สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ใครๆ ก็ทำได้ ปิ้งปังให้เป็นลายการ์ตูน

Pic_266437

เวลาปิ้งขนมปังแต่ละที ก็เห็นเป็นสีน้ำตาลออกไหม้ทั้งแผ่น ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็หอมน่าทานเป็นปกติ แต่วันนี้ Trend can do ไปเจอไอเดียสุดสร้างสรรค์ ให้การปิ้งขนมปังเต็มไปด้วยไอเดียและสนุกมากขึ้น กับการสร้างลวดลายบนแผ่นขนมปังที่ทำได้ง่ายสุดๆ
อุปกรณ์และวัตถุดิบที่ต้องเตรียม
1. ขนมปังแผ่น
2. เครื่องปิ้งขนมปัง
3. กระดาษฟอยล์ กรรไกร

ขั้นตอนการทำ
1. ออกแบบลวดลายที่อยากได้ลงบนกระดาษฟอยล์ จากนั้นตัดชิ้นส่วนต่างๆ ไปวางบนแผ่นขนมปัง ควรกดเล็กน้อยให้แผ่นฟอยล์ติดกับขนมปัง (กระดาษฟอยล์วางบนส่วนไหนของขนมปัง ส่วนนั้นจะไม่มีสีน้ำตาลเกรียม)

2. นำไปปิ้งในเครื่อง พอสุกแล้วก็เอากระดาษฟอยล์ออก ก็จะได้แผ่นขนมปังที่มีลวดลายตามต้องการ


ที่มา : www.trendhunter.com


อ่านแล้วชอบมาก เลยลอกเขามาและบันทึกบทความสะสมไว้ในBlogนี้ เพื่อเก็บไว้อ่านอีก ขอขอบคุณเจ้าของบทความนี้ และใครอ่านต่อ ลองนำไปใช้ดูก็ได้


Photobucket

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน กุยช่ายไส้เผือก

ผู้เขียนชอบกุยช่ายค่ะ ชอบทานมากที่สุด คือ ไส้เผือก แต่ไม่ชอบลักษณะเผือกกวน ชอบแบบบ้านๆ ที่จะเป็นไส้เผือกผัดกับบรรดาสิ่งละอัน พันละน้อย จะเรียกได้ว่าคล้ายๆ กับตามบ้านคนจีน ที่ผู้เขียนว่าเช่นนั้น เป็นเพราะผู้เขียนเคยได้รับขนมกุยช่ายจากเพื่อนของคุณตาของผู้เขียน เขาว่าที่บ้านเขาทำทานกันเอง ใส่มาในกล่องพลาสติกสีชมพูที่เรียกกันติดปากว่า “ทัปเปอร์แวร์” มาให้ที่บ้าน

ถือเป็นขนมกุยช่ายที่อร่อยที่สุดในชีวิต อาจจะเป็นเพราะตอนนั้นยังเด็ก และขนมกุยช่ายที่ได้รับมามีน้อยเหลือเกิน แบ่งๆ กันทานคนละคำ จึงทำให้คิดถึงทีไร จดจำได้แม่นว่าอร่อย เนื้อแป้งกุยช่ายหนานุ่ม ไม่กระด้าง ดูเป็นสีขาวขุ่น ไม่ขาวใส บอบบาง แบบหลายๆ เจ้าที่วางขายในปัจจุบัน

สำคัญที่ไส้ ไส้ผักเขียวใบกุยช่าย รสชาติไม่แตกต่างจากที่คุ้นเคย สำหรับไส้ที่แตกต่าง คือ ไส้หน่อไม้ และไส้เผือก สำหรับไส้หน่อไม้ รสชาติดีเยี่ยม เพราะทำจากหน่อไม้ไผ่ตง ฝานบางๆ หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ผัดจนหอมนุ่มกับกุ้งแห้ง โรยด้วยผักชี ส่วนอีกไส้ที่ผู้เขียนตราตรึง เป็นไส้เผือก เนื้อหอม ที่หั่นเป็นเส้นหยาบๆ มีกุ้งแห้ง ถั่วลิสงต้ม และเห็ดหอม รสชาติหอมพริกไทยขาว

แล้วยิ่งมารู้ว่าเพื่อนของคุณตาที่ทำกุยช่ายอร่อยๆ เสียชีวิตไป ผู้เขียนเสียใจอย่างมาก กลัวว่าสูตรเด็ดแบบนั้นจะถูกลืม เพราะตั้งแต่กุยช่ายกล่องนั้นที่ส่งมา ผู้เขียนก็ไม่เคยได้ลิ้มรสกุยช่ายเผือกที่อร่อยขนาดนั้นอีกเลย

พอได้สูตรแป้งกุยช่ายมาจากคนสนิทอีกท่าน ที่แนะนำให้ว่าแป้งของเขาอร่อยนุ่ม คล้ายกุยช่ายโบราณ เลยนำมาลองทำทานเอง จะได้ผัดไส้เผือกให้ได้อร่อย ตามความทรงจำในวัยเยาว์



สูตรแป้งนี้ ผู้ให้สูตรมาเขาไม่ได้จดจำเป็นการตวง หากแต่ใช้กรรมวิธีที่เรียกว่า Eyeball กะเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้เขียนเลยต้องพยายามปรับเปลี่ยนเป็นถ้วยตวง แถมการเติมน้ำเติมท่าลงไป ก็ใช้การกะเอาตามความชอบ เมื่อผู้เขียนนำมาลองทำเอง ต้องยอมรับว่าครั้งแรกๆ ยังไม่ประสบความสำเร็จ ต้องทำไปหลายครั้งหน่อย จึงพอเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

เคล็ดลับคือการกวนแป้งของผู้เขียน ปกติเขากวนกันในกระทะทองเหลือง แต่ผู้เขียนขอใช้เป็นกระทะเคลือบสารกันติด ที่เราเรียกติดปากว่ากระทะเทฟลอน แบบที่มีขอบสูงหน่อย แป้งจะไม่ค่อยไหม้ติดกระทะ และความหนาของกระทะทำให้ความร้อนสม่ำเสมอไม่แพ้กระทะทองเหลืองเลย

ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนของการปั้น จะมีโอกาสเหนียวติดมือเล็กน้อย ผู้เขียนเลยใช้ถุงพลาสติกใส่แกงนี่แหละ ตัดเป็นแผ่นพลาสติก รองเวลาแผ่แป้ง เมื่อใส่ไส้ลงมาเรียบร้อยแล้ว ก็จับถุงรวบขึ้นมา ทำให้ง่ายขึ้นเยอะ และไม่ต้องใช้แป้งนวลมากเกินไป

สำหรับไส้เผือก ก็ต้องเลือกเผือกลูกหนักๆ กดดูต้องแน่นๆ หน่อย ถ้าตลาดใหญ่ๆ มีเผือกให้เลือกหลายเจ้า ก็คงต้องถามหาความจริงใจของแม่ค้า ว่าเป็นเผือกหอมจริงหรือไม่ เมื่อหั่นให้ได้ชิ้นเล็กๆ แล้วนึ่งให้สุก แล้วจึงนำมาผัดกับเครื่องนานาชนิด

จริงแล้วหากคุณผู้อ่านขี้เกียจจะลงมือทำเอง ลองไปซื้อกุยช่ายจากร้าน Cheesecake House ในซอยแจ่มจันทร์มาลองชิม ถึงแม้แป้งจะไม่เหมือน แต่รสชาติของไส้ใกล้เคียงกับที่ผู้เขียนจินตนาการไว้อย่างมากทีเดียว

แต่หากคุณผู้อ่านลองทำดูแล้ว ได้ความว่ายากหรือง่ายอย่างไร ไม่ถูกใจละก็ ลองส่งความเห็นมาทางหน้าโซเชียลเน็ตเวิร์กของ Cookool Studio ที่ www.facebook.com/cookoolstudio มาได้เลยค่ะ



กุยช่ายผีบอก
ส่วนผสมสำหรับแป้ง
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
แป้งมัน ส่วนที่ 1 1 ถ้วย
แป้งข้าวเหนียว 0.5 ถ้วย
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำร้อน 2.5 ถ้วย
น้ำมันพืช 6 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน ส่วนที่ 2 ประมาณ 1 ถ้วย

ผสมแป้งมันส่วนที่ 1 และแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน เติมเกลือลงไป ค่อยๆ เทน้ำร้อนและน้ำมันพืชลงไปทีละน้อย คนให้เข้ากัน ใส่กระทะเคลือบ เช่น กระทะเทฟลอน กวนไฟอ่อนๆ จนแป้งเริ่มใสและหยุ่นๆ ย้ายลงกะละมัง ใช้พายไม้กวนไปเรื่อยๆ จนเย็นตัวลง

ใช้แป้งมันส่วนที่ 2 ในการนวดแป้งเป็นแผ่น เพราะแป้งจะนุ่มและติดมือ ไม่จำเป็นต้องใช้หมดเพราะจะทำให้แป้งกระด้าง
แบ่งแป้งออกมาเท่ากับลูกปิงปอง แผ่เป็นแผ่น อาจจะใช้ถุงพลาสติกช่วยให้ห่อได้ง่ายขึ้น ตักไส้ลงไปแล้วค่อยๆ รวบขึ้นมา เรียงใส่ถาดที่ทาน้ำมันพืช

นึ่งด้วยน้ำเดือดจัดจนสุก ประมาณ 15 นาที
ตั้งกระทะเคลือบให้ร้อน เติมน้ำมันพืชสำหรับทอดลงไป ทอดทีละด้านจนสุกเหลือง


ส่วนผสมสำหรับไส้เผือก
เผือก ขนาดหัวประมาณ 1 กิโลกรัม ปอกเปลือก ซอยเป็นเส้นๆ หรือขูด 1 หัว
กระเทียม สับละเอียด 1 ช้อนชา
กุ้งแห้ง 3 ช้อนโต๊ะ
เห็ดหอม หั่นเป็นชิ้นบาง 34 ดอก
หมูบด 1 ขีด
ถั่วลิสง ต้มสุก 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
เกลือป่น 0.5 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

ตั้งกระทะสำหรับผัดให้ร้อน เติมน้ำมันพืชลงไป ผัดกระเทียมให้เหลือง เติมกุ้งแห้งและเห็ดหอมลงไปผัดให้หอม เติมหมูบดลงไปผัดให้พอสุก เริ่มเปลี่ยนสี ปรุงรสด้วยซีอิ๊ว น้ำตาลและเกลือ โรยถั่วลิสงลงไปผัดให้เข้ากัน

ตักขึ้น เกลี่ยใส่จานหรือถาด เพื่อให้เย็นตัวลงไวขึ้น ก่อนนำไปห่อ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน ขนมผักกาดกระทะร้อน

