สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

รู้ไว้ใช่ว่า ! เช็กลิสต์ 6 อาหารต้องห้าม ยิ่งกินเยอะ ยิ่งทำร้ายสมอง !


อาหารบางอย่างหากคุณทานเยอะไปก็ใช่ว่าจะให้ประโยชน์กับร่างกาย สัปดาห์นี้ ไทยรัฐออนไลน์ จะพาคุณไปเช็กลิสต์ 6 อาหารให้โทษ ซึ่งถ้าคุณทานในปริมาณที่มากเกินไป อาหารเหล่านี้จะเข้าไปทำร้ายสมองคุณ ให้คุณรู้สึกเฉื่อยชา ขี้หลงขี้ลืม หดหู่เศร้าหมองแบบไม่มีเหตุผล ไม่มีเรี่ยวแรง และรู้สึกขี้เกียจที่จะทำอะไรเลยตลอดวัน … ลองเลื่อนอ่านดูโดยเร็ว ไม่แน่หนึ่งในนั้นอาจเป็นอาหารที่คุณทานเป็นประจำอยู่ก็ได้ !
1. ทูน่า
ถ้าคุณชอบทานอาหารทะเลเป็นชีวิตจิตใจ และคิดว่ามันให้โปรตีน มีไอโอดีนสูง มีประโยชน์ต่อร่างกายแบบสุดๆ โดยเฉพาะปลาทะเล แน่ล่ะว่าเราโอเคที่จะให้คุณทาน แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ! 'ทูน่า' จัดเป็นปลาทะเลที่เราอยากแนะอยากให้คุณทานแต่น้อย เพราะจากผลการวิจัยมหาวิทยาลัยทางใต้ของฟลอริดา เผยว่า ปลาทูน่ามีสารปรอทเจือปนค่อนข้างมาก ซึ่งหากคุณทานบ่อยๆ เข้า มันจะส่งผลเสียต่อสมองของคุณ เช่น ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง (สมอง และไขสันหลัง) ทำให้เสียการควบคุมการเคลื่อนไหวของแขน ขา และการพูด อีกทั้งยังทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไปด้วย …
ฉะนั้นถึงคุณจะชอบทานปลาทะเลมากแค่ไหนก็ตาม ก็ควรทานปลาทูน่าในปริมาณที่เหมาะสม โดยคุณสามารถทานปลาทะเลอย่างอื่นเพิ่มขึ้นได้ อย่างเช่น ปลาแซลมอน ปลาซาดีน และปลาแมคเคอเรล ที่มีสารปรอทเจือปนในปริมาณน้อยกว่า แถมยังมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยลดคลอเรสเตอรอลได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นกัน!

หลีกเลี่ยง 'ทูน่า' ไว้ๆ ...
2. อาหาร/เครื่องดื่มผสมน้ำตาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'เครื่องดื่มอัดลม' ทั้งหลายที่คุณชอบดื่มเป็นประจำ ถึงมันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และคลายความกระหายน้ำได้ก็จริง แต่รู้ไหมถ้าคุณดื่มมากไป นั่นจะทำให้ระดับ 'อินซูลิน' ในร่างกาย(น้ำตาลในเลือด)เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และส่งผลเสียต่อความจำระยะยาวในสมองตามมา ซึ่งคุณจะมีปัญหาด้านความจำ ขี้หลงขี้ลืมเป็นบางครั้ง คล้ายกับโรค 'อัลไซเมอร์' ที่สมองด้านความจำทำงานได้ไม่เต็มที่ 100 % อีกทั้งน้ำตาลที่คุณบริโภคเป็นจำนวนมากยังส่งผลต่อความรู้สึก อย่างเช่น คุณจะรู้สึกเศร้าหมองไปเอง ซึมเศร้าในบางครั้งแบบไม่มีเหตุผล

เซย์โน ! อาหาร/เครื่องดื่มผสมน้ำตาล
3. อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
คุณจะพบไขมันอิ่มตัวสูงนี้ได้จาก น้ำมันปาล์ม, กะทิ, เนย, นม, เนื้อแดง และช็อกโกแลต ที่คุณทานเป็นประจำทุกวัน หากคุณบริโภคเป็นจำนวนมากในทุกๆ วัน มันก็จะสะสม และเข้าไปทำร้ายสมองในระยะสั้น-ลดความสามารถของสมอง เสี่ยงที่จะเป็นโรค 'อัลไซเมอร์' มากยิ่งขึ้น ไขมันอิ่มตัวนี้จะส่งผลต่อความจำในสมองคุณ ทั้งในเรื่องความจำ การเรียนรู้ การปะติดปะต่อเรื่องราว และเมมโมรี่ใหม่ๆ ที่เพิ่งผ่านเข้ามา ทำให้คุณสามารถลืมมันได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่างเช่น 10 นาทีหลังจากที่เรื่องราวเพิ่งเกิดขึ้น รวมทั้งมันยังให้โทษกับร่างกาย ทำให้ไขมันในเลือดพุ่งสูงขึ้น และเสี่ยงเป็นโรค 'หลอดเลือดตีบ' อย่างช่วยไม่ได้
ฉะนั้นทางที่ดีเราแนะนำว่า คุณควรบริโภคในปริมาณที่พอดี อย่างมากที่สุดสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ก็น่าจะโอเคแล้วล่ะ !

อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ...

4. อาหารแปรรูป
อาหารแปรรูปบางอย่างไม่ได้มีไขมัน และให้น้ำตาลในปริมาณที่สูงก็จริง หากแต่มันประกอบด้วยโซเดียมเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าคุณสะสมโซเดียมในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะเข้าไปทำร้ายสมองคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว ทำให้สมองของคุณรู้สึกงงงวย-สับสน ทำให้การรับรู้-กระบวนการคิดไม่ได้สมรรถภาพเต็มร้อยอย่างที่ควร ความดันเลือดสูงขึ้น(เกิดจากการบีบตัวของห้องหัวใจ) และสุขภาพหัวใจแย่ลง … รู้แบบนี้แล้ว สำหรับใครที่ชอบทานอาหารแปรรูป เพราะคิดว่ามันทานง่าย สะดวก และรวดเร็ว คงต้องเปลี่ยนความคิดไปได้เลย ก่อนที่สุขภาพสมอง และร่างกายจะแย่ไปกว่านี้ !!

อาหารแปรรูป ... ประกอบด้วยโซเดียมอันตรายย
5. ฟาสต์ฟู้ด
อย่างที่คุณรู้ … อาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นตัวฉกาจร้ายที่ทำให้คุณอ้วน และยังให้สารอาหารไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ (คุณก็ยังทานมันอยู่ดี) แต่ทว่าจริงๆ แล้วมันยังให้โทษมากกว่านั้น … มาก โดยเฉพาะเป็นตัวทำร้ายสมองของคุณชั้นดี เพราะในฟาสต์ฟู้ดมีทั้ง กรดไขมันอิ่มตัว, ไขมันไม่อิ่มตัว, โซเดียม และน้ำตาล ที่ล้วนแต่เป็นตัวเร่ง/ตัวแปร ทำให้ความสามารถในการทำงานของสมองลดลงทั้งสิ้น ซึ่งจากผลการวิจัย เผยว่า คนที่นิยมทานฟาสต์ฟู้ดเป็นประจำแทบทุกวัน เฉลี่ยประมาณ 40% จะมีความเสี่ยงสูงที่จะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า-หดหู่ รู้สึกไม่มีความสุขโดยไม่มีเหตุผล และมีความจำสิ่งต่างๆ แย่ลง มากกว่าคนที่ทานนานๆ ครั้งซะอีก

ฟาสต์ฟู้ด ... ตัวฉกาจร้ายทำลายสมอง !!
6. อาหารเสริมธาตุเหล็ก และทองแดง
ข้อสุดท้ายนี้เราขอมาร์คไว้เลยว่า คุณควรทานเมื่อแพทย์แนะนำเท่านั้น ! ถึงแร่ธาตุสำคัญต่อสุขภาพคุณอย่างมาก แต่หากคุณซื้อมาทานเอง และทานในปริมาณเกินไป(คิดว่าตัวเองมีเม็ดเลือดต่ำ แล้วต้องการทานเสริมสร้างเม็ดเลือด) มันอาจส่งผลลัพธ์ในทางลบมากกว่าบวก ให้โทษอันตรายกลับมาแทน อย่างถ้าคุณบริโภคทองแดง หรือธาตุเหล็ก เกินขีดจำกัด/เกินกว่าที่ร่างกายยอมรับได้ มันจะให้ผลย้อนกลับ โดยเข้าไปขัดขวางการทำงาน บล็อกการสื่อสารของเซลล์บางตัวในสมอง นำไปสู่เซลล์เส้นประสาทตาย หรือสลายโปรตีน 'แอมีลอยด์ บีตา(Beta-amyloid)' ในสมอง ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมตามมา ซึ่งนั่นจะมีผลสำคัญในเรื่องการเรียนรู้ และความจำ
อย่างไรก็ดี ทองแดงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะโรคหิตจาง(โดยเฉพาะผู้หญิงวัยที่มีประจำ เดือน) ช่วยลดอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ส่วนธาตุเหล็กนั้น จะช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงจากภาวะกระดูกพรุน และบรรเทาปวดจากข้ออักเสบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

อาหารเสริมธาตุเหล็ก และทองแดง ... ทานเมื่อแพทย์แนะนำเท่านั้น !
ที่มา : womenshealthmag

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/485658

Read More...


