สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ชวนชิม “หอยเชลล์กับบร็อคโคลี่ห่อสาหร่ายทอด” อิ่มอร่อย “ขนมจีนน้ำเงี้ยว” รสเด็ด



 วันนี้ผมจะชวนเพื่อนๆ มาทำอาหารที่มีวิธีการทำไม่ยุ่งยากครับ เป็นสูตรที่ผมได้มาจากตำราอาหารญี่ปุ่น ที่อดีตภรรยาของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นส่งมาให้ผม เมื่อผมอ่านดูแล้วเห็นว่าเป็นเมนูที่ทุกคนน่าจะชอบจึงอยากให้ลองทำกันดู นั่นก็คือ หอยเชลล์กับบร็อคโคลี่ห่อสาหร่ายทอด จิ้มมัชชะเกลือ หน้าตาน่ากินมากครับ หลังจากที่ผมได้ลองทำดูแล้ว รสชาติอร่อยดี ขั้นตอนที่ยากสำหรับเมนูนี้ คือ ตอนห่อเท่านั้นครับ
หอยเชลล์กับบร็อคโคลี่ห่อสาหร่ายทอด จิ้มมัชชะเกลือ
เครื่องปรุง
สาหร่ายโนริ 2 แผ่น
บร็อคโคลี่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆลวกแล้ว 100 กรัม
หอยเชลล์หั่นเต๋าเล็ก 100 กรัม
แป้งชุบทอด 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเย็น 1/2 ถ้วยตวง
น้ำมันพืช สำหรับทอด
ผงชาเขียว (มัชชะ) 1 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
มะนาวเหลือง 1 ลูก
ขั้นตอนต่อมา ในชามผสมใส่แป้งชุบทอดและน้ำเย็นลงไปผสมให้เข้ากัน แล้ววางทิ้งไว้
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว นำกระทะตั้งไฟใส่น้ำมันพอร้อน แล้วนำสาหร่ายที่ห่อไว้มาชุบแป้งที่ทำไว้แล้วนำลงไปทอดให้เหลืองกรอบ เสร็จแล้วตักขึ้นพักทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน ผมขอบอกนะครับว่า การทอดต้องใช้ไฟแรง เพราะในสาหร่ายที่ห่อมีหอยเชลล์โดยเราต้องการให้หอยเชลล์เป็นสีชมพูๆ อยู่ ถ้าทอดไฟอ่อนๆ หอยเชลล์จะสุกไม่อร่อย และจะแข็งกระด้างไม่น่ากินครับ
ต่อจากนั้น เอาชามผสมมาใส่ผงชาเขียวหรือผงมัชชะกับเกลือลงไปผสมให้เข้ากัน มาถึงขั้นตอนการจัดเสิร์ฟ นำสาหร่ายหั่นเป็นชิ้นพอคำวางลงในจานเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยมัชชะและเกลือ แล้วเสิร์ฟทันทีตอนที่ยังร้อนๆ อยู่พร้อมกับมะนาวเหลือง โดยก่อนจะกินจะต้องบีบมะนาวเหลืองโรยไปรอบๆ แล้วจิ้มมัชชะเกลือ ถึงจะอร่อยครับ
เป็นอย่างไรครับ อย่างที่ผมบอกว่าวิธีการทำนั้นง่ายมาก ลองทำกินกันดูนะครับ รับรองว่าเป็นอีกเมนูหนึ่งที่คุณจะต้องติดใจหมึกแดง
ร้านอาหารชวนชิม
ผมได้เดินทางไปเที่ยวที่ จ.เชียงใหม่ และได้ขับรถต่อไปที่ จ.ลำพูน ด้วยใช้เวลาเพียง25 นาทีก็ถึงตัวเมืองลำพูนแล้ว ระหว่างอยู่ที่ลำพูนผมได้มีโอกาสไปนั่งกินอาหารที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งมี ชื่อเสียงมาก เปิดให้บริการมากว่า 30 ปีแล้ว ชื่อว่า บ้านขนมจีนน้ำเงี้ยวอบหม้อดิน
เมื่อไปถึง จะเห็นมีครัวอยู่ด้านหน้าและก็มีเตาอั้งโล่และหม้อดินใส่น้ำเงี้ยวร้อนๆ มีเครื่องเคียงอยู่ในตะกร้า เมื่อเราสั่งเขาก็จะตักมาให้เราครับ ลักษณะของร้านเป็นเหมือนบ้าน อากาศเย็นสบาย โดยที่ร้านจะมีเมนูหลากหลาย ได้แก่ ขนมจีนน้ำเงี้ยว ขนมจีนน้ำยา ข้าวซอยน้ำเงี้ยว แต่ว่าข้าวซอยน้ำเงี้ยวของที่ร้านจะไม่ใช่ข้าวซอยนะครับ แต่จะเป็น น้ำเงี้ยวกับน้ำยาผสมกันแล้วราดไปบนเส้นก๋วยเตี๋ยว ทุกเมนูอร่อย และหอมดีครับ
ยังมี ข้าวกั้นจิ้น ซึ่งเป็นข้าวที่ผสมกับเลือดหมูและเครื่องเทศเล็กน้อยเอาไปห่อและนำไปนึ่ง เวลากินผมเอาน้ำเงี้ยวราดกินกับข้าวกั้นจิ้น อร่อยดีครับ
นอกจากนี้ยังมีแหนมสดให้กินด้วยโดยที่ร้านทำเอง ทำให้ที่ร้านมีเมนู ข้าวผัดแหนมแสนอร่อยไว้บริการ ผมจึงขอลองชิมแหนมสดของเขาดู รสชาติเปรี้ยว กรอบ อร่อย ยังมี ไข่พะโล้ มาให้กินกับข้าวสวยร้อนๆ ด้วยครับ น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม เคี่ยวได้กำลังดี ส่วนเครื่องดื่มมี น้ำกระเจี๊ยบ ให้ดื่ม เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว หวานเย็นชื่นใจดีครับ
ถ้าได้ไปเมืองลำพูน อย่าลืมแวะไปชิมกันนะครับ เจ้าของร้านน่ารักเป็นกันเองกับลูกค้าทุกคนครับ
ชื่อร้านอาหาร: บ้านขนมจีนน้ำเงี้ยวอบหม้อดิน
ที่อยู่ : 34 ถนนวังขวา ซอย 2 ต.ในเมือง อ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน 51000
โทร: 0-5351-1821และ 08-5037-5147
เวลาทำการ: 8.00-15.00 น.
Rating
ความอร่อย 5
ความสะอาด 4
คุณภาพของวัตถุดิบ 5
การบริการ 4
ราคา 3
ความเผ็ด 1
หมึกแดง


Read More...


‘ปลาตะเพียนทอง’ ประดิษฐ์อาหารทำเงิน


 “ปลาตะเพียนทอง” เป็นชื่อปลาที่หลายคนรู้จัก แต่วันนี้ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอ ไม่ใช่พันธุ์ปลา และไม่ใช่ปลาตะเพียนสานที่ทำจากวัสดุต่าง ๆ แต่เป็นเมนู “อาหารว่าง” ทานเล่น เรียกน้ำย่อย เป็นอาหารชาววัง ที่ทาง ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์สาขาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี เปิดเผยสูตร ซึ่งเราหยิบยกนำมาเสนอให้ลองพิจารณานำไปต่อยอดทำขายสร้างรายได้กัน...

ผศ.พงษ์ศักดิ์ ให้ข้อมูลว่า อาหารว่างที่เรียกว่า “ปลาตะเพียนทอง” เป็นอาหารว่างไทยโบราณ เป็นอาหารชาววังที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งปัจจุบันเป็นเมนูอาหารชนิดหนึ่งที่น่าจะหารับประทานที่ไหนไม่ได้ ไม่เคยเห็นใครทำกัน ซึ่งเพื่อเป็นการอนุรักษ์ไม่ให้สูญหายไป จึงพยายามรื้อฟื้นวิธีการทำ เพื่อให้คนที่สนใจลองนำไปต่อยอดทำขายเป็นอาชีพ

อาหารว่าง “ปลาตะเพียนทอง” เป็นการดัดแปลงการทำอาหารให้ดูสวยงามน่ารับประทานมากขึ้น การทำต้องใช้ความประณีต โดยวิธีการทำนั้นจะใช้แป้งเปาะเปี๊ยะมาทำการสานให้เป็นรูปตัวปลาตะเพียน เหมือนการสานด้วยทางมะพร้าว จากนั้นก็จะยัดไส้ด้วยไส้ปลา เป็นอาหารว่างที่ทำไม่ยาก ทำเป็นรูปปลาตะเพียนทำให้ดูน่ารับประทาน แถมวัตถุดิบหาง่าย เป็นเมนูที่ปัจจุบันไม่มีใครทำ จึงเป็นอีกหนึ่งเมนูที่น่าสนใจสำหรับการทำขาย

อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ต้องใช้ในการทำอาหารว่างปลาตะเพียนทอง ก็เป็นอุปกรณ์ที่สามารถหาได้ในครัวเรือนทั่วไป อาทิ... เตาแก๊ส, กระทะ, ทัพพี, หม้อ, ตะแกรง, กระชอน, กะละมัง, ถาดสแตนเลส, เขียง, ครก เป็นต้น

ส่วนวัตถุดิบ ประกอบด้วย... แผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะแผ่นใหญ่ 500 กรัม, เนื้อปลากราย 500 กรัม, เนื้อหมูปนมันบด 100 กรัม, รากผักชีหั่น 10 กรัม, กระเทียมสับ 15 กรัม, พริกไทยเม็ด 5 กรัม, น้ำตาลทราย 2 กรัม, น้ำปลา 20 กรัม, น้ำมันพืชสำหรับทอด 1,000 กรัม และเกลือเล็กน้อย

ขั้นตอนการทำปลาตะเพียนทอง... เริ่มจากการทำไส้ปลาตะเพียนก่อนเป็นอันดับแรก โดยการทำไส้สำหรับใสในตัวปลาตะเพียนให้นำเนื้อปลากรายที่เตรียมไว้มาทำการ ขูดให้เนื้อปลาละเอียด และไม่ให้มีก้างปลาติดอยู่กับเนื้อ เสร็จแล้วพักเตรียมไว้ จากนั้นก็นำรากผักชี กระเทียม พริกไทย ใส่ลงในครก แล้วทำการโขลกให้ละเอียด

นำเนื้อปลากกรายที่ขูดเตรียมไว้ใส่ลงกะละมัง ใส่หมูปนมันที่ทำการบดแล้วผสมลงไป นำรากผักชี กระเทียม พริกไทย ที่โขลกละเอียด ใส่ลงไปคลุกเคล้า ปรุงรสด้วยน้ำตาลและน้ำปลา ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย แล้วนวดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว (ยิ่งนวดเนื้อปลานานก็ยิ่งทำให้เนื้อปลานั้นเหนียว เมื่อปั้นทำไส้เนื้อก็จะเด้งเหนียวนุ่มอร่อย)

