สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ปรับโฉมพิซซ่า “สูตรทอด”เมนูไฮโซราคาตลาดสด

พิซซ่าทอดใส่ผักขมชีด
       พิซซ่าอาหาร อิตาเลียน ที่คนไทยรู้จักกันดี แต่ถ้ากล่าวถึงพิซซ่าทอด สำหรับคนไทยน่าจะเป็นเรื่องใหม่ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่สำหรับพ่อค้า แม่ค้าคนไทยแล้วไม่มีอะไรยากในช่องทางสร้างอาชีพ และสูตรพิซซ่าทอด เมนูโดดเด่นของอาหารอิตาเลียน ก็เข้ามาถือกำเนิดในเมืองไทย ในรสชาติแบบไทย ผลงานของ “นางสาวณัฐกฤตา ศิลาทอง” (ตุ๊ก)
นางสาวณัฐกฤตา ศิลาทอง เจ้าของร้าน
       นางสาวณัฐกฤตา เล่าว่า ที่มาของพิซซ่าทอด เกิดขึ้นมาจากวันหนึ่งได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่ประเทศอิตาลี และได้ชิมเมนูพิซซ่าทอด สูตรต้นตำรับที่ประเทศอิตาลีและเกิดความชอบ เมื่อกลับมาเมืองไทยก็อยากจะกินอีก แต่ไม่รู้ว่าจะไปหากินได้ที่ไหน เพราะไม่มีขายทั่วไป ส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงงแรมชื่อดัง ซึ่งราคาสูงมาก จึงเกิดไอเดียว่า น่าจะลองทำกินเอง และไปขอสูตรจากญาติที่ประเทศอิตาลี ให้เขาส่งสูตรการทำมาให้ และทดลองทำกินเองก่อน และต่อมาเห็นว่า เมื่อยังไม่มีใครทำขาย ทำไมเราไม่ลองทำขายดู เพราะน่าจะเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับคนไทย
ราดซอสพร้อมรับประทาน
       สุดท้ายก็เป็นที่มาของร้านพิซซ่าทอด HiO2 ที่มาของชื่อก็คงจะเป็นความตั้งใจที่จะทำพิซซ่าในแนวของอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นการเลือกส่วนผสมเช่นผัก และเนื้อสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ หรือการเลือกวัตถุดิบที่ดี เช่น เลือกใช้น้ำมันรำข้าวแทนการใช้น้ำมันปาล์ม เพราะดีต่อสุขภาพมากกว่า แม้ราคาจะสูงกว่าก็ตาม และวัตถุดิบอื่นๆ จะพิถิพิถัน เพื่อให้ลูกค้าได้กินของที่สดและใหม่
ใส่เครืองในถาดก่อนพับออกมาและนำไปทอด
       สำหรับพิซซ่าทอดของ คุณตุ๊ก เขาไม่ได้ก็อปรูปแบบดั้งเดิมมาทั้งหมด แต่นำมาปรับใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแป้งที่นำมาใช้ ก็ไม่ได้ใช้แป้งพิซซ่า เหมือนพิซซ่า อบที่ขายกันทั่วไป แต่ใช้วิธีปรุงสูตรแป้งขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่วนผสมหลักคือแป้งสาลี่ ส่วนผสมอื่น ทางคุณตุ๊กขอไว้เป็นความลับ เพื่อใช้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง และในส่วนของโมหรือแม่พิมพ์ ตัวนี้นำเข้าจากประเทศต้นตำรับ เพื่อให้หน้าตาออกมาเหมือนกัน และอีกอย่างหนึ่งที่คิดขึ้นมาเพื่อโดนใจคนไทย คือไส้ใส่อยู่ภายใน คิดค้นขึ้นมาใหม่ มีอยู่ด้วยกัน 8 สูตร ได้แก่ ซีฟู้ด สเต็กหมู เนื้อ ผักขมอบชี้ด ปูผัดผงกระหรี่ จระเข้พริกไทยดำ หรือ ถ้าชอบสูตรต้นตำรับ เขาก็รสพิซซ่า พิซซ่า เป็นต้น
ทอดในกระทะไฟฟ้าธรรมดาก็ได้
       นอกจากนี้ การทอดพิซซ่า เป็นอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนต้นตำรับ เพราะต้นตำรับนำไปอบ แต่เนื่องจากการนำไปอบรสชาติออกเลียนมาก เกรงว่าคนไทยจะไม่ชอบ ก็เลยปรับมาทอด ด้วยเตาทอดไฟฟ้าปรับอุณหภูมิ ใช้เวลาในการลองผิดลองถูกอยู่นาน เพื่อให้ข้างนอกกรอบ และข้างในสุก และก็พบว่า เตาทอดไฟฟ้าสามารถควบคุมอุหภูมิได้ ทำให้ข้างนอกกรอบ และข้างในสุก แต่การข้างในสุก เอาไปทอดอย่างเดียวช่วยไม่ได้เท่าไหร่ ดังนั้น จึงต้องปรุงรสและทำไส้ให้สุกระดับหนึ่งก่อนจะยัดลงไปในแป้งและนำไปทอด
       “ในส่วนของลูกค้า ของสาขาแรก เปิดหน้าโรงเรียนสาธิตพระนคร ทำให้ได้ลูกค้าเด็กนักเรียน เสียเป็นส่วนใหญ่ และจากการทดสอบตลาดพบว่า เด็กจะชื่นชอบกินพิซซ่าทอด มากกว่าผู้ใหญ่ และเนื่องจากเปิดหน้าโรงเรียนการตั้งราคาจึงตั้งไม่สูงมากเมื่อเทียบกับส่วน ผสมที่ใส่เป็นไส้อยู่ภายใน หรือเปรียบเทียบกับพิซซ่าอบ ที่ขายเป็นถาด ซึ่งเราก็ใส่ส่วนผสมใกล้เคียงกัน แต่ขายในราคาที่ถูกกว่า มาก และที่ขายถูกส่วนหนึ่งเพราะเปิดตัวขายกับนักเรียนไม่ต้องการที่จะตั้งราคา สูง โดยขายในราคาชิ้นละ 20 บาท”
นักเรียนที่เข้ามาใช้บริการ
       สำหรับราคาชิ้นละ 20 บาท หลายคนก็บอกว่าเราขายถูกมาก ก็ต้องยอมรับว่า ได้กำไรไม่มาก ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะขายแค่ช่วงเปิดตัว และจะปรับขายในราคาชิ้น 25 บาท ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า แต่พอติดป้ายว่าจะขึ้นราคา เด็กถามว่าพี่จะขึ้นราคาเมื่อไหร่ ทำให้เราไม่กล้าขึ้นราคา เพราะเด็กไม่มีรายได้ และมีเงินมาโรงเรียนกันไม่มากนัก แต่คงจะได้ปรับราคาขาย 25 บาท ในสาขาที่ 2 และ 3 ซึ่งมีแพลนจะเปิดที่หลังการบินไทย และที่ตลาดรังสิตคลอง 2 ส่วนผลตอบแทน หรือกำไรที่ได้ในช่วงนี้อยู่ที่ประมาณ 20% ยอดขายสาขาแรกประมาณ 100 ชิ้นต่อวัน
ด้านหน้าร้าน ร.ร.สาธิตพระนคร
       หลังจากได้มีการเปิดตัวครั้งแรกที่งานแสดงสินค้าแฟรนไชส์ ที่เมืองทองธานี ในช่วงที่ผ่านมา คนให้ความสนใจกันมาก และต้องการนำไปทำขายบ้าง จึงมาติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์ ในช่วงแรกยังไม่ยากขาย เพราะไม่รู้ว่าจะบริหารแฟรนไชส์อย่างไร แต่เห็นว่ามีความตั้งใจอยากจะขายจริง จึงได้ตัดสินใจขายแฟรนไชส์ โดยลูกค้าต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์จำนวน 4,000 บาท โดยจะได้ชุดผ้ากันเปื้อน และอุปกรณ์เล็กๆ น้อย ส่วนอุปกรณ์หลักผู้ซื้อแฟรนไชส์ ต้องซื้อเอง และเราจะส่งพิซซ่าพร้อมนำไปทอดในรูปแบบของอาหารแช่แข็ง
แผนที่ของร้าน
       ปัจจุบันมีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ของเรา และรับพิซซ่าแช่แข็งไปขาย แล้วประมาณ 2-3 ราย อยู่ในต่างจังหวัด ส่วนมากนำไปขายควบคู่กับอาหารที่เขาขายอยู่แล้ว และที่เราไม่เปิดสอนเพราะต้องการจะเก็บสูตรนี้เอาไว้ก่อน ยังไม่อยากเผยแพร่ เพราะขณะนี้เองก็ยังไม่มีคนที่ทำพิซซ่าทอดในแบบของเราออกมาได้ จึงอยากเก็บสูตรเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”
      
