| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
โทร. 08-9180-7607 |
Read More...
อาชีพเสริม
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
| ||||
โทร. 08-9180-7607 |
พิธาน อิมราพร บริษัท ยิ้มสยาม มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ “สะเต๊ะยิ้มสยาม” เปิดเผยว่า ล่าสุดได้เปิดตัวสะเต๊ะยิ้มสยามโมเดลชอปสโตร์ ขนาดพื้นที่ 25 ตารางเมตรจำนวน 24 ที่นั่ง สาขาต้นแบบที่ปากซอย 26 ถนนสายไหม และโมเดลชอป ขนาด 2*1.5 เมตร หลังจากที่ก่อนหน้านี้เปิดเพียงโมเดลเดียวคือคีออส นอกจากนี้ได้ปรับคอนเซ็ปต์ธุรกิจใหม่เกือบทั้งหมด หลังจากที่เข้าอบรม B2B รุ่น 12กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทำให้มีมุมมองต่อการดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เปลี่ยนไปและมีความเข้าใจ กับการทำธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น | ||||
นอกจากนี้ ได้เพิ่มเมนูที่ให้บริการและเปลี่ยนจากอาหารทานเล่น มาเป็นสะเต๊ะอาหารจานหลักโดยมีการพัฒนาเมนูเพิ่มเติมเป็น 28 เมนู เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันสะเต๊ะ ข้าวอัดสะเต๊ะ ฯลฯ และเพิ่มความหลากหลายของประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อกวางและเนื้อนกกระจอกเทศ เป็นต้น เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายของเมนูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับประทาน โดยเมนูต่างๆ เหล่านี้เพื่อขยายไปยังชอปเพื่อซื้อกลับไปทาน และนั่งรับประทานในรูปแบบร้านที่เป็นสโตร์ ส่วนคีออสนั้นจะเน้นเป็นอาหารว่างเพื่อซื้อกลับเหมือนเดิม ด้วยจำนวนพื้นที่ที่จำกัดการขยายรูปแบบร้านที่หลากหลายสามารถทำให้พัฒนาเมนู หรือสินค้าใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น พิธาน บอกความแตกต่างของสะเต๊ะยิ้มสยามกับสะเต๊ะทั่วไปว่า ได้รับการยอมรับในเรื่องของรสชาติด้วยการพัฒนารสชาติของผงหมัก เครื่องแกง และมีสูตรคงที่ รวมถึงการคัดสรรคุณภาพของเนื้อแต่ละประเภท ทำให้ได้รสชาติของสินค้าที่ดี ซึ่งการคัดสรรเนื้อส่วนที่ดีเพื่อให้เนื้อมีความนุ่ม ขณะที่ราคาขยายนั้นไม่มีความแตกต่างจากราคาขายทั่วไป และราคาขายต่อไม้ที่ไม้ละ 5 บาท ยกเว้นเนื้อนกกระจอกเทศไม้ละ 12 บาท เนื้อกวางไม้ละ 15 บาท ส่วนอาหารจานหลักเริ่มที่ราคาจานละ 40 บาท ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ซื้อพบว่าเฉลี่ยจับจ่ายต่อคนต่อหัวเฉลี่ยที่ 50 บาททั้งการนั่งรับประทานในร้านหรือการซื้อกลับ และกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มวัยทำงาน | ||||
และสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนนั้น ทางบริษัทจะจำหน่ายผงหมักและเครื่องแกงซึ่งเป็นสูตรของสะเต๊ะยิ้มสยาม พร้อมคำแนะนำในการซื้อเนื้อสัตว์ให้ หรือผู้ที่ต้องการสั่งซื้อกับบริษัทได้มีทั้งนำเนื้อสัตว์ไปเสียบไม้เองหรือ ให้บริการเสียบไม้ให้พร้อมเพื่อเพิ่มความสะดวกในการไปจำหน่าย ทั้งนี้ “พิธาน” มองถึงความยั่งยืนในการทำธุรกิจ ทั้งแฟรนไชซีและแฟรนไชซอร์ จึงต้องการพัฒนารูปแบบสโตร์อย่างเต็มที่และทยอยลดรูปแบบคีออสเพื่อสร้างความ มีมาตรฐานเดียวกันของร้านสาขา ที่แฟรนไชซอร์สามารถเข้าไปให้การดูแลระบบการบริหารจัดการและการให้การสนับ สนุนต่างๆ เพื่อการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และสิ่งสำคัญตนมองถึงความตั้งใจของผู้เข้ามาลงทุนระดับเงินลงทุนหลัก แสนในรูปแบบสโตร์นั้นผู้ลงทุนมีความตั้งใจในการทำธุรกิจและฝ่าฝันปัญหาที่ เกินขึ้น ขณะที่การลงทุนรูปแบบคีออสหรือเงินลงทุนหลักหมื่นนั้นจะสามารถล้มเลิกกิจการ กลางคันก็ได้เมื่อเจออุปสรรคหรือยกเลิกเพื่อไปประกอบกิจการหรืออาชีพอื่น ซึ่งในฐานะเจ้าของกิจการหรือแฟรนไชซอร์ต้องการผู้ลงทุนที่มีความตั้งใจพร้อม ที่จะพัฒนาธุรกิจไปด้วยกันมากกว่า อย่างไรก็ตามสำหรับการขยายสาขานั้น ในปี 2553 นี้จะเน้นที่สาขาต้นแบบในรูปแบบสโตร์ จำนวน 2 สาขา ซึ่งปัจจุบันมีสาขาแรกแล้วตั้งอยู่ที่ถนนสายไหม ปากซอย 26 และ จากนั้นในปี 2554จะขยายสาขต้นแบบในรูปแบบสโตร์อีก 3-5 สาขาก่อนที่จะขายแฟรนไชส์ โดยเน้นทำเลย่านชุมชน ซึ่งเป็นปีที่ “พิธาน” จะลุยธุรกิจอาหารอย่างเต็มตัว เพราะมั่นใจการความทุ่มเทให้กับการพัมนาสินค้าหรือ Product จนรสชาติถูกปากผู้บริโภค พร้อมเล็งทำเลหรือ Place เจาะทาร์เก็ตคนวัยทำงาน และระบบหรือ System แฟรนไชส์ นำพาธุรกิจตามเป้าหมาย และตั้งเป้าการสร้างรายได้จากธุรกิจอาหารจะเป็นรายได้หลักหรือประมาณ 60—70% เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ที่ทำอยู่ในขณะนี้ จุดเริ่มต้นธุรกิจอาหาร “พิธาน อิมราพร” เจ้าของธุรกิจออร์แกไนซ์ ฝากผลงานจากการจัดงานใหญ่ๆ มาหลายงาน นอกจากนี้ยังทำธุรกิจการ์เม้นท์ผลิตสินค้าจำพวกตุ๊กตาผ้าขนหนูส่งห้างสรรพ สินค้าชั้นนำและภายใต้ชื่อแบรนด์ของตนเอง การทำธุรกิจต่างๆ ประสบความสำเร็จมาได้ด้วยดี แต่เมื่อเกิดวิกฤตปี 2540 ยุคฟองสบู่แตก ธุรกิจต้องประสบปัญหาอย่างหนัก แต่เมื่อเทียบกับธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ของญาติที่มีจำนวนโต๊ะ มากกว่า 200 โต๊ะ ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ แม้จะพบวิกฤตแต่สามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ เช่น บริหารต้นทุนสินค้าในการบริหารบุคคล และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เมื่อหันมองธุรกิจของตนเอง เมื่อวิกฤตมาแทบจะล้มทั้งยืนหรือบางกิจกรรมก็ต้องเลิกทำไป เช่น ธุรกิจการ์เม้นท์ ซึ่งมองเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งธุรกิจต่างๆ ที่ “พิธาน” ทำนั้น เขามองว่าไรไซเคิลของธุรกิจสั้นกว่าธุรกิจอาหาร ด้วยความที่ “พิธาน” คลุกคลีกับผู้คนในวงธุรกิจมามากและวิกฤตในครั้งนั้น ทำให้เขาสนใจ “ธุรกิจอาหาร” อย่าง จริงจัง และสนใจกับอาหารทานเล่นอย่าง “สะเต๊ะ” เพราะมองว่าเป็นอาหารทานเล่นที่ทุกเพศ วัยรู้จัก และสามารถรับประทานได้ทุกกลุ่มอายุทุกภาคของประเทศ ธุรกิจจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยคิดค้น ผงหมักเนื้อสัตว์ และเครื่องแกง ซึ่งทำสำเร็จรูปในรูปแบบผง ในปีแรกทำให้เขาขยายสาขาได้มากถึง 9 สาขา และด้วยรสชาติความอร่อยของสะเต๊ะ ทำให้สะเต๊ะยิ้มสยามออกสื่อต่างๆ จำนวนมากทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ แต่เมื่อดำเนินธุรกิจไปได้ระยะหนึ่ง เขากลับเห็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจเครือข่าย อับดับแรกรายได้ที่เข้ามาที่เขาเป็นผู้จำหน่ายผงหมักและเครื่องแกง