สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ไก่หมุน ปลาเผา ขายคู่ทำเงินไม่สะดุด


อาหารย่างที่ใช้วิธี “ย่างเตาถ่าน” นั้นปัจจุบันกลับมาได้รับความนิยม เพราะนอกจากจะเป็นวิธีที่คลาสสิกแล้ว ยังได้รสชาติที่ได้อร่อยแบบเข้าถึงเนื้ออีกด้วย ซึ่ง “ไก่หมุน–ปลาเผา” ก็เข้าข่าย และวันนี้ “ช่องทางทำกิน” มีสูตรของ “คุณนุ้ย-ทองเริ่ม จันทร์มี” และ “สมจิตร จันทร์มี” ซึ่งยึดอาชีพนี้มา 7 ปี มานำเสนอ...

คุณนุ้ยเล่าว่า เคยเป็นเซลส์ขายเสื้อผ้าเด็กมาก่อน เมื่อเวลาผ่านไปคิดว่าถ้าขายของเองน่าจะได้กำไรดีกว่า จึงได้หันมาขาย “ไก่หมุน” ส่วนสูตรนั้นได้มาจากคนรู้จักแถวบ้าน เพราะบ้านตนเองถูกไฟไหม้
เขาเห็นก็เลยให้สูตรมา เพื่อที่จะใช้ทำกินฟื้นตัว ก็นำมาทดลองทำ พลิกแพลงจนกลายเป็นสูตรเฉพาะของตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้

ในตอนเริ่มแรกที่ทำธุรกิจนี้ใหม่ ๆ นั้น จะขายไก่ได้ประมาณวันละ 150 ตัว
แต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้มีข่าวไข้หวัดนกระบาด ทำให้ความนิยมลดลง แต่ก็ยังพออยู่ได้
โดยปัจจุบันขายได้วันละ 40-50 ตัว และได้เพิ่มเติมเมนู “ปลาเผา” โดยใช้ปลานิลเป็นปลาหลัก
และมีปลาทับทิม ปลาซาบะ เสริมให้ดูหลากหลายด้วย

นอกจากนี้ ยังเพิ่มเติมกลยุทธ์เรียกลูกค้าแบบถึงอกถึงใจ ด้วย “เดลิเวอรี่ บริการส่งอาหารถึงบ้าน”
โดยคิดค่าบริการเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเท่านั้น !!

ขั้นตอนการทำไก่หมุน คุณนุ้ยบอกว่าไม่มีอะไรยุ่งยาก เริ่มต้นที่การใช้ “ไก่สด” ที่ทำสำเร็จแล้ว
โดยใช้ขนาดน้ำหนักตัว 1.1-1.2 กก. เมื่อทำเป็นไก่หมุนเรียบร้อย แล้วน้ำหนักจะเหลือประมาณ 1 กก.
แต่ปัจจุบันใช้ไก่จากฟาร์มเลี้ยงระบบปิด ทำให้เลือกไก่ไม่ได้มาก ซึ่งเมื่อก่อนจะใช้ไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงกัน สามารถเลือกขนาดได้ง่ายกว่า

เมื่อได้ไก่มาแล้วจะนำมาตัดตั้งแต่ส่วนคอและข้อหัวเข่าไก่ออกก่อน
ตัดเสร็จเรียบร้อยก็จะทำความสะอาดด้วยน้ำ โดยจะเน้นทำความสะอาดที่ “ปอด” กับ “ก้นไก่” ให้มากกว่าจุดอื่น เพราะทั้ง 2 ส่วนนี้จะมีเศษมัน เศษเมือกอยู่มาก ขั้นตอนการล้างทำความสะอาดนี้ใช้เวลาประมาณ 10 นาที /ตัว แล้วพักให้สะเด็ดน้ำอีกประมาณ 10 นาที

เพื่อไม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่รอไก่สะเด็ดน้ำ ก็จะเตรียมส่วนผสมสำหรับ “หมักไก่” โดยจากสูตรต่อไปจะใช้หมักไก่ได้ 100 กก. ใช้ตะไคร้ 2 มัดใหญ่ ตัดใบออก, ใบมะกรูด 2 กำใหญ่, กระเทียมสด 1 กก., กระเทียมดองแท้, พริกไทยดำ (เม็ด) เมล็ดผักชี อย่างละ 500 กรัม, ขมิ้นชัน 1 กก. และเกลือป่นอีก 25 ถุง นำส่วนผสมทั้งหมดรวมกันใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด แล้วนำไปใช้หมักไก่ โดยหมักในถุงพลาสติกใบใหญ่ ก่อนที่จะปิดถุงแช่น้ำแข็ง

การหมักให้ราด “น้ำมันหอย” ลงไปด้วยพอประมาณ เพื่อให้ไก่ได้รสชาติที่หอมยิ่งขึ้น

หมักน้ำแข็งทิ้งไว้ 1 คืน เมื่อถึงเวลาขายก็จะเสียบเหล็กยาวย่าง และใช้ไม้ลูกชิ้นเสียบไก่ให้แน่น ไม่ให้หลุดจากเหล็ก ซึ่งขั้นตอนการเสียบเหล็กย่างนี่คุณนุ้ย เรียกว่า “นั่งเก้าอี้” เมื่อเรียงไก่จนเต็มเหล็กยาวแล้ว ก็จะนำไก่ไปหมุนย่างกับเตาถ่านที่ไฟร้อนกรุ่น ๆ อยู่ด้านล่าง โดยอุปกรณ์สำหรับย่างนั้น เป็นอุปกรณ์ที่ต้องสั่งทำพิเศษ ใช้มอเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน และใช้ไฟฟ้าเป็นแหล่งให้พลังงาน ซึ่งอุปกรณ์นี้ราคาสั่งทำประมาณ 20,000 บาท

เคล็ดลับที่จะทำให้ไก่หมุนออกมาอร่อยนั้น จะต้อง ใช้ไก่ที่สดใหม่ บวกกับการหมุนไก่ให้ได้ที่
ให้ไก่ออกสีน้ำตาล อ่อน ๆ ดูแล้วชวนกิน ซึ่งจะใช้เวลาหมุนย่างประมาณ 40-50 นาที
ส่วนน้ำจิ้มก็ต้องทำให้รสชาติออกมาหวาน กลมกล่อม สามารถเข้ากับเนื้อไก่หมุนได้อย่างลงตัว

สูตรน้ำจิ้มรสเด็ด
จะมีส่วนผสมของ มะขามเปียก, กระเทียมดอง, กระเทียมกลีบ, พริกขี้หนูอย่างละ 1 กก.,
น้ำตาลทรายแดง 2 กก., น้ำตาลปี๊บ 2 กก. และน้ำสะอาดอีก 5 ลิตร นำมาปั่นรวมกันให้ละเอียด
แล้วอาจจะเติมหรือไม่เติมผงชูรสและผงปรุงรสก็ได้ จากนั้นนำส่วนผสมที่ปั่นเรียบร้อยแล้วไปเคี่ยวกับไฟอ่อน ๆ สักพัก ก็ใช้ได้


นอกจากไก่หมุนแล้ว อีกเมนูหนึ่งของร้านคุณนุ้ยที่เพิ่มเติมขึ้นมาสู้กับไข้หวัดนกก็คือ
“ปลานิลเผา-ปลาทับทิมเผาคลุกเกลือ” ขั้นตอนการทำคุณนุ้ยบอกว่า เหมือนกับการทำปลาทั่ว ๆ ไป

นำปลาตัวขนาดประมาณ 700 กรัม มาผ่าท้องเอาไส้ออก และล้างด้วยการใช้แปรงสีฟันขูดเอาเมือกดำ ๆ ออกให้หมด แล้วก็เอาใบมะกรูด 2-3 ใบยัดเข้าไปในท้องปลา นำไปคลุกเกลือ 1 รอบ จากนั้นก็เอาลงเตาเผาได้

ส่วนปลาอีกอย่างคือ “ปลาซาบะย่าง” ช่วงนี้ใช้ “ปลาโอวบะ” แทน การทำก็เอาเหงือกออก และบั้งตามตัวปลา ใช้ซีอิ๊วหวานราดให้ทั่ว ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ เท่านี้ก็เอาลงเตาย่างได้แล้วเช่นกัน ซึ่งปลาเผานี้ใช้เวลาเผาหรือย่างไม่เกิน 20 นาทีก็ใช้ได้แล้ว โดยจุดเน้นคือต้องหมั่นคอยดูถ่านให้ร้อนสม่ำเสมอ ไม่ร้อนมาก-น้อยเกินไป

สำหรับน้ำจิ้มปลาเผานั้นมี 2 แบบ คือ

“น้ำจิ้มซีฟู้ด”
ก็ปั่นกระเทียมกลีบ 1 กก. ต่อพริกขี้หนู 1 กก. ให้ละเอียด จากนั้นผสมด้วยน้ำมะนาว 1 ขวด, น้ำปลา 2 ขวด, น้ำเปล่า 1 ขวด, น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม, ผงชูรสเล็กน้อย คนให้เข้ากัน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

และ “น้ำจิ้มแจ่ว”
ใช้พริกขี้หนูคั่ว และกระเทียมคั่วอย่างละ 1 กก. ปั่นให้ละเอียด ผสมด้วยน้ำตาลปี๊บ 500 กรัม,
น้ำมะนาว 1 ขวด, น้ำปลา 2 ขวด, น้ำเปล่า 2 ขวด และปรุงรสด้วยชูรสนิดหน่อย

“การที่จะทำน้ำจิ้มทุกอย่างให้อร่อย มีรสหวาน หอม ให้เพิ่มรากผักชีสัก 200-300 กรัม ลงไปปั่นด้วย
ก็จะได้น้ำจิ้มอร่อย ๆ ตามที่ต้องการ” คุณนุ้ยเผยเคล็ดลับอีกส่วน


ไก่หมุนร้านนี้จะขายตัวละ 100-110 บาท ส่วนปลาเผาขายตัวละ 50-80 บาท

ร้านขาย “ไก่หมุน-ปลาเผา” ของคุณนุ้ย อยู่ที่ปากซอยปลูกจิต ถนนพระรามที่ 4 ขายตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น. และสามารถสั่งไปใช้ในงานเลี้ยงต่าง ๆ พร้อมเมนูส้มตำ ลาบ น้ำตก ได้ด้วย โดยติดต่อที่ โทร. 08-9881-1671

นี่คืออีกหนึ่ง “ช่องทางทำกิน” ที่แม้บางครั้งอาจจะมีอุปสรรคมากระทบบ้าง
แต่ถ้ารู้จักพลิกแพลง การทำกิน อาหารย่างรูปแบบนี้ก็สามารถทำเงินต่อไปได้แบบไม่มีสะดุด !!

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล/โสภนา กิตติรัตน์ชัชวาล
ที่มา เดลินิวส์

credit by :  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=06-2009&date=02&group=16&gblog=98

Read More...


‘ฮ่อยจ๊อ กุ้ง ปู’ ‘ถึงเครื่อง’รายได้จึงถึงขั้น


ถ้าเอ่ยถึง จ.เพชรบุรีแล้ว ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึง ขนมหม้อแกง เป็นอันดับแรก เพราะเป็นขนมที่ขึ้นชื่อที่ อร่อยจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำ จังหวัด แต่อาหารการกินอย่างอื่นที่นี่ก็ขึ้นชื่อ มีความโดดเด่นไม่แพ้กันอาทิ ข้าวแช่เมืองเพชร ขนมจีน ทอดมัน เป็นต้น และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลอีกหนึ่ง ผลิตภัณฑ์สินค้ายอดนิยม OTOP ห้าดาวระดับประเทศ ซึ่งเป็นของ จ.เพชรบุรี มานำเสนอ นั่นคือ“ฮ่อยจ๊อ” หรือ “หอยจ๊อ”

“จินดา วัฒนพงศ์พรชัย” หรือ “ป้าเจ็ง” ปัจจุบัน อายุ 66 ปี เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ “ฮ่อยจ๊อ แม่จินดา”
ตั้งอยู่ที่ 25 หมู่ 2 ต.บางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ได้เล่าให้ฟังถึง ที่มาของสินค้าว่า...
เริ่มทำฮ่อยจ๊อมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2540 ก่อนที่จะมาทำอาชีพนี้ เคยทำโพงพางดักจับสัตว์น้ำมาก่อน
และทำเลแถวที่ ทำอาชีพอยู่นั้น เป็นพื้นที่ติดปากอ่าว เป็นแหล่งวัตถุดิบ มีของสดจากทะเลมาก และราคาถูก

“ออกเรือครั้งหนึ่งจะได้ทั้ง ปู ปลา กุ้ง ส่วนหนึ่งนำไปขาย และส่วนหนึ่งเก็บไว้กินในครอบครัว
เพราะมีลูก 7 คน ลูกยิ่งโต รายจ่ายก็เพิ่มขึ้น จึงคิดหารายได้เสริม นำของสดที่ได้มาแปรรูป
นึกถึง ฮ่อยจ๊อ เป็นอันดับแรก เพราะทุกเทศกาล งานบุญมักจะมีการนำฮ่อยจ๊อไปไหว้
ที่สำคัญคือ ได้สูตรการทำมาจากคุณแม่ ถ่ายทอดกันรุ่นต่อรุ่น ลองผิดลองถูกมาเรื่อย แล้วนำไปขายที่ ตลาดนัดทำการตลาด จากการสอบถามลูกค้า เพื่อให้ติชม นำมาปรับปรุงสูตร จนรสชาติอร่อยลงตัวอย่างทุกวันนี้”

ป้าเจ็งบอกว่า จุดเปลี่ยน ที่สำคัญเกิดขึ้นหลังมีถนนตัดผ่านเข้ามาในชุมชน เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว
มีแขกต่างถิ่นแวะเวียนกันเข้ามา หลายคนมีโอกาสได้ชิมแล้วติดใจ จึงซื้อฮ่อยจ๊อของป้าไปเป็นของฝากเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง จนเกิดกระแสบอกต่อปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าทั่วสารทิศเดินทางมาซื้อมากขึ้นเรื่อย ๆจนมีชื่อเสียง ต้องทำเพิ่มมากขึ้น กลายเป็น อุตสาหกรรมครอบครัว

ฮ่อยจ๊อ กุ้ง ปู ถึงเครื่อง รายได้จึงถึงขั้น

ทั้งนี้ ป้าเจ็งมีการพัฒนา ดัดแปลงผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันกระแสคนรักสุขภาพกันมากขึ้นมากแรง ก็เพิ่ม ปรับส่วนผสม จากเมื่อก่อนจะใช้ หมูมัน แต่เดี๋ยวนี้ใช้หมูสันคอผสมหมูสามชั้น ตามด้วยเนื้อกุ้งสด เนื้อปูม้า และแห้ว เพื่อเพิ่มรสชาติให้มีความกรอบอร่อยยิ่งขึ้น

