สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

เปิดสูตร "ชาเย็น" 3 ยี่ห้อ พร้อมวิธีการชง..สูตรจัดเต็ม !!

สวัสดีครับ .. หลังจากที่ผมวนเวียน เวียนวน อยู่ห้องก้นครัวนี้มานาน ส่วนใหญ่จะรีวิวร้านอาหารและ
เขียนบล็อค(ร้าง)ทิ้งไว้    ก็มีเพื่อนๆ หลายคนหลังไมค์มาถามสูตรเครื่องดื่มหลายๆ อย่าง
ถามกันมาเรื่อยๆ

วันนี้มีเวลา ก็เลยอยากนำสูตร "ชาเย็น" (ในแบบฉบับของผม) มาแบ่งปันกัน
.. ขอย้ำนะครับว่าแบบฉบับของผม   ซึ่งสูตรนี้ผมเคยทำขายมาแล้ว
และเป็นสูตรที่ผมเคยใช้สอนในหลักสูตรเครื่องดื่ม ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.เชียงใหม่

ซึ่งปกติผมจะใช้ชาตรามือ(สูตรธรรมดา)ถุงสีแดง .. แต่วันนี้ผมลองซื้อถุงสีทอง
และชามาอีก 2 ยี่ห้อ เพื่อเปรียบเทียบรสชาติและความแตกต่าง   ลองมาชมกันเลยครับ


ก่อนอื่นก็เตรียมชากันเลยครับ .. ชอบแบบไหน ยี่ห้อไหน ตามสะดวกครับ

เริ่มจากชาตรามือ(สีทอง)  ขนาด 400 กรัม ถุงละ 85 บาท
โดยรวมแล้ว ชาตรามือจะค่อนข้างกลมกล่อม โดยเฉพาะถุงสีทองจะหอมกว่าถุงสีแดง และรสชาติจะนุ่มละมุนกว่ามีรสเข้ม ฝาดนิดๆ

ส่วนชาชักตราครบรส ขนาด 300 กรัม ราคา 125 บาท
จะมีสีเข้มกว่าเมื่อชงออกมาเป็นน้ำแล้ว  หากชงในสูตรเดียวกัน เมื่อเทียบกับอีก 2 ยี่ห้อ จะได้รสชาติชาจัดๆเข้ม ฝาดชัดเจน  แต่ก็หอม อร่อย ใช้ได้เลยครับ  ถ้าใครชอบชารสจัด แนะนำตัวนี้

ชาระมิงค์ ขนาด 250 กรัม ราคา 60 บาท
สี ชาก็จะออกส้มๆ เป็นปกติ  หากชงเป็นชาเย็น จะรสชาติออกนมๆ นุ่ม และไม่เข้มนัก แทบไม่ได้รสฝาดของชาเลย  หากเทียบกัน 3 ยี่ห้อ ตัวนี้รสชาจะอ่อนสุด เหมาะสำหรับคนชอบกินชาที่รสชาติไม่จัดนัก

หากเพื่อน ๆ รู้คุณสมบัติของแต่ละชนิดแล้ว ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาเลยครับหรือจะเอามาผสมกันก็ไม่ผิด  เหมือนการนำเมล็ดกาแฟแต่ละแบบมาผสมรวมกันนั่นแหละ...อาจจะได้รสชาติที่แตกต่างไปอีก   และยังมีอีกหลายๆ ยี่ห้อครับที่ผมเคยซื้อมาลองแล้วยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ 








ส่วนอุปกรณ์ ก็แบบที่เห็นนี้แหละครับ .. ที่สำคัญควรจะมี "ถุงชงชา"
หากใครไม่มี ห้ามใช้ "ถุงเท้า" เด็ดขาด !!!! 555   อนุญาตให้ใช้ผ้าขาวบางแทนได้ครับ

ส่วนแก้วที่ใช้ชง  จะใช้เป็นถ้วยตวงใสก็จะดีมาก (ของผมแตกไปแล้ว)
จะเป็นแก้วสแตนเลสแบบในรูปก็ได้  หรือจะใช้แก้วกาแฟก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้มีขนาดประมาณ 250-300 ml.

ส่วนกระป๋องใหญ่ๆ สำหรับชงชา ถ้าไม่มี อนุญาตให้ใช้หม้อ หรือภาชนะอื่นๆ ที่มันใหญ่พอแทนได้ครับ
(อะไรก็ใช้ได้หมดครับ.. ถ้าไม่มีก็ประยุกต์เอาได้เล้ยยย) 

 

 ขอบอกไว้ก่อนว่า .. อันนี้เราจะมีการตวงแบบมาตรฐานกันหน่อย
ห้าม เอาไปเปรียบเทียบกับรถเข็นข้างทางเด็ดขาด !!! 55  เดี๋ยวบางคนจะแย้งว่า ทีรถเข็นข้างทางยังไม่เห็นต้องตวงแบบนี้เลย   .. แบบนั้นเค้าใช้ความชำนาญแล้ว ยกให้เค้าไป  อิอิ

เรามาดูเครื่องมือตวงกันดีกว่าครับ
ปกติผมจะใช้ "แก้วชอต" หรือ "แก้วตวง"  ซึ่งมีขนาด 1.5 ออนซ์ หรือเท่ากับ 45 มล.
ฉะนั้นคำว่า  1shot นั่นหมายถึง 1.5 ออนซ์นะครับ  (ผมใช้แก้วกลาง)

ทำไมผมถึงกากบาทเจ้าแก้วชอตตัวแรก  เนื่องจากว่า จากประสบการณ์ที่ผมทำเครื่องดื่มและสอนมาหลายปี
ผมพบความจริงตอนที่ตวงยาให้ลูกชาย (เกี่ยวไรกันเนี่ย) ... ว่าเจ้าแก้วแบบแรกมีปริมาตรที่ไม่มาตรฐาน
ซึ่งหากเราตวง 30 มล. ในแก้วสีแดง มันจะได้เท่ากับ 40-45 มล. ในแก้วสีดำ

และผมก็พิสูจน์โดยการนำไปเทียบกับหลายๆ อุปกรณ์การตวงทั้งถ้วยตวง และจิกเกอร์(รูปขวามือ)
ผลปรากฎว่า ทุกอุปกรณ์เท่ากันหมด  ยกเว้นเจ้าแก้วสีแดงที่ว่า  .. ฉะนั้นตัดมันไป

ส่วนจิกเกอร์(jigger)ขนาดตามในภาพ ด้านใหญ่จะมีความจุ 1 ออนซ์ ด้านเล็ก 0.5 ออนซ์ 

 

 ต่อไปมาเตรียมนมกันบ้าง

นมที่ใช้จะมีนมสดหรือนมจืด .. ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งพาสเจอร์ไรส์ ทั้ง UHT
อาจจะมีความต่างกันที่รสชาติบ้างนิดหน่อย  แต่ไม่ค่อยซีเรียสนัก
เนื่องจากไม่ได้ไปซื้อพาสเจอร์ไรส์ เลยขอยืม UHT ตราวัวแดงของเจ้าลูกชายมาใช้ก่อน  หุหุ..

อีกหนึ่งชนิดที่ขาดไม่ได้คือ "นมข้นจืด" จะใช้ยี่ห้อไหนก็แล้วแต่ใครจะชอบ จะสะดวกซื้อ
วันนี้ขอใช้ตรา falcon เพราะว่าเค้ากำลังมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 (แบบว่างก) 555+
อย่างที่เราทราบ ชาเย็นแบบไทยๆ เรา มันต้องมีความ "มัน" ถึงจะอร่อย  ..ฉะนั้น นมข้นจืด ขาดไม่ได้

และสุดท้าย "นมข้นหวาน" .. หรือ "ครีมเทียมข้นหวาน" สุดแล้วแต่
ใช้สำหรับปรุงแต่งความหวาน ให้มันกลมกล่อม  (ส่วนใครกลัวอ้วน..ก็อด) 


ก่อนอื่น เตรียมผงชาก่อนเลยครับ ..

ขอบอกเลยว่า สูตรนี้เป็นสูตรที่ชงกินเอง .. หรือหากชงขาย ก็ขายแบบคุณภาพ เหมือนกับที่ผมตั้งชื่อกระทู้ว่า
"สูตรจัดเต็ม"  ฉะนั้น อัตราส่วนที่ใช้ จะใช้มากกว่าที่เค้าชงขายกันทั่วไปอย่างแน่นอน
ซึ่งรสชาติก็จะจัด และเข้มข้นกว่า  

ผมเคยใช้สูตรข้างถุงของชาตรามือ  ปรากฎว่า "จืดสนิท" ไม่อร่อยเลย
หรือบางทีตามร้านกาแฟโบราณ ชาโบราณ ร้านรถเข็น เค้าจะใช้ชา 1 ส่วนแช่ไว้ทั้งวัน ตักน้ำร้อนเติมๆๆๆ เอา

*** สูตรก็คือ  ใช้ผงชา 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน ****
หากอยากจะชงขายแล้วประหยัดต้นทุนอีกนิด  อนุโลมให้ใช้น้ำได้ 4 ส่วน (ห้ามเกินนั้น .. ไม่งั้นชาจะไม่เข้มข้น")

วันนี้ ชา 1 ส่วนของผม  จะเท่ากับ 1 แก้วสแตนเลสใบนี้ (ประมาณ 10 ออนซ์)
ชงได้ทั้งหมด 6 แก้ว (สำหรับแก้ว 16 ออนซ์เติมน้ำแข็งแล้ว) 






เมื่อเทน้ำลงไปจนครบตามปริมาณ  .. ก็ถึงขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนนึงครับ
ที่จะทำให้ชานั้นมีรสชาติที่ดี และมีความหอม
ขั้นตอนนี้จะทำให้กลิ่นชาหอมคละคลุ้งทั่วบ้านเลยล่ะครับ

คือ ให้เทน้ำชากลับไปกลับมาระหว่าง 2 กระป๋อง  ประมาณ 3-4 รอบ (เท 1 ครั้งเท่ากับ 1 รอบ)

และมีเทคนิคอยู่นิดนึงครับ  ยิ่งถ้าเราสามารถดึงกระป๋องให้สูงขึ้นมากเท่าไหร่ เพื่อให้น้ำชาได้สัมผัสอากาศมากๆ
(หลักการเดียวกับชาชัก) ก็จะทำให้กลิ่นและรสชาติดีขึ้นครับ

ภาพนี้บังคับภรรยามาเป็นนางแบบ 5555+++

ปล. เวลาเท อย่าเทลงจุดเดียวนะครับ  ให้วนๆๆ ทั่วๆ 


ขั้นตอนอาจจะดูเยอะ .. แต่พอทำจริงๆ ง่ายนิดเดียวครับ
เพียงแต่ใส่ใจในรายละเอียด และเพิ่มเติมเทคนิคเข้าไปนิดหน่อย

อย่างเช่นขั้นตอนนี้ .. เมื่อเราเทกลับไปกลับมาเสร็จเรียบร้อย ก็แช่ชาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีครับ
เพื่อให้รสชาติของชากระจายออกมา เข้มและฝาดได้ที่

เมื่อครบ 5 นาที ให้เอาถุงชาออก .. และนำกากชาทิ้งได้เลย อย่าเสียดาย
แต่ถ้าเสียดาย  เติมน้ำเข้าไปได้อีก 3 ส่วนเท่าเดิม เก็บหางชาส่วนที่ 2 ไว้ทำชาดำเย็น หรือชามะนาวได้ครับ

หมายเหตุ.. อย่าแช่นานเกินไปนะครับ ชาจะเริ่มฝาดจนเฝื่อน


เอาล่ะครับ ... เตรียมปากกาไว้จดสูตรได้เลย

ผมใช้นมข้น 4 ช้อนชา นะครับ (ไม่ต้องใช้ช้อนชาแบบตวงนะครับ..ช้อนกาแฟเรานั่นแหละ)
ถ้าใครไม่ชอบหวานมาก ลดนมข้นลงมาเหลือสัก 3 ช้อนชาได้ ..

ตรงนี้เค้าเรียกว่า "รสมือ" แล้วล่ะครับ เพราะมันสามารถบวก ลบ ได้นิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเป๊ะ
สังเกตปริมาณการตักในรูปนะครับ  จะเกินนิดๆ  ... ตักใส่แก้วได้เลย

เวลาผมสอน ...จะมีหลายคนเกร็งๆ ว่า 4 ช้อนนี่ต้องปาด ต้องพอดีๆ  ขอบอกว่าไม่ขนาดนั้น
มือหนัก มือเบา ตามสะดวกเลยครับ 


 


 

จากนั้น ก็เติมความหวานด้วยน้ำตาลทราย   2 ช้อนชา(ช้อนกาแฟ) ..ตักธรรมดาๆ ไม่ต้องพูนมากนะครับ

เหตุที่ต้องใช้ความหวานจากน้ำตาลทรายควบคู่ไปด้วย เนื่องจาก ความหวานของนมข้นเป็นความหวานแบบนุ่มๆ เลี่ยนๆ
เราต้องเติมความ "หวานแหลม" ของเจ้าน้ำตาลทรายควบคู่กันไป เป็นการตัดรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นครับ

**จะสังเกตได้ว่า ถ้าเราไปซื้อร้านทั่วๆ ไปเค้าจะใช้น้ำตาลทรายเยอะมาก ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ
แล้วใช้นมข้นหวานน้อยหน่อย เพื่อเป็นการลดต้นทุน*** 

 













ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำแข็งสักนิด

เรื่องน้ำแข็งนี่แล้วแต่คนชอบจริงๆ ครับ บางคนชอบน้ำแข็งใหญ่ น้ำแข็งหลอดเล็ก น้ำแข็งป่น น้ำแข็งบด
ส่วนผมปกติชอบใช้น้ำแข็งจากตู้เย็นเลยครับ น้ำแข็งทำเองสะอาดดี และก้อนใหญ่
จะทำให้เครื่องดื่มเย็นพอดีๆ และดูดได้น้ำเยอะๆ

แต่บางคนก็บอกว่า เวลากินชาเย็นต้องใช้น้ำแข็งเล็กๆ  ดูดไปด้วย เคี้ยวน้ำแข็งไปด้วย อร่อยดี ^_^

ซึ่งแก้วที่ผมใช้นี่คือ ขนาด 16 ออนซ์ ใส่พร้อมน้ำแข็งก้อนใหญ่ (cube ice) จะเต็มแก้วพอดี

แต่ถ้าใช้น้ำแข็งหลอดเล็ก หรือน้ำแข็งโม่ น้ำแข็งบด  อัดเต็มๆ แก้ว สามารถใส่ในแก้ว 22 ออนซ์ได้ครับ
ราดนมโรยหน้าไปอีกนิดตามสูตร

ว่าแล้วก็เทใส่แก้วได้เล้ยยยยยยยย 


สรุปสูตรนะครับ

-ชาผง 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน เทกลับไปกลับมา 3-4 รอบ และแช่ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
-นมข้นหวาน 4 ช้อนชา (หากไม่หวานมากใช้ 3 ช้อนชา)
-น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา (หากไม่หวานมากใช้ 1 ช้อนชา)
-นมสด 1 ชอต (หากไม่ชอบมันมาก ให้ใช้นมสด 2 ชอต)
-นมข้นจืด 1 ชอต (หากชอบมันมาก ให้ใช้นมข้นจืด 2 ชอต)

สามารถเพิ่ม/ลด ส่วนผสมความหวาน ความมัน ได้ตามความชอบเลยครับ

หากใช้ปริมาณชาตามที่ผมชงในครั้งนี้ .. จะชงได้ทั้งหมดประมาณ 6 แก้ว
สามารถผสมนม เก็บไว้ได้เลย  แช่ตู้เย็นไว้ได้ประมาณ 3-4 วันครับ

หรือถ้าไม่ชงเก็บไว้ ก็ลดปริมาณน้ำชาลงตามส่วนได้เลยครับ

ใครลองชง ลองชิมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็มาบอกบ้างนะครับ  ถูกใจไม่ถูกใจอย่างไร
หรือใครสงสัยตรงไหนเพิ่มเติม ก็หลังไมค์มาพูดคุย มาถามได้ครับ  ยินดีแบ่งปัน ^_____^

ขอให้อร่อยกับ "ชาเย็น" นะคร้าบบบบบ Cheers !!!!! 


ขอบคุณ จขทก. ที่มาแบ่งสูตรค่ะ
และเรามีสูตรมาแลกเปลี่ยน
ปกติเราชงแต่ชาซีลอน มีซีลอนศรีลังกา กับซีลอนอินโดนีเซีย
มีวิธีการชงต่างกันนิดเดียวคือ ของเราชงในน้ำร้อนเดือด ๆ นาน 5 นาที เพื่อให้ชาส่งกลิ่นหอมออกมาให้เต็มที่
ส่วนนม เราใช้นมเคี่ยว คือนมสด 1 ส่วน นมข้น 1 ส่วน และครีมเทียมอีก 1/2 ส่วน เคี่ยวเข้าด้วยกันบนหม้อที่มีน้ำร้อนรอง
วิธีการนี้จะทำให้กลิ่นนมข้นหวานจางลงเมื่อผสมลงชาเย็นแล้ว กลิ่นหอมของชาจะได้ไม่ลดลงเท่าไหร่

เราเคยทดลองชงเก็บไว้ในตู้เย็นนาน 1 อาทิตย์ก็ไม่เสียค่ะ กลิ่นก็ยังหอมเหมือนเดิมด้วย 


 


Read More...


สูตรชานมเย็นสำหรับร้านกาแฟสด

ชานมเย็นเป็นเครื่องดื่มที่ขายดีมานมนานแล้ว ตั้งแต่ร้านกาแฟโบราณ ร้านกาแฟสด เครื่องดื่มบรรจุขวด ระยะหลังมีการใส่สีใส่กลิ่นหรือใส่รสชาติเพิ่มเติมด้วย เช่น ชานมกลิ่นโกโก้ ชานมรสใบเตย ฯลฯ มีต้นทุนต่ำสามารถสร้างกำไรต่อแก้วได้สูง จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราเห็นร้าน ชานมไข่มุก ที่เน้นขายชาแต่เพิ่มความหลากหลายเข้าไป หรือจะเป็นร้านชาชัก ที่โชว์การชักชาสร้างจุดเด่นให้ร้านได้ แม้จะไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือเปล่า
แม้ชานมเย็นจะขายดีแต่ก็สร้างปัญหาให้ร้านกาแฟสดก็คือ กระบวนการทำชานมเย็นน่ะสิครับ ที่ค่อนข้างยุ่งยาก ต่างจากชงกาแฟสดที่ขั้นตอนสั้นกว่า บทความนี้ผมจะบอกสูตรชานมเย็น วิธีการชงพร้อมกับข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีด้วย

อบใบชานมเย็น

วิธีทำสำเร็จ ชานมเย็น = ใบชา 75 กรัม + ต้มน้ำร้อน 2 ลิตร ต้มน้ำร้อนให้เดือดปุดๆ จากนั้นให้เอาใบชาใส่ลงในหม้อ แนะนำว่าหาซื้อแบบที่บรรจุผ้าขาวบางจะได้ไม่ต้องกรองใบชาออก หลังจากเอาใบชาใส่แล้วให้ปิดไฟและปิดฝาหม้อเพื่อกันกลิ่นชาออก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ระหว่างทิ้งไว้อาจจะกวนๆใบชาหรือจุ่มๆใบชาเพื่อเอาความหอมของชาออก ส่วนสีของใบชาขึ้นอยู่ระยะของการต้ม ถ้าอยากให้สีเข้มๆจัดๆก็ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ถ้าให้สีมันอ่อนๆก็ทิ้งไว้แค่ 15 นาทีก็ได้ ส่วนตัวแล้วอยากให้ทิ้งไว้แค่ 30 นาทีพอ สีชากำลังสวยดีครับ

เมื่อทิ้งไว้ครบ 30 นาทีแล้ว ให้ตักใบชาออกให้หมดหรือกรองใบชาทิ้ง เราก็จะชาดำเย็นจำนวน 2 ลิตร จากนั้นให้ใส่น้ำตาลทรายขาว 2 ขีด กวนให้น้ำตาลทรายละลาย จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นจนอุณหภูมิปกติ หรือถ้าใจร้อนก็หาน้ำแข็งมาโป๊ะรอบๆหม้อจะได้เย็นไวๆ ใส่นมข้นหวาน 1 กระป๋อง (388 กรัม) และนมข้นจืด 1 กระป๋อง เป็นอันเสร็จ หลังจากนั้นให้หาภาชนะบรรจุชานมเย็นที่สะอาด ล้างด้วยน้ำยาล้างจานและลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ถ้าภาชนะที่เก็บสะอาดจะสามารถเก็บได้ถึง 7 วัน

ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราจะได้ชานมเย็นที่มีมาตรฐานทุกแก้ว เพราะสูตรกำหนดตายตัวอยู่แล้ว เวลาลูกค้าสั่งก็เทให้ลูกค้าได้เลย สะดวกและเร็ว ยิ่งเราแช่ชานมเย็นไว้ที่เย็นมากๆแล้วเทใส่แก้วเต็มน้ำแข็ง ยิ่งจะทำให้ชาโคตรหอมอร่อย  แต่ข้อเสียสำคัญก็คือ เวลาลูกค้าสั่งชานมเย็น แล้วเราเอาที่ชงสำเร็จแล้วมาให้ลูกค้า ลูกค้าจะรู้สึกว่าไม่ใช่ของดี เพราะร้านกาแฟสดควรจะชานมเย็นสดๆด้วย ฉะนั้นคุณค่าของชานมเย็นในสายตาคนซื้อจะลดลง ข้อเสียอีกอย่างคือ ชานมเย็นจะมีโอกาสเสียสูงมากถ้าภาชนะที่เก็บไม่สะอาดและไม่ได้เก็บในที่เย็น  นอกจากนั้นหากลูกค้าสั่งชานมเย็นหวานน้อยจะไม่สามารถทำให้หวานน้อยได้เพราะ ปรุงสำเร็จไปแล้ว

ทำชานมเย็นเสร็จครึ่งเดียว

อีกวิธีหนึ่งที่ร้านกาแฟสดนิยมใช้กันคือ ทำชาดำเย็นให้เสร็จ โดยไม่ใส่น้ำตาลทราย เสร็จแล้วกรองใส่ขวดเก็บไว้ในที่เย็น พอลูกค้าสั่งชานมเย็น เราก็เอาชาดำเย็นมาเทใส่แก้วประมาณ 5 ออนซ์ ใส่นมข้นผสม 3 ปั้ม ใส่น้ำเชื่อม 1 ปั้ม ก็จะได้ชานมเย็นปริมาณ 7 oz แล้วค่อยใส่น้ำแข็งเต็มแก้ว บางร้านที่อยากให้ดูมีคุณค่าหน่อยก็ใส่ส่วนผสมทั้งหมดในกระบอกเช็ค ใส่น้ำแข็งลงไปเล็กน้อยแล้วเขย่าๆๆ ก็จะได้ชานมเย็นที่ดูดีในสายตาของลูกค้าเพิ่มขึ้นและยังเพิ่มความหวานได้ตาม ที่ลูกค้าต้องการอีกด้วย ข้อเสียคืออาจจะเสียเวลาในการทำเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ใส่ใบชากับเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่

นอกจากการใช้วิธีต้มใบชาแล้ว อาจจะใช้วิธีใส่ใบชาลงก้านอัดกับเครื่องชงเอสเพรซโซ่ก็ได้ แต่วิธีนี้ไม่แนะนำเพราะจะทำให้กลิ่นใบชาติดอยู่ที่หัวกรุ๊ปของเครื่อง พอมาชงกาแฟกลิ่นก็ปนเปหมด บางร้านอาจจะเพิ่มเครื่องชงเอสเพรซโซ่แบบถูกๆไว้สำหรับชงชาอย่างเดียว วิธีทำก็คือเอาใบชาใส่ก้านอัดให้เต็มจากกนั้นกลั่นชาออกมาประมาณ 4-5 ออนซ์ ใส่นมข้นผสม 3 ปั้ม ใส่น้ำเชื่อม 1 ปั้ม ก็จะได้ชานมเย็นปริมาณ 7 oz ข้อดีของวิธีนี้คือ เป็นชานมเย็นที่มีคุณค่าในสายตาลูกค้า เพราะชงสดให้เห็นต่อหน้า ข้อเสียคือ ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อเครื่องชงแยกเว้นแต่กลั้นใจใช้หัวชงเดียวกันกับ ชงเอสเพรซโซ่ และการกลั่นใบชาจากเครื่องชงจะไม่ได้กลิ่นหอมและสีชาเท่ากับการต้มใบชา ชาที่ได้จากการกลั่นจะร้อนมาก เมื่อผสมนมข้นหวานใส่น้ำแข็งจะทำให้น้ำแข็งละลายและจืดในท้ายที่สุด

ต้มใบชาแบบกาแฟโบราณ

วิธีสุดท้ายของการต้มชาคือ ถ้าร้านกาแฟพอมีพื้นที่ให้ตั้งเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊สไว้ ใช้วิธีการต้มชาแบบร้านกาแฟโบราณ คือต้มชาเสร็จแล้วอุ่นไว้ตลอดด้วยไฟเบาที่สุด พอลูกค้าสั่งแล้วค่อยตักน้ำชาออกมาใช้ ประมาณ 4-5 ออนซ์ ใส่ใส่นมข้นผสม 3 ปั้ม ใส่น้ำเชื่อม 1 ปั้ม ก็จะได้ชานมเย็นปริมาณ 7 oz ข้อควรระวังคืออย่าใช้ใบชาซ้ำกับน้ำต้มใหม่ เพราะสีกับกลิ่นจางไปหมดแล้ว พอใช้น้ำชาดำเย็นหมดแล้วก็ทิ้งใบชาไปเลย เอาใบชาใหม่มาใช้แทน

ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

สุดท้าย ไม่ว่าจะชงชาด้วยวิธีใดก็ตาม ชานมเย็นสำหรับร้านกาแฟสด ควรจะใช้ใบชาชงทีเดียวแล้วทิ้ง อย่าเอามาใช้ซ้ำเหมือนร้านกาแฟโบราณ ร้านกาแฟโบราณจะใช้ใบชาต้มซ้ำๆกันเพื่อให้สีออกแต่กลิ่นมักจะไม่หอมแล้ว และร้านกาแฟสดที่ขายชานมเย็น ควรจะใส่แต่นมข้นหวานไม่ควรใช้น้ำตาลทราย  ที่สำคัญอย่าทะลึ่งซื้อชานมเย็นแบบผงมา แบบนั้นลูกค้าซื้อกินที่ 7/11 ก็ได้ครับ
น้ำตาลทรายควรใช้ทรายขาว ไม่ควรใช้น้ำตาลทรายแดงเพราะกลิ่นน้ำตาลทรายแดงจะกลบกลิ่นชา นมข้นหวานและนมข้นจืดแนะนำยี่ห้อคาร์เนชั่น ส่วนตัวแล้วเคยใช้ยี่ห้ออื่นแล้วรู้สึกว่าความกลมกล่อมสู้คาร์เนชั่นไม่ได้ น้ำแข็งควรใช้น้ำแข็งก้อนสีเหลี่ยมใหญ่ หรือก้อนเล็กกลม ไม่ควรใช้น้ำแข็งบด  สุดท้าย พยายามชงชานมเย็นให้ต่างจากร้านกาแฟโบราณให้ได้ หากไม่มีความต่างแล้วลูกค้าคงหันไปกินชานมเย็นจากร้านกาแฟโบราณครับ

credit by :  http://coffeeindy.com/ชา/สูตรชานมเย็นสำหรับร้านกาแฟสด/#.VPbaFOElf0w

Read More...


วิธีชง"กาแฟเย็น"ชั้นครู


ผมขอมาแนะนำวิธีชงกาแฟเย็นเวียดนาม ให้อร่อยชั้นครูดังนี้ครับ
สิ่งที่ตัองเตรียม

1. น้ำเดือด อันนี้ย้ำเลยนะครับ คือต้องเดือด ในตำราบอกว่า95C ช่างมันครับ ใครจะไปมีกาน้ำร้อนแบบตั้งอุณหภูมิ กันทุกคน. เอาว่า เดือดๆนิแหละครับ

2. กาแฟเวียดนาม เกรดดีๆ อันนี้ไม่ได้เชียร์ของคุณลุงนะครับ. เพราะกาแฟเวียดนามมีหลายเกรดมาก ขนาดแบรนด์ ดังๆ ยังไม่อร่อยไม่หอมก็มีเยอะ ส่วนกาแฟคุณลุง เป็นกาแฟที่ชาวสวนกาแฟเป็นคนแนะนำ ดังนั้นจึงหอมและเข้าข้นเป็นพิเศษ

3. น้ำแข็ง กาแฟเย็นแบบไทยๆ เราจะใชัน้ำแข็งบด ซึ่งอร่อยมากๆๆ เพราะอะไรทราบไหมครับ. เพราะกาแฟไทยดื่มกันที่ปริมาณ มาก บางร้านใช้ถุงขนาด2ลิตร ใส่กันเลย (แต่เมื่อก่อนผมก็ชอบนะ หวานๆมันๆ^^) ปริมาณกาแฟเยอะ และน้ำแข็งก็เยอะ เวลาเราดื่ม เราดูดกันเร็วมากๆ จนหมดแลัวน้ำแข็งบดยังเหลือเต็มถุงเลย.

กาแฟเวียดนาม จะดื่มให้อร่อย จำเป็นตัองใช้น้ำแข็งหลอดเล็ก แต่อนุโลมให้ใช้ น้ำแข็งก้อนในตู้เย็นได้ น้ำแข็งจะไม่ละลายเร็ว

4. นมข้นหวาน อันนี้ ถือว่าสำคัญไม่มากเพราะแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่จะทำให้กาแฟเย็น อร่อยดั่งใจ



ส่วนวิธีชง ผมขอ เล่าสู่กันฟังแล้วกันนะครับ
1. ผมใช้ช้อนกินข้าว นิแหละครับ ง่ายดี โดยเราตักที่ละครึ่งช้อนพูนนิดๆ ใส่ลงในฟินไป2ช้อน

2. กดให้กาแฟเรียบๆ โดยใช้แผ่นฟิน ( สำหรับ เพื่อนที่เพิ่งเข้า เพจมา ฟินคือ ถ้วยชงกาแฟซึ่งประกอบด้วย4ส่วน คือ ตัวถ้วย ฝาปิด แผ่นกรอง และตัวจานรองฟิน) จากนั้นตักช้อนที่3 ลงไปทับตัวแผ่นฟิน

3.ใส่นมข้นหวานลงไปในแก้ว ตามขนาดที่เราชอบ แต่ ให้ใส่เยอะกว่านิดนึง เผื่อไว้เวลาน้ำแข็งละลาย รสชาติจะได้ไม่เสีย

4. นำฟิน ไปวางไว้บนแก้ว แล้วเทน้ำเดือด ลงไป ครึ่งฟิน รอประมาณ 8วิ(จับเวลามาแล้ว ^^) น้ำจะซึมเข้าตัวกาแฟ เพื่อให้จับตัวกันผงจะได้ตกลงแก้วน้อยที่สุด จากนั้นเติมน้ำเดือดลงไปให้เติม ปิดฝา แล้วไป ดูว่าขนมปังหรือ ของกินเล่นอยู่ไหน ^^. เสร็จแล้วค่อยเดินกลับมา (ปกติ จะใช้เวลาในการรอกาแฟหยดหมดประมาณ 2-3นาที)

5. ใส่น้ำแข็งไป2ก้อนแล้วคนๆๆๆ เพื่อลดความร้อนลง แล้วค่อยใส่น้ำแข็งไปให้เต็มแก้ว อย่าได้ งก

6. ค่อยๆจิบกาแฟ เหมือนการดื่มไวน์ แล้วเพื่อนๆจะรู้ว่า ความสุขนั้นหาได้อยู่ไกลไม่ ( เน้นว่า คำแรกๆให้ค่อยๆจิบนะครับ จิบไป3-4คำ กลิ่นมันจะขึ้นไปติดจมูก แล้ว ค่อยๆดื่มช้าๆ )

ปล. สำหรับเพื่อนที่ยังสลัดความหวานมันแบบไทยๆเราไม่ได้ แนะนำว่าซื้อนมข้นจืด มาด้วยใส่ลงไปเยอะๆ แบบรูปสุดท้าย จะหวานมัน มากๆ แต่กลิ่นหอมกาแฟก็จะลดลงไปด้วย

วันนี้เขียนยาวมาก ไม่รู้จะมีคนอ่านไหม ยังไงก็ขอบคุณนะครับ


credit by : https://www.facebook.com/KhunlungCoffeeVietnam/posts/671769786221955

Read More...