หลังจากที่นวดเนื้อปลาผสมกับเครื่องจนเข้ากันดีแล้ว ก็ทำการปั้นเนื้อปลาเป็นก้อนกลม โดยการปั้นนั้นใช้วิธีการนำช้อนตวง ขนาด 1 ช้อนชา มาตักเนื้อปลาให้พอดีช้อน แล้วจึงนำเนื้อปลาที่อยู่ในช้อนมาทำการปั้น ก็จะได้ขนาดที่เท่ากันและพอดีสำหรับทำเป็นไส้ใส่ปลาตะเพียน ไส้ที่ปั้นแล้วให้เรียงใส่จานหรือถาด นำไปนึ่งพอสุก ใช้ไฟอ่อน โดยใช้เวลานึ่งประมาณ 12 นาที จึงนำขึ้นมาพักทิ้งไว้ให้เย็นตัว
ขั้นตอนต่อไปเป็นการทำตัวปลา โดยนำแผ่นแป้งเปาะเปี๊ยะมาทำการตัดให้เป็นเส้น ขนาดประมาณ 1x22 ซ.ม. จำนวน 2 เส้น จากนั้นก็ทำการสานให้เป็นตัวปลาตะเพียนเหมือนการสานด้วยทางมะพร้าว ซึ่งขั้นตอนนี้ก็จะต้องใช้ความประณีตในการสาน สานเป็นรูปปลาตะเพียน แต่ยังไม่ต้องดึงให้แน่น ให้นำไส้ที่นึ่งเตรียมไว้ใส่เข้าไปทางด้านท้าย (ตรงก้นของตัวปลา) เมื่อใส่ไส้เข้าไปแล้วก็ให้ทำการดึงให้ตัวปลาที่สานเข้ารูปให้แน่น ใช้กรรไกรตัดตกแต่งส่วนหางและครีบให้เรียบร้อย (สามารถทำเก็บแช่แข็งไว้ในตู้เย็นได้หลายวัน) ก่อนจะนำไปทอด

การทอด ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ท่วม ใช้ความร้อนปานกลาง พอน้ำมันร้อนให้ลดไฟลง แล้วนำตัวปลาตะเพียนที่เตรียมไว้แล้วลงทอด ทอดไปจนตัวปลาตะเพียนสุกได้ที่ เป็นเหลืองทอง ตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน เป็นอันเสร็จ (ลักษณะที่ดีของปลาตะเพียนที่ทำออกมาจะต้องกรอบ ไม่อมน้ำมัน หอมกลิ่นรากผักชี กระเทียม พริกไทย ไม่มีกลิ่นคาว)
อาหารว่าง “ปลาตะเพียนทอง” นี้ รับประทานพร้อมน้ำจิ้มที่ออกรสเปรี้ยว-เค็ม-หวาน และเผ็ดเล็กน้อย โดยมีผักสด อย่าง... แตงกวา, ใบโหระพา, ผักกาดหอม ทานแกล้มด้วย ก็จะยิ่งอร่อยครบเครื่อง
สำหรับสูตรน้ำจิ้มที่ใช้ทานกับปลาตะเพียนทอง มีส่วนผสมดังนี้... พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 10 กรัม, แป้งมัน 10 กรัม, น้ำส้มสายชู 120 กรัม, เกลือ 3 กรัม, น้ำ 40 กรัม, น้ำตาลทราย 100 กรัม
วิธีการทำ... นำน้ำส้มสายชู น้ำ น้ำตาล เกลือ พริกชี้ฟ้า ผสมรวมกัน แล้วเคี่ยวให้เข้ากันโดยใช้ไฟอ่อน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ใส่แป้งมันที่ละลายน้ำแล้วลงไปคนพอน้ำจิ้มข้นเหนียว ยกลงพักทิ้งไว้ให้เย็น เป็นอันเสร็จ

จากปริมาณของวัตถุดิบในการทำอาหารว่าง “ปลาตะเพียนทอง” ที่บอกมา สามารถทำตัวปลาตะเพียนทองได้ประมาณ 75 ตัว ทำขายได้ในราคาตัวละ 5 บาท โดยมีต้นทุนประมาณ 50%

ใครสนใจจะใช้ เมนูอาหารว่าง “ปลาตะเพียนทอง” เป็นอาหารสร้างอาชีพ สร้าง “ช่องทางทำกิน” ก็ลองนำสูตรไปฝึกฝนทำกันดู ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งเมนูตัวเลือกใหม่ หรือถ้าต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมจาก ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ของ มทร.ธัญบุรี ก็สามารถติดต่อได้ที่ โทร.0-2549-3160-1 หรือ 08-9600-0993.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล :ภาพ
คู่มือลงทุน...ปลาตะเพียนทอง
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทำขาย
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้ ขายตัวละประมาณ 5 บาท
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านอาหาร, แหล่งชุมชนทั่วไป
จุดน่าสนใจ เป็นเมนูที่ปัจจุบันไม่มีผู้ทำขาย

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/214393/‘ปลาตะเพียนทอง’+ประดิษฐ์อาหารทำเงิน

Read More...


‘ข้าวเหนียวหมูทอด' ทำ ‘ธุรกิจออนไลน์’ ก็ได้


ในยุคที่ผู้คนต้องเร่งรีบแทบจะทุกเรื่อง การบริโภคอาหารนั้นก็ต้องรีบเร่งตามไปด้วย แต่อะไรเล่าที่จะทานได้ง่ายในช่วงเวลาที่เร่งด่วน ทั้งสะดวก รวดเร็ว และอิ่มท้องได้แม้ในยามเดินทาง ยามนั่งรถไปทำงาน ก็ไม่พ้นอาหารง่าย ๆ ที่สามารถทานได้ทุกที่ ซึ่ง “ข้าวเหนียวหมูทอด” ก็เป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตที่ตอบโจทย์นี้ได้ และยุคนี้การขายข้าวเหนียวหมูทอดก็สามารถ “ขายออนไลน์” ได้ด้วย อย่างที่ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอให้พิจารณากันในวันนี้...
*****************************
เดิ้ล-นชนาฏ กับ เพชร-นุชจรีย์ ศุภเตชนาถ สองพี่น้อง ทำเมนูยอดฮิต “ข้าวเหนียวหมูทอด” ขาย สองพี่น้องเล่าว่า นอกจากการทำงานประจำแล้วก็อยากจะมีอาชีพเสริมเกี่ยวกับการขายของกิน และเลือกที่จะทำข้าวเหนียวหมูทอดขาย โดยขายผ่านทาง www.facebook.com/neawmoogroup ได้ประมาณ 4 เดือนเศษ โดยมีบริการจัดส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ตามระยะทาง จากนั้นจึงคิดเปิดหน้าร้านเพื่อเพิ่มช่องทาง ที่ตลาดนัดไฮโซ แกรนด์รามอินทรา 5

นุชจรีย์ เล่าว่า ข้าวเหนียวหมูที่ทำจะไม่ใส่สารกันบูด เก็บไว้ในตู้เย็นได้ถึง 1 สัปดาห์ นำออกมาอุ่นทานได้โดยใช้ไฟอ่อน คุณภาพของเนื้อหมูจะยังคงความนุ่มและอร่อยคงที่ ข้าวเหนียวก็จะยังคงความหวานติดปลายลิ้นเช่นเดิม ซึ่ง "ร้านเหนียวหมู" ที่เปิด ยังมีทีเด็ดคือรับห่อหมูเฉพาะกิจ เพื่อนำไปบริจาคตามสถานที่ต่าง ๆ ราคาขายอยู่ที่ชุดละ 25-35 บาท

ในการทำนั้น อุปกรณ์หลัก ๆ ก็มี เครื่องหั่น เตาแก๊ส หม้อหรือกระทะทรงลึก ที่คีบ ตะแกรง หวดนึ่งข้าวเหนียว ไม้พาย กะละมัง เขียง มีด และภาชนะเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ วัตถุดิบ/ส่วนผสมในการทำ ก็มี เนื้อหมูสด ซอสหอยนางรม ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เกลือ พริกไทย กระเทียม รากผักชี น้ำมันพืช และข้าวเหนียว

ขั้นตอนการทำข้าวเหนียวหมูทอด เริ่มจากการเลือกหมูก่อน ต้องสด เนื้อแดงอมชมพู นุ่มเป็นมัน เนื้อลื่น สีไม่ซีดหรือเขียวคล้ำ เลือกใช้เนื้อหมูส่วนที่นิ่ม ทั้งสันคอ สันใน และสะโพก ล้างให้สะอาดเสร็จแล้วนำมาหั่นเป็นเส้นตามขวาง กว้างประมาณ 1 ซม. ยาวประมาณ 3-4 นิ้ว นำน้ำตาลปี๊บมาละลายกับน้ำมันหอยในภาชนะ ตามด้วยเกลือ ซอสปรุงรส และนมสดจืดใส่ผสมลงไปนิดหน่อย ชิมรสตามชอบ นำพริกไทยเม็ดสีดำหรือขาวก็ได้มาตำให้ละเอียด รากผักชีกับกระเทียมปอกเปลือกตำละเอียด ตั้งพักไว้ จากนั้นก็ทำการหมักหมู โดยการนำเครื่องปรุงทุกอย่างมาผสมกัน นำเนื้อหมูมาคลุกเคล้ากับน้ำซอสให้เข้าเนื้อ เสร็จแล้วแบ่งเนื้อหมูที่จะหมักใส่ถุงพลาสติกปิดปาก ก่อนจะนำเข้าตู้เย็นในช่องธรรมดาเป็นเวลา1คืน แล้วจึงนำออกมาทอดในวันรุ่งขึ้น

หัวใจความอร่อยอยู่ที่การทอด เริ่มจากตั้งหม้อทอดบนเตา ใส่น้ำมันให้มากหน่อย ใช้ไฟปานกลาง วอร์มน้ำมัน 10-20 นาที พอกระทะเริ่มร้อนได้ที่ นำหมูที่หมักแค่ 2 กำปั้นมือใส่ลงในตะแกรงถือ ก่อนจะนำลงกระทะ เร่งไฟแรงก่อน แล้วช้อนหมูขึ้นเพื่อที่จะสามารถควบคุมอุณหภูมิของน้ำมันและไฟได้ จากนั้นนำที่คีบมาเขี่ยหมูเพื่อให้กระจายออกจากกัน สลับกับร่อนตะแกรงนิด ๆ (เนื้อหมูที่ทอดจะอยู่ในรัศมีของตะแกรง) รอสักพักเพื่อให้หมูชุ่มซอส และสีของซอสเริ่มจับเนื้อหมู ประมาณ 80% รีบเอาเนื้อหมูขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน ที่สำคัญอย่าทอดทิ้งไว้นาน หมูจะแข็งเกินไป สีของเนื้อหมูต้องเคลือบด้วยซอสอย่างสม่ำเสมอทั่วกัน เมื่อทานพร้อมกับข้าวเหนียวร้อน ๆ จะได้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อมถึงเนื้อใน
สำหรับการนึ่งข้าวเหนียวให้คงความหอมหวานและนุ่มนั้น เริ่มจากแช่ข้าวเหนียว ถ้าใช้ข้าวเหนียวเก่าแช่น้ำ 5-6 ชั่วโมง ข้าวเหนียวใหม่แช่น้ำประมาณ 2-3 ชั่วโมง นำน้ำที่แช่ข้าวเก็บไว้สัก 1-2 ถ้วย โดยใส่ไว้ในตู้เย็น หลังจากแช่ข้าวเหนียวตามเวลาแล้ว ก็สรงข้าวเหนียวใส่ในหวด ก่อนจะนำขึ้นนึ่งบนเตา ใช้ความร้อนปานกลาง พอข้าวเหนียวใกล้สุกเกือบจะได้ที่แล้ว ก็นำน้ำที่แช่ข้าวที่เก็บไว้มาพรมบนข้าวเหนียว 1/3 ถ้วย แล้วใช้ไม้พายคนข้าวเหนียวกลับด้าน และพรมน้ำแช่ข้าวอีก 1/3 ถ้วย ทำซ้ำอีก 3 ครั้ง จากนั้นนึ่งข้าวเหนียวต่อจนสุกได้ที่ หลังจากสุกแล้วตอนยกลงจากเตามาวางพักไว้ อย่าเพิ่งเปิดฝาที่ปิดหวดอย่างน้อย 15 นาที หากทำตามที่ว่านี้แล้วข้าวเหนียวจะสุกนิ่มเนิ่นนาน นุ่มนวลยังกับข้าวเจ้า
เดิ้ล กับเพชร ยังบอกอีกว่า หมูทอดของที่ร้าน จะนุ่ม ฉ่ำน้ำซอส รสชาติกลมกล่อมหวาน ๆ เค็ม ๆ ถ้าเก็บใส่ตู้เย็นไว้ในช่องแช่แข็ง เมื่อนำออกมาวางไว้ให้คลายเย็นสักครู่ แล้วนำเข้าไมโครเวฟ 1 นาที เนื้อหมูก็ยังอ่อนนุ่มอร่อยเหมือนเดิม

ในการขายนั้น ราคาขายหมูทอดอยู่ที่ขีดละ 35 บาท หรือ 3 ขีด 100 บาท ถ้าในรูปแบบกล่อง ราคาขายกล่องละ 200 บาท ราคาแบบแพ็คเกจหมูพร้อมข้าวเหนียวอยู่ที่ชุดละ 40 บาท รับห่อหมูเฉพาะกิจเพื่อนำไปบริจาคตามสถานที่ต่าง ๆ ราคา 25-35 บาท ค่าจัดสั่งตามระยะทาง เวลาเปิดร้านโดยประมาณ คือ 06.00-18.00 น.

