สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

บัตเตอร์เบียร์ เครื่องดื่มแห่งโลกเวทมนต์

Actors and actress from Harry Potter The Movie นักแสดงจากภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์ดื่มบัตเตอร์เบียร์
ว่ากันว่าหนุ่มสาว Generation Y (คือคนที่เกิดในปี พ.ศ. 2523-2540 หากคุณอายุไม่เกิน 34 ปี และมากกว่า 17 ปี แสดงว่าคุณอยู่ใน Generation นี้ค่ะ) มักไม่มีความอดทน ไม่ชอบอะไรซ้ำซาก และเสพย์ติดอินเตอร์เน็ตโดยที่ไม่สนใจสื่ออื่นๆ ไม่จริงเลยค่ะ! พวกเราชาว Blisby เชื่อว่า ครึ่งหนึ่งของหนุ่มสาว “Gen Y” นั้นเติบโตมากับหนังสือและหนังชุดสุดเจ๋งอย่าง “แฮร์รี่ พอตเตอร์”  หลายๆ คนอยากลองขี่ไม้กวาด บางคนอยากมีไม้กายสิทธิ์เอาไว้เสกคาถา แต่สำหรับชาว Blisby เครื่องดื่มอย่าง “บัตเตอร์เบียร์ (Butterbeer)” นี่แหละคือสิ่งที่อยากลองชิมมากที่สุด เพราะเป็นเมนูเครื่องดื่มที่แฮร์รี่ยกให้เป็น “ของอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยลิ้มรสมา” แต่จะอร่อยจริงหรือไม่นั้น คุณต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองค่ะ

ส่วนผสมสำหรับทำบัตเตอร์สก็อตซ์ (Butterscotch)

* สูตรนี้มีแอลกอฮอล์ผสมนะคะ
  • เนยจืด ½ ก้อน
  • น้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วย
  • เฮฟวี่ครีม (Heavy Cream) ½ ถ้วยตวง
  • เกลือทะเลป่น ½ ช้อนชา
  • กลิ่นวานิลลา 1 ½ ช้อนชา

ส่วนผสมสำหรับทำเบียร์

  • เนยจืด 1 ช้อนโต๊ะ
  • ขิงสดขูดเป็นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • จันทน์เทศบด 1/8 ช้อนชา
  • น้ำตาลทรายแดง 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  • ฝักวานิลลาหั่น 1/3
  • เหล้ารัมชนิดเข้มข้น 1 ออนซ์
  • แพร์แอปเปิ้ลไซเดอร์ (Pear Apple Cider) 1 ½ ถ้วยตวง สามารถหาซื้อได้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ใครที่ชอบรสชาติเข้มข้นขึ้นมาอีก ใช้จินเจอร์เบียร์ (Ginger Beer) แทนได้ค่ะ ส่วนคอเบียร์ตัวยงที่ชื่นชอบเบียร์รสชาติขม ใช้ Nut Brown Ale จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดค่ะ
  • ผงจันทน์เทศสำหรับโรยหน้า
    Ingredients for making butterbeer ส่วนผสมสำคัญสำหรับทำบัตเตอร์เบียร์

ส่วนผสมสำหรับฟองเบียร์

  • เฮฟวี่ครีม 1 ถ้วยตวง

วิธีทำ

  1. เริ่มจากทำบัตเตอร์สก็อตซ์ โดยใส่เนยลงไปในหม้อ และอุ่นในไฟระดับปานกลางจนกระทั่งเริ่มละลาย (อย่าเปิดไฟแรงนะคะ ถ้าเนยไหม้ ต้องหมดสนุกแน่ๆ เลยค่ะ) จากนั้นเติมน้ำตาลทรายแดง เฮฟวี่ครีม และเกลือป่น แล้วปล่อยให้ส่วนผสมเดือดอ่อนๆ ประมาณ 5 นาที อย่าลืมคนเบาๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันด้วยนะคะ
  2. ใช้ช้อนชาจุ่มลงไปในหม้อ แล้วยกขึ้น สังเกตด้านหลังของช้อนชา ถ้าเห็นว่ามีบัตเตอร์สก็อตซ์เคลือบติดอยู่ แสดงว่าบัตเตอร์สก็อตช์ของคุณเหนียวพอดีแล้วค่ะ ให้ยกหม้อออกจากเตาได้เลย จากนั้นใส่กลิ่นวานิลลาลงไปสักนิด เพื่อเพิ่มความหวานให้กับบัตเตอร์เบียร์ค่ะ
    บัตเตอร์สก็อตซ์ ส่วนผสมสำคัญในการทำบัตเตอร์เบียร์ Butterscotchบัตเตอร์สก็อตซ์ Butterscotch
  3. อย่ามัวแต่ชิมบัตเตอร์สก็อตซ์ (ก็มันอร่อยนี่ ใครจะไปอดใจไหว) มาทำส่วนของ “เบียร์” กันดีกว่า ถึงส่วนผสมจะเยอะ แต่ทำง่ายกว่าที่คิด เพียงแค่อุ่นเนยให้ละลาย (ใช้ไฟระดับปานกลาง) จากนั้นใส่ขิงสด จันทน์เทศ น้ำตาลทรายแดง และฝักวานิลลาลงไป คนให้เข้ากัน รอจนส่วนผสมเดือดอ่อนๆ เติมเหล้ารัมลงไปและคนต่ออีกประมาณ 1 นาที
  4. ถึงเวลาของส่วนผสมสำคัญอย่างแพร์แอปเปิ้ลไซเดอร์แล้ว อ่อนไฟลงเล็กน้อยแล้วเทแพร์แอปเปิ้ลไซเดอร์ลงไปในหม้อ ตามด้วยกลิ่นขิงหรือกลิ่นวานิลลาเล็กน้อย (ไม่ใส่ก็ได้นะคะ) ทิ้งไว้บนเตา 3-4 นาที แล้วยกลง จากนั้นกรองเอากากออก โอ้โห! น่าดื่มมากๆ เลยค่ะ
    เบียร์จากแพร์แอปเปิ้ลไซเดอร์ จินเจอร์เบียร์ และเอล The different result between pear apple cider, nut brown ale and ginger beer.
  5. ตีเฮฟวี่ครีมให้ขึ้นฟู
    ตีเฮฟวี่ครีมให้ขึ้นฟู Whip some heavy cream
  6. ตักบัตเตอร์สก็อตซ์ 1 ช้อนเต็มๆ แล้วใส่ลงในแก้วเบียร์ (ถ้าใครชอบหวานก็ใส่เพิ่มได้ค่ะ) จากนั้นเทเบียร์ และโปะด้านบนด้วยวิปครีมเนื้อเนียน อย่าลืมโรยผงลูกจันทน์หอมๆ ด้านบนเพิ่มสีสันและกลิ่นหอมด้วยนะคะ
    โปะหน้าบัตเตอร์เบียร์ด้วยวิปครีม Top with the whipped creamดื่ม บัตเตอร์เบียร์ตอนกำลังร้อนๆ นอกจากจะชื่นใจแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย ช่างเหมือนกับที่แฮร์รี่กล่าวไว้ในหนังสือไม่มีผิดเลยค่ะ ปลื้มมาก ขอบอก!
    เฮอร์ไมโอนี่ดื่มบัตเตอร์เบียร์ Hermione drinks butterbeerบัตเตอร์เบียร์ Butterbeer
ที่มา: theroamingkitchen.net

credit by :  http://www.blisby.com/blog/how-to-butterbeer/

Read More...


เคาหยก


อาหารจีนตำรับกวางตุ้ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ก็มีเมนูเคาหยกรวมอยู่ด้วย เพราะมีรสชาติคล้ายขาหมูต้มเค็ม จึงถูกปากนักกินเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่สาวร่างสะโอดสะองอย่าง คุณบุ๋ม–จารุจิต ใบหยก ลูกสาวคนรองสุดท้องของเจ้าของตึกใบหยก พันธ์เลิศปริยะดา ใบหยก ก็ยังอดชอบไม่ได้เลย!!


เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การนึ่งจนได้หมูสามชั้นเปื่อยนุ่ม
คุณบุ๋ม เดินตามรอยคุณพ่อแบบไม่แตกแถว โดยเป็นศิษย์รุ่นลูกคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการประชาสัมพันธ์ ที่จุฬาฯ แล้วไปเรียนต่อทางด้าน Hotel Management จาก Le Cordon Bleu, Seoul สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ปัจจุบันได้เข้ามาช่วยงานคุณพ่อ ดูแลธุรกิจของครอบครัว ในตำแหน่งผู้ช่วยประธานกลุ่มโรงแรมใบหยก โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านพัฒนาห้องอาหารที่โรงแรมหัวช้าง เฮอริเทจ

อาหารจีนที่คุณบุ๋มชื่นชอบ
คุณบุ๋ม มีใจรักในการทำอาหารเป็นพิเศษ จึงไปสมัครเรียนทำอาหารอยู่เสมอ ทั้ง Pastry Class จาก Le Cordon Bleu Bangkok College, คอร์สทำซูชิ-ซาซิมิ, ชีส-ไวน์ และล่าสุดกำลังเรียนทำอาหารไทย ไม่เพียงแต่ไปร่ำเรียนจากผู้มีความรู้โดยตรงเท่านั้น พอมีเวลาว่างเธอยังค้นหาสูตรจากหนังสือตำราอาหาร แล้วนำมาลองทำด้วยตนเอง แม้กระทั่งเวลาที่ได้เดินทางไปเที่ยวหรือไปดูงานที่ต่างประเทศ ก็มักจะต้องไปชิมอาหารตามร้านดังๆแล้วกลับมาทดลองทำเสมอ


หั่นหมูสามชั้นเนื้อหนาพอดี
ส่วนอาหารจีนที่คุณบุ๋มชื่นชอบด้วยเช่นกัน แต่ไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้จากที่ไหน เพราะที่โรงแรมใบหยกสกาย มีภัตตาคารจีนสเตลล่า พาเลซ ชั้น 79 ที่ขึ้นชื่อไม่แพ้ที่อื่นใด ให้เธอได้เรียนอย่างใกล้ชิดและเรียนได้ไม่รู้จบอยู่แล้ว ซึ่งมีเมนูโปรดอยู่หลายรายการ แต่ที่นำมาแนะนำในวันนี้ เป็นเมนูสุดยอดตำรับกวางตุ้ง คือ “เคาหยก” ซึ่งมีกรรมวิธีในการทำให้อร่อย ตั้งแต่การเลือกหมูสามชั้นคุณภาพดี ผัดคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงชั้นดีจนให้รสสัมผัสความนุ่มละมุนเมื่อลิ้มลอง ส่วนเคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่การนึ่งด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม จนได้หมูสามชั้นเปื่อยนุ่ม เมื่อได้ทานก็แทบจะละลายในปาก และมีรสชาติกลมกล่อมลงตัว เผยกลิ่นหอมของซีอิ๊วนิดๆ และเข้ากันได้อย่างดีกับผักดอง ช่วยตัดความเลี่ยนได้อย่างลงตัว ถ้ายิ่งรับประทานคู่กับหมั่นโถวร้อนๆ เนื้อแป้งฟูนุ่มด้วยละก็ แทบจะลืมอิ่มกันเลยทีเดียว


เครื่องปรุง
นำหมูสามชั้นลงทอด
เครื่องปรุง รับประทานประมาณ 2 คน : หมูสามชั้น 7 ขีด / ผักแห้งหมุ่ยชอย 2 ขีด / น้ำซุป 1 ถ้วยตวง / เหล้าจีน 1 ช้อนชา / กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ / น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ / น้ำมันงา 1 ช้อนชา / ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ / น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา / น้ำมันพืช 1 ถ้วยตวง......วิธีทำ 1) ล้างหมูสามชั้นให้สะอาดก่อนนำมาหั่นให้ได้ 8 ชิ้น เพื่อจะได้หมูชิ้นหนาพอดี 2) ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพอประมาณ รอจนน้ำมันร้อน นำหมูสามชั้นลงทอด เติมซีอิ๊วดำ น้ำมันหอย น้ำมันงา น้ำตาลทราย เหล้าจีน ตามด้วยน้ำซุป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วตักใส่จานพักไว้ 3) ล้างผักแห้งหมุ่ยชอยให้สะอาดเพื่อลดความเค็ม แล้วนำไปแช่น้ำจนผักอิ่มตัว ก่อนนำมาหั่นให้ได้ขนาดตามต้องการ 4) ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมัน กระเทียม ผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่ผัก เติมน้ำตาลผัดให้เข้ากัน ตักใส่จานพักไว้ 5) นำหมูสามชั้นมาวางเรียงรอบชามและใส่ผักลงไป นำไปนึ่ง 30-45 นาที เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ให้คว่ำชามลงบนภาชนะที่เตรียมไว้ ตกแต่งให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟได้เลย.

