สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

เวรี่ฮอต! 3 สเต็ป คลายร้อนง้ายง่าย ด้วยไอศกรีมผลไม้


ร้อน ร้อน ร้อน เพิ่งจะต้นเดือนมีนาฯ ก็ร้อนซะนาดนี้ ถ้าเดือนเมษายนจะขนาดไหน ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อนแล้วใช่หรือไม่? ร้อนแบบนี้ทำอะไรก็ค่อนข้างจะหงุดหงิดไปซะหมด ไทยรัฐออนไลน์ จะพาคุณไปคลายร้อนแบบง่ายๆ กับคอลัมน์ Trend can do อีกเช่นเคย สัปดาห์นี้พบกับ 3 ขั้นตอนทำไอศกรีมผลไม้ บอกเลยว่าง่ายเว่อร์....

หนูร้อนๆ ขอกินติมหน่อยย
เสร็จแล้ว กินแล้วหายร้อนเลย
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. กีวีปอกเปลือกหั่นบางๆ
2. สตรอว์เบอร์รี่สดหั่นบางๆ
3. ส้มเขียวหวานปอกเปลือกหั่นบางๆ
4. บลูเบอร์รี่สด
5. น้ำมะพร้าว
6. แม่พิมพ์ทำไอศกรีมแท่ง

ผลไม้สด
สิ่งที่ต้องเตรียม
ขั้นตอนการทำ
1. เมื่อหั่นผลไม้เสร็จแล้วให้ใส่ลงไปในแม่พิมพ์ทำไอศกรีมแท่งได้เลย ระวังอย่าให้ผลไม้เละและช้ำ

2. เทน้ำมะพร้าวลงไปในแม่พิมพ์ (หรือจะเป็นน้ำผลไม้อย่างอื่นก็ไม่ว่ากัน)

3. นำแม่พิมพ์ทำไอศกรีมผลไม้ไปแช่ช่องฟรีซให้แข็ง แค่นี้คุณก็จะได้คลายร้อนด้วยวิธีการง่ายๆ กันแล้ว

ที่มา : thenerdswife
 
credit  by : http://www.thairath.co.th/content/485263

Read More...


ลิ้มรส ‘ลาวากะทิมะพร้าวเผา’ หอมอร่อย‘แฮมเบอร์เกอร์’เนื้อนุ่ม


วันนี้เราจะมาทำของหวานกันนะครับ โดยช่วงนี้ผู้คนนิยมทำของหวานที่ไส้ข้างในเป็นน้ำไหลออกมาที่เรียกกันว่า ลาวา ผมเลยมีความคิดจะทำ ลาวากะทิมะพร้าวเผา
วันเสาร์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 05:00 น.

ลิ้มรส ‘ลาวากะทิมะพร้าวเผา’
หอมอร่อย‘แฮมเบอร์เกอร์’เนื้อนุ่ม

วันนี้เราจะมาทำของหวานกันนะครับ โดยช่วงนี้ผู้คนนิยมทำของหวานที่ไส้ข้างในเป็นน้ำไหลออกมาที่เรียกกันว่า ลาวา ผมเลยมีความคิดจะทำ ลาวากะทิมะพร้าวเผา ซึ่งได้นำวิธีการทำและสูตรมาให้เพื่อน ๆ เป็นของหวานที่ทำไม่ยากเลย แถมยังอร่อยอีกด้วย

มาที่วิธีการทำ เริ่มด้วยการละลายช็อกโกแลตขาวกับเนย โดยการนำหม้อน้ำร้อนมาตั้งไฟ ใช้ความร้อนจากไอน้ำมาละลายช็อกโกแลตขาวและเนย เมื่อช็อกโกแลตและเนยละลายแล้วให้ใส่กะทิลงไป คนให้เข้ากันเมื่อเข้ากันแล้วให้ปิดไฟยกออกมาพักไว้ก่อน

จากนั้นนำเครื่องตีมาตีไข่แดง ไข่ไก่ทั้งฟอง 1 ฟองและน้ำตาลทราย ตีให้ส่วนผสมเข้ากันจนเป็นสีครีม หลังจากนั้นนำแป้งสาลีผสมกับเกลือแล้วแบ่งแป้งสาลีเป็น 3 ส่วนให้เท่า ๆ กัน เมื่อแบ่งเสร็จค่อย ๆ ใส่แป้งสาลีลงไปในไข่ที่ตีไว้ทีละส่วน จนหมดทั้ง 3 ส่วน เมื่อเข้ากันดีแล้วให้เทออกใส่ชามผสมไว้

ขั้นตอนต่อมา ค่อย ๆ ใส่ช็อกโกแลตขาวกับเนยที่ละลายไว้ลงไปในชามผสมทีละน้อย ๆ ตีให้เข้ากันจนหมดจากนั้นใส่เนื้อมะพร้าวขูดลงไป ค่อย ๆ ตะล่อมคลุกให้เข้ากัน ตักส่วนผสมลงในกะลามะพร้าวอ่อนหรือแม่พิมพ์อื่นก็ได้นะครับแล้วนำเข้าเตาอบ ใช้อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียสโดยจะอบประมาณ 15 นาที เมื่อครบเวลาที่กำหนดไว้ ยกออกจากเตาอบแล้วเตรียมเสิร์ฟ

ขั้นตอนสุดท้าย นำกะลาที่อบแล้ววางลงในจานเสิร์ฟโดยจะเสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมสตรอเบอรี่ มะยงชิดและราสเบอรี่สดหรือจะเป็นผลไม้อื่นก็ได้นะครับแล้วแต่ชอบ ที่มีรสเปรี้ยวหน่อยจะได้ช่วยตัดความหวานและเสิร์ฟทันที เพราะมิเช่นนั้นไอศกรีมจะละลาย บ้านเรายิ่งละลายเร็วอยู่ด้วย

เป็นเมนูที่ไม่ยากเลยใช่ไหม ลองทำกินกันดูนะครับ

เครื่องปรุง 'ลาวากะทิมะพร้าว'

ช็อกโกแลตขาว 100 กรัม

เนย 100 กรัม

หัวกะทิ 100 กรัม

ไข่แดง 2 ฟอง

ไข่ไก่ 2 ฟอง

น้ำตาลทราย 50 กรัม

เกลือ 1/2 ช้อนชา

แป้งสาลี 50 กรัม

เนื้อมะพร้าวอ่อนขูด 30 กรัม

มะพร้าวเผาครึ่งลูก 2 ลูก

ไอศกรีมสตรอเบอรี่ 1 สกู๊ป

มะยงชิดสด สำหรับเสิร์ฟ

ราสเบอรี่สด สำหรับเสิร์ฟ

........................................................................

ร้านอาหารชวนชิม

วันนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปที่ อ.สมุย จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อไปชิมแฮมเบอร์เกอร์กันที่ร้าน ชีสเบอร์เกอร์ ชีสเบอร์เกอร์ โดยร้านตั้งอยู่ที่หน้าปากซอยบ่อผุด เป็นร้านที่ตกแต่งเหมือนร้านที่เมืองนอกเลยครับ ใช้สีส่วนใหญ่เป็นขาวดำ เมื่อมองเข้าไปในร้านดูสะอาด สวยงาม มีมุมน่ารัก ๆ อยู่หลายที่ด้วยกัน

ที่ร้านนี้เชฟเป็นชาวอเมริกัน เขาพิถีพิถันในการทำ แฮมเบอร์เกอร์ มาก โดยจะซื้อเนื้อมาจาก 3 ส่วนของวัวแล้วนำมาแบ่งเป็น 3 ส่วน จากนั้นเอามาผสมและบดเองและนำมาปั้นเป็นก้อน โรยด้วยเกลือ พริกไทย ก่อนจะเอาไปทอดซึ่งเขาจะไม่ปั้นเนื้อให้แน่นมาก ก้อนหนึ่งจะหนักประมาณ 180 กรัมและ 120 กรัม ส่วนตัวของผมชอบแบบ 180 กรัม เพราะได้กินเนื้อเต็มคำดีครับ

หลังจากนั้นเขาจะเอาไปวางบนกระทะแบน ๆ ใช้เวลาประมาณ 7 นาทีถึงจะกลับอีกด้าน พอกลับด้านจะเอาชีสที่ซื้อมาเป็นก้อนใหญ่ ๆ เอามาสไลซ์เป็นแผ่น ๆ วางไว้บนเนื้อเพื่อให้ละลาย ใช้เวลาอีกประมาณ 7 นาที ระหว่างนั้นจะเอาแป้งแฮมเบอร์เกอร์ที่สั่งทำซึ่งตัวแป้งออกหวานนิด ๆ แล้วทาเนย เอาฝาบนวางนาบบนกระทะแบน ๆ

ต่อมาจะเอาแป้งส่วนที่เป็นฐาน บีบซอสมะเขือเทศลงไปตรงกลางแป้ง ลักษณะเป็นวงกลมและบีบมายองเนส ตามรอบ ๆ ซอสที่เป็นวงกลมเมื่อซอสมะเขือเทศและมายองเนสมาผสมกันจะกลายเป็นน้ำสลัดข้น ๆ เรียกว่า เทาส์ซันไอซ์แลนด์ เดรสซิ่ง

หลังจากนั้นเอาชีสเบอร์เกอร์วางไปข้างบนและใส่หอมหัวใหญ่ผัดวางไปข้างบนต่อจากชีสเบอร์เกอร์ตามด้วยการเอามะเขือเทศที่ได้มาจากโครงการหลวงมาสไลซ์เป็นชิ้น ๆ วางลงไปและก็ใส่ผัก ก่อนจะเอามาประกบกันแล้วเสียบไม้

เมื่อผมได้ลองเอาเข้าปากกินแล้วรสชาติอร่อยเหลือเกิน เพราะวิธีการบดเนื้อของเขาไม่บดให้ละเอียดจนเกินไปยังมีลักษณะเป็นชิ้นเนื้ออยู่ ทำให้อร่อยได้ลิ้มรสชาติของความเป็นแฮมเบอร์เกอร์อย่างแท้จริง

หากมีโอกาสไป อ. สมุย แล้วอยากกินแฮมเบอร์เกอร์ที่อร่อยๆ อยากให้ไปที่ร้านนี้กันดู แต่มีข้อจำกัดอยู่ว่าร้านนี้มีแต่เนื้อนะครับ เมื่อผมได้ชิมแล้วจึงอยากให้เพื่อนๆ ลองไปกินกัน เป็นร้านที่ควรไปกินเป็นอย่างยิ่งเพราะเขาทำเหมือนกับที่ทำเสิร์ฟที่อเมริกาเลยครับ

หมึกแดง

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/304179/ลิ้มรส+‘ลาวากะทิมะพร้าวเผา’

Read More...


‘คาเฟ เดอ ปารีส์’ มรดกรสรื่นจากราชสกุลยุคล


สำหรับประวัติของเมนู “คาเฟ เดอ ปารีส์” มาจากร้านอาหารเก่าแก่ตั้งแต่ปี 2483 ตั้งอยู่ในเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ใช่ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตามชื่อซอส ซึ่งสูตรการทำซอสนี้ว่ากันว่าเป็นความลับของทางร้าน
วันเสาร์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 04:00 น.