       โทร. 08-9180-7607

Read More...


'สะเต๊ะยิ้มสยาม' เปิดตัว 'Store' เต็มรูปแบบ

คีออส "สะเต๊ะยิ้มสยาม" รูปโฉมใหม่
       'สะเต๊ะยิ้มสยาม' ปรับคอนเซ็ปต์ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์เต็มรูปแบบ เตรียมทยอยยุบคีออส เพิ่มรูปแบบชอปและสโตร์ หวังสร้างระบบมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา เชื่อมั่น Product Place และ System ลงตัว ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย หวังสร้างรายได้หลักหรือกว่า 70% ของธุรกิจในเครือ
      
       พิธาน อิมราพร บริษัท ยิ้มสยาม มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์ “สะเต๊ะยิ้มสยาม” เปิดเผยว่า ล่าสุดได้เปิดตัวสะเต๊ะยิ้มสยามโมเดลชอปสโตร์ ขนาดพื้นที่ 25 ตารางเมตรจำนวน 24 ที่นั่ง สาขาต้นแบบที่ปากซอย 26 ถนนสายไหม และโมเดลชอป ขนาด 2*1.5 เมตร หลังจากที่ก่อนหน้านี้เปิดเพียงโมเดลเดียวคือคีออส นอกจากนี้ได้ปรับคอนเซ็ปต์ธุรกิจใหม่เกือบทั้งหมด หลังจากที่เข้าอบรม B2B รุ่น 12กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ทำให้มีมุมมองต่อการดำเนินธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์เปลี่ยนไปและมีความเข้าใจ กับการทำธุรกิจแฟรนไชส์มากขึ้น
พิธาน อิมราพร (มุมขวา)
       โดยการปรับคอนเซ็ปต์ธุรกิจใหม่ อับดับแรกได้ขยายโมเดลร้านจากเดิมมีเพียงรูปแบบคีออส ได้เพิ่มเป็นรูปแบบชอปและสโตร์ ทำให้สะเต๊ะยิ้มสยามมี 3 รูปแบบการลงทุน ได้แก่ คีอส ชอป และสโตร์ (อ่านตารางประกอบ)
      
       นอกจากนี้ ได้เพิ่มเมนูที่ให้บริการและเปลี่ยนจากอาหารทานเล่น มาเป็นสะเต๊ะอาหารจานหลักโดยมีการพัฒนาเมนูเพิ่มเติมเป็น 28 เมนู เช่น ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันสะเต๊ะ ข้าวอัดสะเต๊ะ ฯลฯ และเพิ่มความหลากหลายของประเภทเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อกวางและเนื้อนกกระจอกเทศ เป็นต้น เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายของเมนูให้กับลูกค้าที่เข้ามารับประทาน
      
       โดยเมนูต่างๆ เหล่านี้เพื่อขยายไปยังชอปเพื่อซื้อกลับไปทาน และนั่งรับประทานในรูปแบบร้านที่เป็นสโตร์ ส่วนคีออสนั้นจะเน้นเป็นอาหารว่างเพื่อซื้อกลับเหมือนเดิม ด้วยจำนวนพื้นที่ที่จำกัดการขยายรูปแบบร้านที่หลากหลายสามารถทำให้พัฒนาเมนู หรือสินค้าใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น
      
       พิธาน บอกความแตกต่างของสะเต๊ะยิ้มสยามกับสะเต๊ะทั่วไปว่า ได้รับการยอมรับในเรื่องของรสชาติด้วยการพัฒนารสชาติของผงหมัก เครื่องแกง และมีสูตรคงที่ รวมถึงการคัดสรรคุณภาพของเนื้อแต่ละประเภท ทำให้ได้รสชาติของสินค้าที่ดี ซึ่งการคัดสรรเนื้อส่วนที่ดีเพื่อให้เนื้อมีความนุ่ม ขณะที่ราคาขยายนั้นไม่มีความแตกต่างจากราคาขายทั่วไป และราคาขายต่อไม้ที่ไม้ละ 5 บาท ยกเว้นเนื้อนกกระจอกเทศไม้ละ 12 บาท เนื้อกวางไม้ละ 15 บาท ส่วนอาหารจานหลักเริ่มที่ราคาจานละ 40 บาท
      
       ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลของผู้ซื้อพบว่าเฉลี่ยจับจ่ายต่อคนต่อหัวเฉลี่ยที่ 50 บาททั้งการนั่งรับประทานในร้านหรือการซื้อกลับ และกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มวัยทำงาน
       ด้านความสนใจของผู้ลงทุนนั้นพบว่าได้รับการตอบรับดี แม้ว่าปัจจุบันสะเต๊ะยิ้มสยามรูปแบบคีออสเดิมมี 9 สาขาปัจจุบันเหลือเพียง 3 สาขาเท่านั้น เพราะสาขาที่ปิดไปเนื่องจากทำเลเปลี่ยนทำให้ปริมาณของคนในบริเวณนั้นลดลง และเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์อย่างเต็มรูปแบบจึงได้ ชะลอและยังไม่เพิ่มแฟรนไชส์หรือต่อสัญญากับรายเดิม
      
       และสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนนั้น ทางบริษัทจะจำหน่ายผงหมักและเครื่องแกงซึ่งเป็นสูตรของสะเต๊ะยิ้มสยาม พร้อมคำแนะนำในการซื้อเนื้อสัตว์ให้ หรือผู้ที่ต้องการสั่งซื้อกับบริษัทได้มีทั้งนำเนื้อสัตว์ไปเสียบไม้เองหรือ ให้บริการเสียบไม้ให้พร้อมเพื่อเพิ่มความสะดวกในการไปจำหน่าย
       ทั้งนี้ “พิธาน” มองถึงความยั่งยืนในการทำธุรกิจ ทั้งแฟรนไชซีและแฟรนไชซอร์ จึงต้องการพัฒนารูปแบบสโตร์อย่างเต็มที่และทยอยลดรูปแบบคีออสเพื่อสร้างความ มีมาตรฐานเดียวกันของร้านสาขา ที่แฟรนไชซอร์สามารถเข้าไปให้การดูแลระบบการบริหารจัดการและการให้การสนับ สนุนต่างๆ เพื่อการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
      
       และสิ่งสำคัญตนมองถึงความตั้งใจของผู้เข้ามาลงทุนระดับเงินลงทุนหลัก แสนในรูปแบบสโตร์นั้นผู้ลงทุนมีความตั้งใจในการทำธุรกิจและฝ่าฝันปัญหาที่ เกินขึ้น ขณะที่การลงทุนรูปแบบคีออสหรือเงินลงทุนหลักหมื่นนั้นจะสามารถล้มเลิกกิจการ กลางคันก็ได้เมื่อเจออุปสรรคหรือยกเลิกเพื่อไปประกอบกิจการหรืออาชีพอื่น ซึ่งในฐานะเจ้าของกิจการหรือแฟรนไชซอร์ต้องการผู้ลงทุนที่มีความตั้งใจพร้อม ที่จะพัฒนาธุรกิจไปด้วยกันมากกว่า
      
       อย่างไรก็ตามสำหรับการขยายสาขานั้น ในปี 2553 นี้จะเน้นที่สาขาต้นแบบในรูปแบบสโตร์ จำนวน 2 สาขา ซึ่งปัจจุบันมีสาขาแรกแล้วตั้งอยู่ที่ถนนสายไหม ปากซอย 26 และ จากนั้นในปี 2554จะขยายสาขต้นแบบในรูปแบบสโตร์อีก 3-5 สาขาก่อนที่จะขายแฟรนไชส์ โดยเน้นทำเลย่านชุมชน ซึ่งเป็นปีที่ “พิธาน” จะลุยธุรกิจอาหารอย่างเต็มตัว เพราะมั่นใจการความทุ่มเทให้กับการพัมนาสินค้าหรือ Product จนรสชาติถูกปากผู้บริโภค พร้อมเล็งทำเลหรือ Place เจาะทาร์เก็ตคนวัยทำงาน และระบบหรือ System แฟรนไชส์ นำพาธุรกิจตามเป้าหมาย และตั้งเป้าการสร้างรายได้จากธุรกิจอาหารจะเป็นรายได้หลักหรือประมาณ 60—70% เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ที่ทำอยู่ในขณะนี้
      
       จุดเริ่มต้นธุรกิจอาหาร
      
       “พิธาน อิมราพร” เจ้าของธุรกิจออร์แกไนซ์ ฝากผลงานจากการจัดงานใหญ่ๆ มาหลายงาน นอกจากนี้ยังทำธุรกิจการ์เม้นท์ผลิตสินค้าจำพวกตุ๊กตาผ้าขนหนูส่งห้างสรรพ สินค้าชั้นนำและภายใต้ชื่อแบรนด์ของตนเอง การทำธุรกิจต่างๆ ประสบความสำเร็จมาได้ด้วยดี แต่เมื่อเกิดวิกฤตปี 2540 ยุคฟองสบู่แตก ธุรกิจต้องประสบปัญหาอย่างหนัก
      
       แต่เมื่อเทียบกับธุรกิจร้านอาหารขนาดใหญ่ของญาติที่มีจำนวนโต๊ะ มากกว่า 200 โต๊ะ ธุรกิจยังดำเนินต่อไปได้ แม้จะพบวิกฤตแต่สามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ เช่น บริหารต้นทุนสินค้าในการบริหารบุคคล และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
       เมื่อหันมองธุรกิจของตนเอง เมื่อวิกฤตมาแทบจะล้มทั้งยืนหรือบางกิจกรรมก็ต้องเลิกทำไป เช่น ธุรกิจการ์เม้นท์ ซึ่งมองเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งธุรกิจต่างๆ ที่ “พิธาน” ทำนั้น เขามองว่าไรไซเคิลของธุรกิจสั้นกว่าธุรกิจอาหาร
      
       ด้วยความที่ “พิธาน” คลุกคลีกับผู้คนในวงธุรกิจมามากและวิกฤตในครั้งนั้น ทำให้เขาสนใจ “ธุรกิจอาหาร” อย่าง จริงจัง และสนใจกับอาหารทานเล่นอย่าง “สะเต๊ะ” เพราะมองว่าเป็นอาหารทานเล่นที่ทุกเพศ วัยรู้จัก และสามารถรับประทานได้ทุกกลุ่มอายุทุกภาคของประเทศ
       ธุรกิจจึงเริ่มต้นขึ้นด้วยคิดค้น ผงหมักเนื้อสัตว์ และเครื่องแกง ซึ่งทำสำเร็จรูปในรูปแบบผง ในปีแรกทำให้เขาขยายสาขาได้มากถึง 9 สาขา และด้วยรสชาติความอร่อยของสะเต๊ะ ทำให้สะเต๊ะยิ้มสยามออกสื่อต่างๆ จำนวนมากทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ
      
       แต่เมื่อดำเนินธุรกิจไปได้ระยะหนึ่ง เขากลับเห็นปัญหาในการดำเนินธุรกิจเครือข่าย อับดับแรกรายได้ที่เข้ามาที่เขาเป็นผู้จำหน่ายผงหมักและเครื่องแกง กำไรที่เขาได้จากสินค้าเหล่านี้ไม่มากแม้สินค้าจากสะเต๊ะที่ลูกค้าขายจะขาย ได้ดีก็ตาม และไม่สามารถควบคุมหรือดูแลทำเลสาขาได้ขึ้นอยู่กับลูกค้าสนใจทำเลใดก็ไปเปิด ทำให้หลายสาขามียอดขายไม่ดี ทำให้เขาเริ่มมองหาธุรกิจที่มีรูปแบบหรือมีมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขาที่เปิด บริการ
       จากนั้น “พิธาน” จึงได้เข้าอบรมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายใต้โครงการ B2B รุ่น 12 หลังจากที่ได้ลองผิดลองถูกกับการทำธุรกิจมาแล้ว และปรับธุรกิจใหม่ทั้งหมดเพื่อเข้าสู่ระบบแฟรนไชส์อย่างเต็มรูปแบบ
      
