สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

หวานหอมเหนียวนุ่ม"ขนมเปียกปูนใบเตย"


นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เขียนถึงสูตรอาหารที่เป็นของหวาน ล่าสุดผมเพิ่งกลับมาจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งโรงแรมวังใต้ที่ผมไปพักเขาทำขนมเปียกปูนให้กินเลยได้แรงบันดาลใจให้ลูกน้องโทรฯ ไปขอสูตรกับโรงแรมมาให้เพื่อน ๆ ได้ทำกันดู หวานหอมอร่อยที่สุดเลยครับ โดยผมใช้ชื่อเมนูว่า เปียกปูนใบเตยซอสคาราเมลกะทิ
การทำขนมเปียกปูนนั้นไม่ยากครับ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือชั่งตวงวัดแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อมให้เรียบร้อย จากนั้นผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม และเกลือป่นลงในภาชนะ หลังจากนั้นเทน้ำปูนใสแบบที่ทำให้ตะกอนตกอยู่ข้างล่างใส่ลงไปและคนให้เข้ากัน แล้วใส่น้ำใบเตยสีเข้มข้นลงไปผสมให้เข้ากัน

สิ่งสุดท้ายที่จะใส่คือน้ำตาลปี๊บ ไม่ต้องใส่ให้มากนักนะครับเพราะว่าเราไม่ได้อยากให้ขนมเปียกปูนหวานมาก แต่เราอยากให้ขนมเปียกปูนมีรสชาติที่อร่อยและกลมกล่อมเท่านั้น ไม่หวานเกินไป ที่ต้องใส่เกลือลงไปด้วยเพราะเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากเกลือจะทำให้รสชาติทุกอย่างสมดุล มีรสเค็ม ๆ หวาน ๆ

หลังจากผสมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เทใส่ในหม้อเอาตั้งไฟปานกลาง คนไปเรื่อย ๆ จนขนมเปียกปูนมีความข้นขึ้น หลังจากนั้นแทนที่จะใช้ไม้พายให้เปลี่ยนมาเป็นใช้ไม้ตีไข่แทน โดยจับตรงโคนที่เป็นซี่ให้แน่น แล้วตีคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งจะต้องรีบคนก่อนที่ขนมเปียกปูนจะเดือดและสุก เพราะฉะนั้นถ้าต้องการขนมเปียกปูนที่ยังนุ่มและไม่แข็งจนเกินไปนัก สิ่งที่ควรทำคืออย่ากวนขนมเปียกปูนให้เหนียวจนเกินไปนัก และต้องให้เป็นเนื้อเดียวกันไม่เป็นก้อน ๆ

เสร็จแล้วเทลงไปในแม่พิมพ์ที่มีกระดาษไขรองอยู่ ทิ้งให้เย็นที่อุณหภูมิห้อง แล้วปล่อยให้เซตตัวเองซึ่งจะใช้เวลา 2–3 ชั่วโมง จึงจะตัดเป็นชิ้นได้

ในระหว่างนั้นก็มาทำซอสคาราเมลกัน โดยเอากระทะตั้งไฟใส่น้ำตาลทรายลงไป แล้วทิ้งให้น้ำตาลทรายละลาย ซึ่งเวลาที่น้ำตาลทรายละลายอุณหภูมิของกระทะจะอยู่ที่ประมาณ 180-200 องศาเซลเซียสนะครับ จากนั้นต้องค่อย ๆ คนอย่าให้ไหม้ เมื่อน้ำตาลทรายเริ่มเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นก็ให้เอาน้ำตาลปี๊บใส่ลงไปแล้วคนให้เข้ากัน เมื่อคนเสร็จเรียบร้อยแล้วเอาหัวกะทิเทใส่ลงไปพร้อมคนให้เข้ากัน

 อย่าลืมใส่เกลือลงไปอีกเล็กน้อยแล้วคนด้วยไม้พาย โดยคนจนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเหนียวและข้นพอ จากนั้นนำมาเทใส่ภาชนะ เมื่อเย็นลงจะข้นและเหนียวขึ้น ไม่ต้องเอาไปใส่ในตู้เย็นนะครับเพราะจะแข็ง

หลังจากนั้นก็เอาจานมาแล้วราดน้ำซอสวน ๆ เป็นเส้น ข้างล่างของจาน  เอาขนมเปียกปูนที่ตัดมาจะเป็นสี่เหลี่ยมหรือรูปทรงอะไร
ก็ได้ตามที่เราอยากจะตัด แล้วโรยมะพร้าวขูดสด ๆ หรือมะพร้าวขูดที่นึ่งแล้วไว้ข้างบน จากนั้นก็ยกเสิร์ฟได้เลยครับ เพื่อน ๆ ลองหาเวลาว่าง ๆ ทำกันดูนะครับ.

.................................

เครื่องปรุงแป้งเปียกปูน

- แป้งข้าวเจ้า    2    ถ้วย
- แป้งเท้ายายม่อม    1/4    ถ้วย
- น้ำปูนใส    3    ถ้วย
- น้ำใบเตย    1    ถ้วยตวง
- น้ำตาลปี๊บ    1/2    ถ้วยตวง
- เกลือป่น    1/4    ช้อนชา

เครื่องปรุงซอสคาราเมลกะทิ
  
- น้ำตาลปี๊บ    1    ถ้วยตวง
- น้ำตาลทราย    1/2    ถ้วยตวง
- หัวกะทิ    2    ถ้วยตวง
- เกลือ    1    ช้อนชา
- เปียกปูนใบเตยสำเร็จแล้ว    200    กรัม
- ข้าวพอง        สำหรับโรยหน้า
- มะพร้าวขูดเป็นเส้น    สำหรับโรยหน้า

หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


อาชีพขายกล้วยปิ้ง อาชีพกล้วยๆ แต่รายได้ไม่กล้วย

อาชีพขายกล้วยปิ้ง เป็น อาชีพที่ต้นทุนต่ำ ขายง่ายกำไรงาม แถมยังเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และต่อโลกใบนี้อีกด้วย กล้วยเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีประโยชน์มาก หาทานได้ง่าย เด็กหรือผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ประโยชน์ของกล้วยนั้นบอกได้ เลยค่ะว่าไม่กล้วยอย่างที่คิด


เพราะจากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายอย่างเพียงพอกับการออกกำลังกายนานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค เช่น โรคโลหิตจาง โรคความดัน โรคท้องผูก โรคซึมเศร้า อาการเมาค้าง อาการเสียดท้อง โรคลำไส้เป็นแผล และยังช่วยการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย จึงควรรับประทานทุกวัน

ทำไมถึงเลือกประกอบอาชีพนี้ ?

เพราะประเทศไทยมีเกษตรกรที่ปลูกกล้วยเยอะ และอีกอย่างกล้วยยังเป็นพืชประจำบ้านที่นิยมปลูกกัน อีกอย่างธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูงค่ะ กล้วยน้ำหว้าหนึ่งหวีก็มีราคาไม่แพงมากนัก และมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก กำไรก็ดี และไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องมีความรู้สูงก็สามารถทำได้ค่ะ เพียงแค่คุณมีความตั้งใจ ขยันอดทน และไม่ขี้เกียจ ธุรกิจนี้ก็จะทำให้คุณมีรายได้ที่มั่นคงแน่นอนค่ะ

อาชีพ “ขายกล้วยปิ้ง” สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพเสริมในยามว่าง หรือแม้แต่อาชีพทำเงินที่ทำให้หลายคนประสบความสำเร็จกันมาแล้วหลายราย อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่น่าสนใจมากเลยค่ะ เพราะมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่กำไรที่ได้นับว่าคุ้มค่ามากค่ะ

เทคนิคการทำกล้วยปิ้ง ให้อร่อย

วิธีการเลือกกล้วย
กล้วยสีกะดังงา  คือ กล้วยที่มีสีเขียวแซมบริเวณปลายและตรงโคนมีสีเหลือง หรือที่เรียกว่ากล้วยกำลังห่ามนั่นเองค่ะ  แบบนี้จะย่างง่ายหน่อย เสียบไม้ง่าย และอร่อยกำลังพอดี
กล้วยสีเหลือง    คือ กล้วยที่สุกงอมคือพร้อมเละแล้ว เวลาเสียบไม้จะไม่ทรงตัวทำให้หล่นและหลุดออกจากไม้ ส่วนมากกล้วยที่นำมาทำกล้วยปิ้งจะนิยมเลือกใช้กล้วยสีกะดังงา เพราะรสชาติกำลังอร่อยพอเหมาะ อีกทั้งยังง่ายต่อการย่างไฟอีกด้วย