สิ่งใดเป็น “ความลับ” สิ่งนั้นผู้คนยิ่งอยากรู้ และสูตรลับทางอาหารก็ไม่ได้รับการยกเว้น แม้ตัวเองจะไม่เก่งกาจงานครัวเท่ากับเรื่องเรียนและการทำงาน แต่หลังจาก เดียร์-พญ.ลัญจพร ยุคล ณ อยุธยา เจ้าของลัญจพรคลินิก ย่านปทุมธานีคลอง 4 ออกเหย้าเฝ้าเรือนกับ ม.ร.ว.ทักขิญ ยุคล แล้ว ก็พยายามฝึกปรือเสน่ห์ปลายจวักเอาไว้มัดใจสามี โดยมีกูรูคนเก่งคอยแนะนำทั้งเรื่องเมนูและรสชาติอาหารที่ถูกปาก ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นมารดาของสามี หม่อมนิติมา ยุคล ณ อยุธยา นั่นเอง

หมอเดียร์ผู้มีนัยน์ตากลมโตไม่ต่างจากกวางนัก เล่าว่า “สามีเป็นนักบินมีตารางบินต่างประเทศเสมอ กลับบ้านบางครั้งเวลาดึกดื่น ร้านรวงต่าง ๆ พากันปิดแล้ว จำเป็นต้องเปิดครัวปรุงอาหารสุกใหม่ตามคำร้องขอของสามี ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูง่าย ๆ หยิบจับวัตถุดิบในตู้เย็นมาทำ เช่น สปาเกตตีแซลมอนรมควัน เป็นต้น” แต่ที่ถูกปากจริง ๆ ขนาดสามีดั้นด้นไปกินถึงต่างแดน แล้วก็ยังเทียบฝีมือของหม่อมนิติมาไม่ได้ก็คือ “คาเฟ เดอ ปารีส์” สเต๊กจานอร่อยที่เป็นมรดกตกทอดจากราชสกุลยุคล เมนูหากินยากในเมืองไทย

“เดียร์มีโอกาสชิมครั้งแรกสมัยคบหาเป็นคนรู้ใจกับชายปืน เมื่อได้ลิ้มลองรู้สึกว่า โอ้โห...อร่อยจัง รู้สึกติดใจมาก อีกทั้งชายปืนก็ชื่นชมฝีมือของคุณแม่ว่าอร่อยที่สุด หลังจากแต่งงานจึงขออนุญาตไปเรียนกับคุณแม่ ซึ่งท่านไม่ขัดข้องสอนวิชาให้หมดเปลือก” หมอเดียร์เล่า

เสมือนเคาะสนิมรื้อฟื้นฝีมือ หลังจากหัดทำด้วยตัวเองครั้งแรกที่ต่างแดน “จำได้ว่าแรก ๆ หุงข้าวยังกะน้ำไม่เป็น แข็งไปบ้างแฉะไปบ้าง แต่เราก็ต้องกินเพราะที่นั่นข้าวหอมมะลิราคาสูงลิ่ว ความยากของการทำอาหารไทยที่โน่นอย่างหนึ่งคือขาดวัตถุดิบ ครั้งหนึ่งเดียร์อยากกินอาหารประเภทแกง แล้วแวะซื้อมะเขือที่ซูเปอร์มาร์เกต หยิบแพ็กเกจมาดูถึงกับตกใจ มีแค่ 6 ลูกแต่ราคากว่า 10 ปอนด์ ทำใจซื้อไม่ลงจริง ๆ แต่ได้อาศัยศึกษาจากเว็บไซต์ครัวไกลบ้าน สอนทำอาหารแบบประยุกต์ตามที่มีวัตถุดิบ นับว่าคุ้มและหายคิดถึงอาหารไทยบ้าง” หมอเดียร์เล่า

สำหรับประวัติของเมนู “คาเฟ เดอ ปารีส์” มาจากร้านอาหารเก่าแก่ตั้งแต่ปี 2483 ตั้งอยู่ในเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ไม่ใช่ที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตามชื่อซอส ซึ่งสูตรการทำซอสนี้ว่ากันว่าเป็นความลับของทางร้าน และกว่าจะตกทอดเคล็ดลับมาถึงมือนั้น ต้องผ่านหลายขั้นตอน

“คุณแม่ของสามีเป็นอดีตนักเรียนเก่าสวิส ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านหญิงภุมรีภิรมย์ เชลล์ และท่านหญิงจันทรจรัสศรี ไพบูลย์เลิศ มาตามลำดับ ซึ่งสมัยก่อนเรียนรู้แบบครูพักลักจำ เน้นกะมากกว่าชั่งตวงปริมาณตายตัว ถือว่าต้องใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์พอสมควร อย่าง ไรก็ตามสเต๊กสูตรนี้นิยมใช้เนื้อวัวเป็นวัตถุดิบหลัก ทว่าสามารถใช้เนื้อหมูแทนกันได้”

วัตถุดิบและส่วนผสม ประกอบด้วย หอมแดง 200 กรัม, กระเทียม 100 กรัม, เนื้อสันใน 200 กรัม, เนยจืด 454 กรัม, ใบพาสลี่ย์ตามชอบ, แองโชวี่ 1 กระป๋อง, มะนาว 2 ลูก, มัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะ และทารากอน ส่วนผสมและปรุงรสสำหรับอาหารสไตล์ฝรั่งเศส

วิธีทำ สับหอมกับกระเทียมให้ละเอียด แล้วค่อย ๆ ทยอยใส่เนยจืดปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดละเอียดเพื่อทำซอส ระหว่างปั่นหมอเดียร์ใช้ตะเกียบค่อย ๆ เกลี่ยส่วนผสมลงไปก้นเครื่องปั่น จากนั้นใส่แองโชวี่ น้ำมะนาว มัสตาร์ด ใบพาสลี่ย์และทารากอน ซึ่งส่วนผสมสองอย่างหลังนี้จะช่วยเรื่องสีสันและให้กลิ่นหอมเย้ายวน ขั้นตอนนี้ถือว่าปราบเซียนและเปลืองเวลาที่สุด เพราะส่วนผสมของซอสค่อนข้างแห้งทำให้ปั่นยาก ดังนั้นหมอเดียร์จึงแนะนำทำเก็บไว้คราวละมาก ๆ เพื่อความสะดวกรวดเร็วหากต้องการทำใหม่ เพียงใส่ขวดปิดให้มิดชิดแล้วเก็บในตู้เย็น

พอได้ซอสแล้วใช้ไม้เหล็กทุบเนื้อคลายความเหนียว ตั้งกระทะให้ร้อนนำเนื้อลงไปกริลล์พอสุก แล้วยกออกเทซอสลงในกระทะรอจนร้อนค่อยใส่เนื้อลงไปผัด คลุกเคล้าจนเข้ากัน จัดเสิร์ฟใส่จานรับประทานกับเฟรนช์ฟรายส์และผักสลัด ตัวซอสคาเฟ เดอ ปารีส์ ที่เข้มข้นหอมกลิ่นเนยจะค่อย ๆ แทรกซึมในชิ้นเนื้อทำให้นุ่มลิ้นและอร่อยขึ้น.

‘ช้องมาศ’

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/304149/‘คาเฟ+เดอ+ปารีส์’+มรดกรสรื่นจากราชสกุลยุคล

Read More...


‘กะหรี่ปั๊บงาดำ’ ชูสุขภาพสร้างเงิน


กะหรี่ปั๊บงาดำ ของทิพย์วัลย์มีทั้งหมด 4 ไส้ ได้แก่ ไส้ไก่, ไส้ถั่วเหลือง, ไส้เผือก และไส้ถั่วดำ โดยไส้ไก่เป็นไส้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
วันอาทิตย์ 22 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 05:00 น.

การทำอาหาร ขนม หรือของว่างต่าง ๆ ในปัจจุบันนอกจากจะต้องคำนึงถึงความอร่อย รสชาติที่กลมกล่อมถูกปากคนทานแล้ว ความแตกต่าง หรือความแปลกใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องนึกถึง เพราะหากสินค้าที่จะขายไม่ได้มีอะไรพิเศษไปจากร้านค้าอื่น ๆ สินค้านั้นคงจะขายได้ยาก หรือไม่มีใครจำได้ เพราะคิดถึงเรื่องนี้ เจ้าของกรณีศึกษารายนี้จึงคิดถึงผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างขึ้นมา อย่าง “กะหรี่ปั๊บงาดำ” ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

ทิพย์วัลย์ อภิวรรณ์ หรือพี่หน่อย เจ้าของ “กะหรี่ปั๊บงาดำ” จาก จ.อุทัยธานี กล่าวว่า ได้ทำกะหรี่ปั๊บงาดำขายมา 6 ปีแล้ว จากเดิมที่เคยทำงานฝีมือขายมาก่อน แต่ระยะหลังเริ่มขายยากมาก จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนสินค้าที่จะขาย แต่ขณะนั้นยังไม่รู้จะทำอะไรขายดี

“จึงได้ไปอบรมวิชาชีพการทำกะหรี่ปั๊บในหมู่บ้านที่อยู่ แต่คิดว่าหากเป็นกะหรี่ปั๊บแบบทั่ว ๆ ไปคงจะขายยาก จึงคิดหาสิ่งแปลกใหม่ใส่ลงไป อย่างเมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทอง แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่งาดำ เพราะนอกจากจะเข้ากับแป้งกะหรี่ปั๊บได้แล้ว ยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย จึงทำกะหรี่ปั๊บงาดำตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา” ทิพย์วัลย์ กล่าว

กะหรี่ปั๊บงาดำ ของทิพย์วัลย์มีทั้งหมด 4 ไส้ ได้แก่ ไส้ไก่, ไส้ถั่วเหลือง, ไส้เผือก และไส้ถั่วดำ โดยไส้ไก่เป็นไส้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

อุปกรณ์ในการทำ กะหรี่ปั๊บงาดำ หลัก ๆ มี เครื่องนวดแป้ง, ไม้รีดแป้ง, ที่ตัดแป้ง, เตาแก๊ส, กระทะ และภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้ในครัว

ส่วนผสมของ กะหรี่ปั๊บงาดำ หลัก ๆ มีแป้งชั้นนอก, แป้งชั้นใน และไส้กะหรี่ปั๊บ

ส่วนผสมของ แป้งชั้นนอก มี แป้งสาลี 60%, งาดำ 5%, น้ำเปล่า และน้ำมันพืช 25%, เกลือป่น 5%, และน้ำตาลทรายอีก 5%

ในขณะที่ แป้งชั้นใน มีส่วนผสมของ แป้งสาลี 80% และน้ำเปล่าอีก 20%

วิธีทำ แยกนวดแป้งชั้นนอก และแป้งชั้นในออกจากกัน ส่วนวิธีนวดเหมือนกัน คือ เทส่วนผสมทั้งหมดในกะละมัง แล้วใช้มือนวด หรือใช้เครื่องนวดแป้งนวด นวดให้แป้งและส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน

เมื่อนวดแป้งเข้ากันดีแล้ว ให้ตัดแป้งแต่ละชนิดออกเป็นชิ้น ๆ โดย แป้งชั้นนอก แบ่งออกเป็นชิ้น ชิ้นละ 20 กรัม ในขณะที่ แป้งชั้นใน แบ่งออกเป็นชิ้น ชิ้นละ 1.4 กรัม

รีดแป้งแต่ละชิ้นให้บาง แล้ววางส่วนแป้งชั้นในลงบนแป้งชั้นนอก พับครึ่งแล้วใช้ที่รีดแป้งรีดให้เข้ากัน แล้วพับแป้งอีกครั้ง แล้วรีดให้เข้ากัน ทำแบบนี้ประมาณ 8-9 ชั้น แป้งจะกลายเป็นชั้น ๆ ในส่วนของ ไส้กะหรี่ปั๊บ ข้อมูลมีดังนี้ คือ....