คุณผู้อ่านที่เป็นขาประจำ Mcuisine อย่าเพิ่งโวยนะคะ ว่า Mcuisine จะนำเอาขนมผักกาด สูตรเดิมที่เคยเสนอไปตอน “เปิดครัวบ้านหม้อ ตำรับอากิ๋ม” มาขายคุณผู้อ่าน ซ้ำซ้อน ในตอนติ่มซำประจำบ้านของเรา
ผู้เขียนชอบทานขนมผักกาดค่ะ “ความบ้า” เกิดขึ้นตอนไปทานติ่มซำนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นร้านไหน จะเล็กจะใหญ่ ข้างทาง ในตลาด รถเข็น รถถีบ หากพบเจอต้องขอแวะชิมสักชิ้นสองชิ้น เก็บไว้เป็นข้อมูล ตามร้านต่างๆ สูตรนี้เป็นสูตรของผู้เขียนเองค่ะ เกิดจากการทดลองทำซ้ำๆ ปรับสูตรนั้นสูตรนี้ไปเรื่อยๆ อ่านเอาจากอินเทอร์เน็ตบ้าง จากบล็อกและหนังสือของเหล่านักชิม นักทำ ปรับไปปรับมาจนได้แบบฉบับที่ตัวเองชอบ

สูตรของอากิ๋ม ที่ผู้เขียนนำมาเสนอคุณผู้อ่านเมื่อตอนก่อน อร่อยจริงๆ และมีเคล็ดลับพิเศษของอากิ๋มคือ ซอสต่างๆ ที่อากิ๋มเติมลงไปอย่างกลมกล่อม เนื้อนุ่มๆ ฉ่ำๆ ทานตอนนึ่งมาร้อนๆ เปล่าๆ ไม่ต้องมีซอสอะไรให้วุ่นวาย หรือผัดยีกับไข่ ก็อร่อยเหาะ

แต่ถ้าเราจะว่ากันด้วยเรื่องของขนมผักกาดของติ่มซำ จะต้องเป็นแบบสีขาว มีลักษณะเป็นแผ่นๆ มักจะวางมา 3 ชิ้น ไม่ขาดไม่เกินในจาน จี่จนกรอบๆ ด้านนอก หอมแป้งเกรียมๆ หน่อย เครื่องเคราด้านในมักจะมีเห็ดหอม หมูสามชั้น กุนเชียง แถมด้วยถั่วลิสง ทาน 1 ชิ้น ได้หลากหลายรสชาติ ราดด้วยซีอิ๊วดำหวานอย่างดี แค่เล็กน้อย ถือว่าขาดไม่ได้


ขนมผักกาดของแต่ละสูตร โดยมากจะแตกต่างกันที่เนื้อสัมผัส ที่มีผลมาจากสัดส่วนของแป้งและน้ำ ชนิดของแป้งก็มีส่วน หากแป้งข้าวเจ้าเป็นหลัก น้ำพอดี เนื้อขนมผักกาดจะเละและร่วนหน่อย แต่ถ้าเติมแป้งข้าวเหนียว หรือแป้งมัน แม้แต่บางสูตรเป็นแป้งท้าวยายม่อม จะทำให้ขนมผักกาดมีเนื้อหนึบๆ มากขึ้น เหมาะสำหรับการนำไปทอด หรือจี่ในกระทะต่อไป

เมื่อได้สัดส่วนแป้งที่ลงตัวแล้ว มาถึง “น้ำ” ผู้เขียนลองทำแล้ว ใช้แค่น้ำเปล่า รสชาติจืดชืด ไม่มีเยื่อใยของความอร่อยใกล้เคียงร้านดัง ลองมองสูตรของอากิ๋มไปมา (บอกแล้วว่าของอากิ๋มแต่งรสจนอร่อยด้วยเคล็ดลับน้ำมันหอยนิดหน่อย อย่าลืมกลับไปดูสูตรเก่าๆ ของเรา) ถึงบางอ้อ เข้าใจว่าแทนที่จะเป็นน้ำสะอาดธรรมดา ที่จะทำให้ไชเท้าและแป้งสุกต้องเปลี่ยนเป็นน้ำสต๊อก ที่ต้มเคี่ยวมาอย่างดี ถึงจะเข้าทีที่สุด หากเป็นร้านอาหารจีนชั้นยอด อย่างขนมผักกาดของร้านเหม่ยเจียง ที่โรงแรมเพนนินซูล่า ผู้เขียนชอบทาน เพราะเนื้อละมุนหอมกรุ่นในเนื้อใน เขาคงผสมด้วยน้ำสต๊อกที่เชฟต้มไว้เป็นหม้อใหญ่ กัดไปเจอไชเท้าเป็นชิ้นๆ สี่เหลี่ยม อร่อยเต็มๆ คำดี

หากเป็นติ่มซำประจำบ้านของเรา ถ้าไม่ขี้เกียจ อยากเชิญชวนให้คุณผู้อ่านต้มน้ำสต๊อกจากซี่โครงหมู แช่ช่องแข็งไว้ นำมาใช้ได้หลายเมนู แต่หากเป็นแม่บ้านยุคนี้ ต้องพึ่งพา “ซุปก้อน” หรือ “ซุปผง” ยี่ห้อต่างๆ ที่คุณๆ เป็นแฟนกันอยู่ ผู้เขียนเองยอมรับเลยว่าหลายสูตรที่เราคุ้นรสชาติ ต้องพึ่งพาซุปสำเร็จรูปอยู่เหมือนกัน


อีกเคล็ดลับหนึ่ง ที่แอบขโมยมาจากบล็อกเกอร์ชาวมาเลย์ คือ ส่วนผสมไม่ว่าจะเป็นกุนเชียง กุ้งแห้ง หมูสามชั้น ถั่วและเห็ดหอม ที่ทำให้รสชาติของขนมผักกาดอร่อยขึ้น ควรจะนำลงไปผัดให้หอมเสียก่อนด้วยน้ำมันพืชเล็กน้อย สำหรับผู้เขียนขอเพิ่มเคล็ดลับนิดนึงให้ว่า ส่วนผสมที่มีน้ำมันเยอะ ควรลงกระทะก่อน เช่น หมูสามชั้น กุนเชียง เพื่อให้น้ำมันได้ออกมาฉี่ฉ่าในกระทะจนหอมฟุ้ง ตามด้วยเห็ดหอม กุ้งแห้ง และจบด้วยของที่สุกแล้วอย่างถั่วลิสง ปรุงรสให้ลงตัว แค่เกลือ น้ำตาลและซีอิ๊วแค่พอหอม เพราะเราต้องการขนมผักกาดสีขาวสไตล์ติ่มซำ อย่าลืมรอให้ส่วนผสมที่ผัดไว้เย็นตัวเสียก่อน จึงค่อยผสมกับแป้งและไชเท้า แค่เกลี่ยๆ ใส่ถาดไว้ แป๊บเดียวก็เย็น

สุดท้าย อย่าลืมเลือกหัวผักกาด หรือหัวไชเท้า ที่ลูกกำลังทาน ไชเท้าจะมีกลิ่นและรสขมอยู่บ้าง แนะนำให้หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วหมักเกลือป่นไว้สักแป๊บ เกลือจะทำให้หัวผักกาดคายน้ำขมๆ ออกมาเสียก่อน รสชาติของขนมผักกาดจะดีขึ้น อ้ออย่าลืมล้างด้วยน้ำสะอาดสัก 2-3 น้ำก่อน แล้วบีบน้ำออกให้หมาด อย่างสูตรของผู้เขียนนี้นิยมไชเท้าขนาดแท่งประมาณนิ้วก้อยสาวๆ เวลาทานขนมผักกาดจะได้รสชาติไชเท้าเต็มๆ คำ อร่อยไปอีกแบบ

นึ่งขนมผักกาดจนสุกแล้ว รอให้เย็นสนิท แล้วแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ค่อยนำมาตัดเป็นชิ้นๆ ถึงจะออกมาสวยน่าทาน ลงจี่บนกระทะเคลือบร้อนๆ ใส่น้ำมันไม่ต้องมากมายนัก จะได้เกรียมๆ กรอบๆ และหอมๆ แค่เขียนก็น้ำลายไหลแล้วคะ


ขนมผักกาด
ไชเท้า 600 กรัม (ประมาณ 3 หัวขนาดย่อมๆ)
เกลือ ส่วนที่ 1 1.5 ช้อนชา
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย กับอีก 1 ใน 3 ถ้วย
แป้งข้าวเหนียว 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำซุป 1 ถ้วย กับอีก 3 ช้อนโต๊ะ
(หรือจะใช้น้ำสะอาดผสมซุปก้อนก็ได้)
น้ำมันพืช ส่วนที่ 1 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ ส่วนที่ 2 0.5 ช้อนชา
กุ้งแห้ง 5 ช้อนโต๊ะ
กุนเชียง หั่นเป็นแท่งไม้ขีด 4 ช้อนโต๊ะ
หมูสามชั้น หั่นเป็นชิ้นเล็ก 4 ช้อนโต๊ะ
ถั่วลิสงแห้งแช่น้ำ ต้มสุก 4 ช้อนโต๊ะ
เห็ดหอมแห้ง แช่น้ำ หั่นบาง 3 ดอก
น้ำมันพืช ส่วนที่ 2 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทาถาด


ปอกเปลือกและหั่นไชเท้าให้เป็นชิ้นขนาดประมาณนิ้วชี้เด็ก โรยเกลือส่วนที่ 1 ขยำแล้วพักไว้
ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันพืชส่วนที่ 2 ลงไป ผัดหมูสามชั้น กุนเชียงให้พอสุก ใส่กุ้งแห้งและเห็ดหอมลงไปผัดต่อ ปรุงรสด้วยน้ำตาลและซีอิ๊ว โรยถั่วลงไปผัดแป๊บเดียว ตักขึ้นเกลี่ยลงในถาด
ล้างเกลือออกจากไชเท้า ล้างน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง บีบน้ำออกให้หมาดๆ

ผสมแป้งทั้งสามชนิดเข้าด้วยกัน ใส่เกลือส่วนที่ 2 ลงไป น้ำมันพืชส่วนที่ 1 ลงไป คนให้เข้ากัน เติมไชเท้าและส่วนผสมที่ผัดไว้แล้วลงไป คนพอเข้ากัน

ทาน้ำมันพืชลงในถาดที่เตรียมไว้ ผู้เขียนใช้ถาดขนาด 10x8 นิ้ว ขอบ 1 นิ้ว จำนวน 2 ถาด ตักส่วนผสมลงไป เกลี่ยให้ทั่ว นึ่งประมาณ 30-45 นาที หรือจนสุก ทดสอบด้วยการใช้มีดจิ้มลงไป หากสุกแล้วมีดจะผ่านลงไปได้ง่าย ซึ่งหมายถึงไชเท้าที่สุกนุ่มแล้ว พักไว้ให้เย็น อย่าปิดหรือคลุม
แช่เย็นไว้ ให้เย็นสนิท ก่อนนำมาตัดเป็นชิ้นๆ จี่ในน้ำมันร้อนๆ แนะนำให้ใช้กระทะเคลือบ ที่ไฟกลาง
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์ / ภาพ Cookool Studio

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน ขนมปังหน้ากุ้งคลุกงา

จบกระบวนติ่มซำเเบบนึ่งไป 5 สูตร ลองมาปรับเปลี่ยน “โหมด” การปรุงติ่มซำด้วยวิธีการทอดกันบ้างดีกว่าคะ จริงๆ เเล้วติ่มซำชาวจีนกวางตุ้งนิยมทานตั้งเเต่เช้าๆ ไปจนถึงเที่ยงๆ ทานคู่กับน้ำชา กลิ่นรสต่างๆ ล้างลำคอ ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ หม่ำตั้งเเต่เช้า กาเฟอีนคงจะถูกระบายออกไประหว่างวัน ก่อนจะถึงเวลานอน

