สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

บิด จิ้ม จุ่ม! ทำไอศกรีมนมสดโอรีโอ้ ง้ายง่ายแบบไม่ต้องง้อร้าน


เบื่อแล้วที่ต้องนั่งรอนาน และบางครั้งยังต้องเจอกับคนแน่นร้านไอศกรีม เรามาแก้ปัญหาให้กับคุณแล้ว กลับมาพบกับ Trend can do ไทยรัฐออนไลน์ทุกวันศุกร์แบบนี้เช่นเคย เราขอเอาใจคนชอบกินโอรีโอ้และไอศกรีม พาคุณทำไอศกรีมนมสดโอรีโอ้กินเองที่บ้านได้ เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน วิธีการสุดแสนจะง่ายดาย ลองมาหัดทำตามไปพร้อมๆ กันได้เลย...
สิ่งที่ต้องเตรียม

1. ไวท์ช็อกโกแลตพุดดิ้ง 1 กล่อง
2. คุกกี้โอรีโอ้ 16 ชิ้น
3. นม 2 ถ้วย
4. ไม้ไอศกรีม
5. แก้วกระดาษ


วัสดุ
ขั้นตอนการทำ
1. นำโอรีโอ้ 10 ชิ้นมาทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ จะทุบ บิด หรือยังไงก็ตามแล้วแต่ความถนัดของคุณ
2. นำนมและไวท์ช็อกโกแลตพุดดิ้งที่เตรียมไว้มาผสมให้เข้ากัน


ผสมให้เข้ากัน
3. หลังจากขั้นตอนที่สองเสร็จแล้วนำโอรีโอ้ที่ทุบแล้วมาผสมกับนมและไวท์ช็อกโกแลตได้เลย
4. นำโอรีโอ้ 6 อัน ที่เหลือมาทำให้ละเอียดจนเป็นผงป่น จะใช้เครื่องทำให้ละเอียดหรือถ้าใครไม่มีเครื่องเราขอแนะนำว่าให้คุณทำวิธี ง่ายๆ โดยการนำโอรีโอ้ไปใส่ถุงพลาสติก และใช้ไม้หรือมือบี้ให้ละเอียด


ทำให้โอรีโอ้ละเอียดจนเป็นผง
5. นำส่วนผสมทั้งหมดที่ทำไว้ในแก้วกระดาษและโรยด้านบนด้วยโอรีโอ้ป่น
6. เสียบไม้ไอศกรีมลงไปบริเวณกลางแก้วแล้วนำไปแช่ช่องฟรีซประมาณ 4 ชั่วโมง
7. เมื่อไอศกรีมแข็งได้ที่แล้วค่อยๆ ดึงออกมาจากแก้วกระดาษก็จะได้ฟินกับไอศกรีมโอรีโอ้ที่เราทำเองได้ด้วยวิธีง่ายๆ


ไอศกรีมนมสดโอรีโอ้เสร็จแล้ว
น่ากินอ่ะ
ที่มา : dailyleisure.com

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/476463

Read More...


เมนูเด็ด‘ไก่พะโล้ไข่นกกระทา’ ‘แกงมัสมั่นไก่กับโรตี’ รสกลมกล่อม


เมนูเด็ด‘ไก่พะโล้ไข่นกกระทา’
‘แกงมัสมั่นไก่กับโรตี’
รสกลมกล่อม

เมนูเด็ด‘ไก่พะโล้ไข่นกกระทา’ ‘แกงมัสมั่นไก่กับโรตี’ รสกลมกล่อม
วันเสาร์ 24 มกราคม 2558 เวลา 03:53 น.

วันนี้ผมขอให้สูตร ไก่พะโล้ไข่นกกระทา เป็นสูตรที่ผมไปทำให้สายการบินสำหรับเสิร์ฟบนเครื่อง ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 5 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา เป็นอาหารที่สามารถกินได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็ก ๆ น่าจะชอบกินกัน ซึ่งมีหลายคนเขียนมาขอสูตรผ่านในเฟซบุ๊กของผมมาหลายต่อหลายคนด้วยกัน ผมจึงให้สูตรไว้ข้างล่างเรียบร้อยแล้วครับ จะได้ลองไปทำกินกันดู

มาที่ขั้นตอนการทำ สิ่งแรกที่จะต้องทำ คือ การเอารากผักชี กระเทียม พริกไทยมาโขลกในครกให้ละเอียด แล้วใส่ผงพะโล้ลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ ระหว่างที่จะผัดเครื่องแกงให้เปิดเตาอบอุ่นไว้ที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส

จากนั้นนำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไป นำเครื่องรากผักชี กระเทียม พริกไทย ที่โขลกละเอียดแล้วลงไปผัดให้หอม ใส่น้ำตาลปี๊บ เคี่ยวให้หอมและให้เริ่มมีความเหนียว เมื่อได้ที่แล้วให้นำตะโพกไก่ที่เลาะกระดูกออกเรียบร้อยและไข่นกกระทาที่ต้มและปอกเปลือกไว้แล้วใส่ลงไป ผัดต่อให้สีพะโล้เคลือบทั้ง 2 อย่าง จะได้ดูน่ากิน

หลังจากนั้นให้เติมน้ำเปล่าลงไปในหม้อที่จะใช้ผัด ต่อมาใส่อบเชย กานพลู โป๊ยกั๊ก ใส่ซีอิ๊วดำ ต้มให้เดือด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว และน้ำตาลปี๊บ อีกครั้ง ชิมรสชาติให้ออกหวานนำ และตามด้วยเค็มนิด ๆ

ขั้นตอนต่อมา เทส่วนผสมทั้งหมดลงในถาดอบปิดด้วยอะลูมิเนียมฟอยล์ แล้วนำเข้าเตาอบที่เปิดรอไว้ ที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส นานประมาณ 35 นาที หรือจนกระทั้งเนื้อสุกนุ่ม แล้วจึงยกออกจากเตาอบ

หลังจากนั้นแยกเนื้อไก่กับไข่นกกระทาออก แล้วนำน้ำพะโล้ที่ได้เทใส่หม้อตั้งไฟเคี่ยวไฟอ่อน ๆ จนกระทั้งเริ่มน้ำเหนียวและน้ำเริ่มข้นขึ้นซึ่งจะใช้เป็นน้ำซอสสำหรับราดพะโล้เพื่อเตรียมเสิร์ฟ

สำหรับการเสิร์ฟเราจะเสิร์ฟพร้อมข้าว 2 สี และผักลวก จะได้ช่วยเพิ่มสีสันให้น่ากินมากขึ้นครับ

หมึกแดง

www.mcdangguide.com

.......................................................................................................

ร้านอาหารชวนชิม

ร้านที่ผมจะพาไปชิมวันนี้ คือ ร้าน ฮอต ชอป ที่อาคารมิราเคิล มอลล์ หน้าปากซอยสุขุมวิท 41 อาหารที่นี่อร่อยและมีเมนูที่น่าสนใจหลายอย่าง เป็นร้านที่เปิดมานานหลายสิบปีแล้วครับ มีอาหารให้เลือกชิมทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง วันนั้นผมสั่งมากินหลายอย่างเลยครับทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง

บรรยากาศร้านน่านั่ง สะอาดสะอ้าน ตกแต่งอย่างสวยงาม เมื่อได้ที่นั่งแล้ว ผมสั่งอาหารจานแรกมาลองชิมเป็น สเต๊กเนื้อซอสพริกไทยสด ซึ่งจะเป็นเนื้อวัวหรือเนื้อหมูก็มี เราสามารถเลือกกินได้ครับ โดยผมเลือกกินเนื้อ เพราะเป็นคนที่ชอบกินเนื้ออยู่แล้ว เมื่อพนักงานนำมาเสิร์ฟ หน้าตาน่ากินมาก รสชาติก็อร่อย น้ำซอสเข้มข้น แม้จะเป็นเมนูพริกไทยสดแต่มีความเป็นพริกไม่มาก โดยจะหั่นเนื้อมาเป็นชิ้น ๆ พอคำ ซึ่งชิ้นใหญ่พอสมควร

ถัดมาเป็น ข้าวอบหน่ำเลี้ยบ ผมเป็นคนที่ชอบกินหน่ำเลี้ยบมากเลยขอลองดูว่าที่ร้านนี้จะทำได้รสชาติเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อได้ชิมแล้วก็ไม่ผิดหวัง ทำมาได้เป็นอย่างดี ข้าวไม่เละ เสิร์ฟมาพร้อมเครื่องเคียง มีน้ำซุปมาให้ด้วย ซดแล้วชุ่มคอดีครับ เข้ากันได้เป็นอย่างดี

อีกเมนูหนึ่งที่เป็นของโปรดของผม นั่นก็คือ ข้าวผัดแกงเขียวหวานปลาสลิด เขาผัดได้แห้งไม่เละ ข้าวยังเป็นเม็ดอยู่ เมื่อนำมาเสิร์ฟได้กลิ่นหอมน่ากิน โดยจะต้องกินแกล้มกับไข่เค็มถึงจะเข้ากันดี จานนี้ก็อร่อยไม่แพ้ข้าวหน่ำเลี้ยบเลย เป็นอาหารที่คนทำจะต้องรู้วิธีการทำที่ถูกต้องเป็นอย่างดีถึงจะออกมาอร่อย

นอกจากนี้ ยังมี นาโช่ ซึ่งเป็นแป้งของเม็กซิกัน อบกับชีสกินเป็นของกินเล่น จานนี้ต้องกินเล่นเท่านั้นนะครับ กรอบ อร่อย

อาหารที่อยากกินอีกอย่างหนึ่ง คือ ยำขมิ้นขาว เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างกาย และยังเป็นเมนูล้างปากได้ดีอีกด้วยครับ มีกุ้งสดตัวใหญ่พอสมควรใส่มาด้วย รสชาติเข้มข้น ครบรสทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม ส่วนความเผ็ดก็พอประมาณ ไม่เผ็ดมากเท่าไรนัก อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

ยังมี แกงมัสมั่นไก่กับโรตี ซึ่งเป็น 2 อย่างที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีครับ มัสมั่นรสกลมกล่อมดีเหลือเกิน เข้มข้น ส่วนโรตีแป้งมีกลิ่นหอม ไม่หนามากนักกินแทนข้าว หั่นมาเป็นชื้น ๆ 3 เหลี่ยม

มาที่ หอยทอด เมนูนี้ของเขาไม่เหมือนที่ร้านอื่น ตัวหอยของเขาใหญ่ โดยเขาจะเอาหอยแต่ละตัวไปชุบแป้งน้ำแล้วนำไปทอดก่อน แล้วค่อยเอาแป้งน้ำใส่ตามลงไปอีกทีซึ่งเป็นวิธีการทำที่ไม่เหมือนที่อื่นที่เอาหอยใส่แป้งแล้วเทลงกระทะทั้งหมดเลย ส่วนตัวผมชอบกินกับพริกน้ำส้ม ไม่ชอบกินกับซอสพริก ผมกินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว

จานต่อมา ยำวุ้นเส้น ใส่ไข่ต้มมาด้วย แม้จะดู้ป็นอาหารที่ธรรมดาแต่ถ้าใครทำไม่ดีก็จะออกไม่อร่อยซึ่งที่ร้านเขายำได้ดีมาก ไม่แฉะ เครื่องเคียงครบครัน รสชาติดีด้วย เมนูนี้เมื่อทำเสร็จแล้วต้องรีบยกมาเสิร์ฟเลย ส่วนคนกินเมื่อเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วก็ต้องกินตอนนั้นเลยถึงจะอร่อย เพราะถ้าไม่กินเลยเมื่อเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ววุ้นเส้นจะอืดไม่อร่อย

จากนั้นเป็น ปีกไก่ทอด ร้านนี้เขาเลือกใช้แต่ช่วงกลางของปีกมาทอด ก่อนทอดคลุกเกลือทิ้งไว้ 5 นาที การทอดต้องใช้ไฟปานกลางซึ่งเขาทอดได้สุกกำลังพอดี ข้างนอกกรอบข้างในนุ่ม รสชาติกลมกล่อม จะกินเล่นหรือจะกินกับข้าวก็ได้ จานนี้ถูกปากทั้งเด็กและผู้ใหญ่

ส่วนของหวานของที่ร้านนี้มีหลายอย่างให้เลือกกิน มีทั้ง เค้กมะตูม ที่ทำออกมาได้ดี ไม่หวานมากนัก มี คาราเมลคัสตาร์ด ถ้วยนี้หอม นุ่ม อร่อยเหลือเกิน ส่วน เค้กช็อกโกแลต ก็อร่อยเช่นกัน ช็อกโกแลตเยิ้มเต็มหน้าขนมปังเลย ส่วน พาย เขาก็มีขายด้วยนะครับ จะกินกับ ชา หรือกาแฟ ก็ยิ่งอร่อยดี

ผมอยากให้ลองไปชิมดู บรรยากาศในร้านสบาย ๆ ผมมักจะแวะไปฝากท้องที่ร้านนี้บ่อย ๆ เพราะอยู่ใกล้คอนโดมีเนียมที่ผมพักอยู่ และที่สำคัญอาหารเขาอร่อยครับ.