กำไรที่เขาได้จากสินค้าเหล่านี้ไม่มากแม้สินค้าจากสะเต๊ะที่ลูกค้าขายจะขาย ได้ดีก็ตาม และไม่สามารถควบคุมหรือดูแลทำเลสาขาได้ขึ้นอยู่กับลูกค้าสนใจทำเลใดก็ไปเปิด ทำให้หลายสาขามียอดขายไม่ดี ทำให้เขาเริ่มมองหาธุรกิจที่มีรูปแบบหรือมีมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขาที่เปิด บริการ จากนั้น “พิธาน” จึงได้เข้าอบรมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายใต้โครงการ B2B รุ่น 12 หลังจากที่ได้ลองผิดลองถูกกับการทำธุรกิจมาแล้ว และปรับธุรกิจใหม่ทั้งหมดเพื่อเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์อย่างเต็มรูปแบบ ลงทุนกับ 'สะเต๊ะยิ้มสยาม' รูปแบบ ขนาด เงินลงทุน Satay Store 1.5 เมตร 656,000 บาท Satay Shop 1.5*2 เมตร 96,000 บาท Satay Kiosk 25 ตร.ม. 56,000 บาท *ประมาณการณ์คืนทุนทั้ง 3 รูปแบบที่ 3 เดือน *ราคาลงทุนรวมอุปกรณ์พร้อมขาย ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์ |
จากความสำเร็จดังกล่าว หนึ่งในทายาทร้าน คิดต่อยอดกิจการครอบครัว โดยขายอาชีพรูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อ “เย็นตาโฟแซ่ซ้อง” หวังเพิ่มช่องทางตลาดเข้าหาลูกค้าได้กว้างและทั่วถึงยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยสร้างโอกาสแก่คนอยากมีอาชีพ | ||||
| ||||
ในฐานะเป็นหนึ่งในทายาทที่เข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว วีรวิชญ์ เผยว่า อยากให้ธุรกิจแตกแขนงออกไปให้กว้างขึ้น โดยอาศัยชื่อเสียงร้านที่สะสมมานานกว่า 40 ปีเป็นใบเบิกทาง ด้วยการเปิดขายธุรกิจสร้างอาชีพ รูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ เพื่อให้ร้านมีช่องทางกระจายวัตถุดิบมากขึ้นแล้ว และยังช่วยสร้างโอกาสให้คนอยากมีอาชีพได้ด้วย | ||||
| ||||
| ||||
ทั้งนี้ ข้อกำหนดในการร่วมธุรกิจกัน คือ ต้องรับวัตถุดิบหลัก 10 ชนิด ที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของความอร่อยในก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม เช่น ลูกชิ้นชนิดต่างๆ (ราคาส่ง 100 ลูกต่อ 120-140 บาท แล้วแต่ชนิดลูกชิ้น) และ ซอสเย็นตาโฟ เป็นต้น ซึ่งผู้ลงทุนจะต้องมาซื้อวัตถุดิบต่างๆ ด้วยตัวเองที่ร้านนายฉุ่ย สาขา 1 ที่ ซ.อารีย์ หรือที่สาขา 2 ย่านนวมินทร์ หรือกรณีจะให้จัดส่ง คิดค่าบริการขนส่งตามจริง ส่วนวัตถุดิบพื้นฐานอื่นๆ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก เครื่องปรุง ฯลฯ ให้ผู้ลงทุนจัดหาเอง | ||||
ทั้งนี้ เริ่มเปิดขายแฟรนไชส์มาประมาณ 4-5 ปี ปัจจุบันมีสาขาประมาณ 14 แห่ง รายได้เฉลี่ยต่อร้านอยู่ที่ 60,000-100,000 บาทต่อเดือน (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่า และค่าพนักงาน) ส่วนอัตราร้านที่เปิดแล้วต้องปิดตัวลงมีอยู่ 3 ราย ด้วยเหตุผลหลัก คือ ทำเลไม่เอื้อ สำหรับราคาขายปลีกของก๋วยเตี๋ยว กำหนดที่ชามละ 30-35 บาท ผู้ขายจะมีกำไรหลังหักค่าวัตถุดิบแล้ว ต่อหน่วยประมาณ 50% ตัวอย่างหากขายได้วันละ 60 ชาม จะมีรายได้ประมาณ 21,000 บาทต่อเดือน หากขายได้วันละ 100 ชาม จะมีรายได้ประมาณ 36,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ขายควรมีเงินสำรองสำหรับใช้หมุนเวียนประมาณ 30% ของยอดขาย | ||||
@@@@@@@@@@@@@@@@ โทร.08-1456-3030 หรือ www.yentafothai.com |