‘ข้าวต้มปลาแซลมอน’ แห้ง-น้ำ ตามใจสั่ง


ต้มน้ำซุปจากกระดูกหมู ด้วยการล้างกระดูกหมูให้สะอาด เวลาน้ำเดือดปุด ๆ นำลงไปต้ม ระหว่างนั้นคอยช้อนฟองทิ้ง พอได้ที่แล้วกรองอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้น้ำใส

บ่นเสียดายโอกาสไม่ได้สูตรอาหารทั้งไทย จีน และขนมไทย มาจากคุณแม่ “สุวิมล” เต็มร้อย เนื่องจากวัยเด็ก มักโดนไล่ไปอ่านหนังสือมากกว่าตำน้ำพริกทำกับข้าว ทว่าฝีมือการทำอาหารและการจัดการของ แพร-พัชรพิมล ยังประภากร ประธานบริษัท ซีเวอร์ ซีเอ็กโซติก เลเธอร์ จำกัด เจ้าของกระเป๋าแบรนด์หรูอย่าง “สุวิมล” ก็ยังเจ๋งไม่แพ้การพาแบรนด์กระเป๋าหนังของเมืองไทยโกอินเตอร์

คุณแพรเล่าว่า “หลังจากเรียนจบก็ทำงาน ไม่เคยเข้าครัวจริงจัง พอมีครอบครัว มีลูก ๆ ก็ทำบ้าง แม้มีแม่บ้าน มีแม่ครัว เราก็ต้องคอยกำชับดูแลว่าจะทำอะไร ใช้สูตรไหน ก็จะสอนไว้เพื่อให้รสชาติถูกปากลูก ๆ แม้ไม่ได้เข้าครัวจริงจังเป็นแม่บ้านเลย แต่ก็เรียนรู้ดูมาจากคุณแม่ แพรคิดว่าผู้หญิงเราต้องรู้เรื่องพวกนี้ไว้ ถึงเราไม่มีเวลาทำแต่เราก็สอนให้คนทำได้ จำเป็นต้องรู้จริงเพื่อที่จะสอนแม่ครัวได้ เป็นเสน่ห์ปลายจวักอีกแบบหนึ่ง”

รสนิยมการกินอาหาร ต้องยกให้บ้าน “ยังประภากร” เป็นนักชิมอินเตอร์ เพราะชื่นชอบอาหารหลากหลาย ทั้งไทย อินเดีย ยุโรป จีน เวียดนาม และเกาหลี ประกอบกับกรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งศูนย์รวมอาหารนานาชาติ หาชิมได้ไม่ยากโดยเฉพาะย่านสุขุมวิท คุณแพรและลูก ๆ ทั้ง 4 คน จึงมักใช้เวลาว่างเสาะแสวงหาร้านอร่อย “พวกเรากินข้าวนอกบ้านกันบ่อย ตลอดทั้งวันต่างคนต่างกระจัด กระจายไปทำธุระ ตกเย็นจะนัดรวมตัวชวนกันไปชิมอาหารประจำ” ซิงเกิ้ลมัมคนเก่งเผยไลฟ์สไตล์ส่วนตัว

ส่วนมื้อเช้า “ครอบครัวเราชอบกินข้าวต้มกัน” คุณแพรเล่าที่มาของเมนู “ข้าวต้มปลาแซลมอน” ของวันนี้แล้วอธิบายว่า “ปกติตอนเช้าเป็นชั่วโมงเร่งรีบ อาหารจานเดียวจึงค่อนข้างสะดวก โดยเฉพาะข้าวต้มที่สามารถเปลี่ยนได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มหมู ข้าวต้มไก่ ข้าวต้มปลากะพง ข้าวต้มปลาจะละเม็ด จนกระทั่งปลาแซลมอนเข้ามาในเมืองไทย ส่วนใหญ่เรากินปลาแซลมอนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในรูปแบบซาซิมิ ซูชิ ระยะหลังมีวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เกต แพรก็คิด เอ๊ะ...ถ้าเอาปลาแซลมอนมาทำข้าวต้มน่าจะอร่อยนะ อีกทั้งทำง่าย เนื้อปลาก็นุ่ม ลองทำดูทุกคนติดใจความอร่อย ค่อนข้างเป็นอาหารประจำบ้านเช่นกัน”

วัตถุดิบและส่วนผสม ข้าวสวยหุงปกติ 1 ถ้วย, ปลาแซลมอน 5 ขีด, ใบตั้งโอ๋ 4 ต้น, เกลือ 1 ช้อนชา, น้ำตาลกรวด 2 ช้อนชา, ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ, ต้นหอม ผักชี ขิง และกระเทียมเจียวน้ำมัน ตามชอบ

วิธีทำ ต้มน้ำซุปจากกระดูกหมู ด้วยการล้างกระดูกหมูให้สะอาด เวลาน้ำเดือดปุด ๆ นำลงไปต้ม ระหว่างนั้นคอยช้อนฟองทิ้ง พอได้ที่แล้วกรองอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้น้ำใส จากนั้นนำมาตั้งไฟพอน้ำเดือดใส่ข้าวสวยลงไป เคี่ยวสักครู่รอให้น้ำซุปซึมเข้าเนื้อข้าว ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาล ใส่น้ำมันกระเทียมเจียว 3 ช้อนชา แล้วเหยาะพริกไทยช่วยดึงกลิ่น ใส่ใบตั้งโอ๋และปลาแซลมอนแล้วปิดฝาและปิดไฟทันที ตักเสิร์ฟพร้อมกับขิงซอย ต้นหอมซอย และผักชี

เคล็ดลับความอร่อย คุณแพรแนะนำไม่ควรต้มปลาแซลมอนให้สุกเกินไป เพราะเนื้อจะแข็งกระด้างลิ้น เสิร์ฟพร้อมขิงซอย ต้นหอมซอย นอกจากนี้ควรใช้ซีอิ๊วเพราะเข้ากับปลาแซลมอนมากกว่าน้ำปลา สำหรับคนชอบกินแบบแห้ง เพียงลวกปลาแซลมอนโปะราดข้าว เติมเครื่องเคียงอย่างขิงซอย ต้นหอมซอย และผักซี เติมซีอิ๊วเพิ่มรสชาติ เลือกความอร่อยทุกมื้อเช้าได้ตามความชอบไม่ว่าแห้งหรือน้ำ.

‘ช้องมาศ’

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/307283/‘‘ข้าวต้มปลาแซลมอน’+แห้ง-น้ำ+ตามใจสั่ง

Read More...


‘กระทะร้อนญี่ปุ่น’ เมนูริมทางทำเงินงาม!!




ปัจจุบันการหาอาหารญี่ปุ่นรับประทาน ถือเป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านระดับพรีเมียม หรืออาหารญี่ปุ่นที่จัดสรรเป็นคำ เพื่อง่ายต่อการรับประทาน ซึ่งรสชาติก็ต้องมีการปรับให้คุ้นลิ้นกับคนไทย ดังนั้นการที่จะหาอาหารญี่ปุ่นรับประทานแบบฉบับของคนญี่ปุ่นโดยแท้ คงจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่ใครจะเชื่อว่าในร้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ที่ตลาดนัดริมทางด่วนรามอินทรา จะยกเมนูอาหารจากประเทศญี่ปุ่นมาให้คนไทยได้ลิ้มลอง วันนี้คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” จึงนำข้อมูล “กระทะร้อนญี่ปุ่น” มานำเสนอ......

บี๋-ศุภศิริ ถาวรรัตน์ และ กิ๊ก-อรฐษา ถาวรรัตน์ สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่น “โอโตซัง” บี๋เล่าให้ฟังถึงที่มาของการเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นริมทางว่า เกิดจากความชื่นชอบในการทำอาหาร และเคยเป็นเชฟอาหารญี่ปุ่นที่ประเทศอเมริกามาตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปี เพราะเขาเกิดและโตที่นั่นจึงได้อเมริกันซิตีเซ่น และมักจะเดินทางมาเยี่ยมคุณแม่ปีละครั้ง

เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตัดสินใจกลับมาอยู่ถาวร และได้แต่งงานมีครอบครัว ทั้งเขาและแฟนต่างก็มีงานประจำเป็นอาจารย์ ด้วยความที่มีใจรักในการทำอาหาร และแฟนชอบกิน จึงตัดสินใจเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ ในสไตล์ของตัวเอง

“ผมฝันจะทำแฟรนไชส์ อยากให้ร้านอาหารของผมเข้าไปอยู่ในที่ต่าง ๆ อยากให้คนที่มีความฝันเช่นผม ได้เริ่มต้นทำธุรกิจโดยไม่ต้องมีเงินเยอะ เสร็จจากงานสอน เราจะผลัดกันซื้อของก่อนเข้าร้านทุกวัน เมนูที่ร้านไม่เยอะ เพราะต้องการควบคุณคุณภาพอาหารให้ได้มาตรฐาน วัตถุดิบที่ใช้ก็นำเข้าจากญี่ปุ่น 80% ผมจะปรุงทำสด ๆ ใหม่ ๆ จานต่อจาน เวลาเสิร์ฟกระทะร้อนเสียงจะดังฉ่า ๆ ควันฉุย ๆ”

เมนูหลักของที่ร้านโอโตซัง มี ซู่ซ่ากระทะร้อนไก่เทริยากิ, ซู่ซ่ากระทะร้อนหมูเทริยากิ, ซู่ซ่ากระทะร้อนแซลมอนเทริยากิ (เสิร์ฟพร้อมกับข้าวญี่ปุ่นร้อน ๆ และน้ำซุป) และเมนูแนะนำ คือ สลัดเห็ดญี่ปุ่น ซึ่งใช้ผักสด ๆ กรอบ ๆ กับเห็ดญี่ปุ่นผัดราดน้ำสลัดงาญี่ปุ่น, สลัดหมูย่าง, สลัดไก่ย่าง, ยากิโทริไก่ย่าง, ยากิโทริแซลมอน, เบคอนพันเห็ดเข็มทอง (ทานกับซอลพอนซึ), ยำสาหร่าย,มิโซซุป, ข้าวญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็จะมีบริการชาเขียวเย็น และน้ำแข็งไสถั่วแดง