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/295939/เมนูเด็ด‘ไก่พะโล้ไข่นกกระทา’+‘แกงมัสมั่นไก่กับโรตี’+รสกลมกล่อม

Read More...


‘สปาเกตตีพิ้งค์ซอส’ ที่ เฮ้าส์ ออฟ ลักษมี มันตรา


สนใจทำสบู่ขายเพราะตัวเองแพ้สารเคมี ใช้สินค้าตามท้องตลาดไม่ได้แม้กระทั่งสินค้าสำหรับเด็ก ส่วนตัวสนใจสมุนไพรเป็นทุนเดิม จึงลองศึกษาข้อมูลและทำใช้เอง
วันเสาร์ 24 มกราคม 2558 เวลา 03:28 น.

ทำงานหนักย่อมมีกิจกรรมปลด เปลื้องความล้ากันบ้าง หลังกรำงานตลอดทั้งสัปดาห์ ลิซ-ภรวรรณ มหารักขกะ หัวหน้าสายงานลูกค้าสัมพันธ์แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) มักขลุกตัวอยู่ที่ร้าน “เฮ้าส์ ออฟ ลักษมี มันตรา” คาเฟ่เล็กๆ น่านั่งในซอยสุขุมวิท 12 สม่ำเสมอ แม้มีฐานะเป็นคาเฟ่ แต่ “คุณลิซ” ผู้ปลุกปั้นมากับมือ อยากเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “บ้าน” มากกว่า เพราะนอกจากเป็นแหล่งชุมนุมเพื่อนฝูง นั่งทอดหุ่ยดมดอมความหอมจากสบู่และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติ ที่คุณลิซลงมือทำด้วยตัวเองเพื่อจำหน่ายภายใต้ชื่อ “ลักษมี มันตรา” แล้ว ภายในคาเฟ่ยังมีอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มรสชาติดีไว้รองท้องเพียบพร้อม

“สนใจทำสบู่ขายเพราะตัวเองแพ้สารเคมี ใช้สินค้าตามท้องตลาดไม่ได้แม้กระทั่งสินค้าสำหรับเด็ก ส่วนตัวสนใจสมุนไพรเป็นทุนเดิม จึงลองศึกษาข้อมูลและทำใช้เองประมาณหลังจากนั้นเริ่มทำแจกเป็นของขวัญเทศกาลต่างๆ จนเพื่อนๆ ติดใจสั่งซื้อ พอทำมาสักประมาณ 3 ปี บังเอิญมาเจอบ้านหลังนี้ เห็นแล้วปิ๊งเลยทำสัญญาเช่าทันที” เจ้าของคาเฟ่ ซึ่งคุมกิจการร้านอาหารอีก 2 แห่งอย่าง “ห้องทานข้าวสุพรรณิการ์” ในซอยทองหล่อ และร้าน “อีท ออท ไทย” ในโซนกรูฟ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เผยที่มา และเล่าด้วยความขำขันว่า “มีร้านแล้วดีกับลูกค้านะคะ แต่ก่อนต้องใช้จินตนาการสูงในการสั่งสินค้า เพราะดมไม่ได้ดูไม่ได้ ใช้ความเชื่อใจกันล้วน ๆ แปลกใจมากที่ลูกค้าของเราเก่ง ไม่ต้องดมก็สั่งได้”

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์นี้เป็นแฮนด์เมดทำจากธรรมชาติ ลูกค้าสามารถบอกความต้องการได้ ทางแบรนด์ทำให้หมดแม้สั่งเพียง 1 ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นสบู่หรือโลชั่น เพียงบอกความต้องการเราปรุงสดถือกลับบ้านได้เลย สำหรับคนที่สนใจจริงๆ สามารถมาเรียนรู้วิชาทำสบู่กับคอร์สสั้นๆ โดยลิซทำหน้าที่ผู้สอนเอง “คาเฟ่เปิดตัวขึ้นพร้อมๆ กับร้านห้องทานข้าวสุพรรณิการ์ ราวปี 2555 ลิซมีเพื่อนกลุ่มที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราชอบกินอาหารและทำอาหารด้วยกัน แต่ที่นี้เหมือนเป็นงานอดิเรก ไม่เน้นขายจริงจัง จึงตกแต่งภายในให้บรรยากาศเหมือนนั่งอยู่ที่บ้าน ส่วนอาหารเป็นแนวธรรมชาติผสมซีฟู้ด ใช้วัตถุดิบชั้นดีมาประกอบอาหาร เช่น เกลือหิมาลัย น้ำมันมะกอก ปรุงสดไม่ใช้ไมโครเวฟ ถ้าลูกค้าสั่งออกตัวก่อนว่าอาจรอนาน แต่รับประกันความสด”

จานการันตีความอร่อยในวันนี้ คุณลิซจึงนำเสนอ “สปาเกตตีพิ้งค์ซอส” เมนูเล่นเส้นสีหวานนี้คุณลิซเล่าว่า “ส่วนตัวชอบกินพาสต้า ซีฟู้ด คาเฟ่นี้รวบรวมสูตรที่เราชอบขึ้นโต๊ะจากงานปาร์ตี้มาบรรจุไว้เป็นหนึ่งในเมนูประจำร้าน เคยทำให้เพื่อนชิมแล้วติดใจกัน เป็นอีกจานหนึ่งที่เพื่อนๆ ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า หากินที่อื่นไม่ได้ เด็ด!!! จึงเลือกจานนี้มา”

เมนูวันนี้ สปาเกตตีพิ้งค์ซอส เป็นกุ้งขาวตัวใหญ่ เสียดายเมื่อเช้าไปแล้วกุ้งแม่น้ำหมด สูตรนี้มาจากชอบกิน เป็นคนชอบกินพาสต้า ซีฟู้ด ร้านนี้จะเอาสูตรที่เราชอบจากปาร์ตี้ชวนเพื่อนมาทำ เป็นสูตรที่ทำแล้วเพื่อนชอบกิน จานนี้เป็นสูตรที่เพื่อนหลายคน บอกว่า หากินที่อื่นไม่ได้ เด็ด!!! จึงเลือกตัวนี้มา

วัตถุดิบและส่วนผสม ประกอบด้วย เส้นสปาเกตตี 100 กรัม, กุ้งขาวใหญ่ 3 ตัว, หอมแดง 1 ช้อนชา, กระเทียม 1 ช้อนชา, ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ, วิปครีม 1 ถ้วย, พริกแห้งตามชอบ ส่วนเครื่องปรุงอย่างอะโรมาต พริกไทยดำ และเกลือหิมาลัย ใช้แค่หยิบมือ สำหรับตกแต่งหน้า มีไข่กุ้ง ไข่ปลาคาเวียร์ และพาเมนซานชีส

วิธีทำ ตามปกติคุณลิซนิยมใช้กุ้งแม่น้ำตัวโตแต่วันนี้ปรากฏว่าไปจ่ายตลาดแล้วไม่มีขาย จึงใช้กุ้งขาวใหญ่แท้ หลังจากล้างกุ้งสะอาดแล้ว โรยเกลือ พริกไทย และแป้งอเนกประสงค์เล็กน้อยคลุกให้เข้ากัน แล้วนำลงไปทอดจนเหลืองกรอบ แต่ถ้าใช้กุ้งขนาดใหญ่กว่านี้แนะนำให้ย่างเพื่อความหอม จากนั้นตั้งกระทะพอร้อนเติมน้ำสต๊อกเล็กน้อย นำซอสมะเขือเทศและวิปครีมลงผัด ปรุงรสด้วยอะโรมาต พริกไทยดำ เกลือหิมาลัย ตามด้วยเส้นสปาเกตตีและวิปครีมผัดให้เข้ากัน ค่อยนำกุ้งที่ทอดเสร็จลงไปคลุกเคล้า ใช้เวลาไม่นานก็จัดเสิร์ฟใส่จานได้ แต่งหน้าด้วยไข่กุ้ง ไข่ปลาคาเวียร์ พาเมซานชีส และพริกแห้ง เคล็ดลับของสมุนไพรที่ช่วยดับความเลี่ยนได้ชะงัก ได้ความอร่อย “รสชาติตรงไปตรงมา”

กินอิ่มแล้วอย่าลืมรับบริการแช่เท้าด้วยเกลือหิมาลัยที่ทางคาเฟ่มีไว้บริการฟรีด้วย!!!.

‘ช้องมาศ’

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/296024/‘สปาเกตตีพิ้งค์ซอส’+ที่+เฮ้าส์+ออฟ+ลักษมี+มันตรา

Read More...


‘ยำผลไม้รวม’ สวนหลังบ้าน สร้างรายได้



ในขณะที่ วัตถุดิบ และส่วนผสมเครื่องปรุงรส ที่ใช้มี ฝรั่งสด, มะม่วง, ส้มโอ, องุ่น, สับปะรด, มะเฟือง, น้ำยำ, น้ำมะนาว, น้ำปลา, พริกป่น, ผงชูรส, ปลากรอบ, มะพร้าวคั่ว, ปลาป่น, กุ้งแห้ง, ถั่วลิสงทอด และหอมหัวแดงหั่น พี่ตุ้ม บอกว่า “น้ำยำ” เป็นส่วนผสมสำคัญอีกอย่างของยำผลไม้ ซึ่งมีวิธีทำดังนี้ ตั้งหม้อสเตนเลสขนาดกลางใส่น้ำประมาณครึ่งหม้อ ใช้ไฟร้อนปานกลาง พอน้ำเริ่มเดือด ใส่น้ำตาลปี๊บจำนวน 3 กิโลกรัม และ กะปิหวานอีก 100 กรัม ลงในหม้อ ใช้ทัพพีคนเคี่ยวเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายกับกะปิเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วฉีกใบเตยใส่พอประมาณลงไป เคี่ยวให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน และมีความเหนียวคล้ายยางมะตูมก็ใช้ได้

วิธีทำ “ยำผลไม้รวม” เริ่มที่หั่นฝรั่งสดเป็นชิ้น ๆ, สับมะม่วงเป็นเส้น ๆ, แกะเนื้อส้มโอออกเป็นชิ้น ๆ, หั่นเนื้อสับปะรดเป็นชิ้น ๆ, หั่นเนื้อมะเฟืองเป็นชิ้น และแกะเมล็ดองุ่นออกมาเป็นผล ๆ เตรียมไว้

วิธียำ นำผลไม้ทั้งหมดใส่ลงในกะละมังสเตนเลส ใส่หัวหอมแดงหั่นลงไปพอประมาณ ตามด้วยปลาป่น, ผงชูรส, พริกป่น, ถั่วลิสงทอด, มะพร้าวคั่ว, กุ้งแห้ง, น้ำมะนาว ,น้ำปลา และน้ำยำ ใช้ทัพพีคนคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วชิมรสให้ได้ 3 รส คือ เปรี้ยว,หวาน และเค็ม แต่จะเน้นให้มีรสเปรี้ยวนำมากกว่า เสร็จแล้วโรยหน้าด้วยปลากรอบ เท่านี้เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ขายในราคาชุดละ 40 บาท

“ยำส้มโอ” เป็นยำที่ขายดีอีกอย่าง ซึ่ง วัตถุดิบ และส่วนผสมเครื่องปรุงรส มี เนื้อส้มโอแกะเป็นชิ้น ๆ (ใช้พันธุ์ขาวแตงกวาจะยำได้อร่อย), น้ำยำ, น้ำมะนาว, น้ำปลา, ผงชูรส, ปลากรอบ, มะพร้าวคั่ว, ปลาป่น, กุ้งแห้ง, พริกป่น, ถั่วลิสงทอด และหัวหอมแดงหั่น

วิธียำ เริ่มที่นำเนื้อส้มโอใส่ลงในภาชนะยำพอประมาณ ตามด้วยหัวหอมแดงหั่น, ปลาป่น, ผงชูรส, พริกป่น, ถั่วลิสงทอด มะพร้าวคั่ว, กุ้งแห้ง, น้ำมะนาว, น้ำปลา และน้ำยำ ใช้ทัพพีคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน ชิมรสให้ได้ 3 รส คือ เปรี้ยว,หวาน และเค็ม แต่จะเน้นให้มีรสเปรี้ยวนำ แล้วโรยหน้าด้วยปลากรอบ เท่านี้ก็ใช้ได้ ขายในราคาชุดละ 40 บาท

ส่วน “ยำฝรั่ง” และ “ยำมะม่วง” จะยำเหมือนกับยำผลไม้ และยำส้มโอรวมทุกประการ เพียงแค่เปลี่ยนผลไม้ และวิธีหั่นเท่านั้น โดย ยำฝรั่ง จะใช้ฝรั่งพันธุ์แป้นสีทอง และกลมสาลี่ โดยจะสับฝรั่งเป็นเส้น ๆ แทนการหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อง่ายต่อการรับประทาน ส่วน “ยำมะม่วง” นั้น จะใช้มะม่วงพันธุ์มันเดือนเก้า และโชคอนันต์ สับเป็นเส้น ๆ เช่นกัน

ส่วนราคาขายของยำ 2 ชนิดนี้ คือ ชุดละ 30 บาท

ใครสนใจ “ยำผลไม้รวม” ของนันทวรรณ เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ติดต่อได้ที่ โทร. 08-6212-1495 หรือที่ ถนนคนเดิน จ.นครสวรรค์ ทุกวันศุกร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00-21.00 น. และร้านยำมะม่วงโอทอป ย่านห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี จ.นครสวรรค์ ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-20.00 น.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล/สุรางค์รัตน์ เจนการ : รายงาน

ภาณุพงศ์ พนาวัน : ภาพ

คู่มือลงทุน…ยำผลไม้รวม

ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป

ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 6% ของราคาขาย

รายได้ ราคา 40 บาท/1 ชุด

แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป

ตลาด ชุมชน/งานออกร้าน/ย่านท่องเที่ยว

จุดที่น่าสนใจ เป็นการแปรรูปผลไม้แบบใหม่ ๆ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/296207/‘ยำผลไม้รวม’+สวนหลังบ้าน+สร้างรายได้

Read More...