ผู้เขียนเองมีติ่มซำเเบบทอดหลายจานที่ชอบ ทั้งเผือกทอด ฟองเต้าหู้ อีกหลากหลาย เเต่ติ่มซำประจำบ้านอย่างเราจะให้ทำเผือกทอด ที่ขั้นตอนมากมาย รวมทั้งทำยากเเสนยาก ต้องมีเทคนิคมากมาย เพื่อให้ได้เผือกที่ฟูฟองเป็นยองใย ผู้เขียนเคยลองทำหลายครั้ง ประสบความสำเร็จบ้างเเละล้มเหลวบ้างจนท้อเเท้ เนื่องจากต้องทอดด้วยกระทะใหญ่ เเละน้ำมันปริมาณมาก ต้องร้อนกำลังดี จึงยุ่งยากไปสำหรับเมนูประจำบ้าน

พอดีไปทานติ่มซำที่ร้านเกรทเซี่ยงไฮ้ ปากซอยสุขุมวิท 24 เขามีเมนูเด็ดๆ หลายจาน หากโต๊ะไหนมีลูกเด็กเล็กเเดงเยอะ มักจะเห็น “ขนมปังหน้ากุ้ง” ที่มีงาขาวโปะอยู่ สีเหลืองทองดูน่าทานมาก ลองสั่งมาเพื่อเอาใจสมาชิกในโต๊ะ ผลปรากฏว่าจานเดียวไม่พอ เพราะความกรอบเเละหอมงาของติ่มซำเเบบทอดจานนี้ ที่ทำให้ต้อง “ซ้ำ” กันเลยทีเดียว

ผู้เขียนชิมดูกระหยิ่มในใจ เพราะเชื่อมั่นว่า “สูตรกุ้งพื้นฐาน” ปรุงสำเร็จของเรา ที่ปรุงเป็นติ่มซำเเบบนึ่งมาหลายเมนู สามารถนำมาพลิกเเพลงเป็นเมนูนี้ได้ไม่ยากเลย เเค่อาศัยขนมปังเเผ่นขาวตัดขอบ ยี่ห้อที่คุณผู้อ่านชอบ เเละงาขาวเเค่นั้น


หากเพิ่งมาเปิดตำรับติ่มซำประจำบ้านของเรา ในอาทิตย์นี้คุณผู้อ่านอาจไม่ทราบว่ากุ้งพื้นฐานของเราใช้กุ้งเเช่เเข็ง คุณภาพดี ที่มีขายตามตู้เเช่เเข็งในซูเปอร์มาร์เก็ตมาปรุงผสมส่วนผสมต่างๆ จนกลายเป็น กุ้งสารพัดประโยชน์ทำได้หลากหลายเมนู

เคล็ดลับอย่างที่หนึ่งที่ผู้เขียนค้นพบจะทำให้อร่อย ขนมปังกรอบได้ที่ ต้องผึ่งขนมปังไว้ให้เเห้งๆ เเข็งๆ สักหน่อย เวลาป้ายส่วนผสมกุ้งพื้นฐานของเรา ขนมปังจะได้ไม่บี้เเบนจากความนุ่ม คงความหนาไว้ เวลาทอดก็จะได้ขนมปังที่กรอบนอกนุ่มใน ดูน่าทาน

ขนมปังหน้ากุ้งทอด สามารถทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ ตามชอบได้ เพียงเเค่ตัดขนมปังให้เป็นรูปร่างต่างๆ หลังจากป้ายส่วนผสมกุ้งลงไปเเล้ว เพราะหากตัดขนมปังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนการป้ายส่วนผสม ยิ่งขนมปังชิ้นเล็ก จะยิ่งยากเย็นเข้าไปใหญ่

ที่สำคัญ เมนูนี้สามารถป้ายกุ้งบนเเผ่นขนมปัง เเล้วเเช่เเข็งไว้จนกว่าจะใช้ เวลาจะรับประทานเเค่นำออกมาทอดในน้ำมันร้อนๆ ไม่ต้องละลาย สามารถทำไว้ได้ทีละเยอะ
จะให้ขนมปังหน้ากุ้งคลุกงาอร่อยถูกใจ ต้องทานคู่กับ น้ำจิ้มบ๊วย อร่อยๆ ผู้เขียนเป็นเเฟนน้ำจิ้มบ๊วยลองชิมมาหลายต่อหลายร้าน ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง บางร้านเปิดจากขวดน้ำจิ้มบ๊วยกอ หรือบ๊วยเจี่ย เจอยี่ห้อไม่อร่อย ก็จะไม่หอม


ร้านที่ผู้เขียนชอบ เป็นน้ำจิ้มบ๊วยหวานๆ สีเข้มสวย คล้ายน้ำตาลคาราเมล น้ำจิ้มเกี๊ยวกรอบของร้านราดหน้าจ๊ากกี่ เเถวๆ ซอยรางน้ำ ชอบที่สุด เพราะรสเข้มข้นถูกใจ เลยลองใช้ประสาทสัมผัสส่วนตัว พยายามลอกเลียนเเบบ ทดลองเเล้ว ทดลองเล่า จนได้สูตรมาให้คุณผู้อ่านในฉบับนี้

เคล็ดลับในการทำน้ำจิ้มบ๊วยให้อร่อย ต้องมีเเบะเเซช่วย จะได้ไม่หวานมากนัก ผสมในสัดส่วนนิดหน่อย เเต่หากไม่มีเเบะเเซ ไม่ต้องกังวล ใช้น้ำตาลทรายอย่างเดียวได้เลย ตั้งไฟใส่น้ำนิดหน่อย ห้ามคนหรือขยับหม้อเด็ดขาด รอจนกลายเป็นคาราเมล สีน้ำตาลริ้วๆ ริมขอบหม้อ เเล้วเขย่าหม้อเบาๆ ให้สีน้ำตาลกระจายทั่วถึงกันทั้งหม้อ ก่อนจะเติมน้ำส้มสายชูหมัก ขอย้ำว่าหมักเท่านั้นถึงจะได้รสกลมกล่อม เพราะน้ำส้มสายชูหมักจะมีกลิ่นเปรี้ยวบางเบา รสไม่เเหลมมาก หอมกว่า

สุดท้าย ก็หาบ๊วยดองในน้ำเกลือคุณภาพเยี่ยมๆ หากไปร้านเเถวเยาวราชซื้อมาตุนไว้ได้เลย นอกจากจะทำน้ำจิ้มบ๊วยได้เเล้ว ทำได้ทั้งเป็ดต้มบ๊วย น้ำบ๊วยเย็นๆ หรือเเม้เเต่เจลลีเป็นของหวานก็ย่อมได้

น้ำจิ้มบ๊วยสูตรนี้ลูกสาวคนโตของผู้เขียนบอกว่าอยากเก็บไว้เป็นความลับ เพราะรสถูกใจ หากวันใดเธอโตเเล้ว อยากเปิดโรงงานผลิตตามสูตรของเเม่ ขายเป็นขวดๆ เสียเลย เเต่ก็ได้ขออนุญาตลูกมาลงในฉบับนี้เเค่ฉบับเดียวจริงๆ คะ


ขนมปังหน้ากุ้ง
ขนมปังขาว 8 เเผ่น
กุ้งเเช่เเข็ง 30 ตัว
เเป้งมัน 2 ช้อนชาพูน
เกลือ 0.25 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
พริกไทยขาวป่นละเอียด 0.50 ช้อนชา
ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ
งาขาว 0.5 ถ้วย
น้ำจิ้มบ๊วย
บ๊วยจีน 2 เม็ด
น้ำตาลทราย 150 กรัม
กลูโคสหรือเเบะเเซ 40 กรัม
น้ำส้มสายชูหมัก 0.25 ถ้วย
น้ำสะอาดส่วนที่ 1 23 ช้อนโต๊ะ

สำหรับน้ำจิ้ม เริ่มทำน้ำจิ้มบ๊วยก่อน เทน้ำตาลทรายลงในหม้อ พร้อมกับน้ำสะอาดส่วนเเรกเเละเเบะเเซ คนพอเข้ากัน

ตั้งไฟอ่อนๆ ห้ามคนหรือขยับหม้อเด็ดขาด ประมาณ 8 นาที จะเริ่มเปลี่ยนสีน้ำตาลคาราเมลรอบๆ เขย่าหม้อเบาๆ ให้สีทั่วถึง เติมน้ำส้มสายชู น้ำสะอาดเเละบ๊วยยีเข้าด้วยกัน พักไว้ให้เย็นสนิท

สำหรับขนมปังหน้ากุ้ง พอกุ้งเริ่มละลาย ซับน้ำให้เเห้งสนิท ขณะที่กุ้งกำลังเย็นๆ เเบ่งกุ้งเป็นสองส่วน สับกุ้งส่วนเเรกให้ละเอียด คลุกเคล้ากับส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นงาขาว ให้เข้ากันอย่างเบามือ เเละหั่นกุ้งส่วนที่สองให้เป็นเนื้อหยาบๆ เคล้ากับส่วนเเรก

เรียงขนมปังบนถาดหรือเขียงเเบนๆ พอให้มีพื้นที่ ใช้พายหรือช้อนป้ายส่วนผสมกุ้งลงบนขนมปังให้มีความหนาไม่เกิน 0.5 ซม.

เทงาลงในจานเเบนๆ กดเเผ่นขนมปังด้านกุ้งลงไปให้งาเเนบสนิทกับส่วนเนื้อกุ้ง
เรียงขนมปังไว้ในถาด นำเข้าเเช่เย็นประมาณ 12 ชั่วโมง
ตั้งหม้อหรือกระทะให้ร้อน เติมน้ำมันพืชสำหรับทอดลงไป ทอดที่ไฟกลางๆ ทอดน้ำมันท่วมๆ ให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน โดยนำด้านกุ้งลงทอดก่อน เเล้วกลับด้านขนมปังทอดต่อไป สะเด็ดน้ำมันขึ้นมาเรียงบนตะเเกรง เพื่อให้ระบายความร้อน ไม่ให้ชิ้นขนมปังอมน้ำมัน
เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมน้ำจิ้มบ๊วย สับปะรดสดเเละผักดอง

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์ / ภาพ cookool studio

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน ปูอัดนึ่งหมูสับ

ผู้เขียนพยายามสรรหารูปเเบบติ่มซำที่น่ารัก น่ากิน ที่สำคัญต้องไม่ยากจนเกินไปนัก เพื่อนำมารวบรวมเป็นสูตร “ติ่มซำประจำบ้าน” ฉบับนี้ก็เป็นสูตรที่ 5 เเล้ว หากคุณผู้อ่านพบปัญหาในการทำสูตรที่ผ่านมา ทิ้งคำถามไว้ได้ใน www.facebook.com/cookoolstudio ซึ่งเป็นช่องทางในการสื่อสารระหว่างคุณผู้อ่านเเละผู้เขียนได้ง่ายดาย ตามยุคโซเชียลเน็ตเวิร์กในปัจจุบันคะ