       ลงทุนกับ 'สะเต๊ะยิ้มสยาม'
      
       รูปแบบ ขนาด เงินลงทุน
      
       Satay Store 1.5 เมตร 656,000 บาท
       Satay Shop 1.5*2 เมตร 96,000 บาท
       Satay Kiosk 25 ตร.ม. 56,000 บาท
      
       *ประมาณการณ์คืนทุนทั้ง 3 รูปแบบที่ 3 เดือน
       *ราคาลงทุนรวมอุปกรณ์พร้อมขาย
      
       ที่มา : ผู้จัดการรายสัปดาห์

Read More...


เย็นตาโฟเจ้าดัง ซ.อารีย์ ลุยแฟรนไชส์ขยายตำนาน 40 ปี

โลโก้ ก๋วยเตี๋ยวแซ่ซ้อง
       ใน ซ.อารีย์ มีร้านอาหารเจ้าดังอยู่หลายราย แต่หากเจาะจงก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟแล้ว ต้องยกให้เจ้า “นายฉุ่ย” ที่อยู่คู่ย่านนี้มานานกว่า 40 ปี แทบทุกเที่ยงวันลูกค้าจะแน่นร้าน จนเป็นภาพชินตา
      
       จากความสำเร็จดังกล่าว หนึ่งในทายาทร้าน คิดต่อยอดกิจการครอบครัว โดยขายอาชีพรูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ ภายใต้ชื่อ “เย็นตาโฟแซ่ซ้อง” หวังเพิ่มช่องทางตลาดเข้าหาลูกค้าได้กว้างและทั่วถึงยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังช่วยสร้างโอกาสแก่คนอยากมีอาชีพ
วีรวิชญ์ เลิศสิริวิไล
       วีรวิชญ์ เลิศสิริวิไล ผู้ดูแลกิจการ เล่าว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวนายฉุ่ย บุกเบิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 หรือกว่า 40 ปีที่แล้ว โดยก่อนหน้านี้พ่อของเขา เปิดร้านเล็กๆขายก๋วยเตี๋ยวหมู อยู่ที่ ซ.อารีย์ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก วันหนึ่งขายได้แค่ 10 กว่าชาม แทบไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูลูกๆ จำนวน 11 คน จนเมื่อพี่ชายคนที่ 2 หรือนายฉุ่ย (นันทวัฒน์ เลิศสิริวิไล) เสนอความคิดให้เปลี่ยนมาขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและเย็นตาโฟแทน เนื่องจากในเวลานั้น ใน ซ.อารีย์ ยังไม่มีร้านใดขายเมนูดังกล่าวเลย
เย็นตาโฟ สูตรต้มยำ
       ผลตอบรับกลับมาดีเกินคาด โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟสูตรเข้มข้นที่นายฉุ่ยคิดขึ้นเอง ได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างมาก เมื่อประกอบกับทำเลใน ซ.อารีย์ฯ มีชุมชน คอนโดมิเนียม สำนักงาน และหน่วยงานราชการ เกิดใหม่จำนวนมาก ยิ่งส่งให้ร้านได้รับความนิยมเป็นทวีคูณ จนกลายเป็นร้านดังประจำย่านนี้ และกระจายไปทั่วประเทศ
      
       ในฐานะเป็นหนึ่งในทายาทที่เข้ามาสานต่อกิจการครอบครัว วีรวิชญ์ เผยว่า อยากให้ธุรกิจแตกแขนงออกไปให้กว้างขึ้น โดยอาศัยชื่อเสียงร้านที่สะสมมานานกว่า 40 ปีเป็นใบเบิกทาง ด้วยการเปิดขายธุรกิจสร้างอาชีพ รูปแบบกึ่งแฟรนไชส์ เพื่อให้ร้านมีช่องทางกระจายวัตถุดิบมากขึ้นแล้ว และยังช่วยสร้างโอกาสให้คนอยากมีอาชีพได้ด้วย
ร้านนายฉุ่ย ที่ ซ.อารีย์ อยู่คู่ย่านนี้มากว่า 40 ปี
       “ในปัจจุบัน มีคนอีกจำนวนมากที่ต้องการหาโอกาสสร้างฐานะ ซึ่งผมเข้าใจความรู้สึกนี้อย่างดี เพราะครอบครัวผมเคยลำบากมาก่อน แต่ก็ได้อาชีพก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลามากอบกู้ฐานะ ดังนั้น ผมจึงคิดว่าด้วยชื่อเสียงของร้านที่ยาวนาน ผ่านการพิสูจน์ความสำเร็จมาแล้ว รสชาติเป็นที่ยอมรับ และที่สำคัญไม่ต้องกังวลว่าเจ้าของแฟรนไชส์จะเลิกหนี เพราะนี่เป็นอาชีพของตระกูลผม ซึ่งจากจุดเด่นต่างๆ เหล่านี้ คิดว่าน่าจะเหมาะที่จะช่วยสร้างโอกาสให้คนอื่นๆได้ โดยไม่ต้องไปเริ่มต้นใหม่อย่างไร้ทิศทาง” วีรวิชญ์ ระบุ
สาขาร้านของก๋วยเตี๋ยวแซ่ซ้อง
       สำหรับเหตุที่ใช้ชื่อแฟรนไชส์ “ลูกชิ้นปลาแซ่ซ้อง” แทนที่ “นายฉุ่ย” นั้น เจ้าของกิจการบอกว่า ต้องการให้สื่อถึงความเป็นคนจีน และมีความหมายที่อยากให้ลูกค้านิยมกล่าวขวัญถึงความอร่อย นอกจากนั้น ต้องการใช้แบรนด์นี้สำหรับลูกค้าระดับล่างถึงกลาง ส่วนชื่อ “นายฉุ่ย” จะเก็บไว้ทำตลาดในอนาคต สำหรับมุ่งตลาดบน
ของทอดต่างๆ กินกับก๋วยเตี๋ยว
       ในส่วนรูปแบบลงทุนนั้น แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ 1.ลงทุน 15,000 บาท เหมาะ สำหรับมีร้านอาหารหรือหน้าร้านของตัวเองอยู่แล้ว อยากนำก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาและเย็นตาโฟไปเสริมหรือต่อยอด โดยรูปแบบนี้จะได้รับป้ายแบรนด์ และสูตรก๋วยเตี๋ยว และ 2.ลงทุน 45,000 บาท ได้รับสูตรพร้อมอุปกรณ์ครบชุด เช่น รถเข็นพร้อมป้าย และอุปกรณ์การขายพื้นฐาน 44 รายการ
      