เมื่อแฟรนไชส์เป็นทางเลือกของทั้งผู้ประกอบการที่คิดจะขยายธุรกิจ อย่างรวดเร็วและนักลงทุนหรือผู้ที่ต้องการหารายได้จากธุรกิจในแบบที่ไม่ต้อง นับหนึ่งด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ การติดตามภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์ว่ามีทิศทางความเคลื่อนไหวและแนวโน้มอย่าง ไร จึงเป็นประโยชน์ของทั้งสองฟากดังกล่าว ซึ่งการนำเสนอเนื้อหาในครั้งนี้เป็นการมองภาพรวมตลอดทั้งปีของปี 2553 ที่ผ่านมา และปี 2554 โดยเน้นไปในส่วนของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสนใจในการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ กับสถานการณ์และแนวโน้มของธุรกิจ | |||
จากผลสำรวจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสนใจในการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ในปี 2553 โดยกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา เอ็น ซี กรุ๊ป พบว่า ธุรกิจที่มีผู้สนใจลงทุนเป็นอันดับหนึ่งคือ ธุรกิจเบเกอรี่ โดย ปัจจัยแรกคือ สิ่งแวดล้อมทางการตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้น ซึ่งที่เห็นกันอยู่คือเบเกอรี่จากต่างประเทศที่เข้ามาสร้างกระแสให้เกิดการ ตื่นตัวมากขึ้น อย่าง คริสปี้ครีม ซึ่งส่งผลให้ตลาดในหัวเมืองใหญ่หันมาสนใจธุรกิจโดนัทมากขึ้น ปัจจัยที่สองคือ เงินลงทุนไม่สูง เฉลี่ย 2-3 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจัยที่สามคือการคืนทุนที่ค่อนข้างรวดเร็ว โดยใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่าเท่านั้น ประกอบกับรูปแบบร้านที่ดูดีเป็นการสะท้อนภาพลักษณ์เชิงสังคมให้กับผู้ลงทุน อันดับสองคือ ธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่ง กาแฟยังเป็นตัวนำ โดยจากแบบสอบถามพบว่าคนอายุไม่เกิน 40 ปี ประมาณ 27% มีความสนใจมาก แต่กระแสในระยะนี้แผ่วลงไปบ้างทำให้ตกอันดับจากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับที่ หนึ่ง เพราะนักลงทุนให้ความเห็นว่ามีร้านกาแฟที่เปิดอยู่เป็นจำนวนมากแล้วในตลาดมี การแข่งขันสูง ทำให้อัตราผลกำไรที่เคยสูงกลับลดต่ำลง นอกจากนี้ ยังหาความแตกต่างของแต่ละรายไม่ได้ทำให้ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี รวมทั้ง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่ดีคือเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้ามีราคาสูงขึ้น อันดับสามคือ ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่ง นักลงทุนมีความต้องการชัดมาก แต่เนื่องจากยังไม่มีรูปแบบร้านที่ดีกว่าร้านรถเข็นหรือเหมาะสมกับความต้อง การของนักลงทุน เพราะจากข้อมูลการสำรวจพบว่า 90% ของนักลงทุนที่สนใจในธุรกิจแฟรนไชส์จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากเดิมที่นักลงทุนกว่า 30% มีความรู้ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ดังนั้น เมื่อนักลงทุนมีการศึกษาสูงจึงต้องการลงทุนให้คุ้มกับเงินลงทุน เวลา และสถานะ นอกจากนี้ ยังพบว่า 26% ของผู้สนใจลงทุนเคยทำธุรกิจมาก่อน และ47% เป็นพนักงาน ชี้ให้เห็นว่าคุณภาพของนักลงทุนสูงขึ้น แฟรนไชส์ขนาดเล็กจึงไม่ค่อยได้รับความนิยม ด้านพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฯ เปิดเผยอีกว่า ส่วนธุรกิจเด่นที่ได้รับความสนใจตามมา คือ ธุรกิจไอศกรีม และธุรกิจอาหารไทย สำหรับธุรกิจไอศกรีมซึ่งนำโดย “สเวนเซ่นส์” มีผู้สนใจลงทุนมาก จึงส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจไอศกรีม แต่เพราะการลงทุนกับสเวนเซ่นส์ใช้เงินลงทุนสูง ขณะที่ “ไอเบอรี่” ซึ่งเป็นของคนไทยก็ลดการกระตุ้นในเรื่องของแฟรนไชส์ รวมทั้ง รายอื่นๆ ที่เคยผลักดันอย่างแรงก็ลดลงเช่นกัน เช่น ดรีมโคน เป็นต้น เนื่องจากโดยภาพรวมของธุรกิจนี้มีการแข่งขันรุนแรง ส่วนการที่ธุรกิจอาหารไทยได้รับความสนใจเป็นเพราะรายที่เปิดอยู่มีการเติบโต ดี เช่น เชสเตอร์กริลล์ สามารถขยายแฟรนไชส์ได้เป็นร้อยสาขา ขณะที่ นักลงทุนเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะผู้บริโภคตัดสินใจซื้อง่าย | |||
นอกจากนี้ คือธุรกิจแฟชั่น เช่น ร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องประดับ และร้านเครื่องสำอาง สำหรับธุรกิจร้านจำหน่ายเครื่องสำอาง ได้รับความนิยมลดลงจากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับที่สาม เพราะนักลงทุนเห็นว่าไม่สามารถแยกความแตกต่างของตัวผลิตภัณฑ์ระหว่างสินค้า ทั่วไปที่ผลิตในประเทศกับสินค้าที่มีแบรนด์ และมีการหิ้วของจากต่างประเทศเข้ามาขายมาก รวมทั้ง ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้ร้านที่เปิดเป็นแฟรนไชส์แข่งขันไม่ได้ ขณะที่ ธุรกิจร้านเสื้อผ้า ได้รับความนิยมลดลงเพราะสภาพเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายกับเสื้อผ้า น้อยลงเช่นเดียวกับเครื่องประดับ ส่วนธุรกิจบริการอื่นๆ มีรูปแบบของธุรกิจ (concept) ไม่แข็งแรง เช่น ร้านซักรีด เป็นต้น ๐ ฟันธง “ร้านอาหาร” มาแรง “บริการ” หลากหลาย ส่วนผลสำรวจสถานการณ์แฟรนไชส์ในปี 2553และแนวโน้มในปี 2554พบว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจในปี 2553จะอยู่ที่ 11.7% โดยมีมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจกว่า 1.6 แสนล้านบาท มีธุรกิจแฟรนไชส์ 563 ราย และจากการคาดการณ์ในปี 2554 ธุรกิจแฟรนไชส์น่าจะมีอัตราการเติบโต 15% หรือมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 1.7แสนล้านบาท มีธุรกิจแฟรนไชส์เพิ่มเป็นประมาณ 600-650 ราย เพราะมีทั้งแฟรนไชส์รายใหม่และรายเก่าที่พัฒนาตัวเอง ซึ่งการเติบโตของธุรกิจจะเน้นไปที่ธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมีความโดดเด่นอยู่ที่ “ธุรกิจอาหาร” เป็นหลัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเอื้ออำนวยทำให้มีอัตราผลกำไรสูงขึ้นและมีรายที่ปรับตัวไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น เช่น แฟรนไชส์อาหารญี่ปุ่น นอกจากนี้ “ธุรกิจบริการ” จะมีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น เช่น แฟรนไชส์ธุรกิจรับสร้างบ้าน ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ คาร์แคร์ กำจัดแมลง ร้านซักรีด ร้านหยอดเหรียญ และคอนวีเนี่ยนสโตร์ เนื่องจากการมีความพร้อมในการออกแบบรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์และสถานการณ์โดยรวม ที่เหมาะสม ประกอบกับ ที่ผ่านมาความสำเร็จจากผู้นำเป็นตัวจุดประกายและตัวกระตุ้นให้เกิดการตื่น ตัว เช่น