เคล็ดลับน่ารู้ สูตรลับการชงกาแฟผงให้หอมอร่อยกว่าเดิม


เชื่อหรือไม่ว่า กาแฟสำเร็จรูป หรือ กาแฟผงธรรมดา หากเราชงอย่างถูกวิธี จะเพิ่มความหอมอร่อยได้อย่างมาก โดยวิธีที่ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษ และไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญใด ๆ เลย มาดูวิธีชงกาแฟให้อร่อย ๆ กันเลย

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. กาแฟผงสำเร็จรูป 1 ช้อนชา

2. น้ำเย็นปกติ 1-2 ช้อนชา

3. น้ำร้อน 1 ถ้วย ( 250 มิลลิลิตร )

ขั้นตอนการชง

1. ผสมกาแฟผง และน้ำเย็นเข้าด้วยกัน แล้วคนจนละลายเข้ากันดี

2. เติมน้ำร้อนลงไปชกตามปกติ จะเติมน้ำตาล หรือนม ก็ได้ตามสูตรที่เราชอบใจ

3. ลองชิมดู จะรู้สึกว่า กาแฟจะหอมอร่อย กว่าการชงจากน้ำร้อนโดยตรง

เหตุผล

การ ชงกาแฟโดยการเติมน้ำร้อนลงผงกาแฟโดยตรงนั้น เมื่อกาแฟถูกน้ำร้อนแบบทันที จะทำให้ส่วนประกอบบางอย่างในผงกาแฟเกิดการแข็งตัวขึ้น ทำให้กาแฟเกิดรสชาติเฝื่อนแบบผงแป้ง แต่เมื่อเรานำผงกาแฟไปละลายกับน้ำเย็นก่อน กาแฟจะค่อยๆละลาย และปล่อยกลิ่นอโรมาของกาแฟออกมา

เดอะป้า


แถมให้อีกสูตร ลองเติมเกลือเล็กน้อยซักหยิบมือ ลงในการแฟร้อน ก็จะช่วยเพิ่มรสชาติให้กาแฟกลมกล่อมขึ้น


credit by : http://www.lokehoon.com/topic.php?q_id=430

Read More...


‘พล่ากุ้งอโวคาโดน้ำพริกเผา’ เย้ายั่วลิ้น


ชีวิตที่ผ่านมาของ “แซนดร้า-จันทรา สเต็ปเป้” ทายาทคนโตของเชฟดังอย่าง นูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ เจ้าของร้านอาหารบลูเอเลเฟ่นท์ จึงไม่คิดฝันอยากจะเป็นเชฟหรือกระเหี้ยนกระหือรือสืบทอดฝีมือ นอก จาก “ชิม” และ “ติชม” เมนูอาหารใหม่ ๆ

เพราะได้รับการเลี้ยงดูแบบ “คุณหนู” มีทั้งคุณย่า คุณแม่ หรือแม้กระทั่งแม่บ้านฝีมือดีทำอาหารให้กินอยู่แล้ว ดังนั้นชีวิตที่ผ่านมาของ “แซนดร้า-จันทรา สเต็ปเป้” ทายาทคนโตของเชฟดังอย่าง นูรอ โซ๊ะมณี สเต็ปเป้ เจ้าของร้านอาหารบลูเอเลเฟ่นท์ จึงไม่คิดฝันอยากจะเป็นเชฟหรือกระเหี้ยนกระหือรือสืบทอดฝีมือ นอก จาก “ชิม” และ “ติชม” เมนูอาหารใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่แค่จานธรรมดา แต่เป็นอาหารหรูหราอย่างไฟน์ ไดน์นิ่ง

“ครอบครัวเราไม่ค่อยเหมือนใคร จำความได้ตั้งแต่ 5-7 ขวบ คุณพ่อก็พาแซนดร้าและน้องชายไปที่ร้านอาหาร ระหว่างอิ่มเอมกับอาหารตรงหน้าคุณพ่อคอยอธิบายว่าอร่อยไม่อร่อย หรือมีส่วนผสมอย่างไร ครอบครัวนักชิมของเราจึงกินเก่งทั้งอาหารไทย อิตาเลียน และญี่ปุ่น ผิดกับวัยเด็กของเพื่อนต่างชาติบางคนที่กินอาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ดส์บ่อย แต่ครอบครัวของเรายกเว้น” ทายาทเชฟคนดังกล่าว

กระทั่งชีวิตเจอจุดเปลี่ยน ต้องไปทำงานประจำสถานทูตเบลเยียมประจำประเทศอินเดีย “ตอนนั้นแซนดร้าคิดถึงอาหารไทยมาก เพราะกินอาหารอินเดียทุกวันก็เบื่อ ลองซื้อสมุนไพรไทยมายำกินเล่น และโทรฯ ปรึกษาแม่ว่ามีกรรมวิธีทำอย่างไรบ้าง ครั้งนั้นยังทำให้เพื่อน ๆ ได้กิน ซึ่งทุกคนดีใจมากที่ได้กินอาหารไทย ต่างชื่นชอบในฝีมือของแซนดร้าขอร้องให้ทำบ่อย ๆ จุดนี้ก็ทำให้ตัวเรามั่นใจยิ่งขึ้น เพราะผู้หญิงที่บ้านทุกคนทั้งคุณย่าคุณยายและคุณแม่ทำอาหารอร่อยมาก” ลูกไม้ไกลต้นกล่าว

แต่ละคนจะมีฝีมือไม่เหมือนกัน คุณย่าเก่งทำอาหารสไตล์ยุโรป ส่วนคุณยายเก่งด้านอาหารไทย สำหรับคุณแม่นั้นไม่ต้องพูดถึงทำได้สารพัดอย่าง คุณแซนดร้าจึงมีดิ ไอดอล หลายคน สำหรับตัวเธอเริ่มจับมืองานด้านนี้จริงจังเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น เชฟ แอนด์ ไดเร็กเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รีเลชั่นส์ ประจำร้านบลูเอเลเฟ่นท์ โดยเป็นมือขวาช่วยคุณแม่สืบทอดกิจการ และช่วยสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ มานำเสนอ

เมนูนำเสนอวันนี้ “พล่ากุ้งอโวคาโดน้ำพริกเผา” เป็นเมนูที่แม่ลูกช่วยกันคิด คุณแซนดร้าเล่าว่าเธอชอบกินอโวคาโดมาก นอกจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้วสรรพคุณอีกอย่างหนึ่งก็คือช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่องยิ่งขึ้น ซึ่งเมนูที่มีอโวคาโดเป็นส่วนผสมนั้นทำบ่อยครั้ง เพราะเพื่อน ๆ มักร้องขอและเมนูนี้ก็ใช้สมุนไพรเยอะ “อาหารไทยเป็นอาหารที่ง่ายและยากในเวลาเดียวกัน ยากเพราะเราต้องเข้าใจเทคนิค วิธีทำแกง ผัด ยำ ไม่เหมือนกัน ต้องรู้จักใช้สรรพคุณของสมุนไพรไทย ส่วนเรื่องง่ายก็คือทำไม่ยุ่งยาก สำหรับอาหารไทยแค่คนกินมีความสุขก็พอแล้ว” แซนดร้ากล่าว

ส่วนผสมประกอบด้วย กุ้งแม่น้ำ  2 ตัว, อโวคาโด 2 ลูก เครื่องโขลก มีกระเทียม 2 กลีบ, พริกขี้หนูสวน 5 เม็ด สมุนไพรและผักต่าง ๆ ดังนี้ หอมแดงซอย 2 ลูก, ใบมะกรูดซอย 1 ใบ, ผักชีใบเลื่อยหั่น 3 ใบ, ตะไคร้ซอย 1 ต้น, ใบสะระแหน่ 10 ใบ เครื่องปรุงรส น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำผึ้ง  1/2  ช้อนโต๊ะ, น้ำมะขาม 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำพริกเผา 1 ช้อนชา, หัวกะทิ 1/2 ช้อนโต๊ะ ผักสำหรับตกแต่ง ใช้ใบผักชีและหัวกะทิ

ขั้นตอนการทำ ย่างกุ้งแม่น้ำ แล้ววางใส่จานที่จะนำไปเสิร์ฟ ตำกระเทียมและพริกขี้หนูสวนพักไว้ ผสมเครื่องปรุงทั้งหมดกับเครื่องโขลกเข้าด้วยกัน ใส่หอมแดง ตะไคร้ ใบมะกรูด ผักชีใบเลื่อย และอโวคาโด ค่อย ๆ คนให้เข้ากัน ใส่ใบสะระแหน่ แล้วนำไปราดบนตัวกุ้ง ตกแต่งด้วยใบผักชี และราดด้วยกะทิ เทคนิคของเมนูนี้ คุณแซนดร้าบอกว่าอยู่ที่วัตถุดิบ นอกจากใช้วัตถุดิบสดใหม่แล้วต้องปรุงใหม่สด ๆ และกินเลย อารมณ์จี๊ดจ๊าดประมาณ “กินแล้วตื่น” เรียกความสดชื่นเป็นจานแรกที่เหมาะเรียกน้ำย่อย.

'ช้องมาศ'

credit by  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/302514/‘พล่ากุ้งอโวคาโดน้ำพริกเผา’+เย้ายั่วลิ้น

Read More...


มัดใจคนรักด้วย ‘ข้าวหน้าเนื้อกิวด้ง’


“ถ้าไม่ถนัดก็เริ่มจากสิ่งที่ชอบก่อน” จิ๊บ-อชิรญา วรวงศ์วสุ ผู้บริหารสาวแห่งกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ผู้ผลิตเจียระไนเพชรพลอยที่มีความสวยงามติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก
วันเสาร์ 7 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 09:30 น.

“ถ้าไม่ถนัดก็เริ่มจากสิ่งที่ชอบก่อน” จิ๊บ-อชิรญา วรวงศ์วสุ ผู้บริหารสาวแห่งกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ ผู้ผลิตเจียระไนเพชรพลอยที่มีความสวยงามติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก เผยถึงที่มาของการลองควงตะหลิวโชว์ฝีมือทำอาหาร ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาคุณจิ๊บมักออกตัวว่าไม่ถนัดเท่าขายเพชรจริง ๆ หลังจากเวิร์กกิ้งวูแมนคนนี้มักฝากปากท้องไว้กับแม่บ้านคนเก่งมาโดยตลอด แต่พอแม่บ้านลาออกบวกกับใส่ใจสุขภาพไม่อยากเป็น “แม่บ้านถุง” ซื้อกับข้าวสำเร็จทุกมื้อ จึงค่อย ๆ เรียนรู้โดยตั้งต้นจากเมนูง่าย ๆ ที่ตัวเองและสามี ก้อง-สุรเชษฐ วรวงศ์วสุ ชื่นชอบ

“เพื่อนของจิ๊บแนะนำว่าถ้าอยากทำอะไรให้ลองดูในยูทูบเพราะเดี๋ยวนี้มีหมด ไม่ว่าจะสูตรอาหาร เคล็ดลับต่าง ๆ ตอนแรกจิ๊บจะไปเรียนแต่ก็ไม่อยากจริงจังขนาดนั้น แค่อยากทำอาหารที่ง่าย ทำกินที่บ้านได้ทุกวัน หลังจากนั้นอยากทำอะไรก็ลองเข้าไปดู รู้สึกสนุกสนานและไม่ยากเท่าที่คิด ช่วงแรก ๆ ทำแล้วบางวันก็อร่อย บางวันก็ไม่อร่อยนะคะ จิ๊บใช้การกะปริมาณต่าง ๆ แทนการชั่งตวงที่เป๊ะ!!! ทำไปชิมไปบ้าง จนเข้าที่ตอนนี้ทุกคนในบ้านก็ชมว่ารสชาติใช้ได้แล้วนะ” คุณจิ๊บเล่าอย่างอารมณ์ดี

เมนูต่าง ๆ จึงยกขบวนมาขึ้นโต๊ะเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์, ผัดผัก, ปลาซอสเปรี้ยวหวาน, ปลาทอดราดซีอิ๊ว ซึ่งระยะหลังนิยมทำเมนูอาหารจากปลาเนื่องจากหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ส่วนเมนูเอาใจคนรัก คุณจิ๊บเล่าว่า “คุณก้องกินรสไม่จัด ดังนั้นจึงชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นเป็นพิเศษอย่างเทมปุระหรือหมี่เย็นเป็นต้น”

แต่เมนูวันนี้ ต้องเล่าก่อนว่าแค่ลองทำครั้งแรก ก็ได้รับคำชมจากหวานใจว่า “อร่อย” พลอยทำให้คุณจิ๊บใจชื้นมั่นใจที่จะทำให้คนอื่นชิมด้วยความมั่นใจ ซึ่งเป็น “ข้าวหน้าเนื้อกิวด้ง” นั่นเอง สำหรับสูตรนี้แม่ครัวป้ายแดงเล่าว่าลองหาจากหลายๆ เว็บไซต์ เพราะมีวิธีทำแตกต่างกัน ส่วนตัวลองปรับหยิบสูตรนั่นผสมสูตรนี้ให้ถูกปากนั่นเอง

วัตถุดิบและส่วนผสมของข้าวหน้าเนื้อกิวด้งสำหรับ 2 ที่ ประกอบด้วย เนื้อสไลซ์บางเฉียบ 200 กรัม สามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูตามชอบได้, หอมหัวใหญ่ 1 ลูก, สาเก 1 ช้อนโต๊ะ, มิริน 1 ช้อนโต๊ะ, ซอสโชยุ 2 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำสต๊อกปลา, ไข่ 1 ฟอง, เนยเล็กน้อย รวมทั้งขิงและหอมซอยตามชอบ

วิธีทำ ลงมือขั้นตอนแรกด้วยการทำน้ำสต๊อกปลา คุณจิ๊บเลือกใช้ผงดาชิ หรือ “ผงปลาแห้ง” สัดส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำครึ่งถ้วยแล้วต้มให้ร้อน จากนั้นให้นำหัวหอมใหญ่ลงผัดกับเนยจนสุก ความหวานจากหัวหอมจะเพิ่มรสกลมกล่อมยิ่งขึ้นเมื่อเติมน้ำสต๊อกปลาลงไปแล้วเคี่ยว ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที พอได้ที่ปรุงรสด้วยสาเก, มิริน, ซอสโชยุ และน้ำตาล รอจนส่วนผสมเข้ากันแล้วคีบเนื้อสไลซ์ลวกลงในน้ำซอส เป็นเคล็ดลับส่วนตัวที่คุณจิ๊บชอบทำ เพราะเวลาน้ำซอสจะเข้าเนื้อ หรือบางคนอาจจะลวกเนื้อต่างหากก็ได้ ค่อย ๆ ลวกเนื้อทีละชิ้นโปะลงบนข้าวสวยร้อน ๆ โรยขิงและต้นหอมซอย นอกจากนี้เพิ่มความอร่อยให้ครบรสด้วยการต้มไข่ออนเซ็น เพียงต้มไข่ในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที แล้วตอกลงบนกิวด้งตัวไข่ขาวจะเป็นวุ้นส่วนไข่แดงจะเยิ้มดูน่ากิน ยิ่งคลุกเคล้ากินกับกิวด้งเพิ่มรสละมุนลิ้นแบบเข้ากันอย่างแรง.

ช้องมาศ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/299222/มัดใจคนรักด้วย+‘ข้าวหน้าเนื้อกิวด้ง’

Read More...