“จุดขาย เคล็ดลับความอร่อย คือ ฮ่อยจ๊อ ที่นี่จะอัดแน่นไปด้วยเนื้อปูมากเป็นพิเศษ เคล้าเครื่องเทศพอหอมปรุงรสชาติกลมกล่อม เมื่อกัดฮ่อยจ๊อลงไปสามารถสัมผัสเนื้อปูได้ทันที”

ส่วนผสม/วัตถุดิบ
เนื้อสันคอ กับหมูสามชั้น 10 กก.
กุ้งสดแกะเปลือก 3 กก.
ปูม้าแกะ 5 กก.
แป้งสาลี2.4 กก.
ไข่ไก่ 15 ฟอง
พริกไทย,กระเทียม, แห้ว, เครื่องปรุงรส, ต้นหอม, แผ่นฟองเต้าหู้

ฮ่อยจ๊อ กุ้ง ปู ถึงเครื่อง รายได้จึงถึงขั้น

อุปกรณ์.... เครื่องผสม
บล็อกพิมพ์ฮ่อยจ๊อ (สั่งทำ), กาละมังสแตนเลสหลายขนาด, เขียงขนาดใหญ่, ถาดสแตนเลส,
รังถึงขนาดใหญ่, ถุงมือ, ผ้าขาวบาง, กรรไกร และอุปกรณ์เครื่องครัวเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ

ขั้นตอนการทำ
เริ่มแรกนำเนื้อสันคอหมู กับหมูสามชั้น เนื้อกุ้งสดแกะ คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เติมเครื่องปรุงรสลงไป
แล้วนำไปปั่นในเครื่องผสม จนส่วนผสมละเอียดและเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน
แล้วค่อย ๆ โรยแป้งสาลีทีละน้อย โรยไปเรื่อย ๆจนหมด พักทิ้งไว้สักครู่

ระหว่างนั้น นำแผ่นฟองเต้าหู้มาตัดเตรียมไว้เป็นรูปสามเหลี่ยม 10 x 10 x10 นิ้ว
เสร็จแล้วนำผ้าขาวบางชุบน้ำสะอาดบิดพอหมาด ๆ มาห่อแผ่นฟองเต้าหู้ทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้นิ่ม

ต่อไป เป็นขั้นตอน การห่อ “ฮ่อยจ๊อ” นำแผ่นฟองเต้าหู้แผ่วางบนเขียง โดยนำด้านป้านหันมาทางคนห่อ
จากนั้น นำเนื้อปูม้าโรยลงในส่วนผสมมากพอสมควร แล้วคลุกเคล้าให้ทั่ว
แต่อย่าคลุกทีเดียวหมด โดยแบ่งคลุกเคล้าเป็นส่วน ๆ ทีละน้อย
จากนั้น นำส่วนผสมที่ได้มาวางเลยจากขอบแผ่นฟองเต้าหู้ 2 นิ้ว (ชั่งก่อน โดย 1 เส้น หนัก 150 กรัม)
พับหัวพับท้าย แล้วพับส่วนขอบม้วนให้แน่นไปเรื่อย ๆ

พอม้วนใกล้ถึงปลายแผ่น ฟองเต้าหู้ นำส่วนผสมทานิดหน่อยแล้วบีบให้แน่น เพื่อให้ฮ่อยจ๊ออยู่ตัว
เสร็จแล้ววางเรียงลงในบล็อกพิมพ์ที่เตรียมไว้ เรียงลงรังถึง 3 แถว นำไปนึ่ง โดยใช้ไฟปานกลางประมาณ 20 นาที
สุกแล้วนำมาเป่าพัดลมให้เย็นสนิท ก่อนแพ็คใส่ถุง เพื่อจำหน่าย โดยจะอยู่ได้เป็นเดือน ถ้าใส่ไว้ในช่องแช่แข็ง

ราคาขายคือ กก.ละ 220 บาท สูตรที่ให้มาทำฮ่อยจ๊อได้ 20 กก. (ฮ่อยจ๊อ 4 เส้น หนัก 1/2 กก. มี 28 ลูก)

ฮ่อยจ๊อ แม่จินดา มีเอสเอ็มอีแบงก์, พัฒนาชุมชนบ้านแหลม และ จ.เพชรบุรี สนับสนุน
ปัจจุบันมี 3 สาขา ใครสนใจเป็นตัวแทนจำหน่ายก็ได้ โดยติดต่อป้าเจ็งได้ที่ จ.เพชรบุรี โทร.0-3258-1050
มือถือ 08-4944-4728, จ.สมุทรปราการ โทร.08-1854-9271 และ จ.ระยอง โทร.08-5392-4555
ทั้งนี้ นี่ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ว่า อาหารการกิน ที่บางคนอาจมองว่าพื้น ๆ
แต่หากทำให้เด็ด ก็ขายดีจนเป็นธุรกิจที่เติบโตได้

เชาวลี ชุมขำ / ขนิษฐา ผุดผาด :รายงาน
จเร รัตนราตรี :ภาพ

คู่มือลงทุน...ฮ่อยจ๊อกุ้ง-ปู
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบ-ขนาดกิจการ
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% จากราคาขาย
รายได้ ราคาขาย กก.ละ 220 บาท
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านขายอาหาร, ติดต่อขายส่ง
จุดน่าสนใจ มีลูกค้านิยมทานจำนวนมาก

ที่มา เดลินิวส์

credit b y : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=06-2009&date=14&group=16&gblog=101

Read More...


ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด ลูกชิ้นทอด สูตรไร้สารเป็นจุดขาย


ลูกชิ้นทอด เป็นของกินเล่น ที่ทำขายได้ ตั้งแต่ ข้างทางถึงร้านอาหาร รับประทานได้ทุกเพศทุกวัย
และกับยุคนี้ที่กระแสสุขภาพมาแรง ทีม“ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด” ไร้สารพิษ มาเล่าสู่

เพลิน-วาสนา บงกชเกตุสกุล เป็นเจ้าของร้าน “แชมป์ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด”ข้างตึกเจ้เล้ง ย่านดอนเมือง
ได้สูตรเด็ด เคล็ดลับ มาจากรุ่นพ่อ และนำมาทำขายเป็นอาชีพเสริมได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งที่มีความคิดในการขาย
ของกิน ก็เพราะ คนเราต้องกินทุกวัน และก็มี สูตรลูกชิ้นปลาเก๋า ที่ไม่เหมือนใคร อยู่แล้ว

“เราสามารถสร้างจุดขายได้ เพราะลูกชิ้นเราใช้เนื้อปลาเก๋าที่มีคุณภาพ มีความหวานอร่อยของ เนื้อปลา
ลูกชิ้นจะไม่แข็ง จนเกินไป กรอบนอกนุ่มใน ไม่มีวัตถุกันเสีย และไม่ใช้สารบอแรกซ์ เจือปน”

เจ้าของ สูตรรายนี้ บอกอีกว่า ลูกชิ้นปลาต้องอร่อย อย่างธรรมชาติ เน้นคุณภาพ
เริ่มจากคัดสรรเลือก เนื้อปลาเก๋า ที่มีคุณภาพ, แป้งนอก คุณภาพดี, เครื่องเทศ ซึ่งสูตร ลูกชิ้นปลา ที่ทำขายอยู่
จะแตกต่างจากเจ้าอื่น ๆโดยทั่วไป ที่ทำลูกชิ้นด้วย เนื้อปลากราย
แต่นี่ใช้ปลาเก๋า และจะไม่ผสมแป้งมาก เพื่อหวังผลกำไรมาก ๆ

สำหรับการทำ “ลูกชิ้นปลาเก๋า” ขาย คุณเพลินบอกว่า อุปกรณ์ที่ใช้ หลัก ๆก็มี กระทะ, เตาแก๊ส,
ตะแกรงพักน้ำมัน, ไม้พาย, ถาดสแตนเลส,เครื่องตีลูกชิ้น (เครื่องนวด), เครื่องปั้นลูกชิ้น, กระชอน,
ตะหลิว, มีด,เขียง, ไม้จิ้ม, กระบวย, หม้อต้มลูกชิ้น, กะละมังขนาดต่าง ๆและอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ
ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด ที่ทำขายจะมี 2 แบบ คือ “แบบนิ่ม” และ “แบบกรอบ”

ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด ลูกชิ้นทอด

ขั้นตอนการทำ “ลูกชิ้นปลาเก๋าแบบนิ่ม”
นำเนื้อปลาเก๋า 800 กรัมใส่ลงไปในเครื่องตี ทำการตีให้เนื้อปลาเหนียว ค่อย ๆ เติมแป้ง 100 กรัมเกลือพอประมาณ
จากนั้นใส่เครื่องเทศ 100 กรัม ค่อย ๆผสมน้ำแข็งลงไปทีละน้อย ตีเนื้อปลาจนเหนียวขึ้นฟูประมาณ 20 นาที
ใช้ความแรงเครื่องระดับปานกลาง เมื่อตีเสร็จเรียบร้อย จึงนำใส่เครื่องปั้นลูกชิ้น โดยใช้น้ำอุ่นรองรับลูกชิ้น
ที่ออกมาจากเครื่อง แล้วจึงนำไปพักไว้ในน้ำเย็นเก็บไว้ในตู้เย็น รอการนำไปทอดขายได้เลย

ขั้นตอนการทำ “ลูกชิ้นปลาเก๋าแบบกรอบ”
นำเนื้อปลาเก๋า 700 กรัมใส่ลงไปในเครื่องตี ทำการตีจนได้ที่ จากนั้นใส่แป้ง 100 กรัม เครื่องเทศ100 กรัม
และเกลือพอประมาณ ตีจนส่วนผสมทุกอย่างเข้าที่ เนื้อปลาเหนียวขึ้นฟู ใช้แรงเครื่องเบอร์ 4-5
จากนั้นจึงนำใส่เครื่องปั้นลูกชิ้น โดยมีน้ำร้อนรองรับ แล้วนำไปใส่ในน้ำเย็นเหมือนลูกชิ้นปลาเก๋าแบบนิ่ม
โดยคุณเพลินบอกว่า การทำลูกชิ้นแบบกรอบ ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำแข็งในขั้นตอน การตีเนื้อปลา
เพราะไม่ต้องการให้เนื้อลูกชิ้นปลาเด้ง นี่เป็น สูตรที่ทำขายอยู่

การขายก็ต้องมี “น้ำจิ้ม” ซึ่งวัตถุดิบก็มี
น้ำตาลทราย 3 กิโลกรัมต่อน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติจากสับปะรด 200 ซีซี.,
เกลือ 50 กรัม
พริกแดงปั่น 1/2 กิโลกรัม
น้ำเปล่า 3 ลิตร
แป้งข้าวโพดนิดหน่อย

ขั้นตอนการทำน้ำจิ้ม
ต้มน้ำใส่น้ำตาลทรายให้ละลาย เมื่อน้ำเดือดใส่เกลือ น้ำส้มสายชู และพริกแดงปั่น โดยใช้ความร้อนปานกลาง
จากนั้นค่อย ๆใส่แป้งข้าวโพดที่ละลายน้ำเตรียมไว้ในปริมาณพอเหมาะ เคี่ยวอีกนิดจนส่วนผสมต่าง ๆ เข้าที่
ใช้ไฟปานกลาง ก็เป็นอันว่า เสร็จเรียบร้อย ยกลงจากเตา ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น

เนื้อปลาลูกชิ้นแบบนิ่ม จำนวน 1 กิโลกรัม ทำเป็นลูกชิ้นได้ประมาณ 54 ลูก
ถ้าเป็นเนื้อปลาลูกชิ้นแบบกรอบ 1 กิโลกรัม จะทำเป็นลูกชิ้นได้ประมาณ 45 ลูก
ถ้าเก็บรักษาลูกชิ้นปลาเก๋าไว้ในช่องแช่แข็งตู้เย็น จะสามารถเก็บไว้ได้ เป็นเดือน
ส่วนในการทอดขาย จะใช้น้ำมันพืช ทอดด้วยความร้อนปานกลาง
การทอดจะต้องมีการเปลี่ยนน้ำมันทุกวัน เพื่อความใหม่ และสะอาดปลอดภัย
ที่สำคัญ ลูกชิ้น จะไม่มีกลิ่น เหม็นหืน โดยคุณเพลินบอกว่า เมื่อเน้นคุณภาพความสะอาดเป็นที่สุด
ใส่ใจในผู้บริโภค จริงใจ และสัตย์ในอาชีพ ลูกค้าก็จะบอกต่อไปปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ราคาขายลูกชิ้นทอดเจ้านี้ จะขาย 7 ลูก 20 บาท เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา11.00-19.00 น.
และนอกจากขายที่ร้านแล้ว “ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด”เจ้านี้ยังสามารถรับออกบูธ ออกร้าน ในงานเลี้ยงสังสรรค์
งานต่าง ๆและก็มีโครงการจะขยายสาขาเพิ่ม ใครที่สนใจต้องการติดต่อก็โทร.08-4770-0599, 08-9078-6565

อาหารทานเล่นอย่าง “ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด” ถ้าฝึกฝน จนทำได้อร่อย มีเรื่อง ความปลอดภัย ไร้สารพิษ
ไม่ผสมแป้งมาก เป็นจุดขาย เหมาะสำหรับ คนรักสุขภาพ ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนในยุคนี้

เชาวลี ชุมขำ / ขนิษฐา ผุดผาด :รายงาน
จเร รัตนราตรี :ภาพ

คู่มือลงทุน...ลูกชิ้นปลาเก๋าทอด
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 40,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 65% ของราคา
รายได้ ราคาขาย 7 ลูก 20 บาท
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, ย่านชุมชน
จุดน่าสนใจ ลูกค้ามีทุกเพศ-ทุกวัย

ที่มา เดลินิวส์

credit by :  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=06-2009&date=11&group=16&gblog=100

Read More...