วิธีการปลอกกล้วย ให้เป็นเรื่องกล้วยๆ  ไม่ ยากเลยค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ มีดปลายแหลมด้ามเล็ก และถุงมือพลาสติก เพื่อไม่ให้มือหรือเล็บเราโดนยางกล้วย เริ่มจากการตัดหัวท้ายของผลกล้วยทั้งสองข้างทิ้งและกรีดลงมาเป็นแนวยาวเส้น เดียว หลังจากนั้นก็ลอกเปลือกกล้วยออกได้เลยอย่างง่ายดาย
ทำไมเรา ถึงต้องตัดบริเวณหัวท้ายของผลกล้วยทิ้ง เป็นเพราะบริเวณโคนของผลกล้วยจะมียางติดอยู่เวลาเรานำไปย่างจะทำให้ผลกล้วย เหี่ยวและจะมียางกล้วยซึมออกมา มีรสชาติฝาด ผลกล้วยดำ
และบริเวณ ปลายของผลกล้วยจะมีลักษณะนูนแหลมขึ้นมาตรงปลายทำให้ผลกล้วยดูไม่สวยงาม ไม่น่ารับประทาน และการตัดหัวท้ายยังทำให้ง่ายเวลาเรานำไปเสียบไม้และย่างไฟอีกด้วยค่ะ

วิธีการคุมไฟให้พอเหมาะกับการย่างกล้วย  ขึ้นอยู่ที่ว่าวันนึงเรากะจะขายกล้วยปิ้งซักประมาณกี่หวี สมมติว่าวันนี้เราจะขายประมาณ 50 หวี ก็จะใช้ถ่านประมาณ 7 ถุง เริ่มจากการนำถ่านทั้งหมดเทลงไปในเตาย่างและจุดไฟให้ลุกโหมเพื่อให้ถ่านกลาย เป็นถ่านไฟ

หลังจากนั้นให้ตักขี้เถ้าเททับลงไปในเตาอีกรอบนึง เพื่อลดระดับความแรงของไฟ และลองนำมือมาผึ่งดูบริเวณหน้าเตาว่ารู้สึกร้อนมากรึเปล่าหากยังรู้สึกร้อน มากให้ตักขี้เถ้าเททับอีกรอบนึง
รอให้ความร้อนอยู่ในระดับพอดีไม่ร้อนมาก หากเราลองนำมือมาผึ่งไว้ได้ประมาณ 10 วินาที โดยไม่รู้สึกร้อนมาก ก็สามารถนำกล้วยที่เสียบไม้ไว้แล้วนำมาย่างได้เลยค่ะ

ส่วนผสมน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด

(ปริมาณของส่วนผสมกะให้ได้น้ำราด 1 หม้อ หากท่านใดทำรับประทานเอง อาจจะไมต้องใส่ปริมาณมากเท่านี้ก็ได้ค่ะ)
1. น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโล
2. แป้งข้าวโพด 1 ถุง
3. หัวกะทิ 1 เหยือก
4. เกลือ 1 ถ้วยเล็ก
5. น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก
6. เนื้อมะพร้าวเผา เพราะจะทำให้เกะเนื้อง่าย และนำมาหั่นเป็นเส้นพอเหมาะ ประมาณ 1 ถ้วยใหญ่ (หากใครจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้)

วิธีการทำน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด
1. เตรียมหม้อขนาดใหญ่ 1 ใบ ตั้งไฟให้พอเหมาะ ไม่ต้องใช้ความร้อนสูง
2. นำหัวกะทิ 1 เหยือก น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก เทลงไปในหม้อที่เตรียมไว้ ตักน้ำตาลปิ๊ปใส่ลงไป 2 ทัพพี และตั้งไฟคนให้เข้ากันประมาณ 5-10 นาที ให้น้ำตาลละลาย
3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตักเกลือใส่ประมาณ 2 ช้อนชา หลังจากนั้นให้ชิมดูว่ารสชาติหวานเกินไปรึเปล่า หากกวานเกินไปไม่เป็นไร เพราะเราจะต้องใส่แป้งข้าวโพดตามอีกที
4. เทน้ำลงในถ้วยเปล่าประมาณครึ่งถ้วย และนำแป้งข้าวโพดมาละลายน้ำ ไม่ต้องให้ข้นมาก เพราะเวลาที่เรานำไปเทผสมกับส่วนผสมที่เตรียมไว้อาจจะทำให้น้ำราดออกมามี ความเหนียวจนเกินไป หลังจากที่ละลายแป้งข้าวโพดแล้ว ให้ค่อยๆ เทลงในหม้อ และคนส่วนผสมให้เข้ากัน หรือหากใครที่ชอบน้ำราดแบบเหนียวนิดนึงก็ให้เพิ่มแป้งข้าวโพดได้ตามความชอบ และรสชาติความหวานและความเค็มสามารถกะตวงตามความชอบได้
5. จากนั้นให้นำเนื้อมะพร้าวเผาที่เราเตรียมไว้เทลงไปให้หมด หากท่านใดจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้ แต่การใส่เนื้อมะพร้าวเผาจะเพิ่มความหอมและรสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น
6. คนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน รอจนเดือด และลองชิมดู (รสชาติสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้ตามความชอบ) การใส่วัตถุดิบที่แปลกใหม่ จะทำให้เพิ่มรสชาติและความหลากหลายของน้ำราดได้ เพราะฉะนั้นท่านสามารถคิดค้นและเพิ่มเติมส่วนผสมต่างๆ ได้ตามต้องการ

credit by :  http://www.thaiarcheep.com/อาชีพขายกล้วยปิ้ง.html

Read More...


ทูน่าคอร์นสลัด ของแบบนี้ใครก็ทำได้ง่ายนิดเดียว


     จขกทใช้แครอท,ข้าวโพด,ถั่วลันเตา แบบแช่แข็งรวมมิตรค่ะ แล้วนำมาต้มให้สุก อย่าใช้แบบกระป๋องนะคะเพราะว่าไม่อร่อยเลย 

  

   ทูน่ากระป๋องและสับปะรดค่ะ

  

   มาทำน้ำสลัดกันสูตรนี้ไม่กลัวอ้วนค่ะ  เน้นอร่อยอย่างเดียวเลย อิอิ
   น้ำสลัดสำเร็จรูปมากน้อยตามชอบค่ะ
   มายองเนส
   น้ำเชื่อม
   น้ำมะนาว

 

   คนทุกอย่างรวมกัน  ชิมรสดูว่าชอบแบบไหน

 

   หาถ้วยใบใหญ่ๆ ่ ใส่แครอท,ข้าวโพด,ถั่วลันเตา,สับปะรดลงไป  เทน้ำสลัดลงไปคลุกเคล้าให้เข้า กันค่ะ  พอเข้ากันแล้วใส่ทูน่าตามหลัง  คนอีกครั้งเบาๆค่ะ

 

   เสร็จแล้วค่ะ  แนะนำให้แช่เย็นไว้ก่อนนำมาหม่ำค่ะ เก็บไว้ได้ประมาณสามวันค่ะ  ต้องแช่ไว้ในตู้เย็นนะจ๊ะ

 

  น่ากินไหมคะ

  

  ลองทำดูนะคะ  กินได้ทั้งครอบครัวเลยค่ะ  แล้วพบกันใหม่สวัสดีจ้า

credit by  :  http://pantip.com/topic/32314779

Read More...


กรอบอร่อย ‘ปลากะพงทอดสมุนไพร’จัดจ้านถึงใจ ‘สปาเกตตีไส้อั่ว’

 


 

เมื่อสองเดือนที่แล้วผมได้ไปเยี่ยมครอบครัวคนสนิทที่ จ.นครสวรรค์ เลยถือโอกาสพาทีมงานกองถ่ายของผมไปชิมอาหารที่นั่นด้วยเลย ทางโน้นจึงพาไปชิมอาหารร้านแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่อร่อยหลายแห่ง แต่วันนี้ผมจะเริ่มที่ร้านแรกก่อน ซึ่งมีชื่อว่า เบนนี่ การเดินทางถ้าเรามาจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไป จ.นครสวรรค์ จะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองทางฝั่งซ้ายมือสักประมาณ 12 กิโลเมตร

โดยลักษณะไม่เหมือนร้านอาหารไทย บรรยากาศสบาย ๆ เหมือนร้านที่อยู่ต่างประเทศกึ่งค็อฟฟี่ช็อป กึ่งร้านอาหาร มีที่แวะซื้อของฝากได้ด้วยก่อนที่จะขับรถกลับกรุงเทพฯ

เมื่อไปถึงที่ร้านหาที่นั่งกันเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ได้ชิมเป็น สลัดเนื้อเทนเดอลอยด์ ซึ่งมีลักษณะคล้าย ๆ กับยำเนื้อ โดยเอาเนื้อเทนเดอร์ลอยด์มาหมักแล้วเอามาทอดหรือเอามาย่างให้สุกพอดี ไม่ให้สุกเกินไปนักแล้วเอามาวางบนผักสลัด ราดด้วยน้ำยำ อร่อยมาก รสชาติดี เนื้อไม่เหนียว ราคาของเขาก็ไม่แพง ผมติดใจเลยครับสำหรับอาหารจานนี้ ไม่หนักจนเกินไป กินคู่กับผักเพื่อสุขภาพด้วยครับ