ไส้ไก่ มีส่วนประกอบของ เนื้อไก่สับ 10%, มันฝรั่งหั่นชิ้นเล็ก ๆ 80% นอกจากนี้ ในส่วนของเครื่องปรุงมีผงกะหรี่, พริกไทย, น้ำตาลทราย, เกลือป่น และนมสด รวม10%

นำเนื้อไก่ไปผัดกับมันฝรั่งบดให้สุก ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสต่าง ๆ โดยเน้นรสชาติให้หวาน ๆ เค็ม ๆ และมีกลิ่นของผงกะหรี่ และกลิ่นพริกไทยด้วย

ส่วนของไส้ถั่วเหลือง, ไส้ถั่วดำ และไส้เผือกนั้น จะต้องนำถั่วเหลือง, ถั่วดำ และเผือก ไปต้มให้สุกเสียก่อน แล้วนำมาบดให้ละเอียด วิธีกวนไส้ ตั้งกระทะทองเหลือง ใส่ถั่วเหลืองบด หรือถั่วดำบด หรือเผือกบดลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย และนมสด ในสัดส่วน 80 : 20 กวนด้วยไฟอ่อน ๆ ให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน ใช้เวลา 20-30 นาที ดูว่าส่วนผสมเข้ากันดี ชิมรสตามที่ต้องการ พักให้เย็น เตรียมไว้

วิธีปั้นกะหรี่ปั๊บ นำแป้งกะหรี่ปั๊บแต่ละชิ้นที่ปั้นเสร็จแล้ว มารีดให้บาง กะให้ขนาดยาว 10 ซม. กว้าง 8 ซม. จากนั้นตักไส้กะหรี่ปั๊บลงไปบนแป้งพอประมาณ แล้วพับครึ่ง ใช้นิ้วหัวแม่โป้งและนิ้วชี้จับจีบให้เป็นเกลียวที่ขอบแป้งเพื่อปิดขอบแป้งให้สนิท และดูสวยงาม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้จำนวนกะหรี่ปั๊บตามที่ต้องการ บรรจุใส่ภาชนะ คลุมด้วยเพื่อผ้าขาวบางกันไม่ให้ลมและฝุ่นเข้า

วิธีทอดกะหรี่ปั๊บ ตั้งกระทะ ใช้ไฟแรงปานกลาง ใส่น้ำมันพืชท่วม รอจนกระทั่งน้ำมันเดือด ค่อย ๆ ใส่กะหรี่ปั๊บทีละชิ้นลงไปทอด รอจนกระทั่งกะหรี่ปั๊บลอยขึ้นมา แล้วค่อย ๆ หรี่ไฟลงเล็กน้อย และคอยหมั่นใช้ตะหลิวคอยพลิกไป-มา ระวังอย่าให้กะหรี่ปั๊บไหม้ เมื่อกะหรี่ปั๊บเริ่มสุก สังเกตว่ามีสีเหลืองทอง เท่านี้ก็ตักขึ้นมาพักให้สะเด็ดน้ำมัน บรรจุใส่กล่อง กล่องละ 7 ชิ้น ขายในราคา 50 บาท

ใครสนใจ “กะหรี่ปั๊บงาดำ” ของ ทิพย์วัลย์ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ติดต่อได้ที่กลุ่มหัตถศิลป์ถิ่นบ้านไร่ 103/6 หมู่ 1 ต.บ้านบึง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี หรือ โทร. 08-9568-2553.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน

ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

.....................................................................................................

คู่มือลงทุน…กะหรี่ปั๊บงาดำ

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย

รายได้ ราคา 50 บาท/ 7 ชิ้น

ตลาด ชุมชน/งานออกร้าน/ร้านของฝาก

จุดที่น่าสนใจ ใช้งาดำเพิ่มมูลค่า

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/302701/‘กะหรี่ปั๊บงาดำ’+ชูสุขภาพสร้างเงิน

Read More...


‘ข้าวกล้องงอกผง’ พร้อมดื่ม-พร้อมทำเงิน



สำหรับ “ข้าวกล้องงอกผง” นี้ ทางกลุ่มฯ ได้รับการสนับสนุนจากทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยเริ่มลองทำเพื่อรับประทานในชุมชนก่อน จากนั้นจึงผลิตเพื่อนำไปวางจำหน่าย
วันเสาร์ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เวลา 06:00 น.

“แปรรูปอาหาร” เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” ที่ใช้ทำเป็นอาชีพได้ อย่างเช่น “ข้าวกล้องงอกผง” ที่ทาง “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวกล้องบ้านสร้างมิ่ง” รวมตัวกันทำ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์นี้ ที่สามารถสร้างอาชีพ-สร้างรายได้เป็นอย่างดีให้กับสมาชิกของกลุ่ม ที่วันนี้ทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอไว้ให้พิจารณา

สืบเนื่องจากงานมหกรรมการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ประจำปี 2558 จัดที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานมีการนำสินค้าและผลิตภัณฑ์สมุนไพรและอาหารแปรรูปหลายชนิดมาจำหน่าย ซึ่ง “ข้าวกล้องงอกผง” ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนที่เข้าเยี่ยมชมงานอย่างมาก โดย กนกวรรณ แก้วสุ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวกล้องบ้านสร้างมิ่ง เล่าว่า เดิมสมาชิกในกลุ่มมีอาชีพปลูกข้าวหอมมะลิ แต่หลังจากพบว่าปัจจุบันคนให้ความสนใจข้าวกล้องงอกมาก และมีกระแสที่ดีในกลุ่มคนที่รักสุขภาพ เพราะเป็นข้าวที่มีสารอาหารมากมายหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความแก่ จึงหันมาปลูกข้าวกล้องงอก และแปรรูปผลผลิตดังกล่าว โดยพัฒนาให้รับประทานได้สะดวกขึ้น ในรูปแบบ...ข้าวกล้องงอกผงชงพร้อมดื่ม

ทั้งนี้ ประธานกลุ่มฯ คนเดิมกล่าวว่า คุณประโยชน์ของข้าวกล้องงอกนั้น สังคมทั่วไปรับทราบกันดีอยู่แล้ว ที่คิดทำเพิ่มคือ การทำให้รับประทานได้สะดวกขึ้น ด้วยการนำมาทำเป็นผง ซึ่งสำหรับ “ข้าวกล้องงอกผง” นี้ ทางกลุ่มฯ ได้รับการสนับสนุนจากทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี โดยเริ่มลองทำเพื่อรับประทานในชุมชนก่อน จากนั้นจึงผลิตเพื่อนำไปวางจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพ ที่กลายมาเป็นอาชีพสร้างรายได้ เพิ่มรายได้ให้กับชุมชนในปัจจุบัน

“ปัจจุบันข้าวกล้องงอกผงที่ทำมีข้าวกล้องงอกผง ข้าวกล้องงอกผงผสมธัญพืช ข้าวกล้องงอกผงสมุนไพร ข้าวกล้องงอกผงรสงาดำ ซึ่งขณะนี้ก็พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้กลุ่มลูกค้ามีทางเลือกในการรับประทาน” ...ทางประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวกล้องบ้านสร้างมิ่ง พื้นที่ จ.อุบลราชธานี กล่าว

ทุนเบื้องต้น ทางประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ระบุว่า ขึ้นกับขนาดของกิจการ ทุนวัตถุดิบ อยู่ที่ประมาณ 50% จากราคา ซึ่งราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 50 บาทต่อข้าวกล้องงอกผงปริมาณ 100 กรัม ทั้งนี้ ขึ้นกับรูปแบบการผลิตข้าวกล้องงอกผง

อุปกรณ์ ที่ใช้ในการทำข้าวกล้องงอกผง ประกอบด้วย เครื่องกะเทาะเปลือก, กระทะ, ไม้พาย, เตาแก๊ส, เครื่องบด, เครื่องปั่น เเละอุปกรณ์เบ็ดเตล็ด หรืออุปกรณ์ครัวทั่วไป วัตถุดิบ ประกอบด้วย ข้าวกล้องงอก, งาดำ, ใบย่านาง, ใบหม่อน, ถั่วเหลืองอบแห้ง, ลูกเดือยอบแห้ง เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ “ข้าวกล้องงอกผง” มีวิธีทำอยู่ 2 รูปแบบ คือ “แบบข้าวคั่วและแบบข้าวหุง” โดย “การทำข้าวกล้องผงแบบข้าวคั่ว” เริ่มจากนำข้าวกล้องงอกหอมมะลิที่กะเทาะเปลือกแล้ว มาคั่วด้วยไฟอ่อน ๆ โดยใช้เวลาในการคั่วประมาณ 20 นาที เมื่อได้ที่แล้วข้าวกล้องงอกจะสุกพอดีและมีกลิ่นหอม จากนั้นนำไปเข้าเครื่องปั่น ทำการปั่นให้ละเอียดจนเป็นผง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ สามารถนำไปบรรจุถุงพร้อมขายได้เลย ส่วน “การทำข้าวกล้องงอกผงแบบข้าวหุง” เริ่มจากนำข้าวกล้องไปล้างทำความสะอาดเสียก่อน จากนั้นก็นำไปใส่หม้อหุงข้าว โดยให้หุงด้วย “น้ำสมุนไพร” เช่น น้ำใบย่านาง น้ำใบหม่อน เหมือนการหุงข้าวทั่วไป พอข้าวกล้องงอกที่หุงสุกดีแล้ว ให้นำมาเข้าเครื่องบด หลังจากบดเสร็จแล้ว นำไปปั่นในเครื่องปั่นจนเป็นผงละเอียด และนำไปบรรจุถุงพร้อมขาย

สำหรับ “ข้าวกล้องงอกผงรสงาดำ” นั้น เริ่มจากนำงาดำไปคั่วไฟให้สุกหอม แล้วนำไปผสมปั่นรวมกับข้าวกล้องงอกที่หุงด้วยน้ำสมุนไพร ซึ่งถ้าทำข้าวกล้องงอกผงที่ผสมธัญพืช จะมีสัดส่วนของส่วนผสม คือ ข้าวกล้องงอกอบแห้งประมาณ 6 กรัม, ถั่วเหลืองอบแห้งประมาณ 2 กรัม, ลูกเดือยอบแห้งประมาณ 1 กรัม, นมผงประมาณ 3 กรัม ครีมเทียมประมาณ 5 กรัม และน้ำตาลประมาณ 8 กรัม โดยนำมาผสมปั่นรวมกันก็จะได้ข้าวกล้องงอกผสมธัญพืช ขนาดความจุซองละ ประมาณ 25 กรัม โดยเมื่อจะรับประทานก็เพียงฉีกซองออก จากนั้นเทลงผสมน้ำร้อน 1 แก้ว หรือประมาณ 150 มิลลิลิตร คนให้เข้ากันก็พร้อมดื่มได้ทันที...ซึ่งนี่ก็เป็นอีก “การแปรรูป” ที่น่าสนใจ เพื่อใช้เป็น “ช่องทางทำกิน” เสริมรายได้

สำหรับผู้ที่สนใจกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” การแปรรูปข้าวกล้องงอกผงพร้อมชงดื่ม สามารถติดต่อได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผลิตข้าวกล้องบ้านสร้างมิ่ง ต.หนองเมือง อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี โทร. 08-0164-5762, 08-7654-9894, 08-1966-3812 และนี่ก็เป็น “ช่องทางทำกิน” เกี่ยวกับการแปรรูปพืชผล-ผลผลิตการเกษตร และเป็นอีกวิธีเพิ่มมูลค่าที่น่าสนใจ...