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/462950

Read More...


‘เค้กโรลผลไม้’ กินไม่อ้วน...สร้างจุดขาย


ขึ้นชื่อว่าอาหารญี่ปุ่นแล้ว ขนมก็อร่อยไม่แพ้กัน อย่างเค้กโรลญี่ปุ่น ที่มีการตกแต่งน่ารักและชูจุดเด่นเรื่องรสชาติที่เป็นเค้กครีมสดให้รสชาติเบา ๆ ที่สำคัญดีต่อสุขภาพ เพราะญี่ปุ่นจะเคร่งครัดเรื่องส่วนประกอบที่ต้องปลอดภัยต่อสุขภาพ ถ้าใครสนใจเค้กโรลแบบต้นตำรับ โดยไม่ต้องบินไปไกลถึงญี่ปุ่น วันนี้ “ช่องทางทำกิน” นำข้อมูล “เค้กโรลผลไม้” ที่ดัดแปลงเพื่อคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ แต่รสชาติความอร่อยก็เด่น มาฝากคนที่มองหาอาชีพเสริม

ชลันธร ถนอมสังข์ หรือ “ฝน” เจ้าของเค้กโรลผลไม้ สูตรไม่อ้วน “เรนนี่แมงโก้ Rainny Mango” เล่าว่า งานประจำที่ทำคือการทำทัวร์ ทำให้ต้องเจอคนเจอลูกค้า ซึ่งต้องมีของเยี่ยมของฝากลูกค้าเป็นประจำ บางครั้งก็คิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรให้ลูกค้าดี ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เป็นผู้ใหญ่ที่ห่วงใยสุขภาพ และด้วยอยากหางานอดิเรกทำ ก็เห็นช่องทางตรงนี้ว่าน่าจะทำเป็นอาชีพเสริมได้ด้วย จึงตัดสินใจไปเรียนการทำเบเกอรี่ เพราะเป็นกิจกรรมใช้เวลาหลังเลิกงานไปเตรียมของและทำได้เลย

“ส่วนตัวเป็นคนที่สนใจสุขภาพอยู่แล้ว ออกกำลังเสมอและสนใจเรื่องอาหารแนวสุขภาพ จึงมิกซ์แอนด์แมตช์กันพอดี จากการที่ได้เรียนพื้นฐานเบเกอรี่ ก็คิดว่าเราน่าจะทำเค้กโรลที่แตกต่างไปจากคนอื่น คือเค้กโรลญี่ปุ่น ที่มีเสน่ห์ตรงเนื้อเค้กนุ่มเบา และไส้ทาด้วยครีมสดกับผลไม้ ก็มาดัดแปลงทำเป็นสูตรแคลอรี่ต่ำ แบบสไตล์ที่สาว ๆ ชอบคือ กินแล้วไม่อ้วนเหมือนเค้กโรลอื่น รสชาติหวานกำลังดี เสร็จแล้วก็เริ่มนำไปเยี่ยมลูกค้า พอรู้ว่าเราทำเอง ก็พากันตื่นเต้น ชิมแล้วก็ขอสั่งเอาไปทำบุญทันที เช่นเดียวกับเพื่อนทางเฟซบุ๊กมีออร์เดอร์เข้ามาไม่ขาดสาย ปากต่อปากมีออร์เดอร์เข้ามามากมาย”

ปัจจุบันทำอยู่ขนาดเดียว คือขนาด 1 ปอนด์ โดยมีรสชาติให้ลูกค้าเลือกคือ ชาเขียวญี่ปุ่น, วานิลลา, สตรอเบอรี่, กีวี, ส้ม, กล้วยหอม, ช็อกโกแลต, กาแฟ หรืออื่น ๆ ก็สามารถสั่งทำได้

อุปกรณ์ มี เตาอบ, ถาดอบขนาด 26x26 ซม., กระดาษไขสำหรับปูพิมพ์, เครื่องตีไฟฟ้า, ตะกร้อมือ, เลื่อยไฟฟ้าสำหรับตัดขนม, ถ้วยตวง, ช้อนตวง, ตะแกรง, ไม้พายพลาสติก, เขียงพลาสติก ฯลฯ

วัตถุดิบ ที่ใช้ในการทำเค้ก มี แป้งเค้ก 60 กรัม, ไข่ไก่ (แยกไข่แดงไข่ขาว) 3 ฟอง, น้ำตาลทราย 40 กรัม, ส้มแมนดารินในน้ำเชื่อม, น้ำมันพืช 30 กรัม, น้ำสะอาด 40 กรัม, กลิ่นส้ม 1/2 ช้อนชา และสีส้มนิดหน่อย

ส่วนผสมในการทำครีมสดหรือวิปครีม มี วิปปิ้งครีม 200 กรัม, น้ำตาลทราย 20 กรัม ส่วนไส้ข้างในจะเป็นผลไม้สดหรืออบแห้งก็ได้ตามความชอบ เช่น สตรอเบอรี่, กีวี, ส้ม, กล้วยหอม

ขั้นตอนการทำ “โรลผลไม้รสส้ม”

เริ่มจากการทำวิปครีมสำหรับปาดเป็นไส้เค้กโรลก่อน โดยการตีวิปปิ้งครีมกับน้ำตาลทราย ใช้หัวตีปากตะกร้อตีด้วยความเร็วสูง ครีมจะข้นและฟูขึ้นเรื่อย ๆ จนตั้งยอดแข็ง เป็นอันใช้ได้ นำพักไว้ในตู้เย็น

แป้งเค้กนำมาร่อน 2 รอบ พักไว้ ปูกระดาษไขด้านในถาดอบ และอุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียสเตรียมไว้นำไข่แดง น้ำตาลทราย 20 กรัม น้ำมันพืช น้ำสะอาด ใส่กลิ่น และสีผสมอาหารลงไปในอ่างผสม ตีด้วยตะกร้อมือ เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้ว จึงนำแป้งเค้กใส่ตามลงไป ใช้ตะกร้อมือคนเบา ๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันอีกครั้ง พักไว้สักครู่

จากนั้น ทำการตีไข่ขาวกับน้ำตาลทราย 40 กรัม ด้วยเครื่องตีไฟฟ้าไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมไข่ขาวตั้งยอดอ่อนและมันวาว แล้วนำส่วนผสมไข่ขาวมาเคล้าผสมกับส่วนผสมของไข่แดงและแป้ง โดยค่อย ๆ ตะล่อมส่วนผสมจนเป็นเนื้อเดียวกัน เทส่วนผสมที่ได้ใส่ถาดที่ปูกระดาษไข เกลี่ยให้เรียบเสมอทั้งถาด

นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 190 องศาเซลเซียส ประมาณ 10 นาที เมื่อเค้กสุกแล้วนำออกมาคว่ำหน้าบนตะแกรง ลอกกระดาษไขออก (แต่ยังเอากระดาษไขคลุมเค้กไว้เหมือนเดิม) พักไว้ ระหว่างรอก็หันมาจัดการกับผลไม้ที่จะสอดไส้ อย่างส้มแมนดารินในน้ำเชื่อม ก็นำเนื้อส้มออกมาพักให้สะเด็ดน้ำเชื่อม

พอเค้กเย็นได้ที่ ก็นำเค้กจากตะแกรงคว่ำลงบนกระดาษไข ปาดวิปครีมลงไป 2 แถวหนา ๆ วางผลไม้เรียงตามยาวบนวิปครีม จากนั้นทำการม้วน โดยการจับขอบเค้ก แล้วม้วนเข้ามาจนสุด ตอนม้วนใช้กระดาษไขที่รองอยู่คอยประคองและบังคับตัวเค้กแน่นพอกระชับ ห่อด้วยกระดาษไขที่รองอยู่ นำแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดานาน 30 นาที ให้ครีมเซตตัว ก่อนจะนำมาตัดเสิร์ฟเป็นชิ้น

ราคาขายเค้กโรลผลไม้ ทุกรสชาติ ปอนด์ละ 200 บาท (1 ปอนด์ มี 8 ชิ้น)

ใครสนใจ “เค้กโรลผลไม้ Rainny Mango” เค้กสไตล์ญี่ปุ่น สูตรกินแล้วไม่อ้วน ต้องการสั่งไปใช้ในงานต่างๆ ติดต่อ ฝน-ชลันธร ถนอมสังข์ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-5802-8923 หรือที่ line id–rainnymango ปัจจุบันลูกค้าจะเป็นกลุ่มคุณแม่บ้าน คนทำงาน พนักงานออฟฟิศทั่วไป ซึ่งนี่ก็เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ!!.

...................................................................................

คู่มือลงทุน...เค้กโรลผลไม้

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 15,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา

รายได้ ราคาขาย 200 บาท/ปอนด์

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ร้านอาหาร, ชุมชน, ร้านเบเกอรี่

จุดน่าสนใจ สูตรกินแล้วไม่อ้วนเป็นจุดขาย

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง/ภานุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/280932/‘เค้กโรลผลไม้’+กินไม่อ้วน...สร้างจุดขาย

Read More...