***************************
สองพี่น้อง เดิ้ล-นชนาฏ กับเพชร-นุชจรีย์ มีร้านขาย “ข้าวเหนียวหมูทอด” อยู่ที่ตลาดนัดไฮโซ แกรนด์รามอินทรา 5 ล็อก D26 โซน D ใครสนใจติดต่อก็ติดต่อได้ทางโทรศัพท์ที่ โทร.08-9679-7878, 08-9742-3435 หรือติดต่อที่ www.facebook.com/neawmoogroup หรือทาง IG : neawmoo, Line : neawmoo ซึ่งข้าวเหนียวหมูทอดนี่ก็เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ทานง่านขายคล่อง และเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ยุคนี้ทำแบบ “ออนไลน์” ก็ยังได้.
เชาวลี ชุมขำ - ปิยาภรณ์ บุญประเสริฐ :เรื่อง
สุทธิภัทร พฤกษ์เจริญสุข :ภาพ
คู่มือลงทุน...ข้าวเหนียวหมูทอด
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้ หมูขีดละ 35, 3 ขีด 100 บาท
แรงงาน 1-2 คน
ตลาด ย่านอาหาร, ย่านชุมชนทั่วไป
จุดน่าสนใจ เป็นเมนูที่ทานง่ายขายคล่อง

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/212621/‘ข้าวเหนียวหมูทอด_+ทำ+‘ธุรกิจออนไลน์’+ก็ได้

Read More...


หอมอร่อย ‘หมูสับนึ่งปลาเค็ม’‘ปังชา’ หวานเย็นชื่นใจ

มาถึงเมนูเด็ดประจำร้าน เมนูแรกที่เมื่อไปถึงต้องสั่งมาชิมให้ได้ก็เห็นจะเป็น ตับทอดกระเทียม ดีกว่ากินฟัวร์การ์ครับ ราคาก็ถูกกว่าด้วย รสชาติอร่อย ผัดได้กำลังดี หอมกลิ่นกระเทียม


สัปดาห์นี้ผมจะพาไปชิมอาหารที่ ร้านไก่ทอง ซึ่งผมไม่ได้ไปที่ร้านนี้มานานกว่า 6 เดือนแล้ว เพราะเขาปิดปรับปรุงใหม่หมดทั้ง 3 ชั้น และเพิ่งเปิดมาได้สักเดือนกว่า ๆ บรรยากาศภายในร้านดูสะอาด และสว่างดีครับ มีป้ายหน้าร้านค่อนข้างใหญ่มองเห็นได้ชัดเจน

มาถึงเมนูเด็ดประจำ ร้าน เมนูแรกที่เมื่อไปถึงต้องสั่งมาชิมให้ได้ก็เห็นจะเป็น ตับทอดกระเทียม ดีกว่ากินฟัวร์การ์ครับ ราคาก็ถูกกว่าด้วย รสชาติอร่อย ผัดได้กำลังดี หอมกลิ่นกระเทียม

หลังจากนั้น ทางร้านเขาให้ลองกิน ตับคอลลาเจนนึ่งซีอิ๊ว โดยจะหั่นตับเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วไปนึ่งกับซีอิ๊ว มีต้นหอมวางด้านบน ราดด้วยนํ้ามันร้อน ๆ รสชาติใช้ได้เลยครับ ผมไปที่ร้านนี้ทีไรไม่เคยได้กินอาหารกับข้าวสวยเลย เพราะผมสั่งกับข้าวมาหลายอย่าง กลัวจะกินได้ไม่ครบ เพราะอยากชิมให้ครบเพื่อดูว่าอาหารยังรสชาติเหมือนเดิมหรือไม่ รวมทั้ง ยังมีอาหารเมนูใหม่ด้วยครับ

ยังมี ส้มตำยอดมะพร้าว ซึ่งใส่ไข่เยี่ยวม้า และกุ้ง แต่ผมไม่ค่อยชอบกินกุ้งสักเท่าไหร่แต่ผมกินไข่เยี่ยวม้า รสชาติกลมกล่อม ไม่จัดจ้านมากนัก

จานต่อมาเป็น ผักฉ่อยผัดเต้าหู้ ซึ่งเขานำเข้าผักฉ่อยมาจากฮ่องกง เพราะถ้าไปซื้อตามตลาดทั่วไปจะหาซื้อยาก ถ้าซื้อตามวิลล่าก็จะราคาแพงมาก ซึ่งเขาผัดได้ดี ผักฉ่อยกรอบ หวาน อร่อย ส่วนเต้าหู้ก็หอมนุ่ม รสชาติดี ไม่ทราบว่าซื้อมาจากไหน ถ้าให้ผมเดาคงไม่ใช่ของประเทศไทยแน่ครับ

ยังมี นกพิราบทอด แต่ของที่ร้านนี้จะเป็นนกพิราบตัวเล็กสามารถกินได้ทั้งตัว เมื่อกินเข้าไปแล้วจะกรุบ ๆ กรอบ ๆ ไม่ต้องจิ้มอะไรก็อร่อยครับ เพราะเขาหมักเครื่องเทศได้รสชาติอร่อยแล้ว หรือใครจะจิ้มซอสก็ได้ อร่อยไปอีกแบบหนึ่ง

อีกจานเป็น กุ้งผัดซอสเอ็กซ์โอ อร่อยมาก ผัดได้พอดี กุ้งยังคงความกรอบ ไม่แข็งกระด้าง ส่วนอีกเมนูที่ขาดไม่ได้ และผมต้องโผเข้าใส่ทุกครั้งเมื่อเขานำมาเสิร์ฟ ก็คือ หมูสับนึ่งปลาเค็ม สำหรับเมนูนี้ต้องกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ได้กลิ่นปลาเค็มที่หอม ชวนกิน ส่วนรสชาติก็อร่อยไม่ผิดหวังครับ

จานสุดท้ายเป็น ราดหน้าฮ่องกง ซึ่งร้านนี้มีชื่อเสียงมาก ผมสั่งเส้นหมี่แทนเส้นใหญ่ครับ เพราะเส้นหมี่ของเขาจะผัดได้กรอบและหอมกลิ่นไหม้นิด ๆ ซึ่งผมชอบ โดยเมนูมีชื่อว่า ราดหน้าฮ่องกงเนื้อเส้นหมี่ เมื่อชิมแล้วรสชาติกลมกล่อม เขาปรุงรสมาได้อร่อยกำลังดีโดยที่ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย แล้วผมก็กิน ราดหน้าฮ่องกงหมูเส้นหมี่ ด้วย อร่อยไม่แพ้กันครับ

มาที่ขนมหวาน คล้ายนํ้าแข็งไสเรียกว่า ปังชา เป็นขนมหวานที่เอาสูตรมาจากไต้หวัน ผมลองสั่งมากินด้วยครับ มีเครื่องหลายอย่าง อร่อยดี ใช้ได้

หากใครอยากเปลี่ยนบรรยา กาศลองแวะไปสั่งอาหารมาชิมกันดูนะครับ อาหารแต่ละจานการันตี ความอร่อย แม้ราคาจะค่อนข้างสูงไปสักนิด.
....................................................................................
กระยาสารทกะทิกับกล้วยไข่ย่าง - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุงนํ้ากะทิ
หัวกะทิอร่อยดี 250 มิลลิลิตร
นํ้าตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุงข้าวเม่ากล้วยไข่ย่าง
ข้าวเม่ากระยาสารท 200 กรัม
นํ้ากะทิต้มสุก (ร้อนๆ) 250 มิลลิลิตร
เนื้อมะพร้าวอ่อนขูด 50 กรัม
งาขาวคั่ว 10 กรัม
งาดำคั่ว 10 กรัม
นํ้าตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
กล้วยไข่ย่าง สำหรับแต่งหน้า
วิธีทำ
1. นำหม้อตั้งไฟใส่กะทิลงไปต้มพอร้อน ใส่นํ้าตาลทราย เกลือป่น คนให้เข้ากัน พอเดือดชิมรสชาติให้หวาน เค็ม มัน ยกออกจากเตา แล้วใส่ข้าวเม่ากระยาสารทลงไปในหม้อคนให้เข้ากัน (อย่าให้เละเป็นเนื้อเดียวกัน)
2. ตักใส่ถ้วยแต่งหน้าด้วยกล้วยไข่ย่าง และเนื้อมะพร้าวขูดผสมนํ้าตาลทราย งาคั่ว วางทับไปบนกล้วยไข่ย่าง เสิร์ฟทันที
.........................................
ราดหน้าแบบฮ่องกง - ชิมให้เป็น
การ ที่เราจะชิมให้เป็นนั้น จำเป็นจะต้องทราบว่าลักษณะของอาหารจานนั้น ๆ คืออะไร อย่างลักษณะของราดหน้าแบบฮ่องกง ก็จะมีผัก มีเส้น และถ้าเส้นเป็นเส้นหมี่ต้องเอาไปผัดก่อนแต่ยังไม่ต้องใส่ซีอิ๊ว ผัดจนกระทั่งเส้นไหม้นิด ๆ กรอบและหอมแล้วจึงค่อยใส่ซีอิ๊วเล็กน้อย เส้นจะแห้งมาก ๆ

ส่วนนํ้าราดทำด้วยนํ้าซุป นํ้ามันหอย ซีอิ๊ว นํ้ามันงา และแป้งที่ทำให้ข้น จากนั้นใส่พริกไทยขาวเล็กน้อย ถ้ากินเป็น เขาจะปรุงมาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างจะผสมผสานในปากซึ่งจะมีรสชาติที่กลมกล่อมและอร่อยอยู่แล้ว แต่หากใครชอบปรุง ใส่นํ้าส้ม พริกหรือนํ้าปลาเพิ่มก็ได้ แต่เป็นผมเสียดายของที่เขาทำมาอย่างตั้งใจ ผมจึงอยากให้ลองชิมที่เขาทำมาให้กินก่อนแล้วค่อยปรุง เพราะฉะนั้นเวลาไปชิม ต้องชิมให้เป็นนะครับ.
ที่อยู่ : 164/13-15 ตรงข้ามมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทรศัพท์ : 0-2981-7771-2 เวลาเปิด : 10.30-22.00 น.
หมึกแดง
www.mcdangguide.com

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/212272/หอมอร่อย+‘หมูสับนึ่งปลาเค็ม’‘ปังชา’+หวานเย็นชื่นใจ

Read More...