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน

.....................................................................................................

คู่มือลงทุน...ข้าวกล้องงอกผง

ทุนเบื้องต้น ขึ้นกับขนาดกิจการ

ทุนวัสดุ ประมาณ 50% จากราคา

รายได้ ราคา 50 บาทต่อ 100 กรัม

แรงงาน 1 คนขึ้นไป

ตลาด กลุ่มคนรักสุขภาพ

จุดน่าสนใจ จับกระแสอาหารสุขภาพ


credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/304095/‘ข้าวกล้องงอกผง’+พร้อมดื่ม-พร้อมทำเงิน

Read More...


‘จำปาดะทอด’ ใช้สูตรพื้นบ้านสร้างอาชีพ



“จำปาดะ” หลายคนอาจไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้ แต่เมื่อได้รับประทานทั้งที่เป็นผลสด และปรุงเป็นอาหารตามภูมิปัญญาชาวบ้าน แล้วต้องติดใจในรสชาติความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว “จำปาดะ” เป็นชื่อของไม้ผลยืนต้น ที่จัดอยู่สกุลเดียวกับขนุน และสาเก มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมาลายู อินโดนีเซีย นิยมเอารากไปเป็นส่วนผสมของยาสุมนไพรโบราณแบบดั้งเดิมใช้สำหรับหญิงเพิ่งคลอดบุตร ในบ้านเรานั้นจะนิยมปลูกทางภาคใต้ และเป็นผลไม้ที่หากินได้ยากมาก ๆ และยังให้ผลปีละ 2 ครั้งเท่านั้น วันนี้ทีมงาน “ช่องทางทำกิน” ได้นำสูตรการทอดจำปาดะขาย ซึ่งเป็นอาชีพพื้น ๆ มาแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพ...

ผู้ที่จะมาให้ข้อมูลการทำคือ พี่ดา-ปรีดา ทองอยู่ และ พี่ต่าย-อรุณี สันติเฉลิมวงศ์ สองพี่น้องผู้สืบทอดการทำขนมพื้นบ้านปักษ์ใต้ “ขนมลาแม่สมจิตร” จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า เพราะที่บ้านมีอาชีพค้าขายและทำขนมพื้นบ้านขายหลายอย่าง หลัก ๆ มีกล้วยทอด มันทอด เผือกทอด กลอยทอด สาเกทอด ขนมลา และจำปาดะทอด สืบทอดทำขายกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษจนมาถึงรุ่นคุณพ่อคุณแม่ พอดีท่านมีลูกหลายคน ประกอบกับในพื้นที่มีคนขายขนมแบบเดียวกันเยอะ จึงคิดขยับขยายการขายมาเป็นสินค้าชุมชน

“ถ้าเรายังทำขนมขายในพื้นที่ต่อไป คงจะลำบากเพราะนับวันจะมีแม่ค้าเพิ่มมากขึ้น คุณแม่จึงให้ลูก ๆ ออกร้าน แยกกันขายตามงานโอทอป งานเกษตรแฟร์ งานแสดงสินค้าต่าง ๆ ที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยใช้สูตรพื้นบ้าน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านมาโชว์การทำให้เห็นเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้า และส่วนผสมสำคัญซึ่งถือเป็นตำรับสูตรดั้งเดิมคือ น้ำปูนใส (ปูนแดงที่กินกับหมากพลู) เพราะเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งที่ทำให้แป้งกรอบ ถือเป็นความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ของที่ร้านไม่ใส่ผงฟูเหมือนกับเจ้าอื่น และใส่ใจกับการเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอดประจำ ลูกค้าที่เคยซื้อขนมของเราจะรู้ มาเจองานไหนก็จะซื้อของเราตลอด”

อุปกรณ์ หลัก ๆ ที่ต้องใช้ก็มี เตาแก๊ส, กระทะขนาดใหญ่, ทัพพีด้ามยาว, ตะแกรง, ไม้ปลายแหลม, มีด, ถาดสเตนเลส, กะละมัง, หม้อขนาดใหญ่, กระด้ง เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดอื่น ก็หยิบยืมเอาจากในครัว

วัตถุดิบ ที่ใช้ในการทำจำปาดะทอดมี จำปาดะสด (เลือกลูกพอเหมาะ ขนาดน้ำหนัก 2 กก.), แป้งข้าวเจ้า 1 กก., แป้งข้าวโพด 1 ขีด (100 กรัม), มะพร้าวขูดขาว 5 กก., น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง, ไข่ไก่ 3 ฟอง, น้ำตาลทราย 1 กก., งาขาวหรืองาดำก็ได้, น้ำมันพืช, เกลือ, น้ำสะอาด และกระดาษซับมันขั้นตอนการทำ “จำปาดะทอด”

อันดับแรก เริ่มจากนำมะพร้าวขูดขาวมาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 นำไปคั้นเป็นน้ำหัวกะทิให้ได้ 2 ถ้วยตวง ส่วนที่ 2 พักเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะใช้เป็นส่วนผสมตัวแป้งหุ้มจำปาดะ

นำแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวโพด มาร่อนผสมรวมกัน เสร็จแล้วนำไปเทใส่ในอ่างผสม ใส่น้ำตาลทราย เกลือ ไข่ไก่ น้ำหัวกะทิ ตามลงไป และน้ำปูนใสใส่ตามลงไป (สังเกตดู ถ้าตัวแป้งแข็งเกินไป ก็ให้เติมน้ำสะอาดลงไปเพิ่มนิดหน่อย) แล้วทำการนวดส่วนผสมแป้งให้เข้ากันดี

เสร็จแล้วให้นำมะพร้าวขูดขาวส่วนที่กันเตรียมไว้ ใส่ลงไปในส่วนผสมแป้ง เคล้าให้เนื้อมะพร้าวกับส่วนผสมแป้งเข้ากันดี จึงใส่งาขาวหรืองาดำลงไป แล้วเคล้า เบา ๆ ให้ทั่ว ตั้งพักแป้งไว้สักครู่เพื่อให้แป้งขึ้น

ระหว่างรอแป้ง ตั้งกระทะบนไฟ ใส่น้ำมันให้เยอะ ๆ รอให้น้ำมันร้อน เสร็จแล้วทำการผ่าลูกจำปาดะ โดยใช้มีดกรีดเป็นทางยาว ใช้มือแบะออก จะเห็นจำปาดะเกาะเป็นยวงอยู่ที่แกนกลาง ทำการตัดหัวตัดท้าย ดึงจำปาดะออกมาทั้งแกน แล้วใช้มือรูดผลจำปาดะลงในส่วนผสมแป้ง

ต่อไปเป็นขั้นตอนการทอด นำจำปาดะมาชุบแป้ง แล้วปั้นเป็นก้อนตั้งเตรียมไว้ในหม้อแป้งประมาณ 15-20 เม็ด พอน้ำมันร้อนจัด ค่อย ๆ นำจำปาดะที่หุ้มไปด้วยแป้งและมะพร้าวลงทอดในกระทะ ทำการเร่งไฟแรง (ถ้าไฟไม่แรงจะอมน้ำมัน) ใช้ทัพพีคอยคนเป็นช่วง ๆ สังเกตเห็นแป้งเหลืองกรอบ ตักขึ้นวางบนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วนำไปเทลงบนถาดที่รองกระดาษซับมันไว้ เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

เคล็ดลับความอร่อยของจำปาดะทอด นอกจากตัวแป้งที่ให้ความกรอบนอก นุ่มในแล้ว ผลจำปาดะก็สำคัญ จะต้องคัดต้องเลือกลูกที่ตาห่าง ๆ เพราะเม็ดจะใหญ่ เนื้อจะหวานชุ่มคอ เข้ากันพอดีกับตัวแป้ง นอกจากนี้ส่วนผสมของแป้งสามารถปรับมาใช้กับการทำกล้วยทอด มันทอด เผือกทอด ฯลฯ ได้ เพียงแค่ใส่เนื้อมะพร้าวขูดขาวลงไปครึ่งหนึ่งของแป้งจำปาดะ เท่านี้ก็จะได้แป้งสำหรับทำกล้วยทอด

สำหรับราคาขาย จำปาดะทอด 5 เม็ด ราคา 40 บาท!!!

ใครสนใจผลไม้ทอด ซึ่งเป็นขนมโบราณที่ทำจากภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่าง “จำปาดะทอด” ก็ลองฝึกทำดู หรืออยากจะซื้อหามาลองชิมดู เจ้านี้จะออกขายที่งานแสดงสินค้าจังหวัด งานสมาคมชาวปักษ์ใต้ งานเกษตรแฟร์ และงานโอทอป ต้องการติดต่อไปออกงาน สอบถามรายละเอียดกับ พี่ดา กับพี่เต่า ได้ที่ โทร. 08-9252-3758 และ 08-8875-0901

...นี่ก็เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สามารถนำมาสร้างอาชีพได้อย่างน่าทึ่ง!!.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ

..................................................................................

คู่มือลงทุน...จำปาดะทอด

ทุนเบื้องต้น ประมาณ 8,000 บาท

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคา

รายได้ ราคาขาย 5 เม็ด 20 บาท

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ตลาดน้ำ, ตลาดนัด, งานแสดงสินค้า

จุดน่าสนใจ ขนมพื้นบ้านโบราณคนทำขายน้อย

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/304335/‘จำปาดะทอด’+ใช้สูตรพื้นบ้านสร้างอาชีพ

Read More...