‘หมี่กรอบจีนหลี’ สูตรนี้..ขายดีตั้งแต่อดีต


“หมี่กรอบ” ทำดี ๆ ก็ใช้เป็น “ช่องทางทำกิน” ได้ ทั้งนี้ เมนูหมี่กรอบในปัจจุบันก็มีหลายสูตร ขึ้นอยู่กับผู้ปรุงจะเลือกจุดเด่นให้กับเมนูนี้ในแบบไหนซึ่ง “หมี่กรอบจีนหลี สูตรร้านเต๊กเฮง” ร้านเก่าแก่ชื่อดังย่านคลองสานนี้ก็เป็นอีกสูตรหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะขายดิบขายดีมาตั้งแต่อดีต วันนี้ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลนำมาให้พิจารณา

สุวนิษฐ นิติพรพิสิฐ ทายาทรุ่นที่ 4 ร้านเต๊กเฮง เล่าว่า... บรรพบุรุษตนทำเมนูหมี่กรอบนี้ขายมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเมนูนี้มีชื่อเรียกว่า... “หมี่จีนหลี” หรือ “เต๊กเฮง” โดยความอร่อยของเมนูนี้ก็โด่งดังจน ร.5 รับสั่งให้ข้าราชบริพารออกไปซื้อมาเพื่อให้เสวย โดยเมื่อเสวยแล้วเห็นว่าอร่อยจริงสมดังคำร่ำลือ จึงพระราชทานครุฑให้แก่ร้านเต๊กเฮงนี้ และทรงรับร้านนี้ไว้เป็นร้านในพระองค์ พร้อมพระราชทานนามเมนูดังกล่าวว่า... หมี่กรอบเสวยสวรรค์ ก่อนที่คนทั่วไปจะเปลี่ยนชื่อ และเรียกต่อ ๆ กันมาว่า... “หมี่กรอบ ร.5” จนถึงปัจจุบัน และไม่เพียงคนทำจะสืบทอดความอร่อยจากรุ่นสู่รุ่น กับนักชิม-นักกินก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามารุ่นแล้วรุ่นเล่า โดยทายาทรุ่นที่ 4 ยืนยันว่า... เมนูนี้ยังคงความเป็น “สูตรดั้งเดิม” เหมือนที่เคยทำในอดีต ซึ่งอาจเป็นเคล็ดลับที่ทำให้หมี่กรอบเจ้านี้ยังคงมีลูกค้าเหนียวแน่น

’วันนั้นพระองค์ท่านเสด็จมาคลองบางหลวง เมื่อถึงตลาดพลู ทรงทราบกิตติศัพท์ว่าจีนหลีนี้ผัดหมี่กรอบดีนัก จึงทรงแวะที่ท่าน้ำตลาดพลู และรับสั่งข้าราชบริพารออกไปซื้อหมี่กรอบนี้มาถวาย เมื่อเสวยก็ทรงโปรดจึงพระราชทานครุฑให้ โดยรับไว้เป็นร้านในพระองค์ รับสั่งว่า...ให้สืบทอดสูตรการทำหมี่กรอบนี้ไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ซึ่งกิจการหมี่กรอบนี้เริ่มตั้งแต่รุ่นคุณปู่ก่อนจะตกทอดมาถึงรุ่นเตี่ย ซึ่งเตี่ยก็ผัดหมี่กรอบมาจนอายุ 70 ปี ก่อนจะส่งต่อให้รุ่นหลานและรุ่นเหลนในวันนี้“ ...เป็นประวัติศาสตร์ “หมี่กรอบจีนหลี” แห่งร้านเต๊กเฮง ที่ทายาทรุ่นที่ 4 เล่าย้อนอดีตให้ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” รับฟัง

อุปกรณ์ สำหรับทำหมี่กรอบ ประกอบด้วย เครื่องครัวที่จำเป็น อาทิ เตาแก๊ส, กระทะ, ตะหลิว, ตะแกรง, หม้อรองน้ำมัน, ชาม, จาน, ทัพพี, เขียง, มีด เป็นต้น

ส่วนผสม “หมี่กรอบจีนหลี” ประกอบด้วย เส้นหมี่ขาว, กุ้งสด, เนื้อปู, ไข่ไก่ 2 ฟอง, น้ำตาล, น้ำปลา, น้ำมันพืช, ต้นหอม, ถั่วงอก, กระเทียมดอง, พริกชี้ฟ้า, ผักชี, ส้มซ่า และมะนาว

ขั้นตอนการทำ ตาม “สูตรหมี่กรอบจีนหลี” เริ่มจากการนำเส้นหมี่ขาวมาแช่น้ำในชามไว้สักพักเพื่อให้เส้นอ่อนตัว จากนั้นนำกระทะตั้งบนเตาแก๊ส โดยเปิดไฟร้อนกลาง ๆ และเทน้ำมันพืชใส่ลงไปในกระทะ รอสักครู่ให้น้ำมันเดือดแล้วจึงใส่เส้นหมี่ลงไป เมื่อใส่เส้นหมี่ลงไปในกระทะแล้ว ให้ใช้ตะหลิวคลี่เส้นหมี่ จากนั้นทอดไปสักพักจนเส้นหมี่เริ่มกระจายตัวจึงใส่น้ำปลา น้ำตาล กุ้ง เนื้อปู และตอกไข่ไก่ลงไปทอดให้เข้ากัน สังเกตว่าเส้นหมี่เริ่มมีสีเหลืองและกรอบ จึงตักหมี่ที่ทอดได้พักทิ้งไว้บนตะแกรง โดยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้เย็นตัว และสะเด็ดน้ำมัน จากนั้นนำหมี่กรอบใส่ชาม ใส่ต้นหอมที่หั่นไว้และถั่วงอกลงไป ใช้ทัพพีคนส่วนผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน จึงทำการตักหมี่กรอบใส่จาน

ทั้งนี้ ราคาของเมนูหมี่กรอบจีนหลี มี 3 ราคา คือ 120 บาท 200 บาท และ 300 บาท โดยคุณภาพหมี่กรอบทุกอย่างเหมือนกัน แต่แตกต่างที่ปริมาณมากน้อยต่างกันเท่านั้น และนอกจากเมนูหมี่กรอบแล้ว ยังมีเมนูอื่น ๆ ให้ได้ชิมด้วย อาทิ หมี่น้ำ, ทอดมันปลา, ทอดมันกุ้ง, ยำชนิดต่าง ๆ ฯลฯ

’สำหรับเครื่องเคียงหมี่กรอบจีนหลี ประกอบด้วย กระเทียมดอง, พริกชี้ฟ้า, ส้มซ่า, มะนาว, ผักชี, ต้นหอม และ ถั่วงอก เมื่อตักหมี่กรอบใส่จานแล้ว ก็เริ่มแต่งหน้าหมี่กรอบ โดยหั่นกระเทียมดองพริกชี้ฟ้าและส้มซ่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นผ่าครึ่งมะนาว ตบท้ายด้วยการโรยหน้าด้วยผักชี นำต้นหอมกับถั่วงอกจัดวางไว้เพื่อเป็นเครื่องเคียงเมนูหมี่กรอบสำหรับทานแก้เลี่ยน” ...นี่เป็น “สูตรหมี่กรอบจีนหลี ร้านเต๊กเฮง” ที่ใครสนใจจะลองนำไปทำเพื่อทานในครอบครัว หรือจะนำไปปรับใช้เป็น “ช่องทางทำกิน” ก็ยังได้

ใครสนใจชิมหมี่กรอบสูตรนี้ไปได้ที่ ร้านเต๊กเฮง หมี่กรอบจีนหลี (สมัย ร.5) ท่าน้ำตลาดพลู ถนนเทอดไท เขตธนบุรี กทม. ซึ่งร้านเต๊กเฮงนั้น วันจันทร์-ศุกร์ จะเปิดขาย 2 รอบ คือเวลา 10.00-14.00 น. และเวลา 16.00-21.30 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดขายตั้งแต่เวลา 10.00-21.30 น. หรือสอบถามที่ โทร. 0-2466-9170, 0-2466-9037

สุรางค์รัตน์ เจนการ : รายงาน

...............................................................................................

คู่มือลงทุน...หมี่กรอบจีนหลี

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 15,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 30% จากราคา

รายได้ ราคาตั้งแต่ 120-300 บาท/จาน

แรงงาน 1 คนขึ้นไป

ตลาด ย่านชุมชน แหล่งท่องเที่ยว

จุดน่าสนใจ สูตรดั้งเดิมเป็นจุดขายที่ดี

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/272892/‘หมี่กรอบจีนหลี’+สูตรนี้..ขายดีตั้งแต่อดีต

Read More...


ลูกชิ้นกุ้งทอดกรอบ>>>Crunchy Shrimp Balls




ไม่ทราบมีใครเป็นเหมือนหนึ่งไหม ช่วงนี้อากาศร้อนมากจนเหนื่อย ขนาดนั่งทำงานในห้องแอร์ยังเหนื่อยเลย นึกถึงคนที่ทำงานนอกออฟฟิศจะร้อนขนาดไหน พออากาศร้อนก็เกิดอาการขี้เกียจค่ะ ช่วงนี้งานยุ่งด้วย หมดวันไปก็อยากจะนอนพักอย่างเดียว ไม่ได้ทำกับข้าวมาเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ แต่ยังมีแอบทำขนมบ้าง ^_^

แต่วันนี้เข้างานสายเลยมีเวลาช่วงเช้า อยากทำอะไรง่ายๆแต่อร่อยหม่ำๆ ว่าแล้วก็ไปคุ้ยสูตรบล็อก พี่ฉวี Tristy ต้องขอบอกว่าสูตรอาหารบล็อกพี่ฉวีอร่อยทุกสูตร ไม่เคยผิดหวังเลยค่ะ

ผลงานอันแสนอร่อยของหนึ่งค่ะ :)



จริงๆอยากทำนานแล้วค่ะ เพิ่งจะได้โอกาศทำ ลูกชิ้นกุ้งกรอบนอกนุ่มใน อร่อยง่ายๆจริง มาลงมือทำกันค่ะ ขออนุญาติลอกพี่ฉวีมาเลยนะคะ

1. กุ้งแกะเปลือก ชักใยดำ 250 กรัม 

2. ไข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ

3. พริกไทยขาวป่น หยิบมือเล็ก

4. เกลือ ½ ช้อนชา

5. น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา

6. น้ำมันงา ½ ช้อนชา

7. น้ำมันพืช 2 ช้อนชา

8. แป้งข้าวโพด 2 ช้อนชา

9. แผ่นปอเปี๊ยะ

วิธีทำ

1. เอาส่วนผสมทุกอย่างปั่นรวมกัน พักไว้ในตู้เย็นอย่างน้อยซัก 1/2 ชั่วโมงน่าจะดีนะคะ จะได้เข้าเนื้อ

กุ้งแกะเปลือกไว้ แต่บางตัวแอบขี้เกียจชักใยดำออก



ปั่นแล้วพักใส่ถ้วยในตู้เย็น



2. ตัดแผ่นปอเปี๊ยะเป็นเส้นๆรอไว้



3. น้ำส่วนผสมของกุ้งมาปั้น หนึ่งใช้ช้อน 1/2 ช้อนโต๊ะตักแล้วปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ เอามือลูบน้ำก่อนปั้นนะคะ จะได้ไม่ติดมือ



จากนั้นคลุกด้วยเส้นปอเปี๊ยะ หนึ่งไม่ได้ตัดตกแต่งเลยค่ะ แหะ แหะ



4. นำไปทอดในน้ำมันร้อนๆ หนึ่งใช้ไฟปานกลาง สุกแล้วพักให้สะเด็ดน้ำมัน



ออกมาได้หน้าตาแบบนี้



เสิร์ฟทันที

 



หนึ่งกินพร้อมน้ำจิ้มลูกชิ้นเหลือมาจากวันก่อน อิอิ



อร่อยค่ะ กรอบนอก นุ่มใน เสิร์ฟทันทีนะคะ ถ้าปล่อยไว้นานปอเปี๊ยะจะนิ่ม

ขอบคุณพี่ฉวีสำหรับสูตรอร่อยแบบง่ายๆค่ะ :)


credit by : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=adrenalinerush&month=04-2012&date=27&group=4&gblog=34

Read More...


บักกุ๊ดเต๋สิงคโปร์


ทำไม "บักกุ๊ดเต๋" ต้องเป็น "สิงคโปร์" แล้วทำไมถึงเรียก "บักกุ๊ดเต๋" แถมหลายคนพอได้ยินชื่อ
"บักกุ๊ดเต๋" ส่ายหัวไม่รู้เรื่อง อะไร "กุดๆ" หน้าตามันเป็นยังไงเน๊า
แต่คุณวิชาญ อยู่ที่นครศรีธรรมราช รู้จักดี เพราะบอกมาว่า เป็นแฟนประจำบักกุ๊ดเต๋เจ้าดังของเมืองคอน
บอกใบ้ให้ก็ได้ว่าเป็นร้านขายกาแฟเก่าแก่ของที่นั่น เขาดังอยู่แล้ว ถามใครในเมืองคอนต้องรู้จัก
ตอนนี้เปิดร้านสวยงาม แต่ยังตั้งโต๊ะกลมแบบเอกลักษณ์ของโบราณ น่านั่งเชียว
มีของเอกเป็นกาแฟ กับบักกุ๊ดเต๋ นี่ล่ะ ใครไปมาต้องสั่ง ขาดไม่ได้

อย่างที่บอก คุณวิชาญกินบักกุ๊ดเต๋ร้านนี้ประจำ จนชักอยากทำกินเองบ้าง
แล้วมีญาติๆ ถามหาสูตรอยากลองเอาไปทำขายที่อื่นมั่ง เลยถามมาที่ผม ซึ่งปฏิเสธไม่เป็นอยู่แล้วครับ
ตอบให้ทุกคน ทุกคำถาม แต่บางคำถามอาจจะช้าหน่อย เพราะต้องใช้เวลาทดลองค้นคว้าพอสมควร
(ที่จริงผมมักจะไหว้วานให้อาจารย์ที่โรงเรียนแม่บ้านทันสมัย ทดลองให้เป็นประจำ แฮะ แฮะ...)
ร้านที่ว่า ผมเคยไปกินสองครั้งแล้วครับ ไปกินบักกุ๊ดเต๋ กาแฟ กับหมั่นโถวหลากสีจากพืชผัก อย่างฟักทอง
เขาให้มากินกับขาหมูพะโล้ ลงเครื่องบินไปกินตอนเช้าเลยอิ่มดี แต่ให้ไปเองไปไม่ถูกนะครับ อย่ามาถาม

เฉลยคำว่า "บักกุ๊ดเต๋" ก่อน สำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก ส่ายหัวอยู่ "บักกุ๊ดเต๋" นั้นไซร้ ก็คือ
"ซี่โครงหมูอ่อนต้มน้ำแกงกับเครื่องยาจีน" นั่นเอง แต่ต้องให้น้ำสีดำๆ เพราะการผัดซี่โครง
และ ซีอิ๊วดำเข้าไว้หน่อย ก็เป็นบักกุ๊ดเต๋

ว่ากันว่าต้นตำรับบักกุ๊ดเต๋มาจากสิงคโปร์ แต่บักกุ๊ดเต๋ที่ผมเจอในเมืองไทย
หน้าตาไม่ยักกะเหมือนที่สิงคโปร์ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ "บักกุ๊ดเต๋" บางคนก็เรียกเป็น "บะกุ๊ดเต๋"
หรือออกเสียงไปไกลหน่อยเป็น "ไป่กุกแต๊" อันหลังนี่ผมยังไม่เคยได้ยิน พอดีผมไปหยิบเรื่องชื่อนี่มาจาก
คัมภีร์ประจำตัว หนังสือ "ศัพทานุกรม อาหารริมทางย่านเยาวราช" ของ อาจารย์ธีระพันธ์ ล.ทองคำ และ
อาจารย์ก่อศักดิ์ ธรรมเจริญกิจ และนิสิตบัณฑิตศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ หนังสือเล่มนี้ไขปัญหาคำ
หลายคำที่ผมอยากรู้ที่มา เช่น ก๋วยเตี๋ยว จันอับ หล่อฮั้งกวย และอีกหลายคำ รวมทั้งคำ "บักกุ๊ดเต๋"