หวานประกบเย็น เมนูชื่นใจที่ลงตัว


ตัวคุกกี้อยากให้เป็นแบบซอฟต์ตักใส่ถาดเป็นลูกกลม ๆ ไม่ต้องแบะให้บางเหมือนแบบกรอบ แต่ถ้าใครขี้เกียจทำจริง ๆ สามารถมาลิ้มลองที่ร้านได้ด้วยตัวเอง

เมื่อให้โจทย์ ปุ๊ย-วรัสพร จรูญโรจน์ เจ้าของร้านไอศกรีมทรอปิคอล มังกี้ เลือกเมนูโปรดมานำเสนอสักหนึ่งเมนู โดยมีข้อแม้ถ้าคนอ่านอ่านแล้วตงิดอยากทำ ก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ หลังจากถึงวันนัดส่งการบ้าน วันนี้จึงได้เมนูของหวานเย็นลิ้นอย่าง “ชาร์โคล คุกกี้ ราสพ์เบอรี่ เชอเบท แซนด์วิช” มาตั้งโต๊ะ ซึ่งน่าจะถูกอกถูกใจคนชอบความหวานโดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชื่นชอบไอศกรีมเป็นพิเศษ

ระหว่างตระเตรียมวัตถุดิบ คุณปุ๊ยเล่าที่มาของร้าน “ลิงสีเหลือง” ที่ออกมาโลดโผนให้ฟังว่า เพราะนิสัยชอบกินจึงหุ้นกับรุ่นน้องคนสนิทเปิดร้านไอศกรีมขึ้น ประเดิมแห่งแรกที่เรนฮิลล์ ปากซอยสุขุมวิท 47 แต่หลังจากหมดสัญญาเช่าจึงย้ายมามอบความสดชื่นให้ลูกค้าที่ชั้น 4 ศูนย์การค้าเอ็มบาสซีแทน หลังจากเรียนจบด้านอาหารที่ประเทศออสเตรเลีย ระยะแรกที่กลับมาเมืองไทยเลือกทำงานให้กับสายการบินไทย ดูแลเรื่องอาหารของสายการบินต่างประเทศที่ติดต่อซื้ออาหารของครัวการบิน แต่เพราะอิ่มตัวและชอบหยิบจับเครื่องปรุงมากกว่าเอกสาร สาวหวานร่างเล็กตัดสินใจลาออก ตามล่าความฝันเล็ก ๆ เปิดร้านไอศกรีมของตัวเอง โดยชูความโดดเด่นของเนื้อสัมผัสที่ละเอียดนุ่มเหนียวหนึบและมีรสชาติหลากหลาย สามารถสั่งได้ไม่ซ้ำรสถึง 36 ชนิด

“สมัยเราวัยรุ่น จู่ ๆ จะลุกมาทำร้านเองยังไม่เป็นที่แพร่หลายดังเช่นทุกวันนี้ที่สามารถเป็นเจ้าของร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ได้ เพราะมีผู้ปกครองสนับสนุน ผิดกับยุคเราที่ผู้ใหญ่มองว่าเสี่ยง อยากให้ทำงานกับองค์กรใหญ่เน้นความมั่นคงเป็นหลัก เมื่ออิ่มตัวจริง ๆ จึงชวนรุ่นน้องซึ่งมีนิสัยชอบกินไอศกรีมเหมือนกันมาเปิดร้าน โดยตัวเองรับหน้าที่ดูแลเรื่องเมนูและปล่อยให้น้องจัดการงานออกแบบภาย ในร้าน” คุณปุ๊ยเล่า

สำหรับความพิเศษของเมนูวันนี้อยู่ที่การนำ “ชาร์โคล” มาเป็นตัวชูโรง หลังจากที่ไอศกรีมรสชาร์โคลติดอันดับรสชาติขายดีของทางร้าน คุณปุ๊ยเผยว่า “คุกกี้ตัวนี้จะมีสีดำเพราะใส่ชาร์โคลหรือผงถ่านไม้ไผ่จากญี่ปุ่น ซึ่งวัตถุดิบตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย ผ่านกรรมวิธีการอบแล้วทำเป็นผง สามารถสั่งซื้อตามเว็บไซต์ได้ แต่ถ้าใครหายากก็ไม่ต้องกังวล เพราะลำพังสูตรคุกกี้ที่เผยเคล็ดลับวันนี้รับประกันว่าเป็นสูตรที่อร่อยลงตัวอยู่แล้ว”

วันนี้แบ่งวัตถุดิบเป็น 2 ส่วน ราสพ์เบอรี่เชอเบท ประกอบด้วย ราสพ์เบอรี่แช่แข็ง 300 กรัม, น้ำตาล 100 กรัม, น้ำ 250 กรัม, น้ำมะนาวปรุงรสตามชอบ วิธีทำ ผสมน้ำและน้ำตาลลงในหม้อ ตั้งไฟคนส่วนผสมจนน้ำตาลละลาย ค่อยใส่ราสพ์เบอรี่คนให้เข้ากัน ตั้งไฟไว้สักพักจนเดือด ยกลงจากเตารอส่วนผสมเย็นและเซตตัว ปรุงรสด้วยมะนาวแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด เทใส่กล่องที่มีฝาปิดแช่เย็น แล้วค่อยมาปั่นในเครื่องทำไอศกรีม ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละเครื่อง ถ้าไม่มีเครื่องทำไอศกรีมลองเอาส่วนผสมใส่กล่องที่มีฝาปิดไปแช่แข็ง จากนั้นปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด แล้วตักใส่กล่องแช่แข็งสักพัก

ส่วนผสมของ คุกกี้ ประกอบด้วย แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย, เบกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา, ผงถ่าน 1 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 1/4 ช้อนชา, น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย, น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วย, เนย 120 กรัม, ไข่ 1 ฟอง, ช็อกโกแลตสับหรือเม็ด 1 ถ้วย, กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำ ร่อนแป้งอเนกประสงค์และเบกิ้งโซดารวมกัน ตีเนยให้ฟูจนสีอ่อนลง ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดง ตามด้วยไข่และกลิ่นวานิลลา แบ่งแป้งและเบกิ้งโซดาที่ผสมไว้ 3 ส่วน ค่อย ๆ ตะล่อมให้เข้ากันจนครบ 3 ครั้ง แล้วใส่ผงถ่านผสมให้เข้ากันจึงใส่ช็อกโกแลตสับ

หลังจากนั้นแช่เย็นให้เซตตัวประมาณ 10 นาที ตักแบ่งเป็นก้อนตามชอบ เปิดเตาอบไฟบนล่างที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส อบประมาณ 8-9 นาที เวลาเสิร์ฟตักไอศกรีมประกบด้วยคุกกี้สองชิ้น ตกแต่งด้วยผลไม้หรือซอสต่าง ๆ ตามชอบ เคล็ดลับความอร่อยนี้คุณปุ๊ยเผยว่า ตัวคุกกี้อยากให้เป็นแบบซอฟต์ตักใส่ถาดเป็นลูกกลม ๆ ไม่ต้องแบะให้บางเหมือนแบบกรอบ แต่ถ้าใครขี้เกียจทำจริง ๆ สามารถมาลิ้มลองที่ร้านได้ด้วยตัวเอง เพราะเตรียมบรรจุเป็นเมนูใหม่ประจำเดือนแห่งความรักที่กำลังจะมาถึงนี้.

‘ช้องมาศ’

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/297697/หวานประกบเย็น+เมนูชื่นใจที่ลงตัว

Read More...


แป้งอร่อย กล้วยดีกล้วยทอดกระทะทอง


กล้วยทอดเหลืองอร่าม.

ตำบลปากน้ำปราณ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบ เดิมชื่อว่า “ปากคลองปราณ” เป็นที่ตั้งของสมาคมประมงแห่งแรกของประเทศไทย ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องของทะเลสด ใหม่ ทั้งหมึก กุ้ง หอย ปู ปลา มาโซ้ยได้ทั้งปีไม่มีผิดหวัง นอกจากของสดรสดีที่หลายคนติดอกติดใจ ยังมีอีกหนึ่งความแซบแอบเก๋ไก๋ที่มาแล้วพลาดไม่ได้นั่นคือ “กล้วยทอดกระทะทอง” ของ “คุณน้องต๊อบ และคุณน้องเจี๊ยบ” คู่ชีวิตที่สร้างอนาคตจากการทอดกล้วย!

“ตอนแรกเราขายขนมอยู่ที่ร้าน “ครัวแจ๋ว” ขายมาเรื่อยๆ พอดีพ่อแม่แฟนอยากกินกล้วยทอด เพราะว่าที่บ้านเราขายกล้วยทอด แต่ตอนนั้นก็ทำไม่เป็น เลยไปขอสูตรพี่ชายมา ถามเค้าว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็มาลองทำเอง เราก็ไม่รู้หรอกว่าต้องใส่อะไรก่อน อะไรหลัง มาลองผิดลองถูก จนได้สูตรของตัวเองที่ออกมาก็ไม่เหมือนพี่ชาย ตอนนั้นทำกินเล่นๆ พ่อแม่แฟนกิน เขาก็บอกว่าอร่อยดี น่าจะลองทำขายดูนะ เราก็เลยลองเปิดขาย ตอนแรกขายไม่ได้หรอก ได้วันละแค่ร้อยสองร้อย แต่ก็สู้อดทนนะ ใช้เวลาเกือบ 2 ปีกว่าคนจะติด” คุณน้องเจี๊ยบ เจียดเวลาระหว่างการเตรียมตัวไปขายที่สาขา 2 หัวหิน มาบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ที่ต้องใช้กำลังกายกำลังใจมากมายกว่าจะยืนได้ใน วันนี้




ความโดดเด่นของกล้วยทอดร้านนี้อยู่ที่ “รายละเอียด” ไม่ว่าจะเป็นตัวแป้งที่ผสมได้อย่างพอดิบพอดี มีรสชาติเฉพาะตัว ทอดด้วยน้ำมันใหม่ ใช้ไฟเป็น ทอดแล้วกล้วยเด้ง ไม่อมน้ำมัน พิถีพิถันแม้แต่กระดาษซับน้ำมันยังใช้อย่างดีไม่มีชุ่ย

คุณน้อง เจี๊ยบทุ่มเทแรงกายแรงใจในการดัดแปลงสูตรแป้งในแบบของตัวเอง จากคำแนะนำของพี่ชายต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกอยู่นานกว่าจะลงตัว “เราก็ไปดูของคนอื่นนะ ว่าเค้าทำยังไง ซึ่งมาของเราก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย แต่มันไม่เหมือนกันตรงที่เราใส่อะไรก่อนหลัง ใส่มากน้อย สูตรอาจจะเหมือนกัน แต่ถ้าทำไม่เหมือนกัน แตกต่างกันแค่นิดเดียว รสชาติก็เปลี่ยนได้ มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก”   แป้งสูตรลับฉบับกระทะทองของจริงต้องกรอบ ร่วน ไม่กระด้าง ทิ้งไว้นานก็ยังอร่อย เจ๊แซบเคยซื้อตอนเช้า

แล้ว โซ้ยไม่หมดทิ้งไว้ในรถจนถึงเย็น พอเห็นก็เกิดความอยากหยิบเข้าปากแล้วเคี้ยวแบบไม่คาดหวัง แล้วก็พบกับความอัศจรรย์ แม้จะไม่มีความกรอบแต่ความมัน ความหอมยังคงที่ โซ้ยได้โซ้ยดีกะพริบตาไม่กี่ทีหมด!!




เจ๊แซบแอบกระแซะจนแงะเคล็ดลับความมันออกมาได้ หัวใจสำคัญที่ทำให้แป้งเคี้ยวมันนั่นคือ “งา” เกรดเอ คุณน้องเจี๊ยบสั่งมาคั่วเอง และกระหน่ำใส่ลงไปในแป้งแบบไม่ยั้ง เพื่อความมันแบบขีดสุด ชมรมคนรักงาถ้าได้ลองเป็นต้องติดใจ

นอกจาก แป้งจะรสดีมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร กล้วยที่ใช้ยังผ่านการคัดอย่างมืออาชีพ ต้องเป็น “กล้วยน้ำว้าไส้เหลือง” เนื้อแน่น ลูกสวย เหมาะสำหรับทำกล้วยทอดเป็นที่สุด คุณน้องเจี๊ยบจะมีแผงประจำตัดส่งตลอดทั้งปีไม่มีขาด

หลังจากได้กล้วย มาแล้วยังต้องเลือกหวีที่สุกกำลังดี ไม่สุกเกินไป ไม่ห่ามจนเกินพอดี หวีไหนที่ยังไม่เหมาะสมจะถูกนำไปบ่มไม่ให้โดนลมจนกว่าความสุกจะได้มาตรฐาน ถึงจะได้ผ่านลงกระทะทอง




คัดกล้วยดี ผสมแป้งอร่อย อีก 3 เทคนิคสำคัญที่ทำให้กล้วยทอดอร่อยสุดยอด นั่นคือการ ‘ชุบ ตบ และทอด’

‘ชุบ’ แป้งไม่หนาหรือบางจนเกินไป แล้ว ‘ตบ’ ซ้ายขวา ก่อนจะหย่อนลง “ทอด” ในน้ำมันใหม่ไฟแรงแต่ไม่ที่สุด หลังจากใส่กล้วยจนเต็มกระทะแล้วเร่งไฟให้แรงขึ้นอีกหนึ่งจังหวะ กล้วยจะเหลืองกรอบเป็นสีทองน่าโซ้ย หลังจากพิจารณาขั้นตอนการทำตั้งแต่ต้นจนจบ เจ๊แซบก็พบว่าการทำกล้วยทอด....ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆอย่างที่คิดอีกต่อไป!!

อีกหนึ่งเมนูฮิตที่ติดอกติดใจไม่น้อยไปกว่ากล้วยทอดคือ “เผือกทอด” ใช้เผือกพันธุ์ข้าวเหนียวเนื้อสีขาวฟู ไม่ร่วนจนเกินไป ชุบแป้งแล้วทอดกำลังอร่อย ทั้งกล้วยและเผือกมีลูกค้าขาประจำพอๆกัน ขายหมดทุกวันแบบไม่ต้องลุ้น

สำหรับขาหม่ำหน้าใหม่ที่ไม่เคยมา ถ้าเห็นน้ำข้นวางขายคู่อยู่หน้าร้านไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นรสนิยมส่วนตัวของคนปากน้ำปราณ ขาโซ้ยที่นิยมความหวาน ข้น หอม มัน ต้องจิ้มสักครั้งแล้วจะติดใจ (หุหุ)




“กล้วยทอดกระทะทอง” เปิดขายทุกวัน ปัจจุบันมี 2 สาขา ที่ปากน้ำปราณเปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น สาขาหัวหินเปิดตั้งแต่ 10 โมงถึง 4 โมงเย็น

พิกัดความกรอบสาขาปากน้ำปราณอยู่ที่ถนนเลียบชายหาด ขับรถเลาะมาเรื่อยๆไม่ทันเมื่อยก็เจอ (ถ้าไม่หลง...ฮา)

ส่วน สาขาหัวหินอยู่ที่หัวหินซอย 68 ตรงไปสุดซอยเลี้ยวซ้าย ตรงมาประมาณ 200 เมตรร้านอยู่ทางซ้ายมือตอนนี้ยกกระทะจากบนรถขึ้นมาบนร้านแล้วเรียบร้อย  ถ้ามาแล้วงง หลงทาง โทร.ถามได้ที่เบอร์ 08– 3855–1942 และ 08–3220–6886 (สาขา 2)

ลองหม่ำดูแล้วจะรู้ว่าความสุดยอดของกล้วยทอดเป็นอย่างนี้...นี่เอง!!!!

Read More...