ต่อจากนั้นเป็น สปาเกตตีไส้อั่ว โดยไส้อั่วนั้นเขาซื้อมาจากทางเหนือแล้วเอามาหั่นก่อนที่จะนำไปย่าง จากนั้นถึงจะเอามาผัดกับเส้นสปาเกตตี โดยจะผัดคล้ายผัดขี้เมาแต่ใส่ไส้อั่ว รสชาติดี กลิ่นหอม อร่อย เพราะไส้อั่วของบ้านเราจะมีรสชาติและกลิ่นที่พิเศษอยู่แล้ว เนื่องจากเขาใส่ขมิ้นชันในเครื่องของไส้อั่วด้วย

ความจริงแล้วเมนูนี้ผมว่าควรเอาไส้อั่วสับให้ละเอียดสักหน่อยแล้วมาผัดกับเส้นสปาเกตตีน่าจะได้กลิ่นและได้รสชาติที่อร่อยกว่านี้ แต่แบบที่เขาทำก็อร่อย เสียไปนิด คือ เส้นสปาเกตตีของเขานิ่มเกินไป หรือเขาอาจจะต้มเส้นนานเกินไป ควรจะต้มให้เส้นยังกรุบ ๆ อยู่นิด ๆ แล้วรีบตักขึ้นมาแช่น้ำเย็นที่มีน้ำแข็งทันทีก่อนที่จะตักขึ้นมาให้สะเด็ดน้ำแล้วเอามาคลุกน้ำมันไว้ เมื่อถึงเวลาผัดถึงเอาลงกระทะ เมื่อปรุงรสเส้นก็จะไม่เละ ยังนุ่มและเหนียวพอดีครับ ซึ่งผมก็ได้แนะนำทางร้านไว้แล้ว

ต่อมาเป็น แซ่บซ่าสลัดทูน่า เป็นยำปลาทูน่าแบบไทยจริง ๆ ครับ มีเครื่องยำแบบไทยครบครัน ทั้งตะไคร้ น้ำตาล น้ำปลา มะนาว โดยจะเอายำมาวางไว้บนผักสลัด แถวนั้นคงมีผักสลัดสดเป็นไฮโดรโปนิกส์มาก ซึ่งฝรั่งจะชอบสลัดที่ร้านนี้มาก ราดน้ำยำแล้วเสิร์ฟ อร่อยดี ผักสด กรอบ กินคู่กับยำเข้ากันได้ดี

ยังมี ผัดหมี่สิงคโปร์ เป็นเส้นหมี่ผัดแบบสิงคโปร์ซึ่งจะต้องใส่ผงกะหรี่เล็กน้อย แล้วใส่ซีอิ๊ว และใส่ผักต่าง ๆ เมนูนี้ของเขาใช้ได้ครับ แต่สำหรับผมรสชาติจืดไปนิด ควรเติมเครื่องปรุงให้มากกว่านี้ แต่คนสิงคโปร์เขาจะกินรสชาติจืด ๆ กันเสียส่วนใหญ่

ตามมาด้วย ปลากะพงทอดสมุนไพร เขาเอาปลากะพงทั้งตัวมาแล่เนื้อปลาเป็นชิ้น ๆ และเอาไปทอดให้กรอบ รวมทั้งหัวปลากับก้างปลาก็เอาไปทอดให้กรอบด้วย จากนั้น เอาสมุนไพรต่าง ๆ ลงไปทอดแล้วนำมาโรยบนปลา ซึ่งปลาของเขาหมักได้ดี หอมมาก และทอดปลาได้สุกพอดีด้วย โดยเนื้อปลายังมีความชุ่มชื่นอยู่ไม่แห้งจนเกินไป

แต่ถ้าเนื้อปลาของเขาหมักสมุนไพรนานกว่านี้ เนื้อปลาก็จะมีความหอมกว่านี้และมีรสชาติมากกว่านี้ ส่วนสมุนไพรก็เช่นกันถ้าทอดกรอบจะให้กลิ่น ให้รสชาติ และเพิ่มเสน่ห์ให้กับอาหารจานนี้ได้เป็นอย่างดี โดยที่ร้านก็ทำได้ดี หอม กรอบ อร่อย และผมชอบที่เขาเอาเนื้อปลาแล่และหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วเอาไปทอด จะได้ไม่ต้องมาเลาะเนื้อปลาเวลาจะกิน เป็นการทำที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสะดวกสบายในการกิน

นอกจากนี้ยังมี แกงเผ็ดเป็ดย่างกับโรตี สมัยนี้เขามีโรตีที่ทำสำเร็จรูปขาย เราสามารถเอามาทอดเองได้ ไม่ต้องซื้อแบบทอดที่เขาแช่แข็งมาทำเพราะมันจะไม่พองและไม่อร่อย ส่วนตัวแกงเผ็ดของเขาใช้ได้แต่ควรเอาเป็ดย่างจากร้านอาหารจีนที่เขาทำไว้แล้วจะได้ไม่ต้องทำเป็ดเอง เราแค่ไปซื้อที่ร้านที่คนจีนเขาทำเป็ดย่างที่อร่อยอยู่แล้ว จากนั้นเอามาปรุงเพิ่ม ที่ร้านทำได้รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานเกินไป มีความเปรี้ยวอยู่เล็กน้อย อร่อยดีครับ

ที่ผมชอบ คือ หมูคุโรบุตะจิ้มแจ่ว โดยหมูคุโรบุตะ ก็คือ หมูดำ ซึ่งสมัยก่อนจะราคาแพงมาก ที่ร้านเขาหมักได้ดีมาก รสชาติดี รวมทั้งย่างได้พอดีไม่แห้งจนเกินไป โดยจะเสิร์ฟกับเฟรนช์ฟรายส์ ถ้าเป็นผมจะเสิร์ฟกับข้าวผัด หรือส้มตำ เพราะหมูเขารสชาติดี แต่กินคู่กับเฟรนช์ฟรายส์ก็อร่อยเช่นกัน

ที่ร้านมีเมนู เบนนี่ซุปเปอร์ ผมเห็นชื่อแปลกดีเลยสั่งมาลองกินดู เป็นซี่โครงหมูนำมาทำเป็นบาร์บีคิว รสชาติใช้ได้ แต่สำหรับผมหวานไป ควรจะใส่น้ำแอปเปิ้ล ใส่น้ำส้มสายชูลงไปอีกเล็กน้อยจะได้ช่วยตัดความเลี่ยน แต่รสชาติบาร์บีคิวซอสเขาใช้ได้เลยครับ ส่วนซี่โครงหมูก็นุ่ม ไม่เหนียว ไม่แข็ง สู้ฟันเล็กน้อย ใช้ได้ครับอาหารจานนี้

ตบท้ายที่ ส้มตำเบคอน เขาเอาส้มตำไทยเรานี่ล่ะครับแล้วทอดเบคอนแต่ไม่ให้กรอบจนเกินไป จากนั้นเอาเบคอนมาหั่นเป็นชิ้น ๆ ลวกในน้ำร้อนให้สุกนิดหน่อย และเวลาตำก็ใส่เบคอนลงไปตำด้วยซึ่งจะได้ความหอมของเบคอนอยู่ในส้มตำ และได้ความเค็มด้วย แต่ผมว่าเผ็ดน้อยไปนิด แต่โดยรวมรสชาติดี

ร้านนี้น่านั่งมากครับ มีกาแฟสดด้วย กาแฟอร่อยเช่นกัน ใครมีโอกาสไปแถวนั้นลองแวะไปชิมกันดูนะครับ.

..................................................................................................

ผัดหมี่สิงคโปร์ - ชิมให้เป็น

ผมขอพูดถึงอาหาร ผัดหมี่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นเมนูที่ขั้นตอนการทำไม่มีอะไรมากคล้ายผัดหมี่ ใส่ไข่ ใส่หอม ใส่มะเขือเทศ ใส่กระเทียม แต่ผัดหมี่สิงคโปร์จะต้องใส่ผงกะหรี่สักนิดเท่านั้นเอง ความจริงแล้ว การทำจะต้องลวกเส้นให้เป็น แช่น้ำให้พอดี โดยจะต้องผัดเครื่องเสียก่อนแล้วใส่ไข่ก่อนถึงจะค่อยเอาเส้นลงไปผัด โดยจะต้องใช้น้ำมันมากพอสมควร ไม่เช่นนั้นเส้นจะหักถ้าเราอยากได้เส้นยาว ๆ และปรุงรสด้วยซีอิ๊ว พริกไทยขาว และใส่ผงกะหรี่อีกเล็กน้อย โดยผัดหมี่สิงคโปร์นั้นรสชาติที่แท้จริงจะต้องออกรสชาติเค็ม มัน และตัดความเลี่ยนด้วยมะเขือเทศและหอมหัวใหญ่ การผัดจะต้องผัดเป็น ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะเละ ไม่น่ากิน และต้องมีรสชาติที่เข้มข้น ถึงจะเป็นผัดหมี่สิงคโปร์

..................................................................................................