ชวนบริจาคเงินและสิ่งของให้สถานสงเคราะห์ต่างๆ, ผมรวมรายชื่อไว้ให้ ติดต่อได้ตามสะดวกครับ



ชวนทำทานครับ
ช่วยบริจาคเงินให้เด็กและผู้ด้อยโอกาสตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ นะครับ
ร่วมกันทำในสิ่งที่คุณสามารถช่วยทำได้...บริจาคเงินและสิ่งของกันนะครับ

เลือกและติดต่อด้วยตนเองได้จากรายชื่อต่อไปนี้ครับ >>

สถานสงเคราะห์เด็ก
1. สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด โทร. 02-583-3000
2. สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพญาไท โทร. 02-584-7254-55
3. สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนรังสิต โทร. 02-577-2347
4. สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านบางละมุง(ชลบุรี) โทร. 038-241-373
5. สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านปากเกร็ด โทร. 02-583-8343
6. สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านมหาเมฆ โทร. 02-286-2013
7. สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านราชสีมา โทร. 044-242-552
8. สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านศรีธรรมราช โทร. 075-356-166
9. สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านหนองคาย โทร. 042-407-387
10. สถานสงเคราะห์เด็กชายจังหวัดยะลา โทร. 073-274-488
11. สถานสงเคราะห์เด็กบ้านแคนทอง (ขอนแก่น) โทร. 043-337-533
12. สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ (เชียงใหม่) โทร. 053-121-161
13. สถานสงเคราะห์เด็กบ้านสงขลา โทร. 074-333-223
14. สถานสงเคราะห์เด็กปัตตานี โทร. 073-460-131
15. สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี โทร. 02-354-7484
16. สถานสงเคราะห์เด็กหญิงจังหวัดสระบุรี โทร. 0-3626-6708
17. สถานสงเคราะห์เด็กหญิงอุดรธานี โทร. 0-4229-5074 (ไม่มีคนรับ)
18. สถานสงเคราะห์เยาวชนมูลนิธิมหาราช(ปทุมธานี) โทร. 02-577-1267

สถานแรกรับเด็ก
1. สถานแรกรับเด็กชายปากเกร็ด โทร. 02-583-8345
2. สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร โทร. 02-577-6572

สถานสงเคราะห์คนชรา
1. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว (นครสวรรค์)โทร. 056-204-039
2. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านจันทบุรี โทร. 039-326-496
3. สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อเปิ่นอุปถัมภ์) (นครปฐม) โทร. 034-338-412
4. สถานสงเคราะห์คนชราเฉลิมราชกุมารี (หลวงพ่อลำใยอุปถัมภ์) (กาญจนบุรี) โทร. 034-531-441
5. สถานสงเคราะห์คนชรานครปฐม โทร. 034-255-102
6. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านทักษิณ (ยะลา) โทร. 073-257-565, 073-212-904
7. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านธรรมปกรณ์ (เชียงใหม่) โทร. 053-278-573
8. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านธรรมปกรณ์ (โพธิ์กลาง) (นครราชสีมา) โทร. 044-242-521
9. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านธรรมปกรณ์ (วัดม่วง) (นครราชสีมา) โทร. 044-242-490
10. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค บริเวณสถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค โทร. 02-413-1141
11. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค 2 บริเวณสถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค 2 โทร.02-455-6318
12. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางละมุง (ชลบุรี) โทร. 038-241-121
13. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านลพบุรี โทร. 036-413-706
15. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านศรีตรัง โทร. 075-214-883
16. สถานสงเคราะห์คนชราบ้านมหาสารคาม โทร. 043-777-124, 0-4372-1524
17. สถานสงเคราะห์คนชราวัยทองนิเวศน์ (เชียงใหม่) โทร. 053-471-491
18. สถานสงเคราะห์คนชราวาสนะ (พระนครศรีอยุธยา) โทร. 035-359-277

สถานสงเคราะห์คนพิการ
1. สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนพิการทางสมอง และปัญญาปากเกร็ด โทร. 02-583-6815
2. สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา (หญิง) ปากเกร็ด โทร. 02-583-4246
3. สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและ ปัญญาปากเกร็ด โทร. 02-583-8426
4. สถานสงเคราะห์เด็กพิการและทุพพลภาพปากเกร็ด โทร. 02-583-8396
5. สถานสงเคราะห์คนพิการการุณยเวศม์ (ชลบุรี) โทร. 038-241-741, 038-240-137
6. สถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพ บางปะกง (ฉะเชิงเทรา) โทร. 038-528-290
7. สถานสงเคราะห์คนพิการและทุพพลภาพพระประแดง (สมุทรปราการ) โทร. 02-462-5232
8. สถานสงเคราะห์คนไข้โรคจิตทุเลา (ปทุมธานี) โทร. 02-577-1864
9. สถานสงเคราะห์คนไข้โรคจิตทุเลาหญิง (ปทุมธานี) โทร. 02-577-2898

ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ
1. ศูนย์พัฒนาอาชีพคนพิการ (โรงงานปีคนพิการสากล) (นนทบุรี) โทร. 02-583-8415
2. ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการหนองคาย (หนองคาย) โทร. 042-407-478
3. ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการขอนแก่น โทร. 043-246-080
4. ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการนครศรีธรรมราช โทร. 0-75-375-255
5. ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการบ้านทองพูนเผ่าพนัส (อุบลราชธานี) โทร. 045-254-092
6. ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการพระประแดง (สมุทรปราการ) โทร. 02-462-5008
7. ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการหยาดฝน (เชียงใหม่) โทร. 053-471-327
8. สถานฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อุบลราชธานี) โทร. 045-285-469
9. สถานสงเคราะห์คนพิการจังหวัดอุบลราชธานี โทร. 045-285-359

สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง
1. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งกุ่มสะแก (เพชรบุรี) โทร. 032-425-416
2. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งชายธัญญบุรี( ปทุมธานี) โทร. 02-577-1312
3. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งหญิงธัญญบุรี (ปทุมธานี) โทร. 02-577-1148
4. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งทับกวาง (สระบุรี) โทร. 036-357-320
5. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งบ้านเมตตา (นครราชสีมา ) โทร. 044-922-666
6. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งภาคใต้(นครศรีธรรมราช) โทร. 075-376-226
7. สถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งวังทอง (พิษณุโลก) โทร. 055-311-217
8. สถานสงเคราะห์บ้านนิคมปรือใหญ่ (ศรีสะเกษ) โทร. 045-630-661
9. สถานสงเคราะห์ประจวบคีรีขันธ์ โทร. 032-554-388

สถานแรกรับคนไร้ที่พึ่ง
1. สถานแรกรับคนไร้ที่พึ่งนนทบุรี โทร. 0-2583-0044
2. สถานแรกรับคนไรที่พึ่งสันมหาพน (เชียงใหม่) โทร. 0-5347-1492, 053-471-771 (ห่างไกล ลำบาก)

**********************************************************************************************************

การ ให้อามิสทาน คือการให้วัตถุทาน ๑๐ อย่าง มีข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม ของลูบไล้ ที่นอน ที่พัก เครื่องประทีป หรือให้ปัจจัย ๔ มีจีวร เป็นต้น ย่อมให้ด้วย เหตุต่าง ๆ กันเป็น ๘ ประการคือ

๑. บุคคลบางคนให้ทาน เพราะหวังผลตอบแทน มุ่งสั่งสมการให้ทาน ด้วยคิดว่าถ้าตายไปแล้วจักได้เสวยผลตอบแทนนี้ จึงให้ข้าว ให้น้ำ เป็นต้น แก่สมณะ หรือพราหมณ์ เพื่อให้เป็นเสบียงเลี้ยงตัวในภพหน้า

๒. บุคคลบางคนให้ทาน ไม่ได้หวังผลแห่งทาน แต่ให้เพราะคิดว่าการให้ทานเป็น ความดี เป็นการทำตามคำของบัณฑิตที่กล่าวไว้ดีแล้ว บุคคลที่คิดให้ทานอย่างนี้ เมื่อตายไปเขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เมื่อเสวยผลแห่งกรรมหมดสิ้นแล้ว เขาย่อมกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก คือได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีก เป็นการให้เพื่อยังประโยชน์ให้สำเร็จ ให้เกิดความสุข

๓. บุคคลบางคนให้ทาน ไม่ได้คิดว่าการให้ทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา ก็ควรทำไม่ให้เสียประเพณี เมื่อเขาตายไป ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เมื่อเสวยผลแห่งกรรมหมดสิ้นแล้ว เขาย่อมกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก คือกลับมาเป็นมนุษย์อีก เป็นการให้เพื่อรักษาประเพณี

๔. บุคคลบางคนให้ทาน ไม่ได้ให้เพราะคิดว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้ เคยทำมา แต่ให้ทานเพราะคิดว่าเราหุงหากินได้ ส่วนสมณะพราหมณ์ ไม่ได้หุงหากิน จึงให้ทานเพราะ ผลแห่งทานนี้ เมื่อเขาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เมื่อเสวยผลแห่ง ทานหมดสิ้นแล้ว เขาย่อมกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์อีก เป็นการให้เพื่ออนุเคราะห์ ให้เพื่อบูชา

๕. บุคคลบางคนให้ทาน ไม่ได้คิดว่าเราหุงหากินได้ ส่วนสมณะพราหมณ์ไม่ได้หุงหากิน แต่ให้ด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เหมือนฤๅษีแต่ครั้งก่อน ๆ เพราะผลแห่งทานนี้ เมื่อเขาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เมื่อเสวยผลแห่งกรรมหมด สิ้นแล้ว เขาย่อมกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์อีก เป็นการให้เพื่อต้องการเป็นผู้มีโชคดี ต้องการมีชื่อเสียง

๖. บุคคลบางคนให้ทาน ไม่ได้คิดว่าจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน แต่ให้ด้วยคิดว่า เราให้ทานอย่างนี้ จิตจักเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจโสมนัสจึงได้ให้ทาน เพราะผลแห่งทานนี้ เมื่อเขาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตตวสวฺตี เมื่อเสวยผลของกรรมหมดสิ้นแล้ว ก็จักกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์อีก เป็นการให้เพื่อปลูกศรัทธาให้จิตเกิดปิติยินดี

ขออนุโมทนาล่วงหน้าครับ

credit by : http://www.protonclub.net/forum/?showtopic=65123

Read More...


เปิดสูตร "ชาเย็น" 3 ยี่ห้อ พร้อมวิธีการชง..สูตรจัดเต็ม !!

สวัสดีครับ .. หลังจากที่ผมวนเวียน เวียนวน อยู่ห้องก้นครัวนี้มานาน ส่วนใหญ่จะรีวิวร้านอาหารและ
เขียนบล็อค(ร้าง)ทิ้งไว้    ก็มีเพื่อนๆ หลายคนหลังไมค์มาถามสูตรเครื่องดื่มหลายๆ อย่าง
ถามกันมาเรื่อยๆ

วันนี้มีเวลา ก็เลยอยากนำสูตร "ชาเย็น" (ในแบบฉบับของผม) มาแบ่งปันกัน
.. ขอย้ำนะครับว่าแบบฉบับของผม   ซึ่งสูตรนี้ผมเคยทำขายมาแล้ว
และเป็นสูตรที่ผมเคยใช้สอนในหลักสูตรเครื่องดื่ม ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.เชียงใหม่

ซึ่งปกติผมจะใช้ชาตรามือ(สูตรธรรมดา)ถุงสีแดง .. แต่วันนี้ผมลองซื้อถุงสีทอง
และชามาอีก 2 ยี่ห้อ เพื่อเปรียบเทียบรสชาติและความแตกต่าง   ลองมาชมกันเลยครับ


ก่อนอื่นก็เตรียมชากันเลยครับ .. ชอบแบบไหน ยี่ห้อไหน ตามสะดวกครับ

เริ่มจากชาตรามือ(สีทอง)  ขนาด 400 กรัม ถุงละ 85 บาท
โดยรวมแล้ว ชาตรามือจะค่อนข้างกลมกล่อม โดยเฉพาะถุงสีทองจะหอมกว่าถุงสีแดง และรสชาติจะนุ่มละมุนกว่ามีรสเข้ม ฝาดนิดๆ

