื่องแกงพะโล้ ปอกเปลือกก่อนโขลก

8. มะกรูด จะใช้ผิวในการโขลกเครื่องแกง ใช้มีดคม ๆ ฝานเอาเฉพาะผิวสีเขียว อย่าให้ติดผิวสีขาว หั่นบาง

9. ตะไคร้ ใช้ส่วนลำต้น ล้างให้สะอาด หั่นขวางบาง ๆ

10. รากผักชี ล้างให้สะอาด ตัดเหนือจากโคนลำต้นขึ้นมา 1/2 นิ้ว เพราะส่วนนี้จะหอม หั่นให้ละเอียด

11. เครื่องเทศแห้ง ได้แก่ ลูกผักชี ยี่หร่า ลูกจันทน์ ดอกจันทน์ ลูกกระวาน กานพลู อบเชย ต้องนำไปคั่วให้หอมก่อน ลูกจันทน์ต้องทุบเปลือกแข็งออก บุบเนื้อในให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนคั่ว ลูกกระวานที่คั่วแล้วแกะเปลือกออก ใช้แต่เม็ดใน กานพลูแกะเอาเกสรออก อบเชยหักเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนคั่ว ส่วนพริกไทยเป็นเครื่องเทศแห้งชนิดเดียวที่ไม่ต้องคั่วก่อนใช้งาน การคั่วให้ใช้ไฟอ่อน คั่วทีละอย่างเพราะมีขนาดไม่เท่ากัน ถ้าคั่วพร้อมกันจะทำให้เหลืองไม่พร้อมกัน

ที่มา : nampik.com

Read More...


ประเพณีปฏิบัติสำหรับเทศกาลตรุษจีน

ประวัติของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่

วันตรุษจีนในปฏิทินสุริยคติ

ปีวันที่วันที่วันที่
ปีชวด19 กุมภาพันธ์ 25397 กุมภาพันธ์ 255125 มกราคม 2563
ปีฉลู7 กุมภาพันธ์ 254026 มกราคม 255212 กุมภาพันธ์ 2564
ปีขาล28 มกราคม 254114 กุมภาพันธ์ 25531 กุมภาพันธ์ 2565
ปีเถาะ16 กุมภาพันธ์ 25423 กุมภาพันธ์ 255422 มกราคม 2566
ปีมะโรง5 กุมภาพันธ์ 254323 มกราคม 255510 กุมภาพันธ์ 2567
ปีมะเส็ง24 มกราคม 254410 กุมภาพันธ์ 255629 มกราคม 2568
ปีมะเมีย12 กุมภาพันธ์ 254531 มกราคม 255717 กุมภาพันธ์ 2569
ปีมะแม1 กุมภาพันธ์ 254619 กุมภาพันธ์ 25586 กุมภาพันธ์ 2570
ปีวอก22 มกราคม 25478 กุมภาพันธ์ 255926 มกราคม 2571
ปีระกา9 กุมภาพันธ์ 254828 มกราคม 256013 กุมภาพันธ์ 2572
ปีจอ29 มกราคม 254916 กุมภาพันธ์ 25613 กุมภาพันธ์ 2573
ปีกุน18 กุมภาพันธ์ 25505 กุมภาพันธ์ 256223 มกราคม 2574

ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่

ประวัติ ของวันขึ้นปีใหม่ของจีนมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในวัฒนธรรมอื่นๆ ความปรารถนาสิ่งที่เราหวังว่าจะได้ปรับปรุง หรือที่เราคิดทำเมื่อเริ่มต้นในปีใหม่ มาถึงตอนนี้ ถ้าไม่ถูกลืมก็ถูกยัดลงกล่องใส่ตู้ปิดตายและแปะหน้าตู้ว่าไม่แน่ เอาไว้ทำปีหน้าแล้วกันอย่างไรก็ดี ความหวังก็คงยังไม่สูญไปทั้งหมดเพราะโอกาสที่สองกำลังมาถึงแล้ว กับการฉลองวันปีใหม่จีนหรือที่เรารู้จักกันว่า ตรุษจีน

ตรุษจีนนั้น คล้ายคลึงกับวันปีใหม่ในประเทศทางตะวันตก ร่องรอยของประเพณี และพิธีกรรมความเป็นมาของการฉลองตรุษจีน นั้นมีมานานกว่าศตวรรษ จริงๆแล้วนานมาก จนไม่สามารถย้อนกลับไปดูว่าเริ่มต้นฉลองมาตั้งแต่เมื่อไร เป็นที่รู้จักและจำได้ทั่วไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, สิ่งต่างๆ เพื่อประดับบ้านเรือน, อาหารและเสื้อผ้า

การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็ เริ่มขึ้นในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูก ทำความสะอาดตั้งแต่บนลงล่างหน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซึ่งสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถูก ประดับประดาด้วยกระดาษที่มีคำอวยพรอย่างเช่น อยู่ดีมีสุข ร่ำรวย และอายุยืนเป็นต้น

วันก่อนวันตรุษจีนนั้นเป็นวันแห่ง การการรอคอยจะว่าไปถือวันที่น่าตื่นเต้น มากที่สุด ในบรรดาการฉลองทั้งหมดเห็นจะได้ ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ นั้นผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเสื้อผ้า อาหารค่ำนั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนึ่งเช่นขนมจีบ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีความหมายต่างๆกัน อาหารอันโอชะอย่างเช่นกุ้งจะหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง และความสุข เป๋าฮื้อแห้งหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนำมาซึ่งโชคดี จี้ไช่ (ผมเทวดา)

สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนำความความร่ำรวยมาให้ และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถึงบรรพชนอวยพร และเป็นธรรมดาเสื้อผ้าที่ใส่สีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคลเป็นการไล่ปีศาจร้าย ให้ออกไป และการใส่สีดำหรือขาวเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งสีเหล่านี้ถือว่าเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ หลังจากอาหารค่ำทุกคนในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีที่เกี่ยวกับวันตรุษจีน และในวันนี้จะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพื่อเป็นสิริมงคลที่ดีสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง

เมื่อ ถึงวันตรุษจีน ประเพณีตั้งแต่โบราณมาเรียกว่า อังเปา ซึ่งหมายถึง กระเป๋าแดง เป็นการที่คู่แต่งงานให้เงินเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้แต่งงานในซองสีแดง หลังจากนั้นทุกคน ในครอบครัว ต่าง ออกมาเพื่อกล่าวสวัสดีปีใหม่ เริ่มจากญาติๆ แล้วต่อด้วยเพื่อนบ้าน โดยส่วนใหญ่จะพูดว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ซินเจิ้งหรูอี้ ซินเหนียนฟาไฉ" ซึ่งคงคล้ายกับการที่ชาวตะวันตกพูดว่า "Let bygones be bygones" (อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป) ในวันตรุษนี้ อารมณ์โมโหโกรธาจะถูกลืม และไม่สนใจ การฉลองวันตรุษจีนสิ้นสุดลงในงานโคมไฟ ซึ่งฉลองโดยการร้องเพลง เต้นรำ และงานแสดงโคมไฟ ถึงแม้ว่าการฉลองวันตรุษจีน จะมีแตกต่างกันออกไปแต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ การอวยพร ความสงบ และความสุขให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนทุกคน

"ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้"
ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือวันจ่าย วันไหว้ และวันปีใหม่

วัน จ่าย หรือ ตื่อเส็ก คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้านหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว

วันไหว้ คือ วันสิ้นปี จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ

ตอนเช้ามืดจะไหว้ ไป๊เล่าเอี๊ย
เป็น การไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
ตอนสาย จะไหว้ไป๊เป้บ๊อคือ การไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว
ตอนบ่าย จะไหว้ ไป๊ฮ้อเฮียตี๋เป็น การไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทัดเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล

วัน ขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี (ชิวอิก) วันนี้ ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ การไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "กา" ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น

อ่านต่อเรื่องเกี่ยวกับวันตรุษจีนของไหว้ตรุษจีน ขนมไหว้วันตรุษจีน

ที่มา
http://www.foodietaste.com/mustknow_detail.asp?id=16
http://www.horoworld.com
http://www.tumsrivichai.com

Read More...


เทอร์รีน (Terrine) ปาร์เต้ (Pate) ฟอร์สมีต (Fourcemeat) คืออะไร

เริ่มจากคำว่า เทอร์รีนเอง ซึ่งก็มีความหมายมากกว่าเนื้อก้อนที่เราเห็นกัน อีกความหมายก็คือ ภาชนะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีฝาปิดมักทำจากดินเผา กระเบื้องเคลือบ แก้วทนไฟ หรือแบบเด็ดๆ เลย ทำมาจากเหล็กหล่อแท้ๆ ภาชนะที่ว่านี้เอง นิยมใช้ทำเป็นพิมพ์ของ “Fource Meat” หรือเนื้อที่ทำให้สุกในพิมพ์ เมื่อออกมาก็มีรูปร่างตามพิมพ์เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นที่มาให้เนื้อก้อน ที่ได้ชื่อว่า Terrine ตามภาชนะนั่นเอง

กลุ่มฟอร์ซมีตที่นำมาปรุงเป็นเทอร์รีนนั้น แบ่งได้อีกเป็น 4 ประเภทใหญ่
ผู้เขียนขอเรียงตามลำดับความเนียนเลยแล้วกัน

ฟอร์ซมีต แบ่งเป็น 4 แบบ ตามความละเอียดเนียน
  • กลุ่ม แรกก็คือ Mousseline fourcemeat กลุ่มนี้ถือได้ว่า มีเนื้อเนียนที่สุด มีความนุ่มคล้ายมูส มองดูแยกไม่ออกเลยว่ามีอะไรเป็นวัตถุดิบอยู่
    ยกตัวอย่างเช่น Salmon Terrine ทำโดยใช้เนื้อปลาแซลมอนสดบดกับไข่ขาว
    เติมครีมสด ปรุงรสด้วยน้ำสต๊อกปลา เนื้อจะเนียนนุ่ม มีกลิ่นหอมสมุนไพร
    รสชาติหวานเนื้อปลา มันจากครีม
    ใน กลุ่มนี้ชนิดที่คุณผู้อ่านน่าจะเคยชิมมาบ้าง ก็ยังมีตับบดที่ขายตามเคาน์เตอร์ไส้กรอกอย่างของ TGM หรือตามร้านเบเกอรีเจ้าดังอย่าง Coffee Bean by Dao ก็เห็นวางขายอยู่ในถ้วย  จริงๆ แล้วก็จัดเป็นฟอร์ซมีตแบบเนื้อมูส หากแต่ทำในภาชนะที่ไม่ได้เป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เลยเรียกเป็นเทอร์รีนไม่ได้
Mousseline Terrine เทอร์รีนชนิดเนื้อเนียน มักนิยมเช่น ทำจากตับเป็ด,แซลมอน


ถ้า อยากชิมเทอร์รีนเนื้อมูสจากตับรสชาติแบบฝรั่งแท้ ลองเดินไปที่ร้านของโรงแรมโอเรียนเต็ล ที่ชั้น M พารากอน เขาจะมีเทอร์รีนจากตับเป็ดให้ซื้อตามน้ำหนัก อย่าลืมซื้อขนมปังบริยอช (Brioche) มาปิ้งรับประทานคู่กันด้วยเป็นอาหารเช้า  ผู้เขียนนิยมทานเทอร์รีนจากตับในช่วงตั้งครรภ์เป็นพิเศษ เพราะมีข้อแก้ต่างที่ดีว่าต้องการธาตุเหล็กบำรุงลูกน้อยในครรภ์ เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรับประทานตับ แต่ยังหาวิธีปรุงที่ถูกใจไม่ได้ เทอร์รีนตับเป็ดนั้นแทบจะเรียกได้ว่าปราศจากความขม ต่างจากตับไก่หรือหมูโดยสิ้นเชิง
  • กลุ่มที่สอง กลุ่มนี้จะเรียกตามภาษาครัวว่า Straight Fourcemeat เนื้อจะหยาบขึ้นมาหน่อย
    แบบ นี้จะเป็นการนำเนื้อสัตว์ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ อาหารทะเลอย่าง กุ้ง ปลา หรือจะให้พิสดารก็เนื้อกวางเวอนิซง (Venison) มาบดให้ละเอียด เติมไขมันลงไป ที่นิยมใช้ที่สุดก็คือ ไขมันจากหมู หรือเรียกว่า มันหมูแข็ง เพราะมีกลิ่นน้อยเมื่อเทียบกับ “มัน” ของสัตว์ชนิดอื่นๆ หรือจะใช้มันที่ติดมากับเนื้อสัตว์เลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบ

    เมื่อบดแล้วก็ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และสมุนไพรต่างๆ มักจะต้องมีส่วนผสมของปานาดาส์ (Panadas) ลงไปด้วย ก็คือส่วนผสมที่คุณเลือกได้จาก ไข่ไก่ ครีม เนื้อขนมปัง หรือเกล็ดขนมปัง นม แป้งสาลี ลงไปด้วย หน้าที่ของปานาดาส์ก็คือ เพื่อให้เกิดการเกาะกัน มักจะต้องเป็นไข่บวกครีม ไข่บวกนม หรือเกล็ดขนมปังบวกนมหรือครีม ไข่อย่างเดียว หรือแป้งบวกครีมแล้วแต่สูตรและการพลิกแพลง ปานาดาส์นี้จะช่วยให้เนื้อของฟอร์ซมีตแน่นขึ้น แต่ยังคงความชุ่มฉ่ำอยู่ ทำให้ส่วนผสมของไขมันและเนื้อรวมเป็นเนื้อเดียวกัน รับรองว่าใส่แต่พอเหมาะแล้วจะอร่อย ขึ้น                                     
  • กลุ่มที่สามนี้ จะหยาบขึ้นมาอีกนิด รสเข้มขึ้นมาอีกหน่อย เรียกกลุ่มนี้ว่า Country Style Fourcemeat จะคล้ายคลึงกับแบบที่สอง ต่างกันตรงที่กลุ่มนี้จะเติม “ส่วนผสมของตับ” ลงไปบดผสมด้วย จะเป็นตับไก่ ตับหมู ตับเป็ด หรือตับห่าน ก็แล้วแต่งบประมาณและรสชาติที่ต้องการ
Country-Style Forcemeat จะมีลักษณะเนื้อที่หยาบขึ้น