ยำปลาช่อนน้ำพริกเผา - เข้าครัวกับหมึกแดง

เครื่องปรุงปลาช่อน
น้ำมันพืช 1 ลิตร
ปลาช่อนแดดเดียว 500 กรัม

วิธีทำ
1.นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพืชลงไปให้ร้อน
2.หั่นปลาช่อนแดดเดียวเป็นชิ้น ๆ พอคำ
3.นำปลาที่หั่นแล้วลงไปทอดให้สุกเหลือง กรอบนอกนุ่มใน ตักออกพักไว้

เครื่องปรุงน้ำยำ
พริกขี้หนูบุบ 10 เม็ด
กระเทียมสับ 1 ช้อนชา
น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ผสมเครื่องปรุงทุกอย่างในชามผสม คนให้เข้ากันชิมรสชาติให้ เปรี้ยว เค็ม และหวานตาม พักไว้เป็นน้ำยำ
เครื่องปรุงยำปลาช่อนน้ำพริกเผา

ปลาช่อนทอดแล้ว 500 กรัม
ตะไคร้ซอย 1 ต้นใหญ่
ขึ้นฉ่ายหั่นท่อน 2 ต้น
มะเขือเทศราชินีผ่าครึ่ง 6 ลูก
น้ำยำสำเร็จแล้ว 4 ช้อนโต๊ะ
เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 50 กรัม

วิธีทำ
1.ในชามผสมใส่ปลาช่อนที่ทอดแล้วลงไป
2.ใส่ตะไคร้ ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศ ลงไป แล้วตักน้ำยำลงไปราดให้ทั่ว
3.ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ลงไป แล้วคลุกให้น้ำยำเคลือบส่วนผสมทั้งหมด
4.ตักใส่จาน เสิร์ฟทันที

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/276122/กรอบอร่อย+‘ปลากะพงทอดสมุนไพร’จัดจ้านถึงใจ+‘สปาเกตตีไส้อั่ว’

Read More...


เรื่องเล่าเจ้าตำรับ ‘วากาชิ’ ขนมหวานดั้งเดิมคู่ชาชั้นเลิศแห่งญี่ปุ่น



เจ้าหน้าที่สมาคมแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานา ชาติเมืองซาไก จังหวัดโอซากา ประเทศญี่ปุ่นได้เชิญบรรดาสื่อมวล ชนจากประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้าร่วมกิจกรรม สัปดาห์อาเซียน 2014 หรือ “อาเซียน วีค 2014” ที่เมืองดังกล่าว ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้พาสื่อมวลชนไปชิมขนมหวานและชาขั้นเทพที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความประทับใจในวิถีชีวิตอันประณีตของผู้คนในเมืองดังกล่าว

โดยส่วนมากคนไทยจะรู้จักแต่พิธีชงชาที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น แต่ขนมที่รับประทานคู่กับชาในพิธีชงชาซึ่งมีต้นแบบมาจาก ปรมาจารย์ “เซน โนะ ริคิว” นั้นยังไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางในบ้านเรา ขนมดังกล่าวเรียกว่า “วากาชิ” มีอยู่ราว 24 ชนิด วากาชิเป็นขนมที่ต้องรับประทานคู่กับชาเท่านั้น ประกอบด้วยแป้งผสมน้ำตาลด้านนอกและไส้ถั่วแดงหรือผลไม้อื่นด้านใน

ในอดีตพ่อค้าชาวจีนเรียนรู้วิธีการทำน้ำตาลมาจากอินเดีย จากนั้นจึงผลิตและนำเข้ามายังญี่ปุ่น น้ำตาลเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นจุดกำเนิดของขนมหวานอย่างวากาชิ ประกอบกับในสมัยเอโดะนั้นประชาชนนิยมดื่มชาและรู้จักกับขนมของจีนอย่างติ่มซำ ดังนั้น น้ำตาล ชาและติ่มซำจึงส่งอิทธิพลให้เกิดวากาชิในญี่ปุ่น แต่การทำวากาชินี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นพ่อครัววากาชิได้ ผู้ที่จะเป็นคนทำวากาชินั้นจะต้องผ่านการสอบวัดระดับเป็นผู้เชี่ยวชาญของสมาคมผู้ประกอบกิจการทำวากาชิแห่งชาติ ถึงจะสามารถทำวากาชิได้ ในเขตคันไซนี้มีอยู่เพียง 2 ท่านเท่านั้นที่สอบวัดระดับการเป็นคนทำขนมดังกล่าวได้เป็นระดับสูงของญี่ปุ่น คือ อาจารย์ทาคาดะ คาซุโอะ วัย 67 ปี  และอาจารย์นาโอะฮิโกะ โอคาดะ วัย 80 ปี

นอกจากฝีมือที่แสนประณีตและรวดเร็วของทั้งคู่แล้ว การใช้วัตถุดิบก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อาจารย์ทาคาดะ ซึ่งทำวากาชิมากว่า 45 ปี และสืบทอดกิจการร้านทำขนม “มิโนยะ” ของครอบครัวซึ่งมีอายุ 105 ปี กล่าวว่า เขาจะใช้ถั่วชนิดพิเศษที่มาจากจังหวัดฮอกไกโดซึ่งมีรสชาติที่แตกต่างและเนื้อถั่วที่เนียนละเอียด เพื่อให้ถั่วและแป้งผสานเข้ากันได้เป็นอย่างดี อาจารย์ทาคาดะ เพิ่งได้รับเหรียญเกียรติยศ “เหรียญเหลือง” หรือ “โอโจโฮโช” จากสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำขนมหวานดั้งเดิมของญี่ปุ่นอีกด้วย

วากาชิที่อาจารย์ทำให้สื่อมวลชนดูนั้นเป็นวากาชิประจำฤดูใบไม้ร่วง สีสันจะเน้นสีเขียวอ่อนและชมพู เรียกว่า “ชาเซกิกาชิ” บางครั้งหากต้องการให้มีกลิ่นที่ดีก็ผสมผงชา “มัจฉะ” เข้าไปด้วย ส่วนอุปกรณ์ทำขนมชนิดนี้มีหลากหลายชนิด ซึ่งต้องใช้ทักษะที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน จึงจะสามารถใช้อุปกรณ์ปั้นแต่งวากาชิแต่ละอันให้ออกมาสัดส่วนเท่ากันและสวยงามได้ ทั้งนี้ วากาชิที่อาจารย์ทาคาดะทำนั้นจะขายเฉพาะในห้างสรรพสินค้าชั้นนำเท่านั้น สนนราคาชิ้นละ 350-400 เยน (105-120 บาท) แต่ชิ้นที่ต้องใช้ทักษะพิเศษอาจมีราคา 1,500 เยน (450 บาท) ดังนั้น ผู้ที่เป็นลูกค้าของอาจารย์คือ ผู้ที่จะมีพิธีชงชาและต้องการขนมชั้นดี โดยส่วนมากลูกศิษย์ของอาจารย์ที่ร้านจะผลิตวากาชิออกสู่ตลาดถึงวันละราว 1,000 ชิ้น วากาชิที่อาจารย์ทำให้สื่อมวล ชนดู ได้แก่ รูปดอกเบญจมาศ ใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ดอกซากุระ นกและมะเขือม่วง

ส่วนอาจารย์นาโอะฮิโกะนั้น อยู่ในวงการทำขนมญี่ปุ่นดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามเย็น ทำวากาชิมากว่า 65 ปี เคยทำให้สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ อดีตกษัตริย์พระราชชนกของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน เสวยมาแล้ว  จุดเด่นของวากาชิที่อาจารย์ทำคือการไม่ใส่สารปรุงแต่งรสชาติใด ๆ ทุกอย่างที่ได้มาจากธรรมชาติทั้งหมด สีที่ใช้ก็เป็นสีผสมอาหารตามฤดูกาล เคล็ดลับของอาจารย์ก็คือ การผสมมันฝรั่งลงไปในเนื้อแป้งเพื่อไม่ให้เนื้อแป้งติดมือ จุดเด่นอีกประการของร้าน “โอคาโยชิ” ของอาจารย์คือ การทำวากาชิที่สอดรับไปกับพิธีชงชาของลูกค้า