ส่วนชาชักตราครบรส ขนาด 300 กรัม ราคา 125 บาท
จะมีสีเข้มกว่าเมื่อชงออกมาเป็นน้ำแล้ว  หากชงในสูตรเดียวกัน เมื่อเทียบกับอีก 2 ยี่ห้อ จะได้รสชาติชาจัดๆเข้ม ฝาดชัดเจน  แต่ก็หอม อร่อย ใช้ได้เลยครับ  ถ้าใครชอบชารสจัด แนะนำตัวนี้

ชาระมิงค์ ขนาด 250 กรัม ราคา 60 บาท
สี ชาก็จะออกส้มๆ เป็นปกติ  หากชงเป็นชาเย็น จะรสชาติออกนมๆ นุ่ม และไม่เข้มนัก แทบไม่ได้รสฝาดของชาเลย  หากเทียบกัน 3 ยี่ห้อ ตัวนี้รสชาจะอ่อนสุด เหมาะสำหรับคนชอบกินชาที่รสชาติไม่จัดนัก

หากเพื่อน ๆ รู้คุณสมบัติของแต่ละชนิดแล้ว ใครชอบแบบไหนก็เลือกเอาเลยครับหรือจะเอามาผสมกันก็ไม่ผิด  เหมือนการนำเมล็ดกาแฟแต่ละแบบมาผสมรวมกันนั่นแหละ...อาจจะได้รสชาติที่แตกต่างไปอีก   และยังมีอีกหลายๆ ยี่ห้อครับที่ผมเคยซื้อมาลองแล้วยังไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ 








ส่วนอุปกรณ์ ก็แบบที่เห็นนี้แหละครับ .. ที่สำคัญควรจะมี "ถุงชงชา"
หากใครไม่มี ห้ามใช้ "ถุงเท้า" เด็ดขาด !!!! 555   อนุญาตให้ใช้ผ้าขาวบางแทนได้ครับ

ส่วนแก้วที่ใช้ชง  จะใช้เป็นถ้วยตวงใสก็จะดีมาก (ของผมแตกไปแล้ว)
จะเป็นแก้วสแตนเลสแบบในรูปก็ได้  หรือจะใช้แก้วกาแฟก็ไม่ว่ากัน แต่ขอให้มีขนาดประมาณ 250-300 ml.

ส่วนกระป๋องใหญ่ๆ สำหรับชงชา ถ้าไม่มี อนุญาตให้ใช้หม้อ หรือภาชนะอื่นๆ ที่มันใหญ่พอแทนได้ครับ
(อะไรก็ใช้ได้หมดครับ.. ถ้าไม่มีก็ประยุกต์เอาได้เล้ยยย) 

 

 ขอบอกไว้ก่อนว่า .. อันนี้เราจะมีการตวงแบบมาตรฐานกันหน่อย
ห้าม เอาไปเปรียบเทียบกับรถเข็นข้างทางเด็ดขาด !!! 55  เดี๋ยวบางคนจะแย้งว่า ทีรถเข็นข้างทางยังไม่เห็นต้องตวงแบบนี้เลย   .. แบบนั้นเค้าใช้ความชำนาญแล้ว ยกให้เค้าไป  อิอิ

เรามาดูเครื่องมือตวงกันดีกว่าครับ
ปกติผมจะใช้ "แก้วชอต" หรือ "แก้วตวง"  ซึ่งมีขนาด 1.5 ออนซ์ หรือเท่ากับ 45 มล.
ฉะนั้นคำว่า  1shot นั่นหมายถึง 1.5 ออนซ์นะครับ  (ผมใช้แก้วกลาง)

ทำไมผมถึงกากบาทเจ้าแก้วชอตตัวแรก  เนื่องจากว่า จากประสบการณ์ที่ผมทำเครื่องดื่มและสอนมาหลายปี
ผมพบความจริงตอนที่ตวงยาให้ลูกชาย (เกี่ยวไรกันเนี่ย) ... ว่าเจ้าแก้วแบบแรกมีปริมาตรที่ไม่มาตรฐาน
ซึ่งหากเราตวง 30 มล. ในแก้วสีแดง มันจะได้เท่ากับ 40-45 มล. ในแก้วสีดำ

และผมก็พิสูจน์โดยการนำไปเทียบกับหลายๆ อุปกรณ์การตวงทั้งถ้วยตวง และจิกเกอร์(รูปขวามือ)
ผลปรากฎว่า ทุกอุปกรณ์เท่ากันหมด  ยกเว้นเจ้าแก้วสีแดงที่ว่า  .. ฉะนั้นตัดมันไป

ส่วนจิกเกอร์(jigger)ขนาดตามในภาพ ด้านใหญ่จะมีความจุ 1 ออนซ์ ด้านเล็ก 0.5 ออนซ์ 

 

 ต่อไปมาเตรียมนมกันบ้าง

นมที่ใช้จะมีนมสดหรือนมจืด .. ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งพาสเจอร์ไรส์ ทั้ง UHT
อาจจะมีความต่างกันที่รสชาติบ้างนิดหน่อย  แต่ไม่ค่อยซีเรียสนัก
เนื่องจากไม่ได้ไปซื้อพาสเจอร์ไรส์ เลยขอยืม UHT ตราวัวแดงของเจ้าลูกชายมาใช้ก่อน  หุหุ..

อีกหนึ่งชนิดที่ขาดไม่ได้คือ "นมข้นจืด" จะใช้ยี่ห้อไหนก็แล้วแต่ใครจะชอบ จะสะดวกซื้อ
วันนี้ขอใช้ตรา falcon เพราะว่าเค้ากำลังมีโปรโมชั่น 1 แถม 1 (แบบว่างก) 555+
อย่างที่เราทราบ ชาเย็นแบบไทยๆ เรา มันต้องมีความ "มัน" ถึงจะอร่อย  ..ฉะนั้น นมข้นจืด ขาดไม่ได้

และสุดท้าย "นมข้นหวาน" .. หรือ "ครีมเทียมข้นหวาน" สุดแล้วแต่
ใช้สำหรับปรุงแต่งความหวาน ให้มันกลมกล่อม  (ส่วนใครกลัวอ้วน..ก็อด) 


ก่อนอื่น เตรียมผงชาก่อนเลยครับ ..

ขอบอกเลยว่า สูตรนี้เป็นสูตรที่ชงกินเอง .. หรือหากชงขาย ก็ขายแบบคุณภาพ เหมือนกับที่ผมตั้งชื่อกระทู้ว่า
"สูตรจัดเต็ม"  ฉะนั้น อัตราส่วนที่ใช้ จะใช้มากกว่าที่เค้าชงขายกันทั่วไปอย่างแน่นอน
ซึ่งรสชาติก็จะจัด และเข้มข้นกว่า  

ผมเคยใช้สูตรข้างถุงของชาตรามือ  ปรากฎว่า "จืดสนิท" ไม่อร่อยเลย
หรือบางทีตามร้านกาแฟโบราณ ชาโบราณ ร้านรถเข็น เค้าจะใช้ชา 1 ส่วนแช่ไว้ทั้งวัน ตักน้ำร้อนเติมๆๆๆ เอา

*** สูตรก็คือ  ใช้ผงชา 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน ****
หากอยากจะชงขายแล้วประหยัดต้นทุนอีกนิด  อนุโลมให้ใช้น้ำได้ 4 ส่วน (ห้ามเกินนั้น .. ไม่งั้นชาจะไม่เข้มข้น")

วันนี้ ชา 1 ส่วนของผม  จะเท่ากับ 1 แก้วสแตนเลสใบนี้ (ประมาณ 10 ออนซ์)
ชงได้ทั้งหมด 6 แก้ว (สำหรับแก้ว 16 ออนซ์เติมน้ำแข็งแล้ว) 






เมื่อเทน้ำลงไปจนครบตามปริมาณ  .. ก็ถึงขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนนึงครับ
ที่จะทำให้ชานั้นมีรสชาติที่ดี และมีความหอม
ขั้นตอนนี้จะทำให้กลิ่นชาหอมคละคลุ้งทั่วบ้านเลยล่ะครับ

คือ ให้เทน้ำชากลับไปกลับมาระหว่าง 2 กระป๋อง  ประมาณ 3-4 รอบ (เท 1 ครั้งเท่ากับ 1 รอบ)

และมีเทคนิคอยู่นิดนึงครับ  ยิ่งถ้าเราสามารถดึงกระป๋องให้สูงขึ้นมากเท่าไหร่ เพื่อให้น้ำชาได้สัมผัสอากาศมากๆ
(หลักการเดียวกับชาชัก) ก็จะทำให้กลิ่นและรสชาติดีขึ้นครับ

ภาพนี้บังคับภรรยามาเป็นนางแบบ 5555+++

ปล. เวลาเท อย่าเทลงจุดเดียวนะครับ  ให้วนๆๆ ทั่วๆ 


ขั้นตอนอาจจะดูเยอะ .. แต่พอทำจริงๆ ง่ายนิดเดียวครับ
เพียงแต่ใส่ใจในรายละเอียด และเพิ่มเติมเทคนิคเข้าไปนิดหน่อย

อย่างเช่นขั้นตอนนี้ .. เมื่อเราเทกลับไปกลับมาเสร็จเรียบร้อย ก็แช่ชาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีครับ
เพื่อให้รสชาติของชากระจายออกมา เข้มและฝาดได้ที่

เมื่อครบ 5 นาที ให้เอาถุงชาออก .. และนำกากชาทิ้งได้เลย อย่าเสียดาย
แต่ถ้าเสียดาย  เติมน้ำเข้าไปได้อีก 3 ส่วนเท่าเดิม เก็บหางชาส่วนที่ 2 ไว้ทำชาดำเย็น หรือชามะนาวได้ครับ

หมายเหตุ.. อย่าแช่นานเกินไปนะครับ ชาจะเริ่มฝาดจนเฝื่อน


เอาล่ะครับ ... เตรียมปากกาไว้จดสูตรได้เลย

ผมใช้นมข้น 4 ช้อนชา นะครับ (ไม่ต้องใช้ช้อนชาแบบตวงนะครับ..ช้อนกาแฟเรานั่นแหละ)
ถ้าใครไม่ชอบหวานมาก ลดนมข้นลงมาเหลือสัก 3 ช้อนชาได้ ..