กินแล้วร้อนเร่า เมนูชนะ 'ฤดูหนาว' สไตล์คุณหรีด

อากาศหนาวๆ แบบนี้คุณนึกถึงอะไรคลายหนาว วันนี้ไทยรัฐออนไลน์นำ 5 เมนูง่ายๆ อร้อย อร่อย ชนะ ช่วงวันเวลา 'เหมันต์' หรือ ฤดูหนาว สไตล์ คุณหรีด รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์ เจ้าแม่วงการอาหารชื่อดัง มาดูว่าน่ากินแค่ไหน




หนาวนี้ - สปาเกตตีคาโบนาร่า  
เมนูแรก ปกติเครื่องเส้นอย่างสปาเกตตี้มีส่วนประกอบเป็นแป้ง กินแล้วมันจะไปเคลือบท้อง เหมือนกับเวลาคนที่จะไปดื่มแอลกอฮอล์เขาจะแนะนำให้กินเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว เพื่อไปเคลือบท้องก่อน ซึ่งคุณสมบัติของตัวแป้งจะสามารถเคลือบทำให้ร่างกายไม่หนาวจนเกินไป ยิ่งเป็นสปาเกตตีคาโบนาร่ามีชีสเป็นส่วนประกอบ นอกจากจะเคลือบท้องแล้ว คาโบนาร่ายังมีกลิ่นหอมของควัน ยิ่งได้เบคอน มีความมัน กันความหนาวเลย
ทำกินเองได้ง่ายๆ.




หนาวนี้ - ข้าวผัดหนำเลี้ยบปลาหิมะ 
เมนูที่ 2 ปกติข้าวผัดเราจะรู้จักถ้าเป็นหนำเลี้ยบก็จะเป็นหนำเลี้ยบหมูสับหรือกุ้งสับ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งธรรมดาเกินไป เลยลองเป็นปลา ซึ่งปลาอื่นๆ ดูจะไม่ค่อยเหมาะกับหนำเลี้ยบเท่าไหร่ สู้ปลาหิมะไม่ได้ เพราะปลาชนิดนี้มีความมันของมันอยู่ สังเกตถ้าเอาปลาหิมะมานึ่งมากินเฉยๆ จะเลี่ยนเลย วิธีทำ นำปลาหิมะมาหั่นเป็นลูกเต๋า เคลือบด้วยแป้งนำไปทอด ไม่เช่นนั้นมันจะเละนำมาคลุกกับหนำเลี้ยบไม่ได้ ที่สำคัญเคลือบแล้วมันจะกรอบนอกนุ่มใน




ส่วนเครื่องหนำเลี้ยบไม่ต้องไปปรุงรส เพราะอร่อยอยู่แล้ว ขอเพียงแต่ว่าต้องได้หนำเลี้ยบมาแล้วคลี่ให้แตกให้หมด เอามาผัดกับกระเทียมให้คลายความเค็มลง ไม่เช่นนั้นเค็มจัดกินไม่ได้ (อย่าลืมมีกระเทียมเจียวไว้ส่วนหนึ่ง) ที่ขาดไม่ได้ก็คือการเหยาะซอสแม็กกี้ลงไป เพราะขาดซอสชนิดนี้ไม่ใช่หนำเลี้ยบ หลังจากนั้นจึงใส่พริกไทย น้ำตาลทรายขาวนิดหน่อย เสร็จแล้วก็นำปลาหิมะที่เราทอดกรอบแล้วมาลง
อ้อ เคล็ดลับที่สำคัญคือ อย่าลืมเหยาะเหล้าจีนลงไป ทำให้รสชาติมันร้อนเร่าเล็กน้อย เพียงเท่านี้มาราดบนข้าวสวยร้อนๆ ก็คลายหนาวแล้ว




หนาวนี้ - ต้มจืดเต้าหู้ผักกาดขาวสาหร่าย
เมนูที่ 3 ถามว่าทำไมต้องเป็นสาหร่าย เพราะบางคนไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ แต่คุณขาดโปรตีนไม่ได้ อย่าลืมเพราะถ้าขาดคุณจะมีอาการหนาวสั่น ดังนั้น แกงจืดเต้าหู้สาหร่ายผักกาดขาว เมนูนี้ ถ้าเป็นผักกาดขาวยอดอ่อน เด็กๆ ที่เกลียดผักกินได้เลย เวลาต้มลงไปสีมันจะน่ากิน แทบไม่ต้องปรุงอะไรเลย สาหร่ายใส่หลังสุด สาหร่ายจะเป็นตัวคลุม เก็บความร้อนในร่างกายเพื่อให้สู้กับอากาศหนาว สังเกตเวลาสาหร่ายไปคลุมทะเล อากาศจะอบอุ่น เป็นเมนูที่ทำกินเองง่ายอร่อยด้วย




หนาวนี้ - กะเพราไก่กระทะร้อน
เมนูที่ 4 เป็นเมนูที่ตอนนี้ไปดังที่ญี่ปุ่นมากๆ ซึ่งเราน่าจะรีบจดลิขสิทธิ์เขานำกะเพราไก่มาปรับเป็นกระทะร้อน กินคู่กับราเม็ง กะเพราไก่ของเขาทำแปลก เอากระทะร้อนมาตั้งตอกไข่ลงไป แล้วเอากะเพราผัดต่างหาก แล้วจึงนำมาคลุกหรือราดข้าว และดัดแปลงให้เหมาะกับความต้องการของคน คือชอบอะไรก็สามารถปรุงเองได้ ชอบเผ็ดมาก หรือน้อย ชอบกระเทียมหรือไม่ชอบ ปรุงได้เอง




นอกจากเมนูดังกล่าว สิ่งที่เราสามารถเสริมไปได้ ก็คืออยากให้ใส่หอมแดงลงไป เพราะเป็นตัวทำให้รสชาติไม่แรงเกินไป อ้อ น้ำมันที่ใช้แนะนำให้ใช้เบคอนแทน เพราะมันจะหอมกว่าปกติ ทำให้กะเพราไก่ที่เราทำเองอร่อยเลิศ




หนาวนี้ - สลัดผักผลไม้ครีมซอส
เมนูสุดท้าย ตัวสลัดเราจะใช้สลัดอะไรก็ได้ เห็ดอะไรก็ได้ แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือ นำผลไม้ทุกอย่างมารวมอยู่ตรงนี้ด้วย สาเหตุที่เอาผลไม้มารวมในสลัดคลายหนาวก็เพราะเราจะราดด้วยครีมซอส ตัวครีมนี่แหละที่จะทำให้เราสู้กับอากาศหนาวได้
ปัจจุบันครีมซอสทำเองง่ายๆ ใช้นมข้นหวาน หรือว่าไปซื้อครีมซอสก็ได้ตามห้างสรรพสินค้า แต่ทั้งหมดทั้งมวลสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ คอร์นเฟล็ก เพราะว่าใส่คอร์นเฟล็กลงไป ทำให้เราตื่น ความกรอบของผัก และคอร์นเฟล็กมันได้รสชาติ นอกจากคลายหนาวแล้วยังอร่อยเพลินอีกด้วย.

credit by :  http://www.thairath.co.th/content/469830

Read More...


‘ซุปอุดมทรัพย์’ มั่งคั่งรับตรุษจีน



ผันผ่านเลยวันเทศกาลปีใหม่ของคนไทยแล้ว นับถอยหลังอีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาล “ตรุษจีน” หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนจีนและคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งเป็นอีกวันหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ดังนั้นวันนี้ “เชฟชาน ก๊กคิน” หัวหน้าเชฟใหญ่เชื้อสายจีนจากคนอร์ จึงได้คิดค้นเมนูซุปมาแนะนำเป็นหนึ่งในเมนูสำหรับตั้งโต๊ะช่วงมื้อเย็น นอกจากมีรสชาติความอร่อยกลมกล่อมแล้ว ซุปถ้วยนี้ยังมีความหมายดีเสริมมงคลให้ชีวิตรุ่งเรือง เฮง เฮง เฮง รับตรุษจีนปีแพะทองด้วย

เชฟชานเป็นคนมาเลเซีย ด้วยความที่เกิดและเติบโตในประเทศอาเซียน อาหารถือเป็นส่วนสำคัญในชีวิต คุณพ่อคุณแม่ของเชฟชานมีความรักในอาหาร รวมไปถึงพวกเครื่องดื่มมาก เชฟชานเลยซึมซับสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ยังเด็ก และได้ไปเรียนที่โรงเรียนสอนการโรงแรมในประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์อยู่ 2 ปี โดยได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ศิลปะและทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับการโรงแรม พอเรียนจบจึงกลับไปที่มาเลเซีย ทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊กในโรงแรม หลังจากนั้นก็ย้ายไปโรงแรมต่าง ๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากยิ่งขึ้น ก่อนลาออกไปเรียนเพิ่มเติม จนมาทำร้านอาหารของตัวเอง ในที่สุดได้เข้ามาร่วมงานกับยูนิลีเวอร์ โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าเชฟฝ่ายศูนย์วิจัยและพัฒนาประจำภูมิภาคอาเซียน”

ด้วยความที่เชื้อสายเป็นคนจีน เชฟชานจึงมีความเข้าใจวัฒนธรรมการกินของชาวจีนเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงตั้งใจรังสรรค์เมนูซุปมงคล “เป็นครั้งแรกของการผสานศิลปะในการปรุงอาหารอย่างพิถีพิถันจากคนอร์ และคัดสรรส่วนผสมที่เป็นมงคลมีความหมายดีตามความเชื่อของคนจีน ทุกบ้านสามารถเสริมเฮงรับ
ตรุษจีน ด้วยการปรุงซุปมงคลได้เองที่บ้านโดยมีคนอร์ซุปก้อนเป็นตัวช่วยให้การปรุงเมนูซุปเป็นเรื่องง่าย และยังอร่อยกลมกล่อมด้วยน้ำต้มกระดูกหมูที่ผ่านการเคี่ยวยาวนานถึง 8 ชั่วโมง” เชฟผู้มากประสบ การณ์กล่าว

ในวันนี้เพื่อให้ทุกบ้านได้เริ่มต้นปีด้วยความมงคล ร่ำรวย ทำงานกิจการค้าขายดี เชฟชานได้เลือก “ซุปอุดมทรัพย์” หรือ “ซุปกระดูกหมูราก
บัวใส่ฟองเต้าหู้” ซึ่งมีส่วนผสมมงคลอย่างหมู ฟองเต้าหู้ และรากบัว หากรับประทานไปแล้วจะอุดมสมบูรณ์ กินอิ่มนอนหลับ สบายใจ มีความมั่งคั่ง ร่ำรวย มาสาธิตวิธีการทำอาหาร “สำหรับฟองเต้าหู้ นอกจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีแล้ว คนจีนยังมีความเชื่อว่ากินแล้วจะร่ำรวย ส่วนรากบัว เสริมมงคลด้านความสมบูรณ์และมีประโยชน์ช่วยแก้ร้อนใน บำรุงม้าม กระเพาะอาหาร และหัวใจ” เชฟชานเผย

เริ่มจากส่วนผสมมีดังนี้ กระดูกหมูหั่นท่อนยาว 3 นิ้ว 500 กรัม, รากบัวปอกเปลือกหั่นชิ้นบาง ๆ 100 กรัม, ถั่วลิสงดิบ 100 กรัม, ฟองเต้าหู้แผ่นมัดเป็นท่อนพอดีคำ 2 ชิ้น,คนอร์ซุปก้อนรสหมู 2 ก้อน, กระเทียมบุบ 35 กรัม, น้ำเปล่า 3 ลิตร, ต้นหอมซอยและผักชีซอย ตามชอบ

วิธีทำ นำน้ำใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ใส่กระดูกหมูลงไปลวกสักครู่เพื่อให้เลือดและฝุ่นออกจากหมู แล้วตักขึ้นมาล้างน้ำเปล่า แล้วพักไว้ จากนั้นนำหมูใส่ลงในหม้อ เติมน้ำ 3 ลิตร ใส่รากบัว ถั่วลิสง กระเทียม และคนอร์ซุปก้อน แล้วต้มต่อจนเดือด ลดไฟลงจนเหลือไฟอ่อน เคี่ยวต่อประมาณ 1 ชั่วโมง หรือจนหมูสุกนุ่ม แช่ฟองเต้าหู้ในน้ำอุ่นสักครู่จนนิ่ม พักไว้แล้วใส่ฟองเต้าหู้ในหม้อ ต้มต่ออีก 1 นาที ยกลงจากเตา ตักใส่ชามโรยหน้าด้วยต้นหอมและผักชี พร้อมเสิร์ฟ.