การทำวากาชิของอาจารย์นาโอะฮิโกะก็เหมือนกันกับของอาจารย์ทาคาดะ คือปั้นไส้ถั่วแดงหรือไส้เกาลัดที่บดละเอียดเป็นลูกกลม จากนั้นห่อด้วยแป้งวากาชิที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นจะใช้อุปกรณ์ทำขนมเฉพาะสำหรับวากาชิขึ้นรูปขนมให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ ขนมส่วนใหญ่ที่ทำจะมีความหมายพิเศษ และเป็นไปตามฤดูกาล เช่น วากาชิที่ใช้สีแดงจะสื่อถึงฤดูร้อน โดยปกติวากาชิจะมีรสชาติหวานมาก จึงต้องรับประทานควบคู่ไปกับชาที่มีรสขมจึงจะเข้ากัน

วากาชิฝีมืออาจารย์นาโอะฮิโกะ มีจำหน่ายที่เมืองเกียวโตและเมืองซาไก หากซื้อที่เมืองซาไกอาจสนนราคาชิ้นละ 250 เยน (75 บาท) แต่ถ้าหากไปซื้อที่เมืองเกียวโตอาจราคาถึงชิ้นละ 400 เยน (120 บาท) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความประณีตของวากาชิแต่ละชิ้น โดยร้านโอคาโยชิ จะผลิตวากาชิวันละราว 1,000-1,500 ชิ้น ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่กำลังจะมีพิธีชงชา วากาชิที่อาจารย์ทำให้สื่อมวลชนดูได้แก่ มะเขือ ใบไม้ ดอกไม้ในฤดูใบไม้ร่วงและกิโมโนเด็กผู้หญิง

ชาขั้นเทพที่เหมาะสมจะรับประทานกับวากาชิขั้นเทพมีชื่อว่า “เกียวคุโระ” เป็นชาระดับสูงของญี่ปุ่น เกียวคุโระนี้จะเป็นชาที่แตกต่างจากชาเขียวทั่วไป ตรงที่ปลูกในที่ร่ม ราว 3 สัปดาห์ ไม่ได้รับแสงอาทิตย์โดยตรงเพื่อเก็บกลิ่นของชาไว้ ใบชาจะถูกนำมาลวกในน้ำอุณหภูมิระหว่าง 50-60 องศาเซลเซียส ชาเกียวคุโระมีกลิ่นหอมมาก ให้ความรู้สึกหอมมัน และมีรสชาติที่ขมกว่าชาทั่วไปแม้น้ำชาจะใสมากก็ตาม

การดื่มชาเพื่อให้ครบองค์ประกอบจะต้องรับประทาน “วากาชิ” ควบคู่กันไปด้วย สิ่งที่อัศจรรย์ก็คือ เมื่อจิบเกียวคุโระที่มีรสขมมากเข้าไปพร้อมกับตัดวากาชิคำเล็ก ๆ รับประทานคู่กันไปด้วยนั้น รสขมของเกียวคุโระกลับหายไปและรสหวานของวากาชิก็จางลง ทุกอย่างผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี ทำให้รู้สึกได้ถึงวิถีชีวิตอันประณีตและเปี่ยมไปด้วยวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่คิดค้นรสชาติอันสุดแสนจะลงตัวของชาและขนมหวานที่จะต้องรับประทานร่วมกัน.

‘เซน โนะ ริคิว’ ปรมาจารย์ต้นแบบพิธีชงชา

“เซน โนะ ริคิว” เกิดเมื่อปี พ.ศ.2065 ที่เมืองซะไก เป็นลูกชายของนายทานากะ โยเฮียวอุเอะ ผู้เป็นเจ้าของโกดังสินค้าแห่งหนึ่ง ท่านริคิวร่ำเรียนวิชาเกี่ยวกับชาโดยเฉพาะกับอาจารย์คิตะมุกิ โดชิน เมื่ออายุได้ 21 ปี ก็แต่งงานกับ “โฮชิน เมียวจู” จากนั้นจึงเดินทางไปเมืองเกียว โต เพื่อเข้านิกายเซ็น ท่านริคิวมีบุตรและธิดาหลายคนและเพิ่งมามีชื่อเสียงเมื่ออายุได้ 58 ปี ขณะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านชาให้กับ “โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยชิ” ไดเมียว หรือตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากโชกุน คนสำคัญของญี่ปุ่นในราวปี 2130 ท่านริคิวมีโอกาสเป็นศูนย์กลางของการจัดพิธีชงชาของจักรพรรดิและไดเมียวฮิเดะโยชิ

ในเวลาต่อมาท่านริคิวได้ริเริ่มทำพิธีชงชาในพื้นที่ห้องแคบ ๆ ที่แสนสงบ เพียงแค่พื้นที่เสื่อตาตามิ 2 แถวเท่านั้น ท่านยังชอบใช้ข้าวของเครื่องใช้ที่เรียบง่าย ผลิตด้วยฝีมือคนญี่ปุ่นมากกว่าถ้วยกระ เบื้องเคลือบที่สวยงามวิจิตรที่นำเข้าจากจีน ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในสมัยนั้น และยังมีส่วนในการพัฒนาอุปกรณ์ในพิธีชงชา นอก จากนี้ ท่านริคิวยังเป็นผู้เผยแพร่แนวคิดความงามภายใต้ความเรียบง่ายให้กว้างขวางออกไปอีกด้วย อันที่จริงการพบปะของชนชั้นสูงเพื่อดื่มชานั้นจะมีมานานแล้ว แต่แบบแผนที่ริเริ่มโดยท่านริคิวได้กลายเป็นต้นแบบของพิธีชงชาในปัจจุบันของญี่ปุ่น

แม้ท่านริคิวจะเป็นหนึ่งในคนสนิทที่สุดของไดเมียวฮิเดะโยชิ แต่ด้วยความเห็นหลายประการที่ไม่ตรงกัน และเหตุการณ์ที่ประวัติ ศาสตร์ไม่ได้ระบุไว้แน่ชัด ในที่สุดไดเมียวฮิเดะโยชิก็ออกคำสั่งให้ท่านริคิวฮาราคีรีหรือฆ่าตัวตาย โดยการคว้านท้อง โดยท่านได้จบชีวิตลงด้วยวิธีดังกล่าวในวันที่ 21 เม.ย. ปี 2134 ขณะอายุได้ 70 ปี

ก่อนการทำฮาราคีรีตัวเองนั้น ท่านได้จัดงานเลี้ยงพิธีชงชาที่สวยงามครั้งสุดท้ายของชีวิต โดยเชิญแขกเหรื่อมาร่วมมากมาย หลังจากที่ท่านแจกจ่ายชาชั้นเลิศให้แขกเสร็จ ก็นำเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาอธิบายให้แขกฟังว่า แต่ละชิ้นมีหน้าที่อย่างไร พร้อมกับมอบอุปกรณ์เหล่านั้นให้เป็นที่ระลึกกับแขกอีกด้วย อุปกรณ์ทุกชิ้นได้รับการแจกจ่ายออกไป ยกเว้นแต่ถ้วยชาของท่านเองที่ท่านตัดสินใจทุบมันเสียให้แตกละเอียดพร้อมกล่าวว่า ถ้วยชาใบนี้จะไม่ได้รับการใช้งานอีกต่อไป หลังจากถูกใช้โดยริมฝีปากบุคคลผู้มีชะตาอาภัพ เมื่อเสร็จสิ้นงานเลี้ยงแขกก็ทยอยกลับ คงเหลือไว้เพียงแขกที่ไม่ได้รับการระบุชื่อรายหนึ่งที่อยู่เป็นพยานการฮาราคีรีตัวเองของท่านริคิว ปัจจุบันร่างไร้วิญญาณของเซน โนะ ริคิวถูกนำไปฝังไว้ที่สุสานของวัดแห่งหนึ่งในเขตไดโตกุ เมืองเกียวโต

วิภาภัทร์ นิวาศะบุตร

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/276699/เรื่องเล่าเจ้าตำรับ+‘วากาชิ’+ขนมหวานดั้งเดิมคู่ชาชั้นเลิศแห่งญี่ปุ่น

Read More...