       ทั้งนี้ ข้อกำหนดในการร่วมธุรกิจกัน คือ ต้องรับวัตถุดิบหลัก 10 ชนิด ที่ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของความอร่อยในก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม เช่น ลูกชิ้นชนิดต่างๆ (ราคาส่ง 100 ลูกต่อ 120-140 บาท แล้วแต่ชนิดลูกชิ้น) และ ซอสเย็นตาโฟ เป็นต้น ซึ่งผู้ลงทุนจะต้องมาซื้อวัตถุดิบต่างๆ ด้วยตัวเองที่ร้านนายฉุ่ย สาขา 1 ที่ ซ.อารีย์ หรือที่สาขา 2 ย่านนวมินทร์ หรือกรณีจะให้จัดส่ง คิดค่าบริการขนส่งตามจริง ส่วนวัตถุดิบพื้นฐานอื่นๆ เช่น เส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก เครื่องปรุง ฯลฯ ให้ผู้ลงทุนจัดหาเอง
       วีรวิชญ์ เผยว่า คนที่สนใจทำอาชีพนี้ ควรจะเป็นผู้ลงทุนไปสร้างอาชีพของตัวเอง ไม่เหมาะสำหรับคนมีทุนซื้อแฟรนไชส์แล้วจ้างพนักงานมาขาย เพราะความเอาใจใส่และความขยันอดทนจะแตกต่างกันมาก โดยสิ่งที่ผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับ คือ ให้มาฝึกฝนเรียนรู้วิธีการทำก๋วยเตี๋ยวอย่างมืออาชีพ ทั้งสูตรและวิธีทำก๋วยเตี๋ยว การบริหารวัตถุดิบ และคำนวณต้นทุน เป็นต้น โดยเรียนรู้ที่ร้านต้นตำรับใน ซ.อารีย์ฯ โดยตรง 3-5 วัน หรือหากยังไม่มั่นใจ สามารถอยู่เรียนรู้ต่อได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม จนกว่าจะพร้อมไปขายด้วยตัวเอง นอกจากนั้น ยังได้รับการส่งเสริมการตลาดร่วมกันผ่านสื่อต่างๆ เช่น ลงโฆษณาในนิตยสาร และเว็บไซต์เกี่ยวกับสร้างอาชีพ เป็นต้น
      
       ทั้งนี้ เริ่มเปิดขายแฟรนไชส์มาประมาณ 4-5 ปี ปัจจุบันมีสาขาประมาณ 14 แห่ง รายได้เฉลี่ยต่อร้านอยู่ที่ 60,000-100,000 บาทต่อเดือน (ยังไม่หักค่าใช้จ่ายประจำ เช่น ค่าเช่า และค่าพนักงาน) ส่วนอัตราร้านที่เปิดแล้วต้องปิดตัวลงมีอยู่ 3 ราย ด้วยเหตุผลหลัก คือ ทำเลไม่เอื้อ
      
       สำหรับราคาขายปลีกของก๋วยเตี๋ยว กำหนดที่ชามละ 30-35 บาท ผู้ขายจะมีกำไรหลังหักค่าวัตถุดิบแล้ว ต่อหน่วยประมาณ 50% ตัวอย่างหากขายได้วันละ 60 ชาม จะมีรายได้ประมาณ 21,000 บาทต่อเดือน หากขายได้วันละ 100 ชาม จะมีรายได้ประมาณ 36,000 บาทต่อเดือน โดยผู้ขายควรมีเงินสำรองสำหรับใช้หมุนเวียนประมาณ 30% ของยอดขาย
       จากประสบการณ์คลุกคลี ในอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวมายาวนาน วีรวิชญ์ ทิ้งท้ายฝากข้อคิดสำหรับผู้กำลังจะทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารว่า ปัญหาที่ทุกรายจะเจอเหมือนกัน คือ คำตำหนิด้านรสชาติ เพราะแต่ละคนจะมีรสนิยมต่างกัน ดังนั้น ขอให้ยึดเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก ส่วนราคาต้องสมเหตุสมผล และควรจะลงมือทำด้วยตัวเอง หรือถ้าจะจ้างต้องควบคุมเงินรั่วไหลให้รอบคอบที่สุด ส่วนคนงานถ้าเป็นไปได้ควรเลือกวัยผู้ใหญ่ เพื่อลดปัญหาเข้าออกบ่อย และสำหรับคนเริ่มต้นใหม่ต้องอดทนอยู่กับธุรกิจให้ได้ อย่างน้อย 6 เดือน เพราะช่วง 1-3 เดือนแรก ลูกค้าส่วนใหญ่จะกินเพื่อทดลอง ช่วง 3-6 เดือนจะกลับมากินซ้ำเพราะติดใจ และถ้าผ่าน 6 เดือนไปแล้ว ลูกค้ายังกลับมากินซ้ำ แสดงว่า รสชาติเป็นที่ยอมรับ และมีขาประจำ ซึ่งจะช่วยให้ร้านอยู่ได้อย่างยั่งยืน
      
       @@@@@@@@@@@@@@@@
      
       โทร.08-1456-3030 หรือ www.yentafothai.com

Read More...


เจาะลึกสถานการณ์แฟรนไชส์ "รุ่ง-ร่วง" ปีเถาะ

       เปิดผลสำรวจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนแฟรนไชส์ เกาะติดธุรกิจที่ได้รับความนิยมและหล่นร่วง พร้อมการเจาะลึกถึงสถานการณ์และแนวโน้มในปี 2554 ด้านที่ปรึกษาระดับแนวหน้าแนะผู้ประกอบการเตรียมพร้อมรับมือ จี้รับออกกฏเกณฑ์ดูแลก่อนสายเกินแก้
      
       เมื่อแฟรนไชส์เป็นทางเลือกของทั้งผู้ประกอบการที่คิดจะขยายธุรกิจ อย่างรวดเร็วและนักลงทุนหรือผู้ที่ต้องการหารายได้จากธุรกิจในแบบที่ไม่ต้อง นับหนึ่งด้วยตัวเอง ด้วยเหตุนี้ การติดตามภาพรวมของธุรกิจแฟรนไชส์ว่ามีทิศทางความเคลื่อนไหวและแนวโน้มอย่าง ไร จึงเป็นประโยชน์ของทั้งสองฟากดังกล่าว ซึ่งการนำเสนอเนื้อหาในครั้งนี้เป็นการมองภาพรวมตลอดทั้งปีของปี 2553 ที่ผ่านมา และปี 2554 โดยเน้นไปในส่วนของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสนใจในการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ กับสถานการณ์และแนวโน้มของธุรกิจ
       ๐ ชี้ปัจจัยส่งอิทธิพลต่อการลงทุน
      
       จากผลสำรวจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสนใจในการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ในปี 2553 โดยกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา เอ็น ซี กรุ๊ป พบว่า ธุรกิจที่มีผู้สนใจลงทุนเป็นอันดับหนึ่งคือ ธุรกิจเบเกอรี่ โดย ปัจจัยแรกคือ สิ่งแวดล้อมทางการตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้น ซึ่งที่เห็นกันอยู่คือเบเกอรี่จากต่างประเทศที่เข้ามาสร้างกระแสให้เกิดการ ตื่นตัวมากขึ้น อย่าง คริสปี้ครีม ซึ่งส่งผลให้ตลาดในหัวเมืองใหญ่หันมาสนใจธุรกิจโดนัทมากขึ้น ปัจจัยที่สองคือ เงินลงทุนไม่สูง เฉลี่ย 2-3 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจัยที่สามคือการคืนทุนที่ค่อนข้างรวดเร็ว โดยใช้เวลาประมาณ 2 ปีกว่าเท่านั้น ประกอบกับรูปแบบร้านที่ดูดีเป็นการสะท้อนภาพลักษณ์เชิงสังคมให้กับผู้ลงทุน
      
       อันดับสองคือ ธุรกิจเครื่องดื่ม ซึ่ง กาแฟยังเป็นตัวนำ โดยจากแบบสอบถามพบว่าคนอายุไม่เกิน 40 ปี ประมาณ 27% มีความสนใจมาก แต่กระแสในระยะนี้แผ่วลงไปบ้างทำให้ตกอันดับจากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับที่ หนึ่ง เพราะนักลงทุนให้ความเห็นว่ามีร้านกาแฟที่เปิดอยู่เป็นจำนวนมากแล้วในตลาดมี การแข่งขันสูง ทำให้อัตราผลกำไรที่เคยสูงกลับลดต่ำลง นอกจากนี้ ยังหาความแตกต่างของแต่ละรายไม่ได้ทำให้ไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหนดี รวมทั้ง ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่ดีคือเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้ามีราคาสูงขึ้น
      
       อันดับสามคือ ธุรกิจร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่ง นักลงทุนมีความต้องการชัดมาก แต่เนื่องจากยังไม่มีรูปแบบร้านที่ดีกว่าร้านรถเข็นหรือเหมาะสมกับความต้อง การของนักลงทุน เพราะจากข้อมูลการสำรวจพบว่า 90% ของนักลงทุนที่สนใจในธุรกิจแฟรนไชส์จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากเดิมที่นักลงทุนกว่า 30% มีความรู้ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ดังนั้น เมื่อนักลงทุนมีการศึกษาสูงจึงต้องการลงทุนให้คุ้มกับเงินลงทุน เวลา และสถานะ นอกจากนี้ ยังพบว่า 26% ของผู้สนใจลงทุนเคยทำธุรกิจมาก่อน และ47% เป็นพนักงาน ชี้ให้เห็นว่าคุณภาพของนักลงทุนสูงขึ้น แฟรนไชส์ขนาดเล็กจึงไม่ค่อยได้รับความนิยม
      
       ด้านพีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฯ เปิดเผยอีกว่า ส่วนธุรกิจเด่นที่ได้รับความสนใจตามมา คือ ธุรกิจไอศกรีม และธุรกิจอาหารไทย สำหรับธุรกิจไอศกรีมซึ่งนำโดย “สเวนเซ่นส์” มีผู้สนใจลงทุนมาก จึงส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจไอศกรีม แต่เพราะการลงทุนกับสเวนเซ่นส์ใช้เงินลงทุนสูง ขณะที่ “ไอเบอรี่” ซึ่งเป็นของคนไทยก็ลดการกระตุ้นในเรื่องของแฟรนไชส์ รวมทั้ง รายอื่นๆ ที่เคยผลักดันอย่างแรงก็ลดลงเช่นกัน เช่น ดรีมโคน เป็นต้น เนื่องจากโดยภาพรวมของธุรกิจนี้มีการแข่งขันรุนแรง ส่วนการที่ธุรกิจอาหารไทยได้รับความสนใจเป็นเพราะรายที่เปิดอยู่มีการเติบโต ดี เช่น เชสเตอร์กริลล์ สามารถขยายแฟรนไชส์ได้เป็นร้อยสาขา ขณะที่ นักลงทุนเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะผู้บริโภคตัดสินใจซื้อง่าย
       สำหรับธุรกิจที่ได้รับความนิยมลดลง คือธุรกิจการศึกษา จาก เดิมที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ คือประมาณอันดับหนึ่งหรือสอง เหตุผลแรก เป็นเพราะนักลงทุนเห็นว่าบางแห่งลงทุนสูงบางแห่งลงทุนไม่สูง ไม่สามารถหาเหตุผลในการลงทุนได้ และผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คิด รวมทั้ง มีปัญหาให้เห็นเป็นระยะ เช่น มีการปิดตัวของผู้ประกอบการ เป็นต้น เหตุผลที่สอง มาจากความยากในการทำธุรกิจ เช่น ไม่สามารถหาบุคลากรมาดำเนินการ และเหตุผลที่สาม มาจากการที่สภาพตลาดเปลี่ยนไป เนื่องจากระบบการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการสอบเอ็นทรานซ์มีความสับสน ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคต่างจากเดิมเด็กนักเรียนเปลี่ยนไปเน้นเรียน เฉพาะวิชา ไม่เรียนหลายๆ วิชา
      
       นอกจากนี้ คือธุรกิจแฟชั่น เช่น ร้านเสื้อผ้า ร้านเครื่องประดับ และร้านเครื่องสำอาง สำหรับธุรกิจร้านจำหน่ายเครื่องสำอาง ได้รับความนิยมลดลงจากเดิมที่เคยอยู่ในอันดับที่สาม เพราะนักลงทุนเห็นว่าไม่สามารถแยกความแตกต่างของตัวผลิตภัณฑ์ระหว่างสินค้า ทั่วไปที่ผลิตในประเทศกับสินค้าที่มีแบรนด์ และมีการหิ้วของจากต่างประเทศเข้ามาขายมาก รวมทั้ง ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่มีความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้ร้านที่เปิดเป็นแฟรนไชส์แข่งขันไม่ได้ ขณะที่ ธุรกิจร้านเสื้อผ้า ได้รับความนิยมลดลงเพราะสภาพเศรษฐกิจส่งผลให้ผู้บริโภคใช้จ่ายกับเสื้อผ้า น้อยลงเช่นเดียวกับเครื่องประดับ ส่วนธุรกิจบริการอื่นๆ มีรูปแบบของธุรกิจ (concept) ไม่แข็งแรง เช่น ร้านซักรีด เป็นต้น
      