เมนูชูรส ‘น้ำพริกปลาทูขมิ้นสด’ ลดอืดเฟ้อ - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ


พืชสมุนไพรหากนำมาปรุงอาหารเรียกว่า “เครื่องเทศ” ถ้านำสมุนไพรสองชนิดขึ้นไปมาผสมจะมีสรรพคุณทางยารักษาโรคได้ ดั่งเช่นธุรกิจของ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ดำเนินการผลิตยาสมุนไพรจากธรรมชาติจากรุ่นสู่รุ่นเนิ่นนานถึง 70 ปี บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ก่อตั้งขึ้นปี พ.ศ. 2490 บุกเบิกจากร้านขายยาคูหาเท่าหยิบมือบริเวณริมสะพานพุทธ จนเติบโตทางธุรกิจย้ายไปตั้งโรงงานการผลิตยาสมุนไพรย่านบางแค ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 3 หมูแดง-
นิชา สมบูรณ์เวชชการ รับช่วงต่อดูแลกิจการในฐานะกรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ลงลึกด้านวางกลยุทธ์การตลาดและบริหารทรัพยากรมนุษย์

“หมูแดงคลุกคลีกับสมุนไพรตั้งแต่เกิดเห็นพัฒนการทุกรุ่น สมัยคุณปู่เป็นหมอแมะขายยาตำรับยาโบราณชนิดเม็ดและลูกกลอนเป็นหลัก กระทั่งรุ่นคุณพ่อได้ขยายกิจการตั้งโรงงานผลิตยาแนวใหม่กินคล่องคอขึ้น เริ่มทำแบบแคปซูล รวมทั้งยาน้ำแก้ไอมะแว้ง ยาน้ำเขากุยแก้ไข้ของเด็ก และยาอมสมุนไพรรสบ๊วย มะนาว ส้ม และมะขามป้อม เป็นต้น พอถึงรุ่นหมูแดงเหมือนต่อยอดงานจากคุณพ่อ พัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งแพ็กเกจและโลโก้ให้ทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งรีแบรนด์ดิ้งเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี เช่น ยาน้ำใช้ฝาบรรจุภัณฑ์แบบเซฟตี้ แคป คลิกบิดสามารถดื่มได้ทันที หรือยาอมใช้ถุงซิปล็อกเปิด-ปิดสะดวก” ผู้บริหารรุ่นที่ 3 กล่าว

ประโยชน์อีกด้านหนึ่งก็คือยามเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ต้องวิ่งโร่เข้าโรงหมอ คุณหมูแดงเล่าว่า “ตอนเด็กไม่ค่อยกินยาฝรั่ง ยกเว้นเจ็บหนักจริง ๆ ถ้าหมูแดงเจ็บคอแก้อาการกินฟ้าทะลายโจร แต่ที่กินบำรุงร่างกายสม่ำเสมอคือ ขมิ้นชันและเห็ดหลินจือสกัด สำหรับขมิ้นชันขึ้นทะเบียนในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีสรรพคุณแก้ท้องอืดเฟ้อ แต่ผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยหลายแห่งพบว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกันโรคมะเร็ง แก้โรคปวดข้อ โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะ ในประเทศอินเดียเชื่อว่าสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ นับว่าเป็นสรรพคุณครอบคลุมหมด”

รู้จักประวัติพอหอมปากหอมคอแล้ว วันนี้คุณหมูแดงขอปูทางสู่วิถีธรรมชาติกินเครื่องเทศให้เป็นยา ด้วยการแนะนำสูตรเด็ดเรียกว่าไม่ธรรมดา เพราะอุตสาหะคิดและปรุงสมัยเรียนอยู่สหรัฐอเมริกา ได้แก่ น้ำพริกปลาทูขมิ้นสด “ครอบครัวเรานำสมุนไพรทำอาหารตลอด แกงส้มใส่ใบมะรุม พะโล้ใส่ชินามอนอบเชย แกงจืดมะระใส่เก๋ากี้บำรุงสายตา และน้ำพริกปลาทูเคยอ่านเจอในบทความถ้าใส่ขมิ้นลงไปจะได้รสชาติอร่อยแตกต่างจึงลองทำดู เริ่มต้นจากปลาซาบะหาง่ายในท้องตลาดก่อน ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จด้านรสชาติต้องกลับมาใช้ปลาทูตามสูตรเดิม” เจ้าของสูตรกล่าว

วัตถุดิบและส่วนผสม ประกอบด้วย ปลาทู 1 ตัวสำหรับขนาดใหญ่ ถ้าตัวเล็กใช้ 1 เข่ง, หอมแดง 3 หัว, กระเทียม 5 กลีบ, พริกขี้หนูสด 8 เม็ด, กะปิ 1/2 ช้อนชา, เกลือ 1/2 ช้อนชา, น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา, น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ, ขมิ้น 3 ชิ้น และน้ำซุปกระดูกหมู 100 มิลลิลิตร

วิธีทำ หลังจากทอดปลาทูเสร็จเรียบร้อยแล้วแกะเนื้อปลาใส่จาน คั่วขมิ้น หัวหอม กระเทียม พริก กะปิ กับน้ำมันพอไหม้เกรียมเล็กน้อย ลงมือตำน้ำพริกโดยโขลกขมิ้นอันดับแรกป้องกันขมิ้นกระจุกตัวไม่เข้ากับส่วนผสมของเครื่องเทศที่เหลือ ตำพอหยาบให้มีรสสัมผัสเวลาเคี้ยวแล้วใส่ปลาทูโขลกคลุกเคล้าเข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว และน้ำปลา เติมน้ำซุปเสริมรสกลมกล่อมและเพิ่มกลิ่นหอม ตักเสิร์ฟกินกับข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมผักสดอย่างขมิ้นขาว ถั่วพู ถั่วฝักยาว แตงกวา และผักสลัด เมนูอิ่มท้องแบบย่อยง่ายไม่อึดอัด.

‘ช้องมาศ’
 credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/280899/เมนูชูรส+‘น้ำพริกปลาทูขมิ้นสด’+ลดอืดเฟ้อ

Read More...


ท้าลอง ‘สเต๊กเนื้อริบอาย’ เมนูทำง่ายที่บ้าน - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ



เล่าลือว่า ร้านอาหารบากู๊ด (Bagus) บนเกาะเสม็ด จ.ระยอง มีอาหารรสชาติอร่อย ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมาก จนต้องชูนิ้วโป้งการันตีความ “สุดยอด” เหมือนความหมายของชื่อร้าน ตามภาษามลายูกันเลยทีเดียว นับว่าโชคดีไม่น้อยแม้ไม่ได้เดินทางไปด้วยตัวเอง แต่ยังมีโอกาสลิ้มลองความอร่อย เมื่อได้เจอกับเจ้าของร้านตัวจริง “ต้น-เดิมพัน อยู่วิทยา” อาสามาเผยเคล็ดลับความอร่อยของเมนู “สเต๊กเนื้อ” หนึ่งในเมนูยอดฮิตแบบหมดเปลือก

“สมัยเด็กเวลาแม่ไม่อยู่บ้าน ผมลงมือทำอาหารกินกับน้องทั้งสองคนอายุห่างกัน 5 ปี และ 7 ปี ส่วนใหญ่ทำเมนูง่าย ๆ เช่น ข้าวผัด เนื้อย่าง กุ้งทอด พอโต้งเรียนจบกลับมาจากอเมริกา เห็นพ้องกันอยากหุ้นทำรีสอร์ทและเปิดร้านอาหาร แต่โต้งแย้งถ้าจะขายลองทำกินกันก่อนไหม หลังจากนั้นผมและโต้งต่างก็หาสูตรมานั่งทำกิน เริ่มจากในครัวของคอนโดฯ พอชิมแล้วกินได้ ก็น่าจะขายได้ จึงเดินหน้าลุยทันที” หนุ่มอารมณ์ดีเล่าถึง โต้ง-สุพิชยะ ฉายเหมือนวงศ์ เพื่อนซี้ย่ำปึ้ก ซึ่งนอกจากลงขันเปิดร้านแล้ว ยังหุ้นกันดำเนินการบริหารธุรกิจด้านโรงแรมภายใต้ชื่อ ลิมา  รีสอร์ท กรุ๊ป มีโรงแรมในเครือทั้งหมด 3 แห่งบนเกาะเสม็ด ได้แก่ ลิมา โคโค่ รีสอร์ท, ลิมา เบลล่า รีสอร์ท และรีสอร์ทน้องใหม่ใกล้เปิดปลายปีนี้ ชื่อว่า ลิมา ดูว่า รีสอร์ท

ช่วงปลุกปั้นคุณต้นยังมีโอกาสลงครัวทำอาหารให้ลูกค้าด้วยตัวเอง ผิดกับปัจจุบันที่ยกหน้าที่ให้แม่ครัวเอก “เรามีทีมงานดีมาก แม่ครัวเก่ง พนักงานทุกคนน่ารัก กระตือรือร้น เรามีสโลแกนการบริหารงานคือ รวดเร็ว สร้างสรรค์ คิดบวก และประหยัด ซึ่งการประหยัดในที่นี้หมายถึงลดการใช้ทรัพยากร ไม่ใช้ถุงพลาสติกเรี่ยราด ทว่าเรื่องอาหารเราค่อนข้างพิถีพิถันคัดเลือกวัตถุดิบชั้นดีมาประกอบอาหาร และยังคำนึงถึงความสะอาด ราคาสมเหตุสมผล รสชาติถึงใจ ซึ่งมีเมนูขึ้นชื่อ ได้แก่ หมูทอดกระเทียมพริกไทย, ต้มแซ่บเนื้อตุ๋น, เนื้อผัดกะเพรา, เสือร้องไห้ และไข่ตุ๋นทะเลเดือด ซึ่งใช้หม้อไฟทำไข่ตุ๋นราดหน้าด้วยเครื่องทะเลซีฟู้ดทั้งหมด มีกระเทียมโรย แล้วจุดไฟเวลาเสิร์ฟ” ผู้บริหารหนุ่มเล่า

สำหรับเมนูวันนี้ถือเป็นจานประจำทำบ่อยตามประสาคนอยู่ง่ายกินง่าย เพียงเลือกซื้อวัตถุดิบตามนี้ ได้แก่ เนื้อริบอาย ประมาณ 180-250 กรัม “ผู้ชายออกกำลังกาย เนื้อปริมาณพอเหมาะอยู่ที่ 200 กรัม ส่วนผู้หญิงประมาณ 180 กรัม” คุณต้นแนะนำและกล่าวเสริมว่าอาจเปลี่ยนประเภทเนื้อตามความชอบได้ แต่ถ้าเป็นชนิดที่มีมันแทรกจะยิ่งนุ่มละมุนลิ้น ส่วนผสมอื่น ๆ ใช้ปริมาณเล็กน้อย เกลือสมุทร, น้ำมันมะกอก, คิโคแมนซอส, พริกไทยชนิดเม็ด ด้านไวน์แดงใช้ 1 ถ้วยเล็ก, เนยเค็ม 4 ช้อนชา ปิดท้ายที่ผักสลัด น้ำสลัด และขนมปังฝรั่งเศสตามชอบ สูตรของคุณต้นจุดชูรสอยู่ที่การเพิ่มคิโคแมนซอส เข้ามาเพิ่มอรรถรสจัดจ้านมีกลิ่นอายความเป็นเอเชีย เบรกรสเลี่ยนลิ้นด้วยผักสลัดสดชนิดปลอดสารพิษ ทั้งแครอท ถั่วลันเตา และข้าวโพด

วิธีทำ อันดับแรกใช้ค้อนเหล็กทุบชิ้นเนื้อเพื่อให้ส่วนผสมเข้ารส เอาน้ำมันมะกอกราด ใช้มือละเลงให้ทั่ว โรยเกลือ พริกไทยดำ ไวน์แดง และคิโคแมนซอส ลงตามลำดับแล้วสลับข้างทำซ้ำ เมื่อคลุกเคล้าได้ที่หมักทิ้งไว้ 5-10 นาที ระหว่างนี้นำกระทะตั้งไฟ พอร้อนนำเนยเค็ม 2 ช้อนชาลงผัดกับผักเคียง พอเข้ากันค่อยใส่เนยเพิ่ม 2 ช้อนชา เพิ่มความหอมด้วยเกลือ ระวังคอยชิมรสอย่าให้เค็มเกินไป เสร็จแล้วนำเนื้อลงทอดทีละข้างให้สุกนอกนุ่มใน ทั้งนี้เนื้อสามารถใช้ไฟแรงได้แต่ถ้าใช้หมูแนะนำให้ใช้ไฟกลาง เสร็จแล้วตักเสิร์ฟกินพร้อมสลัดผักและขนมปังฝรั่งเศส ถ้าใครอยากได้สเต๊กเนื้อราดน้ำเกรวี่ชุ่มฉ่ำตามฉบับอเมริกัน คุณต้นนำน้ำที่เหลือก้นกระทะ ผัดรวมกับเนย นมสด ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ชีสแผ่น และไวน์แดง 1 ช้อนโต๊ะ มาราด

“พอชั่วโมงบินสูง การทำอาหารกลายเป็นเรื่องสนุก ไม่ต้องกลัวว่าเป็นเรื่องยาก ผมคิดว่าต้องใจกล้านิดหนึ่ง กล้าใส่เกลือ กล้าใส่พริกไทย กล้ากินฝีมือตัวเอง และที่สำคัญต้องกล้าชวนคนอื่นมากินฝีมือเรา” ผู้บริหารหนุ่มเล่าอย่างอารมณ์ดี.