อุปกรณ์ หลัก ๆ ที่ใช้ก็มี...เตาแก๊ส, กระทะเทฟล่อน, ชุดกระทะร้อน (มีจานกระทะร้อนกับไม้รอง), ขวดพลาสติกสำหรับใส่น้ำมันพืช, ขวดพลาสติกสำหรับใส่น้ำสลัดและน้ำซอสเทอริยากิ, ที่คีบอาหาร, ตะแกรง, หม้อสเตนเลส, ทัพพี, ขวดใส่งาคั่วและเครื่องปรุง, เตาย่างไฟฟ้า, เตาอบ, มีดสไลด์ผักและเนื้อต่าง ๆ, เขียง, เครื่องไม้เครื่องมืออื่นก็หยิบยืมเอาจากในครัวได้

วัตถุดิบ ที่ใช้ในการทำกระทะร้อนญี่ปุ่นมี เนื้อไก่, เนื้อหมู, ปลาแซลมอน, ซอสเทริยากิ, แครอท, กะหล่ำปลี, หอมหัวใหญ่, น้ำมันงา, เนย และงาขาวคั่ว

การทำ ซอสเทริยากิ ส่วนผสมมี โชยุ (ซีอิ๊วญี่ปุ่น), สาเก (เหล้าญี่ปุ่น), มิริน (ไวน์ที่ทำจากข้าวเหนียวของญี่ปุ่น), ขิงแก่สับ, กระเทียมสับ, น้ำมันงา, น้ำสต๊อก, น้ำตาลทรายแดง และแป้งข้าวโพด

วิธีทำคือ ผสมโชยุ, สาเก, มิริน ลงในหม้อน้ำสต๊อก ยกขึ้นตั้งไฟ ใส่ขิงสับ,กระเทียมสับ และน้ำมันงาลงไป เคี่ยวทิ้งไว้สักครู่พอน้ำซอสเริ่มมีกลิ่นหอม ใส่น้ำตาลทรายแดง คนให้ละลาย เคี่ยวไว้สักพักจึงยกลง ทำการกรองเอาขิงกับกระเทียมออก เสร็จแล้วนำขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง ละลายแป้งข้าวโพดกับน้ำเตรียมไว้ พอน้ำซอสร้อน ค่อย ๆ เติมน้ำแป้งข้าวโพดลงไประหว่างที่คนซอส เพียงเท่านี้ก็จะได้น้ำซอสเทอริยากิ ซอสเทริยากิ จะทำวันเว้นวัน สูตรนี้ได้ทั้งหมัก ทั้งจิ้ม และราดข้าวได้ด้วย

ขั้นตอนการทำ “กระทะร้อนญี่ปุ่น”

เริ่มจากนำเนื้อหมูและเนื้อไก่มาล้างน้ำสะอาด แล้วซับให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นยาว ประมาณ 5-6 นิ้ว กว้างประมาณ 2 นิ้ว ใส่ในภาชนะ นำซอส

เทริยากิ, มิริน, น้ำมันงา และเกลือ ใส่ลงไป คลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน หมักทิ้งไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง หรือข้ามคืนเก็บไว้ในตู้เย็นก็ได้ ส่วนเนื้อปลาแซลมอนใช้สด ๆ ไม่ต้องหมัก แต่ก่อนจะนำไปปรุงให้หั่นชิ้นหนาขนาด 1 นิ้ว เตรียมไว้

นำเนื้อหมู เนื้อไก่ ที่หมักมาเข้าเตาอบ ก่อนจะนำไปย่างบนตะแกรง ด้วยไฟปานกลางจนส่งกลิ่นหอมฉุย ก็เป็นอันใช้ได้ ระหว่างรอนำกะหล่ำปลี แครอท และหอมหัวใหญ่ที่ปอกเปลือกแล้วมาล้าง และหั่นซอยชิ้นเล็ก ๆ รวมกันเตรียมไว้

เมื่อต้องการจะใช้นำเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ที่ย่างมาหั่นแฉลบเป็นชิ้นพอคำพักไว้ จากนั้นนำจานกระทะร้อนตั้งบนไฟแรง ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะเล็กน้อย นำผักสามชนิดที่หั่นเตรียมไว้ใส่ลงไป ใช้ที่คีบเคล้าเบา ๆ ใส่ซอสเทริยากิลงไปเล็กน้อย เคล้าอีกครั้งพอผักเริ่มสลบ ก็ยกจานกระทะร้อนวางลงในไม้รอง นำเนื้อหมู เนื้อไก่ ที่หั่นเตรียมไว้มาวางลงบนผัก ราดด้วยซอสเทริยากิ ตามด้วยงาขาวคั่ว ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ส่วนกระทะร้อนแซลมอน นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย นำปลาแซลมอนที่หั่นเตรียมไว้ใส่ลงไป ใส่เนยลงไปเคล้ากับปลาแซลมอน สังเกตพอเนื้อปลาเริ่มเปลี่ยนสี ใช้ที่คีบพลิกกลับด้านปลา ใส่ซอสเทริยากิลงไป กลิ้งปลาให้เข้ากับซอส เทปลาแซลมอนวางพักไว้ในถ้วย ขั้นตอนการเอาผักและปลาลงในจานกระทะร้อน ก็เหมือนกับกระทะร้อนหมูและไก่

สำหรับเมนูกระทะร้อน จะขายเป็นชุด กระทะร้อนจะเสิร์ฟพร้อมข้าวญี่ปุ่นและน้ำซุป ซู่ซ่ากระทะร้อนไก่ ราคาชุดละ 69 บาท, ซู่ซ่ากระทะร้อนหมู ราคาชุดละ 79 บาท และซู่ซ่ากระทะร้อนแซลมอน ราคาชุดละ 99 บาท

สนใจอยากจะลองชิมอาหารญี่ปุ่นสไตล์กระทะร้อน “โอโตซัง” เจ้านี้ ขายประจำทุกวันที่ตลาดนัดเลียบทางด่วนรามอินทรา ตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. ทุกวัน ร้านจะอยู่ตรงโซนอาหารติดกับลานจอดรถ ติดต่อสอบถาม อ.กิ๊ก ได้ ที่โทร. 08-5066-2576 และติดตามดูข้อมูลร้านได้ทางได้ Facebook Fan Page เสิร์ชหาคำว่า Otosan Teriyaki Bar

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าลงทุน เพราะทำง่าย ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก เพียงแค่คุณมีความพร้อมและใจรัก!!.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / ภานุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

.................................................................................................

คู่มือลงทุน...กระทะร้อนญี่ปุ่น

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา

รายได้ ราคาขาย 69-99 บาท/ชุด

แรงงาน ตั้งแต่ 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ตลาดน้ำ, ชุมชน, ตลาดนัด

จุดน่าสนใจ กระทะร้อนสไตล์ญี่ปุ่นเป็นจุดขาย
credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/307478/‘กระทะร้อนญี่ปุ่น’+เมนูริมทางทำเงินงาม!!


Read More...


‘สตรอเบอรี่-เสาวรส’ ปั่นทำเงิน...ช่วงหน้าร้อน



น้ำผลไม้ปั่นที่ทำนั้น จะไม่มีการผสมหัวเชื้อเพื่อแต่งกลิ่นแต่งรส แต่จะเป็นผลไม้สดตามธรรมชาติ 100% และไม่ใส่สี ไม่ใช้สารกันบูดด้วย ซึ่งลูกค้าที่ได้ชิมจะติดใจที่ความสดของผลไม้

อากาศร้อน ๆ ช่วงนี้ ถ้าได้ “น้ำผลไม้ปั่น” เย็น ๆ สักแก้วคงชื่นใจไม่ใช่น้อย นอกจากจะดับกระหาย ช่วยผ่อนคลายจากความร้อนแล้ว ยังอร่อยและมีประโยชน์ด้วย ทั้งนี้ กับ “น้ำผลไม้ปั่น” ก็เป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” น่าสนใจใช้ทำเป็นอาชีพได้ อย่างเช่น “น้ำสตรอเบอรี่-น้ำเสาวรสปั่น” ของ “ดุสิต ตงสาลี-อัญมณี มทายศนันท์” ที่สร้างรายได้ให้ทั้งคู่ ในช่วงที่อากาศร้อนอย่างตอนนี้ ที่วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลนำมาให้พิจารณากัน...

ดุสิต และ อัญมณี เจ้าของ “ร้านคุณนายสตอเบอรี่” ผู้ผลิตน้ำสตรอเบอรี่-น้ำเสาวรสปั่น และสตรอเบอรี่- เสาวรสลอยแก้วเล่าว่า ยึดการทำน้ำผลไม้ปั่นและผลไม้ลอยแก้วเป็นอาชีพมานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยเริ่มเปิดร้านจำหน่ายน้ำปั่นเป็นแก้ว ๆ ย่านมหาวิทยาลัยมหิดล และตระเวนขายตามตลาดชื่อดังหลายแห่ง อาทิ ตลาดคลองลัดมะยม ตลาดพระปิ่น 3 ตลาดชิลชิล และที่ตลาดนัดวัดพุทธฯ จังหวัดนนทบุรี สำหรับจุดเด่นน้ำสตรอเบอรี่และน้ำเสาวรสปั่นนั้น ที่ร้านจะเน้นใช้ผลไม้สด โดยนำไปแช่เย็นในอุณหภูมิเย็นจัดจนผลไม้แข็งตัว ก่อนนำมาปั่นเพื่อทำเป็นน้ำผลไม้

