สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

‘ยำสาหร่ายผมนาง’ช่องทางจากวัตถุดิบพื้นถิ่น

“สาหร่ายผมนาง” สาหร่ายชนิดนี้มีประโยชน์มากมาย เพราะเป็นได้ทั้งอาหารของคน อาหารสัตว์ ใช้ทำปุ๋ย ใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช ฯลฯ



ภาคใต้ของไทยเรา ท้องทะเลนอกจากจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา อันเป็นสินในน้ำที่มีค่าหล่อเลี้ยงชีวิตคนในท้องถิ่นมาหลายชั่วคนแล้ว ยังมีสาหร่ายนานาชนิดที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ และต่อยอดเป็นอาชีพได้ อย่าง “สาหร่ายผมนาง” ซึ่งเป็นสาหร่ายที่พบได้ตามชายฝั่งของอ่าวไทย และฝั่งมหาสมุทรอินเดีย สาหร่ายชนิดนี้คนในท้องถิ่นได้นำมาทำเป็น “ยำสาหร่ายผมนาง” ขาย จนกลายเป็น “ช่องทางทำกิน” เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัวได้...
“สาหร่ายผมนาง” สาหร่ายชนิดนี้มีประโยชน์มากมาย เพราะเป็นได้ทั้งอาหารของคน อาหารสัตว์ ใช้ทำปุ๋ย ใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช ฯลฯ โดยเฉพาะประโยชน์ที่มีต่อคนในเชิงการเป็นอาหารนั้น สาหร่ายชนิดนี้มีสารอาหารอย่างโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ โดยเฉพาะธาตุไอโอดีน และวิตามิน
กัลยกร วรรณหอม ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านน้ำพริก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เล่าว่า ตั้งกลุ่มทำน้ำพริกตั้งแต่ พ.ศ.2542 ทำน้ำพริกหลากลายชนิด อาทิ น้ำพริกกุ้งเสียบ แกงไตปลาแห้ง น้ำพริกนรกกุ้ง น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแมงดา ฯลฯ จนเมื่อ พ.ศ.2546 เปลี่ยนมาขาย “ยำสาหร่ายผมนาง” เพราะเห็นว่าน้ำพริกขายยาก และเมื่อปี พ.ศ.2549 เริ่มสัญจรไปขายตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยนำยำสาหร่ายผมนางไปขายคู่กับ “ยำถั่วพูโบราณ” เพราะเห็นว่าอาหารใต้ อย่างข้าวยำ น้ำบูดู หรือแกงไตปลา มีคนขายเยอะแล้ว ซึ่งปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดี จึงทำขายมาเรื่อย ๆ
อุปกรณ์ที่ใช้ทำยำสาหร่ายผมนางหลัก ๆ ก็มี ภาชนะสำหรับยำ, ภาชนะสำหรับใส่ส่วนผสมต่าง ๆ, เตาแก๊ส, เขียง-มีด, หม้อเคี่ยวน้ำตาลทราย และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดในครัวเรือนทั่ว ๆ ไป
ส่วนประกอบยำสาหร่ายผมนางนั้น กัลยกร บอกว่า หลัก ๆ ก็มี สาหร่ายผมนาง รับซื้อจากชาวบ้าน ราคา ก.ก.ละประมาณ 400 บาท, น้ำปลา, น้ำตาลทราย, น้ำมะนาว, มะพร้าวคั่ว, ปลาป่น, หอมแดงซอย, พริกขี้หนูหั่น, ตะไคร้ซอย
วิธีทำยำสาหร่ายผมนาง ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดสาหร่ายด้วยน้ำสะอาด ล้างจนเศษหินดินทรายหมดไป จากนั้นนำสาหร่ายไปแช่ในน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้หมดกลิ่นสาบ และสาหร่ายนิ่ม
การยำ ตักสาหร่ายผมนางที่เตรียมไว้พอประมาณใส่ในภาชนะ ใส่น้ำปลา น้ำตาลทราย ลงไปพอประมาณ (หรือเพื่อความสะดวกอาจจะนำน้ำตาลทรายไปเคี่ยวกับน้ำปลาเตรียมไว้ก็ได้) จากตามด้วยน้ำมะนาว ใส่มะพร้าวคั่ว ปลาป่น หอมแดงซอย และพริกขี้หนูหั่น ลงไป คลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน ชิมรสให้มีรสชาติเค็ม และเปรี้ยว
ตักใส่จาน โรยหน้ายำสาหร่ายผมนางด้วยหอมแดงซอย พริกขี้หนู และตะไคร้ซอย โดยมีผักแกล้มคือ ใบชะพลู ซึ่ง กัลยากร บอกว่า การรับประทานยำสาหร่ายผมนางนี้ จะทานแบบเป็นเมี่ยง คือตักยำสาหร่ายใส่ลงในใบชะพลู แล้วทานเป็นคำ ๆ
ส่วนราคาขายนั้น ขายราคาชุดละ 50 บาท
นอกจากยำสาหร่ายผมนางแล้ว กัลยกร ยังได้ให้สูตร “ยำถั่วพูโบราณ” เพิ่มมาให้อีกสูตรหนึ่งด้วย
ส่วนผสมของยำถั่วพูโบราณ ก็มีถั่วพูสด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ, หอมแดงซอย, ปลาป่น, พริกขี้หนูหั่น, น้ำปลาที่เคี่ยวผสมกับน้ำตาลทราย, กะทิ และน้ำมะนาว
วิธีทำ ตักถั่วพูสดลงในภาชนะยำพอประมาณ จากนั้นใส่น้ำปลาที่เคี่ยวผสมกับน้ำตาลทราย 2 ตะบวยเล็ก น้ำกะทิ 2 ตะบวยเล็ก น้ำมะนาว 1 ตะบวยเล็ก และหอมแดงซอย ปลาป่น ใส่พริกขี้หนูหั่นเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสให้มีเค็ม เปรี้ยว มัน และมีกลิ่นหอมของกะทิ เท่านี้ก็ใช้ได้
ยำถั่วพูโบราณนี้ ขายในราคาชุดละ 50 บาทเช่นกัน
การทำยำทั้ง 2 อย่างนี้ขาย มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาขาย
สำหรับยำสาหร่ายผมนาง ก็นับว่าน่าสนใจมากสำหรับการนำของที่หาได้ในท้องถิ่นมาประยุกต์เป็นอาหาร และสามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ ขณะที่การทำการขายยำถั่วพูโบราณก็นับว่าน่าสนใจเช่นกัน
สนใจ “ยำสาหร่ายผมนาง” และยำถั่วพูโบราณ “ช่องทางทำกิน” ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านน้ำพริก ติดต่อ กัลยกร วรรณหอม ได้ที่ เลขที่ 168 หมู่ 6 บ้านเมืองใหม่ ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หมายเลขโทรศัพท์ 08-9974-2664.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :เรื่อง / ภาณุพงศ์ พนาวัน :ภาพ
...................................................
คู่มือลงทุน...ยำสาหร่ายผมนาง
ทุนอุปกรณ์    ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
รายได้ ราคาขาย 50 บาท / ชุด
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ชุมชน, งานออกร้านทั่วไป
จุดน่าสนใจ ชื่อสาหร่ายเป็นจุดขายที่ดี

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/207783/‘ยำสาหร่ายผมนาง’ช่องทางจากวัตถุดิบพื้นถิ่น

Read More...


'มักกะโรนี ฟิชบอล' แปลงสูตรเป็นไทยขายดี

ผัด “มักกะโรนี” เป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ขึ้นชื่อ คนไทยได้นำมาดัดแปลงตามความชอบ จนกลายเป็นอาหารยอดฮิตในไทยด้วย


ผัด “มักกะโรนี” เป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ขึ้นชื่อ คนไทยได้นำมาดัดแปลงตามความชอบ จนกลายเป็นอาหารยอดฮิตในไทยด้วย กินได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ เส้นมักกะโรนีนุ่ม ๆ ผัดกับกุ้ง หมู หรือไก่ ใส่มะเขือเทศและซอส ได้รสเปรี้ยวหวานอร่อย ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีสูตรการทำผัด “มักกะโรนี ฟิชบอล” จากคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี มาให้พิจารณากัน…

ผู้ ที่จะมาให้ข้อมูลอาหารเมนูนี้คือ ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ อาจารย์ประจำวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี เป็นสูตรที่เกิดจากการสอนเรื่องการจัดการอาหาร โดยมีโจทย์เป็นอาหารเฉพาะบุคคล เป็นการทำอาหารที่ควบคุมการรับประทานของบุคคลไม่ให้ทานแคลอรี่ต่อวันเกิน ระดับที่เหมาะสม เมนูมักกะโรนี ฟิชบอล ถือว่าเป็นอาหารประเภทจานด่วน เป็นเมนูง่าย ๆ แต่อร่อยล้ำ มักเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เด็ก ๆ เพราะไม่เผ็ด จะทำเป็นอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันก็ได้ ซึ่งจะมีสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์และเหมาะสมสำหรับร่างกายมากมาย

“ความ พิเศษของเมนูนี้อยู่ที่ส่วนผสม แต่ละตัวอุดมไปด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์มากมาย และยังคิดสูตรที่ใส่ฟิชบอล ซึ่งทำจากเนื้อปลาบดกับเครื่องแกงสมุนไพรเข้าไปด้วย ก็เพื่อเป็นการเพิ่มโปรตีนและโอเมกา 3 ซึ่งเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และทำให้มีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มสีสันให้ดูน่ารับประทานมากขึ้น ทำให้เด็กสนใจและชอบทานกันมากขึ้น เมนูผัดมักกะโรนี ฟิชบอล เป็นอาหารในกลุ่มที่ให้พลังงาน เนื้อไก่ จะได้โปรตีน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ เนื้อปลาก็จะให้โปรตีนสูง และกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างโอเมกา 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคข้ออักเสบ โรคอัลไซเมอร์ และโรคเครียด

มะเขือ เทศจะให้สารอาหารจำพวกแคโรนอยด์ ชื่อไลโคฟีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องผิวพรรณ และวิตามินอีกหลายชนิด ทั้งบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเค ช่วยในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด บำรุงสายตา ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ส่วนหอมหัวใหญ่สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แครอทมีสารเบตาแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา เมนูที่คิดมานี้ทำง่าย วัตถุดิบหาง่าย สามารถดัดแปลงได้ตามความชอบ ก็จะได้เมนูเป็นทางเลือกใหม่”

เหล่านี้คือจุดเด่นของเมนู ที่นำเสนอเป็นจุดขายที่ดีได้
อุปกรณ์ในการทำเมนูนี้ หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส, กระทะ และเครื่องไม้เครื่องมือ อื่น ๆ ที่หาได้จากในครัวทั่ว ๆ ไป

วัตถุ ดิบที่ใช้ในการทำ ตามสูตรก็มี เส้นมักกะโรนี 400 กรัม, เนื้อไก่สับ 150 กรัม, หอมหัวใหญ่สับ 200 กรัม, เนื้อมะเขือเทศ ถ้วย, มะเขือเทศแกะเม็ดหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก 300 กรัม, กระเทียมสับ 3 ช้อนโต๊ะ, ซอสมะเขือเทศ, นํ้าตาลทราย, แครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ และข้าวโพดต้มแกะเอาแต่เม็ด (เพื่อเพิ่มสีสันและคุณค่าทางโภชนาการ จะใส่หรือไม่ก็ได้), เกลือป่น, นํ้ามันมะกอก, นํ้ามันพืช, นํ้าเปล่าหรือนํ้าซุป, ผักสำหรับตกแต่งจาน ส่วนการทำฟิชบอล วัตถุดิบที่ใช้ก็มี เนื้อปลากรายขูด 150 กรัม (ทำได้ราว 20 ลูก), นํ้าพริกแกงคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ, ใบผักชีหั่นหยาบ, เกลือ และนํ้าสะอาด

ขั้น ตอนการทำ “มักกะโรนี ฟิชบอล” เริ่มที่ทำฟิชบอล นำเนื้อปลากรายขูดแช่ตู้เย็นประมาณ 15 นาที ระหว่างรอนำนํ้าผสมเกลือให้ละลาย (ไว้เป็นนํ้าชุบมือกันไม่ให้เนื้อปลาติดมือ) เมื่อได้เวลานำเนื้อปลาออกจากตู้เย็นมาบี้ผสมกับพริกแกงคั่วและผักชีในอ่าง ผสม ใช้มือนวดส่วนผสมไปเรื่อย ๆ จนเนียนและเหนียว นำส่วนผสมเนื้อปลาที่ได้มาปั้นเป็นรูปวงรี นำไปต้มในนํ้าเดือด พอเนื้อปลาลอยแสดงว่าสุก ใช้ทัพพีมีรูช้อนขึ้นให้สะเด็ดนํ้า พักไว้ เตรียมใช้ผัดกับซอสมักกะโรนี