ฉบับนี้ยังคงเป็นติ่มซำ ติ่มซำ ชื่อในภาษาจีน ไปค้นดูเเล้วหลายๆ เล่มบอกว่า หมายถึง Touch the Heart ซึ่งน่าจะเเปลได้ว่า กินเเล้วติดอกติดใจ จดจำไว้ได้ในใจ ไม่เพียงเเต่รสชาติต้องอร่อย รูปร่างหน้าตาต้องน่ารัก น่าทาน ขนาดพอดีคำเเทบทุกอย่าง เหมาะสำหรับกินเเกล้มกับชาจีนอย่างดี

อย่างในฉบับนี้ เป็น “ปูอัดนึ่งหมูสับ” เห็นปูอัดวางหราอยู่ สีเเดงสวยของปูอัดตัดกับสาหร่ายสีเขียวเข้ม น่ากินมากขึ้น ยิ่งได้โรยไข่กุ้งสีส้มด้านบน ทำให้หมูปั้นก้อนนึ่งธรรมดา ดูน่ากินครบเครื่องมากขึ้นอีกเยอะเลย ยิ่งเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่ชอบปูอัดจะยิ่งติดใจ เพราะในหนึ่งคำ ได้เนื้อสัมผัส ที่เป็นเส้นๆ ของปูอัดที่เบานุ่มขึ้นเมื่อโดนไอน้ำ โดยหมูสับปั้นเป็นก้อนนั้น เรายังคงใช้สูตรหมูสับพื้นฐานที่เสนอไปในฉบับที่เเล้ว ตาม “คอนเซปต์” ที่วางไว้ของเราว่าจะต้องทำได้ง่ายเเละประยุกต์ได้หลากหลาย

สูตรหมูพื้นฐานมีรสชาติกลมกล่อมอยู่เเล้ว มีความนุ่มจากมันหมู ใช้ไข่ไก่เเละเเป้งมันผสานเนื้อหมูเข้าด้วยกันให้ชุ่มฉ่ำอยู่ ส่วนผสมที่ใช้ในการประยุกต์ของเราในฉบับนี้ มีเพียงเเค่หัวหอมใหญ่สับละเอียดใช้เพิ่มกลิ่นหอมๆ เเละเนื้อกรุบๆ ของเเห้วสับ ที่ผู้เขียนเเอบโกงใช้เเห้วกระป๋องในน้ำเชื่อม สะดวกดี หรือหากเเถวบ้านท่านใด มีรถเข็นขายเเห้วต้ม ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ขอซื้อมาสักถุง สับส่วนหนึ่งให้ละเอียด เเล้วที่เหลือหม่ำเล่นๆ ให้หนำใจ หรือจะไม่ใส่ก็ได้ เพราะมีผลทางเนื้อสัมผัสมากกว่ารสชาติ

นึ่งจนสุกเเล้ว ทานเปล่าๆ ก็เข้าท่า จิ้มกับซอสเปรี้ยว หรือจิกโฉ่ว สักหน่อย ก็ “เอาอยู่” หากต้องการหน้าตาที่คล้ายกับติ่มซำตามร้าน เห็นทีจะต้องอาศัยถ้วยสเตนเลสขนาดพอดีวางได้ 2 ชิ้น ราดน้ำเเดง เเล้วอุ่นให้ร้อน โดยการนึ่งก่อนเสิร์ฟจะได้ “Look” ที่เหมือนติ่มซำเข่งได้เป็นอย่างดี

ทำไปทำมาได้สูตรติ่มซำที่ไม่ยากเย็นมาถึง 5 สัปดาห์ 5 สูตร 5 รูปเเบบเเล้ว ติ่มซำทำเองที่บ้าน นอกจากจะรสชาติถูกใจสมาชิกในบ้าน รับรองว่าความภูมิใจ จน “ติ่มซำ” อาจมีความหมายซ้อน ว่า “ประทับใจมิรู้ลืม” ก็เป็นได้

ปูอัดนึ่งหมูสับ
สำหรับหมูพื้นฐาน
เนื้อหมูสามชั้น เลาะเอาหนังออก บดละเอียด 0.5 กิโลกรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เเป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเย็นละลายกับผงปรุงรสไก่หรือหมู 0.5 ช้อนชา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
เกลือ 1 ใน 4 ช้อนชา
คลุกเคล้า หรือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน พยายามให้ส่วนผสมเย็นไว้เสมอ ได้เป็นส่วนผสมหมูพื้นฐาน รอไว้
ประยุกต์สำหรับปูอัดนึ่ง
ปูอัดอย่างดี 2430 เเท่ง
สาหร่ายเเผ่นเเบบซูชิ 2 เเผ่น
ไข่กุ้ง 34 ช้อนโต๊ะ
เเห้วกระป๋องสับละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่สับละเอียด 2 ช้อนชา
ผสมเเห้วสับละเอียดเเละหัวหอมใหญ่ให้เข้ากันกับสูตรหมูพื้นฐาน นวดเเละเก็บไว้ในที่เย็นจนกว่าจะใช้
ปั้นเป็นก้อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว เเล้วคลึงให้เป็นวงรี
ตัดสาหร่ายเป็นเเผ่น ขนาดประมาณ 1 ซม. ยาวประมาณ 78 ซม. เพื่อให้พันได้รอบชิ้นหมูที่จะปั้น
วางปูอัดลงบนเนื้อหมูปั้นก้อน ใช้สาหร่ายพันรอบวางทับปลายสาหร่าย เพื่อให้พันได้เเน่น ไม่หลุดเวลานำไปนึ่ง
นึ่งบนน้ำเดือดไฟเเรง ประมาณ 8 นาที พร้อมเสิร์ฟกับน้ำเเดงสำหรับราด

ส่วนผสมสำหรับน้ำเเดง
ขิงเเก่หั่นเเว่น 2 เเว่น
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
เหล้าจีน 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
ผงปรุงรสไก่เเบบไม่มีผงชูรส 0.5 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
เเป้งข้าวโพดละลายน้ำ 1:1 1 ช้อนโต๊ะ

ตั้งหม้อขนาดเล็กให้ร้อน เติมน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย เจียวขิงให้หอม เติมน้ำมันหอยลงไป ฉ่าด้วยเหล้าจีน ระวังน้ำมันกระเด็น

เติมน้ำสะอาดลงไป พร้อมกับเครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นเเป้ง รอให้เดือด ชิมรส ปรับตามชอบ
หรี่ไฟลง เติมเเป้งข้าวโพดลงไป คนให้เข้ากัน เร่งไฟให้เดือด ส่วนผสมจะข้นขึ้นเป็นน้ำเเดง ใช้สำหรับราดปูอัดนึ่งหมูสับ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน หมูสับนึ่งเห็ดหอม

หากเปิดตำราอาหารจีนเเบบดั้งเดิมจะพบว่า ติ่มซำมีรูปเเบบอยู่ไม่มาก มีเเค่ขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา ของทอด หลักๆ อยู่ไม่เกิน 20 เเบบ เเต่หากเป็นอาหารจีนเเนวใหม่ หรือตำราอาหารจีนที่มีต้นตอมาจากไต้หวัน อย่างผู้เขียนมีอยู่เล่มหนึ่ง มีติ่มซำประเภทนึ่ง นับดูเเล้วเป็นร้อยๆ สูตร เกือบ 200 หน้า โดยส่วนผสมของไส้เเละเเป้งมีอยู่ไม่กี่เเบบ เเต่เมื่อนำมาบวกลบคูณหารกันเเล้ว สลับไส้ สลับเเป้งไปมา จนได้หน้าตาใหม่ๆ

อย่างตอนนี้บ้านเราก็มีติ่มซำของนึ่งที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ พ่อครัวประจำร้าน ที่คิดค้นออกมาเพิ่มเติมให้ ติ่มซำของร้านมีตัวเลือกมากขึ้น โดยที่ไม่ได้กินเเรง ทำให้เกิดงานครัวที่มากขึ้นไปด้วย ซึ่งผู้เขียนเองก็นำเอาเเนวคิดนี้มาเปิดตำรับ “ติ่มซำประจำบ้าน” ใน MCuisine ของเรา โดยการพัฒนาสูตร “กุ้งพื้นฐาน” ถือเป็นเเม่บทนำมาผสมผสานได้อีกหลายเมนู


หลายฉบับที่ผ่านมา เราใช้กุ้งเสียเยอะ ฉบับนี้เลยขอเปลี่ยนเป็น “หมู” สร้างขึ้นมาเป็นสูตรหมูพื้นฐาน ปรับประยุกต์ได้อีกหลายเมนูเช่นกัน

ผู้เขียนเองชอบทานติ่มซำไส้หมูเป็นทุนเดิม ทานมาหลายเจ้า พอมาทดลองทำเอง ทดลองจากการลองผิดลองถูก เริ่มจากหมูสับเนื้อๆ เเบบที่ใช้ประจำที่บ้าน ทำออกมาเป็นขนมจีบเกือบจะทานไม่ได้เลย เพราะทั้งเเห้งเเละเเข็ง ค่อยๆ เติมมันหมูเเข็งลงไปทีละน้อยๆ ก็ยังใช้ไม่ได้ จนเมื่อชิมรสที่ออกมา เเล้วเริ่มรู้สึกว่าอร่อย เกือบทำใจไม่ได้ เพราะต้องใช้ไขมันหมูลงไปผสมเยอะพอสมควร จึงจะอร่อยเท่ากับขนมจีบที่วางขายตามร้านเจ้าอร่อย เลยต้องขอทำใจสักนิด ยอมใส่มันหมูเเข็งบดละเอียดลงไป

หรือหากคุณผู้อ่านมีร้านประจำ อย่างซูเปอร์มาร์เก็ตของวิลล่ามาร์เก็ตบางสาขา หรือเขียงหมูในตลาดเจ้าประจำ สามารถเลือกหมูสามชั้นเเบบเนื้อเยอะหน่อย มาขอให้เขาเลาะหนังออก เเล้วบดเป็นหมูบดก็ “เวิร์ก!” เช่นกัน ลองมาเเล้ว

นอกจากส่วนผสมมันหมูที่จะช่วยสร้างความ “Juicy” ทำให้เนื้อหมูพื้นฐานของเราเเล้ว ยังต้องอาศัยเเป้งมันช่วยอุ้มน้ำ เเละยังมีไข่ไก่ทั้งฟองที่ช่วยสร้างความฉ่ำ เเละถือเป็น Binding Agent โดยโปรตีนในไข่ขาวจะช่วยทำให้ส่วนผสมทุกอย่างเกาะเกี่ยวกันเป็นกลุ่มก้อนได้ เป็นอย่างดี

ที่นี้ก็มาถึงส่วนผสมที่ช่วยสร้างรสชาติ หลายๆ สูตรอาศัย กลิ่นหอมๆ ของหอมใหญ่ สับละเอียดยิบๆ กระเทียม ต้นหอม ทั้งส่วนสีเขียว เเละส่วนสีขาว ซอยละเอียด บางสูตรชอบเห็ดหอมเเห้งเเช่น้ำ สับละเอียด เเม้เเต่ขิงขูดละเอียด หน่อไม้ต้มสุก กะหล่ำปลี มันเเก้ว ยังนิยมเติมลงไปได้ทั้งนั้น เเต่เมื่อเราต้องการให้สูตรพื้นฐานของเรามีความเป็นธรรมชาติ เพื่อนำไปทำสูตรอื่นๆ ได้ต่อไป เราจึงเลือกจำกัดอยู่เเค่ส่วนผสมเพียงไม่กี่ชนิด เพื่อนำไปปรุงเพิ่มเติมสำหรับติ่มซำรูปเเบบอื่นๆ ต่อไป