“น้ำผลไม้ปั่นที่ทำนั้น จะไม่มีการผสมหัวเชื้อเพื่อแต่งกลิ่นแต่งรส แต่จะเป็นผลไม้สดตามธรรมชาติ 100% และไม่ใส่สี ไม่ใช้สารกันบูดด้วย ซึ่งลูกค้าที่ได้ชิมจะติดใจที่ความสดของผลไม้ ปัจจุบันนอกจากทำขายที่ร้านแล้ว ยังรับทำตามออร์เดอร์ด้วย และจากเดิมที่ทำขายเป็นแก้ว ๆ ก็พัฒนามาเป็นน้ำผลไม้ปั่นบรรจุขวด และยังแตกไลน์ออกมาทำเป็นสตรอเบอรี่กับเสาวรสลอยแก้ว เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า” ...เจ้าของสูตรกล่าว

การผลิต “น้ำผลไม้ปั่น” เจ้าของสูตรร้านนี้ ระบุว่า เน้นผลิตวันต่อวัน โดยทำพอดีเท่าที่จะทำขาย เพื่อให้วัตถุดิบสดใหม่อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้จึงต้อง “คำนวณวัตถุดิบ” ที่จะใช้ให้พอดีกับ “ปริมาณการผลิต” โดยที่ร้านจะใช้สตรอเบอรี่และเสาวรส เฉลี่ยแล้ว ชนิดละประมาณ 100 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งน้ำผลไม้ปั่นที่บรรจุขวดแล้ว สามารถแช่เย็นหรือฟรีซเก็บไว้ได้ประมาณ 7 วัน... ทั้งนี้ การคำนวณวัตถุดิบให้สอดคล้องกับปริมาณการผลิต นับเป็น “กรณีศึกษา” สำหรับผู้ที่สนใจในอาชีพ “ทำน้ำผลไม้ปั่น” นี้

ทุนเบื้องต้น ใช้เงินลงทุนประมาณ 100,000 บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าวัสดุและอุปกรณ์ อาทิ ตู้เย็น (แบบมีระบบทำความเย็นจัดหรือระบบฟรีซ) กับเครื่องปั่นผลไม้ (แบบอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถปั่นผลไม้ได้ครั้งละ 10 กิโลกรัม) ทุนวัตถุดิบ เฉลี่ยแล้วตกอยู่ที่ประมาณ 12 บาทต่อขวด รายได้ ถ้าหากเป็นราคาขายปลีกอยู่ที่ขวดละ 20 บาท ส่วนราคาขายส่งอยู่ที่ขวดละ 15 บาท

อุปกรณ์ ประกอบด้วย ตู้เย็น, เครื่องปั่น, ขวดพลาสติก, ถ้วยพลาสติก, กะละมัง วัตถุดิบ สำหรับทำ “น้ำสตรอเบอรี่-น้ำเสาวรสปั่น” ประกอบด้วย สตรอเบอรี่กับเสาวรสสดแช่แข็ง, เกลือ, น้ำเปล่า, น้ำเชื่อม

ขั้นตอนการทำ... น้ำสตรอเบอรี่-น้ำเสาวรสปั่น เริ่มจากการนำสตรอเบอรี่และเสาวรสที่แช่แข็งไว้มาทำการปั่นด้วยเครื่องปั่นแบบอุตสาหกรรม ที่สามารถปั่นผลไม้ได้คราวละ 10 กิโลกรัม เมื่อนำผลไม้ใส่ลงไปแล้ว ให้เติมน้ำสะอาดลงไปประมาณ 10 ลิตร เติมเกลือลงไปประมาณ 1 ช้อนชา จากนั้นทำการปั่น โดยควรปั่นให้ได้ความละเอียดพอดี คือไม่ละเอียดหรือหยาบจนเกินไป ซึ่งขั้นตอนปั่นผลไม้นี้ ใช้เวลาประมาณ 20 วินาที โดยหลังจากที่ปั่นเสร็จแล้ว ให้นำน้ำปั้นผลไม้ที่ได้มาบรรจุขวดพลาสติก ขนาด 220 มิลลิลิตร เสร็จแล้วนำเข้าตู้เย็นเพื่อแช่แข็ง ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลาในการแช่แข็งน้ำผลไม้ประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งจะได้น้ำสตรอเบอรี่และน้ำเสาวรสปั่นเป็นเกล็ดน้ำแข็งพร้อมขาย พร้อมดื่ม

“น้ำที่ใช้ทำน้ำผลไม้ปั่นควรใช้น้ำสะอาดที่ผ่านเครื่องกรองอย่างดี เพราะส่วนผสมนี้มีส่วนช่วยทำให้รสชาติน้ำผลไม้ปั่นที่ทำดีขึ้นด้วย” ...เป็นเคล็ดลับที่ทางเจ้าของสูตรการทำ “น้ำผลไม้ปั่น” เจ้านี้ได้ให้คำแนะนำกับผู้ที่สนใจทำอาชีพนี้

สำหรับการทำ “สตรอเบอรี่-เสาวรสลอยแก้ว” นั้น เริ่มจากนำสตรอเบอรี่และเสาวรสที่แช่แข็งไว้ประมาณ 10 กิโลกรัมมาใส่กะละมัง ใส่เกลือ และเทน้ำเชื่อมผสมลงไป จากนั้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วนำตักบรรจุใส่กระปุกไปแช่แข็งหรือฟรีซในตู้เย็น โดยทิ้งไว้ประมาณ 8 ชั่วโมง ผลไม้ลอยแก้วที่บรรจุกระปุกนั้นก็จะเป็นเกล็ดน้ำแข็ง พร้อมสำหรับขายหรือทาน

“การทำน้ำสตรอเบอรี่กับน้ำเสาวรสปั่น และการทำสตรอเบอรี่กับเสาวรสลอยแก้วนั้น ก่อนจะนำมาแปรรูปควรทดลองชิมผลไม้นั้นเสียก่อน เพราะผลไม้ตามธรรมชาติอาจจะมีรสเปรี้ยวรสหวานแตกต่างกัน เพื่อที่จะได้ปรับสูตรส่วนผสมให้พอดี” ...เป็นอีกเคล็ดลับการทำ “น้ำผลไม้ปั่น” ที่สามารถใช้ทำเป็นอาชีพ ทั้งอาชีพหลัก อาชีพเสริม

สนใจ “น้ำสตรอเบอรี่-น้ำเสาวรสปั่นและลอยแก้ว” แวะชิมได้ที่ “ร้านคุณนายสตอเบอรี่” ทั้งที่ตลาดนัดคลองลัดมะยม, ตลาดพระปิ่น 3, ตลาดชิลชิล และตลาดนัดวัดพุทธฯ จังหวัดนนทบุรี หรือโทร. 08-7098-6619, 09-2813-6155 ทั้งนี้ กับอาชีพ “ทำน้ำผลไม้ปั่น” นี้ นอกจากอร่อย มีประโยชน์ ยังเป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ใช้ทำเงินดี ในช่วงฤดูร้อนนี้ด้วย.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : เรื่อง/ภมร มานะพรชัย : ภาพ

.............................................................................................

คู่มือลงทุน...น้ำผลไม้ปั่น+ลอยแก้ว

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 100,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 12 บาทต่อขวด

รายได้ 15-20 บาทต่อขวด

แรงงาน 1 คนขึ้นไป

ตลาด ขายตามตลาดนัด

จุดน่าสนใจ ทำขายได้ตลอดทั้งปี

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/307285/‘สตรอเบอรี่-เสาวรส’+ปั่นทำเงิน...ช่วงหน้าร้อน

Read More...


เป๊ะเว่อร์ ! สวยหยดถามสักคำ กล้าหม่ำมันไหม?


หลายๆ คนรักการทานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะเค้ก ยิ่งหน้าตาน่ารัก สวยงาม ไอเดียเก๋ๆ จะยิ่งดูน่าสนใจ มีความรู้สึกอยากทานมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "เค้ก" ไม่ได้เป็นแค่อาหารปากแต่ยังเป็นอาหารตาให้กับเราอีกด้วย แค่ได้มองก็รู้สึกดีแล้ว ขอบอกเลยว่าหน้าตาของเค้กก็สำคัญไม่แพ้รสชาติ ไทยรัฐออนไลน์จึงนำ 15 เค้กที่สร้างสรรค์ซะคุณไม่กล้ากินมาให้ได้ชมกัน...

เค้กส่วนใหญ่ที่มีไอเดียสร้างสรรค์แบบนี้ก็จะมีวิธีการทำที่เรียกกันว่า "ฟองดอง" (fondant) เป็นศัพท์ภาษาฝรั่งเศส หมายถึง หล่อหลอมหรือละลาย ในทางเบเกอรี่ ฟองดอง หมายถึง การปั้นแป้งหรือแผ่นน้ำตาลให้มีรูปร่างหน้­าตาต่างๆ เพื่อตกแต่งให้สวยงามตามใจชอบ ซึ่งเค้กบางก้อนก็ดูเหมือนจริงซะจนคุณไม่กล้าทาน จะมีแบบไหนกันบ้างไปชมกัน


นี่เค้กจริงป่ะเนี่ย
เค้กเสื้อโปโล
ไม่กล้ากินอ่ะ
เค้กกล้องนิคอน
ทำได้ไง
เค้กไก่ต้ม
เค้กหมาปั๊ก น่ารักอ่ะ
เค้กต่อเลโก้
หวานสุดๆ ไม่กล้ากิน
เหมือนอยู่ในท้องทะเล
เค้กจอห์นนี เดปป์
เค้กลูกหมูลอยน้ำ
เค้กห้องสมุด
 
ที่มา : architecturendesign 

Read More...


อย่าได้แคร์ความอ้วน! ครีเอตเมนูกล้วยๆ หวานเย็นเคลือบช็อกโกแลต



ร้อนๆ แบบนี้ อยากสร้างสรรค์เมนูของว่างง่ายๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์แบบไม่ต้องแคร์ความอ้วน กับเมนูกล้วยๆ และเป็นประจำทุกสุดสัปดาห์แบบนี้ พบกับคอลัมน์ Trend can do อีกเช่นเคย สัปดาห์นี้กลับมาพบกับ เมนูเก๋ๆ ที่สามารถทำได้ง่ายๆ และช่วยคลายร้อนได้บ้างกับ "กล้วยหวานเย็นเคลือบช็อกโกแลต"...