"นาซิ เลอมัก" ข้าวมันมลายู อาหารประจำชาติของประเทศมาเลเซีย

นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) เป็นอาหารมลายู นิยมกินโดยทั่วไปในประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน รวมทั้งภาคใต้ของไทยและถือเป็นอาหารประจำชาติของประเทศมาเลเซีย
นาซิ เลอมัก หมายถึง ข้าวหุงกับกะทิ โดยจะใส่ใบเตย ขิง บางสูตรก็ใส่ตะไคร้ด้วย ใส่เกลือลงไปนิดหน่อย ทำนองเดียวกับการหุงข้าวมันของไทย ข้าวหุงกะทิที่ดูธรรมดานี้เมื่อใส่สมุนไพรลงไปด้วยก็ทำให้มีกลิ่นหอมน่ากิน มากขึ้นทีเดียว

เครื่องประกอบของนาซิ เลอมัก มีหลากหลายแล้วแต่ความชอบ และความสะดวก ขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นเราทำอะไรเป็นกับข้าว ก็สามารถเอามาจัดสำรับได้ ส่วนที่เป็นกับข้าวหลัก ได้แก่ แกงไก่ แกงเนื้อ แกงปลา ปลาหมึกผัดพริก ไก่ทอด ปลาทอด ซึ่งจะเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ อีกส่วนคือส่วนที่เป็นเครื่องเคียง ได้แก่ อิกัน บิลีส (Ikan bilis) ที่ไทยเรียกว่า ปลาจิ้งจ้างทอด (หรือชื่ออื่นว่า ปลากะตัก ถ้าตัวเล็กจะเรียกว่าปลาข้าวสาร) ถั่วลิสงทอด ไข่ต้ม หรือไข่ดาวทอดให้ไข่แดงสุก แตงกวา และที่ขาดไม่ได้คือ น้ำพริกซัมบัล (Sambal) หรือภาษามาเลย์เรียกว่า ìซามาî ส่วนเครื่องเคียงนี้มักจะตายตัว ซึ่งเป็นของที่มักมีติดบ้านอยู่แล้ว

นาซิ เลอมัก มักขายใส่ห่อใบตอง เพื่อสะดวกสำหรับการพกพา เรียกว่า นาซิ เลอมัก บุงกุส (Nasi Lemak Bungkus)  โดยใช้กระดาษรองด้วยใบตอง ห่อเป็นรูปทรงพีระมิด ตอนเช้าๆ ก็แวะไปตลาดซื้อมาคนละห่อ กินเป็นอาหารเช้าก่อนออกไปโรงเรียน หรือออกไปทำงานก็ดี ซึ่งจะมีขายทั่วไปในประเทศที่มีวัฒนธรรมการกินแบบมลายู

นาซิ เลอมัก เป็นอาหารที่ทำง่าย เพราะดัดแปลงให้กินกับกับข้าวได้หลายอย่าง กินอร่อย ครบรส และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ท่านใดที่ยังไม่เคยลอง ฉันขอแนะนำ แล้วจะติดใจค่ะ


Read More...


กะหรี่ปั๊บนมสด “บ้านครูยุ” สูตรเด็ด หนึ่งเดียว

แรกๆ ยากเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง จึงต้องให้ทดลองชิม บางร้านก็ปฏิเสธ แต่ไม่ยอมแพ้ ไปเสนอใหม่ ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ถ้าเรามีของอร่อยอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว





จากจุดเริ่มต้น ทำขายสนองนโยบายของโรงเรียน ครั้นเกษียณออกมาอยู่บ้านได้ไม่นาน รู้สึกว่างเกินไป จึงลุกขึ้นมาสร้างงานถนัด ครั้งแรกใช้ครัวหลังบ้านเป็นแหล่งผลิต ลูกมือช่วยเพียง 1 คน
ปัจจุบันกลายเป็นโรงเรือนใหญ่โตผ่านการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานเกี่ยวข้อง เป็นที่เรียบร้อย ส่วนทีมผลิตนั้นไม่ต่ำกว่า 30 คน สำหรับสถานที่จัดจำหน่ายมีทั้งในซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมทั้งร้านของฝากชื่อดังทั่วประเทศ

เหล่านี้คือ “พัฒนาการ” น่าชื่นชม ของ SMEs รายหนึ่ง ซึ่งกรุณาสละเวลามาให้ข้อมูล ซึ่งบันทึกไว้แล้ว...นับจากนี้
เสียดายผลงาน
ตั้งใจต่อยอด
คุณนัฐติกานต์ เสริมสุข อนุญาตให้เรียกแบบกันเองว่า คุณแนน ตัวแทนของกิจการ “ขนมบ้านครูยุ” เจ้าของ “กะหรี่ปั๊บนมสด” สูตรเด็ดหนึ่งเดียวของไทย ซึ่งถูกพาดพิงไว้ข้างต้น

เริ่มบทสนทนาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า คุณแม่ของเธอ คือ คุณยุวดี เสริมสุข เป็น ผู้คิดค้นเริ่มต้นคนแรก สมัยเป็นอาจารย์สอนวิชาคหกรรม ในโรงเรียนวัดเขาวัง จังหวัดราชบุรี เมื่อราว 5 ปีที่แล้ว รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนโครงการ One School One Product (วัน สคูล วัน โปรดักต์) มอบหมายให้แต่ละโรงเรียนสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

เมื่อคุณแม่ของเธอ ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการดังกล่าว จึงใช้ความคิดสร้างสรรค์ผนวกกับวิชาที่ร่ำเรียนมา ทดลองทำ “ขนมใหม่” ขึ้นมาชนิดหนึ่ง ซึ่งดึงจุดเด่นของขนม 3 ชนิดมาประยุกต์รวมกันอยู่ในชิ้นเดียว

“ตอนแรกคุณแม่คิดทำขนมเปี๊ยะ แต่ดูธรรมดา กะหรี่ปั๊บทอดก็มีทั่วไป สุดท้ายเลยนำขนมถนัดทั้ง 3 อย่างมาประยุกต์ โดยดึงจุดเด่นของขนมเปี๊ยะ แต่เติมนมสดเข้าไปให้เกิดความหอมนุ่มเหมือนขนมโมจิ แล้วพับจับจีบให้มีรูปร่างเหมือนกะหรี่ปั๊บ จนออกมาเป็นกะหรี่ปั๊บนมสด รสชาติอร่อยไม่ซ้ำใคร” คุณแนน เล่าถึงงานแรกของ “ครูยุ”


สำหรับลูกค้ากลุ่มแรกที่ได้ชิมกะหรี่ปั๊บนมสด ผลงานของครูยุนั้น ได้แก่นักเรียนในโรงเรียนวัดเขาวังนั่นเอง“ให้เด็กๆ ช่วยกันทำช่วยกันขายในโรงเรียน ขายตัวละ 2 บาท คุณแม่บอกว่านักเรียนชอบทานกันมาก” คุณแนน เล่า

กระทั่งเมื่อราวปี 2552 คุณแม่ของเธอ เกิดปัญหาสุขภาพด้านสายตา จึงขอลาออกจากราชการก่อนกำหนด มาพักผ่อนอยู่กับบ้านเฉยๆ เลยมีเวลาว่างมาก เกิดความเบื่อหน่าย จึงลุกขึ้นมาทำขนมพวก คุกกี้ ขนมเปี๊ยะ กะหรี่ปั๊บ ฯลฯ ส่งขายตามร้านอาหารในละแวกใกล้เคียง ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลงานจากโครงการ วันสคูลฯ

“คุณแม่รู้สึกเสียดายกะหรี่ปั๊บนมสด ไม่ได้สานต่อ ทั้งที่เป็นของแปลกใหม่ ท่านจึงนำมาพัฒนาเพิ่มเติม โดยปรับแป้งให้มีความนุ่ม รวมถึงคิดค้นไส้เพิ่มเพื่อความหลากหลายขึ้น ลงมือทำเองที่บ้านกับลูกมือ 1 คน เป็นโฮมเมดร้อยเปอร์เซ็นต์” คุณแนน บอกมาอย่างนั้น

ก่อนนำไปฝากขายตามร้านก๋วยเตี๋ยวละแวกบ้าน ทำไปไม่นาน จากกวนไส้ทำขายคราวละ 1 กระทะ เพิ่มเป็น 3 กระทะ 5 กระทะ การตอบรับจากลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นมี “ออร์เดอร์” ข้ามจังหวัด ด้วยแรงประชาสัมพันธ์แบบ “ปากต่อปาก”
สร้างจุดแข็ง
บุกโมเดิร์นเทรด
แม้จะขายดีขึ้นตามลำดับ แต่กลับเกิดปัญหาให้ต้องคิดหาทางแก้ไข โดยคุณแนน เล่าว่า แต่เดิม กะหรี่ปั๊บนมสด มีอายุจัดเก็บอยู่ได้ไม่เกิน 2 วัน การส่งขายตามร้านในจังหวัดราชบุรีไม่มีปัญหาเพราะสินค้าหมดวันต่อวัน แต่กรณีส่งไปขายจังหวัดอื่น อย่าง นครปฐม กาญจนบุรี เพชรบุรี เกิดปัญหาสินค้าตีกลับเนื่องจากขนมหมดอายุ

คุณแม่ของเธอ จึงขอรับคำปรึกษาจากหน่วยงานสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs กระทั่งมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้ามาช่วยทำการวิจัยและพัฒนา ยืดอายุสินค้าคือกะหรี่ปั๊บนมสด จากเดิม 2 วัน กลายเป็น 14 วัน และล่าสุดเก็บได้นานถึง 30 วัน

หลังยืดอายุของขนมได้นานขึ้นจนพอใจ คิวต่อไปจึงเป็นเรื่องของการปรับปรุง “หน้าตา” ของบรรจุภัณฑ์ ให้ดูดีกว่าก่อนหน้า หวังสร้างความ “น่าซื้อ” มีมากขึ้น

“ขนมเก็บได้นานขึ้น หีบห่อสวยขึ้น โอกาสและช่องทางจำหน่ายเลยมีมากขึ้น ปัจจุบันของ ของร้านบ้านครูยุ มีวางขายตามร้านของที่ระลึก ใน กรุงเทพฯ ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี นครปฐม สระบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น โดยเป็น โอท็อป 4 ดาว 2 ปีซ้อน” คุณแนน บอกก่อนยิ้มกว้าง
และว่า “ขนมบ้านครูยุ” เริ่มต้นจากครัวหลังบ้านมีแรงงานไม่เกิน 2 คน ปัจจุบันมีโรงเรือนสำหรับการผลิต พร้อมคนงานอีกกว่า 30 คน พัฒนาการนี้ใช้เวลาไม่เกิน 3 ปี ต้องยอมรับว่าเป็นธุรกิจเติบโตเร็ว ท่ามกลางการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน

“ก้าวต่อไปจะเข้าไปวางขายในโมเดิร์นเทรด ตอนนี้อยู่ระหว่างการเจรจากันอยู่” คุณแนน แย้มให้ฟังอย่างนั้น

ถามถึงเมื่อครั้ง นำขนมทั้งหน้าตา-รสชาติ แปลกใหม่ ไปเสนอฝากขายตามร้านของที่ระลึก คุณแนนนั่งนึกครู่หนึ่ง ก่อนย้อนความทรงจำให้ฟัง

“แรกๆ ยากเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง จึงต้องให้ทดลองชิม บางร้านก็ปฏิเสธ แต่ไม่ยอมแพ้ ไปเสนอใหม่ ครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ถ้าเรามีของอร่อยอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว”
เกี่ยวกับอุปสรรคในการทำธุรกิจ ทายาทเจ้าของกิจการ บอก ปัญหาแรงงานผลิตเป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะปัจจุบันมีออร์เดอร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ “ขนมบ้านครูยุ” เป็นแฮนด์เมด 100 เปอร์เซ็นต์ หลายครั้งผลิตได้ไม่ทันกับความต้องการ กำลังการผลิตทุกวันนี้อยู่ที่ราว 20,000 ชิ้น ต่อวัน

“การแข่งขันในวงการขนมนั้นสูง แต่ละท้องถิ่นมีตัวเด่นตัวดัง อย่าง นครสวรรค์ ต้องโมจิ ส่วนกะหรี่ปั๊บ ต้องไปซื้อที่มวกเหล็ก แล้วเราเป็นคนราชบุรี จะไปขายกะหรี่ปั๊บหรือโมจิ คงไปแข่งยาก จึงต้องมีไอเดียใหม่ สร้างเป็นจุดแข็งให้กับตัวเอง” ตัวแทนกิจการ “ขนมบ้านครูยุ” ทิ้งท้าย

“ขนมบ้านครูยุ” นอกจากจะมีกะหรี่ปั๊บนมสด ล่าสุดยังมี “ลูกเดือยอบกรอบ” เข้ามาเสริมความอร่อย รอคอยทุกท่านมาอุดหนุนแล้ว

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ คุณนัฐติกานต์ เสริมสุข เลขที่ 4/2 หมู่ 5 ตำบลดอนตะโก อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 70000 โทรศัพท์ (032) 320-698, (089) 918-4700



Read More...


“ขนมปังไส้ข้าวแกง” ฝีมืออดีตผู้ช่วยเชฟโรงแรมดัง เมนูเด็ดพิชิตใจคนยุคใหม่

คนสมัยนี้ชอบรับประทานขนมปังสไตล์ยุโรปแต่บางคนก็ยังสนใจอยากรับประทานข้าว แกงแบบอาหารไทยอีกด้วย ฉะนั้น คุณเก่งเชฟเจ้าความคิดเลยคิดนำเอาขนมปังมาบรรจุไส้เป็นข้าวแกงซึ่งเป็นการ ฉีกตลาดออกไปให้น่าสนใจมากทีเดียว 
     
     ถ้าพูดถึง "ขนมปัง" ทุกคนจะรับรู้ว่าเป็นอาหารหลักของชาวยุโรปหรือผู้นิยมรับประทานอาหารสไตล์ ยุโรป ขณะที่ถ้าพูดถึง "ข้าวแกง" ใครๆ ก็ต้องทราบดีว่าเป็นอาหารหลักของคนไทยทั่วไปที่มีรสชาติอร่อย ถูกปากทุกผู้ทุกนาม
ปัจจุบัน คนยุคใหม่เริ่มจะนิยม
     รับประทานอาหารทั้งแบบยุโรปและแบบไทยควบคู่กันไป แต่อาจมีหลายคนเกิดฝันว่า อยากจะได้รับประทานอาหารทั้งในแบบยุโรปและของไทยในเวลาเดียวกันก็จะดีไม่ น้อย และในที่สุด ฝันได้เป็นจริงอย่างน่าอัศจรรย์
     คุณอมรเชษฐ์ กาญจน์ธีรโชติ หรือ คุณเก่ง หนุ่มชาวกรุงเทพฯ วัย 35 ปี เจ้าของร้านเบเกอรี่ชื่อ "ห้องขนมปัง" (Breadroom) ผู้ที่ไม่เคยสนใจอาชีพทำอาหารการกินแม้แต่น้อย แต่โชคชะตาฟ้าลิขิต ทำให้เขากลายเป็น "ผู้ช่วยเชฟ" ซึ่งได้คิดสร้างสรรค์เมนูเด็ดที่น่าสนใจคือ "ขนมปังไส้ข้าวแกง"  ที่คนชิมแล้วต้องบอกว่าถูกปากถูกใจ
ชีวิตที่พลิกผัน
สู่การเป็นผู้ช่วยเชฟ
     ในเยาว์วัย คุณเก่งเป็นเด็กที่เรียกว่า ไม่เอาไหน ชอบสนุกไปวันๆ จนต่อมาหลังจากได้บวชเรียนแล้ว เริ่มเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น อยากทำตัวให้มีความหมาย อยากมีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน จึงคิดจะไปทำงานที่อเมริกาในฐานะ "เชฟ" เนื่องจากมีญาติพี่น้องอาศัยที่อเมริกา และถ้าไปทำงานที่นั่นก็น่าจะสะดวกสบาย ดังนั้น คุณเก่งจึงมีความฝันว่า สักวันตนเองจะได้เป็น ìเชฟมือโปรî ในต่างแดน
     ก่อนจะเดินทางไปเป็นเชฟเมืองนอก คุณเก่งจึงได้เตรียมตัวไปอบรมเข้าคอร์สเรียนทำอาหารที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ซึ่งมีคนให้ความสนใจมากมาย ดังนั้น ผู้สนใจจะต้องผ่านการสัมภาษณ์ก่อน
    คุณเก่งหนุ่มผู้มีความฝันไกลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าตนเองจะเข้ารอบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลประกาศพลิกล็อก คุณเก่งกลายเป็นคนไม่เก่งดังชื่อ ต้องพบกับความผิดหวัง ดังนั้น ความหวังความฝันจะไปอเมริกาก็จบลง คุณเก่งต้องพบกับความเสียใจอย่างเกินจะกล่าว แต่ต่อมาไม่นานนัก ฟ้าเริ่มส่องสว่างให้แก่ชีวิตของคุณเก่งอย่างนึกไม่ถึง
     