‘ช้องมาศ’

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/276310/ท้าลอง+‘สเต๊กเนื้อริบอาย’+เมนูทำง่ายที่บ้าน++-+สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ

Read More...


อู้ฮู! เปิด 5 อาชีพ รายได้สูงสุด-ต่ำสุดในไทย


เมื่อร่ำเรียนจบมา ใครหลายคนก็อยากได้ทำงานดีๆ แล้วที่ว่า "งานดีๆ" มันหมายถึงสิ่งใด "ไทยรัฐออนไลน์" เชื่อว่า งานดีๆ มันคงไม่มีอะไรมาก ก็แค่อาจจะเป็นความมั่นคั่งทางเงินเดือน กับความมั่นคงขององค์กร ปฏิเสธไม่ได้ว่า 2 อย่างนี้ เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจเลือกงานเสมอ บางคนก็อาจเลือกความมั่งคั่ง บางคนก็เลือกความมั่นคง แต่ถ้า 2 อย่าง มันมาควบคู่กันล่ะ นั่นแหละมั้ง...ที่เรียกว่า "งานดี"
วันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" ขอนำเรื่องของความมั่นคั่ง หรือ "เงินเดือน" โดยอ้างผลสำรวจของบริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี เกี่ยวกับงานที่มีระดับเงินเดือนสูงสุด ในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ของเอเชีย มาเสนอผู้อ่าน เพื่อแนะนำให้นักเรียน นักศึกษา ได้วางแผนการเรียน และการทำงานในอนาคตกัน

โดยบริษัทจัดหางานชื่อดัง ได้สำรวจข้อมูลอาชีพที่ได้รับเงินเดือนสูงสุดใน 20 ประเภทงาน จากใบประกาศรับสมัครงานของผู้ประกอบการ ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ซึ่งมีประกาศรับสมัครงานกว่า 180,000 ตำแหน่ง ใน 5 ประเทศ คือ ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย พบว่าอาชีพที่ได้รับเงินเดือนสูงสุดในเอเชีย ได้แก่ งานบริการเฉพาะทาง งานธนาคารและการเงิน และงานไอที
ส่วนในประเทศไทย พบว่า อาชีพที่มีรายได้ต่อเดือนมากที่สุด ในบรรดานักศึกษาจบใหม่ ได้แก่
1. งานบริการเฉพาะทาง อาจไม่ชัด ยกตัวอย่าง เช่น เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ระบบ เจ้าหน้าที่วิเคราะห์การขาย เจ้าหน้าที่วิเคราะห์รายได้ ทนายความ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย เจ้าหน้าที่กฎหมายและกำกับดูแลธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา เป็นต้น   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 32,800 บาท
2. งานธนาคารและการเงิน   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 31,100 บาท
3. งานบริการด้านการแพทย์    มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 30,400 บาท
4. งานประกันภัย    มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 30,200 บาท
5. งานไอที   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 29,900 บาท

ส่วนงานที่มี รายได้ต่อเดือนต่ำที่สุด ของประเทศไทย ได้แก่
1. งานจัดซื้อ   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 25,900 บาท
2. งานท่องเที่ยว และ F&B   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 25,400 บาท
3. งานบัญชี   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 25,400 บาท
4. งานธุรการ และ HR   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 25,300 บาท
5. งานขนส่ง   มีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ย 25,200 บาท

อย่างไรก็ตาม ทางจ๊อบส์ดีบี ทั้ง 5 อาชีพที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำที่สุดของประเทศไทย มีแนวโน้มได้รับเงินเดือนเพิ่มสูงขึ้นกว่า 44% หลังจากมีอายุการทำงานและประสบการณ์ 3 ปีขึ้นไป
เอาล่ะ! ใครอยากเป็นอะไร ประกอบอาชีพไหน เริ่มวางแผน เตรียมตัวกันได้เลย "ไทยรัฐออนไลน์" เป็นกำลังใจให้ทุกคน ได้เดินทางตามความฝันของตัวเอง.

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/461440

Read More...


อรุณสวัสดิ์ เช้านี้! เพิ่มพลังอย่างแรง จับไข่ใส่ขนมปัง!


กลับมาพบกับ Trend can do ไทยรัฐออนไลน์ทุกวันศุกร์แบบนี้เช่นเคย สัปดาห์นี้ต้องโดนใจคนรักอาหารเช้ากับวิธีการทำที่แสนง่ายดายเพียงไม่กี่ ขั้นตอน คุณก็จะได้อร่อยฟินกับ "ขนมปังอบเบคอนใส่ไข่" ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ขั้นตอนการทำง่ายมากจริงๆ เราเชื่อว่าทุกคนต้องทำได้อย่างแน่ๆ...
สิ่งที่ต้องเตรียม



สิ่งที่ต้องเตรียม
1.ขนมปังธัญพืช
2.ไข่
3.เบคอน
4.ชีส
ขั้นตอนการทำ
1ตัดขอบขนมปังออก หลังจากนั้นก็ตัดขนมปังแบ่งออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน โดยไม่ต้องตัดให้ขาด ให้หั่นเข้าไปประมาณ 1 นิ้วทั้งสี่ด้าน
2.ทอดเบคอนให้สุกพอประมาณ ไม่ต้องสุกมากเกินไป



นำขนมปังจัดใส่ถ้วย
3.นำขนมปังที่เตรียมไว้มาใส่ในถ้วยจัดวางซ้อนๆ กันให้สวยงามตามรูป



ใส่เบคอน
4.นำเบคอนมาม้วนใส่ถ้วยขนมปัง



ใส่ชีส
5.โรยชีสเข้าไปตามความชอบของเรา



ตอกใส่ไข่
6.ตอกไข่ใส่ลงไปพร้อมทั้งปรุงรสด้วยการโรยเกลือและพริกไทยลงไปนิดหน่อย



อาหารเช้า เพิ่มพลัง พร้อมฟิน
7.นำไปเข้าเตาอบ แค่นี้ก็จะได้ฟินกับอาหารเช้ากันแล้ว

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/461677


อะไหล่อีซูซุแท้ คู่ต้วรถจากโรงงาน  สนใจ จดเบอร์อะไหล่ สอบถามศูนย์บริการและอะไหล่ใกล้บ้านของท่าน ทุกศูนย์อีซูซุมาตราฐานเดียวกันทั่วประเทศ  อะไหล่อีซูซุแท้ คู่ต้วรถจากโรงงาน

Read More...


หวานหอมเหนียวนุ่ม"ขนมเปียกปูนใบเตย"


นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เขียนถึงสูตรอาหารที่เป็นของหวาน ล่าสุดผมเพิ่งกลับมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งโรงแรมวังใต้ที่ผมไปพักเขาทำขนมเปียกปูนให้กินเลยได้แรงบันดาลใจให้ลูกน้องโทรฯ ไปขอสูตรกับโรงแรมมาให้เพื่อน ๆ ได้ทำกันดู หวานหอมอร่อยที่สุดเลยครับ โดยผมใช้ชื่อเมนูว่า เปียกปูนใบเตยซอสคาราเมลกะทิ
การทำขนมเปียกปูนนั้นไม่ยากครับ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือชั่งตวงวัดแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อมให้เรียบร้อย จากนั้นผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม และเกลือป่นลงในภาชนะ หลังจากนั้นเทน้ำปูนใสแบบที่ทำให้ตะกอนตกอยู่ข้างล่างใส่ลงไปและคนให้เข้ากัน แล้วใส่น้ำใบเตยสีเข้มข้นลงไปผสมให้เข้ากัน

สิ่งสุดท้ายที่จะใส่คือน้ำตาลปี๊บ ไม่ต้องใส่ให้มากนักนะครับเพราะว่าเราไม่ได้อยากให้ขนมเปียกปูนหวานมาก แต่เราอยากให้ขนมเปียกปูนมีรสชาติที่อร่อยและกลมกล่อมเท่านั้น ไม่หวานเกินไป ที่ต้องใส่เกลือลงไปด้วยเพราะเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากเกลือจะทำให้รสชาติทุกอย่างสมดุล มีรสเค็ม ๆ หวาน ๆ

หลังจากผสมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เทใส่ในหม้อเอาตั้งไฟปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ จนขนมเปียกปูนมีความข้นขึ้น หลังจากนั้นแทนที่จะใช้ไม้พายให้เปลี่ยนมาเป็นใช้ไม้ตีไข่แทน โดยจับตรงโคนที่เป็นซี่ให้แน่น แล้วตีคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งจะต้องรีบคนก่อนที่ขนมเปียกปูนจะเดือดและสุก เพราะฉะนั้นถ้าต้องการขนมเปียกปูนที่ยังนุ่มและไม่แข็งจนเกินไปนัก สิ่งที่ควรทำคืออย่ากวนขนมเปียกปูนให้เหนียวจนเกินไปนัก และต้องให้เป็นเนื้อเดียวกันไม่เป็นก้อน ๆ

เสร็จแล้วเทลงไปในแม่พิมพ์ที่มีกระดาษไขรองอยู่ ทิ้งให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง แล้วปล่อยให้เซตตัวเองซึ่งจะใช้เวลา 2–3 ชั่วโมง จึงจะตัดเป็นชิ้นได้

ในระหว่างนั้นก็มาทำซอสคาราเมลกัน โดยเอากระทะตั้งไฟใส่น้ำตาลทรายลงไป แล้วทิ้งให้น้ำตาลทรายละลาย ซึ่งเวลาที่น้ำตาลทรายละลายอุณหภูมิของกระทะจะอยู่ที่ประมาณ 180-200 องศาเซลเซียสนะครับ จากนั้นต้องค่อย ๆ คนอย่าให้ไหม้ เมื่อน้ำตาลทรายเริ่มเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นก็ให้เอาน้ำตาลปี๊บใส่ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เมื่อคนเสร็จเรียบร้อยแล้วเอาหัวกะทิเทใส่ลงไปพร้อมคนให้เข้ากัน

 อย่าลืมใส่เกลือลงไปอีกเล็กน้อยแล้วคนด้วยไม้พาย โดยคนจนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเหนียวและข้นพอ จากนั้นนำมาเทใส่ภาชนะ เมื่อเย็นลงจะข้นและเหนียวขึ้น ไม่ต้องเอาไปใส่ในตู้เย็นนะครับเพราะจะแข็ง

หลังจากนั้นก็เอาจานมาแล้วราดน้ำซอสวน ๆ เป็นเส้น ข้างล่างของจาน  เอาขนมเปียกปูนที่ตัดมาจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือรูปทรงอะไร
ก็ได้ตามที่เราอยากจะตัด แล้วโรยมะพร้าวขูดสด ๆ หรือมะพร้าวขูดที่นึ่งแล้วไว้ข้างบน จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยครับ เพื่อน ๆ ลองหาเวลาว่าง ๆ ทำกันดูนะครับ.