หลักสูตรความรู้ด้านอาหาร ‘ชาวสตูล’ นำร่องเสริมความเข้มแข็งให้ชุมชน








การที่เราจะสร้างชุมชนให้เข้มแข็งนั้นต้องพัฒนาจากรากฐานของ ชุมชนนั้น ๆ ให้สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ ดังเช่น “โครงการจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชน” ของวิทยาลัยชุมชน ซึ่งถือเป็นโครงการนำร่องที่มีการจัดทำหลักสูตรเพื่อพัฒนาชุมชนด้วยการลง พื้นที่ศึกษาข้อมูลและภูมิปัญญาจากชาวบ้านจนสามารถพัฒนามาเป็นหลักสูตรที่ ช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้ชาวบ้านในชุมชน นอกจากจะอยู่กินอย่างสุขสบายแล้วยังมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวที่จะ มาท่องเที่ยวในชุมชนสร้างรายได้เลี้ยงชุมชนอีกด้วย

ทั้งนี้ รศ.ดร.ชวนี ทองโรจน์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้ความรู้ถึงภาพรวมของโครงการจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง ชุมชนว่า การศึกษาชุมชนเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทราบว่าชุมชนใดมีความเข้มแข็งตรงไหน และส่วนที่ชุมชนต้องการเสริมหรือพัฒนาคืออะไร การที่ทางวิทยาลัยชุมชนลงไปศึกษาวิจัยข้อมูลและองค์ความรู้ต่าง ๆ ที่มีในชุมชน แล้วนำมาใช้วิธีการจัดการความรู้เข้าไปช่วยจะทำให้ประมวลได้ว่าจริง ๆ แล้วควรจะทำหลักสูตรออกมาเรื่องอะไรบ้างหรือว่ารูปแบบไหนบ้างเพื่อสนองความ ต้องการของชุมชนนั้น ๆ

การจัดการศึกษาแบบวิทยาลัยชุมชนไม่ใช่ว่าทำหลักสูตรขึ้นมาแล้วใช้แบบนั้นไป เหมือนกันหมดทั่วประเทศ แต่หลักสูตรนั้นจะเหมาะกับชุมชนนั้น ๆ แล้วชาวบ้านสามารถนำไปใช้ได้จริง ในขณะเดียวกันบางหลักสูตรอาจจะเป็นเรื่องของนโยบายระดับประเทศว่ายุทธศาสตร์ ของประเทศจะไปทางไหน ความต้องการมีอะไรบ้าง เช่น เราจะเป็นสังคมของผู้สูงอายุในอนาคตต้องมีเรื่องของการจัดการการดูแลที่ถูก ต้องเหมาะสมเพื่อทำให้คุณภาพของผู้สูงอายุนั้นดีต่อไป อาจจะมีหลักสูตรของผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ

โครงการนี้ทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 และจะทำต่อเนื่องไปในปีถัดไปด้วย เบื้องต้นได้ข้อมูลมาแล้วระดับหนึ่งเพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าส่วนที่จะเป็นความ เข้มแข็งเป็นองค์ความรู้แต่ละพื้นที่ที่ไปศึกษามามีอะไรบ้าง ซึ่งมีประมาณ 6 สาขา ได้แก่1. การจัดการความรู้ด้านเกษตร 2. การจัดการความรู้เพื่อจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน การจัดการความรู้เพื่อสืบสานวัฒนธรรม 3. การจัดการความรู้เรื่องผ้าพื้นเมือง 4. การจัดการความรู้ด้านอาหาร5. การจัดการความรู้เพื่อดูแลผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ด้อยโอกาส และ 6. การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะทำเป็นลักษณะของหลักสูตรฐานสมรรถนะ เพื่อจัดการเรียนการสอนในลักษณะนั้น

วิทยาลัยชุมชนสตูล เป็นหนึ่งในวิทยาลัยชุมชนจากทั้งหมด 20 วิทยาลัยชุมชนที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการจัดการความรู้ด้านอาหาร ปัจจุบันสภาพพื้นที่ของจังหวัดมีความอุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากร วัตถุดิบทั้งทางบกและทางนํ้า รวมทั้งพืชผัก ประกอบกับด้านวิถีชีวิตวัฒนธรรมทางด้านอาหารค่อนข้างเด่นชัด แต่ปัญหาคือ ณ วันนี้พวกวัฒนธรรมเหล่านั้นแทบจะไม่มีคนมาสืบสานต่อยอด

นำชัย กฤษณาสกุล ผอ.วิทยาลัยชุมชนสตูล กล่าวว่า จังหวัดสตูลเป็นจังหวัดเล็ก ๆ ที่เพิ่งเปิดจังหวัดทำการท่องเที่ยว ซึ่งสิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ คือต้องมีแหล่งท่องเที่ยวที่ดี มีอาหารที่อร่อย มีที่พักที่สบาย และมีของที่ระลึก โดยทางวิทยาลัยชุมชนได้เล็งถึงว่าทำอย่างไรให้เกิดรายได้และกระจายรายได้ จึงจับเรื่องของการท่องเที่ยวโดยชุมชนทำร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล และรับผิดชอบในพื้นที่ทั้งหมด 26 ชุมชนในระยะเวลา 2 ปี การดำเนินงานจึงเข้าไปอบรมชุมชนเหล่านี้เพื่อยกระดับการท่องเที่ยว พร้อมจัดหาของโอทอปมาเป็นของฝากด้วย

อย่างไรก็ตามเท่าที่ลงพื้นที่พบว่าเกือบทุกพื้นที่แทบจะรับนักท่องเที่ยวไม่ ได้เลย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและเกษตรกรดั้งเดิม ชาวบ้านจึงไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนักท่องเที่ยวในเรื่องของอาหารการกิน ซึ่งอาหารของสตูลมีความโดดเด่นหลายอย่าง ทางวิทยาลัยเข้าไปประยุกต์สูตรอาหาร หลักสูตรดั้งเดิม และนำเข้าไปพัฒนาในชุมชนสิ่งที่ชาวบ้านได้มี 2 ส่วน คือสร้างเชฟหรือกุ๊กไปอยู่กับผู้ประกอบการและบางคนไปเปิดร้านตัวเองในชุมชน เพื่อยกระดับให้ชุมชนสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ เพราะนักท่องเที่ยวบางคนไม่กล้ารับประทานกลัวอาหารไม่สะอาดเพียงพอ อีกทั้งหลายชุมชนยังทำอาหารแบบไม่ทราบรสนิยมของนักท่องเที่ยว เราจึงพยายามต้องเข้าไปช่วยสอนและปรับให้ในเรื่องของรสนิยม เรื่องของการปรุงอาหาร และสิ่งที่จะไปต่อคือ หลักสูตร เกี่ยวกับโฮมสเตย์และที่พัก

อาหารสตูลที่มีความโดดเด่น มีการบันทึกไว้อยู่ในสารานุกรมส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีวัตถุดิบทางทะเล และแกงที่ใช้เครื่องเทศแบบกึ่งอินโดนีเซีย ไทย อินเดีย เพราะเนื่องจากภูมิภาคนี้เมื่อก่อนมีคนอพยพมาจากทางนั้นจำนวนมาก เช่น มุสลิมมาจากทางอินโดนีเซีย อินเดีย และมาเลเซียตอนเหนือ และชาวจีนที่อยู่ในมาเลเซีย อาหารจึงเป็นลักษณะผสมผสานกับมุสลิม แบ่งเป็นหลักสูตร ได้แก่ อาหารพื้นเมือง อาหารท้องถิ่นยอดนิยม เป็นหลักสูตรที่จัดออกมาเป็นเมนูต่าง ๆ เช่น มุสลิมต้องการเรียนเรื่องของแกงมุสลิมที่คนนิยม เช่น แกงมัสมั่น แกงกุละมา แกงตอเมะ เป็นหลักสูตรระยะสั้น ซึ่งเป็นในมิติที่เสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

หลังจากจัดการความรู้และฝึกอบรม แล้วชาวบ้านเริ่มตื่นตัวในเรื่องการท่องเที่ยวในชุมชน ถึงแม้จะยังไม่ได้เปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองก็ตาม แต่เราจะเข้าไปอบรมเรื่องการรวมกลุ่มให้สามารถรับนักท่องเที่ยวได้ คาดว่าใน 2 ปีนี้ทั้ง 26 ชุมชนจะสามารถทำเป็นแพ็กเกจทัวร์ มีทั้งเที่ยวบนบกและทางทะเลได้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ชาวบ้านต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพราะเมื่อก่อนชาวบ้านได้รายได้จากการรับจ้าง และทำสวนยางบ้าง ปัจจุบันที่ดินส่วนหนึ่งขายไปให้ลูกเรียน เป็นช่วงที่รายได้ไม่พอจ่าย เราจึงสามารถปรับเปลี่ยนชาวบ้านได้ วิทยาลัยชุมชนจึงถือว่าเรื่องการเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนเป็นพันธกิจ หนึ่งที่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นว่ายกระดับชุมชนได้จริง สามารถเปลี่ยนแปลงรายได้ของชาวบ้านได้

จุฑารัตน์ บิลังโหลด วิทยากรขนมพื้นเมือง ชาวบ้านชุมชนสี่แยกคอกเป็ด เล่าว่า ในชุมชนมีชาวบ้านสนใจเรียนหลัก สูตรขนมพื้นเมืองจำนวน 20 คน บางคนอยากเรียนเพราะบรรพบุรุษมีความรู้เรื่องขนมพื้นเมือง บางคนอยากสานต่อวิธีการทำขนมพื้นเมือง และบางคนอยากทำขายในตลาดเพื่อสร้างรายได้ หลังจากเรียนจบแล้วเราสามารถสร้างเป็นอาชีพและรวมกลุ่มช่วยกันทำส่งขายตาม ตลาด รับจ้างทำขนมตามงานเทศกาลต่าง ๆ ส่งผลให้รายได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เดือนหนึ่งตกประมาณหลักหมื่น จากที่แต่ก่อนมีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งขนมพื้นเมืองของสตูล ได้แก่ ปาดะ ไข่หงส์ กะหรี่ปั๊บ อาปม (ขนมถ้วยฟู) ปาโหลด (ไข่เต่า) นอกจากขายในจังหวัดสตูลแล้วยังส่งไปขายยังหาดใหญ่ด้วย

กัลยรัตน์ สหับดิน ประธานกลุ่มข้าวเกรียบปูนิ่ม ชุมชนหัวทาง เปิดเผยว่า มีสมาชิกทั้งหมด 53 คน จาก 3 ชุมชน คือชุมชนหัวทาง โคกพะยอม ท่านายเนาว์ ทั้ง 3 ชุมชนเป็นพื้นที่ติดเขตชายเลน ทะเลฝั่งอันดามัน จึงมีอาชีพประมงโดยเฉพาะการเลี้ยงปูนิ่มเพื่อส่งให้พ่อค้าคนกลางจัดส่งไปยัง ตลาดหรือร้านอาหาร ต่อมาชุมชนมีการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศเข้ามา ชักจูงนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเที่ยวใน 3 ชุมชน จึงคิดว่าการเลี้ยงปูนิ่มทำแทบทุกครัวเรือน ทำอย่างไรจะเพิ่มรายได้จากการนำปูนิ่มที่คัดแล้ว (ตัวที่ไม่ได้มาตรฐาน) มาเพิ่มมูลค่าในการทำเป็นสินค้าโอทอปของชุมชน ทางวิทยาลัยชุมชนจึงจัดฝึกอบรมการทำข้าวเกรียบปูนิ่ม ซึ่งเป็นสูตรการทำปูนิ่มที่ได้มาตรฐานสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่นและวิถีชีวิต ของคนในชุมชน ซึ่งข้าวเกรียบปูนิ่มถือเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่ยังไม่มีใครคิดสูตร จึงได้มีการจดลิขสิทธิ์เอาไว้แล้วด้วย