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. กล้วยสุก 3 ลูก
2. ช็อกโกแลต นูเทลล่า 1 ถ้วย
3. ถั่วโรยสำหรับตกแต่ง

กล้วย
ถั่ว - นูเทลล่า
ขั้นตอนการทำ
1. ปอกกล้วยตัดที่ขั้วหวีให้สวยงามแล้วเสียบไม้ไอติม

นำกล้วยมาเสียบไม้ไอติม
2. หลังจากนั้นนำกล้วยไปแช่ในช่องแช่แข็งประมาณ 20 นาที
3. เตรียมช็อกโกแลต นูเทลล่าใส่ถ้วยไว้ หรือจะนำช็อกโกแลตมาละลายเองก็ได้
4. เมื่อกล้วยแข็งได้ที่แล้วนำกล้วยมาจุ่มลงในช็อกโกแลตที่เตรียมไว้

โรยถั่วตกแต่งตามใจชอบ
5. โรยถั่วตกแต่งตามใจชอบ แล้วนำไปแช่ในช่องแข็ง 30 นาที เพื่อรอให้ช็อกโกแลตแข็งตัว
6. เสร็จแล้ว สนุกกับการทานกล้วยหวานเย็นเคลือบช็อกโกแลตแสนอร่อยได้เลย

เสร็จแล้ว ฟินเลยยย
ที่มา : kitchenconfidante
credit by :  http://www.thairath.co.th/content/486451

Read More...


หวานประกบเย็น เมนูชื่นใจที่ลงตัว


ตัวคุกกี้อยากให้เป็นแบบซอฟต์ตักใส่ถาดเป็นลูกกลม ๆ ไม่ต้องแบะให้บางเหมือนแบบกรอบ แต่ถ้าใครขี้เกียจทำจริง ๆ สามารถมาลิ้มลองที่ร้านได้ด้วยตัวเอง

เมื่อให้โจทย์ ปุ๊ย-วรัสพร จรูญโรจน์ เจ้าของร้านไอศกรีมทรอปิคอล มังกี้ เลือกเมนูโปรดมานำเสนอสักหนึ่งเมนู โดยมีข้อแม้ถ้าคนอ่านอ่านแล้วตงิดอยากทำ ก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ หลังจากถึงวันนัดส่งการบ้าน วันนี้จึงได้เมนูของหวานเย็นลิ้นอย่าง “ชาร์โคล คุกกี้ ราสพ์เบอรี่ เชอเบท แซนด์วิช” มาตั้งโต๊ะ ซึ่งน่าจะถูกอกถูกใจคนชอบความหวานโดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชื่นชอบไอศกรีมเป็นพิเศษ

ระหว่างตระเตรียมวัตถุดิบ คุณปุ๊ยเล่าที่มาของร้าน “ลิงสีเหลือง” ที่ออกมาโลดโผนให้ฟังว่า เพราะนิสัยชอบกินจึงหุ้นกับรุ่นน้องคนสนิทเปิดร้านไอศกรีมขึ้น ประเดิมแห่งแรกที่เรนฮิลล์ ปากซอยสุขุมวิท 47 แต่หลังจากหมดสัญญาเช่าจึงย้ายมามอบความสดชื่นให้ลูกค้าที่ชั้น 4 ศูนย์การค้าเอ็มบาสซีแทน หลังจากเรียนจบด้านอาหารที่ประเทศออสเตรเลีย ระยะแรกที่กลับมาเมืองไทยเลือกทำงานให้กับสายการบินไทย ดูแลเรื่องอาหารของสายการบินต่างประเทศที่ติดต่อซื้ออาหารของครัวการบิน แต่เพราะอิ่มตัวและชอบหยิบจับเครื่องปรุงมากกว่าเอกสาร สาวหวานร่างเล็กตัดสินใจลาออก ตามล่าความฝันเล็ก ๆ เปิดร้านไอศกรีมของตัวเอง โดยชูความโดดเด่นของเนื้อสัมผัสที่ละเอียดนุ่มเหนียวหนึบและมีรสชาติหลากหลาย สามารถสั่งได้ไม่ซ้ำรสถึง 36 ชนิด

“สมัยเราวัยรุ่น จู่ ๆ จะลุกมาทำร้านเองยังไม่เป็นที่แพร่หลายดังเช่นทุกวันนี้ที่สามารถเป็นเจ้าของร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเบเกอรี่ได้ เพราะมีผู้ปกครองสนับสนุน ผิดกับยุคเราที่ผู้ใหญ่มองว่าเสี่ยง อยากให้ทำงานกับองค์กรใหญ่เน้นความมั่นคงเป็นหลัก เมื่ออิ่มตัวจริง ๆ จึงชวนรุ่นน้องซึ่งมีนิสัยชอบกินไอศกรีมเหมือนกันมาเปิดร้าน โดยตัวเองรับหน้าที่ดูแลเรื่องเมนูและปล่อยให้น้องจัดการงานออกแบบภาย ในร้าน” คุณปุ๊ยเล่า

สำหรับความพิเศษของเมนูวันนี้อยู่ที่การนำ “ชาร์โคล” มาเป็นตัวชูโรง หลังจากที่ไอศกรีมรสชาร์โคลติดอันดับรสชาติขายดีของทางร้าน คุณปุ๊ยเผยว่า “คุกกี้ตัวนี้จะมีสีดำเพราะใส่ชาร์โคลหรือผงถ่านไม้ไผ่จากญี่ปุ่น ซึ่งวัตถุดิบตัวนี้มีคุณสมบัติพิเศษช่วยดูดซับสารพิษในร่างกาย ผ่านกรรมวิธีการอบแล้วทำเป็นผง สามารถสั่งซื้อตามเว็บไซต์ได้ แต่ถ้าใครหายากก็ไม่ต้องกังวล เพราะลำพังสูตรคุกกี้ที่เผยเคล็ดลับวันนี้รับประกันว่าเป็นสูตรที่อร่อยลงตัวอยู่แล้ว”

วันนี้แบ่งวัตถุดิบเป็น 2 ส่วน ราสพ์เบอรี่เชอเบท ประกอบด้วย ราสพ์เบอรี่แช่แข็ง 300 กรัม, น้ำตาล 100 กรัม, น้ำ 250 กรัม, น้ำมะนาวปรุงรสตามชอบ วิธีทำ ผสมน้ำและน้ำตาลลงในหม้อ ตั้งไฟคนส่วนผสมจนน้ำตาลละลาย ค่อยใส่ราสพ์เบอรี่คนให้เข้ากัน ตั้งไฟไว้สักพักจนเดือด ยกลงจากเตารอส่วนผสมเย็นและเซตตัว ปรุงรสด้วยมะนาวแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด เทใส่กล่องที่มีฝาปิดแช่เย็น แล้วค่อยมาปั่นในเครื่องทำไอศกรีม ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละเครื่อง ถ้าไม่มีเครื่องทำไอศกรีมลองเอาส่วนผสมใส่กล่องที่มีฝาปิดไปแช่แข็ง จากนั้นปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด แล้วตักใส่กล่องแช่แข็งสักพัก

ส่วนผสมของ คุกกี้ ประกอบด้วย แป้งอเนกประสงค์ 1 ถ้วย, เบกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา, ผงถ่าน 1 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 1/4 ช้อนชา, น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย, น้ำตาลทรายขาว 1/4 ถ้วย, เนย 120 กรัม, ไข่ 1 ฟอง, ช็อกโกแลตสับหรือเม็ด 1 ถ้วย, กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา

วิธีทำ ร่อนแป้งอเนกประสงค์และเบกิ้งโซดารวมกัน ตีเนยให้ฟูจนสีอ่อนลง ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดง ตามด้วยไข่และกลิ่นวานิลลา แบ่งแป้งและเบกิ้งโซดาที่ผสมไว้ 3 ส่วน ค่อย ๆ ตะล่อมให้เข้ากันจนครบ 3 ครั้ง แล้วใส่ผงถ่านผสมให้เข้ากันจึงใส่ช็อกโกแลตสับ

หลังจากนั้นแช่เย็นให้เซตตัวประมาณ 10 นาที ตักแบ่งเป็นก้อนตามชอบ เปิดเตาอบไฟบนล่างที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส อบประมาณ 8-9 นาที เวลาเสิร์ฟตักไอศกรีมประกบด้วยคุกกี้สองชิ้น ตกแต่งด้วยผลไม้หรือซอสต่าง ๆ ตามชอบ เคล็ดลับความอร่อยนี้คุณปุ๊ยเผยว่า ตัวคุกกี้อยากให้เป็นแบบซอฟต์ตักใส่ถาดเป็นลูกกลม ๆ ไม่ต้องแบะให้บางเหมือนแบบกรอบ แต่ถ้าใครขี้เกียจทำจริง ๆ สามารถมาลิ้มลองที่ร้านได้ด้วยตัวเอง เพราะเตรียมบรรจุเป็นเมนูใหม่ประจำเดือนแห่งความรักที่กำลังจะมาถึงนี้.

‘ช้องมาศ’

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/297697/หวานประกบเย็น+เมนูชื่นใจที่ลงตัว

Read More...