       ๐ ฟันธง “ร้านอาหาร” มาแรง “บริการ” หลากหลาย
      
       ส่วนผลสำรวจสถานการณ์แฟรนไชส์ในปี 2553และแนวโน้มในปี 2554พบว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจในปี 2553จะอยู่ที่ 11.7% โดยมีมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจกว่า 1.6 แสนล้านบาท มีธุรกิจแฟรนไชส์ 563 ราย และจากการคาดการณ์ในปี 2554 ธุรกิจแฟรนไชส์น่าจะมีอัตราการเติบโต 15% หรือมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 1.7แสนล้านบาท มีธุรกิจแฟรนไชส์เพิ่มเป็นประมาณ 600-650 ราย เพราะมีทั้งแฟรนไชส์รายใหม่และรายเก่าที่พัฒนาตัวเอง ซึ่งการเติบโตของธุรกิจจะเน้นไปที่ธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมีความโดดเด่นอยู่ที่ “ธุรกิจอาหาร” เป็นหลัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเอื้ออำนวยทำให้มีอัตราผลกำไรสูงขึ้นและมีรายที่ปรับตัวไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น เช่น แฟรนไชส์อาหารญี่ปุ่น
      
       นอกจากนี้ “ธุรกิจบริการ” จะมีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น เช่น แฟรนไชส์ธุรกิจรับสร้างบ้าน ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ คาร์แคร์ กำจัดแมลง ร้านซักรีด ร้านหยอดเหรียญ และคอนวีเนี่ยนสโตร์ เนื่องจากการมีความพร้อมในการออกแบบรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์และสถานการณ์โดยรวม ที่เหมาะสม ประกอบกับ ที่ผ่านมาความสำเร็จจากผู้นำเป็นตัวจุดประกายและตัวกระตุ้นให้เกิดการตื่น ตัว เช่น พีดีเฮ้าส์แฟรนไชส์ธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่สามารถขยายได้กว่า 10 สาขา โดยใช้เงินลงทุนในธุรกิจสาขาละ 3-4 ล้านบาทหรือโมลิแคร์แฟรนไชส์ธุรกิจคาร์แคร์ พรู้ฟโค้ทแฟรนไชส์ธุรกิจรับซ่อมบ้าน
      
       ขณะที่ แฟรนไชส์ธุรกิจซักรีดรายเด่นๆ จะกลับมาใหม่ แฟรนไชส์ธุรกิจตู้หยอดเหรียญจะเปลี่ยนรูปแบบ เช่น จากธุรกิจขายเครื่องกรองน้ำจะเกิดเป็นธุรกิจบริการจัดส่งน้ำดื่ม เป็นต้น รวมทั้ง ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนจะได้รับการตอบรับ และธุรกิจเสื้อผ้าระดับราคากลางๆ จะมีแนวโน้มดีขึ้น
       สำหรับธุรกิจที่อาจจะมีความยากลำบากในปี 2554 คือธุรกิจประเภทบริการความงาม เช่น สปา ศูนย์ลดความอ้วน ร้านตัดผม คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวต่ำ เพราะตลาดอิ่มตัวจากการที่ได้มีการลงทุนไปมากแล้วก่อนหน้านี้ และนักลงทุนบางส่วนที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจนี้จะหันไปสนใจ ธุรกิจอื่น โดยเฉพาะธุรกิจอาหารซึ่งเป็นธุรกิจพื้นฐาน
      
       ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจแฟรนไชส์ที่สำคัญยังมาจากการผลักดันของ ธนาคารต่างๆ ที่นำร่องโดยธนาคารกสิกรไทยซึ่งตั้งวงเงินสินเชื่อถึง 3,000 ล้านบาทเพื่อให้สินเชื่อธุรกิจแฟรนไชส์ตั้งแต่ 1-12 ล้านบาทโดยไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน นับเป็นแคมเปญที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้อย่างดี นอกจากนี้ธนาคารอื่นๆ กำลังเตรียมสินเชื่อให้กับธุรกิจแฟรนไชส์เช่นเดียวกัน เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารออมสิน เป็นต้น รวมทั้ง การจัดทำไมโครไฟแนนซ์ของไปรษณีย์ไทยจะช่วยให้แฟรนไชส์ขนาดเล็กหรือไมโคร แฟรนไชส์เติบโตตามไปด้วย
      
       ที่ปรึกษาธุรกิจแฟรนไชส์แนะนำและเตือนว่า ในด้านของนักลงทุนควรจะต้องศึกษาหาความรู้ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เนื่องจากการทำธุรกิจต้องใช้เวลาลงไปคลุกคลีไม่น้อย ซึ่งถ้าธุรกิจไม่สามารถก้าวไปได้จะทำให้เสียทั้งเงินและเวลา ส่วนด้านของผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ในปีหน้า เนื่องจากเมื่อภาพรวมของธุรกิจมีการเติบโตก็จะเกิดปัญหาเรื่องบุคลากร จึงต้องให้ความสำคัญด้วยการเน้นพัฒนาให้มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้น จะเกิดปัญหาการถดถอยของธุรกิจขึ้นได้จากการขาดความมั่นใจ และยากที่จะรื้อฟื้นให้กลับมาเหมือนเดิม เพราะธุรกิจแฟรนไชส์ต้องอาศัยความเชื่อมั่นเป็นหลักยึดระหว่างผู้ขายและผู้ ซื้อแฟรนไชส์
      
       อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดการกระจายตัวของการลงทุน แต่หากภาครัฐไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการกำกับดูแลจะก่อให้เกิด ปัญหาที่ยากจะแก้ไข ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีการป้องกันไม่ให้เกิดการผิดพลาดทั้งที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และตั้งใจจะหลอกลวงของผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ เพื่อให้ธุรกิจแฟรนไชส์เติบโตไปได้อย่างราบรื่น

Read More...


“เดอะวอฟเฟิล”แฟรนไชส์ขนมสายเลือดไทย บุกตปท.