ด้าน จามรี หลังลีงู ชาวบ้านตำบลสาคร กล่าวว่า เรารวมตัวกันเป็นกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อทำเบเกอรี่หลากหลายประเภทหลายชนิด ส่งขายตามร้านค้า โรงเรียน ตลาด ส่วนขนมไทยก็วางขายในตลาด ทุกคนอยากเรียนทำเบเกอรี่เพราะเป็นขนมที่รับประทานได้ทุกโอกาส เป็นหลักสูตรระยะสั้นของทางวิทยาลัยชุมชนที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ หลังจากเรียนจบแล้วทางกลุ่มจะรวมเงินกันซื้อเตาอบเพื่อมาทำขนมเบเกอรี่ ได้แก่ ขนมปังอบไส้ถั่วแดง ขนมเค้ก ขนมคุกกี้ ส่วนขนมไทย ได้แก่ ตะโก้ ขนมชั้น หม้อแกง หลายคนชอบแต่งหน้าเค้ก เพราะสนุกและมีความสุข แถมได้รายได้เพิ่มด้วย ทุกวันนี้จึงสามารถหาเงินส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือได้แบบสบาย ๆ ถึงแม้สามีจะเสียชีวิตไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรเพราะเรามีความรู้ที่นำมา แปรเปลี่ยนเป็นรายได้

ดังนั้น โครงการจัดการความรู้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนของวิทยาลัย ชุมชน จึงถือเป็นโครงการนำร่องที่ช่วยเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็งอย่างแท้จริง อีกทั้งยังช่วยสืบสานภูมิปัญญาของชาวบ้านในท้องถิ่นให้คงอยู่ยั่งยืนคู่กับ ชุมชนไปพร้อม ๆ กับการสร้างรายได้อย่างแท้จริง.
“วิทยาลัยชุมชนสตูล เป็นหนึ่งในวิทยาลัยชุมชนจากทั้งหมด 20 วิทยาลัยชุมชนที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการจัดการความรู้ด้านอาหาร ปัจจุบันสภาพพื้นที่ของจังหวัดมีความอุดมสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรัพยากร วัตถุดิบทั้งทางบกและทางนํ้า รวมทั้งพืชผัก ประกอบกับวิถีชีวิตวัฒนธรรมทางด้านอาหารค่อนข้างเด่นชัด แต่ปัญหาคือ ณ วันนี้พวกวัฒนธรรมเหล่านั้นแทบจะไม่มีคนมาสืบสานต่อยอด”
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในวิทยาลัยชุมชน
การจัดการการเรียนรู้ในวิทยาลัยชุมชน ประกอบด้วยรูปแบบที่สำคัญ 3 ประการ คือ รูปแบบที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นชุมชน (TRACK วิทยาลัยชุมชน) การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น ชุมชน เน้นการพัฒนาต่อยอดจากประสบการณ์ของวิทยาลัยชุมชนในโครงการจัดการความรู้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน โดยปรับปรุงให้มีรูปแบบการดำเนินการที่ชัดเจนและสอดคล้องกับการจัดการศึกษา เพื่อประกอบอาชีพ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ พัฒนาหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยออกแบบการจัดการศึกษาตอบสนองความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น สร้างผู้ประกอบการ ส่งเสริมรายได้ ความสงบและสันติสุขในชุมชน

รูปแบบที่ 2 การจัดการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพ (TRACK อาชีพ) หมายถึงการพัฒนากำลังคนในชุมชนและท้องถิ่น มุ่งสู่การประกอบอาชีพที่มีการศึกษาวิเคราะห์และวางแผนความต้องการกำลังคน ที่ชัดเจน ซึ่งไม่ได้มุ่งหวังอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตร แต่มุ่งให้เกิดความรู้ ทักษะ สามารถประกอบอาชีพในอนาคตได้  โดยมี 2 ระดับ ได้แก่ 1.หลักสูตรการพัฒนาอาชีพเพื่อตอบสนองความต้องการการพัฒนาประเทศ และ 2.หลักสูตรการพัฒนาอาชีพเพื่อตอบสนองความต้องการในชุมชน ท้องถิ่น

รูปแบบที่ 3 การจัดการศึกษาระดับอนุปริญญา (TRACK อนุปริญญา) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเตรียมความพร้อมของนักศึกษาเพื่อศึกษาต่อในระดับ ปริญญา จึงต้องมีการปรับปรุงคุณภาพ มาตรฐานและกำหนดกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอนุปริญญาให้ชัดเจน สร้างอัตลักษณ์บัณฑิตวิทยาลัยชุมชน จัดระบบการเทียบโอนผลการศึกษาจากระบบการศึกษาและฝึกอบรมของวิทยาลัยชุมชน เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้แก่ระบบวิทยาลัยชุมชนให้มากที่สุด.
ทีมวาไรตี้

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/136394/หลักสูตรความรู้ด้านอาหาร+‘ชาวสตูล’+นำร่องเสริมความเข้มแข็งให้ชุมชน

Read More...


‘น้ำพริกอ่อง’ ใส่ ‘ข้าวโพดต้ม’ น่าสน

“นํ้าพริกอ่อง” อาหารของทางภาคเหนือ เป็นประเภทเครื่องจิ้ม ทานคู่กับผักสด ผักต้ม ปัจจุบันเป็นอาหารที่แพร่หลายทั่วไป มีการทำที่หลากหลายสูตร


 “นํ้าพริกอ่อง” อาหารของทางภาคเหนือ เป็นประเภทเครื่องจิ้ม ทานคู่กับผักสด ผักต้ม ปัจจุบันเป็นอาหารที่แพร่หลายทั่วไป มีการทำที่หลากหลายสูตร เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งทาง ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ อาจารย์ประจำวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้คิดค้นสูตร ’นํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม“ เพื่อเป็นการเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้มากยิ่งขึ้น และวันนี้ทีม ’ช่องทางทำกิน“ ได้นำสูตรการทำนํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้มมาบอกต่อ เผื่อว่าใครจะสนใจลองนำสูตรนี้ไปฝึกทำขายกัน...

ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ ผู้ที่คิดสูตรนํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม ให้ข้อมูลว่า เป็นสูตรที่เกิดจากการสอนเรื่องการจัดการอาหาร โดยมีโจทย์เป็นอาหารเฉพาะบุคคล เป็นการทำอาหารที่ควบคุมการรับประทานของบุคคลไม่ให้กินแคลอรี่ต่อวันเกิน ระดับที่เหมาะสม เมนูนํ้าพริกอ่องที่เป็นอาหารของทางภาคเหนือ ถือว่าเป็นอาหารประเภทเครื่องจิ้ม ที่มีรสชาติไม่เผ็ดมาก ที่สำคัญมีประโยชน์ทางโภชนาการที่สูง เป็นอาหารอีกหนึ่งเมนูที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้รับประทาน ซึ่งการที่คิดสูตรที่ใส่ข้าวโพดต้มเข้าไปด้วย ก็เพื่อเป็นการเพิ่มกากใยอาหารและทำให้มีกลิ่นหอม ที่สำคัญเพิ่มประโยชน์ด้านโภชนาการเข้าไปอีก นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มสีสันให้ดูน่ารับประทานมากขึ้น ทำให้เด็กสนใจและชอบทานกันมากขึ้น
เมนูนี้จึงเป็นเมนูที่ผู้ใหญ่ทานได้ เด็กทานดี...

นํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพด มีการดัดแปลงจากสูตรของทางภาคเหนือเล็กน้อย โดยใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไปแทนวัตถุดิบเฉพาะของภาค เหนือ อย่างภาคเหนือใช้ “ถั่วเน่า” ก็ดัดแปลงมาใช้ “กะปิ” แทน เป็นต้น

อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำนํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม ก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำครัวทั่ว ๆ ไป อาทิ เตาแก๊ส, กระทะ, ทัพพี, เขียง, กะละมัง, ครก, สาก ฯลฯ

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำ ตามสูตรก็มีดังนี้...พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่นํ้า 4 เม็ด, เนื้อหมูสับ  ถ้วย, มะเขือเทศ  ถ้วย, หอมแดง 2 ช้อนโต๊ะ, กะปิ 1 ช้อนชา, กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ, นํ้าปลา 1 ช้อนโต๊ะ, นํ้ามันพืช 2 ช้อนโต๊ะ, นํ้าตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ, ข้าวโพดต้ม  ถ้วย, ผักชีหั่นหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ และสำหรับผักที่เป็นเครื่องเคียงทานคู่กับนํ้าพริกอ่อง ที่เป็นผักสดก็เช่น แตงกวา, ผักกาดขาว, ถั่วพู ฯลฯ ส่วนผักต้ม เช่น ถั่วฝักยาว, มะเขือ, ฟักทอง เป็นต้น
 
ขั้นตอนการทำ “นํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม” ก็ไม่ยาก โดยเริ่มจาก...นำกระทะตั้งไฟอ่อน ๆ พอกระทะร้อนได้ที่ก็นำหอมแดง และกระเทียม ลงไปคั่วในกระทะ คั่วให้เกิดกลิ่นหอม จากนั้นก็นำขึ้นจากกระทะ และนำลงไปใส่ในครก พร้อมกับพริกแห้ง และกะปิ แล้วทำการโขลกให้ส่วนผสมละเอียดและเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ตักขึ้นพักไว้

จากนั้นก็ทำการตั้งกระทะใช้ไฟร้อนกลาง ๆ เทนํ้ามันพืชลงไปในกระทะ แล้วก็นำเอาหอมแดง กระเทียม พริก กะปิ ที่โขลกเตรียมไว้ ใส่ลงไปทำการผัดกับนํ้ามันพืชในกระทะ ผัดจนเกิดกลิ่นหอม จากนั้นก็ให้นำเนื้อหมูสับใส่ตามลงไปผัดผสมคลุกรวม เติมนํ้าซุปนิดหน่อย ผัดพอเนื้อหมูสุก แล้วก็ใส่มะเขือเทศที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ลงไป

หลังจากที่ใส่มะเขือเทศแล้ว ก็ให้ทำการลดไฟ ให้ใช้ไฟอ่อน แล้วทำการผัดเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนมะเขือเทศเริ่มเปื่อย นํ้าในกระทะข้นพอขลุกขลิก ก็ใส่ข้าวโพดต้มลงไป ปรุงรสด้วยนํ้าปลา นํ้าตาลทราย ผัดคนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยผักชี เตรียมผักสด และผักต้ม

เท่านี้ก็ได้ “นํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม” 1 ชุด ซึ่งเป็นเมนูที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ
เมนู “นํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม” นี้ ถ้าทำขายก็สามารถ ตั้งราคาขายชุดละประมาณ 30 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% ของราคา

ผศ.สุวรรณี ให้ข้อมูลเสริมอีกว่า อาหารไทยนั้นสามารถพลิกแพลงดัดแปลงทำได้หลากหลาย อยู่ที่ว่าจะนำมาประยุกต์อย่างไร แต่ที่สำคัญคือจะต้องรักษาคุณลักษณะของอาหาร และรสชาติ ของอาหารนั้น ๆ ไว้ด้วย อย่างนํ้าพริกอ่องนี่ก็สามารถนำมาดัดแปลงทำอาหารได้อีกหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะนำมาผัดกับข้าว ทำเป็น ข้าวผัดนํ้าพริกอ่อง หรือจะ ทำเป็นนํ้าราดเส้นสปา เกตตี ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่สามารถทำได้
สำหรับนํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม ก็เป็นเมนูที่ทำง่าย ทำไม่ยาก และสามารถดัดแปลงทำเป็นอาหารได้อีกหลายเมนูด้วย จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อาจจะสามารถตอบโจทย์ให้กับผู้ที่กำลังมองหาช่อง ทางในการทำมาค้าขายอาหาร...