‘ปุยฝ้ายนมสด’ จุดต่างสร้างยอดขาย




“เทคนิคใช้วัสดุผสม” เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ไปกันได้ดี   กับชิ้นงานแฮนด์เมด ขึ้นอยู่กับเจ้าของชิ้นงานว่า จะมีไอเดียในการสร้างสรรค์ชิ้นงานแค่ไหน ถ้าใช้ได้ถูกที่กับทำให้มีความแปลกแตกต่าง ก็สามารถนำมาเป็นจุดขายได้เช่นกัน อย่างเช่น “นาฬิกาไม้ผสมเรซิ่น” ของ “ธีรพล ธนมณฑล-เปลี่ยนกาล ไตรคุ้มพันธุ์” ซึ่งวันนี้ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอ

หนุ่มสาวรุ่นใหม่ เจ้าของชิ้นงานดังกล่าว ที่ใช้ชื่อร้านว่า “Nympheart” (นิ้มฮาร์ท) เล่าว่า เรียนเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์และเครื่องประดับ จึงคิดนำความถนัดกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาต่อยอด ด้วยการผสมวัสดุ 2 ชนิด เพื่อทำเป็นชิ้นงานขึ้น ทั้งนี้ เกี่ยวกับชิ้นงานนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากงานของต่างประเทศ ที่มีการใช้อะลูมิเนียมมาผสมกับวัสดุอีกชนิด ทั้งคู่จึงอยากทดลองทำเป็นเครื่องประดับขึ้นมา โดยออกแบบและพัฒนาให้เป็น จี้สร้อยคอ แหวน และตุ้มหูก่อน จากนั้นจึงต่อยอดไปเป็น “นาฬิกาตั้งโต๊ะ” ที่ใช้วัสดุเรซิ่นนำมาผสมผสานกับวัสดุไม้ อาทิ ไม้สัก ไม้เมเปิ้ล ไม้วอลนัท ซึ่งหลังจากลองผิดลองถูกทดลองทำอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงออกมาเป็นชิ้นงานสำเร็จรูปในที่สุด และทดลองนำออกจำหน่าย โดยผลตอบรับจากลูกค้าที่ผ่านมาถือว่าดีมาก ๆ เนื่องจากชิ้นงานแต่ละชิ้นที่ทำนั้น มีพื้นผิวและลวดลายจากวัสดุไม่เหมือนกัน

“ไม้ที่ใช้ทำเป็นวัสดุธรรมชาติ ซึ่งมีพื้นผิวและลักษณะลวดลายไม่เหมือนกัน จึงนำวัสดุอย่างเรซิ่นมาใช้เพื่อปิดช่องว่างของไม้ที่มีลักษณะเป็นรูพรุน และด้วยความใสของเรซิ่นทำให้สามารถมองเห็นพื้นผิวและรายละเอียดของไม้ ซึ่งลูกค้าที่เห็นชิ้นงานก็บอกว่าสวยและแปลกตาดี” ...เป็นการระบุจากเจ้าของชิ้นงานดังกล่าว ที่ได้นำเอาวัสดุ 2 ชนิด ที่แตกต่างกันมาผสมผสานจนเกิดเป็นชิ้นงานที่ว่านี้ และสามารถใช้เป็น “จุดขาย” เพิ่มความน่าสนใจให้กับชิ้นงานได้อย่างดี

‘ปุยฝ้ายนมสด’
จุดต่างสร้างยอดขาย

‘ปุยฝ้ายนมสด’ จุดต่างสร้างยอดขาย
วันอาทิตย์ 8 มีนาคม 2558 เวลา 06:00 น.

“ขนมปุยฝ้าย” เป็นขนมที่ไม่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ที่วิจิตรพิสดารอะไร ทำไม่ยาก รวมถึงส่วนผสมก็หาง่าย ในปัจจุบันก็มีการพลิกแพลงกันมาก เพื่อสร้างจุดต่าง และเพิ่มมูลค่าให้กับขนม อาทิ ปุยฝ้ายสมุนไพร รวมไปถึง“ปุยฝ้ายนมสด” ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

ทัชชา ปรีดาวิจิตรกุล หรือ หนิง เจ้าของ “ทัชชา-ปุยฝ้ายนมสด” จาก จ.นครราชสีมา กล่าวว่า เดิมทำงานเป็นพนักงานบัญชีของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และมักจะใช้เวลาในวันเสาร์-อาทิตย์เรียนทำขนมปุยฝ้ายซึ่งเป็นขนมที่ตัวเองชื่นชอบ และอยากจะทำให้เป็น ซึ่งก็ใช้เวลาระยะหนึ่งในการหัด และฝึกฝนจนกระทั่งชำนาญ

“เมื่อก่อนที่บ้านจะทำขนมเปี๊ยะ และถั่วกวนขาย แต่เนื่องจากมีรายจ่ายที่เพิ่มมากขึ้น จึงจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มตามไปด้วย” ทัชชา กล่าว

ทัชชา กล่าวว่า ได้หัดทำขนมตามสูตรของตัวเองอยู่นาน โดยปรับเปลี่ยนสูตรไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลงตัว และเริ่มทำแจกจ่ายให้เพื่อน ๆ, คนรู้จัก รวมไปถึงลูกค้าที่มาซื้อขนมเปี๊ยะได้ลองทาน กว่าจะมั่นใจในฝีมือก็ใช้เวลาเป็นปี แต่คิดว่าไม่ได้เสียเวลาไปเปล่า ๆ เพราะว่าหลังจากนั้นขนมปุยฝ้ายนมสดก็ขายดี มียอดสั่งซื้อจำนวนมากเข้ามาทุกสัปดาห์ จนกระทั่งต้องลาออกจากงานประจำ เพื่อมาเป็นแม่ค้าแบบเต็มตัว

“เหตุที่ใช้ นมสด เพราะนมสดช่วยให้ขนมนิ่ม แต่เนื้อแน่น มีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน และทำให้ขนมปุยฝ้ายที่ทำไม่เหมือนใคร” ทัชชา กล่าว

ทัชชา กล่าวย้ำว่า ปุยฝ้ายนมสด ที่ดี เนื้อขนมจะต้องแน่น และเวลาที่นึ่งเสร็จแล้ว หน้าขนมจะฟู และแตกออกเป็น 3 แฉกอย่างสวยงาม

สำหรับอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำ “ปุยฝ้ายนมสด” มี หม้อนึ่ง หรือลังถึง, เครื่องตีไข่, กะละมังพลาสติก, ถาด, ถ้วยตวง, ตาชั่ง, ถ้วยกระดาษ, ถ้วยอะลูมิเนียม, ไม้พายพลาสติกบาง, ตะแกรงร่อนแป้ง ฯลฯ

ในขณะที่ วัตถุดิบ หลัก ๆ มี แป้งสาลี 30%, นมสด 30%, น้ำตาลทราย 20%, ไข่ไก่อีก 20% นอกจากนี้ ยังมีสารเสริมเอสพี, น้ำเปล่า รวมทั้งกลิ่นต่าง ๆ อย่างกลิ่นวานิลลา, ใบเตย, สตรอเบอรี่, ส้ม และกาแฟ จำนวนอย่างละเล็กน้อย

ขั้นตอนการทำ “ปุยฝ้ายนมสด” เริ่มจากนำแป้งสาลีร่อนสัก 2-3 ครั้ง เพื่อให้เนื้อแป้งละเอียด ไม่มีเม็ดแป้งก้อนเล็ก ๆ ปนอยู่ จากนั้น ตีไข่ไก่ กับน้ำตาลทรายให้เข้ากันด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งส่วนผสมขึ้นฟู มีสีขาวสวยงาม ระหว่างที่ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายอยู่นั้น ให้ละลายแป้ง น้ำเปล่า และสารเสริมเอสพีให้เข้ากัน แล้วแบ่งส่วนผสมส่วนนี้ออกเป็น 3 ส่วน เตรียมไว้ และแบ่งนมสดออกเป็น 2 ส่วนเตรียมไว้เช่นกัน

เมื่อตีส่วนผสมของไข่ไก่ และน้ำตาลทรายขึ้นฟูแล้ว ลดความเร็วของเครื่องตีไข่ลง ค่อย ๆ เทส่วนผสมของแป้ง 1 ส่วนลงไปตีผสม ตามด้วยนมสดอีก 1 ส่วน แล้วสลับใส่ และตีส่วนผสมต่าง ๆ ไปจนกระทั่งครบจำนวน

ใส่กลิ่นตามที่ต้องการลงไปตีผสมเป็นขั้นตอนสุดท้าย ใช้เวลาตีส่วนผสมปุยฝ้ายนมสดไม่เกิน 10 นาที โดยแป้งที่ใช้ได้จะมีลักษณะแน่นและเนียน

ตักแป้งใส่ถุงพลาสติกพอประมาณ แล้วม้วนถุงให้เป็นเกลียว เจาะส่วนปลายของถุงออกเล็กน้อย แล้วติดหัวบีบแป้งให้แน่น

ตั้งลังถึง ใช้ไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำที่หม้อชั้นล่างประมาณครึ่งหม้อ แล้วต้มน้ำให้เดือด เตรียมไว้

วางถ้วยกระดาษลงบนพิมพ์ถ้วยขนมอะลูมิเนียมแบบกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 ซม. สูง 3 ซม. แล้วเรียงลงบนชั้นลังถึงให้ทั่ว ระวังอย่าให้ถ้วยขนมปิดรูลังถึง ไม่เช่นนั้นหน้าปุยฝ้ายจะไม่แตก เสร็จแล้วบีบส่วนผสมใส่ถ้วยพอเต็ม ใส่ลูกเกดจำนวน 2-3 ชิ้น ลงบนบริเวณที่คาดว่าหน้าขนมจะแตกออกมา แล้วปิดฝาลังถึงให้สนิท เวลานึ่งลดไฟลงค่อนข้างอ่อน ใช้เวลานึ่งนาน 10-15 นาที สังเกตว่าเมื่อขนมสุกหน้าจะแตกออกเป็น 3 แฉกสวยงามน่ารับประทาน นึ่งเสร็จแล้วถอดถ้วยอะลูมิเนียมออกวางขนมทิ้งไว้บนตะแกรงให้เย็น แล้วบรรจุใส่กล่องพลาสติกแบบกลม จำนวน 4 ชิ้น ขายในราคากล่องละ 35 บาท

ทัชชา ได้บอกเทคนิคในการทำขนมปุยฝ้ายทิ้งท้ายไว้ว่า “เวลาตีแป้งจะต้องตีไปทางเดียวกัน อย่าตีย้อนไปย้อนมา เพราะส่วนผสมจะละเอียดไม่เท่ากัน และต้องตีด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอกัน ในขณะที่เวลานึ่งต้องรอให้น้ำเดือดจัดก่อน และการนึ่งครั้งต่อไปต้องเช็ดไอน้ำที่เกาะอยู่ในฝาลังถึงก่อนปิดฝาทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นไอน้ำจะหยดลงใส่ขนม ทำให้ขนมช้ำ ไม่สวย และเป็นก้อนแป้งแข็ง ๆ”

ใครสนใจ “ปุยฝ้ายนมสด” ของทัชชา เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ติดต่อได้ที่ โทร. 08-4479-9567 ซึ่งนี่ก็เป็นตัวอย่างการสร้างจุดต่างจนสร้างช่องทางทำกินที่ดีได้.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

..........................................................................................