วอลเฟิล ในรูปแบบของเดอะวอลเฟิล
       เดอะวอฟเฟิล แฟรนไชส์ขนม ที่เปิดตัว จากการปลุกกระแสวอฟเฟิล ขนมข้ามชาติที่ซื้อกินกันในโรงแรมชั้นนำ ออกสู่ท้องถนน เพื่อให้คนทั่วไป ได้หารับประทานกันง่าย และด้วยกระแสที่ปลุกขึ้นได้ไม่ยาก ส่งผลให้ แฟรนไชส์เดอะวอลเฟิล ประสบความสำเร็จ ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว
      
       นายสุทธิชัย พนิตนรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะวอฟเฟิล ซัพพลาย จำกัด เล่าว่า เดอะวอฟเฟิลได้เปิดตัวในรูปแบบของแฟรนไชส์ รวมระยะเวลาถึงตอนนี้ประมาณ 6 ปี จากความสำเร็จที่ได้รับมาตลอดระยะเวลา 6 ปี พิสูจน์ได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นตลอดของลูกค้าแฟรนไชส์
รูปแบบของคีออสที่เน้นความทันสมัย สะดุดตา
       โดยภาพรวมของแฟรนไชส์ที่ลงทุนกับบริษัทฯ มีอัตราความสำเร็จมากกว่า 80% ปัจจุบันมีสาขากว่า 130 แห่ง ซึ่งมียอดขายวอฟเฟิลในขณะนี้ประมาณ 1 ล้านชิ้นต่อเดือน โดยสาขาส่วนใหญ่ของเราจะอยู่ในตลาดต่างจังหวัดมากกว่า ในกรุงเทพฯ และสาขาในต่างจังหวัดก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าในกรุงเทพฯด้วย
      
       “ความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากความใส่ใจในคุณภาพ ที่เราต้องการให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดี และประกอบกับให้ความสนใจและใส่ใจดูแลแฟรนไชส์ซีของเราได้สามารถแข่งขันและ อยู่ได้ อีกทั้งได้นำประสบการณ์ใหม่มาพัฒนาขนม เพื่อให้มีความหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค และเพิ่มรายได้ให้กับลูกค้าแฟรนไชส์ซี”
นายนายสุทธิชัย พนิตนรากุล กก.ผจก. บ. เดอะวอฟเฟิล ซัพพลาย
       และวันนี้ เดอะวอฟเฟิลก็ได้ขยับขยายเข้าใกล้ผู้ซื้อมากขึ้นอีกจากคีออส (Kiosk) ขนาดเล็ก มาเป็นรูปแบบสแตนด์อโลน ที่ห้างซีคอนสแควร์ ‘ร้านเดอะวอฟเฟิล เอ็กซ์พีเรียน (The Waffle experience) โดยร้านเดอะวอฟเฟิล เอ็กซ์พีเรียน นี้เกิดจากความต้องการนำเสนอไอเดีย ในการนำประสบการณ์ใหม่ๆ มาเพิ่มรสชาติให้ขนมวอฟเฟิล มีทางเลือกใหม่กับ 8 รสชาติ ทั้งบลูเบอรี่ ราสเบอรี่ อัลมอนด์ มาร์เบิลสตริป ฯลฯ และมีไอกรีมโยเกิร์ตที่มีทั้งเนื้อไอศกรีม และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ แม้เปิดบริการได้ไม่ถึงเดือนก็สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึงวันละ 10,000 บาท โดยขายดีทุกรส ชาติ
      
       ปัจจุบันตลาดรวมขนมวอฟเฟิลประมาณ 10 กว่าล้านชิ้นต่อปี ขณะที่ขนมวอฟเฟิลอีก 7-8 ยี่ห้อมีส่วนแบ่งตลาดรวมกันที่ 30% แต่แบรนด์เหล่านี้อาจไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง ของเดอะวอฟเฟิล โดยตั้งเป้าขยายสาขาให้ได้ 200 สาขาในปีนี้ ซึ่งผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์เดอะวอฟเฟิลไปแล้วประสบความสำเร็จ ก็ด้วยตัวแปรสำคัญ คือ ทำเลที่ต้องเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ซึ่งปกติผมจะแนะนำแฟรนไชส์ซี่เสมอๆให้เลือกทำเล ที่มีผู้คนสัญจรไปมาเยอะๆ บริเวณพื้นที่ท่ารถ ท่าเรือ ห้างสรรพสินค้า โดยทำเลที่ดีควรมีคนสัญจรมากกว่า 1,000 คน ในบางครั้งผมก็จะช่วยลูกค้าดูทำเลด้วยว่าเหมาะที่จะเปิดร้านหรือเปล่า
ออกบูทในงานมหกรรมแฟรนไชส์
       สำหรับทำเลในกรุงเทพที่ดีมากๆ มีที่อนุสาวรีย์ชัย แพลทตินัมประตูน้ำ สายใต้ใหม่ หัวลำโพง เซ็นทรัลลาดพร้าว สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส และห้างเดอะมอลล์ เป็นต้น ทั้งนี้หากได้ทำเลที่ดี ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึงหลักหมื่นได้อย่างไม่ยาก ส่วนในต่างจังหวัดทำเลที่ดีส่วนใหญ่จะเป็นที่สถานีขนส่ง ห้างท้องถิ่น และโมเดิร์นเทรด
      
       นายสุทธิชัย กล่าวอีกว่า ล่าสุด เดอะวอฟเฟิลได้ทุ่มงบ 15 ล้านขยายโรงงานแห่งที่สองที่ อ.บางพลี สมุทรปราการ เพื่อเตรียมขยายตลาดไปต่างประเทศ ยกระดับคุณภาพสินค้าตามมาตรฐาน GMP , HACCP และ ฮาลาน โดยจะนำ‘ร้านเดอะวอฟเฟิล เอ็กซ์พีเรียน” The Waffle experience เป็นตัวนำร่องขยายตลาดต่างประเทศ โดยในไตรมาสที่ 2 มีเป้าหมายขยายไปยังประเทศ มาเลเซีย สิงคโปร์ จีน และจอร์แดน เนื่องจากมองว่าตลาดต่างประเทศมีศักยภาพสูง นอกจากนี้มีแผนขยายไปยังตลาดบาเรนห์ และเกาหลีด้วยในอนาคต โดยมีความมั่นใจในเรื่องความพร้อมของวัตถุดิบ ในรูปแบบโฟซเซ่นจากโรงงานผลิตของเราเอง ที่สามารถส่งให้ลูกค้าได้ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้จะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 2
      
       ผลตอบรับจากลูกค้าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาของวอฟเฟิล คือ ไม่มีเดือนไหนที่เดอะวอฟเฟิลขายน้อยกว่าเดือนก่อน โดยภาพรวมของแฟรนไชส์ซี่ที่ลงทุนกับบริษัทฯ มีอัตราความสำเร็จมากกว่า 80% โดยมีแฟรนไชส์เจ้าของเพียงคนเดียวเปิดร้านเดอะวอฟเฟิล สูงสุดถึง 6 สาขา ความสำเร็จนี้มาจากตัวสินค้าที่มีการพัฒนาความอร่อยไม่หยุดนิ่ง ทำให้สามารถขายตัวเองได้อย่างสบายๆ ล่าสุด เดอะวอฟเฟิล ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 5 ซุปเปอร์แบรนด์แฟรนไชส์ ที่มียอดขายและการเติบโตทางธุรกิจสูงสุด ในงานมหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ ครั้งที่ 5 ที่ผ่านมา
      
       โทร. 02-748-6608 , 08-1918-0123 www.thewafflesupply.com

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.