จุด สังเกตของชนิดนี้ก็คือ เมื่อหั่นหรือสไลซ์ Terrine จากกลุ่มนี้แล้วจะเห็นว่าเนื้อเทอร์รีนดูหยาบ เกือบจะดูรู้เลยว่า มีอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง ผู้เขียนขอเรียกกลุ่มนี้ว่า “ลูกทุ่ง” แล้วกัน
  • กลุ่ม ที่สี่ Gratin Fourcemeat จะใกล้เคียงกลุ่มที่สามมาก เพิ่มเติมจากกลุ่มที่สามก็คือ ต้องมีส่วนผสมที่เป็นเนื้อที่ทำให้สุกด้วยความร้อน ไม่ว่าจะเป็นการรมควัน การย่าง การเผา การอบ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมๆ มากขึ้น เพราะคุณผู้อ่านก็ทราบว่า เทอร์รีนจากฟอร์ซมีตนั้นผ่านความร้อนเพียงครั้งเดียว คือ อบในเตาอบแบบรองด้วยน้ำ เมื่อสุกแล้วพักให้เย็นเจี๊ยบข้ามคืน แล้วเสิร์ฟเย็นๆ การใช้เนื้อสัตว์ที่ผ่านความร้อนสูงๆ ให้เกิดกลิ่นหอมๆ ลงไปผสม จึงเป็นเทคนิคเพิ่มความอร่อยอย่างหนึ่ง
    ยกตัวอย่างเช่น ใช้แฮมรมควัน ใช้เบคอนผัดให้หอม นำลงไปปั่นผสม ก่อนจะตักใส่พิมพ์อบ จะเติมตับลงไปด้วยก็ไม่ห้าม ที่สำคัญที่สุดของฟอร์ซมีตเทอรีนก็คือ ห้ามขาดปาดานาส์เด็ดขาดเพราะจะอร่อยติดใจหรือไม่อยู่ที่ตรงนี้แหละ ผู้เขียนเรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มยกล้อ เพราะเล่นใส่ทุกอย่างจะไม่อร่อยได้อย่างไร (อย่างสูตรคราวที่แล้วที่ให้ไปก็เป็นสูตรนี้เอง เพราะมีส่วนผสมทั้งเนื้อหมูบด มันหมู ตับไก่ และเบคอนผัดกับหัวหอมไง)

    ที่นี้คุณผู้อ่านคงมีคำถามเหมือนผู้เขียนตอนเรียนหนังสือว่า ตกลงแล้วที่บ้านเราเรียกปาเต้กับเทอร์รีนมันต่างกันอย่างไร
  •  
ปาเต้กับเทอร์รีน ต่างกันอย่างไร




หากคุณรู้จักทั้งปาเต้และเทอร์รีน แต่ไม่รู้จักอาสปิก (Aspic) เดี๋ยวเขาจะว่ารู้ไม่จริง ถ้า คุณไปซื้อเทอร์รีนหรือปาเต้จากร้านแบบดั่งเดิม จะสังเกตเห็นเจลลีสีน้ำตาลหรือดำๆ ชิมดูรสจะประหลาดๆ หน่อย นั่นแหละที่เรียกว่า “อาสปิก” ซึ่งก็คือเจลลีนั่นแหละ แต่ทำจากน้ำสต๊อกเนื้อใส เติมแต่งกลิ่นรสด้วยสมุนไพรต่างๆ ให้หอม แล้วเติมเกลือ/น้ำส้มไวน์แดง บัลซามิกหรือแม้แต่ไวน์ลงไป อาสปิกมีหน้าที่เคลือบด้านบนของเทอรีนไว้ เพื่อไม่ให้ส่วนหน้าของเทอรีน หรือปาเต้แห้งไปก่อนจะรับประทานหมด หากอาสปิกทำดีๆ รสชาติอร่อย ก็สามารถรับประทานได้ไปพร้อมกับปาเต้และเทอร์รีนเลย เพื่อเป็นการตัดเลี่ยน (แต่ส่วนมากรสชาติจะเหวอนิดหนึ่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบขนมเจลลีอย่างผู้เขียน) 


อาสปิก (Aspic) คืออะไร


เทอร์ รีนไม่ได้มีแต่แบบ Forcemeat นะคุณผู้อ่าน ยังมีแบบที่ใช้เจลาตินเป็นตัวหลักในการทำให้เกาะกัน แบบนี้จะแตกต่างจากที่เราผู้ถึงโดยสิ้นเชิง แถมยังปรุงได้เป็นทั้งคาวและหวาน ไว้คราวหน้าเราค่อยมีคุยกันเรื่องนี้อีกที รับรองว่าคุณผู้อ่านจะต้องชอบ เพราะมันสวย แต่เรื่องความอร่อยแล้วแต่บุคคล


หาก ตอบลึกๆ เลยก็คือ สมัยก่อนนั้นปาเต้จำเป็นจะต้องมีแป้งคล้ายแป้งพายหุ้มอยู่ คือ ก่อนจะอบจะต้องกรุพิมพ์ด้วยแป้งก่อน จากนั้นค่อยเติมส่วนผสมลงไป แล้วห่อด้วยแป้งอบไปพร้อมกัน แต่จะกินพร้อมกันหรือไม่นั้นแล้วแต่ เราจะเรียกชื่อเต็มว่า pâté en croûte แปลง่ายๆ คือ Paste (หมายถึงส่วนของ Fourcemeat) ที่ห่อด้วยแป้งอีกชั้น เนื้อปาเต้มักจะเรียบเนียน อยู่ในกลุ่มมูสหรือกลุ่มสเตรต ไม่ค่อยมีเนื้อเป็นก้อนๆ หยาบๆ เพราะจะยิ่งสุกยากเมื่ออยู่ในห่อแป้ง แต่ปัจจุบันแทบไม่เคยเห็น

ผู้เขียนเองก็เคยทำเพียงครั้งเดียวตอนเรียน โรงแรมที่เคยทำงานก็ไม่ทำแบบนี้แล้ว เพราะมันยุ่งยากมาก

บทความโดย FoodieTaste
Reference : ที่มา : Chef Nan Bin , Forword mail

Read More...


กรรมวิธีกินผักให้อร่อยเหาะ

คนไทยรู้ดีว่าการบริโภคผักจะมีคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายดีแน่ และสอดคล้องกับวิถีการดำรงชีวิตที่กล่าวว่า กินปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น ซึ่งนอกเหนือจากความอุดมสมบูรณ์ที่เรามีทั้งปลาและผักมากมายและหาได้ง่าย แล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับภูมิอากาศที่ร้อนไม่ต้องการอาหารที่ให้ความอบอุ่นร่างกาย เฉกเดียวกับพวกเนื้อสัตว์หรือแป้งอย่างคนเมืองหนาว และยังย่อยง่าย ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายไม่ทำงานหนักเกินไป ย่อมส่งผลให้สุขภาพดีและชีวิตยืนยาวด้วย จึงมักมีคำถามและความสงสัยไม่น้อยว่า แล้วจะบริโภคผักอย่างไรจึงได้ประโยชน์

ผักที่เราบริโภคนั้นมีทั้งส่วนหัว ราก ใบ ยอด ฝัก ดอก หรือบางชนิดก็สามารถบริโภคได้ทุกส่วน อาทิ
  • ผักกินหัว ราก หรือเหง้าใต้ดิน หรือหน่อ เช่น เผือก มัน ขิง ข่า เร่ว กระวาน เอื้องหมายนา  กระเทียม หอม หน่อไม้
ต้มหัวมันฝรั่ง
  • .ผัก กินใบและยอด เช่น ผักเหมียง ช้าพลู ยอดแค ชะอม ผักกูดน้ำ ผักเซียงดา ผักไผ่ ผักปลัง ผักหวานป่า ผักหวานบ้าน สะเดา ขี้เหล็ก ชะอม ตำลึง กระโดน จิก ติ้ว บวบ บัวบก
  • ผักกินผลอ่อน ผลแก่ หรือฝัก เช่น มะรุม เพกา ฟักทอง ฟักข้าว มะเขื่อต่างๆ มะดัน มะยม ยอ ถั่วพู รวมถึงถั่วอื่นๆ มะเดื่อ ขนุน บวบ
  • ผักกินลำต้น หรือส่วนแกนกลางลำต้น เช่น ยอดมะพร้าว ยอดเต่าร้าง หน่อหวาย หน่อดาหลา บอน
  • ผักกินดอก หรือเกสร เช่น ดอกแค ดอกอัญชัญ ดอกโสน ดอกขจร ดอกงิ้ว ดอกชมพู่ม่าเมี่ยว สะเดา ขี้เหล็ก เห็ดทุกชนิด กระทือ กระเจียว
ผัก จะทยอยออกดอกผลและเติบโตไปในแต่ละฤดูกาลแตกต่างกัน ในฤดูที่ไม่มีดอกผลนั้นผักจะทำการพักตัว เพื่อรอออกดอกผลในรอบฤดูต่อไป ผักบางชนิดก็มีตลอดทั้งปี

การบริโภคผักตามฤดูกาลก็เป็นเรื่องสำคัญที่ ต้องคำนึงถึง เพราะเป็นผักที่ปลอดสารเคมี ไม่ต้องไปใช้ปุ๋ยเคมีเร่ง หรือใช้ฮอร์โมนเร่งและบังคับให้ออกนอกฤดูกาล และทนทานต่อโรคและแมลง
ส่วน วิธีการบริโภคผักนั้นมีหลายรูปแบบแล้วแต่วัตถุประสงค์ที่เราจะบริโภค เช่น เป็นผักสด ทำซุป ทำแกง ก็จะแตกต่างกันไป วิธีการมีดังนี้

ผักสด นิยมบริโภคกับอาหารที่มีรสจัด เช่น น้ำพริก ลาบ หรืออย่างคนภาคใต้มีผักเยอะๆ เวลารับประทานอาหารเพื่อใช้ลดความจัดจ้านของรสชาติอาหารบรรเทาความเผ็ด ผักสดนิยมบริโภคอย่างกว้างขวางเพราะได้คุณประโยชน์ครบถ้วน สารอาหารและวิตามินต่างๆ ไม่ถูกทำลาย โดยเฉพาะผักที่ตัดหรือเก็บจากต้นสดๆ ใหม่ๆ

การเผา ปิ้ง ย่าง นิยมใช้กับผักกลุ่มเครื่องเทศ เพื่อนำไปตำน้ำพริก เพราะจะช่วยให้ผักมีกลิ่นหอม เช่น หอม กระเทียม พริก ข่า ตะไคร้ มะกรูด และอื่นๆ เช่น มะเขือยาว ในบางกรณีจะช่วยลดพิษบางชนิดในผัก หรือเปลี่ยนคุณสมบัติให้เป็นด่างช่วยให้ร่างกายดูดซับไปใช้งานได้

วิธีการย่างผัก ย่างผักให้อร่อย ต้องใช้น้ำมันที่ผสมสมุนไพรและกระเทียม ทาไประหว่างย่าง เพื่อเพิ่มรสชาติและความหอม

การหลาม เราคงเคยเห็นข้าวหลามที่เอาข้าวใส่กระบอกแล้วย่างด้วยไฟอ่อนๆ เป็นอาหารที่อร่อยอีกชนิดหนึ่ง การหลามเป็นวิธีการทำอาหารให้สุก โดยจะตัดเอาไม้ไผ่ที่เป็นปล้องมาใช้ แล้วเอาผัก ปลา เนื้อ ข้าว ใส่กระบอก นำไปย่างไฟ อาหารก็จะสุกและมีกลิ่นหอม ผักชนิดไหนที่เราอยากรับประทานแบบสุกและมีกลิ่นหอมใช้วิธีหลามได้

การต้ม เป็นวิธีการง่ายๆ ในการต้มผักต้องใช้น้ำน้อยไฟแรงเพื่อลดการสูญเสียวิตามินน้อยที่สุด และเพื่อให้ผักกรอบก็น้ำไปแช่น้ำเย็นสักพักก็รีบตักขึ้น นอกจากนี้ ยังมีวิตามินเอ ดี อี เค ซึ่งจะละลายในไขมันเท่านั้น โบราณท่านก็ทำผักต้มลาดหน้าด้วยกะทิอย่างข้นๆ เพียงเท่านี้ก็ได้ประโยชน์ครบครัน และอร่อยด้วย

การต้มผักใช้น้ำเดือด ไฟแรง แล้วแช่ด้วยน้ำแข็ง ช็อคผักที่ลวก ด้วยวิธีการแช่น้ำแข็งเพื่อให้ผักเขียวแล้วสดสีสวย

การลวก ไม่ต้องการให้ผักสุกมากนัก และช่วยให้ผักนุ่ม นิยมใช้ลวกผักกินยอด เช่น ตำลึง ชะอม  หรือลดความขม เช่น ยอดมะระ  สะเดา

การนึ่ง ใช้ไอน้ำเป็นตัวทำให้สุก สูญเสียคุณค่าทางอาหารน้อย ผักที่นิยมนึ่งมักเป็นผักหัว ราก หรือมีความแข็ง เช่น ฟักทอง ฟักข้าว เผือก มัน

การผัดหรือทอด การบริโภคผักด้วยการผัดมักเป็นการปรุงอาหารมากกว่า แต่ก็รับประทานเคียงกับน้ำพริกหรืออื่นๆ ได้ เช่น ผัดดอกจขร จะรีบผัดแบบไฟแรงน้ำมันน้อยๆ เหยาะน้ำปลาหรือโรยเกลือนิดๆ รสชาติอร่อย ส่วนการทอดนี้เข้าใจว่ามามีขึ้นระยะหลัง ประเภทชุบแป้งทอดเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติให้ผักกรอบ แต่จริงๆ แล้วก็กรอบจากแป้งมากกว่ากรอบจากตัวผัก และนิยมใช้ชักจูงเด็กๆ ให้กินผัก แต่วิธีนี้ก็เป็นดาบสองคม เพราะเด็กจะกินผักก็จริงแต่อาจไปติดในรสชาติแป้งมากกว่าผัก

ผัดผักด้วยไฟแรงๆใช้เวลาน้อยๆ เพื่อให้มีสีสวย

การดอง เป็นวิธีการถนอมอาหารวิธีหนึ่ง ที่นิยมมาช้านาน ผักที่ดอง เช่น ผักเสี้ยน ผักกุ่ม ผักกาดเขียว นอกจากนี้การดองยังเป็นวิธีการกำจัดสารพิษที่มีอยู่ในผักออก
ส่วนการ เตรียมผักเพื่อนำไปประกอบอาหารจะเป็นผัด ทอด ต้ม แกง ควรล้างให้สะอาดก่อนนำมาหั่น และไม่ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กเกินไป เมื่อหั่นแล้วให้นำไปปรุงทันทีไม่เช่นนั้นวิตามินเกลือก็จะสูญเสียไปกับน้ำ และอากาศเสียหมด

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการบริโภคผักที่เป็นวิธีเฉพาะเจาะจงของผักบางชนิด เช่น ขี้เหล็กต้องต้มให้สุกสัก 1-2 น้ำ เพื่อลดความขมและลดสารพิษในขี้เหล็ก ย่านางต้องเอาใบแก่มาคั้นเอาน้ำไปใช้ในการปรุงอาหาร อาทิแกงเปรอะ (แกงหน่อไม้) ส่วนหมาน้อยเอาใบแก่มาคั้นเอาน้ำแล้วปรุงรสด้วยเครื่องปรุงทิ้งให้เย็นจะได้ วุ้นหมาน้อยรสชาติอร่อย เห็ดควรต้มให้สุกไม่ควรทานดิบเพราะอาจมีสารพิษต่างๆ ในเห็ดสด เป็นต้น

บทความโดย หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Read More...