นำนํ้าใส่หม้อในปริมาณ มากกว่ามักกะโรนี 4 เท่า เปิดไฟแรงต้มให้นํ้าเดือดจัด ใส่เส้นมักกะโรนีลงต้ม ใส่นํ้ามันพืช 1 ช้อนโต๊ะ เกลือเล็กน้อย ลดไฟให้เหลือไฟกลาง คนด้วยทัพพีเป็นระยะป้องกันการติดก้นหม้อ และให้ความร้อนทั่วถึง ต้มจนเส้นนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที) ตักขึ้นมาล้างในนํ้าเย็น เอาขึ้นพักสะเด็ดนํ้า แล้วคลุกกับนํ้ามันพืชเล็กน้อย พักไว้

ต่อไปเป็นขั้น ตอนการผัด ใส่นํ้ามันมะกอกในกระทะ พอนํ้ามันร้อนใส่กระเทียมสับลงผัดให้หอม ใส่เนื้อไก่สับผัดไปมาสัก 4-5 ที ใส่แครอทหั่นที่เตรียมไว้ลงไปผัด ตามด้วยเนื้อมะเขือเทศหั่น ข้าวโพดต้ม และหอมหัวใหญ่สับ ใช้ไฟปานกลางผัดไปมาสักครู่ จากนั้นปรุงรสชาติด้วยเกลือป่น และนํ้าตาลทราย ใส่ซอสมะเขือเทศ และนํ้า เคี่ยวส่วนผสมซอสด้วยไฟอ่อนประมาณ 5 นาที ชิมรสชาติ เมื่อได้รสชาติที่ถูกใจแล้วก็ใส่เส้นมักกะโรนีลงไปผัด และใส่ฟิชบอลที่เตรียมเอาไว้ลงไปผัดคลุกเคล้าให้ทั่วและเข้ากันดี เสร็จแล้วตักใส่ภาชนะ จัดแต่งให้สวยงาม เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

เมนูอาหารจาน เดียว “มักกะโรนี ฟิชบอล” นี้ มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก มีวัตถุดิบอะไรก็พลิกแพลงจับใส่ได้ตามชอบ สามารถนำไปต่อยอด พลิกแพลง ปรับสูตรทำขายสร้าง “ช่องทางทำกิน” ได้สบาย ๆ ซึ่งหากใครสนใจและยังมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมจาก ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ อาจารย์ประจำวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ได้ที่ โทร.08-1432-0147 ซึ่งทางอาจารย์ก็ยังมีสูตรอาหารเพื่อสุขภาพอีกหลายชนิด.
เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/209748/_มักกะโรนี+ฟิชบอล_+แปลงสูตรเป็นไทยขายดี

Read More...


'ขนมเสน่ห์จันทน์' ทำง่าย..ทำได้..ก็ทำเงิน

ถ้าพูดถึงขนมไทยโบราณ ขนมมงคลอย่าง 'เสน่ห์จันทน์' นี่ก็เด่นดังชื่อเสียงเรียงนาม นอกเหนือไปจากความอร่อย ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องการเสริมชะตาให้ชีวิตรุ่งเรืองอีกต่างหาก


 ถ้าพูดถึงขนมไทยโบราณ ขนมมงคลอย่าง "เสน่ห์จันทน์" นี่ก็เด่นดังชื่อเสียงเรียงนาม นอกเหนือไปจากความอร่อย ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องการเสริมชะตาให้ชีวิตรุ่งเรืองอีกต่างหาก “เสน่ห์จันทน์" นี้เพียงแค่ชื่อก็เสนาะหู ชวนให้นึกคิดไปถึงความหลงใหลดั่งต้องมนต์เสน่ห์ นอกเหนือไปจากการนึกถึงผลลูกจันทน์สีเหลืองอร่ามน่าชิมน่ามอง ซึ่งปัจจุบันขนมไทยโบราณยังคงได้รับความนิยม ยังคงมีการใช้ประกอบในงานพิธีมงคลต่าง ๆ อาทิ งานบุญ งานสมรส และกับ “เสน่ห์จันทน์” ขนมมงคลขึ้นชื่อชนิดนี้ในปัจจุบันก็ยังสามารถใช้เป็น “ช่องทางทำกิน” สร้างรายได้ให้กับผู้ที่มีฝีมือในการทำ...
**************************
คุณนวลฉวี สังขะเวส เจ้าของบ้านขนมไทย เล่าว่า เดิมทีได้สืบสานขนมไทยมาจาก ม.ร.ว.เปรมปรีดิ์มาน เกษมศรี ด้วยความที่ชอบขนมไทยเป็นทุนเดิม จึงคิดสานต่อและต่อยอดมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี โดยพัฒนาสูตรเรื่อยมาเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย จนเกิดเป็นกิจการ "บ้านขนมไทยรวมโชค" คำว่ารวมโชคมาจากชื่อที่ตั้งคือซอยรวมโชค และถนนโชคชัย 4 มีทั้งชัย มีทั้งโชค ซึ่งนับว่าโชคดีไม่น้อยในการทำกิจการครอบครัว ผลตอบรับที่ได้มีทั้งลูกค้าขาจรและลูกค้าประจำมิได้ขาด
ลูกค้ามักติดใจในรสชาติของขนมไทย ๆ เสน่ห์ของขนมไทย ๆ อาหารไทย ๆ ยังไม่หมดไป วัฒนธรรมเกี่ยวกับขนมไทยและอาหารไทยยังคงอยู่คู่กับคนไทย เส้นทางนี้จึงยังไม่มีคำว่าตัน อยู่ที่ว่าจะขยันและอดทนมากน้อยแค่ไหน กิจการที่ทำอยู่นั้น แม้จะไม่มีหน้าร้าน เพียงสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.bannkanomthairuamchoke.com ซึ่งจะรับสั่งทำขนม รับจัดบุฟเฟ่ต์ และสอนทำขนม อาหาร และของว่าง ตามแต่จริตของผู้ที่สนใจ กิจการก็ดำเนินไปได้ด้วยดี
ทางเจ้าของกิจการขนมไทยรายนี้บอกอีกว่า เมนูขนมที่ทำอยู่มีให้เลือกสรรมากมายหลากหลายชนิด ทั้งขนมไทยโบราณสูตรชาววังดั้งเดิม ขนมไทยประยุกต์ รวมถึงมีอาหารว่าง อาหารไทยทั้งคาวหวาน ที่คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีในการผลิต พิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้รสชาติที่เลิศรสตามแบบฉบับ อีกทั้งจุดเด่นของบ้านขนมไทยฯคือเน้นหลักใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค ไม่ใส่สารกันบูด ผลิตและจำหน่ายวันต่อวัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประทานกันแบบสดใหม่อยู่เสมอ
คุณนวลฉวี กล่าวว่า การทำขนมไทยนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่ใครอาจจะคิด แค่ใส่ใจจริง ๆ ความอร่อยก็จะตามมาเอง ใจต้องรัก ใจต้องชอบ หากทำได้ ทำจริง ก็ทำเงินได้ ซึ่งสำหรับขนม “เสน่ห์จันทน์” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ได้รับการบอกเล่าสูตรวิธีทำมานำเสนอในวันนี้ คุณนวลฉวี บอกว่า ในการทำนั้น อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ต้องใช้มี กระทะทอง, ไม้พาย, ไม้แหลม, ถ้วยตวง และภาชนะเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ที่ใช้ทำขนม
ส่วนผสมตามสูตร มีแป้งข้าวเจ้า แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง, แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วยตวง, น้ำกะทิ 1 ถ้วย, น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย, ไข่ไก่ 6 ฟอง, ผงจันทน์ป่น 1/4 ช้อนชา, สีผสมอาหาร, เทียนอบ วัตถุดิบต่าง ๆ เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งขายวัตถุดิบในการทำขนมทั่วไป
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากผสมแป้งเข้าด้วยกันในภาชนะ ตามด้วยน้ำตาลทราย และผงจันทน์ ใช้ไม้พายเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะเริ่มได้กลิ่นของผงจันทน์ป่นแตะจมูก ส่งกลิ่นหอมรัญจวน เมื่อเคล้าได้ที่ ก็ทำการแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วใส่ไข่แดงลงนวดกับแป้ง ค่อย ๆ เติมกะทิลงไปทีละน้อยจนหมด คนให้น้ำตาลละลาย จากนั้นจึงใส่สีผสมอาหารสีเหลืองลงผสมด้วยเล็กน้อย แล้วจึงนำส่วนผสมไปตั้งไฟแรงปานกลาง กวนพอให้แป้งข้น จากนั้นหรี่ไฟอ่อน ๆ กวนต่อไปจนแป้งร่อนหลุดจากกระทะ หลังจากนั้นก็นำแป้งไปนวดอีกครั้งให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำแป้งที่ได้ปั้นเป็นรูปผลจันทน์
วิธีปั้น แบ่งแป้งขนมเป็นก้อน ๆ ขนาดประมาณเท่าลูกชิ้น แล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ คลึงจนกว่าเนื้อแป้งจะเนียนเสมอกัน จากนั้นวางลงเรียงบนภาชนะ เตรียมไว้
แบ่งแป้งออกมาอีกส่วนหนึ่ง นำมาผสมกับสีผสมอาหารสีน้ำตาล เพื่อใช้แป้งผสมนี้ทำเป็นส่วนขั้วของลูกขนมเสน่ห์จันทน์ ปั้นขนมส่วนที่เป็นสีน้ำตาลให้ได้ก้อนเล็ก ๆ กดให้แบน แล้วนำไปติดเป็นส่วนขั้วของแป้งผลจันทน์ที่ทำไว้ โดยใช้ไม้แหลมจิ้มลงไปตรงกลางให้เกิดรูบุ๋มเล็กน้อย
ขั้นต่อไปก็นำแป้งขนมไปอบควันเทียน 1-2 ชั่วโมง จนกว่าควันจะหมด เพื่อเพิ่มความหอมของกลิ่นผงจันทน์และจากกลิ่นเทียนอบ ซึ่งปลายลิ้นที่ได้สัมผัสกับเนื้อแป้งที่นุ่มละมุนนั้นช่างเย้ายวนให้เกิดรส ที่เลิศล้ำ
นี่ก็เป็นขั้นตอนหลัก ๆ ในการทำขนม “เสน่ห์จันทน์” ที่ทางคุณนวลฉวีบอกเล่าและสาธิต ซึ่งจากส่วนผสมที่กล่าวมาข้างต้น สามารถทำขนมเสน่ห์จันทน์ได้ประมาณ 50 ชิ้น ขายในราคาชิ้นละ 6 บาท หรือขายเป็นชุด ๆ ละ 220 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นช่องทางทำเงินจากขนมไทยอีกประเภทหนึ่งที่ได้ราคาดี สามารถทำเงินได้จากลูกค้าที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีแนวคิดว่า เป็นคนไทย เมืองไทยมีขนมไทย มีอาหารไทย ก็ต้องกินของไทย ได้เป็นอย่างดี
******************
ใครสนใจ “เสน่ห์จันทน์” ขนมของ "บ้านขนมไทยรวมโชค" โดยคุณนวลฉวี สังขะเวส กิจการนี้ตั้งอยู่ที่เลขที่ 9 โชคชัย 4 ซอย 66 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร.0-2514-2168, 08-9895-9071 โดยมีเว็บไซต์ดังที่ระบุไว้แต่ตอนต้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับลูกค้า ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ที่ขายฝีมือในการทำขนมไทยโบราณ โดยเจ้าของกรณีศึกษารายนี้บอกไว้ด้วยว่า “มีความสุขกับงานที่ทำ ผลของงานก็มีคุณภาพ”.
ปิยาภรณ์ บุญประเสริฐ :รายงาน
คู่มือลงทุน...ขนมเสน่ห์จันทน์
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้ ราคา 6 บาท/ชิ้น, 220 บาท/ชุด
แรงงาน ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
ตลาด ขายตามย่านชุมชน, รับสั่งทำ
จุดน่าสนใจ เรื่องความเป็นมงคลเพิ่มจุดขาย

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/210870/_ขนมเสน่ห์จันทน์_+ทำง่าย..ทำได้..ก็ทำเงิน

Read More...