สำหรับรสชาติ ส่วนผสมยอดฮิต ที่ผู้เขียนไปรวบรวมมาต้องมีเกลือ น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซอสถั่วเหลือง น้ำมันหอย รวมทั้งผงปรุงรสที่ช่วยสร้างรสชาติให้อร่อยขึ้นเช่นกัน คุณผู้อ่านสามารถนำเอาความชอบส่วนตัวเติมลงไปได้


อีกเคล็ดลับคือ จะอร่อยหรือไม่อร่อยนั้น ต้องใช้การนวดส่วนผสมให้เข้ากันด้วย โดยผู้เขียนอาศัยเครื่อง Kitchen Aid นวดด้วยหัวตีรูปใบไม้ เเต่ถ้าคุณผู้อ่านไม่มีเครื่องก็ไม่เป็นไร ใช้กำลังกล้ามเเละมือทั้งสองก็ “เอาอยู่” เเน่นอนคะ

สำหรับสูตรหมูพื้นฐานของเราในฉบับนี้ นำมาโปะกับเห็ดหอม เเปะด้วยไข่เเดงเค็ม นึ่งจนสุก เเล้วราดด้วยน้ำข้นปู เพื่อเพิ่มความอร่อย ก่อนทดลองได้สูตรนี้มา ผู้เขียนใช้เห็ดหอมดอกเล็กเเช่น้ำจนนุ่ม เเล้วโปะหมูเลย นึ่งออกมายังรสชาติไม่โดนใจ จึงนำเห็ดหอมที่เเช่น้ำเเล้ว บีบน้ำออกให้หมด เเล้วนำไปทอดจนพอเหลืองๆ ไปเคี่ยวเพิ่มอีกประมาณครึ่งชั่วโมงในน้ำซุปที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอยนิด ซีอิ๊วหน่อย เเละขิงอีกสักเเว่น ทำให้รสชาติซึมเข้าเนื้อเห็ดหอม รสชาติดีขึ้นเยอะเลย เป็นหนึ่งในเคล็ดลับที่เเอบหยิบยกมาจากก้นครัวของคุณเเม่ หุ้นส่วนสาวประจำ Cookool Studio ที่มอบไว้ให้

รายละเอียดเริ่มเยอะเเยะ มาดูสูตรกันเลยดีกว่าคะ ส่วนฉบับหน้าจะนำสูตรหมูพื้นฐานมาทำอะไรอีก มาติดตามกันต่อนะคะ
หมูสับนึ่งเห็ดหอม
สำหรับหมูพื้นฐาน
เนื้อหมูสามชั้นเลาะเอาหนังออกบดละเอียด 0.5 กิโลกรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
เเป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเย็นละลายกับผงปรุงรสไก่ หรือหมู 0.5 ช้อนชา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
เกลือ 1 ใน 4 ช้อนชา
คลุกเคล้า หรือนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน พยายามให้ส่วนผสมเย็นไว้เสมอ ได้เป็นส่วนผสมหมูพื้นฐานรอไว้
ส่วนผสมสำหรับประยุกต์
ต้นหอมสับละเอียด 1 ช้อนชา
ขิงเเก่ขูดละเอียดบีบเอาน้ำออก 1 ใน 4 ช้อนชา
เห็ดหอมดอกกลางเเช่น้ำให้นุ่ม 30 ดอก
ไข่เเดงเค็ม ผ่าสี่ส่วน 30 ชิ้น
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงเเก่ 12 เเว่น
น้ำมันพืช 56 ช้อนชา


บีบน้ำออกจากเห็ดหอมให้เเห้งเก็บน้ำไว้
ตั้งหม้อให้ร้อนเติมน้ำมันพืชลงไป ทอดเห็ดหอมทีละ 34 ดอก ให้เหลืองตักขึ้นพักไว้ทำจนหมด
เติมขิงลงไปในน้ำมัน ผัดให้หอม เติมน้ำมันหอย เเละซีอิ๊ว เเล้วตามด้วยน้ำเเช่เห็ดหอม รอให้เดือดเติมเห็ดกลับลงไปเคี่ยวที่ไฟอ่อนๆ ประมาณ 30 นาที หรือจนเห็ดนุ่ม ตักขึ้นพักให้เย็นสนิท น้ำต้มเห็ด สามารถนำมาปรุงอาหารจานอื่นๆ ได้อีก หรือทำเป็นน้ำราดก็ได้ เเต่จะได้น้ำราดสีเข้ม
เคล้าส่วนผสมหมูพื้นฐานกับขิงเเละต้นหอม
ปั้นเป็นก้อนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว เรียงใส่ถาดรอไว้
วางเนื้อหมูลงบนส่วนฐานเห็ดหอม เเปะไข่เเดงเค็มลงไป เรียงใส่ถาดนึ่งไอน้ำเดือดประมาณ 5 นาที หรือจนสุก
ส่วนผสมสำหรับน้ำข้นปู
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
เหล้าจีน 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
ผงปรุงรสไก่เเบบไม่มีผงชูรส 0.5 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ใน 4 ช้อนชา
เนื้อปูต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ
เเป้งข้าวโพดละลายน้ำ 1:1 2 ช้อนโต๊ะ
ตั้งหม้อขนาดเล็กให้ร้อน เติมน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย
ฉ่าด้วยเหล้าจีน โดยต้องระวังน้ำมันกระเด็น เติมซีอิ๊วขาวลงไปผัดให้หอม
เติมน้ำสะอาดลงไปพร้อมกับเครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นเเป้ง รอให้เดือด ชิมรสปรับตามชอบ
หรี่ไฟลง เติมเเป้งข้าวโพดลงไปคนให้เข้ากัน เร่งไฟให้เดือด ส่วนผสมจะข้นขึ้น เติมเนื้อปูลงไป ยีให้เเหลกไว้สำหรับตักราดเห็ดหอมนึ่ง

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์/ภาพ Cookool Studio

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน กุ้งนึ่งปาท่องโก๋เจี๋ยนไข่เค็ม

หยุดยาวช่วงสงกรานต์เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ได้ทดลองทำติ่มซำสูตรประจำบ้านกันบ้างหรือยัง จั่วหัวว่าติ่มซำ คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจกลัวว่าจะยากเย็น สูตรนี้ผู้เขียนทดลองเเล้ว สามารถทำทานได้จริง ไม่ทิ้งรอยตีนกาให้ปวดขมองว่าสูตรอะไรหนา เกินความสามารถ

ติ่มซำประจำบ้านของเรา เริ่มด้วยสูตรกุ้งพื้นฐานง่ายๆ ที่ใช้ข้อดีของกุ้งเเช่เเข็ง ที่ช่วยให้ติ่มซำตระกูลกุ้งของเรา ง่ายขึ้นอีกโข เพราะกุ้งเเช่เเข็งผ่านกระบวนการถนอมเนื้อสัมผัสด้วยสารประกอบฟอสเฟต ที่ใช้สำหรับอาหารเเช่เเข็งโดยเฉพาะ ทำให้ได้เนื้อกุ้งที่เด้ง ฉ่ำ ไม่เเห้ง เมื่อผ่านความร้อนในการปรุง ชนิดที่มือใหม่ มือวางอันดับหนึ่ง เลิกกังวลได้

เเถมกุ้งเเช่เเข็งจากเจ้าที่ไว้ใจได้ เขาจะต้องเริ่มจากกุ้งสดๆ คุณภาพดีๆ เนื้อกุ้งจึงได้คุณภาพตามต้องการ ผ่านกระบวนการทำความสะอาดมาเเล้ว ทำให้กุ้งเเช่เเข็งไม่มีกลิ่นคาว ต่างจากการทำกุ้งสดๆ ที่ต้องระมัดระวังในขั้นตอนการปรุง หากเป็นมือใหม่งานครัว ติ่มซำกุ้ง อาจจะมีโอกาสเกิดกลิ่นคาวได้ง่าย รับทราบเเบบนี้เเล้วจึงขอเทใจให้กุ้งเเช่เเข็งทันที เเบบไม่ได้ค่าโฆษณา เเต่หากเป็นผัดผัก หรือกุ้งอบเกลือ เมนูที่ต้องอาศัยเนื้อสัมผัสเชิงธรรมชาติของกุ้ง ผู้เขียนก็ยังคงมอบหัวใจทั้งสี่ห้องให้กุ้งสดอยู่ดี


กลับมาที่สูตรกุ้งพื้นฐานกันต่อ หากคุณผู้อ่านเพิ่งเริ่มอ่าน M-cuisine ที่ฉบับนี้เป็นฉบับเเรก ผู้เขียนขอเกริ่นสักนิดว่า กุ้งพื้นฐานของเรา นำมาประยุกต์เป็นติ่มซำได้หลากหลายรูปเเบบ เติมนั่นนิดนี่หน่อยลงไป หรือเปลี่ยน “เครื่องนุ่งห่ม” ให้กับเนื้อกุ้งที่นำมาสอดไส้ ทำให้ได้ติ่มซำที่มีรสชาติเเตกต่างกันออกไปได้ไม่ยาก อย่างในตอนเเรกใช้เเป้งเกี๊ยวสีเขียวห่อสูตรกุ้งพื้นฐาน นึ่งเป็นขนมจีบหยกเลี่ยมทอง เก๋ด้วย อร่อยด้วย ตอนที่เเล้วใช้สาหร่ายเเผ่นเเบบซูชิห่อ กลิ่นหอมๆ ของสาหร่ายฟุ้งขจายออกมาเมื่อนึ่ง ทำให้ได้อีกเมนูหนึ่งที่รสชาติเเตกต่างกันออกไป

สำหรับฉบับนี้ เป็นเมนูที่เคยชิมจากร้านติ่มซำในชิคาโก เขาทำติ่มซำสอดไส้ปาท่องโก๋ตัวยาวๆ ราดด้วยน้ำซอสเหนียวๆ เเล้วมาเคยได้ชิมเมนูคล้ายคลึงอีกครั้ง เป็นกุ้งผัดกับปาท่องโก๋ซอสไข่เค็ม เลยจับเอาสองเมนูมาผนวกเข้าด้วยกัน ยังคงเป็นสูตรกุ้งพื้นฐานของเรา ยัดใส่เป็นไส้ปาท่องโก๋ นึ่งให้หอมเเล้วราดด้วยซอสไข่เเดงเค็ม มันๆ เค็มๆ เข้ากันได้ดี

สูตรนี้สามารถทำไว้ล่วงหน้า หาซื้อปาท่องโก๋จากร้านประจำ หรือเเม้เเต่ปาท่องโก๋เก่าๆ ที่เหลือจากทานคู่กับกาเเฟตอนเช้า ทานเย็นๆ ไม่อร่อย ลองนำมาทำสูตรนี้ดูได้ สูตรกุ้งพื้นฐาน ขอทำให้เเปลกเเตกต่างจากเดิมๆ เติมไข่กุ้ง หรือที่จริงเเล้ว คือ Flying Fish Roe เป็นไข่ปลาชนิดหนึ่ง ใช้กันเเพร่หลายในอาหารญี่ปุ่น เเละเริ่มเห็นใช้กันมากขึ้นในอาหารจีนหลายๆ ร้านด้วย เรื่องรสชาติให้ความกรุบๆ เค็มๆ เเต่ที่เเน่ๆ ทำให้ดูน่าทานมากขึ้น จากสีส้มที่สดสวย พอนึ่งเเล้วยังให้สีที่สวยอยู่ เเต่จะซีดลง ความกรุบๆ ยังคงมีอยู่ ทำให้อร่อยขึ้นได้ไม่ยาก เเค่คลุกเคล้าให้เข้ากัน

มาดูสูตรกันเลยดีกว่าค่ะ...