ช้องมาศ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/292803/ดื่มชาชมสวน+สดชื่นสไตล์+‘ไทนี่+ทรี’

Read More...


‘ฮ่อยจ๊อปู’ สูตรลับจากภูมิปัญญา!!


ธุรกิจขายอาหารยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เมื่ออาหารคือหนึ่งสิ่งสำคัญและจำเป็นในการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ทั้งยังเป็นสินค้าที่ไม่สามารถวนกลับมาใช้ใหม่ได้ ก่อให้เกิดความถี่ในการจ่ายของผู้บริโภคกระทั่งสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการขายอาหารอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจขายอาหารมีความน่าสนใจมากเป็นพิเศษ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ขอหยิบยกธุรกิจขายอาหารทานเล่นมานำเสนอ เผื่อจะเป็นช่องทางในการสร้างรายได้ให้กับผู้ที่กำลังมองหาอาชีพ...

วสิษฐ์ ยืนหยัดชัย หรือ “เผือก” เจ้าของร้านอาหารชาวไร่ อ.วังจันทร์ จ.ระยอง เล่าที่มาของร้านให้ฟังว่า เริ่มจากร้านเล็ก ๆ ที่อยู่ในป่ามีแต่ชาวไร่ชาวสวนมาทาน จากฝีมือของคุณแม่ (นางลั้ง แซ่ลี้ ) ซึ่งเปิดร้านขายข้าวแกง อยู่ที่วังจันทร์ ระหว่างที่ขายอาหารก็มีการสอบถามลูกค้าที่มาทาน เพื่อพัฒนาคุณภาพของอาหารเรื่อยมา จนเป็นร้านอาหารชาวไร่ ถึงปัจจุบันกว่า 30 ปี จนได้รับรางวัลระดับ 5 ดาว จากหอการค้าจังหวัดระยอง เป็นเครื่องการันตีให้กับทางร้าน

อาหารร้านนี้มีหลากหลายอย่าง ที่เด่น ๆ ก็มี เต้าหู้ทรงเครื่อง, แกงป่าเห็ดโคน, หัวปลาเก๋าต้มเผือก, ออส่วนหอยนางรม, ปลาเก๋าผัดพิโรธ, ปลาอินทรีแดดเดียว ฯลฯ สำหรับอาหารทานเล่นขึ้นชื่อก็คือ ฮ่อยจ๊อปู ซึ่งกว่าจะได้รสชาติที่อร่อยลงตัวอย่างทุกวันนี้ ต้องผ่านการทดสอบ ทดลอง พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพ จนหมดเงินไปเป็นจำนวนมาก “เสน่ห์ของฮ่อยจ๊อปูวังจันทร์อยู่ที่เนื้อปูที่สดใหม่ ถึงเครื่อง การห่อที่สวยงาม สะอาด ทำสดใหม่ขึ้นทุกวัน ด้วยวิธีทำที่เป็นสูตรลับ พิถีพิถันในทุกขั้นตอน การห่อที่ไม่แตก ทอดออกมาแล้วจะกรอบนอกนุ่มใน ไม่อมน้ำมัน อร่อยติดลิ้นในแบบฉบับของทางร้าน ลูกค้าและแขกต่างถิ่นแวะเวียนกันเข้ามาซื้อเป็นของฝากกัน มีลูกค้าชาวต่างชาติมาสั่งซื้อกลับไปทานที่ต่างประเทศด้วย”

อุปกรณ์ ที่ใช้มี เครื่องผสม, บล็อกพิมพ์ฮ่อยจ๊อ (สั่งทำ), กะละมังสเตนเลสหลายขนาด, เขียงขนาดใหญ่, ถาดสเตนเลส, รังถึงขนาดใหญ่, ถุงมือ, ผ้าขาวบาง, กรรไกร และอุปกรณ์เครื่องครัวเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ

ส่วนผสม มี เนื้อสันคอ กับหมูสามชั้น 12 กก., ปูม้าแกะ 5 กก., แป้งสาลี 2.4 กก., ไข่เป็ด 15 ฟอง, พริกไทย, แห้ว, กระเทียม, เครื่องปรุงรส, ต้นหอม และแผ่นฟองเต้าหู้

ขั้นตอนการทำ “ฮ่อยจ๊อปู” นำเนื้อสันคอหมู กับหมูสามชั้น เนื้อปูแกะ คลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เติมเครื่องปรุงรสลงไป แล้วนำไปปั่นในเครื่องผสม จนส่วนผสมละเอียดและเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ค่อย ๆ โรยแป้งสาลีทีละน้อย เรื่อย ๆ จนหมด พักทิ้งไว้สักครู่ ระหว่างนั้น นำแผ่นฟองเต้าหู้มาตัดเตรียมไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมขนาด 10x10x10 นิ้ว เสร็จแล้วนำผ้าขาวบางชุบน้ำสะอาดบิดพอหมาด ๆ มาห่อแผ่นฟองเต้าหู้ทิ้งไว้สักครู่ เพื่อให้นิ่ม

การห่อ “ฮ่อยจ๊อ” นำแผ่นฟองเต้าหู้แผ่วางบนเขียง โดยนำด้านป้านหันมาทางคนห่อ นำเนื้อปูม้าโรยลงในส่วนผสมมากพอสมควร แล้วคลุกเคล้าให้ทั่ว แต่อย่าคลุกทีเดียวหมด ให้แบ่งคลุกเคล้าเป็นส่วน ๆ ทีละน้อย แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาวางเลยจากขอบแผ่นฟองเต้าหู้ 2 นิ้ว (ชั่งก่อนโดย 1 เส้น หนัก 200 กรัม) พับหัวพับท้าย แล้วพับส่วนขอบม้วนให้แน่นไปเรื่อย ๆ พอม้วนใกล้ถึงปลายแผ่นฟองเต้าหู้ เอาส่วนผสมทานิดหน่อยแล้วบีบให้แน่นเพื่อให้ฮ่อยจ๊ออยู่ตัว เสร็จแล้ววางเรียงลงในบล็อกพิมพ์ที่เตรียมไว้ เรียงลงลังถึง 3 แถว นำไปนึ่ง 20 นาที

สุกแล้วนำมาเป่าพัดลมให้เย็นสนิท ก่อนนำไปทอด ให้ตัดเป็นท่อนขนาดตามที่ต้องการ ทานร้อน ๆ คู่กับน้ำจิ้มบ๊วย หรือแพ็กใส่ถุง เพื่อจำหน่าย ถ้าใส่ไว้ในช่องแช่แข็งอยู่ได้นานเป็นเดือน ราคาขายฮ่อยจ๊อปู ยังไม่ทอด ขายลูกละ 20 บาท ทอดแล้วขายลูกละ 23 บาท!!

ร้านชาวไร่ ตั้งอยู่ที่บริเวณสี่แยกไฟแดงชุมแสง อ.วังจันทร์ ถนนสายบ้านบึง-แกลง ทางหลวงหมายเลข 344 ฝั่งขาเข้าชลบุรี สังเกตง่าย หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่ 0-3866-6209 และ 08-1454-6374 เปิดตั้งแต่ 11.00-22.00 น. ทุกวัน นอกจากนี้ที่ร้านยังรับจัดโต๊ะจีน ทั้งในและนอกสถานที่ด้วย (สำหรับท่านที่มาแจ้งว่า ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ทางร้านมีส่วนลดค่าอาหาร 10% )

นี่ก็เป็นอีกบทพิสูจน์ว่า อาหารพื้น ๆ บางอย่าง หากทำให้เด็ดก็ขายดีจนเป็นธุรกิจที่เติบโตได้.

เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง/จิรัฏฐ์นนท์ ฐิตะสิริ : ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/294539/‘ฮ่อยจ๊อปู’+สูตรลับจากภูมิปัญญา!!

Read More...


หม้อไฟเกาหลี’ ทำเงินจากเทรนด์ใหม่


ในปัจจุบัน อาหารเกาหลีในบ้านเรากำลังได้รับความนิยมอย่างมากอันเนื่องจากละครเกาหลีหลายต่อหลายเรื่องที่ได้แพร่ภาพผ่านจอโทรทัศน์หลาย ๆ ช่อง จนกลายเป็นกระแสความนิยมอาหารเกาหลีนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นบิมบิมบับ หรือข้าวยำเกาหลี, จาจังเมียน, ซุปกิมจิ ฯลฯ และล่าสุด!! เมนูยอดฮิต อย่าง “หม้อไฟเกาหลี” ที่กำลังเป็นที่นิยมมากในขณะนี้ ซึ่งทีมคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอในวันนี้...

ประมวล บุญกาญจน์วนิชา เจ้าของร้านทูดาริ ที่ จ.พระนคร ศรีอยุธยา กล่าวว่า ชอบและสนใจอาหารเกาหลีมาตั้งแต่เรียนที่ต่างประเทศแล้ว และพยายามที่จะหัดทำเรื่อยมา แต่ในขณะนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อกลับมาเมืองไทยพบว่ากระแสความนิยมอาหารเกาหลีในประเทศนั้นแรงมาก จึงได้เปิดร้านอาหารเกาหลีร่วมกับครอบครัว เพราะคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการทำธุรกิจของตนเอง

“เหตุที่เลือกเปิดที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพราะว่าไม่ห่างจากบ้านที่ จ.สุพรรณบุรี และอยากจะให้คนพระนครศรีอยุธยาได้มีโอกาสทานอาหารเกาหลีโดยที่ไม่ต้องเดินทางเข้าถึงในกรุงเทพฯ ซึ่งช่วงแรกที่เปิดร้านปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะ หม้อไฟเกาหลี เป็นเมนูยอดฮิตที่คนนิยมสั่งรับประทานมากที่สุด”

อุปกรณ์ในการทำหม้อไฟเกาหลี หลัก ๆ มี เตาแก๊ส, หม้อน้ำซุป, เขียง-มีด, กะละมังใส่ผัก และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดที่ใช้ในครัวทั่วไป

วิธีทำหม้อไฟเกาหลี ประมวล กล่าวว่า เคล็ดลับความอร่อยของหม้อไฟเกาหลีนั้น อยู่ที่น้ำซุป, ซอส รวมไปถึงวัตถุดิบต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของหม้อไฟ

โดย น้ำซุปผัก ประมวล กล่าวว่า น้ำซุปผัก ประกอบไปด้วยกะหล่ำปลีหั่น, แครอทหั่น และสาหร่ายคอมบุ

วิธีทำน้ำซุปผัก คือ นำส่วนผสมทั้งหมดลงไปต้มพร้อมกับน้ำเปล่า เมื่อน้ำเดือดแล้ว ค่อย ๆ หรี่ไฟลง แล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้น้ำซุปผักที่หวาน และมีรสชาติอร่อย

ส่วนซอสที่ใช้นั้น จะมี 2 แบบ ได้แก่ ซอสชุนจัง (ซอสสีดำ) วิธีทำ คือ นำถั่วดำไปหมักกับกระเทียม และเกลือ นานประมาณ 1-2 เดือน เท่านี้ก็ใช้ได้ ซอสที่ใช้ได้จะมีสีดำ และรสชาติออกเค็ม และ ซอสโกซูจัง (ซอสสีแดง) นำซอสโกซูจังสำเร็จรูป มาผสมกับกระเทียมบด, น้ำตาลทราย และพริกป่นเกาหลี โดยลักษณะของซอสโกซูจังนี้ จะมีสีแดงจัดจ้านแต่ไม่เผ็ด รสชาติจะออกเค็มแทน

โดยส่วนประกอบของ หม้อไฟเกาหลี อย่าง “ชินดังดงต๊อกโปกิ” หลัก ๆ มี แป้งต๊อกโปกิ, ไข่ต้ม (ผ่าครึ่ง), สาหร่ายทอด, เส้นชิราเมียน (บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลี), กะหล่ำปลีหั่นสี่เหลี่ยมขนาดกลาง-ใหญ่, แครอทหั่นเฉียง, ต้นหอมญี่ปุ่นหั่นเฉียง, พริกขี้หนูตำพอประมาณ และน้ำซุปสต๊อกผัก 700 กรัมวิธีขาย จัดวางกะหล่ำปลีตรงกลางหม้อไฟฟ้า พยายามประกบผักให้แน่น เพื่อเวลาที่เทน้ำซุปลงไปกะหล่ำปลีจะได้ไม่กระจายออก จากนั้นวางแป้งต๊อกโปกิเรียงสลับกับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาทิ หมู, ลูกชิ้น และผักต่าง ๆ จากนั้นวางเส้นบะหมี่เกาหลีไว้ตรงกลางของยอดผักต่าง ๆ แล้วค่อย ๆ บีบซอสลงบนเส้น โดยกำหนดระดับปริมาณที่ 5-15 กรัม ขึ้นอยู่กับระดับความเผ็ดที่ต้องการ