เคล็ดลับในการต้มผัก

ใครชอบกินผักต้มจิ้มน้ำพริกยกมือขึ้น!!!!! ก็ แหม ...ผักบ้านเรามีให้เลือกกินกันมากมายหลายอย่างหลายชนิดนี่นา กินกันทั้งปีก็กินไม่ครบทุกชนิดก็ว่าได้ แถมยังมีประโยชน์อีกอักโข มีเกลือแร่ วิตามินมากมายที่เราจะได้รับจากการกินผักใครจะปฏิเสธได้ลงคอ แต่รู้ไหมว่าผักแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน บางชนิดใบแข็ง บางชนิดใบอ่อน บางชนิดสุกง่ายบางชนิดสุกยาก ดังนั้นวิธีการต้มผักแต่ละชนิดจึงควรแตกต่างกันออกไป หากต้มผักไม่ถูกวิธี คุณค่าที่เราจะได้รับจากผักนั้นก็จะมลายหายไป

เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการปรุงอาหารจากผักด้วยวิธีการต้ม
  •  พยายามใช้น้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ในการต้มผัก 
  • ก่อนจะนำผักลงต้มควรจะรอให้น้ำเดือดเสียก่อน จึงใส่ผักลงไป ไม่ควรแช่ไว้ในนั้น
ต้มผักต้องใช้น้ำเดือดๆ หยุดผักที่ต้มหรือลวก ด้วยน้ำเย็นที่ใส่น้ำแข็ง เพื่อให้คงความอร่อยและสีสันที่สวยงาม
  • ผักสีเขียวควรทำให้สุกโดยวิธีการลวกหรือให้ใส่ลงไปในน้ำเดือด และพอน้ำเดือดอีกทีก็ให้ตักขึ้นทันที
  • ผัก ที่เป็นหัว เช่น หัวผักกาด แครอต ควรต้มในน้ำเดือดอ่อนๆ และ ควรต้มทั้งหัวไม่ควรหั่นหรือฝาน จะช่วยรักษาคุณค่าทางอาหารไว้ได้มากกว่าการหั่นแล้วนำไปต้ม
  • ทุกครั้งที่ต้มผักควรปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำเดือดและผักสุกเร็วขึ้น ผักยิ่งอยู่ในน้ำร้อนนานๆ คุณค่าก็จะน้อยลง
เคล็ดลับง่ายๆเพียงเท่านี้ นอกจากผักต้มจะอร่อยแล้ว ยังได้คุณค่าทางอาหารอย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย

บทความโดย นิตยสาร Modernmom

Read More...


สาคู-ข้าวเกรียบปากหม้อ เลือกทำเลขายไม่จำเจ

มือหนึ่งบรรจงตักแป้งเทลงบนผืนผ้าขาวบาง ซึ่งขึงตรึงติดอยู่กับตัวหม้อที่ภายในน้ำกำลังเดือดจัด ปิดฝาประเดี๋ยวเดียวเปิดออก ตักส่วนผสมไส้วางลงตรงกึ่งกลางแผ่นแป้ง ใช้ไม้พายพับตลบขอบแป้งห่อหุ้มกันไว้ไม่ให้หก จากนั้นตักใส่ถาดปูรองด้วยใบตอง ทาน้ำมันไว้กันแป้งติด

เดิมทีการทำข้าวเกรียบปากหม้อ รู้จักมักคุ้นกับไส้อันมีส่วนผสมของถั่วลิสงคั่วบดละเอียดกวนเข้ากับหัวไชโป๊ และน้ำตาล กระทั่งเหนียว เรียกว่าไส้หวาน นอกจากเหมาะกับอาหารว่างอย่างข้าวเกรียบปากหม้อแล้ว ยังนิยมใส่เป็นไส้สาคูอีกด้วย

:::เลี้ยงไก่ เจอไข้หวัดนก

หันมาค้าขายอาหาร

คุณ ไพบูลย์ กลิ่นแก้ว ปัจจุบันอายุ 58 ปี เป็นผู้หนึ่งซึ่งยึดอาชีพค้าขายสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ โดยมีภรรยาคู่ใจ คุณสุทธนารัตน์ กลิ่นแก้ว วัย 52 ปี เคียงคู่ค้าขายมานานหลายปี:::

คุณ ไพบูลย์ เริ่มเล่าเรื่องราวการก้าวสู่ธุรกิจ อันสืบเนื่องจากเคยประสบความล้มเหลวกับอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ ที่ดำเนินมาถึง 20 ปี จวบจนไข้หวัดนกเล่นงาน ไก่ทั้งฟาร์มราว 10,000 ตัว พากันล้มตาย ส่งผลให้สองผัวเมียคนขยันเกิดอาการล้มทั้งยืน เพราะนอกจากหมดตัว ยังเป็นหนี้เงินกู้ยืมนำมาลงทุนถึง 700,000 บาท

"หลังเรียนจบ ม.ศ.3 ช่วยพ่อแม่เลี้ยงไก่ทำนามาตลอด กระทั่งรับช่วงจริงจังเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา โดยไข่ไก่ส่งไปขายตลาดนนทบุรี ทำมาราว 20 ปี จำนวนไก่สูงขึ้นประมาณ 10,000 ตัว แต่แล้วไข้หวัดนกระบาดสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ ตอนนั้นหาทางออกไม่เจอ ไม่รู้จะทำอะไรเลี้ยงตัวเองและครอบครัว"

ขณะ ปรับทุกข์กับเพื่อนสนิท จึงได้รับคำแนะนำให้หันหน้าสู่อาชีพค้าขายอาหาร โดยเพื่อนคนดังกล่าวยินดีมอบสูตรและสอนวิธีทำ ข้าวเกรียบปากหม้อ กับสาคู เป็นพื้นฐาน กระทั่งเริ่มฝึกฝน ซึ่งกว่าจะชำนิชำนาญใช้เวลานานหลายเดือน

คุณไพบูลย์ ว่า ในส่วนของทำเลจำหน่าย เลือกตลาดนัดใกล้บ้าน กับยอดขายเพียงวันละ 200-300 บาท หากคิดเป็นผลกำไร 100 กว่าบาท ไหนจะประสบปัญหาฝนฟ้าอากาศ แต่กระนั้นไม่ย่อท้อ จวบจน 1 ปีล่วงผ่าน ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้นำสินค้าเข้าสู่หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)

หลัง รับทราบข้อมูล เกิดความสนใจ จึงเริ่มจัดตั้งรวบรวมสมาชิกซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 16 คน โดยแต่ละคนถือหุ้นคนละ 100 บาท จากนั้นสองสามีภรรยาเดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่หน่วยงานพัฒนาชุมชน เพื่อยื่นความจำนงเข้าสู่สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และเพียง 15 วันล่วงผ่าน ได้รับข่าวดี "วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรชุมชนวัดหลวง" จึงถือกำเนิดขึ้น

นอกจากสินค้าเข้าสู่โอท็อปแล้ว ยังได้รับโอกาสอบรมเรียนรู้ด้านการประกอบธุรกิจ การตลาด การบริหารจัดการ จากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจัดเตรียมสนับสนุน ส่งผลให้เกิดคุณภาพทั้งในส่วนของผู้เป็นเจ้าของธุรกิจ และรวมไปถึงผลิตภัณฑ์



ออกงานแสดงสินค้า

รายได้ คือใบปริญญา


ทำเล ค้าขายถือว่าสำคัญ ทั้งนี้ หน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุน จัดเตรียมพื้นที่ออกงานแสดงสินค้าครอบคลุมทุกจังหวัด โดยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรชุมชนวัดหลวง เดินทางร่วมงานเดือนละ 4-5 ครั้ง หรือประมาณ 20 วัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าเช่าพื้นที่

"หลาย หน่วยงานให้การสนับสนุน อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร พัฒนาชุมชน ซึ่งพาไปออกงานในหลายแห่ง อย่างงานธงฟ้า เรามีโอกาสเดินทางไปร่วม หรือตามสถานที่ท่องเที่ยว สำหรับค่าใช้จ่ายเสียเฉพาะค่ากิน ค่าที่พัก เท่านั้น โดยระยะเวลาออกงานแต่ละครั้งเริ่มตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป

คุณ ไพบูลย์ ยังกล่าวถึงรายได้ต่อวันประมาณ 2,000 บาท หักค่าใช้จ่ายต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 500 กว่าบาท แต่หากรวมค่าใช้จ่ายอื่น อาทิ ค่าแก๊ส เบ็ดเสร็จราว 700 กว่าบาท "ลงทุนวัตถุดิบเอง ขายเองเป็นหลัก แต่จะให้สมาชิกมาช่วยกวนไส้ ผสมแป้ง โดยให้ค่าแรงวันละ 150 บาท และหากต้องไปออกงานใหญ่จะให้สมาชิกช่วย โดยให้ค่าแรงวันละ 200 บาท ต่อคน สำหรับผมและภรรยามีรายได้จากอาชีพนี้รวมแล้วประมาณ 1,000 บาท ต่อวัน ที่ไปออกงาน และหลังหักค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เงินเหลือนำเข้ากลุ่ม ครบ 1 ปีปันผลให้สมาชิก"

สองผู้ประกอบการคน ขยัน กล่าวเพิ่มเติมถึงสมาชิกว่า ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลักทำนา ซึ่งตนประกอบอาชีพนี้เช่นกัน แต่ทำลักษณะนาปี จึงไม่ต้องดูแลมากนัก ฉะนั้น อาชีพค้าขายจึงยึดไว้เป็นหลัก ส่วนผลตอบแทนมากน้อยเพียงไร คำตอบคือ ใบปริญญาจากลูก

"ลูกสาวเรียนจบปริญญาตรี ปัจจุบันทำงานแล้ว ส่วนลูกชายกำลังศึกษาอยู่ปีสุดท้าย ซึ่งเงินส่งเขาเรียน คือผลจากค้าขายสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ อันนี้ถือเป็นความภาคภูมิใจ จึงขอยึดอาชีพนี้ไว้เป็นหลัก โดยอนาคตเตรียมพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐาน อย. เพื่อส่งไปจำหน่ายในห้าง และหวังก้าวสู่ตลาดต่างประเทศ เพียงแต่ตอนนี้คงต้องคิดหาวิธี ด้วยเพราะเป็นอาหารสด"



รสชาติ สร้างยอดขาย

ไส้หลากหลายเรียกลูกค้า


ย้อนกลับมาถามถึงอุปกรณ์สำหรับทำสาคูและข้าวเกรียบปากหม้อ ได้รับคำตอบว่า


เริ่มต้นนำหม้อขนาดเล็กขึงปิดปากหม้อด้วยผ้าขาวบาง สำหรับนึ่ง กับราคารับซื้อชุดละประมาณ 60-70 บาท แต่หลังระดมเงินจากสมาชิกผู้ถือหุ้น ทำให้กำลังทุนเพียงพอสั่งผลิตชุดอุปกรณ์สำหรับนึ่งซึ่งทำจากสเตนเลส รวมไปถึงเครื่องมืออื่นอันเกี่ยวข้อง อาทิ ภาชนะสำหรับใส่ส่วนของไส้ แป้ง เป็นต้น

"อุปกรณ์สำหรับนึ่งชุดละ 3,000 บาท โดย ผมออกแบบเองแล้วส่งให้โรงงานบัดกรี สเตนเลส ช่วยผลิตให้ โดยเริ่มต้นเพียงชุดเดียวก่อน หลังได้กำไรค่อยๆ ทำเพิ่ม ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 ชุด แต่การออกงานบางครั้งลูกค้าแน่นร้าน อาจเพิ่มชุดอุปกรณ์เตาไฟฟ้า ซึ่งมีเตรียมไว้ 2 ชุด"

คุณไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงยอดขายสูงสุด กับการออกงานแสดงสินค้าเพียง 1 วัน กำรายได้กลับบ้าน 10,000 บาท โดยเริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่หกโมงเช้า จวบจนสี่ทุ่ม แม้เหน็ดเหนื่อยและหิว เนื่องด้วยตลอดทั้งวันไม่มีเวลาว่างพักกินข้าว แต่กระนั้นสองผู้ประกอบการยังคงยิ้มแย้มรับลูกค้าด้วยความเต็มใจ

กับ การออกงานแสดงสินค้าบางแห่ง มีผู้ประกอบการค้าขายสินค้าเช่นเดียวกันหลายราย แต่ไม่อาจส่งผลกระทบต่อวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรชุมชนวัดหลวง นั่นเพราะรสชาติความอร่อย รวมไปถึงความสะอาด ตั้งแต่กระบวนการเลือกวัตถุดิบ ตลอดจนวิธีทำ ซึ่งสองผู้ประกอบให้ความพิถีพิถันทุกขั้นตอน

สำหรับ ราคาขายสาคูลูกละ 2 บาท ข้าวเกรียบปากหม้อชิ้นละ 2.50 บาท กล่องละ 20 บาท เมื่อเทียบราคาขายกับปริมาณ ถือว่าไม่เอาเปรียบผู้บริโภค

ความหลากหลายของไส้เป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดใจลูกค้า ซึ่งคุณสุทธนารัตน์ ว่า นอก จากไส้หวานซึ่งทำยืนพื้น ถือเป็นไส้มาตรฐานได้รับความนิยมอันดับหนึ่งแล้ว ยังมีไส้ หน่อไม้ กุยช่าย วุ้นเส้น มาเสริมเติมความหลากหลาย แต่กระนั้นในส่วนของไส้ผักกุยช่าย และหน่อไม้ จะทำขึ้นในช่วงฤดูกาลผลผลิต

ถาม ถึงทำเลค้าขาย กับการเลือกออกงานแสดงสินค้าเป็นหลัก ก่อเกิดผลดีผลเสียอย่างไร สองผู้ประกอบการให้คำตอบในส่วนของข้อดี คือ กลุ่มเป้าหมายหลากหลาย ไม่ซ้ำ ฉะนั้น โอกาสซื้อเป็นไปได้สูง อีกทั้งการออกงานแสดงสินค้าซึ่งต้องตระเวนไปในหลายจังหวัด ทำให้ลูกค้ารู้จักวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรชุมชนวัดหลวง มากขึ้น

ส่วน ข้อเสียเห็นเด่นชัด คือ ขาประจำไม่เกิด ด้วยเหตุนี้สองผู้ประกอบการจึงคิดหาหนทางสร้างหน้าร้านประจำ เพื่อให้ลูกค้าแวะเวียนเข้ามาอุดหนุนได้สะดวก

"ยึดออกงานแสดงสินค้า เป็นหลัก ขนของใส่รถตระเวนกันไปสองคน ซึ่งวิธีนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเราได้รับคือ ลูกค้ารู้จักกว้างขึ้น โอกาสขายได้มากขึ้น เขาเห็นสินค้าแล้วไม่เบื่อ แต่อยากลองซื้อลองชิม"

สำหรับผู้สนใจ ต้องการนำรูปแบบวิธีค้าขายเช่นนี้ไปใช้ย่อมได้เช่นกัน แต่หากต้องการลิ้มชิมรส สาคู และข้าวเกรียบปากหม้อหลากไส้ สอบถามวันเวลาพร้อมสถานที่ออกงานแสดงสินค้าได้ที่ โทรศัพท์ (086) 013-3261





ข้อมูลจำเพาะ

กิจการ ผลิตจำหน่าย สาคู ข้าวเกรียบปากหม้อ

ชื่อกิจการ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรชุมชนวัดหลวง

เจ้าของกิจการ คุณไพบูลย์ และคุณสุทธนารัตน์ กลิ่นแก้ว

รูปแบบกิจการ OTOP

เงินลงทุน หลักพันบาท

ผลิตภัณฑ์ สาคู ข้าวเกรียบปากหม้อ

อุปกรณ์ ชุดอุปกรณ์ในการนึ่ง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

แหล่งซื้อ สั่งผลิตกับร้านรับทำบัดกรี อะลูมิเนียม

เงินลงทุนอุปกรณ์ 3,000 บาทขึ้นไป

วัตถุดิบ แป้งข้าวเจ้า สำหรับไส้ อาทิ ถั่วลิสง น้ำตาล ใบกุยช่าย หน่อไม้

วุ้นเส้น เห็ดหูหนู เต้าหู้ เครื่องปรุงรส เป็นต้น

แหล่งซื้อ ตลาดใกล้บ้าน

เงินลงทุนวัตถุดิบ วันละประมาณ 500 กว่าบาท

ราคาขาย สาคู ลูกละ 2 บาท ข้าวเกรียบปากหม้อ ชิ้นละ 2.50 บาท

กล่องละ 25 บาท

ยอดขาย ประมาณ 2,000 บาท ต่อวัน

จุดเด่น รสชาติ และความหลากหลายของไส้

ทำเลค้าขาย ออกงานแสดงสินค้า

ระยะเวลาออกงาน เดือนละ 4-5 ครั้ง หรือประมาณ 20 วัน

อุปสรรคปัญหา เนื่องจากเป็นสินค้าประเภทอาหารสด ระยะเวลาการเก็บไม่นาน

จึงเกิดปัญหาในการขยายช่องทางจัดจำหน่าย

กับปัญหาอีกส่วนหนึ่งคือ ทำเลค้าขายไม่คงที่ จึงขาดลูกค้าประจำ

ข้อดีกับทำเลค้าขาย ลูกค้าหลากหลายไม่ซ้ำ โอกาสขายได้สูง เนื่องด้วยเป็นลูกค้าขาจร

สถานที่ติดต่อ 35/1 หมู่ 4 ตำบลศาลเจ้าโรงทอง อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง

โทรศัพท์ (086) 013-3261



ที่มา นสพ เส้นทางเศษฐี

Read More...