กุ้งนึ่งปาท่องโก๋เจี๋ยนไข่เค็ม
ส่วนผสม (สูตรกุ้งพื้นฐาน)
กุ้งเเช่เเข็ง ส่วนเเรก 1 ถ้วย
กุ้งเเช่เเข็ง ส่วนที่สอง 1 ถ้วย
ไข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
เเป้งมัน 2 ช้อนชา
เกลือ 1 ใน 8 ช้อนชา
ผงปรุงรส รสไก่หรือหมู 0.25 ช้อนชา
(ถ้าหาเเบบไม่มีผงชูรสได้ ก็จะดี)
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
มันหมูเเข็ง สับละเอียด 2 ช้อนชา

วิธีทำ
ละลายกุ้งเเช่เเข็งในช่องเเช่เย็นธรรมดา ซับให้เเห้ง
ปั่นกุ้งส่วนเเรกด้วยโถปั่นอาหาร พร้อมกับเครื่องปรุงทั้งหมด หรือจะสับให้ละเอียดด้วยมีดก็ได้
หั่นกุ้งส่วนที่สองให้เป็นชิ้นหยาบๆ คลุกเคล้าระหว่างส่วนเเรกเเละส่วนที่สองอย่างเบามือ สำคัญที่สุดคือส่วนผสมควรจะต้องเย็นตลอดเวลา เพื่อความอร่อย

ส่วนผสม (ปาท่องโก๋นึ่ง)
ปาท่องโก๋ 20 ตัว
ไข่กุ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
ใส่ไข่กุ้งลงในชามผสมที่มีสูตรกุ้งพื้นฐานอยู่ คลุกเคล้าเบาๆ ให้เข้ากัน
ใช้มีดปลายเเหลม หรือกรรไกร เจาะเนื้อปาท่องโก๋ ใช้ช้อนกาเเฟตักกุ้งที่ผสมไว้ ค่อยยัดไส้ปาท่องโก๋อย่างเบามือ ให้พูนออกมาด้านบนชิ้นปาท่องโก๋เล็กน้อย เรียงใส่ถาดไว้ ทำจนหมด (ปริมาณเนื้อกุ้งขึ้นอยู่กับขนาดปาท่องโก๋ด้วย)

ตั้งน้ำให้เดือดจัด ยกถาดนึ่งลงนึ่งที่ไฟกลาง นึ่งประมาณ 58 นาที หรือจนสุก นำมาใส่จาน ราดด้วยน้ำราดไข่เค็มเจี๋ยนที่ปรุงไว้ร้อนๆ เสิร์ฟทันที

ส่วนผสม (เจี๋ยนไข่เค็ม)
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ไข่เเดงจากไข่เค็มดิบ 2 ฟอง
เหล้าจีน 1 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
ผงปรุงรสไก่เเบบไม่มีผงชูรส 0.5 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1 ใน 4 ช้อนชา
เเป้งข้าวโพดละลายน้ำ 1:1 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
ตั้งหม้อขนาดเล็กให้ร้อน เติมน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย ใส่ไข่เค็มลงไปยีให้เเหลกๆ
ฉ่าด้วยเหล้าจีน โดยต้องระวังน้ำมันกระเด็น เติมซีอิ๊วขาวลงไปผัดให้หอม
เติมน้ำสะอาดลงไป พร้อมกับเครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นเเป้ง รอให้เดือด ชิมรส ปรับตามชอบ
หรี่ไฟลง เติมเเป้งข้าวโพดลงไป คนให้เข้ากัน เร่งไฟให้เดือด ส่วนผสมจะข้นขึ้น ใช้สำหรับราดปาท่องโก๋ยัดไส้กุ้ง

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน สาหร่ายห่อกุ้ง

สวัสดีปีใหม่ และสะบายดีปีใหม่ ทั้งแบบไทยและแบบชาวลาว แต่คุณผู้อ่าน M-Cuisine กันในช่วงวันสงกรานต์ หยุดยาวๆ แบบนี้ หากไม่ได้ไปเที่ยวไหน ลองหันมาเมียงมองสูตรประจำคอลัมน์ของเรา แล้วถลกแขนเสื้อทดลองปรุงอาหารง่ายๆ ให้สมาชิกในบ้านลองชิมกันดีกว่า

ฉบับนี้ของเรา ยังแปลงครัวที่บ้านให้กลายเป็นห้องครัวของร้านติ่มซำกันอยู่ ฉบับที่แล้วเราเริ่มกันแบบ “ชิล ชิล” ด้วยขนมจีบหยก มีหลายคนสอบถามผู้เขียนว่า เหตุใดถึงเริ่มจากขนมจีบ ผู้เขียนลองพิสูจน์ดูแล้ว หากพูดถึงติ่มซำ อย่างแรกที่ทุกคนต้องนึกถึง มักจะมีขนมจีบติดอันดับแรกอยู่เสมอ เลยนำเอาขนมจีบหยกแปะทองคำเปลวมานำเสนอเพื่อเรียก “เรตติ้ง” จากคุณผู้อ่านกัน ไอเดียนี้ผู้เขียนไม่ได้คิดค้นขึ้นมาเอง แต่หยิบเอาความประทับใจจากการไปทานขนมจีบหยกคำโตที่ฮ่องกง เค้ามีทองคำเปลวบริสุทธิ์แปะมาจริงๆ จนได้ชื่อเสียงเรียงนามในหมู่นักกินชาวไทย เรียกว่า ร้านติ่มซำเลี่ยมทอง

ผู้เขียนได้ทดลองทำดูแล้ว ติ่มซำบางชนิดไม่ยากเย็นอย่างที่คิด และสามารถประยุกต์ได้อีกเยอะเลย น่าจะทำได้สนุกๆ ที่บ้านเรา เพียงแค่เริ่มจาก “สูตรกุ้งพื้นฐาน” ที่ใช้กุ้งแช่แข็งเป็นพระเอก จากสมบัติของเนื้อกุ้งที่ผ่านกระบวนการถนอมคุณค่ากุ้งสดไว้ด้วยสารประกอบ ฟอสเฟต ทำให้เกิดกุ้งดึ๋งดั๋ง ที่เนื้อฉ่ำ


สารประกอบฟอสเฟตมีประโยชน์มากมายในวงการอุตสาหกรรมอาหาร อย่าเพิ่งตกใจว่าเป็นสารเคมี หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมจะไม่มีอันตราย ใช้กันมานาน แพร่หลายในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์หลายประเภท ทั้งพวกไส้กรอก อาหารแช่แข็ง มากมาย อย่างกุ้งสด ตามร้านสุกี้ยอดนิยมที่เราๆ ท่านๆ ทานกันนั่นไง
กุ้งแช่แข็งจะถูกนำมาละลายซับจนแห้งสนิท ก่อนที่จะนำมาปรุงเป็นกุ้งสับผสมกับกุ้งชิ้นโตๆ ที่จะคลุกเคล้ากับส่วนผสมอื่นๆ ได้เป็นสูตรกุ้งพื้นฐาน

และด้วยสูตรกุ้งพื้นฐาน จากฉบับที่แล้วนี่เอง เมื่อนำมาห่อกับแป้งเกี๊ยวสีเขียว จึงได้เป็นขนมจีบ ส่วนในฉบับนี้ขอเป็นติ่มซำเข่งโปรดของผู้เขียน นั่นคือ สาหร่ายห่อกุ้ง หรือสาหร่ายพันกุ้ง แล้วแต่ว่าร้านไหนจะเรียกอย่างไร กลิ่นหอมๆ ของสาหร่าย ที่อบอวลแทรกซึมเข้าสู่เนื้อกุ้ง ทำให้ติ่มซำเข่งนี้เป็นของโปรดของผู้เขียนตั้งแต่เด็กๆ แถมด้วยยังมีน้ำเหนียวๆ ราดมาด้วย ทำให้ติ่มซำเข่งนี้อร่อยกว่าเข่งอื่นๆ ขึ้นมาอีกนิดนึง

อย่าเพิ่งชะงักไปด้วยเกรงว่าจะยากเย็น เพียงนำเอากุ้งพื้นฐานมาห่อด้วยสาหร่ายแผ่นคล้ายกับการทำซูชิ เสมือนใช้เนื้อกุ้งแทนข้าวซูชิ ม้วนเข้าด้วยกันให้แน่น ทาไข่ขาวผสมน้ำเล็กน้อยที่ด้านหนึ่งของสาหร่าย เพื่อให้แท่งสาหร่ายของเราแน่น จากนั้นนำไปนึ่งแค่พอสุก ทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนำมาตัดเป็นคำๆ คล้ายซูชิเปี๊ยบเลย แล้วนึ่งต่อก่อนเสิร์ฟ ไอน้ำจะทำให้กุ้งพองขึ้นมาสวยด้านหน้าตัด ทำให้ดูน่าทาน ก่อนที่จะราดด้วยน้ำแดง สูตรง่ายๆ แต่รับรองว่าอร่อย มาดูสูตรกันเลยดีกว่า

สาหร่ายห่อกุ้ง
ติ่มซำประจำบ้านของเรา ในตระกูลกุ้ง ผู้เขียนขอเริ่มด้วยสูตรกุ้งพื้นฐาน ที่สามารถประยุกต์ไปได้อีกหลายเมนูเลยค่ะ ลองดูสูตรนี้เลยนะคะ

สูตรกุ้งพื้นฐาน
กุ้งแช่แข็ง ส่วนแรก 1 ถ้วย
กุ้งแช่แข็ง ส่วนที่สอง 1 ถ้วย
ไข่ขาว 1 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 2 ช้อนชา
เกลือ 1 ใน 8 ช้อนชา
ผงปรุงรส รสไก่หรือหมู 0.25 ช้อนชา


(ถ้าหาแบบไม่มีผงชูรสได้ก็จะดี)
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
มันหมูแข็ง สับละเอียด 2 ช้อนชา
ละลายกุ้งแช่แข็งในช่องแช่เย็นธรรมดา ซับให้แห้ง
ปั่นกุ้งส่วนแรกด้วยโถปั่นอาหาร พร้อมกับเครื่องปรุงทั้งหมด หรือจะสับให้ละเอียดด้วยมีดก็ได้
หั่นกุ้งส่วนที่สอง ให้เป็นชิ้นหยาบๆ คลุกเคล้าระหว่างส่วนแรกและส่วนที่สองอย่างเบามือ สำคัญที่สุดคือส่วนผสมควรจะต้องเย็นตลอดเวลา