ข้าวอบเผือก ช่องทางทำกิน


วัตถุดิบอย่าง “ข้าวเหนียว” นั้น สามารถนำมาแปรรูปให้เป็น อาหารคาวหวาน ได้ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ๊ะจ่าง, ข้าวเหนียวมะม่วง, ข้าวเหนียวแก้ว หรือข้าวเหนียวมูนหน้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปทำอะไร ยกตัวอย่าง “ข้าวอบเผือก” ที่เจ้าของพลิกแพลงจากการทำ “บ๊ะจ่าง” เพราะ ไม่ต้องการเสียเวลาในการห่อ ซึ่งกลับกลายเป็นผลดี ได้รับการตอบรับที่ดี เพราะคนเห็นอาหารชัดเจน รวมทั้งทำให้อาหารมีความสดใหม่น่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

เกศินี สาขำ หรือ ป้าเปี๊ยก เจ้าของ “ข้าวอบเผือก” ในร้าน บ้านขนมพลอยลดา ซึ่งได้ขายข้าวอบเผือกมานานกว่า 1 ปี เล่าว่า ก่อนหน้าที่จะทำข้าวอบเผือกขาย ได้ทำบ๊ะจ่างส่งขายมาก่อน แต่เมื่อแผงขายขนมในตลาดน้ำคลองลัดมะยมพอมีที่ว่างจึงอยากจะหาของขายเพิ่ม จึงได้นึกถึงบ๊ะจ่างขึ้นมา แต่ด้วยความที่ไม่อยากห่อบ๊ะจ่างแบบเดิม ๆ จึงเปลี่ยนมาทำเป็น “ข้าวอบเผือก” แทน โดยใช้สูตรเดียวกับบ๊ะจ่าง ปรากฏว่าได้ผลตอบรับดี มีลูกค้ามาถามหาเรื่อย ๆ จนต้องทำขายกันแบบประจำไป

“เรื่องสูตรการทำนั้น ทำอาหาร และขนมเป็นมาตั้งแต่เด็ก เพราะที่บ้านทำขายทั้งอาหารคาวหวาน วิธีการทำจึงไม่มีปัญหา” เกศินี กล่าว

อุปกรณ์ในการทำข้าวอบเผือก หลัก ๆ ก็มี ลังถึง, เตาแก๊ส, กระทะ, หม้ออะลูมิเนียม, ถาดอะลูมิเนียม และอุปกรณ์ในการทำครัวอื่น ๆ

วัตถุดิบในการทำข้าวอบเผือก หลัก ๆ มี ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (สำหรับการมูน) 2 กก., เผือก 2 กก., ถั่วลิสง 500 กรัม, เนื้อหมู 500 กรัม, เม็ดแปะก๊วย, ไข่แดงเค็ม, เห็ดหอม และกุนเชียง

วิธีทำ นำ ข้าวเหนียว ไปแช่น้ำอย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อให้ข้าวเหนียวนิ่ม แล้วนำมาซาวให้สะอาดสัก 2-3 ครั้งเตรียมไว้ ก่อนที่จะนำไปนึ่งในลังถึงให้สุก

แช่ ถั่วลิสง ในน้ำให้นิ่มประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำไปล้างให้สะอาด และนำไปต้มให้สุก เตรียมไว้ หั่นเผือกให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดสี่เหลี่ยมลูกเต๋า นำไปล้างให้สะอาด เตรียมไว้

ผัดข้าวเหนียว, ถั่วลิสงกับน้ำมันพืชให้พอสุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว, น้ำตาลทราย ให้ได้รสชาติที่ต้องการเตรียมไว้

นำ ข้าวเหนียวที่ผัดแล้วไปนึ่งในลังถึง ด้วยความร้อนพอประมาณ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. โดยระหว่างที่นึ่งข้าวเหนียวไปประมาณ 70% ให้ใส่เผือกที่หั่นเตรียมไว้ลงไปนึ่งด้วย นึ่งไปจนกระทั่งสุก ระหว่างที่นึ่งข้าวเหนียว คอยหมั่นดูว่าข้าวเหนียวสุกหรือยัง โดยใช้วิธีลองชิมดู อย่านึ่งนานไปจนข้าวเหนียวแข็งจะใช้ไม่ได้

ส่วน เครื่องเคียง ต่าง ๆ อย่าง เม็ดแปะก๊วย ให้ต้มให้สุก แล้วแกะเปลือกออก, กุนเชียง ให้นำไปทอดน้ำมันให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ บาง ๆ, เห็ดหอม ให้นำไปแช่น้ำประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้เห็ดพอง นำไปต้มให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอคำ แล้วนำไปผัดน้ำมัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว, น้ำมันหอย, ไข่แดงเค็ม นำไปต้มให้สุก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และเนื้อหมู นำไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปผัดน้ำมัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำ, ซีอิ๊วขาว และผงพะโล้ เสร็จแล้วนำไปตุ๋นสักพักให้พอนิ่ม เตรียมไว้

วิธีขาย ตักข้าวเหนียวที่นึ่งแล้วใส่ลงในกล่องพลาสติก ขนาด 3x5 นิ้ว พอประมาณ จากนั้น ใส่เครื่องเคียงทุกอย่างลงไปจนครบ โดยจะต้องตกแต่งให้หน้าข้าวเหนียวสวยงาม โรยหน้าด้วยผักชีเล็กน้อย ขายในราคากล่องละ 35 บาท
นอกจาก ข้าวอบเผือก แล้ว เกศินียังมีข้าวเหนียวหมูหน้าต่าง ๆ ขายด้วย ยกตัวอย่าง ข้าวเหนียวหมูฝอย ที่ขายดีพอ ๆ กับข้าวเหนียวหมูหน้าอื่น ๆ

วัตถุดิบในการทำข้าวเหนียวหมูฝอย หลัก ๆ มี ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (สำหรับการมูน) 2 กก., เนื้อหมู (ส่วนตะโพก) 5 กก. และเครื่องปรุงอื่น ๆ อย่างซีอิ๊วขาว, น้ำตาลปี๊บ, เกลือ ฯลฯ
วิธีทำ เริ่มที่นำ ข้าวเหนียว ไปแช่น้ำให้นิ่ม อย่างน้อย 8 ชั่วโมงขึ้นไป แล้วนำมาซาวให้สะอาดประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วนำไปนึ่งในลังถึงให้สุก เตรียมไว้

นำ เนื้อหมู ไปต้มให้สุกจนนิ่ม ระหว่างที่ต้มหมู ให้ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย อย่าต้มหมูนานจนเละ ต้มให้นิ่มก็พอ เมื่อเนื้อหมูสุกแล้ว ให้ฉีกหมูเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วหมักหมูด้วยซีอิ๊วขาว 250 กรัม, น้ำตาลทราย 1.7 กก. และเกลือ 40 กรัม เสร็จแล้วนำไปผึ่งแดดจัด ๆ ประมาณ 1 แดด เพื่อให้เนื้อหมูแห้งแบบหมาด ๆ

ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันท่วม รอจนน้ำมันเดือด แล้วหรี่ไฟลงให้ร้อนปานกลาง แล้วนำเนื้อหมูไปทอดให้สุก และกรอบ แต่อย่าทอดจนไหม้ เมื่อทอดเสร็จแล้ว พักให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วเกลี่ยให้เนื้อหมูกระจายออกจากกัน เมื่อเนื้อหมูเย็นแล้วก็พร้อมขายกับข้าวเหนียวได้ โดยบรรจุใส่กล่องพลาสติก ขายในราคากล่องละ 35 บาท เช่นกัน

ใครสนใจ “ข้าวอบเผือก-ข้าวเหนียวหมูฝอย” ต้องการติดต่อ เกศินี สาขำ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ราย นี้ติดต่อได้ที่ตลาดน้ำคลองลัดมะยม โซน 4 (ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา 10.00-17.00 น. หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2413-3419 และ 08-6985-1455.
....................................................................................................................................................................
คู่มือลงทุน...ข้าวอบเผือก
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้ ราคา 35 บาท/ 1 กล่อง
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ชุมชน, งานออกร้าน, ตลาดนัด
จุดน่าสนใจ พลิกแพลงเมนูทำเงินดี
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
วรัญญู เหมือนเดช : ภาพ


credit by : http://dailynews.co.th/Content/Article/277981/‘ข้าวอบเผือก’แตกต่าง..สร้างเงิน


Read More...


สวย หุ่นดี ทำง่าย อร่อยได้ด้วย 'กรีนฟู้ด'


เป็นประจำทุกสุดสัปดาห์แบบนี้ พบกับคอลัมน์ Trend can do อีกเช่นเคย สัปดาห์นี้พบกับอาหารเพื่อสุขภาพ หรือกรีนฟู้ด ที่กำลังเป็นเทรนด์มาแรงสำหรับสาวๆ เฮลตี้ เราจะมาทำ "Overnight Oats”...
“อาหารเพื่อสุขภาพ” หรือ “กรีน ฟู้ด” กำลังเป็นเทรนด์บริโภคที่มาแรงสำหรับผู้รักสุขภาพ และโดยเฉพาะสาวๆ ที่ต้องการดูแลรูปร่าง และผิวพรรณให้สวยสดใสอยู่เสมอ แพทย์หญิง ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล หรือคุณหมอผิง มาให้คำแนะนำเมนูอาหารเช้าในแบบกรีนฟู้ดที่สามารถทำได้ง่ายๆ และรับประทานได้ทุกวัน เพื่อให้สาวๆ ได้ลองนำกลับไปทำเองได้ที่บ้าน ภายในงานโอเรียนทอล พริ้นเซส โซไซตี้ “44 กรีน อะเจนดา ปาร์ตี้”
สิ่งที่ต้องเตรียม