เขาให้ความหมายไว้อย่างนี้ครับ "บักกุ๊ดเต๋ อาหารลักษณะเป็นน้ำแกงข้นสีน้ำตาล
ทำจากกระดูกซี่โครงหมูตุ๋นยาจีนประมาณ 10 ชนิด ใส่เห็ดหอม อาจใส่กระเพาะหมู ตับหมู หางหมู ดอกไม้จีน
ผักกาดหอม ขึ้นฉ่าย จิ้มน้ำจิ้มรสออกเปรี้ยว กินกับข้าวก็ได้ บะ (ฮกเกี้ยน) แปลว่า เนื้อสัตว์,
กุ (ฮกเกี้ยน) แปลว่า กระดูก,เต๋ (ฮกเกี้ยน) แปลว่า น้ำชา หรือ

น้ำต้มสมุนไพร" พอจะเห็นภาพหรือยังครับว่าบักกุ๊ดเต๋หน้าตาเป็นยังไง พอเอามาทำขายทำมาหากินได้มั้ย
บักกุ๊ดเต๋ ร้านที่เมืองคอน เสน่ห์ของเขาอยู่ที่ หม้อร้อนบักกุ๊ดเต๋ตอนยกมา
เพราะมันร้อนมากชนิดที่ต้องมีจานรองและห้ามโดนเด็ดขาด ยกมาถึงโต๊ะแล้ว ยังต้องทำใจ
(หยุดความอยากกิน) ไว้ชั่วขณะ เอาแต่สูดดมกลิ่นหอมๆ จากควันฉุยๆ ก่อน
และเสพทางตากับรูปลักษณ์ของหม้อร้อนดินเผาที่นับวันจะคล้ำขึ้นเรื่อยๆ จากการเผาหม้อ
และสีคล้ำจากบักกุ๊ดเต๋ร้อนๆ ที่ใส่มาทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะครับ ว่าหม้อเขาไม่ได้สกปรก ขัดอย่างดี
แต่มันฝังติดแน่น เพราะความเก๋า ว่าอย่างนั้น กลับทำให้อาหารมีความขลังมากขึ้น

ในหม้อบักกุ๊ดเต๋จะมีซี่โครงหมูอ่อน ฟองเต้าหู้ ผักกาดขาว ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะมีเห็ดหอม ดอกไม้จีนด้วย
น้ำแกงหอมเครื่องยาจีน สีข้นๆ น้ำตาลๆ อย่างคำจำกัดความ เสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยแบบไม่รอใครเลย
พูดไปทำไมมี ถ้าเรียกบักกุ๊ดเต๋ว่า "ซี่โครงหมูตุ๋นยาจีน" ก็ได้ แต่มันไม่ชวนสั่งเท่าบักกุ๊ดเต๋
ส่วนการที่หม้อร้อนเขามีคราบดำจับ ก็คงไม่มีอะไรมาก พอดีไป 2 ครั้ง ไม่มีโอกาสไปแอบดูเขาทำ
น่าจะเอาหม้อร้อนไปตั้งไฟให้ร้อนจัด แล้วตักน้ำแกงที่ตุ๋นไว้ใส่ แล้วใส่พวกผักสด เห็ดหอมต้มแล้ว ดอกไม้จีนต้ม
เพราะถ้าใส่ต้มไปในหม้อใหญ่เลย น่าจะเละ และตักลำบาก

มาเมื่อไม่กี่วันก่อน มีโอกาสทำตัวเป็นเด็กวัยรุ่น ไปนั่งโรงเบียร์เยอรมัน (ในไทยนะ) เห็นมีบักกุ๊ดเต๋ด้วย
เลยสั่งมาหน้าตาคล้ายกัน คือใส่ผักมาหลายชนิด แต่เจ้านี้ไม่ใช้ซี่โครงหมู ใช้หางหมูตัดท่อนสั้นๆ ตุ๋นจนเปื่อยดี
เสียดายรสน้ำแกงติดเค็มซีอิ๊วไปหน่อย แล้วก็เคยไปกินบักกุ๊ดเต๋ในร้านติ่มซำแบบสั่งด่วน (ฟาสต์ฟู้ด)
ที่จริงไม่เร็วเท่าไหร่ เพราะต้องไปชี้ที่เข่ง แล้วรอเอาไปนึ่งมาใหม่ๆ กินเวลาไปหลายนาทีอยู่ แต่ก็ยังถือว่าด่วนได้
เพราะรอพอทนหิว ติ่มซำมาถึงลิ้นกำลังกระหายความอร่อยพอดี เจ้านี้คล้ายๆ กันอีกนั่นแหละ มีผักใส่มาหลายอย่าง
รู้สึกจะมีผักสดพวกถั่วงอกเด็ดหาง ผักกาดหอม มาให้ใส่ต่างหากด้วย มีน้ำจิ้มทำจากซีอิ๊วดำผสมน้ำส้มสายชู
ลอยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าดองดำๆ อีก 1 ถ้วยเล็ก และที่เกือบสมความอยากของผม
เขามีปาท่องโก๋หั่นท่อนขายแยกออกจากชุดบักกุ๊ดเต๋ขายด้วย แต่มักจะหมดเสมอ เลยอดกินปาท่องโก๋กับบักกุ๊ดเต๋

แล้วทำไมต้องกินด้วยกัน
มาถึงตรงนี้ เลยต้องเฉลย ว่าบักกุ๊ดเต๋ที่เคยไปกินต้นตำรับสิงคโปร์เป็นยังไง แต่หลายปีแล้วนะครับ ไม่ได้ไปนานแล้ว
ตอนนี้เขาอาจจะขายเหมือนเมืองไทยแล้วก็ได้ ผมไปตระเวนกินอยู่ 3-4 ร้าน ทุกร้านเสิร์ฟเหมือนกันหมด
แต่ดีกรีความอร่อยต่างกัน โดยทั่วไปจะเสิร์ฟมาในถ้วยจีนขาวๆ แบบที่คนจีนชอบใส่ของตุ๋น
ในถ้วยมีแต่ซี่โครงหมูล้วนๆ กับน้ำแกง ไม่มีผัก ไม่มีเห็ดหอม แต่น้ำแกงเขาก็หอมดี สีเข้มๆ ตามนิยาม
และที่ต้องเสิร์ฟมาคู่กันโดยไม่ต้องร้องถาม คือน้ำจิ้มพริกดองซีอิ๊วดำใส่น้ำส้มสายชู และขาดไม่ได้ทุกร้านคือ
ปาท่องโก๋ตัดเป็นแว่นให้ตะเกียบคีบได้อีก 1 ถ้วย ส่วนใครจะสั่งข้าวสวยไม่มีปัญหา

วิธีเจริญบักกุ๊ดเต๋แบบของผมคือ เอาตะเกียบคีบปาท่องโก๋ใส่ลงไปในน้ำซุปร้อนๆ คะเนให้มันชุ่มน้ำซุปสักครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งยังคงความกรอบไว้บ้าง แล้วคีบขึ้นมาจิ้มน้ำจิ้มอีกที ไม่จิ้มก็ได้ ใส่เข้าปากไป คุณเอ๊ย ปาท่องโก๋มันร้อนๆ
ซึมซาบรสชาติน้ำแกงเข้มข้น หอมอยู่ในปาก เปรี้ยวนิดๆ จากน้ำจิ้ม กรอบหน่อยๆ แล้วค่อยตักซี่โครงหมูจิ้มน้ำจิ้ม
กินกับข้าวสวย ตักน้ำแกงราดข้าวบ้างก็ดี กินสลับกับปาท่องโก๋อย่างนี้ เจริญอาหารจริงๆ

แต่อยู่ที่บรรยากาศด้วยนะครับ คราวหนึ่งผมไปเดินเล่นในสวนโบตานิคที่สิงคโปร์ เหนื่อยแล้ว ออกมาด้านนอก
มี hawker หรือร้านขายอาหารเร่ที่สิงคโปร์เขาจับมารวมกันไว้เป็นกลุ่ม ไม่ให้เพ่นพ่าน ตั้งขายอยู่หลายซุ้ม
ผมเห็นโต๊ะอื่นเขากินบักกุ๊ดเต๋กัน ผมก็สั่งออกเสียง บักกุ๊ดเต๋ เลย ก็ได้มา 1 ชุด ครบเซ็ตตามที่บอก
แถมด้วยเบียร์ขาดดุลให้สิงคโปร์อีก 1 กระป๋อง นั่งจิบเบียร์ ชมสวนโบตานิค แกล้มบักกุ๊ดเต๋
เป็นความสุขที่แม้แต่คนสิงคโปร์ยังอิจฉาผมเลย เอาล่ะ เห็นภาพบักกุ๊ดเต๋สองแบบที่แตกต่างกันแล้ว
แต่ส่วนผสมวิธีทำไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ มาทำกันเลยครับ

เตรียมเครื่องก่อน ซี่โครงหมูอ่อน ตัดเป็นชิ้น 1/2 กิโลกรัม
(ได้ชนิดกระดูกหมูอ่อนๆ เคี้ยวกรุบๆ ล่ะชอบนัก ถ้าจะเอาหางหมู ก็ซื้อที่เขาเผาแล้ว ขูดขนให้สะอาด
เครื่องในมักใช้พวกกระเพาะ ล้างสะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก)

พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำมัน 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมทุบให้แตก 4 กลีบใหญ่
เต้าเจี้ยวบด 1 ช้อนชา
โป๊ยกั้ก 2 กลีบ
รากผักชี 2 ราก
อบเชยแท่ง 1 นิ้ว
เก๋ากี้ 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วดำหวาน 1 ช้อนชา
น้ำ 5 ถ้วย

เริ่มทำ เอาซี่โครงหมูมาหมักกับเกลือป่น พริกไทย ไว้ครึ่งชั่วโมง ทีนี้พอครบเวลา ตั้งกระทะ
ใส่น้ำมันลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ซี่โครงหมูที่ผัดลงไปผัดให้เหลืองดีตักขึ้น เวลาเอาไปต้มหมูจะสีสวย ไม่ซีด

กระทะใบเดิม ใส่น้ำมันที่เหลืออีก 1 ช้อนโต๊ะลงไป โปรยน้ำตาลทรายลงไปผัดเร็วๆ จะเป็นคาราเมล
น้ำตาลไหม้กลายๆ ตรงนี้เพิ่มสีเข้มให้น้ำซุปโดยไม่ต้องเพิ่มรสให้ซีอิ๊วดำ และได้กลิ่นหอมไหม้ๆ ของน้ำตาลด้วย
น้ำตาลสีเข้มดี ใส่กระเทียม เต้าเจี้ยวบดลงไปผัดต่อ พอหอม ถึงใส่ซี่โครงที่พักไว้ ลงไปคลุก

ทีนี้ใส่ซีอิ๊วดำกับเกลือ ผัดให้เข้ากันดี ย้ายใส่หม้อที่ตั้งน้ำ 5 ถ้วย เดือดรอท่าไว้แล้ว เอาน้ำล้างกระทะให้หมดด้วย
อย่าทิ้ง เสียดายของ ตอนนี้ใส่รากผักชี โป๊ยกั้ก อบเชย เก๋ากี้ได้ ต้มไฟแรงสัก 10 นาที ดึงความโอชะออกมาก่อน
แล้วถึงหรี่ไฟลง เคี่ยวเดือดรุมๆ ประมาณชั่วโมงครึ่ง ซี่โครงหมูจะเปื่อยดี
ระหว่างนี้ต้องคอยช้อนน้ำมันกับฟองทิ้งไปบ้าง จะได้น่ากิน ก็จะได้บักกุ๊ดเต๋สูตรแบบสิงคโปร์แท้

ถ้าจะผสมแบบไทยๆ จะไปยากอะไรเพิ่มเครื่องยาจีนที่ใช้ต้มแกงจืดมีขายเต็มบ้านเต็มเมือง ใส่ถุงพลาสติค
ในนั้นจะมีรากไม้ขาวๆ ฮ่วยซัว เก๋ากี้ เม็ดแดงๆ และอีกหลายอย่าง จำชื่อไม่ได้ ไม่ต้องจำ ใส่ลงไปด้วยตอนต้ม
หรือจะห่อใส่ผ้าขาวบาง เพิ่มพริกไทยเม็ดไปด้วย รสชาติจะเข้มข้นขึ้น แล้วเอาเครื่องยาจีนออกง่าย
ปรุงรสให้เผ็ดร้อนพริกไทย และรสเข้มข้น เค็มนำเล็กน้อย ส่วนผัก จะใส่เห็ดหอม ดอกไม้จีนตัดปลายแข็งๆ ออก
ลงไปต้มด้วยก็ได้ หรือต้มไว้แล้วคีบออก ใส่ชามต่างหากไว้ เห็ดเข็มทอง เห็ดนางฟ้า ได้หมด
ฟองเต้าหู้อย่างเล็กแช่น้ำไว้ แล้วค่อยมาต้ม แต่ถ้าได้ฟองเต้าหู้สด ไม่ต้องต้มนาน
ผักสดเช่น ผักกาดขาว หรือผักกาดหอม ถั่วงอก ใส่ชามตอนเสิร์ฟร้อนๆ

อ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่คล้อยตามผม บังเกิดความอยากขายบักกุ๊ดเต๋ ลองนึกภาพการผสมผสาน
พอมีคนสั่งบักกุ๊ดเต๋ ก็เอาหม้อดินเผาตั้งไฟเข้า เผาให้ร้อน ตักซุปกับซี่โครงอ่อนใส่ พอเดือด คีบเครื่องที่ต้มแล้ว
และผักสดใส่ ยกเสิร์ฟทันที หม้อดินเผาร้อนๆ ควันฉุย มีคราบแห่งความขลังของบักกุ๊ดเต๋สีคล้ำๆ
แต่งแต้มสีให้หม้อ มีซี่โครงหมูอ่อนๆ เปื่อยๆ น้ำแกงสีเข้มหอมเตะจมูก
และส่วนประกอบอื่นๆ อย่างละนิดอย่างละหน่อย รวมมาเป็นบักกุ๊ดเต๋ของคุณ ขายคู่กับข้าวสวยร้อนๆ 1 ถ้วย
แค่นี้ตรงมุมไหนของเมืองไทย ก็ตั้งโต๊ะขายแข่งกับก๋วยเตี๋ยว หรือเลือดหมูต้มได้แล้ว

แต่ห้ามลืมเด็ดขาด! ขาดไม่ได้ ต้องเสิร์ฟคู่กับปาท่องโก๋หั่น และน้ำจิ้มพริกดองซีอิ๊วดำ กับตะเกียบอีก 1 คู่
ไม่งั้นผมโกรธจริงๆ ด้วย จะไม่ยอมตอบคำถามเอาจริงๆ นะเออ.....