ข้างเม่าหมี่ข้าวเหนียวดำ พัฒนาอาหารพื้นบ้านสู่สากล

ข้างเม่าหมี่ข้าวเหนียวดำ พัฒนาอาหารพื้นบ้านสู่สากล



ข้าว เม่าหมี่"...อาหารไทยๆที่เด็กในสมัยก่อนนิยมรับประทานเป็นอาหารว่าง ...ลักษณะของข้าวเม่าหมี่...จะทอดจนมีสีเหลืองนวล ผสมน้ำตาลทราย, กุ้งแห้ง, ถั่วลิสง และเต้าหู้เหลืองหั่นเป็นชิ้นเล็กๆทอดกรอบ ใส่กระเทียมเจียวมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ใส่สีและสารกันบูด

ณ ปัจจุบันหากจะไปหามาเปิบก็ยากแสนยาก เพราะไม่ค่อยมีผู้ผลิตออกจำหน่าย...ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง สามเพื่อนซี้อย่าง "นก" สุวรรณา เพิ่มพูล, "กิ๊ก" แสงดาว วงศ์กวน และ "เอ็ม" นิวัตร์ ศรบรรจง นักศึกษาภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ช่วยกันคิดดัดแปลงให้เป็นเมนูจานใหม่...ซึ่งมีชื่อว่า "บาร์ข้าวเม่าหมี่ข้าวเหนียวดำ" จากอาหารไทยสร้างเป็นสไตล์สากลขึ้นมา เพื่อที่จะเผยแพร่ให้เด็กไทยยุคนี้ได้รู้จักและสามารถรับประทานได้ โดยมี ผศ.สิวลี ไทยถาวร และ ผศ.อุจิตชญา จิตรวิมล ให้คำปรึกษา




...นก สุวรรณา บอกว่า การดัดแปลงเมนูมาจากข้าวเม่าหมี่ โดยการนำข้าวเหนียวดำมาแทนข้าวเม่าที่หายากและราคาแพง โดยส่วนผสมของเมนูจานนี้ ได้แก่

ข้าวเหนียวดำ 10 ถ้วยตวง เต้าหู้ 2 1/2 ถ้วยตวง ปลาข้าวสาร 2 1/2 ถ้วยตวง ถั่วลิสงคั่ว 1 1/4 ถ้วยตวง เกลือ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า 2 1/2 ถ้วยตวง แบะแซ 3/4 ถ้วยตวง น้ำตาลทราย 2 1/2 ถ้วยตวง รากผักชี, กระเทียม, พริกไทยโขลก

ขั้นตอนการทำ

เริ่มจากการนำส่วนผสมซึ่งได้แก่ ข้าวเหนียวดำ เต้าหู้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปลาข้าวสารล้างน้ำสะอาด ไปตากแดด โดยนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำ 6-12 ชั่วโมง แล้วจึงเอาไปนึ่งประมาณ 20-30 นาที ตากแดดประมาณ 2 วัน (นำส่วนผสมมาตากแดดเพราะว่าเวลาทอดจะทำให้ฟู) ต่อจากนั้นนำส่วนผสมข้างต้นที่ตากแดดไว้ มาทอดลงในน้ำมันปาล์ม จากนั้นทอดข้าวเหนียวดำ เต้าหู้ปลาข้าวสาร ก่อนนำขึ้นมาพักไว้.



..และ จึงนำรากผักชี, กระเทียม, พริกไทย ใส่น้ำเปล่าผัดให้เข้ากันจนมีกลิ่นหอม ใส่น้ำตาล เกลือ จนละลายแล้วนำ...แบะแซ ลงมาใส่รวมกัน โดยใช้ไฟปานกลางจนอ่อนๆ ระหว่างที่ใส่ส่วนผสมลงไปแล้ว...ไม่ต้องเคี่ยวรอจนกว่าจะมีลักษณะที่ข้นขึ้น ฟองอากาศเล็กๆ และสีออกน้ำตาลอ่อน เพราะว่าถ้าเคี่ยว จะทำให้น้ำตาลตกทราย ลักษณะน้ำตาลจะเป็นก้อน

เอ็ม นิวัตร์ บอกด้วยว่า ขั้นตอนนี้ใช้เวลา 5-6 นาที จากนั้นลดไฟอ่อน และใส่ส่วนผสมของข้าวเหนียวดำทอด เต้าหู้ทอด ปลาข้าวสารทอด ถั่วลิสงคั่ว ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั่ว ขั้นตอนสุดท้ายอยู่ที่การผสมคลุกเคล้าเข้ากัน

โดยนำบาร์ข้าวเม่า หมี่ข้าวเหนียวดำที่ได้มาใส่ในถาดสี่เหลี่ยม 7๚10 นิ้ว (5 ใบ) ที่เตรียมไว้เกลี่ยให้ทั่ว รอจนอุ่นแล้วจึงตัดออกเป็นแท่งขนาด 1๚3 นิ้ว รอให้เย็นแล้วบรรจุลงภาชนะ โดยส่วนผสมข้างต้นจะได้บาร์ข้าวเม่าหมี่ข้าวเหนียวดำประมาณ 115 แท่ง

ผู้ ที่สนใจ บาร์ข้าวเม่าหมี่ข้าวเหนียวดำ...ต้องการความรู้เพิ่มเติม หรือจะซื้อหาเอาไปเป็นของขวัญปีใหม่ กริ๊งกร๊างที่ สาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโน-โลยีราชมงคลธัญบุรี 0-2549-3333 เวลาราชการ.


ที่มา นสพ ไทยรัฐ

Read More...


ร้านนมในปั้ม ธุรกิจของ SMEs รุ่นเล็ก


ปั๊ม น้ำมัน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับหลาย ๆ คนที่มีความฝันว่าหากมีโอกาส จะขอเริ่มต้นธุรกิจในปั๊มน้ำมัน เพราะมองว่าเป็นช่องทางที่มีโอกาสและน่าสนใจที่สุดช่องทางหนึ่งในการเข้าถึง ผู้บริโภคได้ง่ายในยุคปัจจุบัน

วีรนุช ตันชูเกียรติ ผู้ประกอบการรายนี้ก็เช่นกัน ที่เริ่มจากการเข้าไปรับงานออกแบบให้กับปั๊มน้ำมัน ขายกาแฟในปั๊มน้ำมัน และค่อย ๆ พัฒนามาเป็นอีกหลายธุรกิจในเวลาต่อมา กฎของเธอก็คือ เมื่อโอกาสมาถึง จังหวะมาถึง เธอตัดสินใจลงทุนทำเลย แต่ไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิด

ก่อนหน้านี้วีรนุชทำธุรกิจมาหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำมัน เป็นแฟรนไชซีของ ร้านกาแฟอเมซอน ซื้อแฟรนไชส์ ของเซเว่นอีเลฟเว่น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์แฮนด์เมดเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมี ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต เป็นหุ้นส่วนหลักและล่าสุดก็คือ ธุรกิจร้านขนมปัง Milkmania ที่เปิดให้บริการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา


"ประชา ชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์แนวคิดในการเริ่มต้นธุรกิจ และความคืบหน้าของธุรกิจร้านนม Milkmania ที่เธอบอกว่าเป็นธุรกิจแรกที่เริ่มต้นด้วยตัวเองจริง ๆ

ร้านนมโปรเจ็กต์ใหม่ในปั๊ม

ร้าน นม Milkmania เป็นโปรเจ็กต์ล่าสุดที่วีรนุช ตันชูเกียรติ บอกว่า ลงทุนเองทุกอย่าง เธอว่า ยากกว่าการซื้อแฟรนไชส์มาทำ เพราะนั่นหมายถึง มีคนมาช่วยเราคิดครึ่งหนึ่ง แต่การทำเอง คือเริ่มตั้งแต่คิดคอนเซ็ปต์ การตกแต่ง ออกแบบแก้ว เมนูอาหาร ทุกอย่างต้องทำเองทั้งหมด เพราะต้องการให้อยู่ในงบฯที่ไม่เกินตัวจนเกินไป เธอว่า สำหรับร้านแรกลงทุนไปล้านต้น ๆ ส่วนรายได้ เธอว่าพูดยาก เพราะคงจะต้องค่อย ๆ ปรับไป และอาจจะใช้เวลาพอสมควร ในการที่จะมองเห็นยอดขายและกำไรชัด ๆ ในตอนนี้

โดยจุดเด่นของร้านจะอยู่ที่การสร้าง สรรค์เมนูที่หลากหลายแตกต่างจากร้านนมร้านอื่น ๆ มีการปรับปรุงสูตรและมีการตกแต่งหน้าตาให้น่ารับประทานมากยิ่งขั้น มีลูกเล่นที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า แตกต่างจากขนมปังปิ้งและไอศกรีมทั่วไป เช่นการเพิ่มส่วนผสมของผลไม้และโยเกิร์ต Milkmania มีเมนู signature คือ ปังเย็น ซึ่งเป็นการนำน้ำแข็งปั่นผสมกับนมสดหลากรสชาติมาราดลงบนขนมปัง รวมทั้งลูกค้ายังสามารถกำหนดความมากน้อยของหน้าที่จะราดบนขนมปังปิ้งได้ด้วย ตนเองอีกด้วย


นอกจากนี้ร้านยังมีการนำสินค้าของที่ระลึก และของชำร่วยออกแบบโดย

นัก ออกแบบรุ่นใหม่ อาทิ ผศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต ท๊อป พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากุล (นักออกแบบและนักแสดง) แมว ภราดร กู้เกียรตินันท์ designer จาก p.o.p studio และเพื่อน ๆ จากวงการออกแบบ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาจำหน่ายนับเป็นอีกช่องทางที่เธอว่าจะทำให้ยอดขาย สินค้าออกแบบเดินไปในทางเดียวกัน แถมยังไม่เหมือนกันกับร้านอื่น ๆ อีกด้วย

เรื่อง การตกแต่ง เธอว่าต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสธรรมชาติ โดยเฉพาะที่สระบุรี จะมีอารมณ์ของท้องทุ่ง เหมือนได้มานั่งรับประทานอยู่ใต้ท้องวัวเลยทีเดียว

ปัจจุบัน Milkmania เปิดดำเนินการมาได้ 2 สาขา คือในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาสระบุรี (แก่งคอย) และในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาบางปะอิน (ถนนสายเอเชีย) โดยวีรนุชเล็งเห็นว่าปัจจุบัน life style ของคนไทยเปลี่ยนไปนิยมเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในสถานีบริการน้ำมันมากขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง ดังนั้นสถานีบริการน้ำมัน ปตท.น่าจะเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก เข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่ม เป้าหมายจะเป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว รักสุขภาพ และมีรสนิยม ทันสมัย

เธอว่าตอนนี้กำลังศึกษาเรื่องแฟรนไชส์อยู่ หากผลตอบรับดี ในกลางปีนี้จะเริ่มวางแผนขายแฟรนไชส์อย่างแน่นอน

Read More...


ไอศกรีมทุเรียน 100% ทรงไข่ กลยุทธ์การตลาด สู้ภาวะผลไม้ล้น

ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ

งานแสดงอาหาร ใหญ่ประจำปี "Thaifex-World of food ASIA 2009" ที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก ร่วมกับหอการค้าไทย และโคโลญ เมสเซส ที่ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี มีบริษัท ผู้ประกอบการ ด้านอุตสาหกรรมอาหารเข้าร่วมมากมาย

บู๊ธแสดงสินค้าบู๊ธหนึ่งที่ได้ รับความสนใจค่อนข้างมากจากผู้เข้าร่วมชมงาน ได้แก่ บู๊ธที่วางแสดงสินค้าหน้าตาคล้ายไข่เป็ด ไข่ไก่ แถมยังอยู่ในแผงพลาสติคที่ใส่ไข่เป็ด ไข่ไก่ซะด้วย แต่เมื่อเหลือบมองเข้าไปภายในบู๊ธ กลับมีผลไม้จากภาคตะวันออก ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ นำมาจัดแสดงด้วย

ถามเจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ ได้ความว่า นี่ไม่ใช่ไข่เป็ด ไข่ไก่ แต่เป็นไอศกรีมทุเรียน มะพร้าว และมะม่วง อ้าว!...เป็นงั้นไป

เมื่อ ได้ความดังนั้น จึงมีคำถามตามมาอีกมากมาย หนึ่งในคำถามนั้นคือ แล้วจะกินอย่างไร ต้องผ่าออกมาหรือเปล่า มีไอศกรีมอยู่ข้างในใช่หรือไม่

เจ้า หน้าที่จึงตอบคำถามพร้อมสาธิตให้ดูว่า เพียงแต่ใช้ไม้จิ้มไปที่ไข่ เยื่อพลาสติคบางใสและลอกออกมา กลายเป็นไอศกรีมผลไม้ล้วนๆ และไอศกรีมที่ว่านี้เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมอื่นใด มีแต่เนื้อผลไม้เท่านั้น

เจ้าของไอเดีย และเจ้าของธุรกิจ คุณมรุต ชโลธร เผยว่า เขาและเครือญาติมีสวนผลไม้อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ทั้งเงาะ มังคุด ทุเรียน สละ ปกติขายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ รวมทั้งผลิตผลไม้แปรรูปด้วย