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ข้าวโอ๊ต
2. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ (ไขมันต่ำ)
3. นมถั่วเหลืองจืด
4. ผงโกโก้
5. ผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น กีวี่ สตรอเบอร์รี่
6. น้ำผึ้ง
7. อัลมอนด์

เตรียมของให้พร้อม
ขั้นตอนการทำ 
1.ใส่ข้าวโอ๊ต 5 ช้อนโต๊ะ (สำหรับรับประทาน 1 ที่) ลงในถ้วยที่เตรียมไว้ ผสมกับโยเกิร์ตสำเร็จรูป 1 ถ้วย และตามด้วยนมถั่วเหลืองจืด 1 ถ้วย

ใส่ข้าวโอ๊ต

ใส่โยเกิร์ต
2. โรยผงโกโก้ลงไปเล็กน้อย ก่อนผสมน้ำผึ้งนิดหน่อยเพื่อเพิ่มความหวาน

โรยผงโกโก้
3. คลุกเคล้าให้เข้ากัน

คลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ตักใส่ขวดโหล แล้วแช่ตู้เย็นค้างไว้อย่างน้อย 1 คืน เพื่อให้ส่วนผสมได้รสชาติที่พอดี
5. นำผลไม้ตามชอบใส่ลงไป โรยด้วยอัลมอนด์ด้านบน พร้อมรับประทานได้ทันที

นำผลไม้ตามชอบใส่ลงไป

พร้อมรับประทานได้ทันที
credit by : http://www.thairath.co.th/content/455631

Read More...


ข้าวผัดปู


เมนูอาหารยอดฮิตของคนไทยทุกบ้าน น่าจะเป็น ข้าวผัด ซึ่งทุกๆ คนสามารถทำได้ ทำนองเดียวกับทอดไข่นั่นแหละค่ะ แต่จะอร่อยหรือไม่นั้นก็ต้องขึ้นกับฝีมือด้วยค่ะ เพราะการจะผัดข้าวให้อร่อยรสชาติกลมกล่อม ข้าวร่วนสวยไม่อมน้ำมันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายๆ ต้องใช้ทักษะและเคล็ดลับในการปรุง ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์คนอร์ จึงได้เลือกเมนูข้าวผัดมาเป็นเมนูท้าพิสูจน์หัวใจของความอร่อยยิ่งขึ้น ในกิจกรรม “ไม่ชัวร์ ไม่ท้า..จานผัดจัดมา..อร่อยชัวร์” โดยเชิญกูรูจานผัด ปยุต กองสุวรรณ เอ็กเซ็คคูทีฟเชฟจากร้านแหลมเจริญซีฟู้ด มาเผยเคล็ดลับการปรุงจานผัดขึ้นชื่อของทางร้าน อย่างข้าวผัดปู เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คุณแม่บ้านหันมาทำอาหารจานผัดให้อร่อยขั้นเทพ

เชฟปอง-ปยุต กองสุวรรณ เชฟหนุ่มนักบริหาร เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของแหลมเจริญซีฟู้ด ร้านอาหารทะเลสไตล์ไทยๆ ภายใต้แนวคิด “สดจริง อร่อยจริง” ได้เล่าถึงเมนูข้าวผัดปู เมนูที่ดูแสนจะธรรมดาแต่ว่าเป็นหนึ่งในจานอาหารยอดนิยมที่ลูกค้ากว่าครึ่ง หนึ่งสั่งมารับประทานควบคู่กับอาหารทะเล จุดเด่นของข้าวผัดปูของแหลมเจริญมีอยู่ 3 อย่าง เริ่มจากนำข้าวหอมมะลิเก่าแช่เย็นค้างคืนไว้ ก่อนนำไปหุง เพื่อให้ได้ข้าวเม็ดร่วนสวย เมื่อหุงสุก ตักข้าวบริเวณส่วนบนของหม้อไปผัดกับไข่ โดยใช้เตาจีนหรือที่เรียกว่าเตาไฟฟู่จะยิ่งดี เพราะสามารถควบคุมไฟให้เหมาะสม ผัดจนได้ข้าวสีเหลืองทอง และมีกลิ่นหอมกระทะและเปลวไฟ จึงใส่เนื้อกรรเชียงปูม้าสดลงไปผัด ลดไฟลง แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือ ซอสหอยนางรมซึ่งเป็นเคล็ดลับเพิ่มความอร่อยกลมกล่อม ปิดท้ายด้วยการใส่ต้นหอมและเนื้อปูส่วนอก ข้าวผัดปูต้นตำรับแหลมเจริญได้ถ่ายทอดมารุ่นต่อรุ่นจากเชฟที่มีประสบการณ์ หลายสิบปี และยังคงรักษามาตรฐานคงที่เหมือนกันหมดทุกสาขา

เชฟปองทิ้งท้ายด้วยว่า “เทคนิคการผัดเป็นหนึ่งในเทคนิคการทำอาหาร ที่มีทั้ง ต้ม นึ่ง ทอด ดังนั้น การผัดจึงเป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์มากกว่าอันอื่น เพราะต้องทำแข่งกับเวลา ต้องมีจังหวะจะโคนที่ดี อย่างการผัดผัก ถ้าผัดช้า เร่งไฟไม่ถูก น้ำก็ท่วม คือในผักมีน้ำมากไป เราต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่งไฟ เมื่อไหร่ควรจะได้แล้ว”

ส่วนผสม (สำหรับ 1 ท่าน) : ข้าวสวย 1 ถ้วย/ไข่ไก่ 1 ฟอง/น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ/น้ำตาล ครึ่งช้อนชา/เกลือ ปลายช้อนชา/ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา/ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา/ต้นหอมซอย 1 หยิบมือ/เนื้อปูส่วนอก 5 กรัม/เนื้อกรรเชียงปู 10 กรัม......วิธีทำ 1) ตั้งน้ำมันพืชในกระทะให้ร้อน ควรใช้กระทะเหล็กในการผัดเพื่อกระจายความร้อนได้อย่างทั่วถึง 2) ตอกไข่ไก่ลงกระทะ แล้วคนไข่ให้แตกประมาณ 2-3 วินาที 3) ใส่ข้าวสวยลงไปผัด โดยใช้ความร้อนระดับกลาง จากนั้นผัดเพื่อคลุกข้าวกับไข่และน้ำมัน ให้เป็นสีเหลืองทอง ลดไฟให้เบาลง แล้วปรุงรสด้วยน้ำตาล เกลือ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม แล้วผัดให้เข้ากัน 4) ใส่ต้นหอมซอย และเนื้อปูส่วนกรรเชียงลงไปผัดกับข้าว เพิ่มไฟแรง สะบัดกระทะเพื่อให้มีกลิ่นหอมของกระทะ และผัดจนกว่าข้าวจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน สุดท้ายตักข้าวผัดใส่จาน ท็อปปิ้งด้วยเนื้อปูส่วนอก.

credit by : http://www.thairath.co.th/content/458584

Read More...


หอมรัญจวนจิตกับสองเมนูลูกผสม - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ

?หอมรัญจวนจิตกับสองเมนูลูกผสม - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ?
?หอมรัญจวนจิตกับสองเมนูลูกผสม - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ?

?หอมรัญจวนจิตกับสองเมนูลูกผสม - สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ?

 เห็นว่าอาหารแต่ละชนชาตินำมาประยุกต์ปรุงแต่งข้ามสายพันธุ์ได้ เพียงดึง     เอา “คาแรกเตอร์” หรือลักษณะเฉพาะของวัตถุดิบมาผสมผสาน ก็เกิดเป็นเมนูใหม่รสชาติลงตัวแบบไม่ซ้ำซากจำเจ ยิ่งเมืองไทยมีวัตถุ ดิบโดดเด่นหลายอย่าง เช่น มะพร้าว ทั้งส่วนเนื้อและน้ำนำมาทำขนมไทยและอาหารไทย พริกแกงรสจัดจ้านสมุนไพรก็สร้างชื่อเสียงกระฉ่อน มีคนติดใจรสชาติอย่างแกงมัสมั่น แกงเขียวหวาน เป็นต้น จึงเป็นที่มาสูตรเด็ดนักโฆษณามือล่ารางวัลเจ้าไอเดีย “ป้อ-สอดสร้อย ชมธวัช” ประธานบริษัท อีฟนิ่ง-สตาร์เอนเทอร์เทนเมนท์ จำกัด ที่หยิบเสน่ห์วัตถุดิบไทย “มะพร้าว” และ “ใบเตย” จับคู่กับตำราฝรั่งรังสรรค์เป็นเมนูลูกผสมรสชาติไม่เหมือนใคร “เฟรช โทสต์” เหมาะสำหรับเติมพลังมื้อเช้า ทำง่ายไม่เปลืองเวลา