ตรงนี้เค้าเรียกว่า "รสมือ" แล้วล่ะครับ เพราะมันสามารถบวก ลบ ได้นิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเป๊ะ
สังเกตปริมาณการตักในรูปนะครับ  จะเกินนิดๆ  ... ตักใส่แก้วได้เลย

เวลาผมสอน ...จะมีหลายคนเกร็งๆ ว่า 4 ช้อนนี่ต้องปาด ต้องพอดีๆ  ขอบอกว่าไม่ขนาดนั้น
มือหนัก มือเบา ตามสะดวกเลยครับ 


 


 

จากนั้น ก็เติมความหวานด้วยน้ำตาลทราย   2 ช้อนชา(ช้อนกาแฟ) ..ตักธรรมดาๆ ไม่ต้องพูนมากนะครับ

เหตุที่ต้องใช้ความหวานจากน้ำตาลทรายควบคู่ไปด้วย เนื่องจาก ความหวานของนมข้นเป็นความหวานแบบนุ่มๆ เลี่ยนๆ
เราต้องเติมความ "หวานแหลม" ของเจ้าน้ำตาลทรายควบคู่กันไป เป็นการตัดรสชาติให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นครับ

**จะสังเกตได้ว่า ถ้าเราไปซื้อร้านทั่วๆ ไปเค้าจะใช้น้ำตาลทรายเยอะมาก ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ
แล้วใช้นมข้นหวานน้อยหน่อย เพื่อเป็นการลดต้นทุน*** 

 













ว่ากันด้วยเรื่องของน้ำแข็งสักนิด

เรื่องน้ำแข็งนี่แล้วแต่คนชอบจริงๆ ครับ บางคนชอบน้ำแข็งใหญ่ น้ำแข็งหลอดเล็ก น้ำแข็งป่น น้ำแข็งบด
ส่วนผมปกติชอบใช้น้ำแข็งจากตู้เย็นเลยครับ น้ำแข็งทำเองสะอาดดี และก้อนใหญ่
จะทำให้เครื่องดื่มเย็นพอดีๆ และดูดได้น้ำเยอะๆ

แต่บางคนก็บอกว่า เวลากินชาเย็นต้องใช้น้ำแข็งเล็กๆ  ดูดไปด้วย เคี้ยวน้ำแข็งไปด้วย อร่อยดี ^_^

ซึ่งแก้วที่ผมใช้นี่คือ ขนาด 16 ออนซ์ ใส่พร้อมน้ำแข็งก้อนใหญ่ (cube ice) จะเต็มแก้วพอดี

แต่ถ้าใช้น้ำแข็งหลอดเล็ก หรือน้ำแข็งโม่ น้ำแข็งบด  อัดเต็มๆ แก้ว สามารถใส่ในแก้ว 22 ออนซ์ได้ครับ
ราดนมโรยหน้าไปอีกนิดตามสูตร

ว่าแล้วก็เทใส่แก้วได้เล้ยยยยยยยย 


สรุปสูตรนะครับ

-ชาผง 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน เทกลับไปกลับมา 3-4 รอบ และแช่ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
-นมข้นหวาน 4 ช้อนชา (หากไม่หวานมากใช้ 3 ช้อนชา)
-น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา (หากไม่หวานมากใช้ 1 ช้อนชา)
-นมสด 1 ชอต (หากไม่ชอบมันมาก ให้ใช้นมสด 2 ชอต)
-นมข้นจืด 1 ชอต (หากชอบมันมาก ให้ใช้นมข้นจืด 2 ชอต)

สามารถเพิ่ม/ลด ส่วนผสมความหวาน ความมัน ได้ตามความชอบเลยครับ

หากใช้ปริมาณชาตามที่ผมชงในครั้งนี้ .. จะชงได้ทั้งหมดประมาณ 6 แก้ว
สามารถผสมนม เก็บไว้ได้เลย  แช่ตู้เย็นไว้ได้ประมาณ 3-4 วันครับ

หรือถ้าไม่ชงเก็บไว้ ก็ลดปริมาณน้ำชาลงตามส่วนได้เลยครับ

ใครลองชง ลองชิมแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็มาบอกบ้างนะครับ  ถูกใจไม่ถูกใจอย่างไร
หรือใครสงสัยตรงไหนเพิ่มเติม ก็หลังไมค์มาพูดคุย มาถามได้ครับ  ยินดีแบ่งปัน ^_____^

ขอให้อร่อยกับ "ชาเย็น" นะคร้าบบบบบ Cheers !!!!! 


ขอบคุณ จขทก. ที่มาแบ่งสูตรค่ะ
และเรามีสูตรมาแลกเปลี่ยน
ปกติเราชงแต่ชาซีลอน มีซีลอนศรีลังกา กับซีลอนอินโดนีเซีย
มีวิธีการชงต่างกันนิดเดียวคือ ของเราชงในน้ำร้อนเดือด ๆ นาน 5 นาที เพื่อให้ชาส่งกลิ่นหอมออกมาให้เต็มที่
ส่วนนม เราใช้นมเคี่ยว คือนมสด 1 ส่วน นมข้น 1 ส่วน และครีมเทียมอีก 1/2 ส่วน เคี่ยวเข้าด้วยกันบนหม้อที่มีน้ำร้อนรอง
วิธีการนี้จะทำให้กลิ่นนมข้นหวานจางลงเมื่อผสมลงชาเย็นแล้ว กลิ่นหอมของชาจะได้ไม่ลดลงเท่าไหร่

เราเคยทดลองชงเก็บไว้ในตู้เย็นนาน 1 อาทิตย์ก็ไม่เสียค่ะ กลิ่นก็ยังหอมเหมือนเดิมด้วย 


 


Read More...


สูตรชานมเย็นสำหรับร้านกาแฟสด

ชานมเย็นเป็นเครื่องดื่มที่ขายดีมานมนานแล้ว ตั้งแต่ร้านกาแฟโบราณ ร้านกาแฟสด เครื่องดื่มบรรจุขวด ระยะหลังมีการใส่สีใส่กลิ่นหรือใส่รสชาติเพิ่มเติมด้วย เช่น ชานมกลิ่นโกโก้ ชานมรสใบเตย ฯลฯ มีต้นทุนต่ำสามารถสร้างกำไรต่อแก้วได้สูง จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราเห็นร้าน ชานมไข่มุก ที่เน้นขายชาแต่เพิ่มความหลากหลายเข้าไป หรือจะเป็นร้านชาชัก ที่โชว์การชักชาสร้างจุดเด่นให้ร้านได้ แม้จะไม่รู้ว่ามันอร่อยหรือเปล่า
แม้ชานมเย็นจะขายดีแต่ก็สร้างปัญหาให้ร้านกาแฟสดก็คือ กระบวนการทำชานมเย็นน่ะสิครับ ที่ค่อนข้างยุ่งยาก ต่างจากชงกาแฟสดที่ขั้นตอนสั้นกว่า บทความนี้ผมจะบอกสูตรชานมเย็น วิธีการชงพร้อมกับข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีด้วย

อบใบชานมเย็น

วิธีทำสำเร็จ ชานมเย็น = ใบชา 75 กรัม + ต้มน้ำร้อน 2 ลิตร ต้มน้ำร้อนให้เดือดปุดๆ จากนั้นให้เอาใบชาใส่ลงในหม้อ แนะนำว่าหาซื้อแบบที่บรรจุผ้าขาวบางจะได้ไม่ต้องกรองใบชาออก หลังจากเอาใบชาใส่แล้วให้ปิดไฟและปิดฝาหม้อเพื่อกันกลิ่นชาออก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ระหว่างทิ้งไว้อาจจะกวนๆใบชาหรือจุ่มๆใบชาเพื่อเอาความหอมของชาออก ส่วนสีของใบชาขึ้นอยู่ระยะของการต้ม ถ้าอยากให้สีเข้มๆจัดๆก็ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง ถ้าให้สีมันอ่อนๆก็ทิ้งไว้แค่ 15 นาทีก็ได้ ส่วนตัวแล้วอยากให้ทิ้งไว้แค่ 30 นาทีพอ สีชากำลังสวยดีครับ

เมื่อทิ้งไว้ครบ 30 นาทีแล้ว ให้ตักใบชาออกให้หมดหรือกรองใบชาทิ้ง เราก็จะชาดำเย็นจำนวน 2 ลิตร จากนั้นให้ใส่น้ำตาลทรายขาว 2 ขีด กวนให้น้ำตาลทรายละลาย จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นจนอุณหภูมิปกติ หรือถ้าใจร้อนก็หาน้ำแข็งมาโป๊ะรอบๆหม้อจะได้เย็นไวๆ ใส่นมข้นหวาน 1 กระป๋อง (388 กรัม) และนมข้นจืด 1 กระป๋อง เป็นอันเสร็จ หลังจากนั้นให้หาภาชนะบรรจุชานมเย็นที่สะอาด ล้างด้วยน้ำยาล้างจานและลวกน้ำร้อนเพื่อฆ่าเชื้อโรค ถ้าภาชนะที่เก็บสะอาดจะสามารถเก็บได้ถึง 7 วัน

ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ เราจะได้ชานมเย็นที่มีมาตรฐานทุกแก้ว เพราะสูตรกำหนดตายตัวอยู่แล้ว เวลาลูกค้าสั่งก็เทให้ลูกค้าได้เลย สะดวกและเร็ว ยิ่งเราแช่ชานมเย็นไว้ที่เย็นมากๆแล้วเทใส่แก้วเต็มน้ำแข็ง ยิ่งจะทำให้ชาโคตรหอมอร่อย  แต่ข้อเสียสำคัญก็คือ เวลาลูกค้าสั่งชานมเย็น แล้วเราเอาที่ชงสำเร็จแล้วมาให้ลูกค้า ลูกค้าจะรู้สึกว่าไม่ใช่ของดี เพราะร้านกาแฟสดควรจะชานมเย็นสดๆด้วย ฉะนั้นคุณค่าของชานมเย็นในสายตาคนซื้อจะลดลง ข้อเสียอีกอย่างคือ ชานมเย็นจะมีโอกาสเสียสูงมากถ้าภาชนะที่เก็บไม่สะอาดและไม่ได้เก็บในที่เย็น  นอกจากนั้นหากลูกค้าสั่งชานมเย็นหวานน้อยจะไม่สามารถทำให้หวานน้อยได้เพราะ ปรุงสำเร็จไปแล้ว

ทำชานมเย็นเสร็จครึ่งเดียว

อีกวิธีหนึ่งที่ร้านกาแฟสดนิยมใช้กันคือ ทำชาดำเย็นให้เสร็จ โดยไม่ใส่น้ำตาลทราย เสร็จแล้วกรองใส่ขวดเก็บไว้ในที่เย็น พอลูกค้าสั่งชานมเย็น เราก็เอาชาดำเย็นมาเทใส่แก้วประมาณ 5 ออนซ์ ใส่นมข้นผสม 3 ปั้ม ใส่น้ำเชื่อม 1 ปั้ม ก็จะได้ชานมเย็นปริมาณ 7 oz แล้วค่อยใส่น้ำแข็งเต็มแก้ว บางร้านที่อยากให้ดูมีคุณค่าหน่อยก็ใส่ส่วนผสมทั้งหมดในกระบอกเช็ค ใส่น้ำแข็งลงไปเล็กน้อยแล้วเขย่าๆๆ ก็จะได้ชานมเย็นที่ดูดีในสายตาของลูกค้าเพิ่มขึ้นและยังเพิ่มความหวานได้ตาม ที่ลูกค้าต้องการอีกด้วย ข้อเสียคืออาจจะเสียเวลาในการทำเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ใส่ใบชากับเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่