คู่มือลงทุน…ปุยฝ้ายนมสด

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย

รายได้ ราคา 35 บาท/ 4 ชิ้น

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ชุมชน/ออกร้าน/ย่านท่องเที่ยว

จุดที่น่าสนใจ ใช้นมสดเพิ่มมูลค่าให้กับขนม

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/305870/‘ปุยฝ้ายนมสด’+จุดต่างสร้างยอดขาย

Read More...


กะหรี่ปั๊บงาดำ




การทำอาหาร ขนม หรือของว่างต่าง ๆ ในปัจจุบันนอกจากจะต้องคำนึงถึงความอร่อย รสชาติที่กลมกล่อมถูกปากคนทานแล้ว ความแตกต่าง หรือความแปลกใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนึกถึง เพราะหากสินค้าที่จะขายไม่ได้มีอะไรพิเศษไปจากร้านค้าอื่น ๆ สินค้านั้นคงจะขายได้ยาก หรือไม่มีใครจำได้ เพราะคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าของกรณีศึกษารายนี้จึงคิดถึงผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างขึ้นมา อย่าง “กะหรี่ปั๊บงาดำ” ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

ทิพย์วัลย์ อภิวรรณ์ หรือพี่หน่อย เจ้าของ “กะหรี่ปั๊บงาดำ” จาก จ.อุทัยธานี กล่าวว่า ได้ทำกะหรี่ปั๊บงาดำขายมา 6 ปีแล้ว จากเดิมที่เคยทำงานฝีมือขายมาก่อน แต่ระยะหลังเริ่มขายยากมาก จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสินค้าที่จะขาย แต่ขณะนั้นยังไม่รู้จะทำอะไรขายดี

“จึงได้ไปอบรมวิชาชีพการทำกะหรี่ปั๊บในหมู่บ้านที่อยู่ แต่คิดว่าหากเป็นกะหรี่ปั๊บแบบทั่ว ๆ ไปคงจะขายยาก จึงคิดหาสิ่งแปลกใหม่ใส่ลงไป อย่างเมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทอง แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่งาดำ เพราะนอกจากจะเข้ากับแป้งกะหรี่ปั๊บได้แล้ว ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย จึงทำกะหรี่ปั๊บงาดำตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา” ทิพย์วัลย์ กล่าว

กะหรี่ปั๊บงาดำ ของทิพย์วัลย์มีทั้งหมด 4 ไส้ ได้แก่ ไส้ไก่, ไส้ถั่วเหลือง, ไส้เผือก และไส้ถั่วดำ โดยไส้ไก่เป็นไส้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

อุปกรณ์ในการทำ กะหรี่ปั๊บงาดำ หลัก ๆ มี เครื่องนวดแป้ง, ไม้รีดแป้ง, ที่ตัดแป้ง, เตาแก๊ส, กระทะ และภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในครัว

ส่วนผสมของ กะหรี่ปั๊บงาดำ หลัก ๆ มีแป้งชั้นนอก, แป้งชั้นใน และไส้กะหรี่ปั๊บ

ส่วนผสมของ แป้งชั้นนอก มี แป้งสาลี 60%, งาดำ 5%, น้ำเปล่า และน้ำมันพืช 25%, เกลือป่น 5%, และน้ำตาลทรายอีก 5%

ในขณะที่ แป้งชั้นใน มีส่วนผสมของ แป้งสาลี 80% และน้ำเปล่าอีก 20%

วิธีทำ แยกนวดแป้งชั้นนอก และแป้งชั้นในออกจากกัน ส่วนวิธีนวดเหมือนกัน คือ เทส่วนผสมทั้งหมดในกะละมัง แล้วใช้มือนวด หรือใช้เครื่องนวดแป้งนวด นวดให้แป้งและส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน

เมื่อนวดแป้งเข้ากันดีแล้ว ให้ตัดแป้งแต่ละชนิดออกเป็นชิ้น ๆ โดย แป้งชั้นนอก แบ่งออกเป็นชิ้น ชิ้นละ 20 กรัม ในขณะที่ แป้งชั้นใน แบ่งออกเป็นชิ้น ชิ้นละ 1.4 กรัม

รีดแป้งแต่ละชิ้นให้บาง แล้ววางส่วนแป้งชั้นในลงบนแป้งชั้นนอก พับครึ่งแล้วใช้ที่รีดแป้งรีดให้เข้ากัน แล้วพับแป้งอีกครั้ง แล้วรีดให้เข้ากัน ทำแบบนี้ประมาณ 8-9 ชั้น แป้งจะกลายเป็นชั้น ๆ ในส่วนของ ไส้กะหรี่ปั๊บ ข้อมูลมีดังนี้ คือ....

ไส้ไก่ มีส่วนประกอบของ เนื้อไก่สับ 10%, มันฝรั่งหั่นชิ้นเล็ก ๆ 80% นอกจากนี้ ในส่วนของเครื่องปรุงมีผงกะหรี่, พริกไทย, น้ำตาลทราย, เกลือป่น และนมสด รวม10%

นำเนื้อไก่ไปผัดกับมันฝรั่งบดให้สุก ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสต่าง ๆ โดยเน้นรสชาติให้หวาน ๆ เค็ม ๆ และมีกลิ่นของผงกะหรี่ และกลิ่นพริกไทยด้วย

ส่วนของไส้ถั่วเหลือง, ไส้ถั่วดำ และไส้เผือกนั้น จะต้องนำถั่วเหลือง, ถั่วดำ และเผือก ไปต้มให้สุกเสียก่อน แล้วนำมาบดให้ละเอียด วิธีกวนไส้ ตั้งกระทะทองเหลือง ใส่ถั่วเหลืองบด หรือถั่วดำบด หรือเผือกบดลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย และนมสด ในสัดส่วน 80 : 20 กวนด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ใช้เวลา 20-30 นาที ดูว่าส่วนผสมเข้ากันดี ชิมรสตามที่ต้องการ พักให้เย็น เตรียมไว้

วิธีปั้นกะหรี่ปั๊บ นำแป้งกะหรี่ปั๊บแต่ละชิ้นที่ปั้นเสร็จแล้ว มารีดให้บาง กะให้ขนาดยาว 10 ซม. กว้าง 8 ซม. จากนั้นตักไส้กะหรี่ปั๊บลงไปบนแป้งพอประมาณ แล้วพับครึ่ง ใช้นิ้วหัวแม่โป้งและนิ้วชี้จับจีบให้เป็นเกลียวที่ขอบแป้งเพื่อปิดขอบแป้งให้สนิท และดูสวยงาม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้จำนวนกะหรี่ปั๊บตามที่ต้องการ บรรจุใส่ภาชนะ คลุมด้วยเพื่อผ้าขาวบางกันไม่ให้ลมและฝุ่นเข้า

วิธีทอดกะหรี่ปั๊บ ตั้งกระทะ ใช้ไฟแรงปานกลาง ใส่น้ำมันพืชท่วม รอจนกระทั่งน้ำมันเดือด ค่อย ๆ ใส่กะหรี่ปั๊บทีละชิ้นลงไปทอด รอจนกระทั่งกะหรี่ปั๊บลอยขึ้นมา แล้วค่อย ๆ หรี่ไฟลงเล็กน้อย และคอยหมั่นใช้ตะหลิวคอยพลิกไป-มา ระวังอย่าให้กะหรี่ปั๊บไหม้ เมื่อกะหรี่ปั๊บเริ่มสุก สังเกตว่ามีสีเหลืองทอง เท่านี้ก็ตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน บรรจุใส่กล่อง กล่องละ 7 ชิ้น ขายในราคา 50 บาท

ใครสนใจ “กะหรี่ปั๊บงาดำ” ของ ทิพย์วัลย์ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ติดต่อได้ที่กลุ่มหัตถศิลป์ถิ่นบ้านไร่ 103/6 หมู่ 1 ต.บ้านบึง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี หรือ โทร. 08-9568-2553.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

.....................................................................................................

คู่มือลงทุน…กะหรี่ปั๊บงาดำ

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย

รายได้ ราคา 50 บาท/ 7 ชิ้น

ตลาด ชุมชน/งานออกร้าน/ร้านของฝาก

จุดที่น่าสนใจ ใช้งาดำเพิ่มมูลค่า

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/302701/‘กะหรี่ปั๊บงาดำ’+ชูสุขภาพสร้างเงิน

Read More...


‘น้ำปลาเห็ดไข่ต้ม’ เมนูเด็ดของครอบครัว


ได้ยินรายการอาหารที่ ตาล-ปัญจรัตน์ เดชกุญชร หลานตาของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำและอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ร่ายยาวเป็นหางว่าวว่า “ทำเป็น” ทั้งคาวและหวาน
วันเสาร์ 7 มีนาคม 2558 เวลา 04:00 น.