เมนู ‘ข้าวแห้ง’ ‘สูตรโบราณ ’น่าสนใจ

เมนู “ข้าวแห้ง” หลายคนรู้จัก หลายคนอาจไม่รู้จัก ลักษณะคือข้าวสวยใส่ไก่หรือเป็ดสับต้มเค็มจาง ๆ ถ้าเอาน้ำซุปใส่ก็กลายเป็นข้าวต้มเป็ด ข้าวต้มไก่


 เมนู “ข้าวแห้ง” หลายคนรู้จัก หลายคนอาจไม่รู้จัก ลักษณะคือข้าวสวยใส่ไก่หรือเป็ดสับต้มเค็มจาง ๆ ถ้าเอาน้ำซุปใส่ก็กลายเป็นข้าวต้มเป็ด ข้าวต้มไก่ ซึ่งเป็นอาหารจีนแต้จิ๋วที่ทำกินกันเองในครอบครัว แต่ก็มีการทำขาย เช่นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี, ที่ตลาดน้ำยามเย็น อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม หรือที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำการขาย “ข้าวแห้งสูตรโบราณ” มานำเสนอให้พิจารณากัน...
*********************
รส นันต์ วีระหงษ์ เจ้าของร้านคุณอ้อ–ร้านข้าวแห้งหมู-ไก่-เป็ด สูตรโบราณ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก เล่าว่า ขายข้าวแห้งหมู-ไก่-เป็ด สูตรโบราณ มา 5 ปีแล้ว โดยสูตรที่ขายนั้นเป็นของพ่อแม่ ของครอบครัว ที่ทำขายกันมาแต่โบราณ ส่วนเธอมารับช่วงต่อ ซึ่งจะมีทั้งในลักษณะการออกร้านตามงานต่าง ๆ และมีร้านขายถาวรที่ตลาดนัดสนามหลวง 2 (ทวีวัฒนา) ด้วย โดยการออกงานจะทำให้มีลูกค้าใหม่ ๆ ได้รู้จักข้าวแห้งของ จ.ราชบุรี มากขึ้น
อุปกรณ์ ที่ใช้ทำเมนูนี้ หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส-กระทะ, หม้อสแตนเลส, เขียง- มีด, ถาดใส่อาหาร และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ดทั่ว ๆ ไป ที่สามารถหาได้จากในครัวเรือน
สูตรเด็ดข้าวแห้งโบราณของร้านนี้ รสนันต์บอกว่า คือการปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำเค็ม (สูตร1) ตราเสือ ซึ่งเป็นซีอิ๊วท้องถิ่น และไม่ใช้น้ำปลา ไม่ใช้ผงชูรส
ส่วนผสมของ ข้าวแห้ง ทั้งเป็ด ไก่ หมู ตามสูตรก็มี เนื้อเป็ด 10 กก., เลือดเป็ด 20 ก้อน หั่นเป็นชิ้น ๆ และเนื้อไก่ 10 กก., เลือดไก่ 20 ก้อน หั่นเป็นชิ้น ๆ และเนื้อหมู 10 กก. หั่นเป็นชิ้น ๆ เตรียมไว้
วิธีทำ นำเนื้อเป็ดไปรวนในกระทะให้สุก โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน ซึ่งรสนันต์ให้เหตุผลว่า เหตุที่ไม่ใช้น้ำมันเพราะน้ำมันจะทำให้เลี่ยน ไม่อร่อย และในระหว่างที่รวนเนื้อเป็ดในกระทะนั้น น้ำมันจากหนังเป็ด เนื้อเป็ด ก็จะออกมาเอง ซึ่งถ้าใช้น้ำมันจะเลี่ยนมาก เมื่อเนื้อเป็ดสุกแล้วให้ตักเนื้อเป็ดทั้งหมดใส่ลงในหม้อสแตนเลส พร้อมเลือดเป็ดที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอประมาณ ใส่น้ำเปล่าลงไปประมาณ 1-1.5 ถ้วย จากนั้นใส่ซีอิ๊วลงไปประมาณ 1 ถ้วย น้ำตาลทราย และซอสปรุงรส อย่างละพอประมาณ ชิมรสชาติดูให้ออกเค็ม ๆ เล็กน้อย ต้มให้เดือด เมื่อน้ำเดือดแล้วให้หรี่ไฟลง จากนั้นปิดฝา ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชม. คือรอจนกระทั่งน้ำปรุงรสงวดจนเกือบแห้ง ก็เป็นอันใช้ได้
สำหรับไก่หรือข้าวแห้งไก่ ก็ทำเช่นเดียวกับข้าวแห้งเป็ด แต่แตกต่างกันตรงที่ใช้เวลาต้มเนื้อไก่กับซอสปรุงรสเพียงประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ส่วน ข้าวแห้งหมู ใช้เนื้อหมูหั่น 10 กก. ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และพริกไทย โดยรสนันต์บอกว่า จะหมักหมูกับซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และพริกไทย ก่อน โดยหมักทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำไปรวนในกระทะจนสุก ตักใส่ถาดที่เตรียมไว้
ในส่วนของข้าวซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ รสนันต์บอกว่า ใช้ข้าวหอมมะลิ 70% หุงข้าวให้สุก เตรียมไว้ ดั้งเดิมจะใช้วิธีหุงแบบใช้รังถึง ข้าวต้องร้อนตลอดเวลา ในสมัยปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนมาใช้หม้อไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ข้าวสวยที่ใช้เป็นข้าวแห้งก็ต้องอุ่นให้ร้อนตลอดเวลา ที่สำคัญต้องเลือกข้าวสารอย่างดี เพื่อที่หุงออกมาแล้วข้าวจะเรียงเม็ดสวย
วิธี ขาย ถ้าเป็น ข้าวแห้งเป็ด ตักข้าวสวยใส่จาน ตักเนื้อเป็ด เลือดเป็ด ที่เคี่ยวสุก ได้รสชาติตามที่ต้องการ ใส่ลงไปบนข้าวพอประมาณ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และใส่เครื่องเคียงต่าง ๆ มีกุ้งแชบ๊วยชุบแป้งทอด แผ่นเต้าหู้ทอด ตกแต่งหน้าข้าวแห้งด้วยแตงกวาหั่น และผักชีซอย
ข้าว แห้งไก่ ก็จะขายเหมือนข้าวแห้งเป็ด ส่วน ข้าวแห้งหมู ให้ตักข้าวสวยใส่จาน ตักเนื้อหมูที่รวนไว้แล้วใส่ลงไปพอประมาณ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และตกแต่งหน้าข้าวแห้งด้วยแตงกวาหั่น และผักชีซอย
ทั้งนี้ สำหรับเครื่องปรุง ก็ต้องมีให้ลูกค้าเลือกปรุงรส มีพริกน้ำปลา, ซีอิ๊วขาว, พริกไทย, พริกป่น และพริกน้ำส้ม ส่วนราคาขาย จะขายในราคาจานละ 35-45 บาท ตามแต่ต้นทุนสถานที่
**********************
สนใจ “ข้าวแห้งสูตรโบราณ” ต้องการติดต่อ รสนันต์ วีระหงษ์ เจ้าของร้านคุณอ้อ–ร้านข้าวแห้งหมู-ไก่-เป็ด สูตรโบราณ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1488-5957 และ 08-4650-1567 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” จากเมนูอาหารสูตรโบราณ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :เรื่อง / ภาณุพงศ์ พนาวัน :ภาพ
คู่มือลงทุน...ข้าวแห้งสูตรโบราณ
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
รายได้ ราคาขาย 35-45 บาท / จาน
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านชุมชน, งานออกร้านทั่วไป
จุดน่าสนใจ ยุคนี้เมนูโบราณเป็นจุดขายที่ดี

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/211122/เมนู+‘ข้าวแห้ง’++‘สูตรโบราณ+’น่าสนใจ

Read More...


มอบของขวัญ ‘ขนมไทย’ เลือกซื้อถูกหลัก ช่วยเสริมเศรษฐกิจ

 

ปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ คนไทยมักมอบของขวัญเป็นขนมให้กันอยู่เสมอ แต่น่าเสียดายที่ขนมส่วนใหญ่นั้นนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งที่ความจริงแล้ว ขนมไทยถือเป็นสื่อแทนใจที่ใกล้ตัว และมีความหมายมาตั้งแต่โบราณ 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ให้ความเห็นถึงคุณค่าของขวัญที่เป็นขนมไทยว่า ขนมไทยตอบโจทย์คนไทยและช่วยในการอนุรักษ์ ทำให้คนไทยมีรายได้หมุนเวียน ปัจจุบันคนทำขนมไทยหายากเพราะไม่มีคนต่อ
ยอด ที่ผ่านมาเมื่อมีเทศกาล คนไทยจะนำขนมต่างชาติเข้ามาให้กันแทนขนมไทย เกิดจากค่านิยมทำให้ขนมต่างประเทศมีบทบาทมากขึ้น ด้วยคนไทยมองว่าของต่างประเทศดูดีมีราคา แล้วยังมีความรู้สึกว่าทำให้ตัวเองมีความทันสมัย
“คนที่ได้รับจะดีใจที่ได้ของต่างประเทศทำให้ตัวเองดูดี แต่หารู้ไม่ว่าทำให้เราเสียเปรียบทางการเงิน แต่ถ้าเราใช้ของไทยจะทำให้เงินตราไหลเวียนอยู่ในประเทศมากขึ้น”
ถ้ามองตั้งแต่อดีตขนมต่างประเทศเข้ามาเมื่อสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขนมที่นำเข้ามาส่วนใหญ่ทำด้วยแป้งสาลีและน้ำตาลทราย อิทธิพลเหล่านี้ได้มาจากการค้าขายกับต่างประเทศ คนไทยสมัยนั้นได้เรียนรู้การทำขนม ทั้งด้านวัตถุดิบการทำขนม และมีการพัฒนามาถึงปัจจุบัน
จริง ๆ แล้วขนมที่มอบเป็นของขวัญคนไทยมีมาช้านานตั้งแต่สมัยสุโขทัย เวลาเราไปไหนจะเอาของไปฝากกัน โดยเฉพาะของไทย ๆ ที่เราปลูกหรือผลิตเองในบ้านมาแลกเปลี่ยน เช่น กับข้าว ขนม ของที่ระลึก ซึ่งในเทศกาลปีใหม่ก็มีการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
การให้ของเด็กควรให้ผู้ใหญ่ เพราะคนไทยสมัยก่อนสอนเด็กให้รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน การมอบของที่ให้แล้วรู้สึกสบายใจ ผู้ใหญ่จะรู้สึกได้รับการแบ่งปัน หลังจากนั้นผู้ใหญ่จะให้พรแก่เด็กกลับมา การที่เราได้รับพรในวันปีใหม่ทำให้รู้สึกว่าสดชื่น และได้อะไรใหม่ ๆ มาในชีวิต
ขนมไทยที่คนสมัยก่อนนิยมให้กันในวาระยินดีต่าง ๆ เช่น การเลื่อนยศ โดยขนมที่มอบให้ต้องมีความหมาย อย่าง ขนมชั้นความหมายคือ การเลื่อนขั้น สมัยก่อนนิยมทำกัน 9 ชั้น เพราะการเป็นคหบดีเป็นชั้นระดับ 9 สูงสุดและเป็นมงคลในการก้าวหน้า อีกขนมคือ จ่ามงกุฎ มีความหมายว่าหนึ่งเดียวที่มีความหมายสูงสุด
ขนมทองเอก ความหมายคือทองเป็นสิ่งที่มีค่าและยิ่งเป็นเอกหมายถึงหนึ่งเดียวที่มีค่ามาก หรือขนมทองม้วน หมายถึง ทองต่าง ๆ ที่ม้วนเก็บไว้ในบ้านเรา เช่นเดียวกับขนมทองพับที่หมายความว่ามีทองพับไว้ในบ้านเรา
ขนมที่ชื่อทองต่าง ๆ โดยเฉพาะทองหยิบคือ หยิบเงินหยิบทอง ขนมทองหยอดคือ หยอดเงินหยอดทอง ขนมฝอยทองคือ เส้นไหมแพรพรรณ ที่สมัยก่อนมีเส้นทางค้าขายเส้นไหมต่าง ๆ ขนมที่ชื่อทองต่าง ๆ ถือว่าเป็นสิ่งมงคลหมายถึงทองที่คนได้รับแล้วมีความเจริญมั่งคั่ง
ขนมถ้วยฟู หมายถึงมีชื่อเสียงไปไกลและเฟื่องฟู ส่วนใหญ่ขนมที่คนไทยนิยมให้กันเน้นชื่อเป็นมงคลเป็นหลักใหญ่ ขณะที่ขนมแห้ง ๆ อย่างทองพลุหมายถึง ชื่อเสียงโด่งดังเป็นพลุแตก
สมัยก่อนขนมที่ให้ไปไม่คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการ แต่คำนึงถึงชื่อเป็นหลัก แต่ปัจจุบันคนรักษาเรื่องสุขภาพมากขึ้น เพราะสมัยก่อนขนมส่วนใหญ่
ทำจากวัตถุดิบอย่างไข่ โดยเฉพาะบางชนิดทำจากไข่แดงล้วน ๆ ทำให้มีคอเลสเตอรอลสูงหรือบางอย่างมีแป้งสูงเกินไป
ดังนั้นการให้ขนมไทยปัจจุบันควรเลือกดังนี้ 1.ไม่หวานมาก ไม่มันมาก 2.วัตถุดิบที่นำมาใช้ต้องไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่การทานขนมไทยต้องอยู่ในปริมาณเหมาะสม โดยเฉพาะคนรับและคนให้ต้องรู้ว่าคนที่รับมีโรคประจำตัวอะไร และอะไรที่ไม่เหมาะสมในการทานมากเกินไป ไม่ใช่เขาให้มาก็อยากกินไปหมด
คนที่ให้ขนมไทยต้องมีความรู้คือ 1.ไม่ควรให้ขนมสดทั้งหมด แต่ควรมีขนมแห้ง ๆ ที่เก็บไว้กินได้หลายวันด้วย เช่น ทองม้วน ขนมผิง อาลัว ฝอยทองกรอบ โดยการมอบขนมไทยให้หนึ่งตะกร้าควรมีความหลากหลาย มีทั้งของที่เก็บไว้ได้หลายวัน และของที่เก็บได้แค่วันเดียว
ถ้าหากผู้รับมีโรคประจำตัว ขนมทองหยิบ ทองหยอด อาจจัดให้น้อยลง แต่ไปให้ขนมแห้ง ๆ เช่น ทองม้วน หรือขนมที่ไม่หวานมาก หรือขนมประเภทกวนที่อยู่ได้หลาย ๆ วัน เช่น สับปะรดกวน
ขนมไทยส่วนใหญ่ให้ด้านสุขภาพกับคนทาน แต่ต้องอยู่ในปริมาณเพียงพอ คนที่รับต้องรู้ตัวเองด้วยว่าอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยงเช่น เป็นเบาหวานขนมที่มีน้ำตาลมากต้องลด คนที่เป็นไขมันหรือคอเลสเตอรอลสูง ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองควรเลี่ยง
“ตัวอย่างเช่น หนึ่งตะกร้ามีทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และมีตะโก้ ขนมชั้น ขนมผิง ทองม้วน ข้าวตู มะม่วงกวน ขนมเปี๊ยะ ครองแครงกรอบ เพื่อให้ผู้รับเก็บไว้กินได้หลายวัน”
ขนมต่างประเทศเองให้โทษเหมือนกัน เช่น คุกกี้ ขนมเค้ก มีเนยที่เป็นไขมันสูง และยังมีแป้งกับไข่ แถมยังมีน้ำตาลอีกด้วย แต่คนให้ความนิยมกับขนมต่างประเทศมากกว่าขนมไทย ทั้งที่โทษมีเหมือนกัน บางอย่างมีโทษมากกว่าขนมไทยเสียอีก
ผู้ที่ได้รับแล้วต้องรู้ว่าต้องกินขนมอะไรที่จะเสียก่อน โดยค่อย ๆ กินเพื่อไม่ให้มีปัญหาต่อสุขภาพ ด้านความอร่อย คนซื้อนอกจากดูด้านชื่อเสียงแล้ว ความสะอาดเป็นเรื่องสำคัญ เราสามารถดูได้จากสภาพร้านโดยทั่วไป ตลอดจนดูคนทำ และถ้ามีโอกาสลองมองไปหลังร้านว่ามีความสะอาดเหมาะสมหรือไม่
การจัดตะกร้าขนมไทย ถ้าขนมสด ๆ อันไหนไม่มีแพ็กเกจที่สวยอาจนำมาจัดลงตะกร้าด้วยการรองโดยใบตอง
เพื่อเพิ่มความเป็นไทย แล้วยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม หรือนำภาชนะที่คนรับสามารถเอาไปใช้ต่อได้ เช่น ขวดโหล ที่ผู้ใช้พอกินขนมหมดแล้วนำไปใช้ใส่ของต่อได้
ปัญหาเรื่องแพ็กเกจขนมไทย ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ หากพัฒนาให้ดีจะทำให้ขนมไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น ดูอย่างขนมของคนญี่ปุ่นที่เน้นบรรจุภัณฑ์สวยงาม ทั้งที่ขนมไม่มีอะไรมาก ขนมบางอย่างของไทยมีการจัดรูปทรงสวยอยู่แล้ว ถ้าได้บรรจุภัณฑ์ที่สวยเพิ่มเข้าไปอีกจะทำให้คนได้รับมีความรู้สึกดีมาก ขึ้น
ขนมไทยถือเป็นของขวัญที่น่าสนใจในการให้กับผู้ใหญ่ แต่ต้องควบคู่กับการดูแลสุขภาพพร้อมกันไปด้วย.
ทีมวาไรตี้