จากนั้นตักน้ำซุปลงไปในหม้อ แล้วตั้งไฟเพื่อให้น้ำซุปร้อน และพร้อมรับประทาน

ส่วนราคาขายนั้นอยู่ที่ 399-499 บาทตามขนาด และประเภทของหม้อไฟ แถมด้วยข้อมูล บิมบิมบับ หรือ ข้าวยำเกาหลี อาหารขึ้นชื่ออีกอย่างมีส่วนประกอบ ได้แก่ เนื้อหมัก หรือเนื้อหมูหมัก หรือเนื้อไก่หมัก ส่วน วัตถุดิบอื่น ๆ ประกอบด้วย เห็ดหอม, เห็ดนางฟ้า, ถั่วงอก, ผักกวางตุ้ง, แครอท, เนยสดรสเค็ม และกิมจิในส่วนวัตถุดิบที่เป็นผักนั้น จะต้องหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อน แล้วนำไปลวกน้ำร้อน ผ่านน้ำเย็น บีบน้ำออกให้หมด แล้วนำไปคลุกเคล้ากับน้ำมันงา, เกลือ และน้ำตาลทราย ซึ่งจะเรียกว่า “ยำผัก”

นอกจากนี้ ต้องเตรียมน้ำซุป ซึ่งมีส่วนผสมของหัวไชเท้า, ต้มหอมญี่ปุ่น, ไข่ขาวฝอย และไข่แดงฝอย ส่วน วิธีทำน้ำซุป ก็คล้าย ๆ กับการทำน้ำซุปผักที่กล่าวไว้ข้างต้น

ขั้นตอนการทำบิมบิมบับ เริ่มที่ทาเนยสดลงในชามหิน แล้วตักข้าวสวย 150 กรัมใส่ลงไป

นำเนื้อสัตว์ และยำผักต่าง ๆ ที่ได้เตรียมไว้ค่อย ๆ วางลงบนข้าวจัดเรียงให้สวยงาม และเป็นระเบียบ เสร็จแล้วใส่ซอสบิมบิมบับ (เป็นส่วนผสมของซอสโกซูจัง, กระเทียมบด และน้ำตาลทราย) จำนวน 20 กรัมไว้ตรงกลาง แล้วนำไปตั้งไฟนาน 4-7 นาที

เสร็จแล้วตอกไข่ไก่ใส่ถ้วย 1 ฟอง แล้วเอาช้อนตักเฉพาะไข่แดงวางบนซอสบิมบิมบับ แล้วโรยงาดำด้านบนเล็กน้อย แล้วเสิร์ฟพร้อมซุป, กิมจิ และเครื่องเคียงอื่น ๆ อีก 1 อย่าง เท่านี้ก็เรียบร้อย

ขายในราคาชามละ 170-190 บาท ตามประเภทของเนื้อสัตว์ที่ทาน

ใครสนใจ “หม้อไฟเกาหลี” ต้องการติดต่อ ประมวล เจ้าของกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” รายนี้ ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-3580-1990.

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล /รายงาน

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/293000/‘หม้อไฟเกาหลี’+ทำเงินจากเทรนด์ใหม่

Read More...


ดื่มชาชมสวน สดชื่นสไตล์ ‘ไทนี่ ทรี’

ยังไม่ทันพ้นเดือนแรกของปี แสงแดดร้อนแรงทำท่าข่มฤดูหนาวเสียแล้ว ดังนั้นช่วงสาย ๆ ของวันว่าง หากใครไม่รีบร้อน ลองมาหลบแดดชมความรื่นรมย์ของต้นไม้ใบหญ้าให้สบายใจ ในร้านเก๋ ๆ อย่าง ไทนี่ ทรี การ์เด้นท์ (Tiny Tree Garden) ซึ่งหลบมุมอยู่ในซอยสุขุมวิท 31 ทันทีที่เท้าก้าวเข้ามาภายในร้าน จะพบกับความ “สดชื่น” แปลกตาไม่ซ้ำใคร เพราะต้นไม้ใบหญ้าที่พูดถึงนี้ไม่ได้เขียวครึ้มบนสวนหย่อมใหญ่ หากเป็นเพียงต้นไม้ต้นเล็ก ๆ บรรจุอยู่ในขวดหลากหลายรูปแบบ หรือที่เรียกกันว่า “สวนขวด” ที่ น้ำค้าง-ณัฐจรินทร์ พฤกษดานนท์กุล ปลุกปั้นมาเองกับมือ

หลังจากปิ๊งไอเดียระหว่างพักฟื้นรักษาร่างกายให้กลับมาแข็งแรงจากระบบภูมิคุ้มกันไวผิดปกติ “ก่อนเปิดร้านเป็นพนักงานออฟฟิศระยะหนึ่ง พอไม่สบายจึงลาออกกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านสวน จ.จันทบุรี วันหนึ่งเกิดแรงบันดาลใจหยิบเอาต้นไม้ ขวด และวัตถุดิบตกแต่ง ลองจัดเป็นสวนขวดเล็ก ๆ ประดิดประดอยให้เพื่อน ๆ เป็นของขวัญ โดยจัดบ่งบอกตามสไตล์ของเพื่อนแต่ละคน วันหนึ่งมีรุ่นพี่แนะนำให้ทำขาย เห็นว่าหนุ่มสาวออฟฟิศน่าจะชอบ ตัดสินใจลองผิดลองถูกเกือบครึ่งปี เปิดขายช่องทางแรกคือเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ทำให้ได้รับความนิยมมาเรื่อย ๆ เพราะคนชอบซื้อแล้วมอบเป็นของขวัญ” เจ้าของร้านร่างเล็กไม่แพ้ชื่อร้านบอกเล่าที่มา

พอสวนขวดเริ่มเป็นเทรนด์และมีคนสนใจมากขึ้น จึงตั้งหลักปักฐานเปิดหน้าร้านที่ซอยสุขุมวิท 31 นอกจากเป็นพื้นที่พบปะระหว่างคนชอบธรรมชาติและความคิดสร้างสรรค์แล้ว คุณน้ำค้างยังดึงดูดร้านให้น่านั่งเล่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการบรรจุเมนูเครื่องดื่มไว้ดับกระหาย และมีขนมหวานรสชาติเข้าคู่กันอย่างลงตัวจากฝีมือหุ้นส่วนของร้าน “เครื่องดื่มและขนมทางร้านจะไม่หวานจัด เพราะเราปรับสูตรเพื่อสุขภาพ หวานแค่นี้กำลังดีนะ บางครั้งลูกค้าติดหวานเราก็จะอธิบายว่าใส่นมและน้ำตาลเยอะแล้ว อย่าเติมอีกเลย เรียกว่าไม่ตามใจลูกค้าเลย” คนร่างเล็กเล่าพลางหัวเราะ

เมนูสั่งซ้ำของทางร้านมีทั้ง “น้ำมะนาวดองสูตร 80 ปี” รสเปรี้ยวซ่ากระชากใจสูตรจาก จ.สุพรรณบุรี และ “ชาไทยใส่นม” ที่คิดสูตรจากเครื่องดื่มแก้วโปรดประจำบ้าน “สูตรนี้นำมาบรรจุเป็นเมนูแรก ๆ ของทางร้าน เพราะคุณพ่อชอบกินชาเย็นมาก เสาะแสวงหาร้านจนเจอเจ้าประจำแถวเจริญรัถ ย่านวงเวียนใหญ่ ขนาดบ้านอยู่แถบสุขุมวิทแท้ ๆ ยังต้องขับรถไปซื้อ ซึ่งร้านเป็นรถเข็นธรรมดา แต่รสชาติล้ำลึกมากและตั้งชื่อรู้กันเฉพาะสมาชิกภายในบ้านว่า ชาเขย่า เพราะเวลาทำคุณลุงเจ้าของร้านจะมีลีลา “เขย่า” ชาเป็นเอกลักษณ์ คุณพ่อสังเกตวิธีการชงอย่างละเอียดละอ่อน ค้นพบว่าหากชงชาให้อร่อยเคล็ดลับอยู่ที่น้ำต้องร้อนจัด”

วันนี้จึงขอให้คุณน้ำค้างวางมือจากสวนขวด มาเป็นมือวางขวดแก้วอันกลมกล่อมแทน สำหรับ “ชาไทยใส่นม” สูตรคุณพ่อโปรดปรานใช้ส่วนผสมดังนี้ ผงชา 5 ช้อนชา จะเลือกเป็นชาไทยหรือชาที่ชื่นชอบก็ได้, น้ำเดือด 150 มล., นมคาร์เนชั่น 60 มล., นมข้น 40 มล. และนมสดสำหรับตีทำฟอง

วิธีทำ ตักชาใส่ถุงกรอง แช่ในน้ำเดือดจัดประมาณ 2 นาที รอจนกลิ่นชาหอมฉุย แล้วค่อยเติมนมคาร์เนชั่น และนมข้นตามลงไป แนะนำให้ใช้ผงชาชงแก้วต่อแก้ว เพื่อความเข้มข้นและสดใหม่ จากนั้นใช้เครื่องตีฟองชนิดมือตีนมสดจนกลายเป็นฟอง เคล็ดลับขั้นตอนนี้ คุณน้ำค้างเผยว่าต้องใช้นมสดที่เย็นจัด จึงจะได้เนื้อฟองที่นุ่มเนื้อละเมียดลิ้น เสร็จแล้วตักน้ำแข็งใส่โหลแก้วราดชาเย็นลงไปแล้วตักฟองครีมเติมด้านบน เสิร์ฟพร้อมเบเกอรี่หรือจิบพลางชมสวน...ชื่นตาสบายใจ ลองทำไว้ดื่มเองหรือแวะมาที่ร้านก็ไม่ขัดศรัทธา.

‘ช้องมาศ’

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/291242/‘ผัดไทยสุโขทัย’+จานร้อนรสย้อนยุค

Read More...


ข้าวต้มไรซ์เบอร์รีกุ้งกระเทียม เมนูสุขภาพจากข้าวสายพันธุ์ใหม่


ข้าวต้มไรซ์เบอร์รีกุ้งกระเทียม เมนูสุขภาพจากข้าวสายพันธุ์ใหม่
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

          ข้าวต้มไรซ์เบอร์รีกุ้งกระเทียม เมนูข้าวต้มสูตรพิเศษที่เปลี่ยนจากการใช้ข้าวขาวแบบเดิม ๆ มาเป็น "ข้าวไรซ์เบอร์รี" ข้าวสายพันธุ์ใหม่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและกำลังเป็นที่นิมยมในหมู่คนรัก สุขภาพอยู่ในขณะนี้ เสิร์ฟเป็นเมนูข้าวต้มร้อน ๆ ต้อนรับเช้าวันใหม่ได้อย่างอบอุ่น เหมาะกับช่วงหน้าหนาวแบบนี้สุด ๆ เป็นสูตรมาจาก นิตยสารแม่บ้าน คนที่รักสุขภาพต้องไม่พลาดนะคะ

          ข้าวต้มไรซ์เบอร์รีกุ้งกระเทียม (นิตยสารแม่บ้าน, เรื่อง : Wichuda, สูตร : อารมณ์ดี และภาพ : ณฐาภพ)

          "ข้าวต้มไรซ์เบอร์รีกุ้งกระเทียม" เสิร์ฟ ด้วยความหอมของข้าวที่ต้มในน้ำซุปหอมกรุ่น กับกุ้งกระเทียมที่ผัดจนเข้ากันเนื้อกรอบเด้ง อร่อย ส่วนข้าวไรซ์เบอร์รี ไม่ได้มีแค่ความหอมเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีคุณประโยชน์ในด้านของ สารต้านอนุมูลอิสระสูง ทั้งเบต้าแคโรทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามิน E แทนนิน สังกะสี และโฟเลตสูง มีดัชนีน้ำตาลต่ำ-ปานกลาง ที่มีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของตับและระบบประสาทให้แข็งแรงอีกด้วย แล้วยิ่งนำมาต้มกับก้งุ ที่เป็นอาหารทะเลที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต ยิ่งช่วยให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า เรียกได้ว่า เป็นเมนูสำหรับคนรักสุขภาพโดยแท้ ส่วนวิธีการทำก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เข้าไปในครัวเพียง 15 นาทีก็พร้อมกินกันทั้งครอบครัวเลยทีเดียว

 ส่วนผสม
           
          น้ำซุปไก่ 1 1/2 ถ้วยตวง

          ข้าวไรซ์เบอร์รีหุงสุก 1 ถ้วยตวง

          กุ้งสด 5 ตัว(ปอกเปลือกผ่าหลังดึงเส้นดำออก)

          ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนชา

          หน่อไม้ฝรั่ง (หั่นเฉียง) 2 ช้อนโต๊ะ

          แครอท (หั่นเต๋า) 2 ช้อนโต๊ะ

          กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ

          น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

          พริกไทยดำบดหยาบ 1/2 ช้อนชา

          ซอสเห็ดหอม 1 ช้อนโต๊ะ

          น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ

          ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ

          ผักชีสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
           
          1. ต้มน้ำซุปไก่พอเดือด ใส่ข้าวไรซ์เบอร์รีลงต้มประมาณ 5 นาที
           
          2. ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา จากนั้นใส่หน่อไม้ฝรั่งและแครอทลงต้มต่อจนผักสุก ยกลงจากเตา
           
          3. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืชพอร้อน นำกระเทียมสับลงผัดพอเหลืองหอม จากนั้นใส่กุ้งลงผัดพอสุก
           
          4. ใส่ซอสเห็ดหอม ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า และพริกไทยดำ ผัดพอเข้ากัน โรยต้นหอมตักข้าวต้มใส่ถ้วย ราดด้วยกุ้งผัดกระเทียมตกแต่งด้วยผักชี จัดเสิร์ฟ

           ข้าว ต้มไรซ์เบอร์รีกุ้งกระเทียม อีกหนึ่งเมนูสุขภาพที่ทำออกมาได้น่ากิน เสริ์ฟร้อน ๆ ได้ประโยชน์เต็ม ๆ ถ้วยแบบนี้ ต้องลองกันหน่อยแล้ว

credit by :  http://cooking.kapook.com/view108241.html

Read More...