"การแปรรูปก็ทำแบบผลไม้แปรรูปทั่วไป บางส่วนก็แช่แข็ง เพราะในแต่ละปีมีผลไม้ออกมามาก ที่นี้ เราก็มองว่าเราจะครีเอท แวลู่ หรือจะสร้างสรรค์ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไร เพราะปัจจุบันนี้ เพียงแต่แอดแวลู่อย่างเดียวไม่พอแล้ว เราก็เริ่มมองไปที่ตัวสินค้าก่อน คำว่า ไอศกรีม เป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับ และเป็นของหวานที่ทุกคนชื่นชอบ ขณะเดียวกัน ก็มีด้านลบต่อสุขภาพ คือน้ำตาลมาก และมีส่วนผสมหลายอย่างที่เป็นสารสังเคราะห์ สรุปก็คือไม่ใช่สินค้าในกลุ่มเพื่อสุขภาพแน่นอน เราก็เลยมองว่า จะทำอย่างไรให้ผลไม้มาอยู่ในรูปของไอศกรีมที่เน้นความเป็นธรรมชาติร้อย เปอร์เซ็นต์"

และนี่คือที่มาของไอศกรีมผลไม้ ที่ทางผู้ประกอบการเน้นว่า เป็นธรรมชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงต้น ทำออกมา 3 รสชาติ ได้แก่ ทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน







ผลไม้ล้นตลาดทุกปี

แค่แช่แข็ง ส่งออก คงไม่พอ

"เราพัฒนาทั้ง 3 ตัวนี้มา ก็เป็นเนื้อผลไม้ล้วนๆ นั่นหมายความว่า เราได้ปฏิวัติวงการไอศกรีมให้เป็นธรรมชาติล้วน"

คุณ มรุต บอกอีกว่า ปกติ ผลไม้ภาคตะวันออกอยู่ในภาวะล้นตลาดทุกปี ส่วนหนึ่งที่ชาวสวน นักธุรกิจส่งออก พ่อค้า ทำกันมากคือ แช่แข็งแล้วส่งออก แต่สำหรับคุณมรุตแล้ว เขาว่า แค่นั้นคงไม่พอ

"เราอยู่เมืองจันท์ เราก็อยากจะช่วย แต่คงต้องหาอะไรที่ใหม่ที่สุด สิ่งที่เราได้แล้วคือ ตัวเนื้อไอศกรีมที่ใหม่ เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าจะมาใส่แพ็กเกจจิ้งเก่าๆ มันก็ไม่เป็นจุดขาย ถ้าคนที่จะทานไอศกรีม จะนึกแค่ อยู่ในโคน ถ้วย หรือตัดกิน หรือทำซอร์ฟเสิร์ฟ เรากลับมองว่าเอ๊ะ ทำอย่างอื่นได้มั้ย จากนั้นก็สร้างกิมมิกว่า ถ้ามันเป็นไข่ล่ะ จะเป็นอย่างไร"

ดังนั้น ไอศกรีมผลไม้ รสทุเรียน มะม่วง และมะพร้าวอ่อน ในรูปไข่เป็ด ไข่ไก่ จึงออกมาด้วยประการฉะนี้ (ถ้าเป็นรสมะม่วงมีสีเหลือง จะคล้ายไข่ไก่มาก)

คุณมรุต เล่าอีกว่า " สำหรับผู้บริโภคเองเดินผ่านมา ก็จะถามว่า อะไรน่ะ ไข่หรือเปล่า บางคนนึกไปถึงไข่ข้าวหรือไข่ที่ผ่านการผสมแล้ว บางคนเดินผ่านไปแล้ววกกลับมา เรียกเพื่อนมาดูด้วยว่าเป็นอะไร ยิ่งถ้าเราบอกว่าเป็นทุเรียน เป็นไอศกรีมทุเรียนร้อยเปอร์เซ็นต์ เค้าก็จะบอกว่า เอ้ย! จริงเหรอ...ไม่น่าเชื่อ...นี่คือกิมมิกทางการตลาดที่เราคิดขึ้นมา นั่นคือ เราจะสร้างประสบการณ์ใหม่ เป็นลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร ดังที่เราให้สโลแกนไว้ว่า More than just ice-cream With a unique eating experience"

เมื่อจะรับประทานไอศกรีมที่ว่านี้ เพียงแต่เอาไม้จิ้มไปที่ตัวไข่ เยื่อพลาสติคใสก็จะหลุดออกโดยง่าย เจ้าหน้าที่ประจำบู๊ธ อธิบายว่า เป็นอีลาสติก รับเบอร์ (หรือยางที่มีความยืดหยุ่น) เมื่อพลาสติคใสหลุดออกไปแล้ว สิ่งที่ได้คือ ไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์

"อีลาสติก รับเบอร์นี้ เป็นฟู้ดเกรด คือรับประกันว่าห่อหุ้มอาหารได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ผู้บริโภคกังวลว่าจะมีอันตรายมั้ย แต่เราส่งตรวจเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระดับมาตรฐานสากลว่าปลอดภัย" คุณมรุต เผย และบอกอีกว่า

"โปรเจ็คต์นี้เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ใช้เวลาปีกว่าๆ ในการวิจัยและพัฒนา ขณะนี้ ตอนนี้อยู่ในช่วงทำกลยุทธ์ทางการตลาด เรากำลังหาลู่ทางเพื่อส่งออก และดูว่าในประเทศเราจะกระจายสินค้าอย่างไร"

แล้วเล็งไปที่ไหนบ้าง นั่นเป็นคำถามที่ถามออกไป ผู้ประกอบการรายนี้ ตอบว่า "จริงๆ ตอนนี้มีหลายทางเลือก เรายังไม่ได้สรุป ที่มาออกงาน Thaifex ครั้งนี้ แค่ต้องการดูผลตอบรับ ก็ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับดีมาก เรามีบู๊ธเล็กๆ แต่ทุกคนที่เดินผ่านไป ก็จะเดินย้อนกลับมาด้วยความสะดุดตา สะดุดใจ"


ทำทุเรียนให้กลิ่นอ่อนลง

จับกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น

สำหรับ กลุ่มลูกค้าต่างชาตินั้น เขาว่า มีผู้ซื้อชาวต่างชาติติดต่อเข้ามาเยอะมาก จากหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ชื่นชอบทุเรียนเป็นหลัก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน จีน สิงคโปร์ ส่วนชาติตะวันตก จะมีภาพติดลบกับทุเรียนเป็นส่วนใหญ่ ดังจะเห็นได้จาก ป้ายห้ามนำทุเรียนเข้าไปในสถานที่ต่างๆ ทั้งรถเมล์ รถไฟ สนามบิน โรงแรม ฯลฯ เรียกว่า ในส่วนที่เป็นห้องปรับอากาศทั้งหมด เป็นส่วนต้องห้ามของผลไม้นาม "ทุเรียน"

"พอจบโปรเจ็คต์นี้ เรากำลังจะมีโปรเจ็คต์หน้าคือ Soft aroma durian คือเราจะพัฒนาว่า จะทำให้กลิ่นทุเรียน อ่อนลงได้อย่างไร เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่ไม่ชอบในกลิ่น แต่อยากลองในรสชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เรากำลังอยู่ในขั้นวิจัยและพัฒนา"

ทุเรียนย่อมมีกลิ่นแรงเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาในครั้งนี้จะเป็นการฝืนธรรมชาติหรือไม่นั้น คุณมรุตว่า

"จริงๆ แล้ว ความต้องการนี้มาจากผู้บริโภค ถามว่าจะฝืนธรรมชาติมั้ย ผมขอเรียนอย่างนี้ว่า ปรากฏการณ์ของคนที่กินทุเรียน เรียกว่า ทุเรียนเอฟเฟ็กต์ คือจะรักหรือจะเกลียดทุเรียนมาจากการได้กลิ่นในครั้งแรก หมายความว่า คนที่ชอบ เมื่อทานปุ๊บแล้วชอบเลย อร่อย ส่วนที่ไม่ชอบคือ กินแล้วก็ไม่ชอบ ถึงขั้นเกลียด ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ทางด้านการตลาดนี่ชัดเจน ดังนั้น ทุเรียนจึงเป็นสินค้าตัวแรกที่เราเลือกขึ้นมาเป็นจุดขาย นั่นหมายความว่า คนที่ เป็นทุเรียนเลิฟเวอร์ หรือหลงรักรสชาติทุเรียน นี่จะกระโดดเข้าใส่เลย อย่างคนจีนที่ชอบมาก บางคนมาซื้อลูกเดียวไม่พอ"

"ในทางกลับกัน เรามองว่า เราพัฒนาทุเรียนเป็นตัวแรก ด้วยความที่ได้สินค้าแปลกใหม่ ก็โอเค แต่พอไปเจอเรื่องกลิ่น ก็เป็นปัญหา จึงต้องมีการวิจัยและพัฒนาเข้ามาช่วยในส่วนที่ช่วยได้ อย่างที่ ทำให้เป็นซอร์ฟอโรมา คำว่า ซอร์ฟอโรมา ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ทุเรียนไม่มีกลิ่น แต่ทำให้กลิ่นเบาลง อ่อนลง"

ปกติคนที่ชอบรับ ประทานทุเรียน จะมี 3 พวกใหญ่ๆ คือชอบทุเรียนห่ามๆ กรอบ กลุ่มนี้จะไม่ได้รสหวาน ไม่ได้กลิ่น พวกที่สอง คือพวกที่ชอบระดับกลางๆ จะได้ครบทั้งรสชาติและกลิ่น ส่วนพวกที่สาม คือชอบแบบสุก จะได้ทุเรียนรสหวานจัด กลิ่นฉุน ในระดับที่เรียกทุเรียนผลนั้นว่า "เป็นปลาร้าแล้วนะจ๊ะ"

"จะมีอีกพวกหนึ่งคือ อยากจะลิ้มรสความหวาน แต่สู้กลิ่นไม่ไหว เราอยากให้เค้าได้ลิ้มรสสักนิดหนึ่ง ทุเรียนนี่เป็นคิงออฟฟรุตนะครับ ถ้าเป็นเราไปเจอราชาแห่งผลไม้ที่ประเทศไหน เราก็อยากลอง แต่ถ้าต้องบีบจมูกกิน มันก็ไม่ควรเป็นอย่างนั้น"

การ วิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ คุณมรุต เผยว่า ได้ร่วมพัฒนาเครื่องต้นแบบ กับบริษัทเล็กๆ จากประเทศญี่ปุ่นบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเอสเอ็มอีเหมือนกัน

ดู เหมือนว่า ในส่วนตัวผู้ประกอบการเอง ออกจะได้เปรียบในเรื่องการประสานเทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากประเทศญี่ปุ่น

"ผมไม่ได้เรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร แต่มาทำตรงนี้ บางคนถามว่า ไม่ได้เรียนมา แล้วทำได้ด้วยเหรอ ผมตอบว่า ที่ผมทำได้เพราะไม่ได้เรียนมา เพราะผมคิดว่า การที่ผมเรียนมาทางวิศวกรรม ไม่มีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์การอาหาร ทำให้ผมกล้าคิดนอกกรอบ คือถ้าจบทางด้านอาหารมาโดยตรง อาจจะมองแค่ในกรอบ การมองนอกกรอบ เราอาจจะต้องถอยออกมาแล้วมองเข้าไป ฉะนั้น ผมคือคนนอก ไม่ได้อยู่ในวงการ เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ที่ต้องการกลับไปพัฒนาให้กับชาวสวนเมืองจันท์"

สำหรับ ไอศกรีมผลไม้ ทั้ง 3 รสชาติในรูปไข่ คุณมรุตวางราคาขายส่งหน้าโรงงานไว้ที่ ลูกละ 15 บาท แต่ถ้าขายปลีกทั่วไป น่าจะอยู่ที่ลูกละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

"ตัว ไอศกรีมผลไม้รูปไข่ ใช้เวลาวิจัยและพัฒนา ปีเศษๆ ตอนนี้อยู่ในช่วงเช็คผลตอบรับ ซึ่งก็มีผู้ประกอบการหลายเจ้าที่ต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายซึ่งเราอยู่ใน ระหว่างการพิจารณา"

และนี่เป็นอีกหนึ่งการให้ไอเดีย สร้างคุณค่าให้กับสินค้า ถ้าบอกว่าเป็นไอศกรีมรสทุเรียน คงจะดูเป็นสินค้าพื้นๆ ธรรมดาๆ ที่ไม่น่าตื่นเต้นอะไร แม้กระทั่งจะบอกว่า เป็นผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็เชื่อว่ามีผู้ประกอบการรายอื่นทำออกมาบ้างแล้ว แต่นี่เป็นไอศกรีมผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในบรรจุภัณฑ์รูปทรงไข่ แถมยังวางไข่ ในรังไข่พลาสติคที่ดูยังไงก็เป็นไข่ แต่ไม่ใช่ไข่

การ สร้างความสนใจ ความประทับใจเมื่อแรกเห็นนี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคหันมามอง หันมาพิจารณา กระทั่งต้องการชิม และนำไปสู่การค้าขายต่อไป

มีสินค้า ธรรมดาๆ พื้นๆ อีกมากมาย ที่รอให้ผู้สร้างสรรค์งานเข้าไปพัฒนา เข้าไปจับมาแต่งตัวใหม่ เพื่อให้ต่อสู้ในทางการตลาดได้มากขึ้น และไม่แน่ว่า ผู้สร้างสรรค์งานรายต่อไป อาจเป็นคุณ!!!

สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ บริษัท อินโนเวทีฟ ฟู้ด แพ็คเกจจิ้ง จำกัด เลขที่ 65 ถนนเพชรเกษม วัดท่าพระ บางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ 10600 โทร. (02) 467-4214-5



การลงทุนขายไอศกรีมผลไม้รูปไข่

1. รูปแบบซื้อมา ขายไป ราคาขายส่งหน้าโรงงาน ชิ้นละ 15 บาท สามารถนำไปขายได้ราคาชิ้นละ 30-35 บาท แล้วแต่ทำเล

2. นำไปขายเสริมในร้านอาหาร ซึ่งอาจจะมีตู้แช่อยู่แล้ว

3. ซื้อตู้แช่เพื่อขายไอศกรีม ราคาตู้แช่ ประมาณ 20,000 บาท

4. ลงทุนกับทางบริษัท 20,000 บาท สิ่งที่จะได้คือ ตู้แช่ และคีออส โดยใช้พื้นที่ขายประมาณ 2 ตารางเมตร (ทางคุณมรุตให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้ว ตัวเลขการลงทุนลักษณะนี้ประมาณ 30,000 บาท แต่ทางบริษัทต้องการช่วยผู้ประกอบการ 10,000 บาท จึงตั้งตัวเลขการลงทุนไว้ที่ 20,000 บาท)

5. สั่งซื้อสินค้ากับทางบริษัท ตั้งแต่ 1,000-1,500 บาท ทางบริษัทจัดส่งให้ฟรี ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

6. ทำเลที่น่าสนใจมากที่สุด ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นประจำ ได้แก่ พัทยา สมุย ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ หาดใหญ่ ฯลฯ และทำเลที่น่าสนใจรองลงไปได้แก่ ใกล้สถาบันการศึกษา รวมทั้งแหล่งชุมชน



ขอบคุณ นสพ เส้นทางเศรษฐี

Read More...