     
     วันหนึ่ง เพื่อนที่โรงแรมโอเรียนเต็ลได้ติดต่อมาหาคุณเก่งว่า ทางโรงแรมมีตำแหน่งผู้ฝึก งานเป็นผู้ช่วยเชฟ ถ้าสนใจก็ลองมาสมัครดู แน่นอนคุณเก่งไม่รอช้า ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ว่าอยากทำ และในที่สุด เขาก็ได้เข้าฝึกงานเพื่อการเป็นผู้ช่วยเชฟที่แผนกเบเกอรี่
    อันที่จริงงาน "เบเกอรี่" เป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับคุณเก่งเนื่องจากเขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อนเลย แต่ก็ใจสู้ เขาให้ทำอะไรก็ทำหมดไม่เกี่ยงงอน คุณเก่ง เล่าว่า เขามีลูกพี่เป็นผู้ช่วยเชฟตัวจริง ส่วนตัวเองจะทำหน้าที่เป็นลูกมือช่วยลูกพี่อีกที ฉะนั้น คุณเก่งเลยได้เรียนรู้การผลิตเบเกอรี่โดยเริ่มจากศูนย์จนได้พัฒนาก้าวสู่ 1-2 ตามลำดับ และอีกประการหนึ่ง คุณเก่งเป็นเด็กรู้จักสัมมาคารวะ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเลยเป็นที่รักใคร่ กลายเป็นเด็กที่น่ารักของแผนก ทุกคนในแผนกเบเกอรี่จะรักใคร่ให้ความรู้แบบเต็มๆ และนี่คือที่มาของการก้าวสู่ตำแหน่งผู้ช่วยเชฟของโรงแรมโอเรียนเต็ล ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งเป็นคนมีฝีมือและมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับเชฟมือโปรของโรงแรมในสมัยนั้น มีชื่อว่า เชฟสเตฟาน เป็นชาวฝรั่งเศส คุณเก่งได้รับความรู้และประสบการณ์จากเชฟสเตฟานอย่างมากมาย ทำให้เขาสามารถทำงานเก่งทุกรูปแบบ จนในเวลาต่อมาคุณเก่งก็ถูกส่งไปดูแลงานเบเกอรี่ที่ร้านเบเกอรี่ของโรงแรมโอ เรียนเต็ล ที่ได้เปิดขึ้นที่สยามพารากอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงนาทีทองของชีวิตคุณเก่งที่รุ่งโรจน์มาก

จากเชฟมืออาชีพสู่เจ้าของร้าน "ห้องขนมปัง"
     คุณเก่งสนุกกับงานเบเกอรี่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ลอยู่หลายปี จนเมื่อเชฟสเตฟานออกไปทำงานให้กับบริษัทผลิตสินค้าด้านเบ เกอรี่ของประเทศเบลเยียม ชื่อ Ruratos ซึ่งเข้ามาเปิดธุรกิจในประเทศไทย และนี่คือจุดเปลี่ยนชีวิตของคุณเก่งอีกครั้ง โดยทางเชฟสเตฟานเชฟคู่ใจของคุณเก่งมาชักชวนให้ไปร่วมงานกับเขาที่บริษัท Ruratos นี่เป็นอีกครั้งที่ทำให้คุณเก่งต้องคิดตัดสินใจยากมากระหว่างโรงแรมโอเรียน เต็ลที่เก่ากับบริษัทฝรั่งที่ใหม่ ว่าที่ใดเขาควรจะไปอยู่ ผลที่สุดด้วยความอยากลองของใหม่ตามสโลแกนที่ว่า "ไม่ลอง ไม่รู้" เลยตัดสินใจเดินหน้าสู่ที่ทำงานใหม่และในหน้าที่ใหม่ที่ต้องทำในแต่ละวันคือ การทำหน้าที่เป็นเชฟสาธิตการทำเบเกอรี่จากสินค้าของบริษัท Ruratos ควบคู่กับเซลส์ตัวแทนขายสินค้าของบริษัทโดยจะต้องไปแสดงการสาธิตให้บรรดา ลูกค้าได้ชม
     จากการสัมผัสงานใหม่ไม่นานนัก คุณเก่งเริ่มรู้ว่างานแบบนี้ไม่เหมาะกับนิสัยของเขาและได้เริ่มมีความคิดว่า ตนเองก็ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้างมานานพอควร ดังนั้น น่าจะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงไปเป็น "เถ้าแก่" ดูแลกิจการเบเกอรี่ดูบ้าง
     เมื่อปี พ.ศ. 2552 คุณเก่งได้มาเช่าสถานที่ทำ เบเกอรี่เปิดร้านขายในซอยลาดพร้าว 101 ตรงข้ามตลาดนครไทยโดยใช้ชื่อร้านว่า "ห้องขนมปัง" (Breadroom) ด้วยงบลงทุนในด้านตกแต่งสถานที่ จัดซื้ออุปกรณ์การผลิตขนมเบเกอรี่และจ้างลูกน้องช่วย 2 คน รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาท
     
"ขนมปังไส้ข้าวแกง"
มุมมองใหม่ ของคนยุคใหม่
     แรกๆ ที่เปิดร้าน "ห้องขนมปัง" คุณเก่งได้ทำเบเกอรี่ที่ถนัดจัดโชว์ขายพร้อมเครื่องดื่มตามปกติที่เขาทำกัน แต่ด้วยที่เป็นคนมีความคิดชอบพัฒนา อยากคิดทำอะไรใหม่ๆ เสมอ เพราะหวังจะให้ลูกค้าพอใจมากขึ้นและหวังจะได้เพิ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ขึ้นเลยได้แนวคิดว่า คนสมัยนี้ชอบรับประทานขนมปังสไตล์ยุโรปแต่บางคนก็ยังสนใจอยากรับประทานข้าว แกงแบบอาหารไทยอีกด้วย ฉะนั้น คุณเก่งเชฟเจ้าความคิดเลยคิดนำเอาขนมปังมาบรรจุไส้เป็นข้าวแกงซึ่งเป็นการ ฉีกตลาดออกไปให้น่าสนใจมากทีเดียว คุณเก่งอดีตเชฟมือโปรได้เริ่มทำขนมปังไส้หมูกระเทียม ไส้ไก่อบซอส ไส้เขียวหวานไก่ก่อน ต่อมาได้
สังเกตดูรู้ว่าได้รับความสนใจจากลูกค้ามากขึ้น
     "เส้นทางเศรษฐี" ได้สอบถามถึงเคล็ดลับในการผลิตขนมปังไส้ข้าวแกงนั้นเป็นอย่างไร คุณเก่ง อธิบายว่า ส่วนผสมหลักๆ ของการทำขนมปังก็คือ แป้งสาลี น้ำกับน้ำแข็ง ไข่ ยีสต์ เนย (ปริมาณส่วนผสมขออนุญาตไม่แจ้ง) และจากส่วนผสมดังกล่าวข้างต้น การจะผลิตขนมปังให้นุ่มอร่อยต้องมีวิธีการผลิตสำคัญดังนี้
1. คุณภาพของวัตถุดิบที่ใช้ต้องดี
2. ต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่พอเหมาะ
3. การตีแป้งให้ขึ้นในขนาดพอเหมาะ
4. ต้องรู้จักเวลาพักแป้งให้พอดีก่อนอบ
5. อุณหภูมิที่อบแป้งต้องพอเหมาะ
     

     ซึ่งทุกขั้นตอนอยู่ที่ประสบการณ์ของเชฟแต่ละคนฉะนั้น ถ้าช่วงการผลิตตอนหนึ่งตอนใดขาดตกบกพร่องไปก็จะทำให้ขนมปังไม่นุ่มได้อย่าง ที่ต้องการ สำหรับรสชาติของไส้ข้าวแกงนั้นอาจจะปรุงตามความชอบที่เห็นว่าถูกปากหรือ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าทั่วๆ ไป
     ปัจจุบัน คุณเก่งได้พยายามคิดค้นทำขนมปังบรรจุไส้ไว้หลากหลาย โดยประมาณมีไส้ขนมปังกว่า 30 ไส้ เช่น พะโล้หมู (ขายดี) หมูกกไข่ (ขายดี) เขียวหวานไก่ (ขายดี) กุ้งอบเนย (กุ้งเป็นตัว) ผักโขมอบชีส เป็นต้น ราคาขนมปังไส้ข้าวแกงลูกละ 25 บาท
     หากท่านใดสนใจอยากจะลิ้มชิมรสชาติขนมปังไส้ข้าวแกง มาเลือกสรรให้ถูกใจได้ทุกวัน หรือถ้าจะให้จัดส่งนอกสถานที่ก็สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณเก่ง-อมรเชษฐ์ กาญจน์ธีรโชติ ร้านห้องขนมปัง (Breadroom) ในซอยลาดพร้าว 101 ตรงข้ามตลาดนครไทย กรุงเทพฯ โทรศัพท์ (02) 375-1115, (082) 057-1300 ได้ทุกเวลา

credit by :  http://www.sentangsedtee.com/news_detail.php?rich_id=478&section=2&column_id=6

Read More...


‘ทาโกะยากิ’ ธุรกิจลูกกลมๆทำเงินดี


‘ทาโกะยากิ’
ธุรกิจลูกกลมๆทำเงินดี

‘ทาโกะยากิ’ ธุรกิจลูกกลมๆทำเงินดี
วันอาทิตย์ 1 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 02:50 น.

อาหารญี่ปุ่นแนวใหม่ “ทาโกะยากิ” หรือ “ขนมครกญี่ปุ่น” ได้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังมีหลายคนยังไม่รู้จักอาหารญี่ปุ่นชนิดนี้ จะมีขายเฉพาะในกรุงเทพฯ หรือในเขตเมืองใหญ่ แต่ปัจจุบันนี้ทาโกะยากิหาทานได้ง่ายขึ้น ตามตลาดนัด ตามชุมชนทั่วไป แต่ละที่รสชาติและคุณภาพจะแตกต่างกันไป ถ้าจะหาทาโกะยากิ ต้นตำรับแท้จากญี่ปุ่น คงต้องหาทานได้เฉพาะร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างฯ เท่านั้น แต่ก็ไม่สะดวกสำหรับหลาย ๆ คน ซึ่งวันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” จึงนำข้อมูลเรื่องนี้มาเสนอ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างธุรกิจสร้างอาชีพ...

ผู้ที่จะมาให้ข้อมูลคือ อ้น-ลัดดา แดงเทศ และ นุ๊ก-วราพงษ์ แดงเทศ สองสามีภรรยาเจ้าของร้านทาโกะยากิ “A&N TAKO” (ขนมครกญี่ปุ่น) โดยเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า เดิมนั้นทั้งคู่ ต่างก็มีงานประจำทำกัน แต่ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนไปหลายที่ จากเหตุหลายอย่าง ที่ทำงานไกลจากบ้านมาก ทำให้เครียดและเหนื่อยกับการเดินทางในแต่ละวัน, เงินเดือนไม่พอใช้บ้าง, ไม่ถูกใจระบบงานบ้าง ประกอบกับมีลูกด้วย ก็คิดถึงอนาคต และอยากจะมีธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง จึงปรึกษากับที่บ้าน

“น้าชายเรียนการทำอาหารญี่ปุ่น นำสูตรทาโกะยากิ มาปรับทำขายเป็นอาชีพเป็นเจ้าแรก ๆ เมื่อ 15 ปีก่อน บอกจะสอนให้ เพราะอาหารว่างชนิดนี้กำลังมาแรง อีกทั้งคนยุคใหม่ เด็กวัยรุ่นมีวัฒนธรรมการชอบซื้ออาหารที่เดินกินได้ จากนั้นเราก็หาเวลาว่างไปฝึกทำจนชำนาญ ก็ลาออกจากงานมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าเต็มตัว เปิดตัวครั้งแรกที่ตลาดนัด ปรากฏว่าขายดีมาก มีลูกค้าขาประจำมากเพราะทาโกะยากิของที่ร้านรสชาติอร่อยกำลังดี กรอบนอก นุ่มใน แถมนํ้าซอสที่ราดก็เข้มข้นไม่เค็มไม่หวานหรือเจือจางเกินไป เข้ากันได้ดีกับมายองเนส และไม่ทำให้รู้สึกเลี่ยน จึงยึดอาชีพนี้มานานกว่า 5 ปีแล้ว”

ทาโกะยากิ ร้านนี้จะมี 4 ไส้ ไส้ปลาหมึกยักษ์, ไส้ปูอัด, ไส้แฮมไก่ และไส้ทูน่า อ้นบอกว่าก่อนนี้มี 5 ไส้ ที่หายไปคือ กุ้ง ต้องตัดออกไป เพราะมีลูกค้าแพ้กุ้งหลายคน นอกจากนี้ที่ร้านยังมี “พิซซ่าญี่ปุ่น” เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งให้ลูกค้าด้วย

อุปกรณ์ ที่ใช้ก็มี เตาสำหรับทำทาโกะยากิ (จะเป็นไฟฟ้า หรือแก๊สก็ได้), ที่ตีตะกร้อมือ, แปรงสำหรับทานํ้ามัน, เหล็กแหลมหรือไม้ปลายแหลมสำหรับพลิกทาโกะยากิ, ขวดพลาสติกใส่ซอส และมายองเนส เครื่องใช้อื่น ๆ หาได้จากในครัว

ส่วนผสม มี 2 ส่วน คือ ส่วนผสมตัวแป้ง มีแป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถุง หรือแป้งสำเร็จทาโกะยากิก็ได้, แป้งเค้ก 1ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 4 ฟอง, ผงฟู 1ช้อนชา, นํ้าสะอาด 7 ถ้วยตวง ส่วนผสมที่ใช้เป็นไส้ มี หนวดปลาหมึกยักษ์, แฮมไก่, ปูอัด, ทูน่าในนํ้ามันพืช นอกจากนี้ยังมี ซอสหวาน ทาโกะยากิ, กะหล่ำปลี, แครอท, สาหร่ายผง, มายองเนส และนํ้ามันพืช

ขั้นตอนการทำ “ทาโกะยากิ”

เริ่มทำตัวแป้งก่อน โดยการนำแป้ง ไข่ และนํ้า ผสมเข้าด้วยกัน นวดจนแป้งเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งพักไว้

การเตรียมไส้ทาโกะยากิ ไส้ปลาหมึก นำหนวดปลาหมึกไปลวกพอสุก แล้วหั่นเป็นชิ้นตามชอบ ไส้ปูอัด และแฮมไก่ หั่นเป็นชิ้นตามชอบ ไส้ทูน่า เอาออกจากกระป๋อง บีบเอานํ้ามันพืชออก กะหล่ำปลีล้างสะอาด นำมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนผักรองพื้นที่ใช้แก้เลี่ยน แครอท กับกะหล่ำปลี ให้นำมาหั่นซอย แยกเตรียมไว้

ตั้งเตาขนมครก พอเตาร้อนเช็ดด้วยนํ้ามันพืชให้ทั่ว (ไม่ให้แป้งติดเตา) แล้วหยอดแป้งลงไปจนเต็มขอบกระทะ รอแป้งแห้งนิดหน่อย ใส่กะหล่ำปลีสับลงไป แล้วเกลี่ยให้ทั่วทุกหลุม ใส่ไส้ที่ต้องการตามลงไป รอสักครู่ ตักแป้งราดทับลงไปอีกครั้ง (เพื่อกันไม่ให้แป้งแตกเวลาพลิกกลับด้าน)

พอแป้งเริ่มจับตัว ใช้เหล็กแหลมหรือไม้แหลม 2 อัน ค่อย ๆ แซะ รอบ ๆ แล้วโกยแป้งพลิกกลับด้าน รอจนสุก แล้วกลับด้านอีกจนเป็นลูก กลม ๆ กลิ้งพลิกไปพลิกมา ให้สุกจนทั่วจนมีสีนํ้าตาลอ่อน

พอสุก ตักเสิร์ฟใส่จาน หรือภาชนะที่รองด้วยแครอทหั่นซอย และกะหล่ำปลีหั่นซอย ราดด้วยซอสทาโกะยากิ มายองเนส และโรยหน้าด้วยสาหร่ายผงให้สวยงาม

สำหรับการขาย จัดเป็นชุด ๆ มีชุดเล็ก 6 ลูก 30 บาท/กลาง 8 ลูก 40 บาท/ใหญ่ 10 ลูก 50 บาท

ใครสนใจอาหารว่างเทรนด์ญี่ปุ่น “ทาโกะยากิ” ก็ลองไปซื้อหามาลองชิมดู เจ้านี้ ทุกวันพฤหัสฯจะขายอยู่ที่หมู่บ้านลานทอง ปากเกร็ด วันเสาร์จะขายอยู่ที่หมู่บ้านประชาชื่น ซอยสามัคคี 63 ส่วนวันอื่น ๆ จะออกบูธงานที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรับออกงานนอกสถานที่ด้วย ติดต่อสอบถาม อ้น กับ นุ๊ก โทรฯ ได้ที่ 08-6909-9100 และ 08-9787-6331...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างธุรกิจได้อย่างน่าทึ่ง!!.