'กิน ดื่ม' ช่วงปีใหม่ อย่างคนสุขภาพดี



อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลปีใหม่ เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองที่มีอาหาร และเครื่องดื่มเป็นตัวเชื่อมประสาน บางคนสนุกสนานต่อเนื่องแบบเที่ยงวันยันเที่ยงคืน แถมอาจลากยาวไปอีกหลาย ๆ วัน ซึ่งเมื่อดูวันหยุดปีนี้แล้วเฉลี่ย ๆ ก็อย่างน้อย 4 วัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่อย่าลืมใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองด้วย ทั้งเรื่องการดื่ม กิน และการพักผ่อน เพื่อต้อนรับศักราชใหม่ด้วยร่างกายที่สมบูรณ์ เต็ม 100%

วันนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ อย่างนายสง่า ดามาพงษ์ ได้ออกมาแนะนำถึงการกิน อยู่ สังสรรค์ในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้เป็นเทศกาลแห่งความสุขอย่างแท้จริง ด้วยหลักการง่าย ๆ คือ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานอาหารที่ไม่หวานจนเกินไป ไม่มันเกินไป และไม่เค็มเกินไป ขณะเดียวกันก็ควรเพิ่มสัดส่วนการรับประทานผัก ผลไม้ให้มากขึ้น เพราะในผักผลไม้จะมีไฟเบอร์สูง ตรงนี้จะเป็นตัวช่วยการย่อยสิ่งที่รับประทานเข้าไปได้ดี

นายสง่า บอกด้วยว่า ถึงแม้จะเป็นช่วงแห่งการเฉลิมฉลองเพียงสั้น ๆ ไม่กี่วัน แต่ก็สามารถก่อให้เกิดความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บตามมาได้ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ เพราะ อาหารหลักที่นิยมรับประทานกันในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะอุดมไปด้วยรสหวานจัด มัน เค็มจัด และเต็มไปด้วยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ทั้งนี้เพราะโปรตีนเป็นตัวผลิตไนโตรเจน เมื่อร่างกายได้รับไนโตรเจนมากเกินไปจะทำให้ร่างกายเสียความสมดุล ระบบการย่อยเป็นไปด้วยความยาก นอกจากนี้ยังนำพาไปสู่โรคต่าง ๆ ตามมาในระยะยาวได้ เช่น กระดูกบาง เพราะไนโตรเจนที่เข้าไปจะไปดูดซึมเอาแคลเซียมในร่างกายออกมา

อีกหนึ่งความนิยมรับประทานในเทศกาลปีใหม่มากที่สุดก็คือ “เค้ก” ซึ่งเป็นตัวที่อุดมไปด้วยน้ำตาล ไขมัน ครีม นม เนยสูงมาก เรียกว่าอุดมไปด้วยความอ้วน การห้ามรับประทานเลยอาจจะดูใจร้ายเกินไปดังนั้นการรับประทานเค้กควรเลือกชนิดที่น้ำตาลน้อย หวานน้อย ที่สำคัญรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะพอควร อย่าให้มากเกินไป และไปเพิ่มการรับประทานอาหารที่ประเภทผัก ผลไม้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยดูดซับเอาไขมันที่เรากินเข้าไปออกมาได้ส่วนหนึ่ง

“ปัญหาที่ตามมาจากการกินอาหาร แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ก็มากพอที่จะทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ สมมุติเรากินอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน น้ำตาลสูง ในที่สุดนิสัยเราจะเริ่มติดรสชาติของอาหารในช่วงปีใหม่นี้ โรคไม่ติดต่อเรื้อรังก็จะตามมากลายเป็นการทำร้ายตัวเองเสียมากกว่า”

มาที่เครื่องดื่มในการสังสรรค์ช่วงปีใหม่ คือแอลกอฮอล์ ที่วันนี้จะไปห้ามใครดื่มคงไม่ได้ แต่ก็อยากให้ประชาชนรับทราบและดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งโดยหลักการทั่ว ๆ ไป หากเป็นไวน์ก็ไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้ว ถ้าเป็นเบียร์เฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 แก้ว ประมาณนั้นซึ่งแต่ละคนอาจจะดื่มได้ในปริมาณที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสังเกตตัวเองว่าถึงจุดที่ควรจะพอหรือไม่ คือถ้าดื่มแล้วลิ้นพันกัน พูดไม่รู้เรื่อง หน้า ตึง ๆ และรู้สึกว่าครองสติไม่อยู่ก็ควรหยุดดื่ม ที่สำคัญคือเมาแล้วไม่ขับ เพราะเป็นอันตรายมาก เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำลายประสาทส่วนกลางทำให้ครองสติไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ จนเกิดอุบัติเหตุตามมาดังนั้นขอให้ดื่มแต่พอดี แต่ถ้าไม่ดื่มเลยก็ดี เพราะความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นตัวเริ่มต้น คุณสามารถรับประทานอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ทำให้มีความสุขได้เช่นเดียวกัน

ปีใหม่ปีนี้คุณจะหาของขวัญอะไรให้กับตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นแก้วแหวน เงินทอง หรือวัตถุ แต่เริ่มต้นด้วยการทำให้สุขภาพตัวเองดี กินเป็น ออกกำลังกาย ควบคุมอารมณ์ได้ เชื่อว่าของขวัญปีใหม่ชิ้นนี้น่าจะมีคุณค่ามากที่สุดในชีวิตคุณ ของขวัญปีใหม่ที่ดีที่สุดคือปรับนิสัยการรับประทาน ออกกำลังกาย ควบคุมอารมณ์ และในที่สุดเราก็จะสุขภาพดีตลอดปี ตลอดไป นี่คือของขวัญชิ้นงามแล้ว.

อภิวรรณ เสาเวียง : รายงาน

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/289997/‘‘กิน+ดื่ม’+ช่วงปีใหม่+อย่างคนสุขภาพดี

Read More...


ลิ้มรสความอร่อย‘อาหารญี่ปุ่น’ หอมนุ่มลิ้น‘ปลาหิมะย่างมิโซะ’



ก่อนอื่นผมต้องขอสวัสดีปีใหม่ 2558 คุณผู้อ่านทุกคนนะครับ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนาทุกประการ ส่วนตัวผมก็จะทำหน้าที่หาร้านอาหารที่อร่อย ๆ บรรยากาศดี ๆ รวมทั้งเมนูอาหารที่อร่อย ทำกินกันได้ทั้งครอบครัวมาคอยเสิร์ฟเพื่อน ๆ คุณผู้อ่านอย่างที่ดีที่สุดครับ

สำหรับอาทิตย์นี้ผมจะขอนำเสนอร้านอาหารญี่ปุ่น เพราะเมื่อปลายปีที่ผ่านมาผมได้ย้ายมาอยู่ที่คอนโดฯแถวสุขุมวิท มีความสุขมากเพราะการเดินทางสะดวกไม่ต้องใช้รถยนต์ แต่ใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสและรถไฟฟ้าใต้ดินแทน โดยในขณะที่ผมใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสผมจะต้องลงที่สถานีพร้อมพงศ์ ซึ่งหลายครั้งที่ผมเหลือบไปเห็นร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ ทางบันไดขึ้น

หลังจากที่เดินผ่านแล้วมองมาหลายครั้ง วันนั้นผมตัดสินใจเข้าไปลองชิมดู ร้านมีชื่อว่า อาหารญี่ปุ่น ซันญ่า เจ้าของร้านเป็นเชฟคนไทย แต่ลูกค้าในร้านมีแต่คนต่างชาติและชาวญี่ปุ่นที่เข้าไปกินกันไม่มีคนไทยสักเท่าไร ส่วนน้องสาวเจ้าของร้านสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นและอ่านภาษาญี่ปุ่นได้ดี โดยจะมีเมนูพิเศษให้ชาวญี่ปุ่นรับประทานกันด้วย เมื่อผมได้ลองกินอาหารของเขาแล้วจึงรู้ว่าอาหารเขาอร่อย จากนั้นมาผมก็ได้มีโอกาสแวะไปกินมาเป็นสิบครั้งเลยครับ

อาหารจานแรกที่ผมได้ชิมเริ่มด้วย ปลาดิบ ที่ร้านเขาใช้ปลาสด ๆ มาทำกันเลยทีเดียว โดยจะเน้นคุณภาพของวัตถุดิบเป็นอย่างมากทำให้ปลาดิบของเขาอร่อย ไม่เหม็นคาว จิ้มกินกับโชยุ ถ้าจะให้ถึงใจก็ให้ละลายวาซาบิลงไปในโชยุด้วยก็จะได้รสชาติที่จี๊ดขึ้นมาทันทีเลยครับ โล่งสบายดี แต่ใครที่ไม่ชอบก็จิ้มกินกับโชยุอย่างเดียวก็อร่อยเช่นกัน

ส่วนวัตถุดิบใดที่ไม่สดพอ เช่น ปลาหมึก ซึ่งไม่ใช่ของสดเขาก็จะทำเป็น ปลาหมึกต้มซีอิ๊วญี่ปุ่น คล้าย ๆ ต้มเค็มของไทยเรา หั่นมาเป็นชิ้น เป็นแว่น ๆ แต่ละชิ้นใหญ่พอสมควร ใส่จานเล็กมาเสิร์ฟ แต่ก็มีอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน รสชาติดี เค็ม ๆ เขาทำได้ดีไม่คาวกินกับข้าวอร่อยครับ

จานต่อมาเป็น หมูชุบแป้งทอดซอสกะหรี่ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า ทงคัตซึ นั่นเองครับ ทอดหมูมาได้ดีไม่สุกเกินไป ส่วนตัวแป้งก็ไม่หนามาก ทำให้ไม่เลี่ยน จิ้มกินกับซอสรสชาติดีครับ ยิ่งกินตอนร้อน ๆ ยิ่งกรอบอร่อย จะกินกับข้าวหรือจะกินเปล่า ๆ ก็ได้

ยังมี เต้าหู้ทอด โรยด้วยต้นหอมมาด้านบน หั่นเป็นชิ้น ๆ มา ทำให้กินง่ายขึ้น ตัวเต้าหู้มีความเข้มข้นและนุ่มนวลพอสมควร ข้างนอกกรอบส่วนข้างในนุ่ม เมื่อกัดเข้าไปเหมือนกินคัสตาร์ดอร่อยดีมีประโยชน์ด้วย สำหรับเมนูนี้ผมกินคนเดียวหมดจานเลย

ลำดับต่อมาเป็น ยำไส้ปลา ทำจากปลาทะเลดิบ แล้วปรุงน้ำยำราดด้านบนเนื้อปลาก่อนจะนำมาเสิร์ฟ โดยจะเสิร์ฟมาเป็นชามเล็ก ๆ อร่อยดี เขาล้างสะอาดเลยไม่คาว

จากนั้นเป็น ปลาหมึกซาซิมิ เขาใช้ปลาหมึกกล้วยสด ๆ ผ่ากลางแล้วหั่นเป็นเส้น ๆ ก่อนเสิร์ฟให้กิน ตรงหนวดหวานกรอบ อร่อยเหลือเกินครับ จิ้มกินกับโชยุผสมวาซาบิ

ในส่วนของ ปูไส้ครีมชุบแป้งทอด ภาษาฝรั่งเรียกว่า โคเก็ต ก็อร่อยไม่แพ้กัน โดยเขาจะปั้นเป็นก้อน ๆ และเอาไปชุบแป้งทอด กินกับซอสแบบญี่ปุ่นที่รสเค็ม ๆ หวาน ๆ มีรสเปรี้ยวนิด ๆ อร่อยเหลือเกินครับ

ยังมี ยำผัก กินกับน้ำยำที่เป็นงาขาว กรอบอร่อยดี ต่อจากนั้นเขาก็เอาปลาหิมะมาเสิร์ฟ ซึ่งเขาทำ 2 แบบ คือ ปลาหิมะย่างเกลือ โดยเอาปลาไปย่างเกลือแบบง่าย ๆ ไม่แห้งจนเกินไป และอีกแบบไปหมักกับมิโซชิรุ คือ เต้าเจี้ยวญี่ปุ่นแล้วเอามาย่างให้เรากิน เรียกว่า ปลาหิมะย่างมิโซะ อร่อยทั้ง 2 แบบครับ แบบย่างเกลือก็จะได้กลิ่นหอมของถ่านที่ย่างเป็นแบบแห้ง ๆ ส่วนย่างมิโซะก็จะมีรสชาติของซอสเพิ่มขึ้นมา