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/205232/ มอบของขวัญ+‘ขนมไทย’+เลือกซื้อถูกหลัก+ช่วยเสริมเศรษฐกิจ


Read More...


ของฝาก วิธีผูกผ้าพันคอ หน้าหนาว


วิธีผูกผ้าพันคอ แบบที่ 1 Loop-n-Through


วิธีผูกผ้าพันคอ แบบที่ 2 Loop-n-Through with knot


วิธีผูกผ้าพันคอ แบบที่ 3 Back Drape


วิธีผูกผ้าพันคอ แบบที่ 4 Double wrap


วิธีผูกผ้าพันคอ แบบที่ 5 Fashion knot


วิธีผูกผ้าพันคอ แบบที่ 6 Knot twist and drape (กำลังหัดผูกแบบนี้ไปม.อยู่เลย)


เห็นไหม  ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ  หนาวๆนี้อย่าลืมหาไอเทมเริ่ดมาสร้างความอบอุ่นและความสวยงามให้กับร่างกายกัน

Read More...


เปิดสูตร ‘บราวนี่’ ฝึกอาชีพฟรี ‘ชี้ทางรวย’


 


สืบเนื่องจากการจัด “ฝึกอาชีพให้ประชาชนฟรี” เป็นรุ่นที่ 7 ของ โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ซึ่งรุ่นนี้ทางเดลินิวส์ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) / เซเว่น-อีเลฟเว่น และ บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด จัดฝึกภายใต้หัวข้อ “คืนกำไรสู่สังคม ฝึกอบรมเบเกอรี่ ชี้ทางรวย” สอนทำบราวนี่ และคุกกี้คอนเฟล็กซ์ ทั้งนี้ เพื่อให้กิจกรรมนี้เป็นประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น วันนี้ทางทีม ’ช่องทางทำกิน“ ก็นำสูตรและวิธีทำ ’บราวนี่“ มานำเสนอ ณ ที่นี้...

“พรพรรณ เจริญมิตร” วิทยากรผู้ฝึกสอน ซึ่งมีประสบการณ์การทำบราวนี่มานานกว่า 7 ปี และทำขายจนส่งตัวเองเรียนจบปริญญาตรี บอกว่า “บราว นี่” ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Sheet Cookies หรือคุกกี้แผ่น มีลักษณะคล้ายเค้กที่ไม่ขึ้นฟูมาก นิยมอบในถาดแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า และตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม วิธีทำเป็นแบบง่าย ๆ โดยคนส่วนผสมของเหลวและของแห้งให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน บางสูตรจะเคลือบหน้าด้วยช็อกโกแลต และโรยด้วยอัลมอนด์สไลด์ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งทำให้อร่อยและดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์อาหาร สันนิษฐานว่า ขนมชนิดนี้เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรก ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวกันว่า บราวนี่เกิดจากความบังเอิญในการทำเค้กช็อกโกแลต โดยลืมใส่ผงฟู เมื่ออบออกมาแล้วเค้กจึงไม่ขึ้นฟู แต่ก็กลับได้ขนมสีน้ำตาลเข้มเนื้อแน่น อันเป็นที่มาของชื่อ “Brownie”
“บราวนี่ทำง่าย ขายไม่ยาก ใช้เวลาทำเพียง 30 นาที ถือว่าคุ้มค่าต่อเวลาที่เราจะทำขาย” พรพรรณกล่าว และว่า “สูตรบราวนี่ที่สอนนี้เป็นสูตรที่ประยุกต์ดัดแปลงโดยใส่ผงฟูด้วย เพื่อให้บราวนี่ที่ทำออกมามีความนุ่มและอร่อยมากขึ้น”

สำหรับอุปกรณ์การทำบราวนี่ หลัก ๆ ก็มี...อ่างผสม ใช้ขนาด 1 และ 2 ลิตร, ที่ร่อนแป้ง, พายยาง, มีดฟันเลื่อย, ถ้วยตวงของแห้ง, ช้อนตวง, ตาชั่งอย่างละเอียด, แปรง, กระดาษไข, ถ้วยตวง, ถาดอบ, นาฬิกาจับเวลา, เครื่องตีไข่ (ใช้แบบอัตโนมัติหรือแบบมือตีก็ได้), เตาอบไฟฟ้าหรือเตาอบแก๊ส ซึ่งราคาเตามีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น แต่ถ้าใครมีเตาอบอยู่แล้ว ก็จะลงทุนอุปกรณ์อื่น ๆ ในวงเงินประมาณ 2,500 บาทเท่านั้น

วัตถุดิบที่ใช้ทำบราวนี่ ตามสูตรนี้มีดังนี้คือ... แป้งเค้ก 100 กรัม, ผงโกโก้ 20 กรัม (ควรใช้ผงโกโก้สีเข้มเพราะขนมที่ทำออกมาจะสีสวย), ดาร์ค ช็อกโกแลต (Dark Choco) 200 กรัม, เนย 150 กรัม, น้ำตาลทราย 180 กรัม, ผงฟู 1 ช้อนชา, ไข่ไก่ (เบอร์ 2 ซึ่งเป็นไซซ์มาตรฐานในการทำเบเกอรี่) 3 ฟอง, ช็อกชิพ 50 กรัม, เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม

ขั้นตอนการทำ แยกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนผสม “ของเหลว” และ “ของแห้ง” โดยเริ่มจากการทำส่วนผสมที่เป็นของเหลว โดยละลายเนยและดาร์คช็อกโกแลตก่อน นำวัตถุดิบทั้ง 2 ตัวนี้ใส่เข้าเตาอบทิ้งไว้ประมาณ 7 นาที จากนั้นก็มาทำขั้นตอนต่อไปโดยนำน้ำตาลทรายใส่ลงในอ่างผสม แล้วก็ตอกไข่ใส่ตามลงไปผสมกับน้ำตาลทราย ใช้เครื่องตีแป้งแบบมือทำการตีให้น้ำตาลทรายกับไข่ผสมเข้ากัน การตีนั้นให้ตั้งเครื่องตี 90 องศา กดให้ติดถึงก้นอ่าง เริ่มใช้ความเร็วที่ระดับ 1 ในการเริ่มตี เพื่อไม่ให้วัตถุดิบนั้นกระเด็น ตีไปเรื่อย ๆ และคอยคนหมุนไปในทางเดียวกันตลอด ไม่ต้องเร่งตีเพราะถ้าเร่งเนื้อเค้กจะเกิดฟองอากาศ ทำออกมาเนื้อเค้กจะยุบ ตีจนน้ำตาลทรายและไข่เข้ากันเป็นเนื้อเดียวจนขึ้นฟูเป็นสีขาวก็ใช้ได้

จากนั้น นำเนยและดาร์คช็อกโกแลตที่ละลายเตรียมไว้ผสมรวมกับน้ำตาลทรายและไข่ไก่ที่ตี ผสมไว้แล้ว (เนยและดาร์คช็อกโกแลตที่ละลายเตรียมไว้ควรทิ้งไว้ให้เย็นก่อนที่จะนำมาผสม ไม่เช่นนั้นไข่จะสุก) เมื่อนำวัตถุดิบทั้ง 2 ส่วนผสมกันแล้ว ก็ทำการคนให้เข้ากัน ก็จะได้เป็นส่วนผสมที่เป็นส่วนของ “ของเหลว” พักไว้

ต่อไปก็มาเตรียมส่วนผสมที่จะทำเป็นส่วน “ของแห้ง” โดยนำแป้งเค้ก ผงโกโก้ ผงฟู ผสมรวมกันแล้วทำ การร่อนด้วยเครื่องร่อนแป้ง (เพื่อนำส่วนที่แข็งออก เวลาทำเค้กเนื้อเค้กจะนุ่ม) แล้วก็นำช็อกชิพและเม็ดมะม่วงหิม พานต์มาทำการบดพอหยาบผสมรวมกัน แล้วใส่ผสมในแป้งเค้กที่ร่อนไว้แล้ว ทำการคลุกเคล้าให้เข้ากัน ก็จะได้เป็นส่วนของแห้ง

ถัดมาก็นำส่วนผสมที่เป็นของเหลวและของแห้งมาเทผสมรวมกัน แล้วทำการคนคลุกเคล้าให้วัตถุดิบทั้ง 2 ส่วนผสมเข้ากันเป็นอย่างดี โดยใช้เวลาคนประมาณ 30 วินาที เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วก็นำไปเทลงในถาดอบ ขนาด 10x10 นิ้ว ที่รองด้วยกระดาษไข ใช้ไม้พายเกลี่ยให้หน้าเสมอกัน นำเข้าเตาอบ ใช้อุณหภูมิ 150 องศา (ต้องเปิดวอร์มเตาอบไว้ก่อนประมาณ 30 นาที เพื่อให้เตาอบร้อนได้ที่ ก่อนจะนำบราวนี่เข้าอบ) ใช้เวลาอบประมาณ 25 นาที

เท่านี้ก็จะได้เป็น “บราวนี่” หอมกรุ่น ซึ่งจากปริมาณวัตถุดิบ จากสูตรที่ว่ามาข้างต้น จะสามารถทำบราวนี่ได้ 1 ถาดขนาด 10x10 นิ้ว ตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ สี่เหลี่ยมได้ 16 ชิ้น โดยมีต้นทุนเฉพาะในส่วนวัตถุดิบต่อ 1 ถาดอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 100 บาท หรือเฉลี่ยต้นทุนต่อชิ้นอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 6 บาท สามารถตั้งราคาขายได้ชิ้นละประมาณ 20 บาท

ทั้งนี้ สูตร-การทำ ’บราวนี่“ ตามที่วิทยากรของทาง ซีพี รีเทลลิงค์ คือ พรพรรณ เจริญมิตร แนะนำฝึกสอนให้กับผู้เข้าฝึกอาชีพตาม โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ดูจะเป็นสูตรการทำที่ไม่ซับซ้อนจนยากเกินจะเรียนรู้ แม้จะไม่ได้เข้าฝึก ใครสนใจก็ลองนำไปทดลองฝึกฝนกันดู ซึ่งไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็น ’ช่องทางทำกิน“ ที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำก็ได้!!.
ทีมช่องทางทำกิน : รายงาน / สันติ มฤธนนท์
วรัญญู เหมือนเดช, วรพรรณ เลอสิทธิศักดิ์ : ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/66852/เปิดสูตร+‘บราวนี่’+ฝึกอาชีพฟรี+‘ชี้ทางรวย’

Read More...