พีดีเฮ้าส์แฟรนไชส์ธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่สามารถขยายได้กว่า 10 สาขา โดยใช้เงินลงทุนในธุรกิจสาขาละ 3-4 ล้านบาทหรือโมลิแคร์แฟรนไชส์ธุรกิจคาร์แคร์ พรู้ฟโค้ทแฟรนไชส์ธุรกิจรับซ่อมบ้าน ขณะที่ แฟรนไชส์ธุรกิจซักรีดรายเด่นๆ จะกลับมาใหม่ แฟรนไชส์ธุรกิจตู้หยอดเหรียญจะเปลี่ยนรูปแบบ เช่น จากธุรกิจขายเครื่องกรองน้ำจะเกิดเป็นธุรกิจบริการจัดส่งน้ำดื่ม เป็นต้น รวมทั้ง ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนจะได้รับการตอบรับ และธุรกิจเสื้อผ้าระดับราคากลางๆ จะมีแนวโน้มดีขึ้น | |||
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์ที่สำคัญยังมาจากการผลักดันของ ธนาคารต่างๆ ที่นำร่องโดยธนาคารกสิกรไทยซึ่งตั้งวงเงินสินเชื่อถึง 3,000 ล้านบาทเพื่อให้สินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ตั้งแต่ 1-12 ล้านบาทโดยไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน นับเป็นแคมเปญที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้อย่างดี นอกจากนี้ธนาคารอื่นๆ กำลังเตรียมสินเชื่อให้กับธุรกิจแฟรนไชส์เช่นเดียวกัน เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารออมสิน เป็นต้น รวมทั้ง การจัดทำไมโครไฟแนนซ์ของไปรษณีย์ไทยจะช่วยให้แฟรนไชส์ขนาดเล็กหรือไมโคร แฟรนไชส์เติบโตตามไปด้วย ที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์แนะนำและเตือนว่า ในด้านของนักลงทุนควรจะต้องศึกษาหาความรู้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เนื่องจากการทำธุรกิจต้องใช้เวลาลงไปคลุกคลีไม่น้อย ซึ่งถ้าธุรกิจไม่สามารถก้าวไปได้จะทำให้เสียทั้งเงินและเวลา ส่วนด้านของผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในปีหน้า เนื่องจากเมื่อภาพรวมของธุรกิจมีการเติบโตก็จะเกิดปัญหาเรื่องบุคลากร จึงต้องให้ความสำคัญด้วยการเน้นพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้น จะเกิดปัญหาการถดถอยของธุรกิจขึ้นได้จากการขาดความมั่นใจ และยากที่จะรื้อฟื้นให้กลับมาเหมือนเดิม เพราะธุรกิจแฟรนไชส์ต้องอาศัยความเชื่อมั่นเป็นหลักยึดระหว่างผู้ขายและผู้ ซื้อแฟรนไชส์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการกระจายตัวของการลงทุน แต่หากภาครัฐไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการกำกับดูแลจะก่อให้เกิด ปัญหาที่ยากจะแก้ไข ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีการป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดทั้งที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และตั้งใจจะหลอกลวงของผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ เพื่อให้ธุรกิจแฟรนไชส์เติบโตไปได้อย่างราบรื่น |
นายสุทธิชัย พนิตนรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลาย จำกัด เล่าว่า เดอะวอฟเฟิลได้เปิดตัวในรูปแบบของแฟรนไชส์ รวมระยะเวลาถึงตอนนี้ประมาณ 6 ปี จากความสำเร็จที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 6 ปี พิสูจน์ได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตลอดของลูกค้าแฟรนไชส์ | ||||
“ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากความใส่ใจในคุณภาพ ที่เราต้องการให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดี และประกอบกับให้ความสนใจและใส่ใจดูแลแฟรนไชส์ซีของเราได้สามารถแข่งขันและ อยู่ได้ อีกทั้งได้นำประสบการณ์ใหม่มาพัฒนาขนม เพื่อให้มีความหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค และเพิ่มรายได้ให้กับลูกค้าแฟรนไชส์ซี” | ||||
ปัจจุบันตลาดรวมขนมวอฟเฟิลประมาณ 10 กว่าล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ขนมวอฟเฟิลอีก 7-8 ยี่ห้อมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันที่ 30% แต่แบรนด์เหล่านี้อาจไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง ของเดอะวอฟเฟิล โดยตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 200 สาขาในปีนี้ ซึ่งผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์เดอะวอฟเฟิลไปแล้วประสบความสำเร็จ ก็ด้วยตัวแปรสำคัญ คือ ทำเลที่ต้องเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ซึ่งปกติผมจะแนะนำแฟรนไชส์ซี่เสมอๆให้เลือกทำเล ที่มีผู้คนสัญจรไปมาเยอะๆ บริเวณพื้นที่ท่ารถ ท่าเรือ ห้างสรรพสินค้า โดยทำเลที่ดีควรมีคนสัญจรมากกว่า 1,000 คน ในบางครั้งผมก็จะช่วยลูกค้าดูทำเลด้วยว่าเหมาะที่จะเปิดร้านหรือเปล่า | ||||
นายสุทธิชัย กล่าวอีกว่า ล่าสุด เดอะวอฟเฟิลได้ทุ่มงบ 15 ล้านขยายโรงงานแห่งที่สองที่ อ.บางพลี สมุทรปราการ เพื่อเตรียมขยายตลาดไปต่างประเทศ ยกระดับคุณภาพสินค้าตามมาตรฐาน GMP , HACCP และ ฮาลาน โดยจะนำ‘ร้านเดอะวอฟเฟิล เอ็กซ์พีเรียน” The Waffle experience เป็นตัวนำร่องขยายตลาดต่างประเทศ โดยในไตรมาสที่ 2 มีเป้าหมายขยายไปยังประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และจอร์แดน เนื่องจากมองว่าตลาดต่างประเทศมีศักยภาพสูง นอกจากนี้มีแผนขยายไปยังตลาดบาเรนห์ และเกาหลีด้วยในอนาคต โดยมีความมั่นใจในเรื่องความพร้อมของวัตถุดิบ ในรูปแบบโฟซเซ่นจากโรงงานผลิตของเราเอง ที่สามารถส่งให้ลูกค้าได้ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้จะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 2 ผลตอบรับจากลูกค้าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาของวอฟเฟิล คือ ไม่มีเดือนไหนที่เดอะวอฟเฟิลขายน้อยกว่าเดือนก่อน โดยภาพรวมของแฟรนไชส์ซี่ที่ลงทุนกับบริษัทฯ มีอัตราความสำเร็จมากกว่า 80% โดยมีแฟรนไชส์เจ้าของเพียงคนเดียวเปิดร้านเดอะวอฟเฟิล สูงสุดถึง 6 สาขา ความสำเร็จนี้มาจากตัวสินค้าที่มีการพัฒนาความอร่อยไม่หยุดนิ่ง ทำให้สามารถขายตัวเองได้อย่างสบายๆ ล่าสุด เดอะวอฟเฟิล ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ซุปเปอร์แบรนด์แฟรนไชส์ ที่มียอดขายและการเติบโตทางธุรกิจสูงสุด ในงานมหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ ครั้งที่ 5 ที่ผ่านมา โทร. 02-748-6608 , 08-1918-0123 www.thewafflesupply.com |
เวบไซต์ ขายขนม ร้านเนยหอมออนไลท์
http://bit.ly/31l6PBf
http://bit.ly/2Nz55l4
http://bit.ly/2FRcPs4
inbox : http://m.me/noeyhorm
id line : noeyhorm_06
google maps : http://bit.ly/309WMgQ
Local Guide : http://bit.ly/2XMbCMW
ไข่กระทะขายเป็นอาหารมื้อเช้ากินกับกาแฟร้อน ๆ ในแม็คโครมี เฟรนช์โรล (ขนมปังฝรั่งเศส) แช่แข็งมาอบกับชีส ทำไข่กระทะอร่อยมาก ผมได้รับเชิญ...