ก่อนลงมือทำคุณป้อเล่าว่าบ้านเรานิยมดื่มน้ำมะพร้าวมาชั่วนาตาปี แต่ 5 ปีที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาเพิ่งฮิตดื่ม เพราะค้นพบว่ามีเกลือแร่ทางธรรมชาติสูง ถึงกับผลิตเป็นน้ำมะพร้าวกระป๋องจำหน่ายอย่างเอิกเกริก สำหรับเมนูเฟรช โทสต์ใช้กะทิผสมกับครีมของตะวันตก และใช้กลิ่นใบเตยแทนกลิ่นวานิลลา ส่วนผสมประกอบด้วย กะทิ  ถ้วย, เนื้อมะพร้าวอ่อน  ถ้วย,ครีม  ถ้วย, ใบเตยน้ำเข้มข้น 3 ช้อนโต๊ะ, ไข่แดง 1 ฟอง, ไข่ขาว 2 ฟอง, ขนมปัง 4 แผ่น, เกลือ, เนย, น้ำผึ้งหรือเมเปิ้ล ไซรัป วิธีทำ หั่นขนมปังเป็นชิ้นเตรียมไว้ ตีไข่กับกะทิ, ครีม, น้ำใบเตยและเกลือให้เข้ากัน นำขนมปังชุบไข่ อย่าจุ่มนานเดี๋ยวขนมปังอิ่มน้ำ นำมาทอดกับเนยในกระทะจนไข่สุกเป็นสีเหลืองทอง ตักขึ้นเสิร์ฟพร้อมเนื้อมะพร้าวอ่อน ราดด้วยน้ำผึ้ง

เสร็จเมนูอาหารเช้าฝรั่งสไตล์ไทย คุณป้อยังใจดีนำเสนออีกเมนู “เปาะเปี๊ยะทอด” ที่มีกลิ่นอายจีนผสม วัตถุดิบ มีน้ำพริกแกงเขียวหวาน  ช้อนชา, กุ้งสด 1 ถ้วย, ไข่ไก่ 1 ฟอง, วุ้นเส้น 2 ถ้วย, หน่อไม้สดหั่นเต๋า  ถ้วย, เห็ดหอมหั่นเต๋า  ถ้วย,เห็ดหูหนูหั่นเส้น  ถ้วย, กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ, แป้งเปาะเปี๊ยะ 10 แผ่น, ซีอิ๊วขาว , พริกไทยขาวและน้ำมันสำหรับทอด วิธีทำ นำกุ้งสด, น้ำพริกแกงเขียวหวาน และไข่ไก่ปั่นรวมกันพร้อมปรุงรส ตั้งกระทะผัดกระเทียมจนหอม ใส่เห็ดหอม เห็ดหูหนู หน่อไม้ปรุงรสและวุ้นเส้นลงคลุกเคล้า ยกลงจากเตานำแผ่นเปาะเปี๊ยะวางบนจาน ปาดกุ้งบดให้ทั่วโดยเหลือขอบไว้ด้านละนิ้ว ตักวุ้นเส้นผัดใส่แล้วห่อให้มิด นำไปทอดพอสุกเป็นสีเหลืองพักให้สะเด็ดน้ำมันหั่นเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มบ๊วยเจี่ย

เห็นท่าทางคล่องแคล่วระหว่างทำ คุณป้อบอกว่าได้รับวิชามาจากคุณยาย “สุนทรี ชมธวัช” หลังคุณยายรับเป็นบุตรบุญธรรมได้สอนทำอาหาร แต่มักสอนให้ “ชิม” มากกว่าลงมือ ตอนนั้นคิดว่าเป็นวิธีที่แปลกแต่ผลดีคือทำให้เรารู้รสชาติอาหารเป็นสิ่งสำคัญ อาหารชนิดใดควรมีรสชาติไปทิศทางใด กระทั่งไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา อาศัยอยู่กับแฟมิลี่ชาวอิตาเลียนถึงได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ส่งผลให้ทำอาหารไทยและอาหารยุโรปได้แบบไม่ติดขัด ปัจจุบันยังไม่ละมือจากงานครัวที่ชื่นชอบ จึงรับหน้าที่เป็นพิธีกรรายการอาหารเสน่ห์ไทยแท้ แพร่ภาพในหลายประเทศทั่วโลกอีกด้วย.

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/social/15100/หอมรัญจวนจิตกับสองเมนูลูกผสม+-+สูตรเด็ด...พร้อมเสิร์ฟ

Read More...


ขนมโตเกียวไส้ครีม

ขั้นแรกเตรียมไส้ก่อนนะคะ
•ส่วนผสมไส้ ประกอบด้วย ...

ไข่ไก่ 2 ฟอง ,น้ำตาลทราย 125 กรัม ,นมสด 150 กรัม ,น้ำ 175 กรัม ,แป้งสาลี 50 กรัม ,เกลือป่น 1/4ช้อนชา ,วานิลา  1/2 ช้อนชา ,เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ

****วิธีทำดูจากที่นี่ค่ะ สังขยาใบเตย...จิ้มขนมปัง

ต่อด้วยการทำแป้งขนมโตเกียว ...

เริ่มด้วยเตรียมส่วนผสม

 

 ส่วนผสมแป้งขนมโตเกียว ประกอบด้วย ...

แป้งสาลี 150 กรัม , ผงฟู 1 ช้อนชา ,เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา ,น้ำตาลทราย 50 กรัม ,เกลือป่น 1/2 ช้อนชา ,ไข่ไก่ 2 ฟอง, นมสด 150 กรัม , น้ำ 50 กรัม,เนยละลาย20 กรัม,วานิลา 1/2 ช้อนชา

วิธีการทำแป้ง ...


ร่อนแป้ง+ผงฟู +เบคกิ้งโซดา เข้าด้วยกัน
เติมน้ำตาลทรายและเกลือป่นลงไป ผสมเข้ากัน
เติมไข่ไก่ นมสด น้ำ วานิลา และ เนยละลาย
ผสมด้วยตะกร้อมือให้เข้ากัน ลักษณะแป้งเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน

พักแป้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จึงนำหยอดลงกระทะ ทำที่บ้านใช้กระทะเทปร่อนแทนนะคะ

 

เปิดไฟอ่อนๆ รอจนกระทะร้อนแล้วจึงหยอดแป้งลง 1ช้อนโต๊ะ 
หยอดลงบนกระทะแล้วใช้ช้อนเกลี่ยให้เป็นวงรีๆ รอจนสุก แป้งจะขึ้นฟู ปุดๆ เป็นฟองอากาศเล็กๆ
ใส่ไส้ครีมประมาณ 1ช้อนชา ม้วน พับ ตามถนัดนะคะ

ดูตามภาพค่ะ  ...

 

ได้แล้วนะคะ " ขนมโตเกียวไส้ครีม "  ฝีมือฉันเอง ...ง่ายๆทำเองได้ไม่ยุ่งยาก


 

แม้ " ขนมโตเกียวไส้ครีม "  ของฉันจะไม่สวยงามอย่างมืออาชีพ แต่รสชาติใช้ได้ทีเดียว ;)

credit by :  https://www.gotoknow.org/posts/487128



Read More...


ขนมกล้วย "ใส่ถ้วยนึ่งฟู"

ส่วนผสมและขั้นตอนการทำ
ส่วนที่ 1 แป้งเชื้อ ประกอบด้วย

น้ำ 100 กรัม
ยีสต์แห้ง 1 ช้อนชา
แป้งสาลี(สำหรับทำเค้ก ตราบัวแดง) 100 กรัม

วิธีทำ


ผสมรวมกันแล้วหมักไว้ 1-2 ชั่วโมง

ส่วนที่ 2 ตัวแป้ง
แป้งสาลี(สำหรับทำเค้ก ตราบัวแดง) 250 กรัม
ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
กล้วยน้ำว้าสุกงอม บดหยาบๆหรือหั่นเล็กๆ 200 กรัม
น้ำตาลทราย  150 กรัม
น้ำกะทิ 150 กรัม
ไข่ขาว 1 ฟอง

วิธีทำ


ร่อนแป้งกับผงฟูพักไว้
เติมกล้วยและน้ำตาลทรายลงในแป้งเชื้อ คนให้เข้ากัน
เติมน้ำกะทิ ผสมจนเข้ากัน
เติมแป้งที่ร่อนไว้ลงไป นวดผสมด้วยมือจนเข้ากันดี
สุดท้ายเติมไข่ขาวลงไป ผสมให้เข้าอีกครั้ง


ตักหยอดในถ้วยตะไล
นึ่งในลังถึงที่น้ำเดือดพล่าน ไฟแรง นาน 15  นาที
ยกลง พักให้เย็น


แซะออกจากถ้วย
รับประทานกับเครื่องดื่ม ตามชอบใจค่ะ
ขนมกล้วย "ใส่ถ้วยนึ่งฟู" ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วนะคะ

credit by :  https://www.gotoknow.org/posts/533351

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.