‘คุกกี้คอนเฟล็กซ์’ ชิ้นเล็กๆ ก็อาจ ‘รวยได้’

จากการที่ เดลินิวส์ ร่วมกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)/ เซเว่น-อีเลฟเว่น และ บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด จัด “ฝึกอาชีพให้ประชาชนฟรี” เป็นรุ่นที่ 7 ตาม โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” ไปเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมาวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” นำสูตร-วิธีทำ “คุกกี้คอนเฟล็กซ์” มานำเสนอ เพื่อให้กิจกรรมนี้เป็นประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น.... 

“คุกกี้คอนเฟล็กซ์” นี้ วิลัย จันโต คือวิทยากรผู้ฝึกสอนให้กับผู้เข้าฝึกอาชีพ โดยวิทยากรบอกว่า คุกกี้คอนเฟล็กซ์ ในตลาดยังมีคนทำไม่มาก ที่สำคัญสูตรที่สอนนี้ผู้ที่ได้เรียนรู้สามารถนำไปดัดแปลงทำคุกกี้ได้หลาก หลาย


สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ทำคุกกี้คอนเฟล็กซ์ หลัก ๆ ก็มี... อ่างผสม ขนาด 1   และ 2 ลิตร, ที่ร่อนแป้ง, พายยาง, มีดฟันเลื่อย, ถ้วยตวงของแห้ง, ช้อนตวง, ตาชั่งอย่างละเอียด, ตะแกรง, กระดาษไข, ถ้วยตวง, ถาดอบคุกกี้, นาฬิกาจับเวลา, เครื่องตีไข่ (ใช้แบบอัตโนมัติหรือแบบมือตีก็ได้) และเตาอบไฟฟ้าหรือเตาอบแก๊ส ซึ่งราคาเตามีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น แต่ถ้าใครมีเตาอบอยู่แล้ว ก็จะลงทุนอุปกรณ์อื่น ๆ ในวงเงินประมาณ 2,500 บาทเท่านั้น

เตาอบนั้นมีความสำคัญในการทำขนม เตาอบที่มีคุณภาพมีผลต่อการอบขนม ซึ่งขนมจะฟูหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่เตาอบด้วย ถ้าเตามีคุณภาพไม่ดี อุณหภูมิเตาจะไม่คงที่ การอบขนมก็จะเป็นเรื่องที่ควบคุมคุณภาพได้ลำบาก....

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำคุกกี้คอนเฟล็กซ์ ตามสูตรมีดังนี้... เนยสด 150 กรัม, น้ำตาลไอซิ่ง 135 กรัม, แป้งเค้ก 150 กรัม, แป้งขนมปัง 100 กรัม, ไข่ไก่ 2 ฟอง, ผงฟู 4 กรัม, โซดาผง 2.5 กรัม, เกลือ 2.5 กรัม, ลูกเกดสับหยาบ 87.5 กรัม, เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ 125 กรัม, คอน
เฟล็กซ์ 200 กรัม

ขั้นตอนการทำ... เริ่มจากเปิดเตาอบ เปิดไฟบน-ไฟล่าง ให้อยู่ที่อุณหภูมิ 150 องศา เพื่อเป็นการวอร์มเตาให้ร้อนได้ที่ พร้อมใช้งาน ระหว่างนั้นก็มาเตรียมวัตถุดิบ เริ่มจากการนำแป้งเค้ก, แป้งขนมปัง, ผงฟู, โซดาผง และเกลือ ผสมรวมกันเทใส่ลงบนที่ร่อนแป้ง แล้วร่อนส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงในกะละมัง พักไว้ก่อน จากนั้นก็นำเนยสดและน้ำตาลไอซิ่งเทผสมใส่ลงในกะละมังอีกใบ นำเครื่องตีแป้งแบบมือใส่ลงไป เริ่มตีโดยเปิดเครื่องให้เริ่มความเร็วจากเบอร์ 1 ทำการตีผสมไปเรื่อย ๆ ให้ส่วนผสมเนยสดและน้ำตาลไอซิ่งเข้ากัน โดยใช้เวลาในการตีประมาณ 5 นาที

หลังจากส่วนผสมเนยสดและน้ำตาลไอซิ่งเข้ากันแล้ว ให้เพิ่มระดับความเร็วเครื่องตีที่เบอร์ 3 ตีส่วนผสมต่อ โดยให้หัวตีของเครื่องยังคงจุ่มอยู่ในส่วนผสม ลักษณะการตีส่วนผสมคือ ไม่ควรยกส่วนหัวตีสูงเกินไป เพราะส่วนผสมจะฟุ้งกระจาย ตีโดยการหมุนส่วนของเครื่องตีแป้งแบบมือให้ถูกส่วนผสมมากที่สุด ตีต่อไปนานประมาณ 10 นาที โดยการตีส่วนผสมนั้น พอตีไปได้ 5 นาที ให้หยุดเครื่อง แล้วปาดส่วนผสมที่ติดอยู่ขอบด้านข้างให้เข้ามาอยู่ตรงกลาง เมื่อเสร็จแล้วเปิดเครื่องไปที่เบอร์ 3 ตีต่ออีก 5 นาที เมื่อครบตามจำนวนเวลาก็ปิดเครื่องตีแป้งพักไว้ก่อน

จากนั้นก็นำไข่ไก่ตอกใส่ภาชนะเตรียมไว้ แล้วใช้เครื่องตีแป้งแบบมือโดยใช้ส่วนของหัวตีจุ่มลงในส่วนผสมอีกครั้ง ค่อย ๆ เปิดเครื่องไล่ความเร็วจากเบอร์ 1 ไปจนถึงเบอร์ 3 ตีไปประมาณ 1 นาที แล้วจึงใส่ไข่ฟองแรกผสมลงไปในแป้งขณะที่ยังเปิดเครื่องตีอยู่ ตีต่อไปอีก 1 นาที จึงใส่ไข่ฟองที่สอง และตีต่ออีก 1 นาที แล้วก็ปิดเครื่อง

เมื่อส่วนผสมเนยน้ำตาลไข่ไก่เข้ากันดีแล้ว นำส่วนผสมแป้งเค้ก แป้งขนมปัง ผงฟู โซดาผง เกลือ ที่ร่อนเตรียมไว้ มาใส่รวมกัน โดยการเทผสมรวมกันต้องค่อย ๆ เท โดยเปิดเครื่องตีแป้งจุ่มลงในส่วนผสม เปิดความเร็วเบอร์ 1 ค่อย ๆ เทส่วนผสมที่ร่อนไว้ลงไปจนหมด จับเวลาตีต่อ 5 นาที ปิดเครื่อง ปาดส่วนผสมให้เข้ามาอยู่ตรงกลาง แล้วตีต่ออีก 5 นาที

หลังจากนั้นก็นำลูกเกดสับหยาบค่อย ๆ เทผสมลงไป โดยที่เครื่องตียังคงทำงานอยู่ที่ความเร็วคงที่ เบอร์ 1 ตีไปประมาณ 1 นาที พอลูกเกดเข้ากับส่วนผสมแล้วก็นำเม็ดมะม่วง หิมพานต์ค่อย ๆ เทลงในส่วนผสม ขณะที่เครื่องตียังทำงานอยู่ที่ความเร็วคงที่ เบอร์ 1 ใช้เวลาตีอีก 2 นาที จึงปิดเครื่อง เมื่อส่วนผสมเข้ากันเป็นอย่างดีแล้วจะมีความเหนียวไม่ติดมือ ปั้นเป็นก้อนได้ ก็ตักส่วนผสมปั้นเป็นก้อน ๆ ให้ได้น้ำหนักก้อนละ 20 กรัม โดยใช้ตาชั่งในการชั่ง จากนั้นเทคอนเฟล็กซ์ลงในถาดเตรียมไว้ นำคุกกี้ที่ปั้นเป็นก้อนลงคลุกกับคอนเฟล็กซ์ เตรียมไว้

นำกระดาษไขวางบนถาด และนำคุกกี้ที่คลุกคอนเฟล็กซ์แล้ววางเรียงลงไป ให้แต่ละชิ้นห่างกันประมาณ 1 นิ้ว วางจนเต็มถาดแล้วนำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 150 องศา ใช้เวลาอบประมาณ 15-20 นาที จนคุกกี้สุกเหลืองทั่วก็นำออกจากเตาอบ แซะคุกกี้ออกจากถาดพักไว้บนตะแกรงให้เย็น จึงจัดเก็บในภาชนะที่ปิดกั้นอากาศเข้า

จากปริมาณวัตถุดิบที่ว่ามา จะสามารถทำคุกกี้คอนเฟล็กซ์ได้ประมาณ 50 ชิ้น มีต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบประมาณ 100 บาท หรือเฉลี่ยชิ้นละไม่เกิน 2 บาท สามารถจะตั้งราคาขายได้ที่ชิ้นละประมาณ 4 บาท
.........................

ทั้งนี้ นี่ก็เป็นสูตรการทำ “คุกกี้คอนเฟล็กซ์” ที่ทาง ซีพี รีเทลลิงค์ และวิทยากรคือ วิลัย จันโต ฝึกสอนให้ประชาชนตาม โครงการ “เดลินิวส์ฝึกอาชีพ” รุ่น 7 หัวข้อ “คืนกำไรสู่สังคม ฝึกอบรมเบเกอรี่ ชี้ทางรวย” ซึ่งคุกกี้ชิ้นเล็ก ๆ นี้ก็อาจเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ทำให้รวยได้ ถ้าฝีมือดี การตลาดดี โดยในส่วนของ “เทคนิคการตลาด” นั้นในการจัดฝึกก็มีการบรรยายแนะนำ ซึ่งในหน้า “ช่องทางทำกิน” ก็จะสรุปมานำเสนอในวันเสาร์ที่ 12 ต.ค.
โปรดติดตาม...
ทีมช่องทางทำกิน :รายงาน / สันติ มฤธนนท์
วรัญญู เหมือนเดช, วรพรรณ เลอสิทธิศักดิ์ :ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/96754/‘คุกกี้คอนเฟล็กซ์’+ชิ้นเล็กๆ+ก็อาจ+‘รวยได้’

Read More...


‘เค้กกล้วยหอม’ช่องทางทำเงินยังไม่ตัน!

’เค้กกล้วยหอม“ ที่มีการทำขายในปัจจุบัน มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบถ้วยกลม ๆ หรือเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม มีทั้งขนาดใหญ่-เล็ก ขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมชมชอบจากคนทุกเพศทุกวัย เพราะทานง่าย รสชาติอร่อยนุ่ม-ชุ่มลิ้น มีกลิ่นหอมของกล้วยหอม และสำหรับผู้ที่สนใจ ’ช่องทางทำกิน“ จากขนมชนิดนี้ วันนี้ ณ ที่นี้ก็มีข้อมูลมานำเสนอกัน...