.................................

เครื่องปรุงแป้งเปียกปูน

- แป้งข้าวเจ้า    2    ถ้วย
- แป้งเท้ายายม่อม    1/4    ถ้วย
- น้ำปูนใส    3    ถ้วย
- น้ำใบเตย    1    ถ้วยตวง
- น้ำตาลปี๊บ    1/2    ถ้วยตวง
- เกลือป่น    1/4    ช้อนชา

เครื่องปรุงซอสคาราเมลกะทิ
  
- น้ำตาลปี๊บ    1    ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย    1/2    ถ้วยตวง
- หัวกะทิ    2    ถ้วยตวง
- เกลือ    1    ช้อนชา
- เปียกปูนใบเตยสำเร็จแล้ว    200    กรัม
- ข้าวพอง        สำหรับโรยหน้า
- มะพร้าวขูดเป็นเส้น    สำหรับโรยหน้า

หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


อาชีพขายกล้วยปิ้ง อาชีพกล้วยๆ แต่รายได้ไม่กล้วย

อาชีพขายกล้วยปิ้ง เป็น อาชีพที่ต้นทุนต่ำ ขายง่ายกำไรงาม แถมยังเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และต่อโลกใบนี้อีกด้วย กล้วยเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีประโยชน์มาก หาทานได้ง่าย เด็กหรือผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ประโยชน์ของกล้วยนั้นบอกได้ เลยค่ะว่าไม่กล้วยอย่างที่คิด


เพราะจากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายอย่างเพียงพอกับการออกกำลังกายนานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค เช่น โรคโลหิตจาง โรคความดัน โรคท้องผูก โรคซึมเศร้า อาการเมาค้าง อาการเสียดท้อง โรคลำไส้เป็นแผล และยังช่วยการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย จึงควรรับประทานทุกวัน

ทำไมถึงเลือกประกอบอาชีพนี้ ?

เพราะประเทศไทยมีเกษตรกรที่ปลูกกล้วยเยอะ และอีกอย่างกล้วยยังเป็นพืชประจำบ้านที่นิยมปลูกกัน อีกอย่างธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูงค่ะ กล้วยน้ำหว้าหนึ่งหวีก็มีราคาไม่แพงมากนัก และมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก กำไรก็ดี และไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องมีความรู้สูงก็สามารถทำได้ค่ะ เพียงแค่คุณมีความตั้งใจ ขยันอดทน และไม่ขี้เกียจ ธุรกิจนี้ก็จะทำให้คุณมีรายได้ที่มั่นคงแน่นอนค่ะ

อาชีพ “ขายกล้วยปิ้ง” สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพเสริมในยามว่าง หรือแม้แต่อาชีพทำเงินที่ทำให้หลายคนประสบความสำเร็จกันมาแล้วหลายราย อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่น่าสนใจมากเลยค่ะ เพราะมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่กำไรที่ได้นับว่าคุ้มค่ามากค่ะ

เทคนิคการทำกล้วยปิ้ง ให้อร่อย

วิธีการเลือกกล้วย
กล้วยสีกะดังงา  คือ กล้วยที่มีสีเขียวแซมบริเวณปลายและตรงโคนมีสีเหลือง หรือที่เรียกว่ากล้วยกำลังห่ามนั่นเองค่ะ  แบบนี้จะย่างง่ายหน่อย เสียบไม้ง่าย และอร่อยกำลังพอดี
กล้วยสีเหลือง    คือ กล้วยที่สุกงอมคือพร้อมเละแล้ว เวลาเสียบไม้จะไม่ทรงตัวทำให้หล่นและหลุดออกจากไม้ ส่วนมากกล้วยที่นำมาทำกล้วยปิ้งจะนิยมเลือกใช้กล้วยสีกะดังงา เพราะรสชาติกำลังอร่อยพอเหมาะ อีกทั้งยังง่ายต่อการย่างไฟอีกด้วย


วิธีการปลอกกล้วย ให้เป็นเรื่องกล้วยๆ  ไม่ ยากเลยค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ มีดปลายแหลมด้ามเล็ก และถุงมือพลาสติก เพื่อไม่ให้มือหรือเล็บเราโดนยางกล้วย เริ่มจากการตัดหัวท้ายของผลกล้วยทั้งสองข้างทิ้งและกรีดลงมาเป็นแนวยาวเส้น เดียว หลังจากนั้นก็ลอกเปลือกกล้วยออกได้เลยอย่างง่ายดาย
ทำไมเรา ถึงต้องตัดบริเวณหัวท้ายของผลกล้วยทิ้ง เป็นเพราะบริเวณโคนของผลกล้วยจะมียางติดอยู่เวลาเรานำไปย่างจะทำให้ผลกล้วย เหี่ยวและจะมียางกล้วยซึมออกมา มีรสชาติฝาด ผลกล้วยดำ
และบริเวณ ปลายของผลกล้วยจะมีลักษณะนูนแหลมขึ้นมาตรงปลายทำให้ผลกล้วยดูไม่สวยงาม ไม่น่ารับประทาน และการตัดหัวท้ายยังทำให้ง่ายเวลาเรานำไปเสียบไม้และย่างไฟอีกด้วยค่ะ

วิธีการคุมไฟให้พอเหมาะกับการย่างกล้วย  ขึ้นอยู่ที่ว่าวันนึงเรากะจะขายกล้วยปิ้งซักประมาณกี่หวี สมมติว่าวันนี้เราจะขายประมาณ 50 หวี ก็จะใช้ถ่านประมาณ 7 ถุง เริ่มจากการนำถ่านทั้งหมดเทลงไปในเตาย่างและจุดไฟให้ลุกโหมเพื่อให้ถ่านกลาย เป็นถ่านไฟ

หลังจากนั้นให้ตักขี้เถ้าเททับลงไปในเตาอีกรอบนึง เพื่อลดระดับความแรงของไฟ และลองนำมือมาผึ่งดูบริเวณหน้าเตาว่ารู้สึกร้อนมากรึเปล่าหากยังรู้สึกร้อน มากให้ตักขี้เถ้าเททับอีกรอบนึง
รอให้ความร้อนอยู่ในระดับพอดีไม่ร้อนมาก หากเราลองนำมือมาผึ่งไว้ได้ประมาณ 10 วินาที โดยไม่รู้สึกร้อนมาก ก็สามารถนำกล้วยที่เสียบไม้ไว้แล้วนำมาย่างได้เลยค่ะ

ส่วนผสมน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด

(ปริมาณของส่วนผสมกะให้ได้น้ำราด 1 หม้อ หากท่านใดทำรับประทานเอง อาจจะไมต้องใส่ปริมาณมากเท่านี้ก็ได้ค่ะ)
1. น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโล
2. แป้งข้าวโพด 1 ถุง
3. หัวกะทิ 1 เหยือก
4. เกลือ 1 ถ้วยเล็ก
5. น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก
6. เนื้อมะพร้าวเผา เพราะจะทำให้เกะเนื้อง่าย และนำมาหั่นเป็นเส้นพอเหมาะ ประมาณ 1 ถ้วยใหญ่ (หากใครจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้)

วิธีการทำน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด
1. เตรียมหม้อขนาดใหญ่ 1 ใบ ตั้งไฟให้พอเหมาะ ไม่ต้องใช้ความร้อนสูง
2. นำหัวกะทิ 1 เหยือก น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก เทลงไปในหม้อที่เตรียมไว้ ตักน้ำตาลปิ๊ปใส่ลงไป 2 ทัพพี และตั้งไฟคนให้เข้ากันประมาณ 5-10 นาที ให้น้ำตาลละลาย
3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตักเกลือใส่ประมาณ 2 ช้อนชา หลังจากนั้นให้ชิมดูว่ารสชาติหวานเกินไปรึเปล่า หากกวานเกินไปไม่เป็นไร เพราะเราจะต้องใส่แป้งข้าวโพดตามอีกที
4. เทน้ำลงในถ้วยเปล่าประมาณครึ่งถ้วย และนำแป้งข้าวโพดมาละลายน้ำ ไม่ต้องให้ข้นมาก เพราะเวลาที่เรานำไปเทผสมกับส่วนผสมที่เตรียมไว้อาจจะทำให้น้ำราดออกมามี ความเหนียวจนเกินไป หลังจากที่ละลายแป้งข้าวโพดแล้ว ให้ค่อยๆ เทลงในหม้อ และคนส่วนผสมให้เข้ากัน หรือหากใครที่ชอบน้ำราดแบบเหนียวนิดนึงก็ให้เพิ่มแป้งข้าวโพดได้ตามความชอบ และรสชาติความหวานและความเค็มสามารถกะตวงตามความชอบได้
5. จากนั้นให้นำเนื้อมะพร้าวเผาที่เราเตรียมไว้เทลงไปให้หมด หากท่านใดจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้ แต่การใส่เนื้อมะพร้าวเผาจะเพิ่มความหอมและรสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น
6. คนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน รอจนเดือด และลองชิมดู (รสชาติสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้ตามความชอบ) การใส่วัตถุดิบที่แปลกใหม่ จะทำให้เพิ่มรสชาติและความหลากหลายของน้ำราดได้ เพราะฉะนั้นท่านสามารถคิดค้นและเพิ่มเติมส่วนผสมต่างๆ ได้ตามต้องการ

credit by :  http://www.thaiarcheep.com/อาชีพขายกล้วยปิ้ง.html

Read More...


ทูน่าคอร์นสลัด ของแบบนี้ใครก็ทำได้ง่ายนิดเดียว


     จขกทใช้แครอท,ข้าวโพด,ถั่วลันเตา แบบแช่แข็งรวมมิตรค่ะ แล้วนำมาต้มให้สุก อย่าใช้แบบกระป๋องนะคะเพราะว่าไม่อร่อยเลย 

  

   ทูน่ากระป๋องและสับปะรดค่ะ

  

   มาทำน้ำสลัดกันสูตรนี้ไม่กลัวอ้วนค่ะ  เน้นอร่อยอย่างเดียวเลย อิอิ
   น้ำสลัดสำเร็จรูปมากน้อยตามชอบค่ะ
   มายองเนส
   น้ำเชื่อม
   น้ำมะนาว

 

   คนทุกอย่างรวมกัน  ชิมรสดูว่าชอบแบบไหน

 

   หาถ้วยใบใหญ่ๆ ่ ใส่แครอท,ข้าวโพด,ถั่วลันเตา,สับปะรดลงไป  เทน้ำสลัดลงไปคลุกเคล้าให้เข้า กันค่ะ  พอเข้ากันแล้วใส่ทูน่าตามหลัง  คนอีกครั้งเบาๆค่ะ

 

   เสร็จแล้วค่ะ  แนะนำให้แช่เย็นไว้ก่อนนำมาหม่ำค่ะ เก็บไว้ได้ประมาณสามวันค่ะ  ต้องแช่ไว้ในตู้เย็นนะจ๊ะ

 

  น่ากินไหมคะ

  

  ลองทำดูนะคะ  กินได้ทั้งครอบครัวเลยค่ะ  แล้วพบกันใหม่สวัสดีจ้า

credit by  :  http://pantip.com/topic/32314779

Read More...