ข้าวหมกปลาเก๋า+สูตรน้ำพั้น แปลกใหม่เป็นจุดขายช่องทางทำเงิน






“ช่องทางทำกิน” ขอเสนอ “ข้าวหมกปลาเก๋า” ที่แปลกใหม่ เกิดขึ้นจากความคิดของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรกระทุ่มราย ซึ่งก็กลายเป็นช่องทางสร้างรายได้ที่น่าสนใจ...

ไหมสาเหร๊าะ ซากีรี หรือ ครูไหม เป็นหัวหน้ากลุ่มแม่บ้านเกษตรกรชุมชนกระทุ่มราย กลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ขายเพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านในชุมชน เช่น แชมพู สบู่ สเปรย์ไล่ยุง ที่สกัดขึ้นจากธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีอาหารการกินที่อร่อย คือ “ข้าวหมกปลาเก๋า” ข้าวหมกไก่ และน้ำพั้นช์ ขายอยู่เป็นประจำอยู่ในชุมชน และรับทำตามสั่งอีกด้วย โดยครูไหมบอกว่า ข้าวหมกนั้นมีวิธีทำที่อาจไม่เหมือนกัน อยู่ที่สูตรของแต่ละคน ส่วนสูตรข้าวหมกปลาเก๋า และไก่ พร้อมทั้งน้ำพั้นช์ นั้น ครูไหมเองก็ไม่หวงสูตร

:::เริ่มต้นอุปกรณ์ที่ใช้หลัก ๆ ที่ต้องมีคือ เตาแก๊ส, หม้อสำหรับหุงข้าว, กระทะ, กะละมัง, ไม้พาย, ถาด, ทัพพี, เครื่องปั่น, ตะแกรง เป็นต้น:::::

วัตถุดิบหลัก ๆ สิ่งที่ต้องเตรียมคือ เนื้อไก่ปีกบน ช่วงอก 150 ชิ้น หรือเนื้อปลาเก๋าทอด 50 ชิ้น ต่อข้าวหอมมะลิ 1/2 ถัง และก็ต้องมีหอมเจียว, นมสด (ช่วยให้ข้าวนุ่ม), เนยเค็ม, แตงกวา

ส่วนผสมของเครื่องเทศ ได้แก่ มะเขือเทศลูกใหญ่ 5 กิโลกรัม, หอมแดง 3 กิโลกรัม, กระเทียม 2 กิโล กรัม, ขิงแก่ซอย 3 ขีด, น้ำมะนาว 500 กรัม, หอมเจียว

สำหรับส่วนผสมของน้ำ จิ้ม ก็ต้องเตรียม พริกสดเขียว 500 กรัม, พริกขี้หนูเขียว 500 กรัม, น้ำกระเทียมดอง 4 กิโลกรัม, หัวกระเทียมดอง 1 กิโลกรัม, หัวกระเทียม 500 กรัม และน้ำส้มสายชู 2 ขวด

::::::วิธีทำ นำส่วนผสมของเครื่องเทศทุกอย่างปั่นรวมกัน แล้วจึงทอดเนื้อปลาเก๋าด้วยไฟปานกลางเพื่อที่เนื้อปลาจะไม่เละ จากนั้นนำเนื้อปลาหรือเนื้อไก่ที่เตรียมไว้ลงต้มพร้อมกับเครื่องเทศ โดยแยกหม้อระหว่างปลากับไก่ เมื่อเห็นว่าสุกดีแล้ว ให้ตักขึ้นมาพักไว้::::::

ขั้นตอนต่อไปคือ ใส่เนยเค็มลงหม้อต้ม ตามด้วยข้าวหอมมะลิ หุงในน้ำของเครื่องเทศจากที่เราต้มเนื้อปลา และเนื้อไก่ เพื่อให้ได้รสชาติ และความหอมหวาน มัน ของเนื้อปลา-ไก่ นอกจากนี้ยังต้องใส่นมสด เพื่อให้ข้าวมีความหอมนุ่มยิ่งขึ้น

ข้าวที่ ได้จะเป็นสีเหลืองทองจากน้ำของเครื่องเทศ รวมทั้งเนื้อปลาและเนื้อไก่ก็จะเป็นสีเหลืองทองเช่นกัน จากนั้นโรยหอมเจียวลงในข้าว เป็นอันว่าเสร็จขั้นตอนของการเตรียมข้าวหมกเนื้อปลา – ไก่ ซึ่งขั้นตอนการขายคือ ตักข้าว ใส่เนื้อปลา หรือไก่ ส่วนผักที่ใช้ คือ ผักกาดหอม และแตงกวา
ขั้นตอนการทำน้ำจิ้ม ก็นำน้ำกระเทียมดอง หัวกระเทียมดอง น้ำส้ม หัวกระเทียม พริกสดเขียว พริกขี้หนูเขียว มาปั่นรวมกัน โดยสัดส่วนของวัตถุดิบก็ลดหรือเพิ่มตามสูตรข้างต้น

ถ้าปริมาณวัตถุดิบตามที่ว่ามาข้างต้น จะตักข้าวขายได้ประมาณ 300 กล่อง ขายกล่องละ 25 บาท

จุด เด่นข้าวหมกของครูไหมคือ ไม่ได้ใช้เนื้อไก่เพียงอย่างเดียว ยังมีเนื้อปลาเก๋า และข้าวหมกนั้นจะมีความหอม นุ่ม รสชาติกลมกล่อม และสะอาด

นอก จากนี้ ครูไหมยังให้สูตรน้ำพั้นช์และน้ำดอก อัญชัน ซึ่งขายควบกับข้าวหมกปลา-ไก่ก็เข้ากันได้ดี และเหมาะสำหรับคนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ หรือจะทำขายเฉพาะน้ำพั้นช์และน้ำดอกอัญชัน ก็ได้เช่นกัน

อุปกรณ์การทำก็มี กระ บวยตักน้ำ โถใส่น้ำใบใหญ่ ผ้าขาวบาง และแก้วน้ำ

ส่วน ผสมของ “น้ำ พั้นช์” ก็ใช้ น้ำส้มคั้น 200 ซีซี, น้ำสับปะรด 800 ซีซี, น้ำขิงแก่ 800 ซีซี, น้ำแดง (เฮลซ์บลูบอย) 800 ซีซี, น้ำแครอท 800 ซีซี, น้ำมะนาว 400 ซีซี, และเกลือ 3 ช้อนชา

วิธีทำ ก็เทส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วคนให้ทั่ว ใส่น้ำแข็งขายเป็นแก้ว ๆ โดยอาจมีการประดับตกแต่งให้ดูน่ารับประทานยิ่งขึ้นด้วยดอกกล้วยไม้บนปากแก้ว หรือด้วยมะนาวฝาน

ส่วนผสมของ “น้ำดอกอัญชัน” น้ำเปล่า 6 กิโลกรัม, ใบเตย, น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม, น้ำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธี ทำ ต้มน้ำ ใส่ดอกอัญชัน และใส่ใบเตยเพื่อความหอม รอจนน้ำเดือด สีของดอกอัญชันออกเต็มที่ จากนั้นกรองกากออก ใส่น้ำตาลทรายแดง น้ำมะนาว และเกลือ เพื่อเพิ่มรสชาติ คนให้เข้ากัน ก็เสร็จเรียบร้อย ตักขายในราคาแก้วละ 20 บาท

น้ำพั้นช์ และน้ำดอกอัญชัน มีวิธีการทำที่ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก วัสดุอุปกรณ์ ส่วนผสม หาได้ทั่วไป จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ “ทำได้ง่าย ขายได้คล่อง” และต้นทุน ไม่สูง

:::::ใคร สนใจ “ข้าวหมกปลาเก๋า” หรือข้าวหมกไก่ และ “น้ำพั้นช์-น้ำดอกอัญชัน” ของวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรกระทุ่มราย กลุ่มนี้อยู่ที่หมู่บ้านเลียบวารี แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กรุงเทพฯ โทร.0-2989-5183, 08-9129-5183 ไปช่วยกันอุดหนุนอาหารของคนไทย หรือจะลองฝึกฝนทำขายที่อื่นบ้างก็ดี.

*****ขนิษฐา ผุดผาด
ภัทราภรณ์ พลายเถื่อน

ขอบคุณ นสพ เดลินิวส์

Read More...


มื้อเช้า : แกงต้มส้มต้มกะปิใส่ดอกอโศก ไข่เจียวดอกไม้และข้าวหุงดอกอัญชัน ไข่เจียวดอกไม้

แกงต้มส้มต้มกะปิใส่ดอกอโศก ไข่เจียวดอกไม้และข้าวหุงดอกอัญชัน


 มื้อ เช้านี้ลองปรุงแกงโบราณอย่าง แกงต้มส้มต้มกะปิใส่ดอกอโศก ไว้จัดการกับเสมหะส่วนเกินสักหน่อยก็ไม่เลว เติมความอร่อยในสำรับคู่กับไข่เจียวดอกไม้หลากสี และข้าวสวยหุงกับน้ำดอกอัญชันสีน้ำเงิน



ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
เวลาเตรียม 30 นาที เวลาปรุง 15 นาที
  • กุ้งนาง 4 ตัว
  • แตงโมอ่อนผ่า 8 ส่วน 3 ผล
  • ดอกอโศกน้ำ 1 กำมือ
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนชา
  • น้ำมะขามเปียก 5 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 4 ถ้วย
  • ไข่เป็ด 1 ฟอง
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
ส่วนผสมน้ำพริกแกง
  • พริกแห้งเม็ดใหญ่กรีดเอาเมล็ดออกแช่น้ำจนนิ่ม 7 เม็ด
  • พริกขี้หนูแห้งกรีดเอาเมล็ดออกแช่น้ำจนนิ่ม 5 เม็ด
  • หอมเล็กปอกเปลือก 7 หัว
  • กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก 7 กลีบ
  • ปลาช่อนแห้งนึ่งจนนิ่ม หรือปลาช่อนแดดเดียวย่าง แกะเอาแต่เนื้อ 1/4 ถ้วย
  • กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนช
วิธีทำ
  1. แกะเปลือกกุ้งโดยเว้นหัวและหางไว้ ตัดกรีและหนวดทิ้ง ผ่าหลัง ดึงเส้นดำออก ล้างให้สะอาดพักไว้
  2. เด็ดดอกอโศกออกจากก้านดอก ล้างน้ำอย่างเบามือ พักใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
  3. โขลก ส่วนผสมน้ำพริกแกงรวมกัน โดยเริ่มจาก โขลกพริกทั้งสองชนิดกับเกลือจนละเอียด จึงใส่หอมลงโขลก ตามด้วยกระเทียม กะปิ เนื้อปลา โขลกจนส่วนผสมละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้
  4. ต้มน้ำ ให้เดือด ใส่น้ำพริกแกง คนให้ละลาย ใส่แตงโมอ่อนลงต้มเมื่อใกล้สุก จึงใส่กุ้ง ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล น้ำมะขามเปียก ต้มต่อสักครู่
  5. ตอกไข่ ใส่ชามตีให้เข้ากัน โรยลงในหม้อแกง ไม่ต้องคน แล้วใส่ดอกอโศกลงไป ปิดฝาทันที ทิ้งให้เดือดสักครู่ ปิดไฟ เปิดฝา บีบมะนาว คนเบา ๆ พอเข้ากัน ตัก
ไข่เจียวดอกไม้

ส่วนผสม
  • ไข่เป็ด หรือไข่ไก่ 3 ฟอง
  • ดอกไม้รับประทานได้ตามชอบ เช่น อัญชัน พวงชมพู โสน ดอกเข็ม ดอกคูน คละกัน 2 ถ้วย
  • น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันสำหรับเจียวไข่ 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
  1. ตีไข่ให้เข้ากัน ใส่ดอกไม้ลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลา คนพอเข้ากันพักไว้
  2. ใส่ น้ำมันลงกระทะ ตั้งไฟจนร้อน เทส่วนผสมในข้อหนึ่งลงไป ใช้ตะหลิวเกลี่ยดอกไม้ให้กระจายทั่วแผ่นไข่ รอจนด้านล่างสุกดี จึงพลิกไข่เจียว จากนั้นค่อย ๆ ยกกระทะรินน้ำมันออกจนหมด โดยให้ไข่ยังอยู่ในกระทะ ลดไฟให้อ่อนลง เพื่อให้ผิวไข่กรอบ กลับไข่อีกครั้ง เพื่อให้ผิวไข่เจียวกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นแล้วหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม จัดใส่จาน
Credit : 
นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 11 ฉบับที่ : 121 เดือน : กุมภาพันธ์ 2554

Read More...


มื้อกลางวัน : ยำทวายเก้าเกสร หมี่กะทิดอกบัว


เมนู นี้นำดอกไม้รับประทานได้หลากสีเก้าชนิด มาปรุงเป็นยำทวายแบบไทย ๆ ใช้ทั้งดอกสดและลวกในน้ำกะทิธัญพืชพอสุก รับประทานคู่กับน้ำยำรสเปรี้ยว เค็ม หวาน มัน นอกจากจะอร่อยเข้ากันแล้ว สีสันต่าง ๆ ในดอกไม้ยังช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้อีกด้วย