ผลิวรรณ บุญมี เจ้าของร้านขนม “ช่อมะเฟือง” ย่านรามคำแหง 150 กรุงเทพฯ เล่าให้ฟังว่า ทำขนมขายมานานกว่า 6 เดือนแล้ว ซึ่งขนมที่ร้านมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ เค้กหน้านิ่ม รสต่าง ๆ รวมถึง “เค้กกล้วยหอม” และที่ร้านยังมีพายสับปะรด และคุกกี้ช็อกโกแลตชิพอีกด้วย



“สำหรับสูตรนั้น คุณน้าเป็นคนสอนให้ แต่ก็ต้องฝึกฝนนานอยู่เหมือนกัน กว่ารสชาติจะลงตัว และสำหรับขนมนี้ เป็นของที่ขายเสริมจากร้านอาหารตามสั่งที่เป็นอาชีพหลัก นอกจากนี้ ยังรับสอนพิเศษอีกด้วย” ผลิวรรณบอก

อุปกรณ์ในการทำเค้กกล้วยหอม หลัก ๆ ก็มี เครื่องตีแป้ง, เตาอบ, ถ้วยพิมพ์, ที่ร่อนแป้ง, ที่ตีไข่, ถาด, กะละมัง, ชุดช้อนชา, ชุดถ้วยตวง และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ 

สำหรับการทำ “เค้กกล้วยหอมสูตรนุ่ม” วัตถุดิบหลัก ๆ ตามสูตรก็มี แป้งเค้ก 270 กรัม, ผงฟูพอประมาณ, เบกกิ้งโซดา (โซเดียม ไบคาร์บอเนต) พอประมาณ, นํ้าตาลทราย 240 กรัม, เกลือป่นเล็กน้อย, ไข่ไก่ 4 ฟอง, นํ้ามันพืช 2/3 ถ้วย, กล้วยหอมสุกบด 300 กรัม และนํ้ามะนาวพอประมาณ
วิธีทำ เริ่มที่ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู เบกกิ้งโซดา ให้เข้ากัน แล้วพักเตรียมไว้ 

บดกล้วยหอมสุกกับ นํ้ามะนาวให้เข้ากันเตรียมไว้
ตีไข่ไก่ นํ้าตาลทราย และเกลือ ให้เข้ากัน ตี ด้วยเครื่องด้วยความเร็วสูงประมาณ 7-8 นาที หรือรอจนกว่าส่วนผสมจะข้นขาว จากนั้นปรับความเร็วของเครื่องตีลงให้เป็นความเร็วต่ำ แล้วใส่ส่วนผสมของแป้งที่เตรียมไว้ลงไป ตีต่อให้เข้ากันอีกประมาณ 1 นาที 

จากนั้นก็ค่อย ๆ เติมนํ้ามันพืชลงไป แล้วปรับความเร็วเครื่องตีให้เป็นระดับกลาง ตีต่อไปอีก 2 นาที สุดท้ายใส่ส่วนผสมของกล้วยหอมบดลงไป แล้วปรับความเร็วของเครื่องตีให้เป็นระดับต่ำ ตีต่ออีกประมาณ 1 นาที 

ขั้นต่อไปนำส่วนผสมที่ตีเสร็จแล้วเข้าแช่ในตู้เย็น แช่ไว้ประมาณ 30 นาที
เมื่อแช่ตามเวลาแล้วจึงจะนำแป้งขนมออกมาหยอดใส่พิมพ์ โดยระหว่างนั้นให้เปิดเตาอบเพื่ออุ่นให้เตาร้อนที่อุณหภูมิ 400-450 องศาฟาเรนไฮต์ เตรียมไว้ก่อน

การหยอดแป้งใส่พิมพ์ เตรียมถ้วยกระดาษวงกลมใส่ในพิมพ์เค้กกล้วยหอมที่เป็นถ้วยวงกลม ขนาดกว้าง 7.5 ซม. สูง 2.5 ซม. แล้วเรียงพิมพ์เค้กกล้วยหอมใส่ถาดอะลูมิเนียมไว้ นำส่วนผสมของเค้กกล้วยหอมที่ตีเสร็จเรียบร้อยแล้วออกมาจากตู้แช่  แล้วค่อย ๆ หยอดใส่ถ้วยจนครบถ้วยที่เตรียมไว้
นำเข้าเตาอบที่อุ่นร้อนรอไว้แล้ว ใช้เวลาอบประมาณ 15 นาที ก็จะได้เค้กกล้วยหอมสูตรนุ่มที่ขึ้นฟู มีสีนํ้าตาลเข้ม ส่งกลิ่นหอมชวนรับประทาน 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่อบเค้กกล้วยหอม ต้องหมั่นคอยดู ด้วยว่าเค้กขึ้นฟูหรือยัง ระวังอย่าให้หน้าเค้กไหม้ เมื่อเค้กสุกแล้วให้นำออกมาบรรจุในกล่องให้เรียบร้อย

เค้กกล้วยหอมสูตรนี้มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละประมาณ 3 บาท ส่วนราคาขายอาจจะขาย ในราคาชิ้นละ 5 บาท หรือมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับทำเลและต้นทุนส่วนอื่น ๆ 

สนใจ ’เค้กกล้วยหอมสูตรนุ่ม“ สูตรนี้ ต้องการติดต่อ ผลิ วรรณ บุญมี เจ้าของร้านขนมช่อมะเฟือง ร้านนี้ตั้งอยู่ในซอยรามคำแหง 150 ถนนรามคำแหง กรุงเทพฯ หรือติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2373-5396 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกรูปแบบ ’ช่องทางทำกิน“ ที่แม้จะมีคนทำกันไม่น้อยแล้ว แต่ช่องว่างทำเงินในตลาดก็ยังพอมีอยู่อีกมาก.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ



Read More...


‘ส้มตำ-น้ำพริกเห็ด’ เมนูเด็ดทำเงินอิงสุขภาพ

ทีม “ช่องทางทำกิน” เคยนำเสนอการทำการขายแกงเห็ด-ลาบเห็ด-เห็ดคั่ว ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่อินเทรนด์ในยุคที่ชีวิตปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี โดย เสงี่ยม สุทัศน์ ณ อยุธยา หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า “แม่เสงี่ยม” เคยให้ข้อมูลไว้เป็นวิทยาทานเมื่อราว 2 ปีที่แล้ว และวันนี้ ณ ที่นี้ก็มีข้อมูลเมนูเห็ดอีกรูปแบบจากแม่เสงี่ยมมานำเสนอให้พิจารณากัน นั่นก็คือ “ส้มตำเห็ด” และรวมถึง “น้ำพริกเห็ด” เมนูที่อาจจะดูว่าพื้น ๆ แต่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าสนใจ...

แม่เสงี่ยมบอกว่า เมื่อก่อนขายขนมหวานอยู่ที่ตลาด อ.ต.ก ขายอยู่หลายปี แต่ตอนหลังมีปัญหาต้นทุนขนมแพง ประกอบกับคนเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย ทานหวานกันน้อยลง ทำให้ขายของได้ยาก จึงคิดเปลี่ยนของที่จะขายเป็นอย่างอื่น

“ตอนนั้นเรื่องสุขภาพเริ่ม ๆ จะมาแรง เห็ดต่าง ๆ ที่ปลอดสารพิษได้รับความนิยม เพราะไม่มีคอเลสเตอรอล มีแร่ธาตุทางอาหาร มีประโยชน์กับร่างกาย จึงคิดทำอาหารที่เกี่ยวกับเห็ดต่าง ๆ ขาย ด้วยความที่ทำอาหารทุกประเภทเป็นอยู่แล้ว เรื่องเมนูเห็ดต่าง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องยาก” แม่เสงี่ยมกล่าว

สำหรับการขาย “ส้มตำเห็ด” แม่เสงี่ยมบอกว่า ส้มตำเป็นอาหารที่ทุกคนชอบ ปัจจุบันมีคนทำส้มตำมากมายหลากหลาย จึงลองนำเห็ดมาเป็นส่วนประกอบในส้มตำ และคิดว่าน่าจะเป็นเมนูส้มตำที่ถูกปากคนไทยได้อีกอย่างหนึ่ง

อุปกรณ์ที่ใช้ทำ หลัก ๆ ก็มี ครก-สาก, โถใส่ของต่าง ๆ, กะละมัง, มีด, ที่ขูดเส้น, เตาแก๊ส, หม้ออะลูมิเนียม ฯลฯ อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ถ้าลงทุนใหม่หมดก็อยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป

เห็ดที่ใช้ในการทำส้มตำ มีหลัก ๆ 5 อย่างคือ เห็ดฮังการี, เห็ดหูหนู, เห็ดฟาง, เห็ดออรินจิ, เห็ดเข็มทอง นอกจากนี้ยังสามารถนำเห็ดพื้นบ้านที่หาได้ตามฤดูกาล อย่างเห็ดระโงก และเห็ดเผาะ มาใส่เพิ่มได้ ซึ่งเห็ดทุกอย่างนี้ต้องนำไปต้ม หรือลวกน้ำร้อนให้สุกก่อน จึงจะนำมาใช้ทำส้มตำ

ส้มตำอย่างแรกที่จะแนะนำ คือ “ตำแตงใส่เห็ด” เป็นเมนูชูโรงของร้าน ส่วนผสมก็มี ถั่วฝักยาว, กุ้งแห้ง, พริกขี้หนู, กระเทียม, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลาร้า, น้ำมะนาว, แตงไทยอ่อนขูดฝอย และเห็ด 5 อย่างดังที่ว่ามาข้างต้น

วิธีทำ เตรียมครก ตำกระเทียมกับพริกขี้หนูให้เข้ากัน ตามด้วยถั่วฝักยาว ตำให้ส่วนผสมเข้ากัน เติมเครื่องปรุงรสอย่างน้ำตาลปี๊บ น้ำปลาร้า น้ำมะนาว ใส่ลงไป ชิมรสให้ได้ 3 รส คือ หวาน-เปรี้ยว-เค็ม จากนั้นใส่เห็ดที่ลวกสุกแล้วลงไปคลุกเคล้า และตามด้วยแตงไทยอ่อนขูดฝอย เคล้าให้เข้ากันอีกที ตักขึ้นใส่จาน โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูสวน และกุ้งแห้ง เท่านี้ก็เรียบร้อย ขายในราคาจานละ 50 บาท มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 70% ของราคา

ส้มตำอีกอย่างที่จะแนะนำคือ “ตำโคราชใส่เห็ด” ส่วนผสมก็มี ถั่วฝักยาว, กุ้งแห้ง, พริกขี้หนู, กระเทียม, มะเขือเหลือง หรือมะเขือเปราะ, มะเขือเทศลูกเล็ก, ถั่วลิสงคั่ว, น้ำตาลปี๊บ, น้ำปลาร้า, น้ำมะนาว และเห็ด 5 อย่าง

วิธีทำ ตำกระเทียมกับพริก ขี้หนูให้เข้ากัน ตามด้วยถั่วฝักยาว ถั่วลิสงคั่ว หั่นมะเขือเหลืองหรือมะเขือเปราะ และมะเขือเทศลูกเล็ก ใส่ลงไป ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำปลาร้า, น้ำมะนาว ชิมรสให้ได้ 3 รส คือ หวาน-เปรี้ยว-เค็ม จากนั้นใส่เห็ดลวกสุกแล้วลงไปคลุกเคล้า เท่านี้ก็เรียบร้อย ขายในราคาจานละ 50 บาท

นอกจากส้มตำเห็ดแล้ว แม่เสงี่ยมยังได้ให้สูตร “น้ำพริกเห็ด” มาอีกอย่างด้วย ซึ่งตามสูตรก็มีส่วนผสมของพริกหนุ่ม 1 กก. เสียบไม้ย่างให้หอม, กระเทียมปอกเปลือก 300 กรัม, หอมแดงปอกเปลือก 100 กรัม คั่วในกระทะให้หอม และใช้เห็ดฟาง 2 กก. โดยนึ่งหรือลวกให้สุกก็ได้ ก่อนจะใช้เป็นส่วนผสมของน้ำพริก พริกหนุ่ม กระเทียม หอมแดง ทั้งหมดนำมาตำโขลกให้เข้ากัน จากนั้นใส่เห็ดฟางลงโขลกด้วย ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลาร้า และน้ำตาลปี๊บ ให้ได้ 3 รส เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ตักแบ่งใส่จาน หรือใส่ถุง ขายในราคาชุดละ 50 บาท ทานกับผักเคียงอย่างถั่วฝักยาว และกะหล่ำปลี

“ส้มตำเห็ด” รวมถึง “น้ำพริกเห็ด” เป็นเมนูจากเห็ดที่ประยุกต์เป็นเมนูใหม่ ๆ ได้หลายแบบ ซึ่งก็เป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ที่น่าสนใจ ส่วนใครสนใจส้มตำเห็ด น้ำพริกเห็ด เมนูเห็ด ของ แม่เสงี่ยม ต้องการจะติดต่อ ก็ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-5146-8771.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : เรื่อง / ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/189090/'ส้มตำ-น้ำพริกเห็ด’+เมนูเด็ดทำเงินอิงสุขภาพ‘

Read More...