โดย พลศรี คชาชีวะ
ที่มา มติชน

credit by :  http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=03-2009&date=07&group=16&gblog=63

Read More...


ข้าวหมูแดง หมูกรอบ จานด่วน ชวนทำเงิน


ข้าวหมูแดง-หมูกรอบ เป็นอาหารจานด่วนอีกจานหนึ่งที่มีคนนิยมรับประทานเป็นอาหารกลางวัน
เนื่องจากใช้เวลาในการเตรียมใส่จานน้อย ไม่ยุ่งยาก สั่งปุ๊บได้ปั๊บ ได้รับประทานกันทันที มีคุณค่าอาหารครบถ้วน

แม้ว่าจะเป็นหมูแดงหรือหมูกรอบล้วนๆแต่ก็ยังมีแตงกวาและต้นหอมสดให้รับประทานแกล้มได้วิตามินเพิ่ม

นายเฮี๊ยง ข้าวหมูแดงบางบอน ที่ขึ้นชื่อลือชาย่านบางบอนซอย 75 กรุงเทพฯ
แม้ว่าเจ้าของสูตรคือนายเฮี๊ยงได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ อรอุมา กิตติพันโธภาส ในฐานะลูกสาวคนโตก็สืบทอดมาได้อย่างไม่ยากเย็นแถมรสชาติยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและยังคงสูตรเด็ดด้วยการมี น้ำพริกเผา เป็นน้ำจิ้มเสริมสำหรับคนชอบรสจัด

เคยช่วยคุณพ่อขาย แต่ไม่เคยทำเองเลย แต่ก็ทราบว่าใส่อะไรทำอย่างไร พอตอนที่คุณพ่อเริ่มป่วยตัวเองก็ต้องเป็นผู้นำน้อง ๆ มาทำ ปรากฏว่าครูพักลักจำแต่ก็ทำได้ น้อง ๆ และลูกค้าประจำบอกว่ารสชาติเหมือนเดิมเลยก็เลยทำขายเรื่อยมา

นอกจากร้านดั้งเดิมแล้วยังสยายปีกขึ้นห้าง คาร์ฟูร์สาขาบางบอน, สาขาอ่อนนุช, สาขาสำโรง,
โลตัสสาขาพระราม 2, สาขาบางกะปิ เดอะมอลล์บางกะปิ และอีกหลายสาขา
ทุกสาขามั่นใจในรสชาติได้เพราะอาหารทุกชนิดถูกปรุงออกมาจากครัวใหญ่ที่บางบอน
แล้วส่งมาวางจำหน่ายตามสาขา

วันนี้อรอุมาจะมาเปิดสูตรเด็ดกลเม็ดเคล็ดลับ
สำหรับคนที่อยากจะทำอาหารจานด่วนจานนี้ขายให้กับแฟนคอลัมน์ช่องทางทำกินได้มีอาชีพกัน
เริ่มกันตั้งแต่เตรียม หมูแดง จะต้องใช้สันคอหมูจึงจะนิ่ม หากไม่มีก็ใช้ตะโพกหมูก็ได้แต่เนื้อจะแข็งกว่า

หมู 5 กก. ใช้น้ำตาลทราย 1 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียมปอกเปลือกบดละเอียด 100 กรัมซีอิ๊วดำเล็กน้อยพอให้มีสี ไม่ใช้สีผสมอาหารแต่บางคนจะใส่ก็ได้ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

นำหมูมาแล่เป็นเส้นความกว้างประมาณ 3 นิ้ว หมักกับเครื่องปรุงข้างต้นใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ 1 คืน
นำออกมาย่างในเตาสเตนเลสเป็นถังวงกลมแล้วมีที่แขวนด้านใน ใช้เตาแก๊สให้ความร้อนอยู่ด้านล่าง
คล้าย ๆ การอบ (เหมือนเตาย่างเป็ด) ใช้ไฟกลาง 45 นาทีก็นำออกมาผึ่งไว้ใช้ขาย

หมูกรอบ ใช้แผ่นเนื้อสามชั้นชิ้นละประมาณ 5 กก. ขึ้นไป
ต้องสั่งซื้อที่เขียงหมูไว้ล่วงหน้าไม่อย่างนั้นจะหาซื้อไม่ได้ ล้างทำความสะอาด ขูดขนทิ้งให้หมด
นำไปต้มใส่เกลือเล็กน้อย ต้มไฟกลางประมาณ 45 นาที
นำขึ้นมาผึ่งน้ำแล้วใช้ส้อมจิ้มไปที่หนังให้เป็นรูทั่วทั้งแผ่นเพื่อให้หนังฟู
กรีดหมูเป็นชิ้นความกว้างประมาณ 2 นิ้วให้เกือบขาด เพื่อความสะดวกในการหั่นเวลาขาย
จากนั้นนำเข้าเตาอบเหมือนหมูแดงประมาณ 30 นาทีใช้ไฟปานกลาง นำออกมาแขวนผึ่งไว้ได้

ทั้งหมูแดงและหมูกรอบจะทำในตอนเย็นแล้วนำเข้าตู้เย็นแช่ไว้
ตอนเช้าจึงนำหมูแดงออกมาอุ่นในเตาอบสัก 5-10 นาที
ส่วนหมูกรอบนั้นให้นำลงทอดในน้ำมันที่เดือดท่วมสัก 5 นาที

น้ำราดหน้าหมูแดง-หมูกรอบ
ใช้น้ำที่ต้มกระดูกหมู 500 กรัม ใส่เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 1 กก.
ผงพะโล้ครึ่งซองใส่ผสมอาหารนิดหน่อย ซีอิ๊วดำเล็กน้อย ถั่วลิสงอบแล้วป่น 200 กรัม งาขาวอบป่น 200 กรัมแป้งเท้ายายม่อมนิดหน่อย พอให้เหนียว (ไม่ใช้แป้งมันเพราะเมื่อเย็นแล้วจะคืนตัวไม่เหนียว)

ตั้งน้ำให้เดือดใส่ส่วนผสมต่าง ๆ ลงไป ยกเว้นแป้งที่ต้องผสมน้ำเย็นก่อนเล็กน้อย
แล้วค่อย ๆ เทใส่ลงไปพร้อมกับคนไปเรื่อยไม่ให้แป้งจับตัวเป็นก้อน
ส่วนผสมของแป้งนี้ต้องทดลองกันดูว่าจะใช้เท่าไหร่เพราะแต่ละคนชอบเหนียวมากน้อยต่างกัน

น้ำพริกเผา
ใช้น้ำมันพืชลงผัดกับพริกป่น น้ำตาล เกลือ กระเทียมเจียวบดละเอียด น้ำซุปกระดูกเล็กน้อย
จะได้น้ำพริกเผาไม่มีรสหวานเพราะน้ำราดหน้าหมูแดงจะหวานอยู่แล้ว

ข้าวหุง
ข้าวที่นี่จะใช้ ข้าวหอมมะลิ 1 ส่วนผสมกับข้าวเสาไห้ 2 ส่วน ผสมให้เข้ากันดีแล้วหุง
จะได้ข้าวสุกที่ไม่นิ่มมากและไม่แข็ง เวลาที่ราดน้ำหมูแดงแล้วไม่เยิ้ม
ถ้าใช้ข้าวหอมมะลิล้วนจะนิ่มเกินไป หรือข้าวเสาไห้ก็จะแข็งเกินไปไม่อร่อย

การต้มไข่ตานี
เทคนิคอีกอย่างที่อรอุมาบอกมาก็การต้มไข่ตานี ที่นี่ไข่จะเป็นยางมะตูมทุกฟอง เป็นหนึ่งเคล็ดลับความอร่อยใช้ไข่เป็ดสด หากต้มแต่น้อยให้ตั้งน้ำให้เดือดแล้วใส่ไข่ลงไปจับเวลา 7 นาที ตักขึ้นมาแช่น้ำเย็นทิ้งไว้แต่ของอรอุมานั้นต้มครั้งละ 150-200 ฟองโดยการใส่ไข่ลงในหม้อแล้วใส่น้ำให้ท่วม
ตั้งไฟค่อนข้างแรงให้น้ำเดือดก็ปิดแก๊สยกลงมาแช่น้ำเย็นจะได้ไข่ตานีพอดี

นอกจากนี้ต้องเตรียมแตงกวาสด ต้นหอมสด พริกดองน้ำส้มสายชูผสมซีอิ๊วดำ

เวลาเสิร์ฟนั้นก็ง่ายมากจะขายได้กำไรมากน้อยหรือลูกค้าพอใจมากน้อยก็ขึ้นอยู่ตอนตักเสิร์ฟนี่แหละค่ะ
ต้องหัดหั่นหมูกรอบและหมูแดงไม่ให้บางเกินไป ลูกค้าจะว่าเอาเปรียบ หรือหนาเกินไปเราจะขาดทุน
ต้องหั่นให้ได้พอดีคำ ไม่บางไม่หนาเกินไป

ตักข้าวใส่ถ้วยใบเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้วแล้วคว่ำถ้วยข้าวลงบนจาน เกลี่ยให้แบนนิดหน่อย
แล้ววางหมูแดง 4-5 ชิ้น หมูกรอบ 2-3 ชิ้น วางไข่ต้มข้างจาน ตักน้ำราดบนหมูแดงและหมูกรอบให้พอดี
หั่นแตงกวาสัก 3-4 ชิ้นวางข้างจาน วางต้นหอม 1-2 ต้น เสิร์ฟพร้อมกับน้ำพริกเผาและซีอิ๊วดำ

สนใจขายจานด่วนก็ไปทดลองชิมกันก่อน แล้วไปทดลองทำขัดข้องหมองใจตรงไหน
ก็โทรฯ สอบถามกันได้ที่ นายเฮี๊ยงข้าวหมูแดงบางบอน โทร. 0-2899-4799, 0-2415-7656.

เหมวดี พลรัฐ รายงาน
เดลินิวส์

credit by : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=anotherside&month=05-2009&date=27&group=16&gblog=95

Read More...


‘ข้าวหน้าไก่’ สูตรลับครองเรือน - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ


เคล็ดลับการครองเรือนของแต่ละครอบครัวอาจแตกต่างกัน แต่เชื่อมั่นว่าสูตรลับมัดใจข้อที่ไม่เคยถูกมองข้ามเลยก็คือ “เสน่ห์ปลายจวัก” นั่นเอง แม้ออกตัวขอให้ฉีดฟิลเลอร์ทำโบท็อกซ์ให้แก่คนไข้ง่ายดายกว่า แต่หมอผิวหนังคนสวย “เกด-พญ. กนกวรรณ เศรษฐพงศ์วนิช” แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญเฉพาะทางด้านศัลยศาสตร์และเลเซอร์ผิวหนัง, อาจารย์แพทย์ประจำสถาบันโรคผิวหนังและกรรมการผู้จัดการ เกดดิโกลว์คลินิก กลับไม่ย่อท้อเรียนรู้งานครัวเพื่อเป็น การมัดใจสามี “บอย-ปรนนท์ ฐิตะวรรโณ” ให้อยู่หมัด!!!

“สามีของเกดทำอาหารเก่งตั้งแต่เรียนอยู่ที่อเมริกา พอแต่งงานโดนตัดพ้อเป็นภรรยาต้องดูแลสามีบ้างนะเพราะไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว พี่บอยอยากให้ลองทำและได้มีโอกาสชิมฝีมือของเกดบ้าง ซึ่งล้มเลิกความตั้งใจอยากเป็นแม่ศรีเรือนมาตั้งแต่ช่วงแต่งงานใหม่ ๆ หลังจากภูมิใจนำเสนอทำข้าวผัดปูอัดเป็นจานแรก แต่พอทำเสร็จแล้วพี่บอยก็ตกใจทำไมข้าวผัดสีซีดจังตอนนั้นเพิ่งจีบกันใหม่ ๆ พี่บอยไม่วิจารณ์ตรง ๆ อ้อมไปขอน้ำปลาพริกเพิ่ม เหตุการณ์วันนั้นทำให้เกดสูญเสียความมั่นใจอย่างแรง” แพทย์ผิวหนังยิ้มแย้มเล่าเจือน้ำเสียงขบขัน

หลังจากนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้หมอเกดก้าวมาเป็นลูกมือคุณบอย เริ่มจากการเป็นลูกมือเตรียมเครื่องปรุงแล้วพัฒนาฝีมือขึ้นมาเรื่อยจากเมนูง่าย ๆ อย่างข้าวหน้าไก่และข้าวต้มกระดูกหมู “เกดเชื่อว่าการทำอาหารเป็นพรสวรรค์ชนิดหนึ่งยากกว่าเรียนแพทย์เฉพาะทาง จำเป็นต้องมีลิ้นทองคำคือชิมแล้วต้องรู้ว่าขาดรสใด ต้องใส่อะไรเพิ่มถึงจะกลมกล่อมกำลังดี”

เมนูวันนี้หมอเกดจึงเลือกเมนูที่สามีฝึกปรือมาเป็นอย่างดีมานำเสนอได้แก่ “ข้าวหน้าไก่” ซึ่งเผยหมดเปลือกไว้ให้แม่บ้านรุ่นใหม่ได้ลองทำให้คนใกล้ใจกิน วัตถุดิบและส่วนผสม สำหรับ 4-6 ที่ ประกอบด้วย ไก่ 1/2 กิโลกรัม, น้ำมันหอย 6 ช้อนโต๊ะ, ซีอิ๊วขาว 6 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ, แป้งมัน 4 ช้อนโต๊ะ, ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันพืช 6 ช้อนโต๊ะ, เหล้าจีน 1 ฝา และเห็ดหอม, เกลือ 1 หยิบมือโรยปรุงรสนิดหน่อย, น้ำซุปกระดูกหมูหรือไก่เครื่องเคียงเตรียม พริกชี้ฟ้า ผักชี แตง กวา ไข่ดาว และกุน เชียงทอด

วิธีทำหั่นเนื้อไก่ส่วนตะโพกเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าถอดหนังออกผสมกับเครื่องปรุงทั้งน้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, น้ำมันงา, ซีอิ๊วดำและน้ำมันพืชคลุกเคล้าเข้าด้วยกันโดยใส่แป้งมันท้ายสุดเคล็ดลับความอร่อย หมอเกดเผยว่า “นอกจากใช้ไก่ที่มีคุณภาพดีแล้วควรหมักไก่ทิ้งไว้ข้ามคืนคุณสมบัติจากแป้งมันและน้ำมันพืชแทรกซึมเข้าเนื้อนุ่มลิ้น” เสร็จแล้วนำไก่ที่หมักผัดในหม้อให้สุกโดยที่ไม่ต้องใส่น้ำมันพืชอีก พอไก่โชยกลิ่นหอมเตะจมูกและเริ่มงวดตักน้ำซุปเติมปรุงรสด้วยเกลือ เมื่อเดือดใส่เห็ดหอมตามด้วยเหล้าจีนซึ่งส่วนผสมสองอย่างหลังนี้ไม่เพียงเพิ่มคุณค่าทางโภชนา การ แต่ยังเพิ่มกลิ่นหอมมากกว่ากลิ่นไก่ธรรมดา ระหว่างผัดควรสังเกตถ้าหน้าไก่งวดเกือบแห้งค่อยหมั่นเติมน้ำซุปพอให้น้ำขลุกขลิกเสร็จแล้วให้ตักข้าวสวยร้อน ๆ ไว้รอท่า จัดวางผักเคียงไข่ดาว และกุนเชียงตามชอบ จากนั้นตักส่วนหน้าไก่ราดให้ชุ่มฉ่ำ

สุดท้ายหมอเกดได้ฝากทิปส์กับบิวตี้สำหรับแม่บ้านทั้งหลายถึงสิ่งที่ควรระมัดระวังระหว่างทำกับข้าวคือ ถ้าต้องบีบมะนาวหรือสมุนไพรบางตัวที่มีส่วนผสมสารไวต่อแสง แดดควรล้างมือทำความสะอาดทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ เช่น เวลาบีบมะนาวด้วยมือเปล่าหากโดนแสงแดดอาจทำให้เกิดผื่นเป็นจุดดำหรือเป็นผื่นแดงแล้วเป็นรอยดำเป็นลายเส้น บางคนคิดว่าเป็นเกลื้อนหรือตกกระ แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ดังนั้นต้องแก้ปัญหาด้วยการล้างมือให้สะอาดหลังทำอาหารเพื่อไม่ให้สารเคมีที่ไวต่อแดดนั้นเหลืออยู่ที่ผิวแล้วทำปฏิกิริยากับยูวีเอที่อยู่ในแสงอาทิตย์ ถ้าเจอปัญหานี้แล้วรักษาไม่หายแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ทางผิวหนัง.