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
เตรียม 30 นาที ปรุง 45 นาที
  • ดอกไม้ รับประทานได้ 9 ชนิด ชนิดละ 1/2 ถ้วย (พวงชมพู กลีบในของดอกบัวฉัตร ดอกเข็ม ดอกอัญชัน ดอกโสน ดอกแคขาวดึงเกสรออก ดอกผักกวางตุ้ง ดอกเล็บมือนาง หัวปลีซอยเป็นเส้นแช่น้ำมะขามเปียกไว้)
  • อกไก่ต้มสุกฉีกเป็นเส้น 1 ถ้วย
  • ถั่วงอก 1 ถ้วย
  • พริกหวานสามสี เขียว เหลือง แดง ซอยเป็นเส้นบาง ชนิดละ 1/4 ถ้วย
  • กะทิธัญพืช 1 ½ ถ้วย
  • น้ำเปล่า 4 ถ้วย
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • งาคั่วตามชอบ
  • กะทิธัญพืชเคี่ยวผสมกับแป้งข้าวเจ้าเล็กน้อยจนข้น สำหรับราดหน้ายำ ตามชอบ
ส่วนผสมน้ำยำ
  • พริกแห้งเม็ดใหญ่กรีดเอาเมล็ดออก นำไปแช่น้ำจนนิ่ม 7 เม็ด
  • หอมเล็กปอกเปลือกซอยบางตามขวาง 7 หัว
  • กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก 7 กลีบ
  • ข่า 3 แว่น
  • ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • ปลาย่าง (ปลาเนื้ออ่อนหรือปลาสลาดก็ได้) แกะเอาแต่เนื้อโขลกละเอียด 1/4 ถ้วย
  • น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • กะทิธัญพืช 1 ถ้วย
  • วิธีทำ
    1. ทำ น้ำยำ โดย โขลก พริกกับเกลือให้ละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ ลงโขลกจนเนียนจึงใส่หอมและกระเทียม เมื่อเครื่องแกงละเอียดดีแล้วจึงใส่ปลาย่างลงไป โขลกต่อสักพักจนเข้ากัน ตักใส่ถ้วยพักไว้
    2. ใส่ กะทิธัญพืช (ส่วนเครื่องปรุงน้ำยำ) ลงในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟจนเดือด ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ปรุงรสด้วย น้ำมะขามเปียก น้ำปลา น้ำตาล ปิดไฟ ตักใส่ถ้วยเตรียมเสิร์ฟ
    3. ผสม กะทิธัญพืช กับน้ำในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟจนเดือด ใส่เกลือคนให้ละลาย แล้วจึงนำถั่วงอก พริกหวาน และดอกไม้ลงลวก โดยเรียงลำดับจากสีอ่อนไปจนถึงสีเข้ม (ดอกอัญชันและพวงชมพูไม่ต้องลวกก็ได้ เพราะสามารถรับประทานสด ๆ )
    4. จัดดอกไม้ลวกและผักใส่จาน เคียงด้วยเนื้อไก่ฉีกฝอย ราดน้ำยำ และน้ำกะทิธัญพืชสำหรับราดที่เตรียมไว้ โรยงาตามชอบ รับประทานทันที
    Tip
    • การลวกดอกพวงชมพูจะทำให้สีของดอกไม้จางลงเป็นสีชมพูอ่อนจนถึงสีขาว ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการลวก
    • ก่อนนำหัวปลีไปลวก ควรล้างน้ำมะขามเปียกออกก่อน เพื่อป้องกันรสเปรี้ยวจากน้ำมะขามทำให้รสยำเสีย
    • สามารถปรับเปลี่ยนดอกไม้ได้ตามชอบ
หมี่กะทิดอกบัว
หมี่ กะทิจานนี้จึงเติมความพิเศษโดยนำกลีบดอกบัวหลวงซอยเป็นเส้นยาว พร้อมเกสรดอกบัวสด มาผัดกับเส้นหมี่ข้าวกล้องและกะทิธัญพืชจนหอมชวนรับประทาน ก่อนราดด้วยเครื่องเคลารสเปรี้ยว เค็ม หวาน กำลังดี เสริมให้อาหารจานนี้หอมอร่อยมากยิ่งขึ้น 

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
เตรียม 30 นาที ปรุง 30 นาที
  • เส้นหมี่ข้าวกล้องแห้ง 100 กรัม
  • เกสรดอกบัวสดและกลีบบัวหลวงหรือบัวฉัตรสีชมพูซอยเป็นเส้นยาวชนิดละ 1 ถ้วย
  • ถั่วงอกเด็ดหาง 1 ถ้วย
  • กุยช่ายหั่นเป็นท่อนสั้น 1 ถ้วย
  • กะทิธัญพืช 1 ถ้วย
  • ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 1/4 ช้อนชา
  • น้ำเปล่าสำหรับแช่และลวกเส้นหมี่
  • ใบกุยช่ายสด และถั่วงอกสด สำหรับเป็นผักเคียง
  • มะนาวผ่าซีกและพริกป่นตามชอบ
ส่วนผสมเครื่องราดหมี่
  • เนื้อกุ้งสับหยาบ (ใช้กุ้งได้ทุกชนิด) 1/2 ถ้วย
  • เต้าหู้เหลืองชนิดแข็งหั่นเป็นท่อนสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ 1/4 ถ้วย
  • พริกแห้งเม็ดใหญ่กรีดนำเมล็ดออก คั่วจนกรอบ ตำละเอียด 3-5 เม็ด
  • หอมเล็กซอย 1 ถ้วย
  • กะทิธัญพืช 1 ½ ถ้วย
  • น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
  • เนื้อเต้าเจี้ยวขาวตำละเอียด 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมะขามเปียก 4 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/4 ช้อนชา
  • น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
  1. นำเส้นหมี่แช่น้ำจนนิ่ม พักให้สะเด็ดน้ำ
  2. ต้มน้ำให้เดือด ใส่เส้นหมี่ลงลวกอย่างรวดเร็ว ตักขึ้นใส่กระชอน พักให้สะเด็ดน้ำเตรียมไว้ (ขั้นตอนนี้เส้นหมี่จะยังไม่สุก)
  3. ใส่ กะทิธัญพืชลงในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟให้ร้อน ปรุงรสด้วยซอสมะเขือเทศ เกลือ น้ำตาล คนจนละลาย เร่งไฟขึ้น ใส่เส้นหมี่ลงผัดจนสุกดี ใส่ถั่วงอก และใบกุยช่าย ผัดต่อสักพัก ปิดไฟ ใส่เกสรและกลีบดอกบัว ลงคลุกเคล้าให้ทั่วเส้นหมี่ตักใส่ภาชนะ ปิดฝาพักไว้
  4. ทำ เครื่องราดหมี่กะทิ โดย เคี่ยวกะทิธัญพืชพอเดือด ใส่เต้าเจี้ยวและพริกลงไปคนให้เข้ากัน ใส่เนื้อกุ้ง ผัดจนใกล้สุก จึงใส่เต้าหู้ และหอมลงไป เติมน้ำเปล่า ปรุงรสด้วย น้ำมะขามเปียก เกลือ และน้ำตาล รอเดือดสักครู่ ปิดไฟ
  5. จัดเส้นหมี่ที่ผัดไว้ใส่จาน ตักเครื่องราดลงบนเส้นหมี่ เคียงด้วยถั่วงอกสด ใบกุยช่าย มะนาวหนึ่งซีก และพริกป่น ตามชอบ
Tip
  • บัว หลวงจะมีกลิ่นหอมกว่า มีสรรพคุณในการบำรุงหัวใจอย่างชัดเจน ทว่า โคนกลีบดอกส่วนสีขาวมักมีรสขม และเกสรมีรสเฝื่อน ขณะที่บัวฉัตร (มีกลีบซ้อนกันหลายชั้น) กลิ่นจะหอมอ่อน ๆ สรรพคุณทางยาไม่เท่าบัวหลวง แต่เกสรและกลีบ ไม่เฝื่อนขม การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้รับประทาน
Credit : นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 11 ฉบับที่ : 121 เดือน : กุมภาพันธ์ 2554

Read More...


มื้อเย็น : ทอดมันกุ้งดอกเฟื่องฟ้า ฉู่ฉี่ดอกฟักทองมันกุ้ง แกงจืดลูกรอกดอกไม้จีน

ทอดมันกุ้งดอกเฟื่องฟ้า




มื้อ เย็นนี้จึงขอเปิดสำรับด้วย ทอดมันเฟื่องฟ้า สีสวย รสเข้มข้น เนื้อทอดมันหนึบหอมกลิ่นน้ำพริกแกงที่ตำเองกับมือ รับรองว่าใครได้เห็นและได้ชิม ต้องหลงรักอาหารเรียกน้ำย่อยจานนี้ เป็นลางดีว่าภายภาคหน้าชีวิตรักคงเฟื่องฟูอย่างแน่นอน

ส่วนผสมสำหรับทอดมัน 20-25 ชิ้น
เวลาเตรียม 45 นาที เวลาปรุง 20 นาที
  • กุ้งแชบ๊วยแกะเอาแต่เนื้อ ผ่าหลังดึงเส้นดำทิ้ง 150 กรัม
  • ดอกเฟื่องฟ้าสีตามชอบ 20-25 ดอก
  • น้ำปลา 1/4 ช้อนชา
  • พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
  • ใบมะกรูดซอยละเอียด 2 ใบ
  • ถั่วฝักยาวซอยบางตามขวาง 1/4 ถ้วย
  • น้ำมันสำหรับทอด
  • ส่วนผสมน้ำพริกแกง
    • พริกแห้งเม็ดใหญ่กรีดนำเมล็ดออกแช่น้ำจนนิ่ม 1 เม็ด
    • พริกขี้หนูแห้งกรีดนำเมล็ดออกแช่น้ำจนนิ่ม 2 เม็ด
    • หอมเล็กซอยบางตามขวาง 1 ช้อนโต๊ะ
    • กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก 8 กลีบ
    • ข่าสับหยาบ 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • ตะไคร้ซอยบาง 1 ช้อนโต๊ะ
    • ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนชา
    • รากผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
    • ลูกผักชีคั่วไฟอ่อนจนหอม 1/4 ช้อนชา
    • ยี่หร่าคั่วไฟอ่อนจนหอม 1/4 ช้อนชา
    • เกลือ 1 ช้อนชา
    • กะปิ
    ส่วนผสมอาจาด
    • น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
    • น้ำเปล่า 1/2 ถ้วย
    • น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วย
    • เกลือ 1 ช้อนชา
    • แตงกวาซอยบาง 1/4 ถ้วย
    • หอมเล็กหรือหอมแขกซอยบางตามขวาง 1/4 ถ้วย
    • พริกชี้ฟ้าสีเหลือง และสีแดง ซอยบางตามขวาง 1/4 ถ้วย
    วิธีทำ
    1. ทำอาจาด โดยผสมน้ำตาล น้ำเปล่า น้ำส้มสายชูลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปรุงรสด้วยเกลือ เคี่ยวต่อจนเหนียวดี ปิดไฟ พักให้เย็น เทใส่ถ้วย ใส่แตงกวา หอม และพริกชี้ฟ้า ลงไป คนเล็กน้อย พักไว้
    2. ทำทอดมันโดยเริ่ม จาก ตำพริกกับเกลือจนละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด รากผักชี ลูกผักชี ยี่หร่า โขลกจนละเอียด แล้วจึงใส่หอม กระเทียม และกะปิ ตำจนเนียนเข้ากัน ตักใส่ถ้วยพักไว้
    3. ล้างกุ้งให้สะอาด ซับด้วยกระดาษทิชชู หรือผ้าให้แห้ง ใส่ลงครกแล้วตำกุ้งจนละเอียดและเหนียว ใส่น้ำพริกแกงในข้อหนึ่งลงตำให้เข้ากันดี ตักส่วนผสมออกจากครก ใส่ลงในชามนวดต่ออีกสักพักจนส่วนผสมเหนียว ใส่ใบมะกรูดซอยและถั่วฝักยาว น้ำปลาและพริกไทยป่น นวดจนเข้ากัน พักไว้
    4. ล้างดอกเฟื่องฟ้าให้สะอาด ซับให้แห้ง นำส่วนผสมทอดมันปั้นเป็นก้อนแล้วยัดใส่ตรงกลางดอกเฟื่องฟ้า ทำอย่างนี้จนส่วนผสมและดอกไม้หมด
    5. ตั้งน้ำมันให้ร้อน ใส่ดอกเฟื่องฟ้าที่ยัดไส้แล้วลงทอดจนสุก ตักขึ้นซับน้ำมัน เสิร์ฟทันทีคู่กับอาจาด
ฉู่ฉี่ดอกฟักทองมันกุ้ง

ฉู่ ฉี่จานนี้นำเนื้อกุ้งโขลกจนเหนียวมาเคล้ากับเนื้อปูต้ม นำไปหุ้มกับดอกฟักทองอ่อนแล้วชุบแป้งทอด ก่อนนำไปปรุงเป็นฉู่ฉี่รสเผ็ดร้อนแบบไทย เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยหุงสุกใหม่ ๆ นอกจากจะอร่อยจนชวนเจริญอาหารแล้ว ดอกฟักทองยังมีสรรพคุณ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ขับลมในกระเพาะอาหาร และหากใช้ดอกบานก็สามารถช่วยแก้โรคตาบอดกลางคืนได้ดี

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)
เตรียม 30 นาที ปรุง 20 นาที
  • ดอกฟักทองอ่อน 18 ดอก
  • กุ้งแชบ๊วยแกะเอาแต่เนื้อผ่าหลัง 200 กรัม
  • เนื้อปูนึ่งสุก 1 ถ้วย
  • มันกุ้ง 1 ถ้วย
  • รากผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม 10 กลีบ
  • พริกไทย 1 ช้อนชา
  • กะทิธัญพืช 1 ถ้วย
  • น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา (1) 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา (2) 3 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วย
  • น้ำเปล่า ¾ ถ้วย
  • ไข่เป็ด(เฉพาะไข่แดง) 1 ฟอง
  • พริกชี้ฟ้าสีเหลือง สีแดง หั่นแฉลบ 1/4 ถ้วย
  • ใบมะกรูดหั่นฝอยสำหรับโรยหน้า
  • กะทิธัญพืชผสมกับแป้งข้าวเจ้าเล็กน้อย นำไปเคี่ยวจนข้นสำหรับราดบนฉู่ฉี่
  • น้ำมันพืชสำหรับผัดเล็กน้อย
  • น้ำมันพืชสำหรับทอด
ส่วนผสมพริกแกง
  • พริกแห้งเม็ดใหญ่กรีดเมล็ดออกไปแช่น้ำจนนิ่ม 7 เม็ด
  • ข่า 7 แว่น
  • ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • หอมเล็กซอยบางตามขวาง 5 หัว
  • กระเทียม 5 กลีบ
  • พริกไทย 20 เม็ด
  • ผิวมะกรูด 1 ช้อนชา
  • กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
  1. โขลกส่วนผสมพริกแกงรวมกันให้ละเอียดพักไว้
  2. ตำรากผักชีกระเทียมพริกไทยรวมกันพักไว้ในครก ล้างกุ้งให้สะอาด ซับด้วยกระดาษทิชชูหรือผ้าให้แห้ง ใส่ลงในครกใบเดิม ตำจนกุ้งละเอียด เหนียว และเข้าเนื้อกับเครื่องเทศดี ตักออกจากครกใส่ลงภาชนะ เติมน้ำปลา (1) นวดให้เข้ากัน ใส่เนื้อปูลงไป ใช้มือนวดเคล้าพอเข้ากันอย่าให้เนื้อปูแตก
  3. ตัดก้านดอกฟักทองให้ห่างจากฐานดอกประมาณ 3 นิ้ว แล้วจับดอกฟักทองสามดอกรวบเข้าด้วยกัน นำส่วนผสมในข้อสองปั้นหุ้มก้านฟักทองให้ชิดฐานรองดอก เว้นก้านส่วนปลายไว้เล็กน้อย ทำอย่างนี้จนส่วนผสมและดอกฟักทองหมดพักไว้
  4. ผสมแป้งทอดกรอบกับน้ำและไข่แดงคนให้เข้ากันพักไว้
  5. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ยกขึ้นตั้งไฟให้ร้อน ลดไฟลงเป็นไฟกลาง นำดอกฟักทองที่เตรียมไว้ ชุบส่วนผสมแป้ง แล้วทอดจนสุกเป็นสีทองสวย ตักขึ้นซับน้ำมันพักไว้
  6. ตั้งกระทะอีกใบ ผัดน้ำพริกแกงกับน้ำมันพืชเล็กน้อยจนขึ้นสีสวย ใส่กะทิธัญพืชลงไปผัดจนเข้ากันดี เมื่อกะทิเดือดจัด ปรุงรสด้วยน้ำปลา (2) น้ำตาล แล้วใส่ดอกฟักทองทอดลงไปเคล้า โรยพริกชี้ฟ้า ผัดให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรยกะทิ ใบมะกรูดซอย ตามชอบ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวย
แกงจืดลูกรอกดอกไม้จีน