‘ข้าวตังไรซ์เบอรี่’ชูสุขภาพ..สร้างจุดขาย

ข้าวตังก็ยังได้รับความนิยม ตำรับความอร่อยยังไม่สูญหาย อาหารว่างชนิดนี้สามารถพลิกแพลงให้อร่อยได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ ข้าวตังหน้าตั้ง ข้าวตังเมี่ยงลาว

 “ข้าวตัง” เป็นอาหารว่างชนิดหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมทางอาหารของไทย จนปัจจุบันข้าวตังก็ยังได้รับความนิยม ตำรับความอร่อยยังไม่สูญหาย อาหารว่างชนิดนี้สามารถพลิกแพลงให้อร่อยได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ ข้าวตังหน้าตั้ง ข้าวตังเมี่ยงลาว ข้าวตังหมูหยอง ฯลฯ และสำหรับคนรักสุขภาพข้าวตังก็สามารถปรับเข้ากระแสรักสุขภาพได้ลงตัว อย่าง “ข้าวตังข้าวไรซ์เบอรี่ เสริมนํ้าพริกเผา-เกสรบัว” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้…


ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี ผู้คิดค้นเมนูชูสุขภาพเมนูนี้ บอกว่า ที่ผ่านมามีการพูดถึงข้าวกล้องไรซ์เบอรี่กันมากเพราะเป็นข้าวเพื่อสุขภาพ มีคุณประโยชน์สูง ช่วยป้องกันและรักษาโรคได้หลายโรค จนเป็นที่ยอมรับว่าเป็นข้าวกล้องเกรดดีที่สุด คุณสมบัติเด่นด้านโภชนาการคือ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีเบต้าแคโรทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี แทนนิน สังกะสี มีโฟเลตสูง มีดัชนีนํ้าตาลต่ำถึงปานกลาง ซึ่งจากคุณสมบัติ นอกจากจะใช้รับประทานเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง ทางการแพทย์ยังนำไปใช้ทำผลิตภัณฑ์อาหารโภชนบำบัดอีกด้วย

“ได้คิดพัฒนาโดยนำข้าวกล้องไรซ์เบอรี่มาเป็นส่วนผสมหลักของข้าวตัง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของปู่ย่าตายาย มีมาเป็นร้อย ๆ ปี และเสริมด้วยนํ้าพริกเผาและเกสรบัว ให้มีความหอมหวาน อร่อยไม่เหมือนใคร ที่สำคัญคือดีต่อสุขภาพ และสามารถนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจและอาชีพให้กับผู้ที่สนใจ สามารถปรับเปลี่ยนผสมได้หลากหลายตามความต้องการ”

อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำข้าวตัง หลัก ๆ ก็มี... เตาไฟฟ้า (ใช้เตาถ่านหรือเตาแก๊สก็ได้), แม่พิมพ์ข้าวตังแบบดั้งเดิม ชุดหนึ่งจะมี 2 พิมพ์ ลักษณะคล้ายพิมพ์ขนมทองม้วน มีลวดลายสวยงาม หาซื้อได้จากร้านขายอุปกรณ์ทำขนม, เครื่องปั่น, พลาสติกใส, ทัพพี, กะละมัง, ถาด, ไม้พาย, เกรียง และเครื่องมือเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ ที่สามารถหยิบฉวยเอาจากในครัวได้

ส่วนผสมที่ใช้ในการทำ ตามสูตรก็มี...ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ 150 กรัม, ข้าวหอมมะลิอย่างดี (ต้องเป็นข้าวใหม่) 100 กรัม, ข้าวเหนียว 50 กรัม, นํ้าสะอาด 1,440 กรัม, นํ้าพริกเผาสำเร็จรูป 130 กรัม, เกสรบัวหลวง, เกลือและนํ้ามันพืช

ขั้นตอนการทำ “ข้าวตังข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ เสริมนํ้าพริกเผา-เกสรบัว” เริ่มจากนำส่วนผสมหลักที่ต้องใช้คือข้าว 3 ชนิดมาชั่งตามอัตราส่วน ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ จากนั้นก็แยกซาวล้างนํ้าให้สะอาด พักไว้ แล้วเตรียมดอกบัวหลวงมาคลี่เอากลีบดอกออกไปใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น เพื่อเอาเกสรข้างในมาเป็นส่วนผสมข้าวตัง

นำข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว และข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ ที่ซาวล้างเสร็จแล้ว มาเทผสมลงในหม้อขนาดกลาง ใส่นํ้าลงไปพอประมาณ ยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ความร้อนปานกลาง โดยปล่อยให้ข้าวค่อย ๆ สุกไปเรื่อย ๆ เมื่อข้าวอืดเมล็ดข้าวจะบานออก ก็ให้เพิ่มไฟแรงขึ้นอีกหน่อย หมั่นใช้ทัพพีคอยคนอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ข้าวติดก้นหม้อ ใส่เกลือลงไปนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติ หมั่นใช้ไม้พายคอยกวนข้าวไปเรื่อย ๆ จนกว่าข้าวจะเหนียวคล้ายแป้งเปียก ก็เป็นอันใช้ได้

ยกลงตั้งพักไว้ให้เย็นสนิท แล้วจึงนำไปปั่นด้วยเครื่องปั่นให้ละเอียด ขั้นต่อไปนำข้าวที่ปั่นมาใส่นํ้าพริกเผาและเกสรบัวลงไป คนให้ส่วนผสมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้พลาสติกใสปิดไว้เตรียมใช้ทำเป็นข้าวตัง

เตรียมแม่พิมพ์ข้าวตังขึ้นเตา เปิดไฟตั้งอุณหภูมิ 150 องศาเซล เซียส รอประมาณ 10 นาทีให้พิมพ์ร้อน จึงเปิดแม่พิมพ์ทานํ้ามันพืชพอหมาด ๆ ใช้ช้อนตักส่วนผสมข้าวที่เตรียมไว้ 1 ช้อน ใส่ลงบนแม่พิมพ์ ปิดแม่พิมพ์อีกด้านลงทับข้าวให้แบน ไม่ถึง 1 นาที ข้าวตัง จะสุก ก็ใช้เกรียงแซะ ขึ้นจากพิมพ์ได้เลย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

เคล็ดลับการทำข้าวตังข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ เสริมนํ้าพริกเผาและเกสรบัว ผศ.พงศ์ศักดิ์ บอกว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่การอบ อบบนเตาเป็นแผ่น ๆ จะดีกว่าการอบข้าวตังด้วยตู้อบ การอบบนเตาจะทำให้ข้าวตังกรอบ อร่อย ไม่เหนียว ที่สำคัญจะมีกลิ่นหอมและสีสันก็น่ารับประทานกว่า แต่ต้องอาศัยฝีมือ ประสบการณ์ และความชำนาญพอสมควร ทั้งนี้ การทำก็สามารถปรับเปลี่ยนดัดแปลงส่วนผสมเสริมได้ตามใจชอบ

ส่วนการขายนั้น บรรจุข้าวตังใส่ถุงเป็นแพ็กเก๋ ๆ หรือเป็นกล่องให้ดูหรูสวยงาม ขึ้นอยู่กับไอเดียของแต่ละคน ซึ่งสามารถใช้เป็นของฝากของขวัญให้กับผู้รักสุขภาพและคนทั่วไปได้ ขณะที่การลงทุนทำขายก็ไม่ต้องใช้เงินมาก

ใครสนใจทำ “ข้าวตังข้าวกล้องไรซ์เบอรี่ เสริมนํ้าพริกเผา-เกสรบัว” ขายเป็น “ช่องทางทำกิน” ก็ลองนำสูตรไปฝึกฝนพลิกแพลงกันดู หรือถ้าต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ต้องการติดต่อ ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ติดต่อได้ที่ โทร. 08-9600-0993 ซึ่งทาง ผศ.พงษ์ศักดิ์บอกว่ายินดีให้ข้อมูล เพราะอยากให้คนไทยช่วยกันอนุรักษ์
อาหารแบบไทย ๆ ไว้นาน ๆ.

...............................................
คู่มือลงทุน…ข้าวตังไรซ์เบอรี่
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 30-40% ของราคา
รายได้ ตั้งราคาให้มีกำไร 60-70%
แรงงาน ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านชุมชน, ย่านอาหารทั่วไป
จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพเป็นจุดขายที่ดี
เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/193695/‘ข้าวตังไรซ์เบอรี่’ชูสุขภาพ..สร้างจุดขาย

Read More...


‘กิมจิเห็ดสามอย่าง’อีกหนึ่งช่องทางสร้างเงิน

“กิมจิเห็ดสามอย่าง” เป็นเมนูที่เป็นทางเลือกในการรับประทานเห็ดอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในสูตรนี้มีการใช้น้ำหมักเอ็นไซม์เห็ดร่วมด้วย เพื่อเป็นการดึงสรรพคุณทางยาออกมา

 อิทธิพลของซีรีส์เกาหลีฟีเวอร์ จากละครที่ออนแอร์ในประเทศไทย ทำให้เทรนด์อาหารเกาหลีเป็นที่สนใจและได้รับความนิยมในไทยเพิ่มขึ้น เพราะในเนื้อเรื่องในการแสดงได้มีการสอดแทรกวัฒนธรรมเรื่องอาหารไว้อย่างลง ตัว เรียกได้ว่าเกือบทุกเรื่องจะต้องมีฉากรับประทานอาหาร ชวนให้คนดูอยากลิ้มชิมรสเหมือนตัวละครในเรื่องบ้าง

อย่าง “กิมจิ” ซึ่งเป็นอาหารสามัญประจำมื้อของชาวเกาหลี เป็นตัวชูรสชูโรงทุกมื้อ เพราะเป็นทั้งเครื่องเคียง ของแกล้ม และส่วนผสมของอาหารบางเมนู รสชาติออกเปรี้ยว เคี้ยวกรุบ ๆ ซึ่งกิมจิที่นิยมมากและเป็นที่รู้จักมากที่สุดก็เห็นจะเป็น “กิมจิผักกาดขาว” แต่ ณ ที่นี้ในวันนี้จะนำเสนอข้อมูล “กิมจิเห็ดสามอย่าง” ที่สามารถจะทำเป็น “ช่องทางทำกิน” ในไทยได้...

เก็บตกจากการสาธิตในการอบรมระยะสั้น ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 10 ซึ่งจัดโดยกรมการพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้า อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 4-8 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมา ทีม “ช่องทางทำกิน” ไปได้ข้อมูลการทำ “กิมจิเห็ดสามอย่าง” มานำเสนอ

ทั้งนี้ อ.เยาวนุช เอื้อตระกูล วิทยากรจากศูนย์เห็ดครบวงจร www.AnonBiotec.com กล่าวว่า ที่ศูนย์เห็ดฯ ได้มีการทำน้ำหมักเอ็นไซม์เห็ดเพื่อเป็นการดึงสรรพคุณทางยาของเห็ดออกมา เพราะไม่มั่นใจว่าสรรพคุณทางยาของเห็ดจะได้จากวิธีการต้มธรรมดา ๆ หรือไม่ และไม่มั่นใจว่าร่างกายของเรามีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เพียงพอในการย่อยสาร ที่เป็นยาในเห็ดที่รับประทานเข้าไป จึงได้มีการคิดค้นการทำน้ำหมักเอ็นไซม์เห็ดนี้ขึ้นมา

สำหรับ “กิมจิเห็ดสามอย่าง” เป็นเมนูที่เป็นทางเลือกในการรับประทานเห็ดอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในสูตรนี้มีการใช้น้ำหมักเอ็นไซม์เห็ดร่วมด้วย เพื่อเป็นการดึงสรรพคุณทางยาออกมา เพื่อให้ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้โดยตรง

อ.เยาวนุช กล่าวว่า สูตรกิมจิเห็ดสามอย่างนี้ เป็นสูตรที่ได้จากการดัดแปลงการทำกิมจิของเกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปากคนไทยเป็นสำคัญ และจากสูตรที่จะมาดูกันต่อไปนี้จะได้กิมจิประมาณ 6-7 กก.