"ช้องมาศ"

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/273045/‘ข้าวหน้าไก่’+สูตรลับครองเรือน+-+สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ

Read More...


‘หมูพันผัก’ ปรับปิ้งย่างสร้างเงิน!!


อาหารเพื่อสุขภาพยังคงฮิตครองใจผู้บริโภค นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยเหตุนี้เมนูสุขภาพกำเนิดขึ้นมามากมายหลายเมนู เพื่อที่จะเป็นทางเลือกให้กับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพ หนึ่งในนั้นคือเมนู “หมูพันผัก” ที่นำเอาแนวอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นมาประยุกต์เสียบไม้ย่างขาย ตอนนี้ก็มีขายทั่วไปตามตลาดนํ้า, แหล่งท่องเที่ยว, แหล่งชุมชน หรืองานแสดงสินค้าต่าง ๆ ซึ่งอาชีพนี้ก็ไปได้ดี โดย “ช่องทางทำกิน” รูปแบบนี้ วันนี้ทางทีมงานเราก็มีข้อมูลมานำเสนอ…

เบิ้ม-เทอดชัย รัตนศิรินิมิตร, เล็ก-สมปอง รัตนศิรินิมิตร และโม๊ย-รัชดา รัตนศิรินิมิตร สามพี่น้องเจ้าของร้าน “หมูพันผัก” เพื่อสุขภาพ ตลาดนํ้าคลองลัดมะยม โซน 2 เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า แต่ละคนต่างก็มีงานประจำทำกัน วันหยุดเสาร์-อาทิตย์มักเสาะหาของอร่อยกินตามที่ต่าง ๆ หรือไม่ก็ทำอะไรกินกันที่บ้าน ตอนไปเที่ยวตลาดคลองนํ้าลัดมะยม สังเกตเห็นนักท่องเที่ยวซื้อของแล้วเดินกิน ก็เกิดไอเดียว่าเราน่าจะทำอะไรง่าย ๆ ที่สามารถเดินกินได้ขาย สิ่งที่นึกถึงคือ “บาร์บีคิว” ตอนแรกขายดีมาก ๆ แต่ตอนหลังมีคนทำขายเยอะ จึงคิดทำเมนูใหม่ขึ้นมาขาย เน้นคอนเซปต์เดินกินได้และเพื่อสุขภาพ

“ก็นึกถึงอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นที่กินเป็นคำ ๆ เหมือนกับเมี่ยงของไทย แล้วลองฝึกทำดู โดยเอาพืชผักที่มีประโยชน์หลายตัวมาลองย่างดูว่าอันไหนลงตัวที่สุด ช่วยกันติช่วยกันชม ในที่สุดก็ลงตัวตามเมนูที่ขาย รวมถึงการทำนํ้าจิ้มด้วย ทดลองทำขาย ปรากฏว่าขายดีมาก เพราะความแปลกใหม่ สด อร่อย และมีประโยชน์ ทำให้มีลูกค้าขาประจำทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่มาอุดหนุนตลอด จากที่ขายบาร์บีคิวก็กลายเป็น หมูพันผักในปัจจุบัน”

สำหรับเมนูหมูพันผักก็มี...หมูพันสาหร่ายญี่ปุ่น, หมูพันเห็ดเข็มทอง, หมูพันเห็นออรินจิ, เมนูพันหน่อไม้ฝรั่ง, หมูพันแครอท, หมูพันเห็ดหอม, หมูพันถั่วแขก, หมูพันกะหลํ่าปลีเขียว, หมูพันกะหลํ่าปลีม่วง, หมูพันหัวปลี และหมูพันผักตามฤดูกาล

อุปกรณ์...เตาปิ้งย่างไฟฟ้า, ตะแกรง, ถาด, หม้อ, กระทะ, ไม้เสียบ เครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ ยืมได้จากในครัว

วัตถุดิบ หลัก ๆ ที่ใช้ทำ...เบคอนหมู, ยำสาหร่ายญี่ปุ่น (สำเร็จรูป), เห็ดเข็มทอง, เห็ดออรินจิ, เห็ดหอมแห้ง, กะหลํ่าปลีเขียว, กะหลํ่าปลีม่วง, แครอท, ถั่วแขก และหัวปลี เครื่องปรุงรสชาติ นํ้ามันงา พริกไทยดำป่น นํ้าตาลทราย เกลือป่น เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ “หมูพันผัก”

เริ่มจากทำหมูพันเห็ดเข็มทอง โดยนำเบคอนมาหั่นให้กว้างประมาณ 1 นิ้ว ยาว 3 นิ้ว เตรียมไว้ แบ่งเห็ดเข็มทองให้ได้ขนาดกว้างเท่าหัวแม่โป้ง นำเบคอนหมูมาพันให้รอบเห็ด (ตรงกลาง) ทำแบบนี้ทีละชิ้นแล้วนำไปเสียบไม้ ไม้ละ 4 ชิ้น เตรียมไว้

หมูพันเห็ดออรินจิ และหมูพันเห็ดหอม (แช่นํ้าให้นิ่ม) นำเห็ดออรินจิและเห็ดหอม หั่นเป็นชิ้น ๆ ตามแนวตั้ง หนาประมาณ 0.75 นิ้ว นำเบคอนที่เตรียมไว้มาพันให้รอบเห็ด (ตรงกลาง) ทำแบบนี้ทีละชิ้น แล้วนำไปเสียบไม้ ไม้ละ 4 ชิ้น เตรียมไว้

หมูพันยำสาหร่ายญี่ปุ่น นำเบคอนที่เตรียมไว้พันยำสาหร่ายญี่ปุ่นที่จับม้วนเป็นก้อน ๆ ไว้ ทำแบบนี้ทีละชิ้น แล้วนำไปเสียบไม้ ไม้ละ 4 ชิ้น เตรียมไว้

หมูพันหน่อไม้ฝรั่งและหมูพันถั่วแขก ขั้นตอนการทำก็คล้ายกัน คือต้องนำถั่วแขกและหน่อไม้ฝรั่ง มาหั่นเป็นท่อนให้ได้ขนาดประมาณ 2  นิ้ว นำไปลวกนํ้าร้อนเพื่อให้ผักอ่อนตัว แล้วนำไปผัดกับนํ้ามันงา ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยป่น และนํ้าตาลทราย ก่อนจะนำเบคอนมาพันถั่วและหน่อไม้ฝรั่ง 2-3 ท่อน (ตรงกลาง) ทำแบบนี้ทีละชิ้น แล้วนำไปเสียบไม้ ไม้ละ 4 ชิ้น เตรียมไว้

หมูพันผักกะหลํ่าปลีเขียว, หมูพันกะหลํ่าปลีม่วง, หมูพันแครอท, หมูพันหัวปลี ต้องนำกะหลํ่าปลี แครอท และหัวปลีมาหั่นให้เป็นฝอย ก่อนจะนำไปผัดกับนํ้ามันงา ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทยป่น และนํ้าตาล แล้วจับเป็นก้อน ๆ ก่อนจะนำเบคอนมาพันให้รอบ (ตรงกลาง) แล้วนำไปเสียบไม้ ไม้ละ 4 ชิ้น

สำหรับนํ้าจิ้ม ร้านนี้มีนํ้าจิ้มพริกไทยที่ทำเอง โดยมีส่วนผสมของ       ซอสมะเขือเทศ 60% อีก 40% ที่เหลือคือส่วนผสมของพริกไทยดำป่น เกลือ นํ้าตาลทราย และนํ้าส้มสายชู วิธีทำคือตั้งกระทะหรือหม้อ เคี่ยวซอสมะเขือเทศบนไฟอ่อน ให้เป็นนํ้าข้น ๆ ปรุงรสด้วยพริกไทยดำป่น เกลือ นํ้าตาลทราย และนํ้าส้มสายชู เคี่ยวให้ส่วนผสมเข้ากัน ชิมรสออกหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ หอมพริกไทย กลมกล่อมอร่อย แล้วยกลง

นอกจากนี้ ยังมีนํ้าจิ้มซีฟู้ดไว้บริการคนที่ชอบรสแซ่บเผ็ด ๆ ส่วนผสมมีพริกขี้หนูสีแดง, นํ้ามะนาวสด, กระเทียม, นํ้าตาลปี๊บ และเกลืออีกเล็กน้อย วิธีทำก็นำหม้อตั้งไฟ ใส่นํ้าตาลปี๊บและเกลือละลายให้เข้ากัน เสร็จแล้วปิดไฟ ใส่นํ้ามะนาวลงไปผสม จากนั้น นำพริกขี้หนูสีแดง กระเทียม และส่วนผสมนํ้าตาลปี๊บใส่ลงในเครื่องปั่นให้ละเอียด เสร็จแล้วเทใส่ภาชนะที่เตรียมไว้

วิธีการขาย ให้เสียบปลั๊กเตาย่างไฟฟ้าให้ร้อน ก่อนจะนำหมูพันผักขึ้นย่างและคอยกลับด้าน พอสีออกเหลือง ๆ ก็เป็นอันใช้ได้ พร้อมเสิร์ฟคู่กับนํ้าจิ้มพริกไทย และนํ้าจิ้มซีฟู้ด

ราคาขาย ไม้ละ 20 บาท หรือ 3 ไม้ 50 บาท!!

ทั้งนี้ ด้วยเสียงเรียกร้องของลูกค้า สามพี่น้องจึงได้จัดหมูพันผักชุดปาร์ตี้ เพื่อเอาใจลูกค้าที่ต้องการมีปาร์ตี้เล็ก ๆ ในครอบครัวและหมู่เพื่อนฝูง ตอนนี้มีบริการด้วยแล้ว จะแพ็กเป็นชุด ๆ ละ 3 ไม้พร้อมนํ้าจิ้มราคา 50 บาท (ไว้ในซองแช่แข็งเก็บไว้ได้นาน 20 วัน)

ใครสนใจเทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ “หมูพันผัก” ร้านนี้ ก็แวะเวียนไปลองชิมดู ร้านอยู่ที่ตลาดนํ้าคลองลัดมะยม โซน 2 ขายทุกเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ต้องการสั่งไปใช้ในงานติดต่อสอบถามที่เบิ้ม 08-1428-5239 เล็ก 08-6565-5388 และโม๊ย 09-0961-3718 และนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพอิสระที่สร้างรายได้.

คู่มือลงทุน...หมูพันผัก

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา

รายได้ ราคาขาย 20 บาท /ไม้

แรงงาน ตั้งแต่ 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ตลาดนํ้า, ชุมชน, ตลาดนัด

จุดน่าสนใจ ปรับสูตรทำขายได้ทุกเทศกาล

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง /พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/273117/‘หมูพันผัก’+ปรับปิ้งย่างสร้างเงิน!!

Read More...


ชวนชิมเมนู 'ลาบอกเป็ดรมควัน'หอมอร่อยทุกคำ'ปลาตะเพียนต้มเค็ม ...



เดือนนี้หลังจากกินเจกันไปแล้ว ซึ่งปีนี้จะมีการกินเจ 2 ครั้ง ในรอบร้อยปี เพราะมีเดือนเก้า 2 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องดีเป็นช่วงที่จะได้หยุดกินเนื้อสัตว์ แต่หลังจากจบเทศกาลกินเจแล้วหลายคนคงกลับมากินอาหารตามปกติเหมือนเดิม วันนี้ผมจึงอยากชวนมาลองทำ ลาบอกเป็ดรมควัน กินกันดู ซึ่งไม่มีอะไรแตกต่างจากวิธีการทำลาบเป็ดธรรมดาที่ทำกินกันทั่วไปแค่เราเอาเนื้ออกเป็ดรมควันมาผสมกับเนื้อเป็ดสดเพิ่มด้วยเท่านั้น และผมก็ได้ให้เครื่องปรุงมาเรียบร้อยแล้วครับ

วิธีการทำ ขั้นตอนแรกเริ่มจาก เอาหม้อตั้งไฟใส่น้ำลงไปเล็กน้อย พอน้ำเดือดให้ใส่เนื้อเป็ดสดที่บดแล้ว และเนื้ออกเป็ดรมควันที่บดแล้ว ลงไปรวนในน้ำที่เดือด พอสุกก็ยกหม้อออกจากเตามาปรุงรสข้างนอก โดยปรุงด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว ใครจะใส่น้ำส้มมะขามเปียกก็ได้นะครับ แต่ผมใช้แค่น้ำปลา น้ำมะนาว พริกขี้หนูป่นเท่านั้น

เนื่องจากอาหารอีสานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีรสหวานมากสักเท่าไร สำหรับเมนูนี้ความหวานจะมาจากเป็ดสด จึงไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลนะครับ หลังจากชิมรสว่ามีความเปรี้ยว ความเค็ม และความเผ็ดมากพอตามที่เราต้องการแล้ว จากนั้นก็ให้ใส่ต้นหอมซอย ผักชีฝรั่งซอย หอมแดงซอย ใส่ใบสะระแหน่ คลุกให้เข้ากัน ก่อนตักใส่จาน ก่อนเสิร์ฟให้โรยด้วยผักชีซอย ตามด้วยใบสะระแหน่ และข้าวคั่ว โดยการใส่ข้าวคั่วนั้นจะต้องใส่ที่หลังสุดเพื่อที่จะได้ไม่อืด และมีความหอม กรอบ พร้อมแต่งหน้าด้วยพริกขี้หนูแห้งทอด

เมื่อเสร็จเรียบร้อย ตักใส่จานรับประทานคู่กันกับผักเคียง ส่วนหนังของอกเป็ดรมควันนั้น เราก็เอามาทอดให้กรอบทำเป็นแคป นำไปโรยหน้าลาบเป็ดรมควันจะยิ่งอร่อยมากขึ้น ทั้งหมดที่ผมเล่ามานั้นเห็นไหมครับว่าการทำไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ถ้ามีโอกาสหรือในช่วงวันหยุดลองทำกินกันดูนะครับ.