ปิดสำรับด้วยแกงจืดแบบไทย ”อย่างแกงจืดลูกรอก” ที่ต้องใช้เวลาปรุงนานสักหน่อยแต่รับรองอร่อยไม่ผิดหวัง
สูตรนี้เพิ่มดอกไม้จีนลงไป เพื่อให้ได้สรรพคุณ ช่วยผ่อนคลาย เป็นยาบำรุงประสาท ทำให้นอนหลับสบาย ส่งคุณให้หลับฝันหวานในค่ำคืนของเดือนแห่งความรักนี้ อย่างสุขใจ

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่ )
เตรียม 45 นาที ปรุง 2 ชั่วโมง 30 นาที
ส่วนผสมลูกรอก
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • ไข่เป็ด(เฉพาะไข่แดง) 3 ฟอง
  • ไส้อ่อนหมูตัดพังพืดสีขาวทิ้ง แล้วตัดส่วนไส้ให้ได้ความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร
  • น้ำปูนใส 1 ถ้วย
  • เกลือ 4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำสำหรับต้มลูกรอก
  • เชือกสำหรับมัดปลายลูกรอก
ส่วนผสมสำหรับแกง
  • กุ้งกุลาดำตัดหัวทิ้ง แกะเปลือก เว้นหาง ผ่าหลัง ดึงเส้นดำทิ้ง ล้างสะอาด 6 ตัว
  • ดอกไม้จีนแช่น้ำจนนิ่ม 20 ดอก
  • รากผักชีสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมกลีบเล็กปอกเปลือก 7 กลีบ
  • พริกไทยดำเม็ดคั่วจนหอม 1/4 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันหอย ½ ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันกระเทียมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำเปล่า 4 ถ้วย
  • ผักชีซอยหยาบสำหรับโรยหน้า
วิธีทำ
  1. ใช้มือรีดไส้หมูให้เมือกด้านในไส้หลุด ออก แล้วใส่ไส้ลงในชามใบโต โรยเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ขยำให้ทั่วแล้วล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด จากนั้น ใช้ตะเกียบกลับไส้ด้านในออกมา โรยเกลือ1 ช้อนโต๊ะ ขยำจนทั่ว ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งใส่น้ำปูนใสลงไปแช่ไว้ประมาณ 1-2 นาที จากนั้นใช้มือคนแล้วเทน้ำทิ้ง โรยเกลือ 1 ช้อนโต๊ะและขยำไส้อีกครั้ง ล้างออก จากนั้นใช้ตะเกียบกลับไส้ให้เหมือนเดิมใส่เกลือ1 ช้อนโต๊ะ ขยำให้ทั่ว ล้างให้สะอาด พักใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
  2. ตอกไข่ใส่ชามตีให้เข้ากันดี ปรุงรสด้วยน้ำปลา พักไว้
  3. ใช้เชือกมัดด้านปลายด้านหนึ่งของไส้ แล้วกรอกไข่ใส่ลงไปในไส้จนหมด ใช้เชือกมัดปลายอีกข้างหนึ่งให้แน่น พักไว้
  4. นำหม้อใบโตใส่น้ำยกขึ้นตั้งไฟ นำชามอะลูมิเนียมวางบนปากหม้อให้พอดี ใส่น้ำลงในชาม แล้วใส่ลูกรอกลงต้ม
    ขั้นตอนนี้เมื่อน้ำในอ่างร้อนต้องคอยตักออกแล้วเติมน้ำลงไป เพื่อคุมอุณหภูมิน้ำให้ร้อนแต่ไม่เดือดเพื่อไม่ให้ลูกรอกแตก ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนเส้นลูกรอกสุก โดยสังเกตจากสีของไข่ในลูกรอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองขุ่นและเส้นลูกรอกจะลอย เมื่อจับดูเนื้อจะแข็งแน่นดี ถือว่าใช้ได้ (ขั้นตอนนี้ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง)
  5. นำลูกรอกที่สุกแล้วขึ้นจากน้ำ หั่นเป็นท่อนความยาวประมาณครึ่งนิ้ว แล้วใช้มีดกรีดบนผิวหน้าตัดของลูกรอกเบา ๆ เป็นกากบาท เตรียมไว้
  6. ใช้หม้ออีกใบต้มน้ำด้วยไฟกลางเพื่อเตรียมทำแกงจืด ระหว่างรอน้ำเดือด ตำรากผักชี กระเทียม พริกไทย รวมกันให้ละเอียด เมื่อน้ำเดือดจึงใส่เครื่องเทศดังกล่าวลงไปคนให้ละลายดี ปรุงรสด้วย น้ำปลา น้ำมันหอย ใส่กุ้ง แล้วมัดดอกไม้จีนใส่ลงไป ตามด้วยลูกรอก ต้มจนน้ำแกงเดือด และไส้รัดตัวลูกรอกจนมีลักษณะคล้าย รอกจริง ๆ และรอยกรีดบนหน้าตัดบานเป็นลักษณะคล้ายดอกไม้ ปิดไฟ โรยผักชี ตักใส่ถ้วยเสิร์ฟขณะร้อน
Credit :นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 11 ฉบับที่ : 121 เดือน : กุมภาพันธ์ 2554

Read More...


“ขาหมูยัดไส้” หรือ “ขาหมูเวียดนาม”เมนูแปลกใหม่ดึงดูดลูกค้า

ธุรกิจ ร้านอาหารถือเป็น “ช่องทางทำกิน” ยอดฮิตของใครหลาย ๆ คน ตั้งแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว  ร้านข้าวแกง  ร้านขนม  ร้านกาแฟ  ไปจนถึงร้านหรู ๆ ซึ่งการทำธุรกิจร้านอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกิน  โดยผู้ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านนี้ต้องมีปัจจัยและองค์ประกอบหลาย อย่างเป็นตัวช่วย อาทิ เมนูหลากหลาย อาหารต้องอร่อย บริการเยี่ยม ราคาถูก บรรยากาศดี ทำเลตั้งร้านสะดวก เหล่านี้สามารถทำให้ธุรกิจร้านอาหารอยู่รอดปลอดภัย และบางร้านก็ใช้เมนูแปลกใหม่ดึงดูดลูกค้า อย่างเช่น “ขาหมูยัดไส้” หรือ “ขาหมูเวียดนาม”

กัญ จนรัตน์ หิรัญพริษฐ์ หรือ เกต เจ้าของร้าน “นานา ไก่ย่าง” เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของการทำร้านอาหารว่า ที่บ้านทำธุรกิจด้านอาหารกันอยู่แล้ว และด้วยความที่ครอบครัวเป็นคนอีสานดั้งเดิมจาก จ.หนองคาย บวกกับคุณแม่เป็นคนชอบทำอาหารและทำอาหารเก่ง ทั้งเธอและน้องสาวได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำอาหารสารพัดชนิดมาตั้งแต่เล็กจน โต และคิดว่าถ้าจะขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดธุรกิจของครอบครัว เปิดร้านอาหารสไตล์อีสาน น่าจะทำได้ดี  เพราะคุ้นเคยและมีฝีมือในการทำอาหารอีสานอยู่แล้ว
“การ ทำธุรกิจร้านอาหาร ที่สำคัญเจ้าของร้านควรทำอาหารเป็นเองด้วย จะดีมากค่ะ เพราะพนักงานจะหาเรื่องหยุดได้ตลอดช่วงเทศกาลต่าง ๆ ช่วงเทศกาลคุณจะยิ่งขายดี ถ้าเราทำโดยต้องอาศัยคนอื่นตลอดจะลำบาก เราต้องสามารถกำหนดสูตร กำหนดรสชาติให้พ่อครัว เพราะถ้าเกิดเปลี่ยนพ่อครัวด้วยกรณีใด ๆ สูตรและรสชาติเดิมก็จะยังคงอยู่กับร้านตลอด จะไม่กระทบกับลูกค้า ส่วนเคล็ดในการครองใจคออาหารอีสานน่าจะเป็นรสชาติของอาหารที่จัดจ้านแต่กลม กล่อม ทางร้านจะเน้นให้เป็นรสชาติแบบอีสานแท้ ๆ รสแซบถึงใจ มีเมนูอาหารหลากหลายให้ลูกค้าได้เลือกสรร วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหารของที่ร้านเน้นสดและใหม่จริง ๆ เพราะร้านอยู่ตรงข้ามกับตลาดสะพานใหม่ สามารถซื้อของสดใหม่ได้ตลอดเวลา” เกตแจกแจง
  
พร้อมทั้งบอกว่า นอกจากฝีมือในการปรุงอาหารแล้ว หัวใจสำคัญที่ต้องเน้นเป็นพิเศษสำหรับอาหารคือเรื่อง “ความสะอาด” ซึ่งไม่ใช่แค่จัดใส่จานให้ดูสะอาดน่ารับประทานเท่านั้น อย่างผักสดก็ต้องล้างน้ำหลายครั้งจนมั่นใจว่าสะอาดจริง เวลาประกอบอาหารก็ต้องระวัง ที่สำคัญอีกอย่างคือการทำอาหารขายต้องรู้จัก “พลิกแพลงสูตร” ตามความชอบของลูกค้า ซึ่งที่ร้านจะอยู่ใกล้กับกองทัพอากาศ ก็จะมีทหารเป็นลูกค้าประจำเยอะ
  
อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำอาหารอีสานนั้น ต้องเตรียมให้ครบครัน ที่ขาดไม่ได้คือครกกับสากไม้สำหรับตำส้มตำ รวมถึงเขียง, มีด, ช้อน, ส้อม, ทัพพี, หม้อมีด้ามสำหรับใช้ปรุง, กระปุกหรือโหลสำหรับใส่วัตถุดิบ, กะละมัง, กระทะ, เตาแก๊ส, เตาถ่าน, ซึ้งนึ่งข้าวเหนียว, ลังถึงนึ่งปลา, ตะแกรง, หม้อต้มน้ำซุป, ถาด,
คีมคีบฯลฯ
  
วัตถุดิบที่ใช้ในครัว ต้องใหม่สดทุกวัน พระเอกต้องยกให้มะละกอดิบที่ต้องสดกรอบ ที่เหลือก็เป็นพวกถั่วลิสงคั่ว, กุ้งแห้ง, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลาอย่างดี, น้ำมะนาว, น้ำมะขามเปียก, พริกขี้หนูสด, พริกขี้หนูแห้ง, พริกป่น, ข้าวคั่ว, ปูเค็ม, ปลาร้า, ซอสปรุงรส, เกลือ, น้ำตาลทราย, เนื้อหมู, เนื้อไก่, เนื้อปลา, ชูรส, ผักชี, ฝรั่ง, แครอท, ต้นหอม, ใบสะระแหน่, ถั่วฝักยาว, มะเขือเทศ,  ผักสดนานาชนิด เช่น กะหล่ำปลี, ผักบุ้งนา, แตงกวา, ผักแว่น, ผักแผ้ว, ผักกาดหอม ฯลฯ ตามแต่ผักชนิดใดจะเหมาะกับอาหารชนิดใด เหล่านี้เป็นต้น

สำหรับ เมนูของร้านนี้ อาทิ ไก่ย่างนานา, ปากเป็ดทอด, ต้มแซบกระดูกอ่อน, แกงอ่อมหมู, ปลาร้าทรงเครื่อง, ยำเอ็นแก้ว, ปลาเก๋าลวกจิ้ม, เนื้อลายลวก, ไส้ตันทอด, ไก่บ้านต้มใบมะขาม, จิ้มจุ่มอีสาน, ปลาช่อนเผาเกลือ, ปลาทับทิมเผาเกลือ, ปลาดุกย่าง, ปลานึ่ง, ปลาทับทิมราดพริก, ปลามะนาว, เนื้อย่าง, คอหมูย่าง, หอยเผา, ต้มยำต่าง ๆ, ตำลาว,  ตำป่า, ตำหอยดอง, ตำปูม้า, ตำไข่เค็ม, ตำซั่ว, น้ำตก, ลาบ ฯลฯ
       
รวมถึง “ขาหมูยัดไส้” หรือ “ขาหมูเวียดนาม” เมนูนี้เป็นอีกจานเด็ดที่ลูกค้าเกือบทุกโต๊ะต้องสั่ง โดย “ขาหมูยัดไส้” หรือ “ขาหมูเวียดนาม” นี้ วัตถุดิบที่ใช้ทำก็มี ขาหมู, หมูเนื้อสันติดมัน, หนังหมู, เห็ดหอม, เห็ดหูหนู, เครื่องเทศ, น้ำตาล, น้ำปลา, ซอสปรุงรส
     
ขั้นตอนการทำ “ขาหมูยัดไส้” หรือ “ขาหมูเวียดนาม” เริ่มจากเลือกขาหมูคุณภาพดีมาใช้  เมื่อได้มาแล้วก็เอาขาหมูมาขูดหนังและล้างให้สะอาด ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ใช้มีดปลายแหลมคว้านเนื้อและเลาะเอากระดูกออกให้เหลือแต่หนังและส่วนของปลาย เท้าเพื่อให้คงรูปเดิม ตั้งพักไว้
  
ระหว่างนั้นให้นำหนังหมูมาขูดล้างสะอาด แล้วนำไปต้มให้สุก ตักขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำ หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เตรียมไว้ นำเห็ดหอมไปแช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ พอนิ่มให้หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นเดียวกับเห็ดหูหนูก็หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เตรียมไว้ จากนั้นนำหมูเนื้อสันติดมันมาบดหรือสับให้ละเอียด แล้วผสมกับเครื่องเทศ เห็ดหอมหั่น เห็ดหูหนูหั่น หนังหมูหั่น ปรุงรสด้วยน้ำตาล น้ำปลา ซอสปรุงรส ทำการคลุกเคล้าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน
     
เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว ก็นำไปยัดใส่ลงในขาหมูที่เตรียมไว้ ใช้ด้ายเย็บหนังให้ปิดสนิท ก่อนจะนำไปนึ่งนานประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อสุกแล้วยกลงทิ้งไว้ให้เย็น ก่อนจะนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น เมื่อจะเสิร์ฟให้ลูกค้ารับประทานก็นำขาหมูออกมาหั่นสไลด์ตามขวางเป็นชิ้นบาง ๆ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด และ
ผักสด
     
อาหารของร้านนี้มีราคาตั้งแต่ 40 จนถึง 180 บาท ขึ้นอยู่กับเมนู ส่วน “ขาหมูยัดไส้” ขายจานละ 60 บาท โดยทุนเฉพาะวัตถุดิบของอาหารต่าง ๆ แต่ละจาน (ไม่รวมทุนเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ) ไม่เกิน 50%
                                  
ร้านของเกตตั้งอยู่ปากซอยพหลโยธิน 54 ต้องการติดต่อเกต ก็โทร. 08-6407-5909, 08-6608-2829 ต้องการจองโต๊ะ โทร. 08-1864-6532 ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่  17.00-24.00 น. ทุกวัน นอกจากจะขายที่ร้านแล้วยังมีบริการส่งฟรีในละแวกร้าน เมื่อสั่งอาหารตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป และรับจัดเลี้ยงตามงาน
ต่าง ๆ ด้วย

โดยมี “ขาหมูยัดไส้” เป็นหนึ่งในเมนูเด่น!!.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง-ภาพ  
http://www.dailynews.co.th

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.