’นํ้าพริกอ่องใส่ข้าวโพดต้ม“ มีขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก สามารถพลิกแพลงเป็นเมนูได้อีกหลากหลาย สามารถนำสูตรมาสร้าง ’ช่องทางทำกิน“ ได้ ซึ่งหากใครสนใจ แต่ยังมีข้อสงสัย สามารถติดต่อขอสอบถามเพิ่มเติมจาก ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ อาจารย์ประจำวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ที่ โทร. 08-1432-0147 ซึ่งทางอาจารย์ก็ยังมีสูตรอาหารเพื่อสุขภาพที่น่าสนใจอีกหลายชนิด.
บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ :รายงาน
สุทธิภัทร พฤกษ์เจริญสุข :ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/207658/‘น้ำพริกอ่อง’+ใส่+‘ข้าวโพดต้ม’+น่าสน

Read More...


‘ยำสาหร่ายผมนาง’ช่องทางจากวัตถุดิบพื้นถิ่น

“สาหร่ายผมนาง” สาหร่ายชนิดนี้มีประโยชน์มากมาย เพราะเป็นได้ทั้งอาหารของคน อาหารสัตว์ ใช้ทำปุ๋ย ใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช ฯลฯ



ภาคใต้ของไทยเรา ท้องทะเลนอกจากจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา อันเป็นสินในน้ำที่มีค่าหล่อเลี้ยงชีวิตคนในท้องถิ่นมาหลายชั่วคนแล้ว ยังมีสาหร่ายนานาชนิดที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้ และต่อยอดเป็นอาชีพได้ อย่าง “สาหร่ายผมนาง” ซึ่งเป็นสาหร่ายที่พบได้ตามชายฝั่งของอ่าวไทย และฝั่งมหาสมุทรอินเดีย สาหร่ายชนิดนี้คนในท้องถิ่นได้นำมาทำเป็น “ยำสาหร่ายผมนาง” ขาย จนกลายเป็น “ช่องทางทำกิน” เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัวได้...
“สาหร่ายผมนาง” สาหร่ายชนิดนี้มีประโยชน์มากมาย เพราะเป็นได้ทั้งอาหารของคน อาหารสัตว์ ใช้ทำปุ๋ย ใช้ป้องกันแมลงศัตรูพืช ฯลฯ โดยเฉพาะประโยชน์ที่มีต่อคนในเชิงการเป็นอาหารนั้น สาหร่ายชนิดนี้มีสารอาหารอย่างโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เกลือแร่ โดยเฉพาะธาตุไอโอดีน และวิตามิน
กัลยกร วรรณหอม ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านน้ำพริก อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เล่าว่า ตั้งกลุ่มทำน้ำพริกตั้งแต่ พ.ศ.2542 ทำน้ำพริกหลากลายชนิด อาทิ น้ำพริกกุ้งเสียบ แกงไตปลาแห้ง น้ำพริกนรกกุ้ง น้ำพริกตาแดง น้ำพริกแมงดา ฯลฯ จนเมื่อ พ.ศ.2546 เปลี่ยนมาขาย “ยำสาหร่ายผมนาง” เพราะเห็นว่าน้ำพริกขายยาก และเมื่อปี พ.ศ.2549 เริ่มสัญจรไปขายตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยนำยำสาหร่ายผมนางไปขายคู่กับ “ยำถั่วพูโบราณ” เพราะเห็นว่าอาหารใต้ อย่างข้าวยำ น้ำบูดู หรือแกงไตปลา มีคนขายเยอะแล้ว ซึ่งปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดี จึงทำขายมาเรื่อย ๆ
อุปกรณ์ที่ใช้ทำยำสาหร่ายผมนางหลัก ๆ ก็มี ภาชนะสำหรับยำ, ภาชนะสำหรับใส่ส่วนผสมต่าง ๆ, เตาแก๊ส, เขียง-มีด, หม้อเคี่ยวน้ำตาลทราย และอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดในครัวเรือนทั่ว ๆ ไป
ส่วนประกอบยำสาหร่ายผมนางนั้น กัลยกร บอกว่า หลัก ๆ ก็มี สาหร่ายผมนาง รับซื้อจากชาวบ้าน ราคา ก.ก.ละประมาณ 400 บาท, น้ำปลา, น้ำตาลทราย, น้ำมะนาว, มะพร้าวคั่ว, ปลาป่น, หอมแดงซอย, พริกขี้หนูหั่น, ตะไคร้ซอย
วิธีทำยำสาหร่ายผมนาง ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดสาหร่ายด้วยน้ำสะอาด ล้างจนเศษหินดินทรายหมดไป จากนั้นนำสาหร่ายไปแช่ในน้ำส้มสายชู หรือน้ำมะนาว ประมาณ 10-15 นาที เพื่อให้หมดกลิ่นสาบ และสาหร่ายนิ่ม
การยำ ตักสาหร่ายผมนางที่เตรียมไว้พอประมาณใส่ในภาชนะ ใส่น้ำปลา น้ำตาลทราย ลงไปพอประมาณ (หรือเพื่อความสะดวกอาจจะนำน้ำตาลทรายไปเคี่ยวกับน้ำปลาเตรียมไว้ก็ได้) จากตามด้วยน้ำมะนาว ใส่มะพร้าวคั่ว ปลาป่น หอมแดงซอย และพริกขี้หนูหั่น ลงไป คลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน ชิมรสให้มีรสชาติเค็ม และเปรี้ยว
ตักใส่จาน โรยหน้ายำสาหร่ายผมนางด้วยหอมแดงซอย พริกขี้หนู และตะไคร้ซอย โดยมีผักแกล้มคือ ใบชะพลู ซึ่ง กัลยากร บอกว่า การรับประทานยำสาหร่ายผมนางนี้ จะทานแบบเป็นเมี่ยง คือตักยำสาหร่ายใส่ลงในใบชะพลู แล้วทานเป็นคำ ๆ
ส่วนราคาขายนั้น ขายราคาชุดละ 50 บาท
นอกจากยำสาหร่ายผมนางแล้ว กัลยกร ยังได้ให้สูตร “ยำถั่วพูโบราณ” เพิ่มมาให้อีกสูตรหนึ่งด้วย
ส่วนผสมของยำถั่วพูโบราณ ก็มีถั่วพูสด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ, หอมแดงซอย, ปลาป่น, พริกขี้หนูหั่น, น้ำปลาที่เคี่ยวผสมกับน้ำตาลทราย, กะทิ และน้ำมะนาว
วิธีทำ ตักถั่วพูสดลงในภาชนะยำพอประมาณ จากนั้นใส่น้ำปลาที่เคี่ยวผสมกับน้ำตาลทราย 2 ตะบวยเล็ก น้ำกะทิ 2 ตะบวยเล็ก น้ำมะนาว 1 ตะบวยเล็ก และหอมแดงซอย ปลาป่น ใส่พริกขี้หนูหั่นเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสให้มีเค็ม เปรี้ยว มัน และมีกลิ่นหอมของกะทิ เท่านี้ก็ใช้ได้
ยำถั่วพูโบราณนี้ ขายในราคาชุดละ 50 บาทเช่นกัน
การทำยำทั้ง 2 อย่างนี้ขาย มีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 70% ของราคาขาย
สำหรับยำสาหร่ายผมนาง ก็นับว่าน่าสนใจมากสำหรับการนำของที่หาได้ในท้องถิ่นมาประยุกต์เป็นอาหาร และสามารถต่อยอดเป็นอาชีพได้ ขณะที่การทำการขายยำถั่วพูโบราณก็นับว่าน่าสนใจเช่นกัน
สนใจ “ยำสาหร่ายผมนาง” และยำถั่วพูโบราณ “ช่องทางทำกิน” ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านน้ำพริก ติดต่อ กัลยกร วรรณหอม ได้ที่ เลขที่ 168 หมู่ 6 บ้านเมืองใหม่ ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี หมายเลขโทรศัพท์ 08-9974-2664.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :เรื่อง / ภาณุพงศ์ พนาวัน :ภาพ
...................................................
คู่มือลงทุน...ยำสาหร่ายผมนาง
ทุนอุปกรณ์    ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
รายได้ ราคาขาย 50 บาท / ชุด
แรงงาน 1 คนขึ้นไป
ตลาด ชุมชน, งานออกร้านทั่วไป
จุดน่าสนใจ ชื่อสาหร่ายเป็นจุดขายที่ดี

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/207783/‘ยำสาหร่ายผมนาง’ช่องทางจากวัตถุดิบพื้นถิ่น

Read More...


'มักกะโรนี ฟิชบอล' แปลงสูตรเป็นไทยขายดี

ผัด “มักกะโรนี” เป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ขึ้นชื่อ คนไทยได้นำมาดัดแปลงตามความชอบ จนกลายเป็นอาหารยอดฮิตในไทยด้วย


ผัด “มักกะโรนี” เป็นอาหารอิตาเลี่ยนที่ขึ้นชื่อ คนไทยได้นำมาดัดแปลงตามความชอบ จนกลายเป็นอาหารยอดฮิตในไทยด้วย กินได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ เส้นมักกะโรนีนุ่ม ๆ ผัดกับกุ้ง หมู หรือไก่ ใส่มะเขือเทศและซอส ได้รสเปรี้ยวหวานอร่อย ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีสูตรการทำผัด “มักกะโรนี ฟิชบอล” จากคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี มาให้พิจารณากัน…

ผู้ ที่จะมาให้ข้อมูลอาหารเมนูนี้คือ ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ อาจารย์ประจำวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี เป็นสูตรที่เกิดจากการสอนเรื่องการจัดการอาหาร โดยมีโจทย์เป็นอาหารเฉพาะบุคคล เป็นการทำอาหารที่ควบคุมการรับประทานของบุคคลไม่ให้ทานแคลอรี่ต่อวันเกิน ระดับที่เหมาะสม เมนูมักกะโรนี ฟิชบอล ถือว่าเป็นอาหารประเภทจานด่วน เป็นเมนูง่าย ๆ แต่อร่อยล้ำ มักเป็นที่ชื่นชอบในหมู่เด็ก ๆ เพราะไม่เผ็ด จะทำเป็นอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันก็ได้ ซึ่งจะมีสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์และเหมาะสมสำหรับร่างกายมากมาย

“ความ พิเศษของเมนูนี้อยู่ที่ส่วนผสม แต่ละตัวอุดมไปด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์มากมาย และยังคิดสูตรที่ใส่ฟิชบอล ซึ่งทำจากเนื้อปลาบดกับเครื่องแกงสมุนไพรเข้าไปด้วย ก็เพื่อเป็นการเพิ่มโปรตีนและโอเมกา 3 ซึ่งเป็นไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และทำให้มีกลิ่นหอม นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มสีสันให้ดูน่ารับประทานมากขึ้น ทำให้เด็กสนใจและชอบทานกันมากขึ้น เมนูผัดมักกะโรนี ฟิชบอล เป็นอาหารในกลุ่มที่ให้พลังงาน เนื้อไก่ จะได้โปรตีน ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และยังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อต่าง ๆ เนื้อปลาก็จะให้โปรตีนสูง และกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างโอเมกา 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคข้ออักเสบ โรคอัลไซเมอร์ และโรคเครียด

มะเขือ เทศจะให้สารอาหารจำพวกแคโรนอยด์ ชื่อไลโคฟีน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องผิวพรรณ และวิตามินอีกหลายชนิด ทั้งบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเค ช่วยในการรักษาโรคลักปิดลักเปิด บำรุงสายตา ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด ส่วนหอมหัวใหญ่สรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แครอทมีสารเบตาแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา เมนูที่คิดมานี้ทำง่าย วัตถุดิบหาง่าย สามารถดัดแปลงได้ตามความชอบ ก็จะได้เมนูเป็นทางเลือกใหม่”