หมึกแดง
www.mcdangguide.com

.............................................................................................

ลาบอกเป็ดรมควัน

เครื่องปรุง

เนื้อเป็ดรมควันเอาหนังออกสับ 50 กรัม

เนื้ออกเป็ดสดเอาหนังออก 150 กรัม

น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

พริกขี้หนูป่น 2 ช้อนชา

ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ

ต้นหอมซอย 1/4 ถ้วยตวง

ผักชีใบเลื่อยฝรั่งซอย 1/4 ถ้วยตวง

หอมแดงซอย 1/2 กรัม

พริกขี้หนูแห้งทอด 10 เม็ด

ผักชีซอย 1/4 ถ้วยตวง

แคบเป็ด สำหรับเสิร์ฟ

ใบสะระแหน่ 1/4 ถ้วยตวง

.............................................................................................

ร้านอาหารชวนชิม

เมื่อครั้งที่ผมไปประชุมแถวคลองสาน ได้มีโอกาสแวะไปกินอาหารที่ถนนเจริญนคร ตรงข้ามโรงแรมเพนนินซูล่า ชื่อว่าร้าน นายสุนเจริญนคร (ติ่ง) เป็นร้านเป็ดและห่านพะโล้ ลักษณะตั้งของร้านเป็น 2 คูหาติดกัน

เมื่อเลือกที่นั่งเรียบร้อยแล้ว ผมได้สั่งเมนูแรกเป็น เป็ดพะโล้และห่านพะโล้ โดยที่ร้านจะสับมาในจานเดียวกัน จานใหญ่เลยครับ เมื่อนำมาเสิร์ฟกลิ่นหอม น่ากินมาก เมื่อชิมแล้วก็ไม่ผิดหวังเนื้อเป็ดนุ่ม ไม่เหนียว รสชาติกลมกล่อม แม้จะเป็นเป็ดพะโล้แต่ไม่เค็มจนเกินไปและไม่หวานจนเกินไป อร่อยใช้ได้เลยครับ

จากนั้นผมสั่ง เครื่องในเป็ดพะโล้ มากินด้วย มีทั้งไส้ กึ๋น รวมทั้ง ตับ ราดน้ำพะโล้มาเล็กน้อยเพื่อความชุ่มชื้นเมื่อลองกิน อร่อยดีครับ ไม่เหนียว และเขาก็ล้างอย่างสะอาดจึงทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นคาวของเครื่องใน น้ำจิ้มของเขาก็ไม่หวานมากเกินไป มีรสเปรี้ยว และเผ็ด อีกทั้งยังหอมกระเทียมกับพริกด้วย เมนูนี้จะกินกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือจะกินเล่นเพลิน ๆ ก็ได้ อร่อยทั้ง 2 แบบครับ

ตามมาด้วย ปลาตะเพียนต้มเค็ม เป็นอาหารที่ผมไม่ได้กินมานานแล้ว ค่อนข้างจะหากินยากและหาร้านที่ทำอร่อยยากด้วยเช่นกัน แต่ที่ร้านนี้ทำได้รสชาติดีมาก ไม่หวานมากจนเกินไป ต้มจนน้ำซุปเข้าไปในเนื้อปลา สามารถกินได้ทั้งตัวเลย นุ่มไปหมดแม้กระทั่งก้างปลายังนุ่มเลยครับ อร่อยมาก อาหารจานนี้ต้องกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ที่เสิร์ฟมาเป็นถ้วยแล้วใช้ตะเกียบแทนช้อนส้อมถึงจะได้อรรถรส

และเพื่อให้ไม่ฝืดคอผมจึงสั่ง ต้มจืดมะระตุ๋น และ ต้มจืดผักกาดดอง มาซดน้ำกิน โดยที่ร้านจัดใส่ถ้วยร้อน ๆ มาเสิร์ฟอร่อยคล่องคอดีเหลือเกิน ในส่วนของต้มจืดมะระตุ๋น น้ำซุปไม่ขมครับเพราะเขามีวิธีการทำมะระที่ดีและใช้มะระอ่อน เป็นเมนูเพื่อสุขภาพด้วย อีกถ้วยหนึ่งที่เป็นต้มจืดผักกาดดอง รสชาติไม่จืดเหมือนชื่อนะครับ มีรสชาติของผักกาดดองเปรี้ยว ๆ เค็ม สรุปแล้วทั้ง 2 ต้มรสชาติเช็ง ๆ ครับ เป็นภาษาจีนแปลว่า อร่อย

ยังไม่หมดเท่านี้ ยังมี หน่อไม้พะโล้ โดยจะเอาหน่อไม้มาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปต้มพะโล้ เขาทำได้ไม่นุ่มจนเกินไป และไม่เหนียวจนเกินไป หน่อไม้ไม่เละนุ่มกำลังดี ส่วนรสชาติเมื่อลองชิมแล้วก็อร่อยกำลังดี ไม่เค็ม ไม่หวานจนเกินไป

ใครไปแถวนั้นลองแวะไปชิมกันดู ผมอยากให้ไปลองชิมกัน ร้านเขาบรรยากาศสบาย ๆ ติดถนน ส่วนอาหารก็รสชาติดีครับ.

credit by : http://dailynews.co.th/Content/Article/271208/ชวนชิมเมนู+‘ลาบอกเป็ดรมควัน’หอมอร่อยทุกคำ‘ปลาตะเพียนต้มเค็ม’

Read More...


‘คั่วกลิ้ง’แนวใหม่ ใช้ ‘กุ้งสับ’สูตรตำรับใต้ - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ


เสียงโขลกน้ำพริกดังแว่วเป็นจังหวะมาจากก้นครัวร้าน “คั่วกลิ้ง ผักสด” อาหารปักษ์ใต้สไตล์โฮมเมด ลำพังแค่ได้ยินเสียงก็เดาไม่ยากว่าวัตถุดิบหลักของเมนูวันนี้คงหนีไม่พ้น “เครื่องแกง” และก็เป็นจริงตามคาดเมื่อ “บิ๊ค-วเรศรา สมิตะสิริ” ทายาทของร้านรุ่นที่ 2 ออกมาเปิดประตูต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เฉลยเมนูที่เตรียมมาเผยสูตรอย่างหมดเปลือกคือ “คั่วกลิ้ง” อาหารจานเผ็ดร้อนรสจัดจ้าน แต่เพิ่มรสสัมผัสแตกต่างให้ไม่เหมือนใคร ด้วยการเปลี่ยนจากใช้เนื้อวัว, เนื้อหมู และซี่โครงหมู มาเป็น “คั่วกลิ้งกุ้งสับ” แทน

สาวตาโตเชื้อสายแดนใต้ เล่าพลางเตรียมวัตถุดิบและส่วนผสมว่า โชคดีเกิดมาในครอบครัวที่เก่งด้านอาหาร คุณพ่อคลุกคลีอยู่ในแวดวงอาหารและเครื่องดื่มมานาน ส่วนคุณแม่ (สุกัญญา สมิตะสิริ) และคุณป้า (อรทัย เมืองแก้ว) สองสาวจาก อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ได้รับการถ่ายทอดอาหารใต้สูตรพื้นเมืองมาจากคุณยาย ไลฟ์สไตล์ของครอบครัวจึงชอบทำกินกันเองบ่อย พอ ๆ กับจูงมือกันไปกินข้าวนอกบ้าน หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตได้ปรึกษาหารือนำพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านซอยสุขุมวิท 40 เปิดเป็นร้านแรกก่อนย้ายฐานมาอยู่ที่ซอยทองหล่อ 5  และขยายสาขาเพิ่มที่พหลโยธิน ซอย 8

“วันหยุดช่วงที่เรียนอยู่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ถูกคุณพ่อเคี่ยวเข็ญให้มาช่วยเป็นลูกมือคุณป้า เรียนรู้การทำอาหารไทยและขนมไทย ซึ่งรายการหลังทำแล้วยังได้นำมาวางขายหารายได้เสริม แต่ระยะหลังหันหลังให้วิชางานครัวเนื่องจากต้องทำงานประจำ บิ๊คทำอยู่ประมาณ 10 ปี จนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาได้ลาออกมาช่วยบริหารร้านแทน ตามคำแนะนำของน้องชายเพื่อให้คุณป้าและคุณแม่พักผ่อนบ้าง โดยคุณป้ายังลงมาควบคุมการผลิตเครื่องแกงบ้างและบิ๊คเป็นคนจ่ายตลาด” ผู้บริหารร้านคนเก่งเล่า

ร้างมือมานานคุณบิ๊คตัดสินใจรื้อฟื้นด้วยการจูงมือน้องชาย เรียนทำอาหารจริงจังกับ อ.ศรีสมร คงพันธุ์ กูรูอาหารไทยชื่อดัง เป็นการต่อยอดพื้นฐานเดิม คุณบิ๊คเผยว่า “ตอนนี้เมนูหลัก ๆ เป็นคนคิดทั้งหมด เหมือนกับว่าเราอยากกินอะไรก็จะทำเพิ่ม เริ่มแรกยังไม่ได้ขายจำพวกซีฟู้ดมาก เป็นเนื้อหมู กุ้ง เป็นส่วนใหญ่ แต่บิ๊คเป็นคนชอบกินปูจึงคิดเมนูปูเข้ามาเสริมความอร่อย โดยยังคงกลิ่นอายแบบบ้าน ๆ คัดสรรวัตถุดิบชั้นดี ใหม่ สด พร้อมทั้งเครื่องปรุงและเครื่องแกงรสดี พิถีพิถันปรุงแต่งเพื่อให้ลูกค้าพึงพอใจ เหมือนกับกำลังนั่งกินข้าวอย่างอิ่มเอมอยู่ที่บ้าน ร้านคั่วกลิ้ง ผักสด ขยายโต๊ะเพิ่มจาก 8 โต๊ะ เป็น 18 โต๊ะ ถือว่าไม่ใหญ่โต ดังนั้นอาหารทุกจานต้องผ่านสายตาเรา”

สำหรับสูตรเมนู “คั่วกลิ้งกุ้งสับ” ไม่เผ็ดมากเหมือนจังหวัดที่ค่อนไปทางใต้กว่าชุมพร จึงเป็นอาหารใต้ที่ไปกับลิ้นคนเมืองกรุง ซึ่งวัตถุดิบประกอบด้วย กุ้งแชบ๊วย 6-7 ตัว, ใบมะกรูดซอยและพริกขี้หนูสวนเม็ดเล็ก ใช้โรยตามชอบ ในส่วนผสมของหัวใจหลักอย่างเครื่องแกง มีดังนี้ พริกขี้หนูสวน 15-20 เม็ด, กระเทียม 4 กลีบ, หอมแดง 2 หัว, ขมิ้นสดปอกเปลือกหั่นหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ, ข่าหั่นหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ, ตะไคร้ซอย 1/2 ถ้วย, กะปิ 1 ช้อนชา, เกลือป่น 1/2 ช้อนชา, พริกไทย 1 ช้อนชา

วิธีทำ นำส่วนผสมเครื่องแกงทั้งหมดโขลกรวมกันจนละเอียด เสร็จแล้วล้างกุ้งปอกเปลือกผ่าเส้นดำออก จัดการหั่นตามข้อของตัวกุ้ง คุณบิ๊คเผยเทคนิคที่ไม่ยอมสับกุ้งว่าทำให้เนื้อเละไม่อร่อย ตั้งกระทะใส่น้ำมันพอขลุกขลิกกันติดก้นกระทะ ตามปกติถ้าใช้เนื้อหมูสันในบดไม่ต้องใส่น้ำมัน เพราะจะมีมันหมูแทรกอยู่แล้ว ผัดจนกุ้งสุกเครื่องแกงเข้าเนื้อเติมน้ำซุปนิดหนึ่ง โรยด้วยใบมะกรูดซอยและพริกขี้หนูสวน เสิร์ฟพร้อมผักเคียง เช่น โหระพา, แตงกวา, ถั่วฝักยาว และขมิ้น ขาว อย่างไรก็ตามวัตถุดิบแต่ละที่มีรสชาติไม่เหมือนกัน เช่น กะปิ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องชิมก่อนทุกครั้ง แต่ควรให้รสเผ็ดนำเค็ม.

‘ช้องมาศ’

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/271437/‘คั่วกลิ้ง’แนวใหม่+ใช้+‘กุ้งสับ’สูตรตำรับใต้+-+สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ

Read More...