นอกจากการใช้วิธีต้มใบชาแล้ว อาจจะใช้วิธีใส่ใบชาลงก้านอัดกับเครื่องชงเอสเพรซโซ่ก็ได้ แต่วิธีนี้ไม่แนะนำเพราะจะทำให้กลิ่นใบชาติดอยู่ที่หัวกรุ๊ปของเครื่อง พอมาชงกาแฟกลิ่นก็ปนเปหมด บางร้านอาจจะเพิ่มเครื่องชงเอสเพรซโซ่แบบถูกๆไว้สำหรับชงชาอย่างเดียว วิธีทำก็คือเอาใบชาใส่ก้านอัดให้เต็มจากกนั้นกลั่นชาออกมาประมาณ 4-5 ออนซ์ ใส่นมข้นผสม 3 ปั้ม ใส่น้ำเชื่อม 1 ปั้ม ก็จะได้ชานมเย็นปริมาณ 7 oz ข้อดีของวิธีนี้คือ เป็นชานมเย็นที่มีคุณค่าในสายตาลูกค้า เพราะชงสดให้เห็นต่อหน้า ข้อเสียคือ ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อเครื่องชงแยกเว้นแต่กลั้นใจใช้หัวชงเดียวกันกับ ชงเอสเพรซโซ่ และการกลั่นใบชาจากเครื่องชงจะไม่ได้กลิ่นหอมและสีชาเท่ากับการต้มใบชา ชาที่ได้จากการกลั่นจะร้อนมาก เมื่อผสมนมข้นหวานใส่น้ำแข็งจะทำให้น้ำแข็งละลายและจืดในท้ายที่สุด

ต้มใบชาแบบกาแฟโบราณ

วิธีสุดท้ายของการต้มชาคือ ถ้าร้านกาแฟพอมีพื้นที่ให้ตั้งเตาไฟฟ้าหรือเตาแก๊สไว้ ใช้วิธีการต้มชาแบบร้านกาแฟโบราณ คือต้มชาเสร็จแล้วอุ่นไว้ตลอดด้วยไฟเบาที่สุด พอลูกค้าสั่งแล้วค่อยตักน้ำชาออกมาใช้ ประมาณ 4-5 ออนซ์ ใส่ใส่นมข้นผสม 3 ปั้ม ใส่น้ำเชื่อม 1 ปั้ม ก็จะได้ชานมเย็นปริมาณ 7 oz ข้อควรระวังคืออย่าใช้ใบชาซ้ำกับน้ำต้มใหม่ เพราะสีกับกลิ่นจางไปหมดแล้ว พอใช้น้ำชาดำเย็นหมดแล้วก็ทิ้งใบชาไปเลย เอาใบชาใหม่มาใช้แทน

ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง

สุดท้าย ไม่ว่าจะชงชาด้วยวิธีใดก็ตาม ชานมเย็นสำหรับร้านกาแฟสด ควรจะใช้ใบชาชงทีเดียวแล้วทิ้ง อย่าเอามาใช้ซ้ำเหมือนร้านกาแฟโบราณ ร้านกาแฟโบราณจะใช้ใบชาต้มซ้ำๆกันเพื่อให้สีออกแต่กลิ่นมักจะไม่หอมแล้ว และร้านกาแฟสดที่ขายชานมเย็น ควรจะใส่แต่นมข้นหวานไม่ควรใช้น้ำตาลทราย  ที่สำคัญอย่าทะลึ่งซื้อชานมเย็นแบบผงมา แบบนั้นลูกค้าซื้อกินที่ 7/11 ก็ได้ครับ
น้ำตาลทรายควรใช้ทรายขาว ไม่ควรใช้น้ำตาลทรายแดงเพราะกลิ่นน้ำตาลทรายแดงจะกลบกลิ่นชา นมข้นหวานและนมข้นจืดแนะนำยี่ห้อคาร์เนชั่น ส่วนตัวแล้วเคยใช้ยี่ห้ออื่นแล้วรู้สึกว่าความกลมกล่อมสู้คาร์เนชั่นไม่ได้ น้ำแข็งควรใช้น้ำแข็งก้อนสีเหลี่ยมใหญ่ หรือก้อนเล็กกลม ไม่ควรใช้น้ำแข็งบด  สุดท้าย พยายามชงชานมเย็นให้ต่างจากร้านกาแฟโบราณให้ได้ หากไม่มีความต่างแล้วลูกค้าคงหันไปกินชานมเย็นจากร้านกาแฟโบราณครับ

credit by :  http://coffeeindy.com/ชา/สูตรชานมเย็นสำหรับร้านกาแฟสด/#.VPbaFOElf0w

Read More...


วิธีชง"กาแฟเย็น"ชั้นครู


ผมขอมาแนะนำวิธีชงกาแฟเย็นเวียดนาม ให้อร่อยชั้นครูดังนี้ครับ
สิ่งที่ตัองเตรียม

1. น้ำเดือด อันนี้ย้ำเลยนะครับ คือต้องเดือด ในตำราบอกว่า95C ช่างมันครับ ใครจะไปมีกาน้ำร้อนแบบตั้งอุณหภูมิ กันทุกคน. เอาว่า เดือดๆนิแหละครับ

2. กาแฟเวียดนาม เกรดดีๆ อันนี้ไม่ได้เชียร์ของคุณลุงนะครับ. เพราะกาแฟเวียดนามมีหลายเกรดมาก ขนาดแบรนด์ ดังๆ ยังไม่อร่อยไม่หอมก็มีเยอะ ส่วนกาแฟคุณลุง เป็นกาแฟที่ชาวสวนกาแฟเป็นคนแนะนำ ดังนั้นจึงหอมและเข้าข้นเป็นพิเศษ

3. น้ำแข็ง กาแฟเย็นแบบไทยๆ เราจะใชัน้ำแข็งบด ซึ่งอร่อยมากๆๆ เพราะอะไรทราบไหมครับ. เพราะกาแฟไทยดื่มกันที่ปริมาณ มาก บางร้านใช้ถุงขนาด2ลิตร ใส่กันเลย (แต่เมื่อก่อนผมก็ชอบนะ หวานๆมันๆ^^) ปริมาณกาแฟเยอะ และน้ำแข็งก็เยอะ เวลาเราดื่ม เราดูดกันเร็วมากๆ จนหมดแลัวน้ำแข็งบดยังเหลือเต็มถุงเลย.

กาแฟเวียดนาม จะดื่มให้อร่อย จำเป็นตัองใช้น้ำแข็งหลอดเล็ก แต่อนุโลมให้ใช้ น้ำแข็งก้อนในตู้เย็นได้ น้ำแข็งจะไม่ละลายเร็ว

4. นมข้นหวาน อันนี้ ถือว่าสำคัญไม่มากเพราะแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน
ทั้งหมดนี้คือปัจจัยที่จะทำให้กาแฟเย็น อร่อยดั่งใจ



ส่วนวิธีชง ผมขอ เล่าสู่กันฟังแล้วกันนะครับ
1. ผมใช้ช้อนกินข้าว นิแหละครับ ง่ายดี โดยเราตักที่ละครึ่งช้อนพูนนิดๆ ใส่ลงในฟินไป2ช้อน

2. กดให้กาแฟเรียบๆ โดยใช้แผ่นฟิน ( สำหรับ เพื่อนที่เพิ่งเข้า เพจมา ฟินคือ ถ้วยชงกาแฟซึ่งประกอบด้วย4ส่วน คือ ตัวถ้วย ฝาปิด แผ่นกรอง และตัวจานรองฟิน) จากนั้นตักช้อนที่3 ลงไปทับตัวแผ่นฟิน

3.ใส่นมข้นหวานลงไปในแก้ว ตามขนาดที่เราชอบ แต่ ให้ใส่เยอะกว่านิดนึง เผื่อไว้เวลาน้ำแข็งละลาย รสชาติจะได้ไม่เสีย

4. นำฟิน ไปวางไว้บนแก้ว แล้วเทน้ำเดือด ลงไป ครึ่งฟิน รอประมาณ 8วิ(จับเวลามาแล้ว ^^) น้ำจะซึมเข้าตัวกาแฟ เพื่อให้จับตัวกันผงจะได้ตกลงแก้วน้อยที่สุด จากนั้นเติมน้ำเดือดลงไปให้เติม ปิดฝา แล้วไป ดูว่าขนมปังหรือ ของกินเล่นอยู่ไหน ^^. เสร็จแล้วค่อยเดินกลับมา (ปกติ จะใช้เวลาในการรอกาแฟหยดหมดประมาณ 2-3นาที)

5. ใส่น้ำแข็งไป2ก้อนแล้วคนๆๆๆ เพื่อลดความร้อนลง แล้วค่อยใส่น้ำแข็งไปให้เต็มแก้ว อย่าได้ งก

6. ค่อยๆจิบกาแฟ เหมือนการดื่มไวน์ แล้วเพื่อนๆจะรู้ว่า ความสุขนั้นหาได้อยู่ไกลไม่ ( เน้นว่า คำแรกๆให้ค่อยๆจิบนะครับ จิบไป3-4คำ กลิ่นมันจะขึ้นไปติดจมูก แล้ว ค่อยๆดื่มช้าๆ )

ปล. สำหรับเพื่อนที่ยังสลัดความหวานมันแบบไทยๆเราไม่ได้ แนะนำว่าซื้อนมข้นจืด มาด้วยใส่ลงไปเยอะๆ แบบรูปสุดท้าย จะหวานมัน มากๆ แต่กลิ่นหอมกาแฟก็จะลดลงไปด้วย

วันนี้เขียนยาวมาก ไม่รู้จะมีคนอ่านไหม ยังไงก็ขอบคุณนะครับ


credit by : https://www.facebook.com/KhunlungCoffeeVietnam/posts/671769786221955

Read More...


เคล็ดลับน่ารู้ สูตรลับการชงกาแฟผงให้หอมอร่อยกว่าเดิม


เชื่อหรือไม่ว่า กาแฟสำเร็จรูป หรือ กาแฟผงธรรมดา หากเราชงอย่างถูกวิธี จะเพิ่มความหอมอร่อยได้อย่างมาก โดยวิธีที่ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องมีอุปกรณ์พิเศษ และไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญใด ๆ เลย มาดูวิธีชงกาแฟให้อร่อย ๆ กันเลย

สิ่งที่ต้องเตรียม

1. กาแฟผงสำเร็จรูป 1 ช้อนชา

2. น้ำเย็นปกติ 1-2 ช้อนชา

3. น้ำร้อน 1 ถ้วย ( 250 มิลลิลิตร )

ขั้นตอนการชง

1. ผสมกาแฟผง และน้ำเย็นเข้าด้วยกัน แล้วคนจนละลายเข้ากันดี

2. เติมน้ำร้อนลงไปชกตามปกติ จะเติมน้ำตาล หรือนม ก็ได้ตามสูตรที่เราชอบใจ

3. ลองชิมดู จะรู้สึกว่า กาแฟจะหอมอร่อย กว่าการชงจากน้ำร้อนโดยตรง

เหตุผล

การ ชงกาแฟโดยการเติมน้ำร้อนลงผงกาแฟโดยตรงนั้น เมื่อกาแฟถูกน้ำร้อนแบบทันที จะทำให้ส่วนประกอบบางอย่างในผงกาแฟเกิดการแข็งตัวขึ้น ทำให้กาแฟเกิดรสชาติเฝื่อนแบบผงแป้ง แต่เมื่อเรานำผงกาแฟไปละลายกับน้ำเย็นก่อน กาแฟจะค่อยๆละลาย และปล่อยกลิ่นอโรมาของกาแฟออกมา

เดอะป้า


แถมให้อีกสูตร ลองเติมเกลือเล็กน้อยซักหยิบมือ ลงในการแฟร้อน ก็จะช่วยเพิ่มรสชาติให้กาแฟกลมกล่อมขึ้น


credit by : http://www.lokehoon.com/topic.php?q_id=430

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.