สำหรับสาหร่ายห่อกุ้ง
สาหร่ายแผ่น แบบทำซูชิ ขนาดโดยประมาณ 9 x 9 นิ้ว 4 แผ่น
แผ่แผ่นสาหร่ายลงบนพื้นเขียงที่ราบ ทากุ้งลงไปให้หนาประมาณ 0.5 ซม. เหลือปลายไว้ประมาณ 1 นิ้ว ม้วนเข้ามาให้แน่น จากนั้นใช้สาหร่ายอีกแผ่นหนึ่ง ม้วนแท่งสาหร่ายไว้อีกชั้น วางด้านที่เป็นตะเข็บลงถาดที่นึ่ง ทำอีกจนเนื้อกุ้งหมด จะได้ประมาณ 4 แท่ง

ตั้งน้ำให้เดือดจัด ยกถาดนึ่งลงนึ่งที่ไฟกลาง อย่าให้น้ำเดือดพล่าน เพราะจะทำให้เนื้อกุ้งปริออกจากสาหร่าย นึ่งประมาณ 5 นาที หรือจนเริ่มสุก ไม่ต้องสุก 100% ยกลง รอให้เย็นสนิท แช่เย็นจนเย็นจัด หรือแช่น้ำแข็ง โดยใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุง แล้วจุ่มลงในอ่างน้ำเย็นและน้ำแข็ง


เมื่อแท่งกุ้งพันสาหร่ายเย็นดีแล้ว ตัดเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 นิ้ว เรียงใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำแดงที่ปรุงไว้ หรือเรียงในลังถึงที่น้ำเดือดพล่าน ประมาณ 2-3 นาที เสิร์ฟทันที

ส่วนผสมสำหรับน้ำแดง
ขิงแก่ หั่นแว่น 2 แว่น
เนื้อปูต้มสุกแกะ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
เหล้าจีน 1 ช้อนชา
น้ำสะอาด 2 ถ้วย
ผงปรุงรสไก่แบบไม่มีผงชูรส 0.5 ช้อนชา
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
แป้งข้าวโพดละลายน้ำ 1:1 1 ช้อนโต๊ะ

ตั้งหม้อขนาดเล็กให้ร้อน เติมน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย เจียวขิงให้หอม เติมน้ำมันหอยลงไปพร้อมกับเนื้อปู ผัดเร็วๆ ราดด้วยเหล้าจีน ระวังน้ำมันกระเด็น

เติมน้ำสะอาดลงไป พร้อมกับเครื่องปรุงทั้งหมด ยกเว้นแป้ง รอให้เดือด ชิมรส ปรับตามชอบ
หรี่ไฟลง เติมแป้งข้าวโพดลงไป คนให้เข้ากัน เร่งไฟให้เดือด ส่วนผสมจะข้นขึ้นเป็นน้ำแดง ใช้สำหรับราดสาหร่ายห่อกุ้ง

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ซาลาเปาครีมคัสตาร์ด

ผู้เขียนดีใจมากเลยค่ะ ได้รับ “คอมเมนต์” จากคุณชัยพร ชินะประยูร ผู้อ่าน M-cuisine ผ่านทาง www.facebook.com/cookoolstudio ช่วยกรุณาเเนะนำมาเกี่ยวกับ “ขนมกุยช่าย” ที่เราเรียกกันเสียติดปาก อันที่จริงเเล้วไม่ได้เรียกว่ากุยช่ายอย่างที่เราเข้าใจ กลับเรียกว่า “ไช้ก๊วย” ต่างหาก

ผู้เขียนเลยต้องทำการบ้าน ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า “กุยช่าย” หรือบางบ้านเรียกว่า “กู๋ช่าย” ที่เราคนไทยเรียกกันมาติดปากว่า “ขนม” นำหน้า อันที่จริงเเล้วเป็นอาหารคาวมีชื่อว่า “ไช้ก๊วย” หรือ “ไชก้วย” เเล้วเเต่สำเนียงนั้น เป็นอาหารที่มาจากชาวจีนเชื้อสายเเต้จิ๋ว นิยมทำเป็นรูปร่างคล้ายผลท้อ โดยแผ่แผ่นเเป้ง จับจีบเก็บไส้ให้มิด เเล้วอัดลงในพิมพ์ไม้รูปคล้ายผลท้อ เเล้วเคาะออกมาเบาๆ เรียงใส่กระดาษนึ่ง เรียกกันว่า อังคักท้อก๊วย ใช้สำหรับการไหว้เจ้าเป็นหลัก เพราะมีสีเเดงเป็นมงคล เเละเป็นรูปผลท้อสื่อถึงอายุยืนยาว ผู้เขียนไปชมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับชีวิตชาวจีนในสิงคโปร์ ย่านนั้นมีชาวจีนเเต้จิ๋วอาศัยอยู่เยอะ ยังพบว่ามีพิมพ์ไม้โบราณรูปร่างคล้ายผลท้อจัดเเสดงให้ชมอยู่หลายอันเลย

ไชก้วย มีไส้ที่นิยมปรุง 3 ไส้หลักๆ คือ ใบกุยช่าย หัวมันเเกว เเละหน่อไม้ ไม่เพียงเเต่ทำเพื่อไหว้เจ้า ยังนิยมทำให้สมาชิกในบ้านรับประทาน โดยห่อเป็นรูปร่างคล้าย “ตำลึงทอง” ให้สมาชิกในบ้านรับประทานในช่วงวันมงคลต่างๆ เเน่นอนว่าบรรพบุรุษชาวจีนของเราๆ ท่านๆ ได้นำเอาความรู้ในการทำอาหารชนิดนี้ติดตัวมาด้วยตั้งเเต่ยุคสมัยเสื่อผืน หมอนใบ ประยุกต์เเละเรียกผิดเพี้ยนกลายเป็น “ขนมกุยช่าย” ที่เราคนไทยเรียกกันติดปาก ด้วยน่าจะเป็นเพราะไส้ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคงเป็นไส้ใบกุยช่ายเป็น เเน่ ต้องขอบคุณผู้อ่านอีกครั้งที่ช่วยเเนะนำ ทำให้ผู้เขียนไปหาข้อมูลเพิ่มพูนได้อีกค่ะ


กลับมาต่อกันที่ซาลาเปาของเรา หลังจากผู้เขียนชื่นชมผลงานซาลาเปาไส้หมูสับ รสชาติคล้ายเกี๊ยวซ่า ที่สมาชิกในบ้านเเละสตูดิโอยกนิ้วให้ผ่าน นำมาเสนอให้คุณผู้อ่านไปเมื่อฉบับที่เเล้ว เลยย่ามใจอยากลองทำไส้หวานดูบ้าง ไส้หวานของซาลาเปาที่เห็นจะเป็นยอดนิยมที่สุด คงต้องยกให้ไส้ครีมที่บิออกมาเห็นสีเหลืองอ๋อยๆ ตัดกับเเป้งสีขาวดูน่ารับประทาน

ฉบับก่อนนำเสนอสูตรซาลาเปาที่ผู้เขียนดัดเเปลงมาจากสูตรของ Blogger ชาวไทย สีสันของตัวเเป้งเมื่อนึ่งออกมา ได้รับคำถามจาก “ชาวบ้าน” เเถวนี้ว่า ทำไมเเป้งถึงดูสีหม่นๆ คำตอบก็คือ เราไม่ได้ใช้เเป้งที่ผ่านการฟอกสีให้ขาวจั๊วะเเบบเเป้งซาลาเปาตามท้องตลาด ซึ่งถ้าคุณอายุเลย 30 ปีมาเยอะหน่อย คุณอาจจะคุ้นตากับซาลาเปาอร่อยๆ บางเจ้าที่มีสีคล้ำ ทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงซาลาเปาไส้ถั่วดำจากร้านโปรดสมัยเด็ก
คำถามต่อมา คือ ทำไมต้องใช้เเป้งตราบัวเเดง เเทนที่จะเป็นเเป้งถุงฟ้า ถุงเขียว หรือเเป้งที่ระบุว่าเเป้งขนมปัง เเป้งอเนกประสงค์ หรือเเป้งชนิดอื่นๆ คำตอบก็คือ การทำซาลาเปาต้องการความฟูจากการกักเก็บก๊าซที่ผลิตมาจากยีสต์ เเต่ก็ต้องการความเบานุ่ม ไม่เหนียวหรือเเข็ง นี่เองจึงเป็นที่มาว่า เเป้งที่นำมาใช้ต้องมีปริมาณโปรตีนที่พอเหมาะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เเป้งที่เหมาะสมจึงอยู่ในระดับที่จัดว่าเป็น Pastry Flour คือ มีโปรตีนน้อยกว่าเเป้งอเนกประสงค์ เเต่ยังมากกว่าเเป้งเค้ก นิยมนำมาทำพวกเเพนเค้ก วาฟเฟิล สโคน บิสกิต เเป้งพาย

หากเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตในต่างประเทศ เเป้งจะถูกระบุมาเลยว่ามีปริมาณโปรตีนอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ หรือจะระบุว่าเป็นเเป้งเค้ก เเป้งเพสตรี เเป้งอเนกประสงค์ หรือเเป้งขนมปัง เเต่บ้านเราบางยี่ห้อต้องการเป็นเจ้าตลาด ครองใจผู้บริโภค จึงนำเอาสัญลักษณ์ต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้ติดปาก ง่ายต่อการเลือกซื้อ มันจึงเป็นเช่นนี้เอง เเต่ถ้าหากคุณผู้อ่านหาเเป้งที่ว่านี้ไม่ได้จริงๆ อาจารย์เชฟเคยสอนผู้เขียนไว้ว่า ให้ใช้เเป้งเค้กผสมกับเเป้งอเนกประสงค์ด้วยน้ำหนักที่เท่าๆ กันเป๊ะ เเก้ขัดไปพลางๆ ก่อนได้เลย

ทีนี้มาถึงไส้ครีมของเรา ผู้เขียนไม่กล้าพลิกเเพลงไปถึงขนาดใช้ไข่เป็ดทำ เหมือนกับซาลาเปาไส้ครีมร้านดังในฮ่องกง เเต่ขอเเอบเเฝงความเป็นฝรั่งตามที่ตัวเองเรียนมา ด้วยไส้ครีมเเบบเพสตรีครีม อาศัยกลิ่นหอมๆ ของไข่ นม น้ำตาล เเละวานิลลา กวนจนได้ที่เเล้ว ทำให้เย็นอย่างรวดเร็ว เเช่เย็นข้ามคืนไว้ เปิดตู้เย็นรุ่งขึ้นครีมคัสตาร์ดของเราจะคงตัว จนสามารถใช้ “สกู๊ป” ไอศกรีมขนาดเล็ก ตักเป็นก้อนลงมาบนเเป้งซาลาเปาได้อย่างง่ายดาย ไม่เลอะเทอะ