'น้ำสมุนไพร' สรรพคุณ...สร้างรายได้



ไม่น่าเชื่อว่าความพยายามที่จะรักษาสุขภาพของคนในบ้านให้สมบูรณ์ แข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บ นอกจากเป็นเรื่องดี ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้ว ยังจะทำให้เกิดอาชีพโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย อย่าง “น้ำสมุนไพร” ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

*************

น.อ.หญิง ขวัญแพรว เอี่ยมวิจารณ์ เจ้าของน้ำสมุนไพร “มนต์ตรา”  กล่าวว่า เธอได้ใช้เวลาว่างจากการทำงานประจำที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมกว่า 6 เดือน เพื่อทำน้ำสมุนไพรให้คนในบ้านรับประทานเพื่อรักษาโรคบางอย่างที่สรรพคุณของสมุนไพรนั้นได้ระบุไว้ นอกจากนี้ยังได้แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน, เพื่อนที่ทำงาน และคนรู้จักได้รับประทานอีกด้วย จึงได้มีแรงเชียร์ให้ทำขายเพื่อหารายได้สำหรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทุกวัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการวางขายน้ำสมุนไพรในบ้าน โดยใช้เวลาว่างจากการทำงานประจำมาผลิต

“น้ำสมุนไพรที่ทำ ทำจากสมุนไพรจริง ๆ ไม่ใช้แบบที่เป็นผงสำเร็จรูปมาชงผสมกับน้ำ และเคี่ยวกับน้ำตาล เพราะเราต้องการรักษาสุขภาพของคนในบ้าน ดังนั้น จึงต้องใส่ใจสุขภาพของคนอื่นด้วย ฉะนั้น น้ำสมุนไพรที่ทำจะไม่มีรสหวานมาก จะมีรสหวานเล็กน้อยเพื่อตัดรสเฝื่อนของสมุนไพรเท่านั้น นอกจากนี้ ออร์เดอร์น้ำสมุนไพรเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังช่วยให้ลูกน้องมีรายได้เพิ่มจากการมารับไปขายที่ทำงานอีกด้วย”  น.อ.หญิง ขวัญแพรว กล่าว

น.อ.หญิง ขวัญแพรว กล่าวต่อไปว่า น้ำสมุนไพรที่ทำอยู่มีหลายชนิด แต่ละชนิดใส่ใบเตยทั้งหมด อาทิ น้ำตะไคร้ใบเตย, น้ำอัญชันใบเตย, น้ำมะตูมใบเตย, ฯลฯ ซึ่ง ใบเตย นี้ นอกจากจะมีกลิ่นหอมชื่นใจแล้ว ยังมีสรรพคุณต่าง ๆ มากมาย อาทิ บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น, ดับกระหายคลายร้อน, ช่วยชูกำลัง ฯลฯ

อุปกรณ์ในการทำน้ำสมุนไพร หลัก ๆ มี เตาแก๊ส, กระทะเทฟล่อน, ทัพพีไม้, หม้อสเตนเลสปลอดสารตะกั่วขนาดต่าง ๆ, ผ้าขาวบาง, ทัพพีขนาดกลาง, กรวยกรอกน้ำ และอุปกรณ์ครัวอื่น ๆ

วิธีทำน้ำสมุนไพร เริ่มที่ น้ำตะไคร้ใบเตย ใช้ตะไคร้สด 6-7 ต้น ตัดใบออก ล้างให้สะอาด แล้วทุบด้านหัวให้พอแตก เตรียมไว้ และเตรียมใบเตย 3-4 ต้น ล้างให้สะอาด แล้วหั่นครึ่ง เตรียมไว้

ต้มน้ำสะอาดในหม้อสเตนเลสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.5 นิ้ว และสูง 9 นิ้ว ต้มจนน้ำเดือดจัด เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วใส่ตะไคร้ และใบเตยลงไป ปิดฝา แต่ยังคงไฟร้อนไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง ต้มทิ้งไว้อีก 15 นาที โดยปิดฝาตลอดเวลา เสร็จแล้ว ค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายใส่ลงไปในปริมาณที่ชิมแล้วออกหวานเล็กน้อย และไม่มีรสเฝื่อน

ขั้นตอนสุดท้าย คือ กรองน้ำสมุนไพรด้วยผ้าขาวบางลงในหม้อสเตนเลส

อีกใบ แล้วพักให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวพอที่จะกรอกในขวดพลาสติกขนาด 200

ซีซี เท่านี้ก็เสร็จแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีเทคนิคของการที่ทำให้น้ำสมุนไพรอยู่ได้นานถึง 7 วัน โดยไม่ต้องใส่สารกันบูด คือระหว่างที่รอให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวนั้น ให้นำหม้อน้ำสมุนไพรนี้ ใส่ลงในกะละมังที่มีน้ำเย็นอยู่ วิธีนี้จะทำให้น้ำสมุนไพรอยู่ได้นานขึ้น

น้ำอัญชันใบเตย เตรียมดอกอัญชัน ประมาณ 1 กำมือ เด็ดขั้วออก และล้างให้สะอาด เตรียมไว้ และเตรียมใบเตย 3-4 ต้น ล้างให้สะอาด แล้วหั่นครึ่ง เตรียมไว้

ต้มน้ำสะอาดในหม้อสเตนเลสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.5 นิ้ว และสูง 9 นิ้ว ต้มจนน้ำเดือดจัด เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วใส่อัญชัน และใบเตยลงไป ปิดฝา แต่ยังคงไฟร้อนไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง ปิดฝาไว้ตลอดเวลา ต้มทิ้งไว้อีก 15 นาที เสร็จแล้วบีบมะนาว และเกลือลงไปเล็กน้อย เพื่อให้สีจากดอกอัญชันออกมามาก ๆ แล้วค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายใส่ลงไป ปริมาณที่ชิมแล้วออกหวานเล็กน้อย และไม่มีรสเฝื่อน

กรองน้ำด้วยผ้าขาวบางใส่น้ำอัญชันลงในหม้อสเตนเลส อีกใบ เท่านี้ก็ใช้ได้ พักให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวพอที่จะกรอกในขวดพลาสติกขนาด 200 ซีซี ได้

น้ำกระเจี๊ยบพุทราจีน นำกระเจี๊ยบแห้ง, พุทราจีนแห้ง อย่างละประมาณ 15-20 ชิ้น ล้างให้สะอาด และเตรียมใบเตย 3-4 ต้น ล้างให้สะอาด แล้วหั่นครึ่ง เตรียมไว้

ต้มน้ำสะอาดในหม้อสเตนเลสขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8.5 นิ้ว และสูง 9 นิ้ว ต้มจนน้ำเดือดจัด เมื่อน้ำเดือดจัดแล้วใส่กระเจี๊ยบแห้ง และพุทราจีนแห้ง และใบเตยลงไป ปิดฝา แต่ยังคงไฟร้อนไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง ต้มทิ้งไว้อีก 15 นาที โดยปิดฝาไว้ตลอดเวลา เสร็จแล้ว ค่อย ๆ เทน้ำตาลทรายใส่ลงไป ในปริมาณที่ชิมแล้วออกหวานเล็กน้อย และไม่มีรสขื่น เท่านี้ก็ใช้ได้

กรองน้ำกระเจี๊ยบพุทราจีนด้วยผ้าขาวบางใส่ลงในหม้อสเตนเลสอีกใบ เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย พักให้น้ำสมุนไพรเย็นตัวพอที่จะกรอกในขวดพลาสติกขนาด 200 ซีซี ได้

โดยน้ำสมุนไพรทั้งหมดนี้จะขายราคาขวดละ 10 บาท

*************

ใครสนใจ “น้ำสมุนไพร” ต้องการติดต่อ น.อ.หญิง ขวัญแพรว เอี่ยมวิจารณ์ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ติดต่อได้ที่ร้านในซอยจรัญสนิทวงศ์ 37 และที่ตลาดน้ำคลองสวน100 ปี (ฝั่ง จ.สมุทร ปราการ) หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1929-6162 นอกจากน้ำสมุนไพร 3 ชนิดดังกล่าวแล้ว ยังมี น้ำมะตูมใบเตย, น้ำลำใย และ น้ำเก๊กฮวย ขายอีกด้วย.

คู่มือลงทุน...น้ำสมุนไพร

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย

รายได้ ราคา 10 บาท/ 1 ขวด

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ชุมชน, ฝากขายตามสถานที่ต่าง ๆ

จุดน่าสนใจ ใช้สรรพคุณทางยาสร้างรายได้

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล/สุรางค์รัตน์ เจนการ : รายงาน

ภมร มานะพรชัย : ภาพ

credit by :http://www.dailynews.co.th/Content/Article/271497/‘น้ำสมุนไพร’+สรรพคุณ...สร้างรายได้

Read More...


ผัดเห็ดหอมฮ่องเต้


เทศกาลถือศีลกินเจจะเริ่มในสัปดาห์หน้านี้แล้ว ถือเป็นช่วงเวลาที่ได้ชำระล้างร่างกายให้สะอาดปีละครั้ง สำหรับปีนี้ตามปฏิทินจีนมีเดือนที่ตรงกับจันทรคติคือเดือน 9 ถึง 2 ครั้ง ในรอบ 182 ปี จะมีเช่นนี้หนหนึ่ง จึงส่งผลให้ปีนี้ มีการถือศีลกินเจถึง 2 รอบด้วยกัน โดยครั้งแรกในช่วงวันที่ 23 ก.ย.-2 ต.ค. และอีกช่วงคือ 23 ต.ค.-1 พ.ย. ส่วนใครจะขอเกาะเกี่ยวใบบุญปฏิบัติตัวไปกับเทศกาลได้แค่ไหน ก็อยู่ที่ความตั้งใจแล้วละค่ะ แต่อย่างไรวันนี้ก็ขอนำเสนอเมนูอาหารเจอีก 1 เมนู ซึ่งทำได้เองง่ายๆ แต่ได้รสชาติของความอร่อย และเชื่อแน่ว่าต้องถูกปากหลายๆคน โดยเฉพาะผู้ที่ชอบทานเห็ด




คุณจู–กาญจนา รัศมิรามา
คุณจู–กาญจนา รัศมิรามา กลับมาเยือนคอลัมน์ “ตั้งสำรับคาวหวาน” อีกครั้ง ด้วยความที่มีฝีมือในการทำอาหาร แม้แต่เห็ดหอมเพียงอย่างเดียว คุณจูก็สามารถปรุงออกมาให้หลายๆคนที่ได้ชิมแล้วติดใจไปตามๆกัน เหมาะเป็นอาหารในช่วงเทศกาลเจเป็นอย่างดี และสามารถปรุงเก็บไว้รับประทานได้ครั้งละหลายๆวันอีกด้วย




พริกชีฟ้าทั้งสีเขียว เหลือง และแดง
เครื่องปรุง : เห็ดหอม / พริกชีฟ้าทั้งสีเขียว เหลือง และแดง / ซีอิ๊วขาวเห็ดหอม / น้ำตาลทราย.....

วิธีทำ
1) นำเห็ดหอมไปแช่น้ำให้นุ่ม โดยแช่ค้างไว้ 1 คืน แล้วนำขึ้นจากน้ำ พร้อมกับบีบน้ำออกให้หมด และซอยแฉลบเป็นเส้นบางๆ
2) ซอยพริกชี้ฟ้าทั้ง 3 สีเป็นเส้นเล็กๆ โดยเอาเม็ดออกให้หมด
3) ตั้งน้ำมันในกระทะจนร้อน จึงใส่เห็ดหอมลงผัด คลุกเคล้าให้ทั่ว
4) ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว และน้ำตาลทราย ให้ออกรสตามชอบ
5) ปิดท้ายด้วยพริกชี้ฟ้าใส่ลงไปผัดให้เข้ากัน สามารถเก็บไว้รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ ก็อร่อยจนข้าวหมดจานโดยไม่รู้ตัว.




 
credit by : http://www.thairath.co.th/content/450861

Read More...


กล้วยทอด เอมเมอรัลด์


กล้วยทอด หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า กล้วยแขก เป็นอีกหนึ่งเมนูจากกล้วยน้ำว้า ที่คนไทยโบร่ำโบราณที่มีฝีมือในการทำอาหารคิดทำขึ้นให้ลูกหลานได้มีอาชีพ สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในทุกวันนี้ และก็ได้ไปเห็นที่ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ ทอดโชว์กันสดๆ จึงได้ไปเลียบเคียงขอสูตรและวิธีทำมาฝากกันในวันนี้

คุณสุดารัตน์ บูชาเธียร ยืนทอดกล้วยแขก รวมทั้งมันและเผือก เพื่อเสิร์ฟลูกค้าที่ห้องอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ได้ทานแบบร้อนๆเป็นประจำ ทั้งมื้อกลางวัน (เปิดบริการเวลา 11.30-14.30 น.) และมื้อค่ำ (เปิดบริการ 18.00-24.00 น.) เฉพาะวันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์เท่านั้น เธอเป็นแม่ครัวประจำโรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ มากว่า 10 ปีแล้ว โดยเติบโตมาจากเด็กก้นครัว มีหน้าที่จัดเตรียมของสดต่างๆ ไว้ให้แม่ครัวปรุง ขณะเดียวกันก็พยายามเก็บเกี่ยววิชาความรู้ด้านอาหารต่างๆ โดยใช้วิธีครูพักลักจำ แล้วไปลองทำเองที่บ้าน โดยอยู่มาตั้งแต่ครัวข้าวต้ม ครัวไทย แต่ด้วยความที่ชอบขนมหวานเป็นพิเศษ จึงได้ประจำการที่ครัวขนมของโรงแรมฯ รวมแล้วกว่า 17 ปี และเพิ่งคว้ารางวัล “พนักงานดีเด่นประจำปี 2557 ของโรงแรมดิ เอมเมอรัลด์” ก็ด้วยความขยันขันแข็ง มานะ อดทน ยิ้มง่าย ร่าเริงของเธอนั่นเอง



“กล้วยทอด” ฝีมือแม่ (ครัว) สุดารัตน์ เป็นที่ถูกปากของทุกคนที่ได้ชิม เพราะมีความกรอบนอกนุ่มใน แม้เย็นแล้วก็ยังกรอบอยู่นาน ใครที่อยากรู้รสชาติคงต้องตามไปชิม หรือสอบถามข้อมูลได้ที่โทร.0-2276-4567 ต่อ 8413
ส่วนผสม : กล้วยน้ำว้า 1 หวี / แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย / น้ำมันพืช 1 ขวดลิตร / เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำตาลทราย 1 ถ้วย / มะพร้าวขูดขาว 2 ถ้วย / งาขาว 1 ถ้วย / น้ำปูนใส 2 ถ้วย .......วิธีทำ 1) นำแป้งข้าวเจ้าผสมกับน้ำตาลทราย มะพร้าวขูดขาว งาขาว เกลือ แล้วคนให้ส่วนผสมเข้ากัน 2) ค่อยๆ เทน้ำปูนใสใส่อย่างเบาๆ ทิ้งไว้สักครู่จึงค่อยคนให้เข้ากัน 3) นำกล้วยน้ำว้าที่ปอกเปลือกแล้ว ฝานเป็นชิ้นตามยาว นำลงชุบในส่วนผสมข้อ 2 ให้ทั่ว แล้วทอดในน้ำมันร้อนๆ จนเป็นสีเหลืองทอง จึงตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ (ถ้าชอบเผือกและมันก็สามารถนำมาแทนกล้วยน้ำว้าได้ โดยหั่นเป็นชิ้นยาว)



เคล็ดลับ - ตอนเทน้ำปูนใสใส่ตอนแรกอย่าคนทันที เพราะจะทำให้น้ำจากมะพร้าวขูดขาวออกมา ซึ่งจะทำให้แป้งเหลวไม่ได้สัดส่วน
- ขณะทอดควรใช้ไฟอ่อนๆ ตอนลงครั้งแรก จากนั้นจึงค่อยเร่งไฟให้แรงปานกลาง จะทำให้กรอบนอกนุ่มใน
- ควรเลือกกล้วยน้ำว้าที่ไม่สุกงอมจนเกินไป.

crdit by :  http://www.thairath.co.th/content/452446

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.