กรอบอร่อย ‘ปลากะพงทอดสมุนไพร’จัดจ้านถึงใจ ‘สปาเกตตีไส้อั่ว’

 


 

เมื่อสองเดือนที่แล้วผมได้ไปเยี่ยมครอบครัวคนสนิทที่ จ.นครสวรรค์ เลยถือโอกาสพาทีมงานกองถ่ายของผมไปชิมอาหารที่นั่นด้วยเลย ทางโน้นจึงพาไปชิมอาหารร้านแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อร่อยหลายแห่ง แต่วันนี้ผมจะเริ่มที่ร้านแรกก่อน ซึ่งมีชื่อว่า เบนนี่ การเดินทางถ้าเรามาจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไป จ.นครสวรรค์ จะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองทางฝั่งซ้ายมือสักประมาณ 12 กิโลเมตร

โดยลักษณะไม่เหมือนร้านอาหารไทย บรรยากาศสบาย ๆ เหมือนร้านที่อยู่ต่างประเทศกึ่งค็อฟฟี่ช็อป กึ่งร้านอาหาร มีที่แวะซื้อของฝากได้ด้วยก่อนที่จะขับรถกลับกรุงเทพฯ

เมื่อไปถึงที่ร้านหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ได้ชิมเป็น สลัดเนื้อเทนเดอลอยด์ ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กับยำเนื้อ โดยเอาเนื้อเทนเดอร์ลอยด์มาหมักแล้วเอามาทอดหรือเอามาย่างให้สุกพอดี ไม่ให้สุกเกินไปนักแล้วเอามาวางบนผักสลัด ราดด้วยน้ำยำ อร่อยมาก รสชาติดี เนื้อไม่เหนียว ราคาของเขาก็ไม่แพง ผมติดใจเลยครับสำหรับอาหารจานนี้ ไม่หนักจนเกินไป กินคู่กับผักเพื่อสุขภาพด้วยครับ

ต่อจากนั้นเป็น สปาเกตตีไส้อั่ว โดยไส้อั่วนั้นเขาซื้อมาจากทางเหนือแล้วเอามาหั่นก่อนที่จะนำไปย่าง จากนั้นถึงจะเอามาผัดกับเส้นสปาเกตตี โดยจะผัดคล้ายผัดขี้เมาแต่ใส่ไส้อั่ว รสชาติดี กลิ่นหอม อร่อย เพราะไส้อั่วของบ้านเราจะมีรสชาติและกลิ่นที่พิเศษอยู่แล้ว เนื่องจากเขาใส่ขมิ้นชันในเครื่องของไส้อั่วด้วย

ความจริงแล้วเมนูนี้ผมว่าควรเอาไส้อั่วสับให้ละเอียดสักหน่อยแล้วมาผัดกับเส้นสปาเกตตีน่าจะได้กลิ่นและได้รสชาติที่อร่อยกว่านี้ แต่แบบที่เขาทำก็อร่อย เสียไปนิด คือ เส้นสปาเกตตีของเขานิ่มเกินไป หรือเขาอาจจะต้มเส้นนานเกินไป ควรจะต้มให้เส้นยังกรุบ ๆ อยู่นิด ๆ แล้วรีบตักขึ้นมาแช่น้ำเย็นที่มีน้ำแข็งทันทีก่อนที่จะตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำแล้วเอามาคลุกน้ำมันไว้ เมื่อถึงเวลาผัดถึงเอาลงกระทะ เมื่อปรุงรสเส้นก็จะไม่เละ ยังนุ่มและเหนียวพอดีครับ ซึ่งผมก็ได้แนะนำทางร้านไว้แล้ว

ต่อมาเป็น แซ่บซ่าสลัดทูน่า เป็นยำปลาทูน่าแบบไทยจริง ๆ ครับ มีเครื่องยำแบบไทยครบครัน ทั้งตะไคร้ น้ำตาล น้ำปลา มะนาว โดยจะเอายำมาวางไว้บนผักสลัด แถวนั้นคงมีผักสลัดสดเป็นไฮโดรโปนิกส์มาก ซึ่งฝรั่งจะชอบสลัดที่ร้านนี้มาก ราดน้ำยำแล้วเสิร์ฟ อร่อยดี ผักสด กรอบ กินคู่กับยำเข้ากันได้ดี

ยังมี ผัดหมี่สิงคโปร์ เป็นเส้นหมี่ผัดแบบสิงคโปร์ซึ่งจะต้องใส่ผงกะหรี่เล็กน้อย แล้วใส่ซีอิ๊ว และใส่ผักต่าง ๆ เมนูนี้ของเขาใช้ได้ครับ แต่สำหรับผมรสชาติจืดไปนิด ควรเติมเครื่องปรุงให้มากกว่านี้ แต่คนสิงคโปร์เขาจะกินรสชาติจืด ๆ กันเสียส่วนใหญ่

ตามมาด้วย ปลากะพงทอดสมุนไพร เขาเอาปลากะพงทั้งตัวมาแล่เนื้อปลาเป็นชิ้น ๆ และเอาไปทอดให้กรอบ รวมทั้งหัวปลากับก้างปลาก็เอาไปทอดให้กรอบด้วย จากนั้น เอาสมุนไพรต่าง ๆ ลงไปทอดแล้วนำมาโรยบนปลา ซึ่งปลาของเขาหมักได้ดี หอมมาก และทอดปลาได้สุกพอดีด้วย โดยเนื้อปลายังมีความชุ่มชื่นอยู่ไม่แห้งจนเกินไป

แต่ถ้าเนื้อปลาของเขาหมักสมุนไพรนานกว่านี้ เนื้อปลาก็จะมีความหอมกว่านี้และมีรสชาติมากกว่านี้ ส่วนสมุนไพรก็เช่นกันถ้าทอดกรอบจะให้กลิ่น ให้รสชาติ และเพิ่มเสน่ห์ให้กับอาหารจานนี้ได้เป็นอย่างดี โดยที่ร้านก็ทำได้ดี หอม กรอบ อร่อย และผมชอบที่เขาเอาเนื้อปลาแล่และหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาไปทอด จะได้ไม่ต้องมาเลาะเนื้อปลาเวลาจะกิน เป็นการทำที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสะดวกสบายในการกิน

นอกจากนี้ยังมี แกงเผ็ดเป็ดย่างกับโรตี สมัยนี้เขามีโรตีที่ทำสำเร็จรูปขาย เราสามารถเอามาทอดเองได้ ไม่ต้องซื้อแบบทอดที่เขาแช่แข็งมาทำเพราะมันจะไม่พองและไม่อร่อย ส่วนตัวแกงเผ็ดของเขาใช้ได้แต่ควรเอาเป็ดย่างจากร้านอาหารจีนที่เขาทำไว้แล้วจะได้ไม่ต้องทำเป็ดเอง เราแค่ไปซื้อที่ร้านที่คนจีนเขาทำเป็ดย่างที่อร่อยอยู่แล้ว จากนั้นเอามาปรุงเพิ่ม ที่ร้านทำได้รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานเกินไป มีความเปรี้ยวอยู่เล็กน้อย อร่อยดีครับ

ที่ผมชอบ คือ หมูคุโรบุตะจิ้มแจ่ว โดยหมูคุโรบุตะ ก็คือ หมูดำ ซึ่งสมัยก่อนจะราคาแพงมาก ที่ร้านเขาหมักได้ดีมาก รสชาติดี รวมทั้งย่างได้พอดีไม่แห้งจนเกินไป โดยจะเสิร์ฟกับเฟรนช์ฟรายส์ ถ้าเป็นผมจะเสิร์ฟกับข้าวผัด หรือส้มตำ เพราะหมูเขารสชาติดี แต่กินคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ก็อร่อยเช่นกัน

ที่ร้านมีเมนู เบนนี่ซุปเปอร์ ผมเห็นชื่อแปลกดีเลยสั่งมาลองกินดู เป็นซี่โครงหมูนำมาทำเป็นบาร์บีคิว รสชาติใช้ได้ แต่สำหรับผมหวานไป ควรจะใส่น้ำแอปเปิ้ล ใส่น้ำส้มสายชูลงไปอีกเล็กน้อยจะได้ช่วยตัดความเลี่ยน แต่รสชาติบาร์บีคิวซอสเขาใช้ได้เลยครับ ส่วนซี่โครงหมูก็นุ่ม ไม่เหนียว ไม่แข็ง สู้ฟันเล็กน้อย ใช้ได้ครับอาหารจานนี้

ตบท้ายที่ ส้มตำเบคอน เขาเอาส้มตำไทยเรานี่ล่ะครับแล้วทอดเบคอนแต่ไม่ให้กรอบจนเกินไป จากนั้นเอาเบคอนมาหั่นเป็นชิ้น ๆ ลวกในน้ำร้อนให้สุกนิดหน่อย และเวลาตำก็ใส่เบคอนลงไปตำด้วยซึ่งจะได้ความหอมของเบคอนอยู่ในส้มตำ และได้ความเค็มด้วย แต่ผมว่าเผ็ดน้อยไปนิด แต่โดยรวมรสชาติดี

ร้านนี้น่านั่งมากครับ มีกาแฟสดด้วย กาแฟอร่อยเช่นกัน ใครมีโอกาสไปแถวนั้นลองแวะไปชิมกันดูนะครับ.

..................................................................................................

ผัดหมี่สิงคโปร์ - ชิมให้เป็น

ผมขอพูดถึงอาหาร ผัดหมี่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นเมนูที่ขั้นตอนการทำไม่มีอะไรมากคล้ายผัดหมี่ ใส่ไข่ ใส่หอม ใส่มะเขือเทศ ใส่กระเทียม แต่ผัดหมี่สิงคโปร์จะต้องใส่ผงกะหรี่สักนิดเท่านั้นเอง ความจริงแล้ว การทำจะต้องลวกเส้นให้เป็น แช่น้ำให้พอดี โดยจะต้องผัดเครื่องเสียก่อนแล้วใส่ไข่ก่อนถึงจะค่อยเอาเส้นลงไปผัด โดยจะต้องใช้น้ำมันมากพอสมควร ไม่เช่นนั้นเส้นจะหักถ้าเราอยากได้เส้นยาว ๆ และปรุงรสด้วยซีอิ๊ว พริกไทยขาว และใส่ผงกะหรี่อีกเล็กน้อย โดยผัดหมี่สิงคโปร์นั้นรสชาติที่แท้จริงจะต้องออกรสชาติเค็ม มัน และตัดความเลี่ยนด้วยมะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ การผัดจะต้องผัดเป็น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะเละ ไม่น่ากิน และต้องมีรสชาติที่เข้มข้น ถึงจะเป็นผัดหมี่สิงคโปร์

..................................................................................................