ต่อด้วย ยำสาหร่ายทะเล ซึ่งเป็นเมนูที่อร่อยอยู่แล้ว หนึบ ๆ ดีครับ ผมไม่ชอบกินข้าวแต่ก็กินแป้งบ้างจึงสั่ง เกี๊ยวซ่า มากิน ตัวแป้งไม่หนามาก ชิ้นเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ ด้านในเป็นผักผสมกับหมูรสชาติใช้ได้

ยังมี ผัดหัวโกโบ ซึ่งหัวโกโบนั้นจะเป็นรากไม้คล้าย ๆ เผือก หั่นเป็นเส้น ๆ แล้วเอาไปผัดปรุงรส เมื่อชิมแล้วกรอบมากอร่อย เมนูนี้ช่วยระบบย่อยอาหารได้เป็นอย่างดีและไม่อ้วนอีกด้วย

และที่ผมชอบมาก คือ มะเขือญี่ปุ่น เขาเอามาทำเป็นเมนูที่มีชื่อว่า มะเขือผัดกับหมู หรือไม่เช่นนั้น ก็จะเป็น มะเขือผัดกับมิโซะ คือ เอามะเขือญี่ปุ่นมาผัดกับมิโซชิรุ หรือ เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น ซึ่งเขาทำได้อร่อยทีเดียวทั้ง 2 อย่าง โดยรสชาติก็จะใกล้เคียงกัน

ยังไม่หมดเท่านี้ ยังมี ไก่คาราเกะ โดยส่วนตัวผมถือเป็นอาหารกินเล่น หรือใครจะกินกับข้าวก็ได้ครับ เด็ก ๆ น่าจะชอบ ซึ่งเขาก็ทอดได้ดีกรอบอร่อย

และยังมี เทมปุระ อีกด้วย ซึ่งก็เป็นเมนูหลักในการสั่งอาหารญี่ปุ่นของใครหลาย ๆ คน ของเขากรอบใช้ได้ มี สตูหมูกับมันบด และ สตูลิ้นวัว ด้วยนะครับ เมนูนี้ทั้ง 2 จานผมใช้ตะเกียบกินแบบญี่ปุ่นเลยครับ รสชาติเข้มข้นทั้ง 2 แบบ อร่อยทั้งคู่

มี ปลาซาบะย่าง มาชิมกันด้วย จานนี้ย่างแห้งไปนิด เพราะเนื้อปลาชนิดนี้แห้งอยู่แล้ว และมี ซุปใส ให้ล้างคอ

ร้านเขาธรรมดา ไม่หรูหราอะไร ทางเข้าเล็กนิดเดียว แต่เป็นร้านที่ผมกินบ่อย อยากให้ไปลองเพราะอาหารของเขาใช้ได้ แถมยังราคาย่อมเยา.

หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


‘อาหารเช้า’ ชาวกรุงศรีอยุธยา มรดกการกินที่ถูกมองข้าม


ราชธานีกรุงศรีอยุธยา นอกจากเป็นแหล่งบ่มเพาะศิลปวัฒน ธรรมแล้ว เรื่อง อาหารการกินเป็นอีกสิ่งน่าสนใจ โดยเฉพาะอาหารเช้าที่คนปัจจุบันอ้างถึงหลักโภชนาการ แต่คนกรุงศรีฯ ก็พิถีพิถันอาหารเช้าตามแนวทางพุทธศาสนา ที่ทำให้พวกเขามีสุขภาพดีและถ่ายทอดมรดกเหล่านั้นสู่ปัจจุบัน

ปัทพงษ์ ชื่นบุญ นักวิชาการฝ่ายส่งเสริมและเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม สถาบันอยุธยาศึกษา ม.ราชภัฏพระนคร ศรีอยุธยา เล่าว่า อาหารเช้าของคนกรุงศรีอยุธยากับปัจจุบันมีส่วนที่เหมือนกันและแตกต่าง เรื่องการกินข้าวยังมีการตกทอดมาอยู่ ส่วนที่แตกต่างจากอดีตตามบันทึกของ “มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์” อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส เขียนว่า “ไม่มีชนใดที่จะสมถะเท่าชนชาวสยาม ชาวบ้านดื่มกันแต่น้ำเปล่า และอยู่กันอย่างมีความสุขด้วยอาหารการกินง่าย ๆ เพียงข้าวเปล่ากับปลาแห้ง หรือปลาเค็มตัวเล็ก ๆ อาจมีเครื่องจิ้มบ้าง ปลานั้นชุกชุมเหลือเกินจับชั่วโมงหนึ่งนำไปกินได้หลายวัน”

อาหารเช้าคนอยุธยาสมัยก่อนส่วนหนึ่งเน้นปรุงง่าย และใช้การหุงข้าวสารที่เหนียวคล้ายข้าวเหนียว แต่ไม่ใช่ข้าวเหนียว เป็นข้าวพื้นเมืองคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันใน พม่า กัมพูชา หรือเวียดนามยังมีการปลูกอยู่ เม็ดข้าวจะอวบ เม็ดยาว ซึ่งคำว่า “จก” หรือ “เปิบ” มาจากการทานข้าวประเภทนี้

คนกรุงศรีอยุธยามีบริบทหนึ่งที่ว่า เวลากินต้องกินหลังพระ ตอนเช้าตื่นมาหัวหน้าครอบครัวไปหาปลา ขณะที่ภรรยามีหน้าที่เกี่ยวกับเกษตรกรรมทางบก โดยจำนวนวัดที่มากในอยุธยาทำให้สันนิษ ฐานได้ว่า คนอยุธยาเป็นคนชอบทำบุญ เช้าตื่นมาหุงข้าว อาหารมื้อแรกต้องนำไปถวายพระที่วัดก่อน แล้วถึงจะกลับบ้านมากินข้าว โดยวิถีชีวิตเหล่านี้ยังมีตกทอดมาถึงปัจจุบันในอยุธยา แต่อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ

ความที่ต้องทำอาหารถวายพระทุกเช้า ทำให้คนกรุงศรีอยุธยาหลายครอบครัวได้ทานอาหารเช้าที่สดใหม่ ด้วยแนวคิดว่า วัตถุดิบในการปรุงอาหารที่ดีที่สุดมื้อนั้นต้องนำไปถวายพระก่อน แต่ถ้าพูดถึงชาวต่างประเทศที่เข้ามาช่วงนั้น มีวิถีการกินอาหารเช้าที่แตกต่าง เนื่องจากเขาไม่ได้นับถือพุทธศาสนา แต่มีการดื่มชา กาแฟตอนเช้ากับขนมปัง ซึ่งมีการพบหลักฐานในเครื่องใช้ที่สามารถนำมาดัดแปลงทำขนมปัง ตลอดจนพบภาชนะที่สามารถใส่สิ่งเหล่านี้ได้ที่หมู่บ้านโปรตุเกส

คนจีนในกรุงศรีอยุธยาไม่ได้เคร่งครัดพุทธศาสนา ยามเช้าจะดื่มน้ำชา โดยเฉพาะอาหารประเภทซุปหรือต้มจืด ไม่เน้นอาหารรสจัด อาหารเช้าส่วนใหญ่เป็นไปตามเชื้อชาติยังถือว่าไม่กลมกลืน จากการสันนิษ ฐานคนอยุธยามีการทานชา กาแฟ และขนมปังแล้ว แต่เป็นคนที่อยู่ในชนชั้นราชวงศ์หรือเศรษฐี เนื่อง จากกลุ่มคนพวกนี้มีกำลังทรัพย์พอไปซื้อหาสินค้าเหล่านี้

จากคำให้การ ขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุถึงตลาดทั่วอยุธยาที่เรียกว่า “ป่า” ซึ่งมีผลต่อการทานอาหารเช้า โดยมีการระบุถึงตลาดทั่วพระนครในแต่ละย่าน มีการขายอาหารหลากหลายทั้งของสด ของคาว ของแห้ง และมีตลาดจำนวนมากที่แทรกอยู่ตามวัด โดยตลาดมีทั้งตอนเช้า กลางวัน และเย็น ถือเป็นแหล่งการค้าสำคัญที่คนนอกเมืองต้องเข้ามาซื้อหาสิ่งของ

“กลุ่มมุสลิมเปอร์เซียน สันนิษฐานว่าเป็นชนชาติแรกที่นำอาหารประเภทกะทิเข้ามาในอยุธยา ซึ่งกะทิพอใส่เข้าไปในอาหารแล้วจะเป็นแกง อาหารที่คนกลุ่มนี้ทาน เช่น ก๋วยเตี๋ยวแกง มัสมั่นต่าง ๆ ถ้ามองมาถึงอาหารที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันอย่างข้าวยังมีการทานอยู่ แต่การปรุงมีการแปรรูปมากขึ้น โดยการทำให้กินง่ายและรวดเร็ว”

อาหารเช้าที่คนกรุงศรีอยุธยานิยมทานคือ “ข้าวเหนียวหัวหงอก” เป็นข้าวเหนียวคล้ายข้าวเหนียวหน้าปลาแห้ง แต่มีการโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด เมนูนี้พอไปถามคนพม่าจะบอกว่าคนโบราณกินกันมานาน พอไปดูที่เวียดนาม กัมพูชา ก็นิยมเหมือนกัน เราเลยสันนิษฐานว่า คนกรุงศรีอยุธยาสมัยก่อนเคยทานอาหารชนิดนี้ โดยเมนูนี้นิยมเพราะทำง่าย พอกินไปจะอยู่ท้อง รวมถึงมีความเค็มกับหวานอยู่ในตัว ในอยุธยาปัจจุบันอาหารชนิดนี้แทบไม่มีเหลือแล้ว ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านยังรักษาการกินอยู่

อาหารเช้าของราชวงศ์ในอยุธยามีความหลากหลายกว่าชาวบ้านทั่วไป เช่น นำแกงเหงาหงอด ที่ชาวโปรตุเกส นิยมทาน ซึ่งถ้ามีฐานะดีจะกินอาหารเช้าต่างจากชาวบ้านปกติ อย่างชาวบ้านหาข้าวกับปลามาปิ้งย่างก็กินได้ แต่คนมีเงินจะกินอาหารที่มีเครื่องเทศ เช่น น้ำพริกกะปิ แกงกะทิที่ใส่หัวหอม มีหลักฐานการใช้ผักหวานนำมาประกอบอาหาร ผิดจากชาวบ้านที่วันไหนไม่มีเวลาทำอาหารก็อาศัยขุดเผือกหามันกิน

“คนกรุงศรีอยุธยาอาหารเช้ากับกลางวันเป็นมื้อหนักที่สุด ถือเป็นการกินที่ไม่ยึดถือตามเวลาแบบตะวันตก แต่ยึดถือการถวายข้าวพระ ขณะเดียวกันอาหารที่นำไปถวายพระเหมือนการแสดงถึงฐานะทางสังคม เช่นเดียวกับบันทึกที่ระบุว่า คนอยุธยาจะไม่นิยมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำให้คนจีนที่เข้ามาต้องเปิดโรงฆ่าสัตว์ ขนมของหวานที่ใช้ทานตอนเช้าของคนอยุธยาไม่น่าจะมี แต่มีเป็นผลไม้แทน”

อาหารของอยุธยาที่ตกทอดมายังกรุงรัตนโกสินทร์เห็นได้จาก กาพย์เห่ชมเครื่องคาว-หวาน ซึ่งเห็นว่าอาหารที่กล่าวในเนื้อหาเป็นอาหารนานาชาติ มีทั้งญี่ปุ่น จีน ไทย ยุโรป แขก มอญ รวมอยู่ในนั้น จึงแสดงให้เห็นถึงการตกทอดทางด้านอาหาร ดังนั้นเมื่อมาถึงชาวบ้านจากที่กินข้าวกับปลา เริ่มมีอาหารที่ใกล้เคียงกับของราชวงศ์มากขึ้น

ถ้ามองถึงเมนูอาหารเช้าที่ได้รับความนิยมปัจจุบัน ซึ่งมีรากฐานจากอาหารเมื่อครั้งอยุธยาเช่น โจ๊ก เป็นอาหารของตะวันตกที่รับเข้ามา ไม่ต่างจากซุปที่มีทั้งแบบของตะวันตกและจีน แต่อาหารที่มีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนานคือ ปลาร้า ที่เป็นอาหารหลักที่คนสมัยก่อนกินกันได้ทั้งปี ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำลำคลอง ที่เล่ากันว่า “แค่เอามือจุ่มน้ำตรงบันไดริมน้ำก็โดนกุ้งต่อยมือ หรือบางครั้งเหวี่ยงแหไปทีปลาติดจนแทบแบกปลากลับบ้านไม่ไหว” ดังนั้นเมื่อได้ปลาคราวละมาก ๆ เลยต้องนำไปแปรรูปเพื่อให้กินได้นาน ๆ เช่น หลนปลาร้า ที่มีการนำสูตรของมอญมาปรับใช้

“เมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบันอาหารเช้าในอยุธยาได้ถูกหลอมรวมกันจากหลายเชื้อชาติ เห็นได้จากหลายพื้นที่นิยมทานขนมปังกับไข่กระทะ หรือข้าวมันไก่แบบจีน ถ้าคนที่มาอยุธยาอยากทานอาหารเช้าแบบต้นตำรับยังหาทานได้ที่ ตลาดหัวรอ เปิดตั้งแต่ตีสาม แล้วเริ่มวายช่วงแปดโมงเช้า ส่วน ตลาดเจ้าพรหม เริ่มขายตั้งแต่ตีห้า เริ่มวายประมาณเก้าโมงเช้า ถ้าคนสนใจอาหารเช้าตามแบบอยุธยาดั้งเดิมต้องมาเดินตลาดเช้าที่นี่ที่ยังมีวิถีวัฒนธรรมแบบเดิมอยู่ โดยเฉพาะที่ตลาดหัวรอจะมีอาหารทั้งแบบจีน มุสลิม ตะวันตก แต่ตลาดเจ้าพรหมจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่มาขาย เช่นเดียวกับตลาดเสนาที่ยังมีการค้าขายปลาทางเรือที่จับมาได้ โดยถ้าคนที่ซื้อควรรีบไป เพราะมีลูกค้าหลายรายเหมาซื้อเพื่อนำไปถวายพระ”

เด็กรุ่นใหม่ที่จะสืบต่อการทำอาหารเช้าแบบโบราณค่อนข้างมีน้อย ขณะที่คนมาเที่ยวหลายคนยังไม่ค่อยมาลองชิมอาหารเช้าในแบบอยุธยาดั้งเดิมตามตลาดเหล่านี้มากนัก ดังนั้นถ้าใครมาอยุธยาถ้าได้ลองไปชิมอาหารเช้าจะทำให้เรียนรู้วิถีของคนสมัยก่อนว่า ทำไมเขาถึงมีสุขภาพดี แล้วลองย้อนกลับมาดูตัวเราเพื่อปรับเปลี่ยนการกิน

อยากฝากว่า ถ้าอยากเรียนรู้อาหารในสมัยก่อนลองหันมาดูอาหารของเพื่อนบ้าน ที่หลายประเทศยังรักษาไว้ได้อย่างดี เช่น ลาว เวียดนาม พม่า กัมพูชา โดยเฉพาะในชนบทของเขาที่ยังรักษาไว้อย่างดีมาก ต่างจากเราที่เปิดรับทุกอย่าง จนเหมือนว่าเป็นวัฒนธรรมที่ถูกกลืนกลายทำให้ไม่เหลือเมนูอาหารหลัก ๆ ไว้เลย.

..............................................................................................

ตลาดน้ำหลัก 4 แห่ง สมัยกรุงศรีฯ

สมัยอยุธยามีตลาดน้ำที่เป็นการค้าหลักหรือตลาดใหญ่ 4 แห่ง ตามคำให้การ ขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม คมขำ ดีวงษา ให้รายละเอียดในวิทยานิพนธ์เรื่อง บทบาทของตลาดในพระนครศรีอยุธยาต่อการค้าภายในและภายนอก พ.ศ. 2173–2310 ดังนี้

1. ตลาดน้ำวนบางกะจะ เป็นจุดที่แม่น้ำป่าสักกับแม่น้ำเจ้าพระยาไหลมาบรรจบกันตรงหน้าป้อมเพชร ที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเมือง ตรงนี้ถือเป็นจุดบรรจบของการล่องเรือสำเภา และมีตลาดน้ำที่แยกจากตลาดนี้อีกมาก

2. ตลาดปากคลองคูจาม อยู่ด้านใต้เกาะเมือง ด้านตะวันตกมีพวกแขก ชวา มลายู บรรทุกหมาก หวาย ตลาดนี้ท้องน้ำถึงบ้านฉะไกรใหญ่และตลาดบริเวณคลองขุนละครไชย

3. ตลาดคูไม้ร้อง อยู่ฝั่งเหนือ เป็นเส้นทางแม่น้ำลพบุรี เดิมติดต่อกับตลาดคลองสระบัว คลองผ้าลาย ตลาดสำคัญที่พ่อค้านำผลผลิตพื้นบ้านหัตถกรรมไปขายภายในเมืองริมคลองวัดมหาธาตุภายในเกาะเมืองอยุธยา

4. ตลาดปากคลองวัดเดิม (วัดอโยธยา) เป็นตลาดภายในบริเวณแม่น้ำหันตรา หรือแม่น้ำเบี้ยเชื่อมระหว่างคลองข้าวเม่า คลองวัดประดู่ คลองกุฎีดาว คลองวัดมเหยงค์ ถือเป็นคลองย่อยของแม่น้ำป่าสัก

ศราวุธ ดีหมื่นไวย์

credit by : http://www.dailynews.co.th/Content/Article/292255/‘อาหารเช้า’+ชาวกรุงศรีอยุธยา+มรดกการกินที่ถูกมองข้าม

Read More...


‘ยำปลาช่อนแดดเดียวฯ’ รสเด็ด หอมอร่อย ‘ซี่โครงแกะอบกับมะเขือม่วง’


วันนี้ผมมีอาหารจานเด็ดที่ผมชอบกินมาบอกกล่าวให้ทุกท่านได้ทราบครับ คือ ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสไป จ.นครสวรรค์ แถวนั้นมีปลาช่อนแดดเดียวขายอยู่หลายร้าน และมีวัตถุดิบอีกชนิดหนึ่งเป็น กระเจี๊ยบแดง ผมเลยคิดว่า เมื่อมีวัตถุดิบอย่างนี้ควรจะนำมาทำเป็น ยำปลาช่อนแดดเดียวกับกระเจี๊ยบแดง ดีกว่า จึงเป็นที่มาของเมนูวันนี้ที่อยากจะแนะนำให้เพื่อน ๆ ได้ลองทำกันดู

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากการทำน้ำยำ ถ้าจะให้ได้รสที่อร่อยจะต้องโขลกน้ำยำในครก โดยเอาน้ำพริกเผา หอมแดงซอย พริกขี้หนูบุบ โขลกให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ และน้ำมะนาว ผสมให้เข้ากัน ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม หวานเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นรสน้ำยำที่อร่อย แล้วนำมาใส่ถ้วยพักไว้

ต่อมา นำปลาช่อนแดดเดียวมาแล่เอาก้างออกให้หมด จากนั้นให้นำไปทอดให้กรอบ โดยการทอดปลาที่ดีจะต้องใช้ไฟปานกลางไม่แรงหรืออ่อนจนเกินไป พักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน

ขั้นตอนต่อมา ให้เอาชามผสมมาใส่ปลาช่อนแดดเดียวที่เราทอดไว้แล้วลงไป ใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ ใส่หอมแดงซอย ใส่กระเจี๊ยบซอย ใส่ผักชีใบเลื่อยซอย และใส่น้ำยำที่เตรียมไว้ลงไป คลุกเบา ๆ พอให้เข้ากัน ชิมรสอีกครั้ง ตักใส่จานเสิร์ฟ แล้วโรยด้วยใบสะระแหน่เด็ดใบ หอมเจียว และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอดกรอบ ยกเสิร์ฟทันที เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้ว วิธีการทำไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน เมนูนี้จะกินกับข้าว หรือกินเล่นก็อร่อย

หากเพื่อน ๆ มีเวลาว่าง หรือในช่วงวันหยุดลองทำกินกันดู นะครับ.

หมึกแดง
www.mcdangguide.com

..............................................................................................

ร้านอาหารชวนชิม

ผมได้แวะไปชิมอาหารอิตาเลียน ที่ร้าน อีโนติก้า ซึ่งร้านเป็นบ้านเล็ก ๆ อยู่ในซอยสุขุมวิท 27 บรรยากาศร้านดี และอบอุ่นครับ อาหารก็อร่อย มีคนเข้าร้านพอสมควรแต่ที่จอดรถมีน้อยไปหน่อย

อาหารเรียกน้ำย่อย มันเทศบดกับไข่หอยเม่น เป็นมันเทศที่เขาเอาไปบดแล้วใส่ครีมทำให้มีรสชาติมากขึ้น โดยจะเสิร์ฟพร้อมกับไข่หอยเม่นเป็นถ้วยเล็ก ๆ ตอนที่มาเสิร์ฟยังอุ่น ๆ อยู่เลยครับ รสชาติกลมกล่อม อร่อยมาก เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อกินเข้าไปแล้วทำให้รู้สึกอยากกินอาหารอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น

จานต่อมา ผมเป็นคนชอบกินเนื้อที่นำมาทำเมนูต่าง ๆ หรือเมนูแปลก ๆ จึงสั่งเป็น ลิ้นลูกวัวย่างเสิร์ฟกับมันหญ้าฝรั่น มาลองกิน ซึ่งเขาจะเอาลิ้นลูกวัวนึ่งหมักกับซอสที่เป็นหญ้าฝรั่น ซึ่งหญ้าฝรั่นจะทำให้มีสีเหลืองคล้าย ๆ ขมิ้นแต่จะมีกลิ่นที่หอมกว่า และอร่อยกว่าขมิ้น เมื่อชิมแล้ว อร่อย รสชาติดี

ต่อมาเป็น ตับนกพิราบบดกับเห็ดทรัฟเฟิล เห็ดทรัฟ เฟิลนี้จะมีราคาค่อนข้างสูงพอสมควร เป็นเห็ดที่ขึ้นอยู่ใต้ดินในสมัยก่อนจะต้องใช้หมูขุดเห็ดขึ้นมาถึงจะได้กินกัน โดยจะมีอยู่ 2 ชนิด คือ เห็ดทรัฟเฟิลดำและเห็ดทรัฟเฟิลขาว เมนูนี้เขาจะเสิร์ฟมาเป็นคำ ๆ ผมชอบครับอร่อยดี

ส่วนอาหารจานต่อมามีลักษณะคล้ายๆ กับบัวลอยเป็นเมนูที่มีชื่อว่า เกี๊ยวทำจากแป้ง ลูกบีทรูทและชีส โดยเอามันและแป้งมาผสมกันให้มีรสชาติ แล้วใส่น้ำของลูกบีทรูทเพื่อให้มีสีแดงดูน่ากิน แปลกดีด้วยครับ แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ เอาไปต้มในน้ำ พอสุกก็จะลอยขึ้นมาแล้วเอาไปผัดอีกที เมื่อทอดเสร็จแล้วก่อนเสิร์ฟจะเอาชีสมาโรย เป็นอาหารที่แปลกดี และอร่อยด้วยครับ

อีกเมนู เป็นเกี๊ยวอีกเหมือนกัน แต่ผมเลือกไส้ที่แปลกและเขาก็ทำได้ดีมากเป็น เกี๊ยวไส้เนื้อนกพิราบกับซอสนกพิราบ ลักษณะคล้ายเสี่ยวหลงเปาแต่น้ำมันไม่พุ่งออกมามากเท่าไรนัก แต่มีความอร่อยพอสมควร

พอถึงอาหารหลัก ผมสั่งมาแค่ 3 อย่าง มาแบ่งกันกิน จานแรกเป็น นกพิราบอบกับถั่วอัลมอนด์และทับทิม ซึ่งเขาจะเอาเนื้อส่วนน่องและตะโพกของนกพิราบเอาบดผสมทำเป็นก้อนแล้วก็นำไปชุบแป้งทอด โดยใช้แป้งไม่หนามาก ส่วนอกของนกพิราบนั้นจะเอามาจี้ในกระทะให้ยังคงแดง ๆ อยู่ เสิร์ฟกับซอสที่อร่อยมากมีถั่วอัลมอนด์บด ใส่ทับทิมลงไปในมันฝรั่งด้วย เป็นอีกเมนูหนึ่งที่แปลกดี และมีส่วนผสมที่ช่วยตัดความเลี่ยนได้ดีด้วยครับ

แต่ของโปรดของผมที่ชอบมากเป็นจานต่อมา ซึ่งก็คือ กระต่ายอบ เขาเสิร์ฟมาพร้อมกับแครอทเสียบไม้ จัดตกแต่งมาน่ารักและน่ากินมาก ลักษณะของเนื้อกระต่ายจะคล้าย ๆ กับเนื้อไก่ ไม่มีกลิ่นคาว มีรสชาติมากกว่าเนื้อไก่ จานนี้อร่อยมาก และหากินยากด้วย

อีกจานหนึ่งเป็น ซี่โครงแกะอบกับมะเขือม่วง ซี่โครงแกะอบมาต่างหากแล้วตัดมาเป็นชิ้น ๆ แต่งจานมาอย่างสวยงาม เอามะเขือม่วงญี่ปุ่นไปย่าง มีน้ำมันมะกอกใส่มาด้วย รสชาติดี อร่อยใช้ได้เลยครับ

วันนั้น ผมกินกาแฟด้วย เขาจัดขนมหวานเสียบไม้มาให้กินคู่กับกาแฟ รสชาติอร่อยดี ร้านนี้ต้องแวะไปชิม อาหารเขาอร่อย บรรยากาศก็ดีเหลือเกิน และเขาก็มีไวน์ดี ๆ เสิร์ฟด้วยนะครับ.

ที่อยู่ : 39 ซอยสุขุมวิท 27 ถนนสุขุมวิท เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
โทร : 0-2258-4386, 0-2260-5380
และ 09-2273-8843
เว็บไซต์ : www.enotecabangkok.com
เวลาทำการ : 17.30-24.00 น.

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/289952/‘ยำปลาช่อนแดดเดียวฯ’+รสเด็ด

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.