เหล่านี้คือจุดเด่นของเมนู ที่นำเสนอเป็นจุดขายที่ดีได้
อุปกรณ์ในการทำเมนูนี้ หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส, กระทะ และเครื่องไม้เครื่องมือ อื่น ๆ ที่หาได้จากในครัวทั่ว ๆ ไป

วัตถุ ดิบที่ใช้ในการทำ ตามสูตรก็มี เส้นมักกะโรนี 400 กรัม, เนื้อไก่สับ 150 กรัม, หอมหัวใหญ่สับ 200 กรัม, เนื้อมะเขือเทศ ถ้วย, มะเขือเทศแกะเม็ดหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก 300 กรัม, กระเทียมสับ 3 ช้อนโต๊ะ, ซอสมะเขือเทศ, นํ้าตาลทราย, แครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ และข้าวโพดต้มแกะเอาแต่เม็ด (เพื่อเพิ่มสีสันและคุณค่าทางโภชนาการ จะใส่หรือไม่ก็ได้), เกลือป่น, นํ้ามันมะกอก, นํ้ามันพืช, นํ้าเปล่าหรือนํ้าซุป, ผักสำหรับตกแต่งจาน ส่วนการทำฟิชบอล วัตถุดิบที่ใช้ก็มี เนื้อปลากรายขูด 150 กรัม (ทำได้ราว 20 ลูก), นํ้าพริกแกงคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ, ใบผักชีหั่นหยาบ, เกลือ และนํ้าสะอาด

ขั้น ตอนการทำ “มักกะโรนี ฟิชบอล” เริ่มที่ทำฟิชบอล นำเนื้อปลากรายขูดแช่ตู้เย็นประมาณ 15 นาที ระหว่างรอนำนํ้าผสมเกลือให้ละลาย (ไว้เป็นนํ้าชุบมือกันไม่ให้เนื้อปลาติดมือ) เมื่อได้เวลานำเนื้อปลาออกจากตู้เย็นมาบี้ผสมกับพริกแกงคั่วและผักชีในอ่าง ผสม ใช้มือนวดส่วนผสมไปเรื่อย ๆ จนเนียนและเหนียว นำส่วนผสมเนื้อปลาที่ได้มาปั้นเป็นรูปวงรี นำไปต้มในนํ้าเดือด พอเนื้อปลาลอยแสดงว่าสุก ใช้ทัพพีมีรูช้อนขึ้นให้สะเด็ดนํ้า พักไว้ เตรียมใช้ผัดกับซอสมักกะโรนี

นำนํ้าใส่หม้อในปริมาณ มากกว่ามักกะโรนี 4 เท่า เปิดไฟแรงต้มให้นํ้าเดือดจัด ใส่เส้นมักกะโรนีลงต้ม ใส่นํ้ามันพืช 1 ช้อนโต๊ะ เกลือเล็กน้อย ลดไฟให้เหลือไฟกลาง คนด้วยทัพพีเป็นระยะป้องกันการติดก้นหม้อ และให้ความร้อนทั่วถึง ต้มจนเส้นนุ่ม (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที) ตักขึ้นมาล้างในนํ้าเย็น เอาขึ้นพักสะเด็ดนํ้า แล้วคลุกกับนํ้ามันพืชเล็กน้อย พักไว้

ต่อไปเป็นขั้น ตอนการผัด ใส่นํ้ามันมะกอกในกระทะ พอนํ้ามันร้อนใส่กระเทียมสับลงผัดให้หอม ใส่เนื้อไก่สับผัดไปมาสัก 4-5 ที ใส่แครอทหั่นที่เตรียมไว้ลงไปผัด ตามด้วยเนื้อมะเขือเทศหั่น ข้าวโพดต้ม และหอมหัวใหญ่สับ ใช้ไฟปานกลางผัดไปมาสักครู่ จากนั้นปรุงรสชาติด้วยเกลือป่น และนํ้าตาลทราย ใส่ซอสมะเขือเทศ และนํ้า เคี่ยวส่วนผสมซอสด้วยไฟอ่อนประมาณ 5 นาที ชิมรสชาติ เมื่อได้รสชาติที่ถูกใจแล้วก็ใส่เส้นมักกะโรนีลงไปผัด และใส่ฟิชบอลที่เตรียมเอาไว้ลงไปผัดคลุกเคล้าให้ทั่วและเข้ากันดี เสร็จแล้วตักใส่ภาชนะ จัดแต่งให้สวยงาม เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

เมนูอาหารจาน เดียว “มักกะโรนี ฟิชบอล” นี้ มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก มีวัตถุดิบอะไรก็พลิกแพลงจับใส่ได้ตามชอบ สามารถนำไปต่อยอด พลิกแพลง ปรับสูตรทำขายสร้าง “ช่องทางทำกิน” ได้สบาย ๆ ซึ่งหากใครสนใจและยังมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมจาก ผศ.สุวรรณี อาจหาญณรงค์ อาจารย์ประจำวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.ธัญบุรี ได้ที่ โทร.08-1432-0147 ซึ่งทางอาจารย์ก็ยังมีสูตรอาหารเพื่อสุขภาพอีกหลายชนิด.
เชาวลี ชุมขำ : เรื่อง / สุนิสา ธนพันธสกุล : ภาพ

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/209748/_มักกะโรนี+ฟิชบอล_+แปลงสูตรเป็นไทยขายดี

Read More...


'ขนมเสน่ห์จันทน์' ทำง่าย..ทำได้..ก็ทำเงิน

ถ้าพูดถึงขนมไทยโบราณ ขนมมงคลอย่าง 'เสน่ห์จันทน์' นี่ก็เด่นดังชื่อเสียงเรียงนาม นอกเหนือไปจากความอร่อย ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องการเสริมชะตาให้ชีวิตรุ่งเรืองอีกต่างหาก


 ถ้าพูดถึงขนมไทยโบราณ ขนมมงคลอย่าง "เสน่ห์จันทน์" นี่ก็เด่นดังชื่อเสียงเรียงนาม นอกเหนือไปจากความอร่อย ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องการเสริมชะตาให้ชีวิตรุ่งเรืองอีกต่างหาก “เสน่ห์จันทน์" นี้เพียงแค่ชื่อก็เสนาะหู ชวนให้นึกคิดไปถึงความหลงใหลดั่งต้องมนต์เสน่ห์ นอกเหนือไปจากการนึกถึงผลลูกจันทน์สีเหลืองอร่ามน่าชิมน่ามอง ซึ่งปัจจุบันขนมไทยโบราณยังคงได้รับความนิยม ยังคงมีการใช้ประกอบในงานพิธีมงคลต่าง ๆ อาทิ งานบุญ งานสมรส และกับ “เสน่ห์จันทน์” ขนมมงคลขึ้นชื่อชนิดนี้ในปัจจุบันก็ยังสามารถใช้เป็น “ช่องทางทำกิน” สร้างรายได้ให้กับผู้ที่มีฝีมือในการทำ...
**************************
คุณนวลฉวี สังขะเวส เจ้าของบ้านขนมไทย เล่าว่า เดิมทีได้สืบสานขนมไทยมาจาก ม.ร.ว.เปรมปรีดิ์มาน เกษมศรี ด้วยความที่ชอบขนมไทยเป็นทุนเดิม จึงคิดสานต่อและต่อยอดมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี โดยพัฒนาสูตรเรื่อยมาเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย จนเกิดเป็นกิจการ "บ้านขนมไทยรวมโชค" คำว่ารวมโชคมาจากชื่อที่ตั้งคือซอยรวมโชค และถนนโชคชัย 4 มีทั้งชัย มีทั้งโชค ซึ่งนับว่าโชคดีไม่น้อยในการทำกิจการครอบครัว ผลตอบรับที่ได้มีทั้งลูกค้าขาจรและลูกค้าประจำมิได้ขาด
ลูกค้ามักติดใจในรสชาติของขนมไทย ๆ เสน่ห์ของขนมไทย ๆ อาหารไทย ๆ ยังไม่หมดไป วัฒนธรรมเกี่ยวกับขนมไทยและอาหารไทยยังคงอยู่คู่กับคนไทย เส้นทางนี้จึงยังไม่มีคำว่าตัน อยู่ที่ว่าจะขยันและอดทนมากน้อยแค่ไหน กิจการที่ทำอยู่นั้น แม้จะไม่มีหน้าร้าน เพียงสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.bannkanomthairuamchoke.com ซึ่งจะรับสั่งทำขนม รับจัดบุฟเฟ่ต์ และสอนทำขนม อาหาร และของว่าง ตามแต่จริตของผู้ที่สนใจ กิจการก็ดำเนินไปได้ด้วยดี
ทางเจ้าของกิจการขนมไทยรายนี้บอกอีกว่า เมนูขนมที่ทำอยู่มีให้เลือกสรรมากมายหลากหลายชนิด ทั้งขนมไทยโบราณสูตรชาววังดั้งเดิม ขนมไทยประยุกต์ รวมถึงมีอาหารว่าง อาหารไทยทั้งคาวหวาน ที่คัดสรรวัตถุดิบชั้นดีในการผลิต พิถีพิถันทุกขั้นตอน เพื่อให้ได้รสชาติที่เลิศรสตามแบบฉบับ อีกทั้งจุดเด่นของบ้านขนมไทยฯคือเน้นหลักใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภค ไม่ใส่สารกันบูด ผลิตและจำหน่ายวันต่อวัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประทานกันแบบสดใหม่อยู่เสมอ
คุณนวลฉวี กล่าวว่า การทำขนมไทยนั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากอย่างที่ใครอาจจะคิด แค่ใส่ใจจริง ๆ ความอร่อยก็จะตามมาเอง ใจต้องรัก ใจต้องชอบ หากทำได้ ทำจริง ก็ทำเงินได้ ซึ่งสำหรับขนม “เสน่ห์จันทน์” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” ได้รับการบอกเล่าสูตรวิธีทำมานำเสนอในวันนี้ คุณนวลฉวี บอกว่า ในการทำนั้น อุปกรณ์หลัก ๆ ที่ต้องใช้มี กระทะทอง, ไม้พาย, ไม้แหลม, ถ้วยตวง และภาชนะเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ที่ใช้ทำขนม
ส่วนผสมตามสูตร มีแป้งข้าวเจ้า แป้งสาลี 1 ถ้วยตวง, แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วยตวง, น้ำกะทิ 1 ถ้วย, น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย, ไข่ไก่ 6 ฟอง, ผงจันทน์ป่น 1/4 ช้อนชา, สีผสมอาหาร, เทียนอบ วัตถุดิบต่าง ๆ เหล่านี้สามารถหาซื้อได้ตามแหล่งขายวัตถุดิบในการทำขนมทั่วไป
ขั้นตอนการทำ เริ่มจากผสมแป้งเข้าด้วยกันในภาชนะ ตามด้วยน้ำตาลทราย และผงจันทน์ ใช้ไม้พายเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะเริ่มได้กลิ่นของผงจันทน์ป่นแตะจมูก ส่งกลิ่นหอมรัญจวน เมื่อเคล้าได้ที่ ก็ทำการแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วใส่ไข่แดงลงนวดกับแป้ง ค่อย ๆ เติมกะทิลงไปทีละน้อยจนหมด คนให้น้ำตาลละลาย จากนั้นจึงใส่สีผสมอาหารสีเหลืองลงผสมด้วยเล็กน้อย แล้วจึงนำส่วนผสมไปตั้งไฟแรงปานกลาง กวนพอให้แป้งข้น จากนั้นหรี่ไฟอ่อน ๆ กวนต่อไปจนแป้งร่อนหลุดจากกระทะ หลังจากนั้นก็นำแป้งไปนวดอีกครั้งให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำแป้งที่ได้ปั้นเป็นรูปผลจันทน์
วิธีปั้น แบ่งแป้งขนมเป็นก้อน ๆ ขนาดประมาณเท่าลูกชิ้น แล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ คลึงจนกว่าเนื้อแป้งจะเนียนเสมอกัน จากนั้นวางลงเรียงบนภาชนะ เตรียมไว้
แบ่งแป้งออกมาอีกส่วนหนึ่ง นำมาผสมกับสีผสมอาหารสีน้ำตาล เพื่อใช้แป้งผสมนี้ทำเป็นส่วนขั้วของลูกขนมเสน่ห์จันทน์ ปั้นขนมส่วนที่เป็นสีน้ำตาลให้ได้ก้อนเล็ก ๆ กดให้แบน แล้วนำไปติดเป็นส่วนขั้วของแป้งผลจันทน์ที่ทำไว้ โดยใช้ไม้แหลมจิ้มลงไปตรงกลางให้เกิดรูบุ๋มเล็กน้อย
ขั้นต่อไปก็นำแป้งขนมไปอบควันเทียน 1-2 ชั่วโมง จนกว่าควันจะหมด เพื่อเพิ่มความหอมของกลิ่นผงจันทน์และจากกลิ่นเทียนอบ ซึ่งปลายลิ้นที่ได้สัมผัสกับเนื้อแป้งที่นุ่มละมุนนั้นช่างเย้ายวนให้เกิดรส ที่เลิศล้ำ
นี่ก็เป็นขั้นตอนหลัก ๆ ในการทำขนม “เสน่ห์จันทน์” ที่ทางคุณนวลฉวีบอกเล่าและสาธิต ซึ่งจากส่วนผสมที่กล่าวมาข้างต้น สามารถทำขนมเสน่ห์จันทน์ได้ประมาณ 50 ชิ้น ขายในราคาชิ้นละ 6 บาท หรือขายเป็นชุด ๆ ละ 220 บาท ซึ่งก็นับว่าเป็นช่องทางทำเงินจากขนมไทยอีกประเภทหนึ่งที่ได้ราคาดี สามารถทำเงินได้จากลูกค้าที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะกับผู้ที่มีแนวคิดว่า เป็นคนไทย เมืองไทยมีขนมไทย มีอาหารไทย ก็ต้องกินของไทย ได้เป็นอย่างดี
******************
ใครสนใจ “เสน่ห์จันทน์” ขนมของ "บ้านขนมไทยรวมโชค" โดยคุณนวลฉวี สังขะเวส กิจการนี้ตั้งอยู่ที่เลขที่ 9 โชคชัย 4 ซอย 66 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทร.0-2514-2168, 08-9895-9071 โดยมีเว็บไซต์ดังที่ระบุไว้แต่ตอนต้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับลูกค้า ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” ที่ขายฝีมือในการทำขนมไทยโบราณ โดยเจ้าของกรณีศึกษารายนี้บอกไว้ด้วยว่า “มีความสุขกับงานที่ทำ ผลของงานก็มีคุณภาพ”.
ปิยาภรณ์ บุญประเสริฐ :รายงาน
คู่มือลงทุน...ขนมเสน่ห์จันทน์
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 5,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคาขาย
รายได้ ราคา 6 บาท/ชิ้น, 220 บาท/ชุด
แรงงาน ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
ตลาด ขายตามย่านชุมชน, รับสั่งทำ
จุดน่าสนใจ เรื่องความเป็นมงคลเพิ่มจุดขาย