ยำปลาช่อนน้ำพริกเผา - เข้าครัวกับหมึกแดง

เครื่องปรุงปลาช่อน
น้ำมันพืช 1 ลิตร
ปลาช่อนแดดเดียว 500 กรัม

วิธีทำ
1.นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพืชลงไปให้ร้อน
2.หั่นปลาช่อนแดดเดียวเป็นชิ้น ๆ พอคำ
3.นำปลาที่หั่นแล้วลงไปทอดให้สุกเหลือง กรอบนอกนุ่มใน ตักออกพักไว้

เครื่องปรุงน้ำยำ
พริกขี้หนูบุบ 10 เม็ด
กระเทียมสับ 1 ช้อนชา
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างในชามผสม คนให้เข้ากันชิมรสชาติให้ เปรี้ยว เค็ม และหวานตาม พักไว้เป็นน้ำยำ
เครื่องปรุงยำปลาช่อนน้ำพริกเผา

ปลาช่อนทอดแล้ว 500 กรัม
ตะไคร้ซอย 1 ต้นใหญ่
ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน 2 ต้น
มะเขือเทศราชินีผ่าครึ่ง 6 ลูก
น้ำยำสำเร็จแล้ว 4 ช้อนโต๊ะ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 50 กรัม

วิธีทำ
1.ในชามผสมใส่ปลาช่อนที่ทอดแล้วลงไป
2.ใส่ตะไคร้ ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ ลงไป แล้วตักน้ำยำลงไปราดให้ทั่ว
3.ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลงไป แล้วคลุกให้น้ำยำเคลือบส่วนผสมทั้งหมด
4.ตักใส่จาน เสิร์ฟทันที

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/276122/กรอบอร่อย+‘ปลากะพงทอดสมุนไพร’จัดจ้านถึงใจ+‘สปาเกตตีไส้อั่ว’

Read More...


เรื่องเล่าเจ้าตำรับ ‘วากาชิ’ ขนมหวานดั้งเดิมคู่ชาชั้นเลิศแห่งญี่ปุ่น



เจ้าหน้าที่สมาคมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานา ชาติเมืองซาไก จังหวัดโอซากา ประเทศญี่ปุ่นได้เชิญบรรดาสื่อมวล ชนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมกิจกรรม สัปดาห์อาเซียน 2014 หรือ “อาเซียน วีค 2014” ที่เมืองดังกล่าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้พาสื่อมวลชนไปชิมขนมหวานและชาขั้นเทพที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความประทับใจในวิถีชีวิตอันประณีตของผู้คนในเมืองดังกล่าว

โดยส่วนมากคนไทยจะรู้จักแต่พิธีชงชาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น แต่ขนมที่รับประทานคู่กับชาในพิธีชงชาซึ่งมีต้นแบบมาจาก ปรมาจารย์ “เซน โนะ ริคิว” นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางในบ้านเรา ขนมดังกล่าวเรียกว่า “วากาชิ” มีอยู่ราว 24 ชนิด วากาชิเป็นขนมที่ต้องรับประทานคู่กับชาเท่านั้น ประกอบด้วยแป้งผสมน้ำตาลด้านนอกและไส้ถั่วแดงหรือผลไม้อื่นด้านใน

ในอดีตพ่อค้าชาวจีนเรียนรู้วิธีการทำน้ำตาลมาจากอินเดีย จากนั้นจึงผลิตและนำเข้ามายังญี่ปุ่น น้ำตาลเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นจุดกำเนิดของขนมหวานอย่างวากาชิ ประกอบกับในสมัยเอโดะนั้นประชาชนนิยมดื่มชาและรู้จักกับขนมของจีนอย่างติ่มซำ ดังนั้น น้ำตาล ชาและติ่มซำจึงส่งอิทธิพลให้เกิดวากาชิในญี่ปุ่น แต่การทำวากาชินี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นพ่อครัววากาชิได้ ผู้ที่จะเป็นคนทำวากาชินั้นจะต้องผ่านการสอบวัดระดับเป็นผู้เชี่ยวชาญของสมาคมผู้ประกอบกิจการทำวากาชิแห่งชาติ ถึงจะสามารถทำวากาชิได้ ในเขตคันไซนี้มีอยู่เพียง 2 ท่านเท่านั้นที่สอบวัดระดับการเป็นคนทำขนมดังกล่าวได้เป็นระดับสูงของญี่ปุ่น คือ อาจารย์ทาคาดะ คาซุโอะ วัย 67 ปี  และอาจารย์นาโอะฮิโกะ โอคาดะ วัย 80 ปี

นอกจากฝีมือที่แสนประณีตและรวดเร็วของทั้งคู่แล้ว การใช้วัตถุดิบก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อาจารย์ทาคาดะ ซึ่งทำวากาชิมากว่า 45 ปี และสืบทอดกิจการร้านทำขนม “มิโนยะ” ของครอบครัวซึ่งมีอายุ 105 ปี กล่าวว่า เขาจะใช้ถั่วชนิดพิเศษที่มาจากจังหวัดฮอกไกโดซึ่งมีรสชาติที่แตกต่างและเนื้อถั่วที่เนียนละเอียด เพื่อให้ถั่วและแป้งผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี อาจารย์ทาคาดะ เพิ่งได้รับเหรียญเกียรติยศ “เหรียญเหลือง” หรือ “โอโจโฮโช” จากสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำขนมหวานดั้งเดิมของญี่ปุ่นอีกด้วย

วากาชิที่อาจารย์ทำให้สื่อมวลชนดูนั้นเป็นวากาชิประจำฤดูใบไม้ร่วง สีสันจะเน้นสีเขียวอ่อนและชมพู เรียกว่า “ชาเซกิกาชิ” บางครั้งหากต้องการให้มีกลิ่นที่ดีก็ผสมผงชา “มัจฉะ” เข้าไปด้วย ส่วนอุปกรณ์ทำขนมชนิดนี้มีหลากหลายชนิด ซึ่งต้องใช้ทักษะที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน จึงจะสามารถใช้อุปกรณ์ปั้นแต่งวากาชิแต่ละอันให้ออกมาสัดส่วนเท่ากันและสวยงามได้ ทั้งนี้ วากาชิที่อาจารย์ทาคาดะทำนั้นจะขายเฉพาะในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเท่านั้น สนนราคาชิ้นละ 350-400 เยน (105-120 บาท) แต่ชิ้นที่ต้องใช้ทักษะพิเศษอาจมีราคา 1,500 เยน (450 บาท) ดังนั้น ผู้ที่เป็นลูกค้าของอาจารย์คือ ผู้ที่จะมีพิธีชงชาและต้องการขนมชั้นดี โดยส่วนมากลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ร้านจะผลิตวากาชิออกสู่ตลาดถึงวันละราว 1,000 ชิ้น วากาชิที่อาจารย์ทำให้สื่อมวล ชนดู ได้แก่ รูปดอกเบญจมาศ ใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ดอกซากุระ นกและมะเขือม่วง

ส่วนอาจารย์นาโอะฮิโกะนั้น อยู่ในวงการทำขนมญี่ปุ่นดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามเย็น ทำวากาชิมากว่า 65 ปี เคยทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ อดีตกษัตริย์พระราชชนกของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เสวยมาแล้ว  จุดเด่นของวากาชิที่อาจารย์ทำคือการไม่ใส่สารปรุงแต่งรสชาติใด ๆ ทุกอย่างที่ได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด สีที่ใช้ก็เป็นสีผสมอาหารตามฤดูกาล เคล็ดลับของอาจารย์ก็คือ การผสมมันฝรั่งลงไปในเนื้อแป้งเพื่อไม่ให้เนื้อแป้งติดมือ จุดเด่นอีกประการของร้าน “โอคาโยชิ” ของอาจารย์คือ การทำวากาชิที่สอดรับไปกับพิธีชงชาของลูกค้า

การทำวากาชิของอาจารย์นาโอะฮิโกะก็เหมือนกันกับของอาจารย์ทาคาดะ คือปั้นไส้ถั่วแดงหรือไส้เกาลัดที่บดละเอียดเป็นลูกกลม จากนั้นห่อด้วยแป้งวากาชิที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นจะใช้อุปกรณ์ทำขนมเฉพาะสำหรับวากาชิขึ้นรูปขนมให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ขนมส่วนใหญ่ที่ทำจะมีความหมายพิเศษ และเป็นไปตามฤดูกาล เช่น วากาชิที่ใช้สีแดงจะสื่อถึงฤดูร้อน โดยปกติวากาชิจะมีรสชาติหวานมาก จึงต้องรับประทานควบคู่ไปกับชาที่มีรสขมจึงจะเข้ากัน

วากาชิฝีมืออาจารย์นาโอะฮิโกะ มีจำหน่ายที่เมืองเกียวโตและเมืองซาไก หากซื้อที่เมืองซาไกอาจสนนราคาชิ้นละ 250 เยน (75 บาท) แต่ถ้าหากไปซื้อที่เมืองเกียวโตอาจราคาถึงชิ้นละ 400 เยน (120 บาท) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความประณีตของวากาชิแต่ละชิ้น โดยร้านโอคาโยชิ จะผลิตวากาชิวันละราว 1,000-1,500 ชิ้น ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่กำลังจะมีพิธีชงชา วากาชิที่อาจารย์ทำให้สื่อมวลชนดูได้แก่ มะเขือ ใบไม้ ดอกไม้ในฤดูใบไม้ร่วงและกิโมโนเด็กผู้หญิง

ชาขั้นเทพที่เหมาะสมจะรับประทานกับวากาชิขั้นเทพมีชื่อว่า “เกียวคุโระ” เป็นชาระดับสูงของญี่ปุ่น เกียวคุโระนี้จะเป็นชาที่แตกต่างจากชาเขียวทั่วไป ตรงที่ปลูกในที่ร่ม ราว 3 สัปดาห์ ไม่ได้รับแสงอาทิตย์โดยตรงเพื่อเก็บกลิ่นของชาไว้ ใบชาจะถูกนำมาลวกในน้ำอุณหภูมิระหว่าง 50-60 องศาเซลเซียส ชาเกียวคุโระมีกลิ่นหอมมาก ให้ความรู้สึกหอมมัน และมีรสชาติที่ขมกว่าชาทั่วไปแม้น้ำชาจะใสมากก็ตาม

การดื่มชาเพื่อให้ครบองค์ประกอบจะต้องรับประทาน “วากาชิ” ควบคู่กันไปด้วย สิ่งที่อัศจรรย์ก็คือ เมื่อจิบเกียวคุโระที่มีรสขมมากเข้าไปพร้อมกับตัดวากาชิคำเล็ก ๆ รับประทานคู่กันไปด้วยนั้น รสขมของเกียวคุโระกลับหายไปและรสหวานของวากาชิก็จางลง ทุกอย่างผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกได้ถึงวิถีชีวิตอันประณีตและเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่คิดค้นรสชาติอันสุดแสนจะลงตัวของชาและขนมหวานที่จะต้องรับประทานร่วมกัน.