อุปกรณ์ในการทำกิมจิ หลัก ๆ ก็มี เครื่องปั่น, เตาแก๊ส, เขียง-มีด, หม้ออะลูมิเนียม, ไม้พายขนาดย่อม, หม้อสเตนเลส, ผ้าขาวบาง ฯลฯ

ส่วนผสมกิมจิ ประกอบด้วย ผักกาดขาว 2 กก., เห็ดนางฟ้าอ่อน เห็ดแครง และเห็ดหูหนูขาว อย่างละ 1 กก. รวมเป็น 3 กก., หัวไชเท้า 0.5 กก., แครอท 0.5 กก., ต้นหอม100 กรัม, และน้ำหมักเอ็นไซม์เห็ด 50 ซีซี

ในส่วนของเห็ด อ.เยาวนุช บอกว่า ทำความสะอาดเห็ดแล้วฉีกตามยาวให้ได้ 4-5 ชิ้น/ดอกเห็ด 1 ดอก แล้วนำไปลวกน้ำร้อนประมาณ 3-5 นาที จากนั้นนำขึ้นมาแช่น้ำเย็นทันที สำหรับผักกาดขาวนั้นควรล้างทำความสะอาดแล้วหั่นให้เป็นชิ้น ๆ ขนาด 4-5 ซม./ชิ้น แล้วแยกแต่ละชิ้นออกจากกัน นำไปผึ่งแดด หรือใช้พัดลมเป่าให้ผักเหี่ยวหมาด ๆ ส่วนแครอท และหัวไชเท้าให้นำไปขูดฝอยให้ได้ปริมาณอย่างละ 0.5 กก. และต้นหอมก็ให้หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เตรียมไว้

นอกจากนี้ ในการทำยังต้องมีส่วนผสมของ น้ำปรุงรสกิมจิ ซึ่งประกอบด้วย กระเทียมบด 100 กรัม, ขิงสดหั่นฝอย หรือแบบลูกเต๋า 200 กรัม, ขิงสดบด 100 กรัม, พริกขี้หนูแดง 150 กรัม, เกลือทะเล 200 กรัม, น้ำตาลทราย 100 กรัม และน้ำเปล่าพอประมาณ วิธีทำ นำส่วนผสมทั้งหมด ไล่ตั้งแต่น้ำเปล่า พริกขี้หนูแดง (หากกลัวเผ็ดให้แกะเอาเมล็ดพริกออกมา) ขิงบด ขิงหั่น กระเทียมบด ใส่ลงเครื่องปั่น ทำการปั่นรวมกันด้วยความเร็วปานกลาง จนส่วนผสมเข้ากัน เสร็จแล้วใส่ส่วนผสมปรุงรสคือเกลือทะเล น้ำตาลทราย ลงปั่นรวมด้วย ชิมรสให้กลมกล่อม มีรสเผ็ด หวาน และเค็ม เป็นอันใช้ได้ วิธีหมักเพื่อทำ “กิมจิเห็ดสามอย่าง” เตรียมหม้อเคลือบสเตนเลส ใส่ผักกาดขาว, เห็ด 3 อย่าง, แครอทขูดฝอย และหัวไชเท้าขูดฝอย และต้นหอมหั่น ใช้ไม้พายขนาดย่อมคลุกเคล้าให้ส่วนผสมของผักเข้ากัน จากนั้นค่อย ๆ เทน้ำปรุงรสกิมจิลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับผัก เมื่อเข้ากันดีแล้ว ใส่น้ำหมักเอ็นไซม์เห็ดที่เตรียมไว้ลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันด้วย

เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีทุกอย่างแล้ว ใช้ผ้าขาวบางคลุมภาชนะเอาไว้ ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องธรรมดา 1-2 คืน หากไม่ต้องการให้เปรี้ยวมาก ทิ้งไว้ 1 คืนพอ หากต้องการให้เปรี้ยวมากก็ทิ้งไว้ 2 คืน เมื่อได้ความเปรี้ยวและรสชาติที่ต้องการแล้ว ก็ตักใส่ถ้วยพลาสติกที่มีฝาปิด นำไปเก็บในตู้เย็น สามารถเก็บไว้รับประทานได้หลายเดือน ส่วนการขาย ราคาขาย อ.เยาวนุช บอกว่า ในท้องตลาดขายกันประมาณ 35 บาท/100 กรัม ในขณะที่มีต้นทุนประมาณ 50% ของราคาขาย

ใครสนใจเรื่องการถนอมอาหาร-ทำอาหาร อย่าง “กิมจิเห็ดสามอย่าง” ก็ลองไปฝึกฝนกัน และถ้าต้องการติดต่อ อ.เยาวนุช เอื้อตระกูล ก็ติดต่อไปได้ที่ชมรมเห็ดสากล (คมชัด) หมายเลขโทรศัพท์ 0-2579-9200 และ 0-2579-7759 และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.AnonBiotec.com ทั้งนี้ แม้กิมจิจะไม่ใช่อาหารไทย แต่ก็อาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ในไทยได้.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
................................................
คู่มือลงทุน...กิมจิเห็ดสามอย่าง
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาท
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา
รายได้ ราคา 35 บาท/100 กรัม
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ตลาดทั่วไป, ร้านอาหาร
จุดน่าสนใจ คนไทยยุคนี้ก็นิยมกินกิมจิ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/195329/‘กิมจิเห็ดสามอย่าง’อีกหนึ่งช่องทางสร้างเงิน

Read More...


‘สุกี้น้ำจิ้มกวางตุ้ง’ญี่ปุ่นสไตล์จีนทำเงิน

“คนที่เคยมากินของผมบ่อย ๆ มาถามว่าขายแฟรนไชส์หรือเปล่า หลังคิดคำนวณ ดัดแปลงสูตรจนทุกอย่างเข้าที่แล้ว ก็เลยขายแฟรนไชส์ จากวันนี้มาจนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 5 ปีแล้ว ตอนนี้มีแฟรนไชส์เกือบ 20 สาขาแล้ว”
 
วิถีชีวิตคนไทยเปลี่ยนไป สู่ยุคที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ไม่เว้นแม้แต่เรื่องอาหารการกิน ซึ่งอาหารจานเดียว หรืออาหารจานด่วนนั้น เมนู “สุกี้ยากี้” ก็สามารถจะเป็นได้ สามารถจะทำขายทั่วไปได้ ซึ่งวันนี้ทางทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูล “สุกี้กวางตุ้ง” สุกี้รวมมิตร ทั้งแบบนํ้าและแห้ง มานำเสนอให้แฟนคอลัมน์ได้ลองพิจารณากันดู…




พัน-อำพัน พงศ์พันษ์ เจ้าของร้านและเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์ “สุกี้ นายพัน” เล่าให้ฟังถึงจุดกำเนินของธุรกิจว่า หลังเรียนจบเคยทำธุรกิจเลี้ยงกุ้งตามเพื่อน แต่ก็ล้มไม่เป็นท่าเพราะไม่มีประสบการณ์ จากนั้นก็ทำงานประจำ แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบกินและชอบทำอาหาร ยามว่างจะชวนเพื่อน ๆ มาทำสุกี้กินกันเป็นประจำ โดยดัดแปลงจนได้นํ้าจิ้มสุกี้สูตรเฉพาะที่เพื่อน ๆ กินแล้วติดใจในรสชาติและพากันเชียร์ให้ทำขาย ซึ่งด้วยความที่อยากทำงานอิสระอยู่แล้ว ตอนเย็นหลังเลิกงานจึงลองทำสุกี้หม้อดินขาย ปรากฏว่าผลตอบรับดีมาก จึงทำมาเรื่อย ๆ จนที่สุดก็ออกจากงานมาขายเต็มตัว

“คนที่เคยมากินของผมบ่อย ๆ มาถามว่าขายแฟรนไชส์หรือเปล่า หลังคิดคำนวณ ดัดแปลงสูตรจนทุกอย่างเข้าที่แล้ว ก็เลยขายแฟรนไชส์ จากวันนี้มาจนถึงปัจจุบันก็ประมาณ 5 ปีแล้ว ตอนนี้มีแฟรนไชส์เกือบ 20 สาขาแล้ว” 

พันบอกว่า สุกี้จะอร่อยก็ตรงที่นํ้าจิ้ม จุดเด่นของนํ้าจิ้มสูตรนายพันคือเน้นออก 3 รส เผ็ด เปรี้ยว และหวาน ความอร่อยมาจากส่วนผสมที่ลงตัว และใช้วัตถุดิบสดใหม่ รวมถึงสามารถประยุกต์ไปใช้ประกอบอาหารอื่น ๆ ได้ด้วย 

อุปกรณ์ที่ใช้ทำสุกี้ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำครัวทั่วไป อาทิ เตาแก๊ส, หม้อมีหูจับ, กระทะบาง, ตะหลิว, กะละมัง, กระชอน, มีด, เขียง ฯลฯ ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำสุกี้ยากี้รวมมิตร ก็มี หมูสด, ไก่สด, กุ้งสด, ปลาหมึกสด, ลูกชิ้นรักบี้, เกี๊ยวปลา, ไข่ไก่ สำหรับผักสดก็ตามใจชอบ แต่หลัก ๆ ก็มี ผักกาดขาว, ผักบุ้งจีน, ต้นหอม, แครอท และวุ้นเส้น นํ้าซุปกระดูกหมู

ส่วนผสมในการทำนํ้าจิ้ม หลัก ๆ ประกอบด้วย... ซอสพริก, ซอสมะเขือเทศ, นํ้ามันงาปรุงรส, พริกขี้หนู, กระเทียม, นํ้ามันหอย, งาขาวคั่วบุบ, ผักชีสับ, นํ้าตาลทราย, เกลือ, นํ้าส้มสายชู และนํ้ามะนาว
ขั้นตอนการทำ “สุกี้รวมมิตร แบบนํ้าและแห้ง นํ้าจิ้มกวางตุ้ง” ก่อนอื่นต้องทำนํ้าจิ้มสุกี้เป็นอันดับแรก ผสมซอสพริก ซอสมะเขือเทศ นํ้ามันหอย นํ้ามันงา คนให้เข้ากัน จากนั้นเติมเกลือ นํ้าตาล นํ้าส้มสายชู นํ้ามะนาว นํ้าต้มสุก แล้วยกขึ้นตั้งไฟ ระหว่างรอให้ก็นำกระเทียมสดกับพริกขี้หนูที่เตรียมไว้มาโขลกรวมกันหรือปั่น ก็ได้ เมื่อส่วนผสมซอสเดือดดีแล้วให้ชิมรสดูตามชอบ จึงใส่งาขาวคั่วบุบ พริกขี้หนูปั่น กระเทียมปั่น ผักชีสับ คนให้เข้ากัน ยกลงจากเตาตั้งไว้ให้เย็น

ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน นำมาล้างให้สะอาด เอาขึ้นสะเด็ดนํ้า หั่นเป็นท่อนขนาดยาวประมาณ 2 นิ้ว ตั้งพักไว้ก่อน แครอท นำมาปอกเปลือก ล้างแล้วหั่นให้สวยงาม ส่วนปลาหมึกสด ดึงหัวและหมึกออก ลอกหนังออกให้หมด ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นหรือท่อนตามชอบ กุ้งตัวโต ๆ แกะเปลือกผ่าหลังเอาไส้ดำออก หมูสด และไก่สด ล้างแล้วผึ่งให้สะเด็ดนํ้า แล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดตามที่ต้องการ ส่วนวุ้นเส้นแช่นํ้าให้นิ่ม หั่นเป็นท่อนสั้นเตรียมไว้

ขั้นตอนการปรุงสุกี้นํ้า เตรียมเนื้อหมู ไก่ กุ้งสด ปลาหมึกสด ที่หั่นเสร็จแล้ว ใส่ภาชนะเตรียมไว้ ตามด้วยเกี๊ยวปลา ลูกชิ้นรักบี้ ตวงนํ้าซุปใส่หม้อมีหูจับพอประมาณ ยกตั้งไฟแรง พอเดือดเทเนื้อสัตว์ใส่ลงไป ตามด้วยผักกาดขาว ผักบุ้ง แครอท และตอกไข่ตามลงไป ใช้ทัพพีคนสองสามครั้งให้ ผักนิ่มทั่ว เป็นอันใช้ได้ ตักใส่ชามเสิร์ฟพร้อมนํ้าจิ้ม

ขั้นตอนการทำสุกี้แห้ง ทำเหมือนการปรุงสุกี้นํ้า แต่ยังไม่ใส่ไข่ เสร็จแล้วเทใส่กระชอนกรองเอานํ้าออก จากนั้นตั้งกระทะ ใส่นํ้ามันนิดหน่อย ตอกไข่ลงไปใช้ทัพพีขยี้พอ กระจาย นำส่วนผสมที่กรองนํ้าทิ้งแล้วมาใส่โปะลงบนไข่ ราดด้วยนํ้าจิ้มกวางตุ้งนิดหน่อย ใช้ทัพพีพลิกกลับไข่ขึ้นด้านบน ตักใส่จานเสิร์ฟพร้อมนํ้าจิ้ม

สำหรับเมนูร้านนายพัน มีทั้ง สุกี้นํ้า แห้ง หมู-ไก่ (40 บาท) สุกี้นํ้า แห้ง ทะเล และรวม (50 บาท) ใครอยากกินบะหมี่หยกเปล่า ๆ ก็สามารถสั่งได้ (ธรรมดา 20 บาท จานเล็ก 10 บาท) มีเกี๊ยวปลาลวก (30 บาท) ลูกชิ้นรักบี้ลวก (30 บาท) ที่ทางร้านเลือกซื้อจากร้านเจ้าประจำที่คัดคุณภาพ ลูกชิ้นเคี้ยวเด้งไม่คาว เกี๊ยวปลาก็นุ่ม หอมกลิ่นพริกไทยนิด ๆ

ใครสนใจทำ “สุกี้ยากี้” ขายเป็น “ช่องทางทำกิน” ก็ลองฝึกลองทำกันดู เผื่อจะได้สูตรนํ้าจิ้มที่อร่อยไม่เหมือนใคร ส่วนใครอยากชิม “สุกี้นายพัน” ร้านหลักตั้งอยู่ที่ 246/1 ซอยประชาสงเคราะห์ 27 (ซอยเพิ่มสิน) เขตดินแดง กรุงเทพฯ ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00 - 21.00 น. หรือสนใจแฟรนไชส์ก็ติดต่อสอบถามกับพันได้ที่ โทร. 09-1004-1807.

เชาวลี ชุมขำ :เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล :ภาพ
........................................
คู่มือลงทุน...สุกี้น้ำจิ้มกวางตุ้ง
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา
รายได้ ราคาขาย 40-50 บาท/จาน
แรงงาน ตั้งแต่ 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร ชุมชน สำนักงาน
จุดน่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งจานด่วนที่ขายดี


Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.