เชาวลี ชุมขำ :เรื่อง / ภานุพงศ์ พนาวัน :ภาพ

..................................................................................................

คู่มือลงทุน...ทาโกะยากิ

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา

รายได้ 30-40-50 บาท / ชุด

แรงงาน ตั้งแต่ 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ตลาดน้ำ, ชุมชน, ตลาดนัด

จุดน่าสนใจ ปรับสูตรทำขายได้ทุกสถานที่

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/297880/‘ทาโกะยากิ’+ธุรกิจลูกกลมๆทำเงินดี

Read More...


‘ขนมจีน-น้ำเงี้ยว’ ทำง่าย..ยังขายคล่อง





    Previous
    Next

‘ขนมจีน-น้ำเงี้ยว’
ทำง่าย..ยังขายคล่อง

‘ขนมจีน-น้ำเงี้ยว’ ทำง่าย..ยังขายคล่อง
วันอาทิตย์ 8 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 06:30 น.

อาหารจานเดียวอย่าง ขนมจีน มีมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนมจีน-น้ำยา, ขนมจีน-น้ำพริก และขนมจีน-ซาวน้ำ อย่างไรก็ตาม สำหรับเมนูขนมจีนที่เป็นอาหารเหนือซึ่งเป็นที่นิยมมาก เห็นจะเป็น “ขนมจีน-น้ำเงี้ยว” โดยเจ้าของร้านบางร้านได้สืบทอดสูตรการทำอาหารเหนือดังกล่าวมานานกว่า 10 ปี ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

กันธิมา พิชัยวงศ์ หรือพี่อ้อย เจ้าของร้าน “ข้าวซอย-ขนมจีนน้ำเงี้ยวกะลาลำปาง” เล่าว่า ครอบครัวได้ทำขนมจีน-น้ำเงี้ยวขายมาตั้งแต่ พ.ศ.2546 ในฐานะคนในครอบครัวจึงอยากจะสืบทอดต่อ จึงได้ลองมาทำขายตามงานแสดงสินค้าต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2549 ปรากฏว่าได้รับความนิยมมากจนถึงปัจจุบัน

อุปกรณ์ในการทำ ขนมจีน-น้ำเงี้ยว หลักๆ มี เตาแก๊ส, กระทะ, มีด, เขียง, หม้อสเตนเลส, กะละมัง และอุปกรณ์เครื่องครัวเบ็ดเตล็ดทั่วไป

ในการทำ ขนมจีน-น้ำเงี้ยว นั้น กันธิมา เล่าว่า จะต้องทำ น้ำพริกน้ำเงี้ยว ขึ้นมาก่อน

โดยส่วนผสมของ น้ำพริกน้ำเงี้ยว นั้น มี พริกแห้ง 20%, ลูกผักชี 10 %, กระเทียม 20%, หอมแดง 20%, กะปิ 10%, เกลือ 5%, และน้ำมันพืช 15%

วิธีทำ น้ำพริกน้ำเงี้ยว ให้นำส่วนผสมทั้งหมดไปบดให้ละเอียด โดยบดให้ส่วนผสมทั้งหมดรวมเป็นเนื้อเดียวกันจนกลายเป็นน้ำพริก จากนั้น นำไปผัดกับน้ำมันพืชด้วยไฟอ่อน ๆ นานประมาณ 30 นาที จนน้ำพริกสุก และส่งกลิ่นหอม เสร็จแล้วนำขึ้นมาพักไว้

ส่วนวิธีผสม น้ำเงี้ยว นั้น กันธิมา บอกว่า เตรียมน้ำเปล่า 3 ลิตร, ซี่โครงหมูหั่น 1 กก., เลือดหมูหั่น 5 ก้อน, ดอกงิ้วแห้ง100 กรัม, หมูสับ 1 กก., มะเขือเทศสีดา 500 กรัม และน้ำพริกน้ำเงี้ยวอีก 300 กรัม

วิธีทำ ต้มน้ำเปล่าให้พอเดือด เสร็จแล้วใส่ซี่โครงหมูลงไป ต้มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมูนุ่ม แล้วเติมน้ำพริกน้ำเงี้ยวลงไป แล้วคนให้เดือด จากนั้น ค่อย ๆ เติมเลือด, หมูสับ, ดอกงิ้ว และมะเขือเทศลงไป ปรุงรสตามใจชอบ โดยเน้นให้มีรสเค็ม เผ็ด กลมกล่อม

วิธีขาย ตักขนมจีนให้จานพอประมาณ แล้วตักน้ำเงี้ยวราดลงไป โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และต้นหอมผักชีซอย สำหรับ เครื่องเคียง มี พริกขี้หนูทอด, ผักกาดดองหั่น, ถั่วงอก, กะหล่ำปลีซอย และถั่วฝักยาวหั่น ส่วน เครื่องปรุงรส มีน้ำมะนาว และน้ำปลา ขายในราคาชามละ 40 บาท

นอกจาก ขนมจีน-น้ำเงี้ยว แล้ว กันธิมาได้ให้ข้อมูล “ข้าวซอย” อาหารเหนือขึ้นชื่ออีกอย่างเพิ่มมาอีกด้วย

หัวใจหลักของ ข้าวซอย นั้น คือ น้ำพริกข้าวซอย ซึ่งส่วนผสมหลัก ๆ มี พริกแห้ง 20%, กระเทียม 20%, หอมแดง 20%, ผิวมะกรูด 5%, กระชาย 5%, ขมิ้น 5%, ตะไคร้ซอย 5%, กะปิ 5%, ผงกะหรี่ 10% และน้ำตาลปี๊บอีกนิดหน่อย วิธีทำ ให้นำส่วนผสมทั้งหมดไปบดให้ละเอียด โดยบดให้ส่วนผสมทั้งหมดรวมเป็นเนื้อเดียวกันจนกลายเป็นน้ำพริก เตรียมไว้

ส่วนวิธีทำ น้ำข้าวซอย นั้น ให้เคี่ยวหัวกะทิ 10 กก., น้ำพริกข้าวซอย 1 กก. และน้ำตาลปี๊บ 2 กก.ให้เข้ากันด้วยไฟร้อนปานกลางจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดี

เวลาจะขายให้ตั้งไฟอ่อน เพื่ออุ่นให้น้ำข้าวซอยร้อนตลอดเวลา

ข้าวซอย นี้ จะมีข้าวซอยไก่, หมู, เนื้อ และปลา ซึ่งเนื้อสัตว์แต่ละชนิดจะต้องต้ม และเคี่ยวเตรียมไว้ก่อนที่จะนำออกขาย โดยแยกปรุงเนื้อสัตว์เป็นหม้อ ๆ ไป แต่จะมีวิธีทำที่คล้าย ๆ กัน

วัตถุดิบของ ข้าวซอยไก่ จะใช้เนื้อตะโพก และน่อง, ข้าวซอยเนื้อ จะใช้เนื้อน่องลาย, ข้าวซอยหมู ใช้ซี่โครงหมูหั่น ส่วน ข้าวซอยปลา ใช้เนื้อปลาดอลลี่

วิธีทำ เคี่ยวกะทิ 10 กก. กับน้ำพริกข้าวซอย 1 กก. เคี่ยวให้พอเดือด จากนั้นใส่เนื้อไก่ เนื้อ และหมูลงไปตามหม้อของเนื้อชนิดนั้น ๆ

โดยกะทิ 10 กก. จะเคี่ยวเนื้อสัตว์ได้ 10 กก.

เมื่อส่วนผสมข้างต้นเข้ากันดีแล้ว ใส่ผงข้าวซอย และผงกะหรี่ลงไปพอประมาณ แล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมน้ำพริกซึมเข้าไปในเนื้อแต่ละชนิด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นไป ในขณะที่ ข้าวซอยปลา จะนำเนื้อปลาดอลลี่ไปหมักกับซีอี๊วขาวให้มีรสชาติออกเค็ม ๆ ก่อน แล้วค่อยนำไปลวกน้ำร้อนให้สุก เท่านี้ก็ใช้ได้

วิธีขาย ลวกเส้นบะหมี่ให้สุก แล้วตักใส่ชาม ตามด้วยเนื้อสัตว์ตามที่ลูกค้าสั่งลงไป ราดด้วยน้ำข้าวซอย และโรยหน้าด้วยเส้นบะหมี่ทอด สำหรับ เครื่องเคียง มี ผักกาดดอง และหอมแดงซอย ส่วน เครื่องปรุงรส มี พริกขี้หนูคั่ว และน้ำมะนาว

ขายในราคาชามละ 40 บาทเช่นกัน

ใครสนใจ “ขนมจีน-น้ำเงี้ยว” ต้องการติดต่อ กันธิมา เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ติดต่อได้ที่ 316/1 หมู่ 8 ต.เสด็จ อ.เมือง จ.ลำปาง หรือหมายเลขโทรศัพท์ 08-3788-3764 และ 08-4707-7155.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

..............................................................................................

คู่มือลงทุน…ขนมจีน-น้ำเงี้ยว

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย

รายได้ ราคา 40 บาท/1ชุด

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ชุมชน, งานออกร้าน

จุดที่น่าสนใจ เป็นอาหารที่ได้รับความนิยม

credit by ; http://www.dailynews.co.th/Content/Article/299430/‘ขนมจีน-น้ำเงี้ยว’+ทำง่าย..ยังขายคล่อง

Read More...


‘ไอศกรีมต้นไม้’ ขนมสไตล์เก๋..ไอเดียทำเงิน


‘ไอศกรีมต้นไม้’
ขนมสไตล์เก๋..ไอเดียทำเงิน

คนทำอาหาร จะเมนูคาวหรือหวาน ก็ต้องพยายามคิดหารูปแบบใหม่ ๆ เพื่อใช้สร้างความสนใจ เพื่อทำให้ลูกค้าชื่นชอบ

คนทำอาหาร จะเมนูคาวหรือหวาน ก็ต้องพยายามคิดหารูปแบบใหม่ ๆ เพื่อใช้สร้างความสนใจ เพื่อทำให้ลูกค้าชื่นชอบ ทั้งนี้ หลาย ๆ เมนูที่เกิดขึ้น ไม่เพียงอร่อย-รสชาติดี แต่ยังมีการเติมไอเดียเก๋ ๆ เข้าไปไว้ในเมนูนั้นด้วย อย่างเช่น “ไอศกรีมต้นไม้” ของ “จันทร์ทิพย์ ภาคย์วิศาล” ที่ทำให้ของหวานเย็น ๆ กลายมาเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่วันนี้คอลัมน์นี้มีข้อมูลมานำเสนอ...

จันทร์ทิพย์ เจ้าของร้าน Orangery Caf (ออเร้นเจอรี่ คาเฟ่) เล่าว่า... ไอศกรีมต้นไม้นี้ เป็นไอเดียที่เกิดขึ้นจากความคิดของลูกสาวเธอ คือ น้องบุญญนินทร์และบุญยวีย์ เนื่องจากครอบครัวเธอชอบคิดชอบทำขนมอยู่แล้ว ซึ่งในช่วงเทศกาลฮัลโลวีนที่ผ่านมาได้คิดทำขนมชนิดหนึ่งคือ “มาสเค้ก” ที่ถ้าแปลเป็นไทยแล้วก็จะหมายถึง “ขนมเค้กดิน” ที่เป็นการนำช็อกโกแลตมาตกแต่งให้ดูคล้ายกับดินธรรมชาติ ประกอบกับที่มาของชื่อร้านคือ ออเร้นเจอรี่ แปลว่า... ศาลาสำหรับปลูกผักในสวน จึงเกิดจินตนาการที่ต้องการจะต่อยอดจากขนมมาสเค้กที่เคยทำ จนที่สุดก็ออกมาเป็นไอศกรีมต้นไม้อย่างที่เห็น โดยขณะนี้ไอศกรีมที่ผลิตมีอยู่ 10 รสชาติ ได้แก่ ช็อกโกแลต, พาวเวอร์ช็อกโกแลต, คุกกี้ไอศกรีม, ช็อกโกแลตชิพ, มอคค่าชิพ, วานิลลา, ชาเขียว, สตรอเบอรี่, มะนาว, สตรอเบอรี่ชีสเค้ก ส่วนเค้กที่ใช้มี เค้กช็อกโกแลต, กาแฟ, วานิลลา, ใบเตย, ส้ม, เรดเวลเว็ท ทั้งนี้ สามารถปรับเปลี่ยนการตกแต่งได้ตามเทศกาล นอก จากนี้ที่ร้านก็ยังมีเมนูอื่น ๆ ขาย อาทิ พิซซ่าเลิฟเวอร์, สปาเกตตี, สลัดปลาแซลมอน, Very Berry Toast ฯลฯ

“เมื่อเมนูนี้เริ่มวางขาย ปรากฏกระแสตอบรับดีมาก ด้วยรูปลักษณ์ที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เห็นแล้วต่างก็งง และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า... กินได้จริงหรือ เพราะเหมือนของจริงมาก ลูกค้าที่ได้ชิมจะชอบรสชาติที่ผสมผสานกัน ระหว่างความเย็นสดชื่นของไอศกรีม ความนุ่มของเนื้อเค้ก และความกรุบกรอบของคุกกี้ป่นที่ใช้โรยหน้า” ...เจ้าของไอเดียระบุ ซึ่งแนวทางแบบนี้ก็นับว่าน่าสนใจ-น่านำไปพิจารณาปรับใช้ เพื่อทำเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้

ขั้นตอนการทำ “ไอศกรีมต้นไม้” แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้...

ส่วนที่ 1 การทำเค้กช็อกโกแลต มีอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ เครื่องตีแป้ง, เครื่องตีไข่, หัวตีตะกร้อ, พิมพ์วงกลม, เตาอบ, ชามผสม ฯลฯ ส่วนผสม ประกอบด้วย แป้งเค้ก, ผงฟู, เกลือ, ผงโกโก้, นํ้าตาลทราย, เนยสด, นมสด, ไข่ไก่ ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำส่วนผสมแห้ง ได้แก่ แป้ง ผงฟู เกลือ ผงโกโก้ มาร่อนทั้งหมด เมื่อร่อนเสร็จแล้วพักทิ้งไว้ นำเนยสดมาตีในเครื่องตีไข่ด้วยความเร็วปานกลาง ตีจนเนยสดมีสีอ่อนลงและฟูเบา จึงใส่นํ้าตาลทรายที่ร่อนแล้วใส่ลงไปในส่วนผสม ตีต่อไปจนส่วนผสมฟูพองขึ้น ใส่ไข่ไก่ทีละฟองในส่วนผสม คนให้เข้ากัน จากนั้นใส่ส่วนผสมแห้งที่ร่อนแล้วกับนมสด ตีส่วนผสมต่อไปจนเข้ากัน แล้วเทส่วนผสมเค้กที่เสร็จแล้วใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ นำเข้าเตาอบที่ความร้อน 180 องศาเซลเซียส ใช้เวลาอบประมาณ 20-25 นาที หรือขึ้นกับขนาดของเค้ก หากเค้กมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้เวลาในการอบนานขึ้น เมื่อสุกแล้วนำออกจากเตาอบก็จะได้เค้กช็อกโกแลต

ส่วนที่ 2 การทำไอศกรีมวานิลลา มีอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ เครื่องปั่นไอศกรีม, เครื่องทำไอศกรีมอัตโนมัติ, ถังพลาสติก ส่วนผสม ประกอบด้วย ครีมสด, นมสด, นํ้าตาลทรายขาว, ไข่แดง, กลิ่นวานิลลา ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำนํ้าตาลทรายละลายในนมสดที่มีความอุ่น นำนมสด ครีมสด ไข่แดง กลิ่นวานิลลามาปั่นรวมกัน นำส่วนผสมทั้งหมดใส่เครื่องทำไอศกรีมอัตโนมัติ ปล่อยให้เครื่องทำงานประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะได้เนื้อไอศกรีมออกมา ตักใส่ถังพลาสติก แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นที่ช่องฟรีซ ทิ้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็จะได้เนื้อไอศกรีม

ส่วนที่ 3 การตกแต่งไอศกรีมต้นไม้ มีอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ ถ้วยพลาสติกชนิดบาง, ถ้วยพลาสติกชนิดหนา, มีด, ช้อน ส่วนผสมที่ใช้ตกแต่ง ประกอบด้วย เค้ก, ไอศกรีม, คุกกี้ป่น, หินช็อกโกแลต, พืชชนิดต่าง ๆ ที่รับประทานได้ เช่น ใบสะระแหน่, ใบกะเพรา, ใบโหระพา, ใบแมงลัก ฯลฯ ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำเค้กมาหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม นำเค้กใส่ในแก้วพลาสติกสีใส โดยดันให้ก้อนเค้ก ลงไปอยู่ที่ด้านล่างสุดของแก้ว และนำแก้วพลาสติกสีต่าง ๆ มาซ้อน สำหรับเพื่อใช้ทำเป็นกระถางจากนั้นจึงตักไอศกรีมใส่ลงไปจนเกือบเต็มแก้ว โรยคุกกี้ป่นให้ทั่วหน้าไอศกรีม หยิบหินช็อกโก แลตและพืชที่จะใช้ตกแต่งเป็นต้นไม้นำมาประดับตกแต่งตามต้องการ ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ ซึ่งรูปแบบของ “ไอศกรีมต้นไม้” นี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า... แม้แต่การทำขนม-อาหาร ถ้ารู้จักคิด-ขยันพัฒนาไอเดีย ก็สามารถที่จะเป็น “ช่องทางทำกิน” ได้

สนใจชิม “ไอศกรีมต้นไม้” ไปได้ที่ร้าน Orangery Caf (ออเร้น เจอรี่ คาเฟ่) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เปิดทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ เปิดเวลา 07.00-19.00 น. ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ เปิดเวลา 08.00-18.00 น. หรือเข้าไปชมรูปแบบไอศกรีมต้นไม้ได้ที่ www.facebook.com/orangery achicalternative หรือ โทร. 09-2651-8866 และนี่ก็นับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ “ช่องทางทำกิน” จาก “เมนูขนม” ที่ทำเงินได้จากไอเดีย.