‘เซน โนะ ริคิว’ ปรมาจารย์ต้นแบบพิธีชงชา

“เซน โนะ ริคิว” เกิดเมื่อปี พ.ศ.2065 ที่เมืองซะไก เป็นลูกชายของนายทานากะ โยเฮียวอุเอะ ผู้เป็นเจ้าของโกดังสินค้าแห่งหนึ่ง ท่านริคิวร่ำเรียนวิชาเกี่ยวกับชาโดยเฉพาะกับอาจารย์คิตะมุกิ โดชิน เมื่ออายุได้ 21 ปี ก็แต่งงานกับ “โฮชิน เมียวจู” จากนั้นจึงเดินทางไปเมืองเกียว โต เพื่อเข้านิกายเซ็น ท่านริคิวมีบุตรและธิดาหลายคนและเพิ่งมามีชื่อเสียงเมื่ออายุได้ 58 ปี ขณะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชาให้กับ “โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยชิ” ไดเมียว หรือตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากโชกุน คนสำคัญของญี่ปุ่นในราวปี 2130 ท่านริคิวมีโอกาสเป็นศูนย์กลางของการจัดพิธีชงชาของจักรพรรดิและไดเมียวฮิเดะโยชิ

ในเวลาต่อมาท่านริคิวได้ริเริ่มทำพิธีชงชาในพื้นที่ห้องแคบ ๆ ที่แสนสงบ เพียงแค่พื้นที่เสื่อตาตามิ 2 แถวเท่านั้น ท่านยังชอบใช้ข้าวของเครื่องใช้ที่เรียบง่าย ผลิตด้วยฝีมือคนญี่ปุ่นมากกว่าถ้วยกระ เบื้องเคลือบที่สวยงามวิจิตรที่นำเข้าจากจีน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในสมัยนั้น และยังมีส่วนในการพัฒนาอุปกรณ์ในพิธีชงชา นอก จากนี้ ท่านริคิวยังเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดความงามภายใต้ความเรียบง่ายให้กว้างขวางออกไปอีกด้วย อันที่จริงการพบปะของชนชั้นสูงเพื่อดื่มชานั้นจะมีมานานแล้ว แต่แบบแผนที่ริเริ่มโดยท่านริคิวได้กลายเป็นต้นแบบของพิธีชงชาในปัจจุบันของญี่ปุ่น

แม้ท่านริคิวจะเป็นหนึ่งในคนสนิทที่สุดของไดเมียวฮิเดะโยชิ แต่ด้วยความเห็นหลายประการที่ไม่ตรงกัน และเหตุการณ์ที่ประวัติ ศาสตร์ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด ในที่สุดไดเมียวฮิเดะโยชิก็ออกคำสั่งให้ท่านริคิวฮาราคีรีหรือฆ่าตัวตาย โดยการคว้านท้อง โดยท่านได้จบชีวิตลงด้วยวิธีดังกล่าวในวันที่ 21 เม.ย. ปี 2134 ขณะอายุได้ 70 ปี

ก่อนการทำฮาราคีรีตัวเองนั้น ท่านได้จัดงานเลี้ยงพิธีชงชาที่สวยงามครั้งสุดท้ายของชีวิต โดยเชิญแขกเหรื่อมาร่วมมากมาย หลังจากที่ท่านแจกจ่ายชาชั้นเลิศให้แขกเสร็จ ก็นำเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาอธิบายให้แขกฟังว่า แต่ละชิ้นมีหน้าที่อย่างไร พร้อมกับมอบอุปกรณ์เหล่านั้นให้เป็นที่ระลึกกับแขกอีกด้วย อุปกรณ์ทุกชิ้นได้รับการแจกจ่ายออกไป ยกเว้นแต่ถ้วยชาของท่านเองที่ท่านตัดสินใจทุบมันเสียให้แตกละเอียดพร้อมกล่าวว่า ถ้วยชาใบนี้จะไม่ได้รับการใช้งานอีกต่อไป หลังจากถูกใช้โดยริมฝีปากบุคคลผู้มีชะตาอาภัพ เมื่อเสร็จสิ้นงานเลี้ยงแขกก็ทยอยกลับ คงเหลือไว้เพียงแขกที่ไม่ได้รับการระบุชื่อรายหนึ่งที่อยู่เป็นพยานการฮาราคีรีตัวเองของท่านริคิว ปัจจุบันร่างไร้วิญญาณของเซน โนะ ริคิวถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานของวัดแห่งหนึ่งในเขตไดโตกุ เมืองเกียวโต

วิภาภัทร์ นิวาศะบุตร

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/276699/เรื่องเล่าเจ้าตำรับ+‘วากาชิ’+ขนมหวานดั้งเดิมคู่ชาชั้นเลิศแห่งญี่ปุ่น

Read More...


ข้าวอบเผือก ช่องทางทำกิน


วัตถุดิบอย่าง “ข้าวเหนียว” นั้น สามารถนำมาแปรรูปให้เป็น อาหารคาวหวาน ได้ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ๊ะจ่าง, ข้าวเหนียวมะม่วง, ข้าวเหนียวแก้ว หรือข้าวเหนียวมูนหน้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปทำอะไร ยกตัวอย่าง “ข้าวอบเผือก” ที่เจ้าของพลิกแพลงจากการทำ “บ๊ะจ่าง” เพราะ ไม่ต้องการเสียเวลาในการห่อ ซึ่งกลับกลายเป็นผลดี ได้รับการตอบรับที่ดี เพราะคนเห็นอาหารชัดเจน รวมทั้งทำให้อาหารมีความสดใหม่น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

เกศินี สาขำ หรือ ป้าเปี๊ยก เจ้าของ “ข้าวอบเผือก” ในร้าน บ้านขนมพลอยลดา ซึ่งได้ขายข้าวอบเผือกมานานกว่า 1 ปี เล่าว่า ก่อนหน้าที่จะทำข้าวอบเผือกขาย ได้ทำบ๊ะจ่างส่งขายมาก่อน แต่เมื่อแผงขายขนมในตลาดน้ำคลองลัดมะยมพอมีที่ว่างจึงอยากจะหาของขายเพิ่ม จึงได้นึกถึงบ๊ะจ่างขึ้นมา แต่ด้วยความที่ไม่อยากห่อบ๊ะจ่างแบบเดิม ๆ จึงเปลี่ยนมาทำเป็น “ข้าวอบเผือก” แทน โดยใช้สูตรเดียวกับบ๊ะจ่าง ปรากฏว่าได้ผลตอบรับดี มีลูกค้ามาถามหาเรื่อย ๆ จนต้องทำขายกันแบบประจำไป

“เรื่องสูตรการทำนั้น ทำอาหาร และขนมเป็นมาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านทำขายทั้งอาหารคาวหวาน วิธีการทำจึงไม่มีปัญหา” เกศินี กล่าว

อุปกรณ์ในการทำข้าวอบเผือก หลัก ๆ ก็มี ลังถึง, เตาแก๊ส, กระทะ, หม้ออะลูมิเนียม, ถาดอะลูมิเนียม และอุปกรณ์ในการทำครัวอื่น ๆ

วัตถุดิบในการทำข้าวอบเผือก หลัก ๆ มี ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (สำหรับการมูน) 2 กก., เผือก 2 กก., ถั่วลิสง 500 กรัม, เนื้อหมู 500 กรัม, เม็ดแปะก๊วย, ไข่แดงเค็ม, เห็ดหอม และกุนเชียง

วิธีทำ นำ ข้าวเหนียว ไปแช่น้ำอย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้ข้าวเหนียวนิ่ม แล้วนำมาซาวให้สะอาดสัก 2-3 ครั้งเตรียมไว้ ก่อนที่จะนำไปนึ่งในลังถึงให้สุก

แช่ ถั่วลิสง ในน้ำให้นิ่มประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำไปล้างให้สะอาด และนำไปต้มให้สุก เตรียมไว้ หั่นเผือกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดสี่เหลี่ยมลูกเต๋า นำไปล้างให้สะอาด เตรียมไว้

ผัดข้าวเหนียว, ถั่วลิสงกับน้ำมันพืชให้พอสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว, น้ำตาลทราย ให้ได้รสชาติที่ต้องการเตรียมไว้

นำ ข้าวเหนียวที่ผัดแล้วไปนึ่งในลังถึง ด้วยความร้อนพอประมาณ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. โดยระหว่างที่นึ่งข้าวเหนียวไปประมาณ 70% ให้ใส่เผือกที่หั่นเตรียมไว้ลงไปนึ่งด้วย นึ่งไปจนกระทั่งสุก ระหว่างที่นึ่งข้าวเหนียว คอยหมั่นดูว่าข้าวเหนียวสุกหรือยัง โดยใช้วิธีลองชิมดู อย่านึ่งนานไปจนข้าวเหนียวแข็งจะใช้ไม่ได้

ส่วน เครื่องเคียง ต่าง ๆ อย่าง เม็ดแปะก๊วย ให้ต้มให้สุก แล้วแกะเปลือกออก, กุนเชียง ให้นำไปทอดน้ำมันให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ, เห็ดหอม ให้นำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้เห็ดพอง นำไปต้มให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอคำ แล้วนำไปผัดน้ำมัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว, น้ำมันหอย, ไข่แดงเค็ม นำไปต้มให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเนื้อหมู นำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปผัดน้ำมัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ, ซีอิ๊วขาว และผงพะโล้ เสร็จแล้วนำไปตุ๋นสักพักให้พอนิ่ม เตรียมไว้

วิธีขาย ตักข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วใส่ลงในกล่องพลาสติก ขนาด 3x5 นิ้ว พอประมาณ จากนั้น ใส่เครื่องเคียงทุกอย่างลงไปจนครบ โดยจะต้องตกแต่งให้หน้าข้าวเหนียวสวยงาม โรยหน้าด้วยผักชีเล็กน้อย ขายในราคากล่องละ 35 บาท
นอกจาก ข้าวอบเผือก แล้ว เกศินียังมีข้าวเหนียวหมูหน้าต่าง ๆ ขายด้วย ยกตัวอย่าง ข้าวเหนียวหมูฝอย ที่ขายดีพอ ๆ กับข้าวเหนียวหมูหน้าอื่น ๆ

วัตถุดิบในการทำข้าวเหนียวหมูฝอย หลัก ๆ มี ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (สำหรับการมูน) 2 กก., เนื้อหมู (ส่วนตะโพก) 5 กก. และเครื่องปรุงอื่น ๆ อย่างซีอิ๊วขาว, น้ำตาลปี๊บ, เกลือ ฯลฯ
วิธีทำ เริ่มที่นำ ข้าวเหนียว ไปแช่น้ำให้นิ่ม อย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป แล้วนำมาซาวให้สะอาดประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วนำไปนึ่งในลังถึงให้สุก เตรียมไว้

นำ เนื้อหมู ไปต้มให้สุกจนนิ่ม ระหว่างที่ต้มหมู ให้ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย อย่าต้มหมูนานจนเละ ต้มให้นิ่มก็พอ เมื่อเนื้อหมูสุกแล้ว ให้ฉีกหมูเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วหมักหมูด้วยซีอิ๊วขาว 250 กรัม, น้ำตาลทราย 1.7 กก. และเกลือ 40 กรัม เสร็จแล้วนำไปผึ่งแดดจัด ๆ ประมาณ 1 แดด เพื่อให้เนื้อหมูแห้งแบบหมาด ๆ

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันท่วม รอจนน้ำมันเดือด แล้วหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง แล้วนำเนื้อหมูไปทอดให้สุก และกรอบ แต่อย่าทอดจนไหม้ เมื่อทอดเสร็จแล้ว พักให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วเกลี่ยให้เนื้อหมูกระจายออกจากกัน เมื่อเนื้อหมูเย็นแล้วก็พร้อมขายกับข้าวเหนียวได้ โดยบรรจุใส่กล่องพลาสติก ขายในราคากล่องละ 35 บาท เช่นกัน

ใครสนใจ “ข้าวอบเผือก-ข้าวเหนียวหมูฝอย” ต้องการติดต่อ เกศินี สาขำ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ราย นี้ติดต่อได้ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม โซน 4 (ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 10.00-17.00 น. หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2413-3419 และ 08-6985-1455.
....................................................................................................................................................................
คู่มือลงทุน...ข้าวอบเผือก
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้ ราคา 35 บาท/ 1 กล่อง
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ชุมชน, งานออกร้าน, ตลาดนัด
จุดน่าสนใจ พลิกแพลงเมนูทำเงินดี
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
วรัญญู เหมือนเดช : ภาพ


credit by : http://dailynews.co.th/Content/Article/277981/‘ข้าวอบเผือก’แตกต่าง..สร้างเงิน


Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.