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/210870/_ขนมเสน่ห์จันทน์_+ทำง่าย..ทำได้..ก็ทำเงิน

Read More...


เมนู ‘ข้าวแห้ง’ ‘สูตรโบราณ ’น่าสนใจ

เมนู “ข้าวแห้ง” หลายคนรู้จัก หลายคนอาจไม่รู้จัก ลักษณะคือข้าวสวยใส่ไก่หรือเป็ดสับต้มเค็มจาง ๆ ถ้าเอาน้ำซุปใส่ก็กลายเป็นข้าวต้มเป็ด ข้าวต้มไก่


 เมนู “ข้าวแห้ง” หลายคนรู้จัก หลายคนอาจไม่รู้จัก ลักษณะคือข้าวสวยใส่ไก่หรือเป็ดสับต้มเค็มจาง ๆ ถ้าเอาน้ำซุปใส่ก็กลายเป็นข้าวต้มเป็ด ข้าวต้มไก่ ซึ่งเป็นอาหารจีนแต้จิ๋วที่ทำกินกันเองในครอบครัว แต่ก็มีการทำขาย เช่นที่ตลาดน้ำดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี, ที่ตลาดน้ำยามเย็น อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม หรือที่ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลการทำการขาย “ข้าวแห้งสูตรโบราณ” มานำเสนอให้พิจารณากัน...
*********************
รส นันต์ วีระหงษ์ เจ้าของร้านคุณอ้อ–ร้านข้าวแห้งหมู-ไก่-เป็ด สูตรโบราณ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก เล่าว่า ขายข้าวแห้งหมู-ไก่-เป็ด สูตรโบราณ มา 5 ปีแล้ว โดยสูตรที่ขายนั้นเป็นของพ่อแม่ ของครอบครัว ที่ทำขายกันมาแต่โบราณ ส่วนเธอมารับช่วงต่อ ซึ่งจะมีทั้งในลักษณะการออกร้านตามงานต่าง ๆ และมีร้านขายถาวรที่ตลาดนัดสนามหลวง 2 (ทวีวัฒนา) ด้วย โดยการออกงานจะทำให้มีลูกค้าใหม่ ๆ ได้รู้จักข้าวแห้งของ จ.ราชบุรี มากขึ้น
อุปกรณ์ ที่ใช้ทำเมนูนี้ หลัก ๆ ก็มี เตาแก๊ส-กระทะ, หม้อสแตนเลส, เขียง- มีด, ถาดใส่อาหาร และเครื่องครัวเบ็ดเตล็ดทั่ว ๆ ไป ที่สามารถหาได้จากในครัวเรือน
สูตรเด็ดข้าวแห้งโบราณของร้านนี้ รสนันต์บอกว่า คือการปรุงรสด้วยซีอิ๊วดำเค็ม (สูตร1) ตราเสือ ซึ่งเป็นซีอิ๊วท้องถิ่น และไม่ใช้น้ำปลา ไม่ใช้ผงชูรส
ส่วนผสมของ ข้าวแห้ง ทั้งเป็ด ไก่ หมู ตามสูตรก็มี เนื้อเป็ด 10 กก., เลือดเป็ด 20 ก้อน หั่นเป็นชิ้น ๆ และเนื้อไก่ 10 กก., เลือดไก่ 20 ก้อน หั่นเป็นชิ้น ๆ และเนื้อหมู 10 กก. หั่นเป็นชิ้น ๆ เตรียมไว้
วิธีทำ นำเนื้อเป็ดไปรวนในกระทะให้สุก โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน ซึ่งรสนันต์ให้เหตุผลว่า เหตุที่ไม่ใช้น้ำมันเพราะน้ำมันจะทำให้เลี่ยน ไม่อร่อย และในระหว่างที่รวนเนื้อเป็ดในกระทะนั้น น้ำมันจากหนังเป็ด เนื้อเป็ด ก็จะออกมาเอง ซึ่งถ้าใช้น้ำมันจะเลี่ยนมาก เมื่อเนื้อเป็ดสุกแล้วให้ตักเนื้อเป็ดทั้งหมดใส่ลงในหม้อสแตนเลส พร้อมเลือดเป็ดที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ขนาดพอประมาณ ใส่น้ำเปล่าลงไปประมาณ 1-1.5 ถ้วย จากนั้นใส่ซีอิ๊วลงไปประมาณ 1 ถ้วย น้ำตาลทราย และซอสปรุงรส อย่างละพอประมาณ ชิมรสชาติดูให้ออกเค็ม ๆ เล็กน้อย ต้มให้เดือด เมื่อน้ำเดือดแล้วให้หรี่ไฟลง จากนั้นปิดฝา ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชม. คือรอจนกระทั่งน้ำปรุงรสงวดจนเกือบแห้ง ก็เป็นอันใช้ได้
สำหรับไก่หรือข้าวแห้งไก่ ก็ทำเช่นเดียวกับข้าวแห้งเป็ด แต่แตกต่างกันตรงที่ใช้เวลาต้มเนื้อไก่กับซอสปรุงรสเพียงประมาณ 1-2 ชั่วโมง
ส่วน ข้าวแห้งหมู ใช้เนื้อหมูหั่น 10 กก. ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และพริกไทย โดยรสนันต์บอกว่า จะหมักหมูกับซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และพริกไทย ก่อน โดยหมักทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำไปรวนในกระทะจนสุก ตักใส่ถาดที่เตรียมไว้
ในส่วนของข้าวซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ รสนันต์บอกว่า ใช้ข้าวหอมมะลิ 70% หุงข้าวให้สุก เตรียมไว้ ดั้งเดิมจะใช้วิธีหุงแบบใช้รังถึง ข้าวต้องร้อนตลอดเวลา ในสมัยปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนมาใช้หม้อไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ข้าวสวยที่ใช้เป็นข้าวแห้งก็ต้องอุ่นให้ร้อนตลอดเวลา ที่สำคัญต้องเลือกข้าวสารอย่างดี เพื่อที่หุงออกมาแล้วข้าวจะเรียงเม็ดสวย
วิธี ขาย ถ้าเป็น ข้าวแห้งเป็ด ตักข้าวสวยใส่จาน ตักเนื้อเป็ด เลือดเป็ด ที่เคี่ยวสุก ได้รสชาติตามที่ต้องการ ใส่ลงไปบนข้าวพอประมาณ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และใส่เครื่องเคียงต่าง ๆ มีกุ้งแชบ๊วยชุบแป้งทอด แผ่นเต้าหู้ทอด ตกแต่งหน้าข้าวแห้งด้วยแตงกวาหั่น และผักชีซอย
ข้าว แห้งไก่ ก็จะขายเหมือนข้าวแห้งเป็ด ส่วน ข้าวแห้งหมู ให้ตักข้าวสวยใส่จาน ตักเนื้อหมูที่รวนไว้แล้วใส่ลงไปพอประมาณ โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และตกแต่งหน้าข้าวแห้งด้วยแตงกวาหั่น และผักชีซอย
ทั้งนี้ สำหรับเครื่องปรุง ก็ต้องมีให้ลูกค้าเลือกปรุงรส มีพริกน้ำปลา, ซีอิ๊วขาว, พริกไทย, พริกป่น และพริกน้ำส้ม ส่วนราคาขาย จะขายในราคาจานละ 35-45 บาท ตามแต่ต้นทุนสถานที่
**********************
สนใจ “ข้าวแห้งสูตรโบราณ” ต้องการติดต่อ รสนันต์ วีระหงษ์ เจ้าของร้านคุณอ้อ–ร้านข้าวแห้งหมู-ไก่-เป็ด สูตรโบราณ ตลาดน้ำดำเนินสะดวก ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1488-5957 และ 08-4650-1567 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” จากเมนูอาหารสูตรโบราณ ที่น่าสนใจไม่น้อยเลย.
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล :เรื่อง / ภาณุพงศ์ พนาวัน :ภาพ
คู่มือลงทุน...ข้าวแห้งสูตรโบราณ
ทุนอุปกรณ์ ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 70% ของราคาขาย
รายได้ ราคาขาย 35-45 บาท / จาน
แรงงาน 1-2 คนขึ้นไป
ตลาด ย่านชุมชน, งานออกร้านทั่วไป
จุดน่าสนใจ ยุคนี้เมนูโบราณเป็นจุดขายที่ดี

credit by :  http://www.dailynews.co.th/Content/Article/211122/เมนู+‘ข้าวแห้ง’++‘สูตรโบราณ+’น่าสนใจ

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.