สุรางค์รัตน์ เจนการ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/299210/‘ไอศกรีมต้นไม้’+ขนมสไตล์เก๋..ไอเดียทำเงิน

Read More...


‘ขนมลากรอบ’ จับแป้งแปลงสูตรขายฉลุย


‘ขนมลากรอบ’
จับแป้งแปลงสูตรขายฉลุย

‘ขนมลากรอบ’ จับแป้งแปลงสูตรขายฉลุย
วันอาทิตย์ 15 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 05:30 น.

“ขนมลา” เป็นขนมหวานพื้นบ้านของทางภาคใต้ และเป็นขนมสำคัญหนึ่งในห้าชนิด ที่ชาวใต้ใช้สำหรับจัดถวายพระสงฆ์ในงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับ ขนมลาเป็นสัญลักษณ์แทนอาหารและแพรพรรณเครื่องนุ่งห่ม ปัจจุบันขนมลามีจำหน่ายตลอดทั้งปี ไม่ทำขายเฉพาะในเทศกาลอย่างที่เคยปฏิบัติมา และยังมี “ขนมลากรอบ” หรือลาม้วน ผลิตภัณฑ์ที่ดัดแปลงจากขนมลาดั้งเดิม เพื่อเอาใจลูกค้ายุคใหม่ วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” นำสูตรการทำขนมดังกล่าวมาแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพ

ผู้ที่จะมาให้ข้อมูลการทำขนมลากรอบแบบใหม่ หรือลาม้วน คือ ปรีดา ทองอยู่ หรือ “พี่ดา” ทายาทผู้สืบทอดการทำขนมพื้นบ้านปักษ์ใต้ “ขนมลาแม่สมจิตร” จังหวัดนครศรีธรรมราช เล่าให้ฟังว่า ที่ผ่านมาได้เรียนรู้การทำขนมลาจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ แต่เดิมไม่มีการทำขนมลาเป็นอาชีพ เพียงแต่จะทำกันเฉพาะในช่วงเทศกาลเดือนสิบ หรือเทศกาลชิงเปรต การทำแต่ละครั้งต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก เพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าเตาตลอดทั้งวัน ขนมลาดั้งเดิมมี 2 ชนิด คือ ลาเช็ด (ลานิ่ม) และลากรอบ ที่นำลาเช็ดมาโรยน้ำตาล แล้วนำไปตากแดด ในปัจจุบันมีการทำลากรอบแบบใหม่ เมื่อแป้งสุกแล้ว ม้วนเป็นแท่งกลม พักไว้จนเย็นจึงดึงไม้ออก

“ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นขนมชนิดนี้แล้ว เราเห็นพ่อเห็นแม่ทำ ก็นั่งดูเขา บางครั้งพ่อกับแม่ก็ให้ช่วยทำโน่นทำนี่บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ช่วยมาตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่นานก็เป็น มันชิน เพราะทำกันทุกปี เมื่อก่อนเขาไม่ได้เอามาขายกันแบบนี้ ส่วนใหญ่จะทำกันเฉพาะในช่วงเทศกาลเดือนสิบกันมากกว่า แต่เมื่อสัก 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มทำกันเป็นสินค้าชุมชน ทำให้มีรายได้ แต่เราจะขายอยู่ในพื้นที่เหมือนเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน เพราะที่ใต้ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ทำเป็นกันทั้งนั้น แม่พี่เลยต้องขึ้นมาขายที่กรุงเทพฯ ขายตามงานแสดงสินค้า งานเกษตรแฟร์ และงานโอทอป คนจะชอบมามุงดูวิธีการทำโชว์หน้าร้าน ทำให้ขายดีมาก”

อุปกรณ์ มี กระทะ, เตาแก๊ส, ถาด, แท่งอะลูมิเนียมสำหรับใช้ม้วนขนมลา, ไม้แหลมสำหรับแซะขนมยาวประมาณ 40 ซม., กระป๋องเจาะรู, ถัง, ทัพพี, ไม้หรือแท่งอะลูมิเนียมพันผ้าที่ปลายสำหรับเช็ดน้ำมัน เครื่องใช้อื่น ๆ หยิบยืมเอาได้จากในครัว

วัตถุดิบ ที่ใช้ในการทำก็มี แป้งมัน 10 กก., แป้งข้าวเจ้า 6 กก., น้ำมัน พืช, น้ำตาลปี๊บ 9 กก., น้ำตาลทรายแดง 1 กก., เกลือป่น 1 ถุง และน้ำสะอาด

ขั้นตอนการทำ “ขนมลากรอบ”

เริ่มจากนำแป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งมันให้เข้ากันดี ตั้งพักไว้

ผสมน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทรายแดง เกลือ และน้ำสะอาด ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ ให้ส่วนผสมน้ำตาลละลายเข้ากันดี เคี่ยวทิ้งไว้สักครู่ พอเป็นน้ำเชื่อมก็เป็นอันใช้ได้ แล้วยกลงตั้งพักไว้ให้เย็น

จากนั้นก็นำเอาแป้งที่ผสมเตรียมไว้มาทำการนวด โดยค่อย ๆ ใส่น้ำเชื่อมลงไปในอ่างผสมแป้งเรื่อย ๆ ใช้ไม้พายเล็ก ๆ นวดให้แป้งและน้ำเชื่อมเข้ากันดี ซึ่งการนวดแป้งนี้จะใช้เวลาประมาณ 30 นาที ตัวแป้งที่ได้จะมีลักษณะเหลว เหนียว ๆ ข้น ๆ มีสีน้ำตาลอ่อน (เหลวประมาณว่ายกแป้งแล้วเป็นสายไม่ขาดจากกัน) ตั้งทิ้งไว้สักครู่เพื่อให้แป้งเซตตัวเต็มที่

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทำตัวขนมลา เมื่อแป้งเซตตัวดีแล้ว ตั้งกระทะให้ไฟแรงปานกลาง พอกระทะร้อนได้ที่ดีแล้ว นำไม้หรือแท่งอะลูมิเนียมยาวที่พันผ้าไว้ตรงปลาย ซึ่งจุ่มน้ำมันเตรียมไว้ เช็ดให้ทั่วกระทะ ตักแป้งใส่กระป๋องสเตนเลสที่เจาะรูไว้ แล้วนำมาโรยวนทับไปทับมาให้ทั่วกระทะ 2-3 รอบ ให้เหมือนแพรไหม

เมื่อแป้งเริ่มมีสีเหลืองทอง ใช้ไม้แซะขนมขึ้นมาพันกับแท่งอะลูมิเนียม ม้วนให้เป็นแท่งกลม ๆ เอาขึ้นพักไว้จนเย็น ดึงแท่งอะลูมิเนียมออก (การทำขนมลาให้ทำวนไปเรื่อย ๆ) เมื่อต้องการจะหยุดพักก็ปิดแก๊ส

พี่ดา บอกอีกว่า การทำขนมลาอาจจะดูว่าทำยากไปนิด เพราะต้องใช้ทักษะ ต้องฝึก ไม่อย่างนั้นก็ไม่ออกมาเป็นรูปร่างเป็นผืนคล้ายตาข่าย แต่กำไรที่ได้ถือว่าสมกับค่าเหนื่อยทีเดียว กำไรในการขายขนมลาจะอยู่ที่ประมาณ 30-40% ถ้ากำลังหาอาชีพเสริมเป็นของตัวเอง การทำขนมลาขายก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้อาชีพอื่นเลย

สำหรับการขายขนมลากรอบ ขายเป็นถุง มีขนม 5 ชิ้น ราคา 35 บาท หรือขาย 3 ถุง 100 บาท!!

ใครสนใจขนมโบราณที่ทำจากภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่าง “ขนมลากรอบ” ก็ลองฝึกทำดู หรืออยากจะซื้อหามาลองชิมดู เจ้านี้จะออกขายที่งานแสดงสินค้าจังหวัด งานสมาคมชาวปักษ์ใต้ งานเกษตรแฟร์ และงานโอทอป ต้องการติดต่อไปออกงาน สอบถามรายละเอียดกับ พี่ดา ได้ที่โทร. 08-9252-3758

...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สามารถนำมาสร้างอาชีพได้อย่างน่าทึ่ง!!.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ

.............................................................................................

คู่มือลงทุน...ขนมลากรอบ

ทุนเบื้องต้น 8,000-10,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา

รายได้ 35 บาท/ถุง

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ตลาดน้ำ, ตลาดนัด, งานแสดงสินค้า

จุดน่าสนใจ ปรับสูตรทำขายได้ทั้งปี

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/301104//‘ขนมลากรอบ’+จับแป้งแปลงสูตรขายฉลุย

Read More...


ขนม ขี้มอด

ขนมขี้มอด เป็นขนมไทยโบราณของทางภาคใต้ มีส่วนผสมเป็นของพื้นบ้านที่หาได้ง่ายเพียง 4 อย่างก็จริง แต่ขนมชนิดนี้กลับถูกลืมเลือนไปเสียแล้ว อาจด้วยเพราะขั้นตอนการทำที่ต้องใช้ความใจเย็น และใส่ใจ จะละสายตาไม่ได้เลยทีเดียว เพราะจะพาน ให้ส่วนผสมไหม้เสียหมดอดกินเสียก่อน

คั่วจนทั้งสองอย่างเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง ส่งกลิ่นหอม
คุณแป๊บ–ลลิตา เลิศรัตนชัยกิจ หลานสาว คนเก่งของเถ้าแก่ศูนย์ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าอมร ที่โด่งดังย่านบ้านหม้อ โดยคุณแป๊บเข้ามารับ หน้าที่ดูแลด้านจัดซื้อของร้านอมร ทันทีที่เรียนจบจากสิงคโปร์ ในช่วงของการทำงานที่คุณแป๊บ แสนจะภูมิใจ คือเป็นลูกหลานครอบครัวอมรที่เป็นผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ซ่อม ซึ่งต้องคุมช่างกว่า 600 คน แต่พอแต่งงาน จึงลาออกมาช่วยธุรกิจสามี เมื่อธุรกิจที่ทำอยู่ตัว คุณแป๊บจึงหันมาบุกเบิกทำธุรกิจฟาร์มผักไฮโดรโปนิกส์ ย่านรามคำแหง 167 ส่งขายมากว่า 5 ปีแล้ว และยังนำผักในฟาร์มมาปรุงอาหารสไตล์อิตาเลียนขายในร้านอาหารโฮมเพรช ที่หน้าฟาร์มผักของตัวเองอีกด้วย และยังปรุงน้ำสลัดวางขายตามห้างฯ ภายใต้แบรนด์ De La Lita ด้วย โดยนำความรู้ที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยทำงานที่ร้านอมร ซึ่งต้องเดินทางเมืองนอกตลอด ทั้งยุโรป อเมริกา โดยคู่ค้าต่างประเทศที่รักใคร่กันพาเข้าครัว และบอกเคล็ดลับแบบเจาะลึก แถมยังได้ลองลิ้มชิมอาหารรสชาติต้นตำรับมาโดยตลอด จึงได้งัดวิชาความรู้เก่ามาใช้หาเลี้ยงชีพในปัจจุบัน

คุณแป๊บสืบทอดมาจากครอบครัว ซึ่งเป็นชาวพังงา
สำหรับขนมขี้มอดนี้ คุณแป๊บสืบทอดมาจากครอบครัว ซึ่งเป็นชาวพังงา โดยมีส่วนผสมเพียง 4 อย่าง ได้แก่ ข้าวสาร 1 ถต. / มะพร้าวขูดขาว 3 ถต. / น้ำตาลทรายแดง 4 ชต. / เกลือป่น เพียงปลายช้อน.....วิธีทำ 1) นำข้าวสารไปแช่น้ำ 10 นาที แล้วผึ่งให้แห้ง ค่อยนำไปคั่ว ส่วนมะพร้าวขูดก็นำไปคั่วเช่นกัน ด้วยไฟปานกลาง จนข้าวสารและมะพร้าวเริ่มเปลี่ยนสี จึงลดไฟลง โดยต้องคอยคนคอยเขย่ากระทะ อย่าได้เผลอลืมเป็นอันขาด คั่วจนทั้งสองอย่างเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทอง ส่งกลิ่นหอม และกรอบขึ้นเรื่อยๆ หากมีเตา 2 หัว ยิ่งสะดวก ตั้งกระทะ 2 ใบ คั่วไปพร้อมๆกันรวดเร็วดี 2) มะพร้าวคั่วกรอบได้ที่จัดการโรยเกลือ 3) ส่วนข้าวคั่วได้ที่แล้ว นำมาโขลกให้ละเอียดแล้วพักไว้ 4) ส่วนมะพร้าวคั่วใส่ครก ใช้สากบดให้ละเอียด 5) ผสมข้าว มะพร้าว ที่โขลกและบดจนละเอียด และน้ำตาล ขณะยังร้อน เพื่อให้น้ำตาลบางส่วนละลายเกาะกับขนม บางส่วนยังเป็นเกล็ด ไปละลายในปาก

ส่วนผสม
วิธีทำ
ขนมขี้มอดนี้มีลักษณะเป็นผงสีน้ำตาล มองเผินๆคล้ายขี้ของตัวมอด สมกับชื่อขนม
ขนมขี้มอดนี้มีลักษณะเป็นผง สีน้ำตาล มองเผินๆคล้ายขี้ของตัวมอด สมกับชื่อขนมนี้ แถมมีวิธีการกินที่ชวนสนุกสนาน โดยใส่ขนมลงในกรวยกระดาษ เวลากิน เคาะขนมให้ตกลงก้นกรวยฉีกปลายกรวยแหลม แล้วยกเทเข้าปาก ส่วนเคล็ดลับการทำ : มะพร้าวหากคั่วไม่แห้งสนิทดีจะเกิดเชื้อราได้ง่าย การตำข้าวในขณะที่ยังร้อนจะทำให้แหลกง่าย ส่วนมะพร้าวใช้สากบดกับครก อย่าตำ เพราะน้ำมันในมะพร้าวจะออกมาได้.

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/479057

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.