ได้ยินรายการอาหารที่ ตาล-ปัญจรัตน์ เดชกุญชร หลานตาของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำและอดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ร่ายยาวเป็นหางว่าวว่า “ทำเป็น” ทั้งคาวและหวาน ยังอดทึ่งในความเป็นแม่ศรีเรือนไม่ได้ ทว่าเทียบกับฝีมือกับสมาชิกทุกคนภายในบ้านแล้ว คุณตาลยังถ่อมตัวหากที่บ้านจัดงานขอหลบหลังฉาก รับหน้าที่แค่ “หั่นผัก” และ “รอกิน” เป็นพอ

“คุณยายของตาลมีพี่น้องหลายคน ซึ่งทุกคนทำอาหารเก่งหมดไม่เว้นแม้กระทั่งคุณแม่ จึงค่อนข้างคุ้นชินและคลุกคลีกับอาหารมาตั้งแต่เด็ก จำคร่าว ๆ ช่วงวัย 12-13 ปี ก็วิ่งเข้าครัวช่วยเป็นลูกมือและพยายามถามคุณแม่บ้าง คุณยายบ้างว่าทำอย่างไรบ้างคะ จุดนี้ทำให้ได้เรียนรู้ขั้นตอนและวิธีการทำอาหารไทยอร่อย ๆ ระยะหลังหากว่างจะทำอาหารเอาใจสมาชิกในครอบครัว” สาวอารมณ์ดีเล่า

การทำอาหารสำหรับคุณตาลถือเป็นงานอดิเรกที่สร้างสุขนอกเหนือจากงานประจำ ซึ่งปัจจุบันสาวคนนี้ขยันขันแข็งทำสารพัดสิ่งร่ายยาวไม่แพ้เมนูอาหาร ตั้งแต่งานประจำอย่างเจ้าหน้าที่ธุรการ ประจำแผนกหูคอจมูก โรงพยาบาลตำรวจ, เป็นหมอดูพยากรณ์ คนรู้จักแพร่หลายในศาสตร์ที่เรียกกว่า “หมุนแหวนพยากรณ์”, เป็นนักแต่งเพลงโดยใช้นามปากกาว่า “ขยับพุง” ไม่เว้นแม้แต่เล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ โดยมีชื่อวงว่า “เอนเทอร์นอล เลเจ้นท์” และรับทำหนังสือถ่ายรูป เป็นต้น

“ใจจริงอยากทำ งานเป็นนักข่าวนะคะ ตาลเรียนจบจากคณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชานิเทศ ศาสตร์ เอกวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา มีโอกาสฝึก งานด้านสังคมไลฟ์สไตล์รู้สึกว่ามันใช่ตัวตนของเรา แต่พอเริ่มทำเป็นอาชีพโดนดึงตัวไปอยู่สายข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นคนไม่ชอบตัวเลขเลย จึงตัดสินใจลาออกและทำงานตามสไตล์ที่เราชอบ ก็คือทำอะไรก็ได้ให้คนอื่น ๆ มีความสุข เช่น แต่งเพลงหรือหากใครมาดูดวงก็ยังได้รับเสียงหัวเราะกลับไป ทุกวันนี้วิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็ไม่เสียเปล่า ยังใช้ทักษะด้านงานเขียนสื่อสารผ่านงานในรับผิดชอบ” สาวสารพัดอาชีพกล่าว

เวลาที่หลงเหลือจากที่กล่าวมานี้ จึงเข้าครัวทำเมนูที่ชื่นชอบ ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นอาหารไทย อาหารไทยนานาชาติจำพวกพาสต้าไวท์ซอสทั้งหลายแหล่ ตลอดจนเบเกอรี่ที่ได้ยินชื่อแล้วต้องร้องว้าว! ทั้งชินามอนโรล, คุกกี้เนยและ คุกกี้ข้าวโอ๊ต ส่วนขนมไทยที่ถนัด เช่น กลีบลำดวนและครองแครง สำหรับเมนูวันนี้สาวตาลเลือกทำ “น้ำปลาเห็ดไข่ต้ม” เมนูง่ายแต่อร่อยเด็ด ซึ่งเป็นเมนูประจำบ้านที่กินได้ทั้งครอบครัว

แต่สูตรลับประจำบ้านเดชกุญชรนี้ คุณตาลสาธยายว่า “สูตรของเราแตกต่างจากที่อื่น เพราะว่าไม่ใส่หัวหอมแดง ทำกินกันมาตั้งแต่สมัยคุณทวด รสชาติจะกลมกล่อมกินกับปลาดุกฟูหรือไข่ต้มจะเข้ากันอย่างลงตัว”

วัตถุดิบและส่วนผสม ประกอบด้วย เห็ดชิเมจิ 250 กรัม, กระเทียม 1/2 ถ้วย, น้ำตาลปี๊บ 5-7 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 100 มิลลิลิตร, มะนาว 2 ลูก, พริก 2 ช้อนชา

วิธีทำ ล้างเห็ดให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ จากนั้นซอยกระเทียม พริก และฝานมะนาวรอไว้ เสร็จแล้วนำหม้อตั้งไฟกลางใส่น้ำตาลปี๊บรอจนละลายแล้วใส่น้ำปลา ระหว่างนั้นคอยชิมให้รสหวานและรสเค็มสมดุลกัน พอได้ที่แล้วใส่เห็ดลงไปต้ม พอเห็ดเริ่มสลดค่อยปิดเตา สังเกตว่าน้ำจะข้นไม่เหลวใส ตักเสิร์ฟขณะที่กำลังร้อน โรยกระเทียม พริก และบีบมะนาวลงไปตามชอบ กินแล้วได้รสกรุบกรอบกำลังดี

สำหรับชนิดของเห็ดนั้นคุณตาลไม่แนะนำให้ใช้เห็ดนางฟ้าเพราะเวลาต้มน้ำจะมีกลิ่น ส่วนเห็ดโคนต้องระวังความแข็งเกินไป เมนูนี้ยังเหมาะกับคนกินมังสวิรัติแค่ปรับจากน้ำปลาเป็นซีอิ๊วขาวแทน.

‘ช้องมาศ’

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/305679/‘น้ำปลาเห็ดไข่ต้ม’+เมนูเด็ดของครอบครัว

Read More...


รักนะ จุ๊บ จุ๊บ! บีฟอร์วาเลนไทน์ เซอร์ไพรส์ของแทนใจ 'สตรอเบอร์รี่อินมายฮาร์ต'


อีกแค่วันเดียวเท่านั้นก็จะถึงวันที่ 14 กุมภาฯ "วันวาเลนไทน์" วันที่หนุ่มสาว คู่รักคู่เลิฟ หรือแม้กระทั่งคู่ที่กำลังแอบชอบกันอยู่ ถือโอกาสในวันแห่งความรักนี้บอกความในใจให้เขารู้ไปแบบชัดๆ ไปเลย...

และไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆ ก็กลับมาพบกับ Trend can do ไทยรัฐออนไลน์ทุกวันศุกร์แบบนี้เช่นเคย สัปดาห์นี้เราขออินกับวันวาเลนไทน์พาคุณไปครีเอทเมนูสุดน่ารัก ไว้มอบเซอร์ไพร์สคนรักกับ 'สตรอเบอร์รี่เคลือบช็อกโกแลตรูปหัวใจ' ขอบอกว่าง่ายมาก อย่าช้า ไปลงมือกันได้เลย!

Chocolate Covered Strawberry Hearts
สิ่งที่ต้องเตรียม
1.สตรอเบอร์รี่
2.ช็อกโกแลต
3.เจลสีแดง
4.มีด
5.ไม้จิ้มฟัน

เตรียมของ
ขั้นตอนการทำ
1.ล้างสตรอเบอร์รี่ที่เตรียมไว้ให้สะอาดและตัดขั้วออก

ตัดขั่วออกกเลย ชั๊บ ชับ
2.หั่นสตรอเบอร์รี่ออกเป็นครึ่งหนึ่ง

หั่นครึ่ง
3.ถ้าคุณต้องการใส่ไส้ช็อกโกแลต ต้องหั่นเนื้อสตรอเบอร์รี่ออกนิดนึงตามภาพ

หั่นเนื้อในออกนิดนึง
4.ใช้ไม้จิ้มฟันกลัดสตรอเบอร์รี่ที่หั่นครึ่งไว้ให้เป็นรูปหัวใจ

กลัดสตรอเบอร์รี่เป็นรูปหัวใจ
5.นำสตรอเบอร์รี่ที่กลัดไว้เป็นรูปหัวใจทั้งหมดมาวางเรียงกันบนถาด เพื่อเตรียมสู่ขั้นตอนเคลือบช็อกโกแลต สตอเบอร์รี่ต้องแห้งสนิท ไม่อย่างนั้นจะชุบช็อกโกแลตไม่ติดดี

นำหัวใจสตรอเบอรี่มาวางเรียงกันบนถาด
6.เพิ่มความอร่อยด้วยการทาช็อกโกแลตลงไปด้านในเนื้อสตรอเบอร์รี่

ทาช็อกโกแลต
7.นำช็อกโกแลตมาละลายให้ร้อนจนเป็นเนื้อเดียวกัน และนำไปราดเคลือบสตรอเบอร์รี่รูปหัวใจที่เตรียมไว้

เคลือบช็อกโกแลตเยิ้มๆเลย
8.รอให้ช็อกโกแลตแข็งตัวสักนิด จึงนำเจลสีแดงมาทำให้หัวใจของคุณมีสีสัน น่ารัก น่าทานมากกว่าเดิม

เจลสีแดง
นำเจลสีแดงมาตกแต่ง
9.จากนั้นนำสตรอเบอร์รี่ไปแช่เย็นจนช็อกโกแลตแข็ง พร้อมรับประทาน คราวนี้เราก็จะมีของขวัญน่ารักๆ ไปให้คนที่คุณรักในวันวาเลนไทน์นี้กันแล้ว

พร้อมมอบให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง
ที่มา : onelittleproject

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/480782

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.