พอห่อไส้ซาลาเปาด้วยครีมคัสตาร์ดที่เเช่เย็นมา คุณอาจต้องพักซาลาเปาไว้นานกว่าเดิมสักหน่อย เพราะเมื่อยีสต์ในเเป้งซาลาเปาเจอความเย็นจะทำงานช้าลง เลยเป็นผลให้ซาลาเปา “ขึ้น” ช้ากว่าปกติ ผู้เขียนเลยขอถือคติคนโบราณ เขาว่าห้ามทำซาลาเปาวันฝนตกหรือตอนเย็น เชื่อว่าเป็นอุบาย เพราะเมื่ออากาศเย็นยีสต์ในเเป้งโดของซาลาเปาจะทำงานช้า อาจทำให้ซาลาเปาไม่เบาฟูอย่างที่ควรจะเป็น อีกอย่างหากซาลาเปาของเราขึ้นฟูช้าลง อาจทำให้เเบคทีเรียเจริญเร็วกว่า ซาลาเปาที่นึ่งออกมาอาจมีกลิ่นเปรี้ยวเเทน
ซาลาเปาไส้ครีมคัสตาร์ดของผู้เขียน มีที่มาจากความชอบซาลาเปานมสดที่ร้าน Bai Yun ที่โรงเเรมบันยันทรี ซาลาเปาเเป้งใสเเหนว ด้านในมีคัสตาร์ดสีเหลือง กัดคำหนึ่งไส้ไหลทะลักออกมา อร่อยสุดยอด เลยนำเอาความชอบตรงนี้มาผสานกับเเป้งซาลาเปาของเรา

ซาลาเปาครีมคัสตาร์ด
สูตรเเป้งซาลาเปา ขออนุญาตให้เครดิตจาก Bloggang ของคุณหมูปุ๊ เเป้งสูตรนี้ผู้เขียนลองทำครั้งเเรก เเล้วลองปรับจากสูตรต้นตำรับอีกเล็กน้อยค่ะ

ส่วนผสมสำหรับเเป้ง
ส่วนที่ 1 เเป้งสปอนจ์
เเป้งสาลีบัวเเดง 530 กรัม
น้ำเปล่า 400 กรัม
ยีสต์ 1.5 ช้อนโต๊ะ
ส่วนที่ 2 เเป้งโด
เเป้งสาลีบัวเเดง 220 กรัม


ผงฟู 1.5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 150 กรัม
เกลือป่น 0.75 ช้อนชา
เนยขาว 120 กรัม

วิธีทำ
ผสมเเป้งส่วนที่ 1 เข้าด้วยกัน ปิดฝา พักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ร่อนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ยกเว้นเนยขาว ร่อนให้เข้ากัน

เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมง ส่วนผสมจะฟูขึ้นคล้ายฟองน้ำ เทเเป้งส่วนที่ 2 ที่ร่อนไว้เเล้วลงไป นวดให้ส่วนผสมพอจับตัวกันเป็นก้อนเเน่นๆ ฝุ่นเเป้งขาวๆ เกือบไม่มีเเล้ว จึงค่อยเติมเนยขาวลงไปจนหมด นวดด้วยเครื่องหรือมือจนส่วนผสมไม่ติดมือ หรือถ้าใช้เครื่องนวดหัวตะขอ เเป้งโดจะต้องเนียน ไม่ติดกับโถตี ถ้ายังติดอยู่เเสดงว่าต้องนวดต่ออีกนิดหนึ่ง

พักเเป้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ในโถตีสะอาดมีฝาปิด เเละอยู่ในอุณหภูมิห้องที่ไม่ติดเเอร์ หากติดเเอร์หรืออากาศเย็นจะใช้เวลานานกว่าเดิมสักนิด สังเกตดูเมื่อใช้นิ้วจิ้มลงบนเเป้งจะบุ๋มลงไปเเละค่อยๆ คลายตัวขึ้น อีกข้อสังเกต คือ เเป้งโดจะพองขึ้นเป็น 2 เท่า

เทเเป้งลงบนพื้นโต๊ะที่สะอาดเรียบ ใช้กำปั้นกดเเป้งไล่อากาศออก คลึงเป็นก้อน พักไว้ 5 นาที เเล้วตัดก้อนเเป้งเป็นก้อนขนาด 30 กรัม พักก้อนเเป้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก่อนนำมาห่อไส้

ส่วนผสมไส้
นมจืด 6 ถ้วย
ไข่เเดง 12 ฟอง
ไข่ไก่ 4 ฟอง
น้ำตาลทราย 0.5 ถ้วย + 3 ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 1 กระป๋อง
เเป้งเค้ก 8 ช้อนโต๊ะ
เเป้งข้าวโพด 4 ช้อนโต๊ะ
นมข้นจืด 0.25 ถ้วย
อุ่นนมจืด นมข้นหวาน เเละน้ำตาลทรายครึ่งหนึ่ง ให้ร้อนจัด

ร่อนเเป้งทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันในชามผสมอีกใบ คนผสมกับน้ำตาลทราย เทนมข้นจืดลงไป ผสมพร้อมกับตีไข่เเดง ไข่ไก่ ลงไปให้เข้ากัน

เทนมร้อนๆ ลงไปในส่วนผสมไข่ไก่ทีละน้อย คนให้เข้ากันสักครึ่งหนึ่ง เเล้วเททุกอย่างลงในหม้อ กวนที่ไฟอ่อนอีกครั้งจนส่วนผสมเดือด กวนต่อไปอีก 8 นาที

ทำให้เย็นลงอย่างรวดเร็วโดยการอังหม้อด้วยน้ำเเข็ง กวนเร็วจนคลายความร้อน
เเช่เย็นโดยเเปะฟิล์มพลาสติกเเนบลงบนคัสตาร์ด พักไว้ในตู้เย็นข้ามคืน

วิธีห่อ
เเผ่ก้อนเเป้งที่ชั่งไว้ขนาดลูกละ 30 กรัม ให้หนาสัก 0.5 ซม. ใช้ที่ตักไอศกรีมขนาด 30 กรัม ตักคัสตาร์ดวางลงบนเเป้งตรงกึ่งกลาง ค่อยๆ รวบดึงทีละช่อขึ้นมาจนครบรอบเส้นรอบวง เม้มบริเวณจีบให้เเน่น วางด้านจีบที่เม้มไว้เรียงบนกระดาษขาว

คลุมผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆ พักเเป้งไว้ 4550 นาที หรือจนจับดูเเป้งพองๆ คล้ายฟองน้ำ ไม่หนัก หากอากาศอุ่นๆ อาจจะเเค่ 3040 นาที
ตั้งน้ำเดือดไฟเเรง นึ่งซาลาเปาประมาณ 1012 นาที พักไว้ให้คลายความร้อนลงสักนิดก่อนเสิร์ฟ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


ร้านอาหาร เกี๊ยวไส้หมูแบบต้นตำรับ ของ ธนภัทร เฉียน

ถ้าพูดถึงอาหารจีน เมนูบ้านๆ ที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นอาหารปรุงง่ายไม่ยุ่งยากแต่รสชาติอาหารเหลาอย่าง เกี๊ยวหมู เกี๊ยวกุ้ง ในน้ำซุปร้อนๆ ดังนั้นเมื่อต้องหาเมนูทานง่ายมาโชว์ฝีมือ เฉินธนภัทร เฉียน หนุ่มจีนหัวใจไทย ดีกรีกรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเหลียน คอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และนำเข้าอุปกรณ์ไอที ภายใต้แบรนด์จีวิว (Gview) และเจ็นเทค (Gentec) มานานกว่า 10 ปี เลยขอนำเสนอ เมนู “เกี๊ยวไส้หมู” ซึ่งขอการันตีว่าเป็นแบบต้นตำรับแท้ๆ

“ที่ผมเลือกทำเมนูนี้จะว่าง่ายหรือสะดวกก็ไม่เชิง เพราะขั้นตอนการเตรียมแป้งก็ถือว่ายุ่งยากพอสมควร แต่ที่เลือกทำเมนูนี้เพราะเป็นเมนูที่ขึ้นชื่อของชาวจีน ประมาณว่าอาหารจีนทุกที่ต้องมีเกี๊ยว ยิ่งกว่านั้น เกี๊ยวยังแพร่หลายไปยังอีกหลายประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และไทย ซึ่งทั้งหมดล้วนมีต้นตำรับมาจากจีนทั้งสิ้น”



งานนี้ ซีอีโอหนุ่มยังขยายความด้วยว่าอาหารจานนี้เมื่อทำเสร็จอาจดูเหมือนอาหารรับ ประทานเล่น เป็นออร์เดิฟร์ แต่สำหรับคนจีนถือว่าเป็นอาหารจานหลัก ซึ่งก็มีหลากหลายไส้ให้เลือก ทั้งไส้กุ้ง ผสมไข่ไก่ ไส้กุยช่าย หมูสับผสมผักกาดขาว ผสมผักโขม ผสมขึ้นฉ่าย แล้วแต่คนชอบ

ยิ่งกว่านั้น เกี๊ยวยังมีประวัติอันยาวนาน สืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยสามก๊ก ถึงขนาดมีคำกล่าวไว้ว่า “อะไรที่อร่อยก็แล้วแต่ สุดท้ายก็สู้เกี๊ยวไม่ได้”

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ เฉินเลยไม่ลังเลที่จะโชว์อาหารจานนี้อย่างภาคภูมิใจ ทั้งที่ปกติแม้จะเป็นคนชอบเข้าครัวยามว่าง แต่อาหารที่ทำเป็นเบอร์หนึ่งไม่ใช่อาหารจีน แต่เป็นอาหารจานใหม่ๆ ที่ครีเอตขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์



“ผมชอบทำอาหารเหมือนกัน แต่จะชอบครีเอตเมนูขึ้นเอง ไม่ชอบอะไรแบบดั้งเดิม ชอบที่แปลกๆ เช่น แทนที่จะกินข้าวไข่เจียวหมูสับธรรมดา ก็ลองเปลี่ยนมาเป็นไข่เจียวผักกาดขาวแทน หรือที่ภูมิใจเสนอมากที่สุดคือ เมนูไข่เจียวใส่จิ๊กโฉ่ว รับรองว่ารสชาติอร่อยมาก แต่ต้องใส่นิดเดียวพอ ซึ่งทุกวันนี้เรียกว่าเป็นเมนูจานโปรดที่ทำเป็นประจำเวลาเข้าครัวก็ว่าได้”

เกี๊ยวไส้หมูต้นตำรับ
ส่วนผสม
1.แป้งสาลีชนิดพิเศษ 500 กรัม
2.หมูสับ 500 กรัม
3.ซีอิ๊วขาว ตามใจชอบ
4.พริกไทย ตามใจชอบ
5.น้ำเปล่า 2 ถ้วย
6.กระเทียมสับ (เอาเปลือกออก) ตามชอบ
7.ขิงสับ ตามชอบ
8.ต้นหอมสับ ตามชอบ



วิธีทำแป้ง
ผสมแป้งเข้ากับน้ำ จากนั้นนวดจนเนื้อแป้งมีเนื้อเนียน จึงนำแป้งมาปั้นเป็นเส้นยาว แล้วแบ่งออกเป็นก้อนเล็กๆ จากนั้นใช้มือกดให้แป้งแต่ละก้อนที่แบ่งออกมาแบนราบขนาดประมาณเหรียญห้าบาท
ใช้ไม้นวดแป้ง นวดคลึงให้เป็นแผ่นวงกลมขนาดพอประมาณ แต่ต้องระวังอย่าให้บางจนเกินไป เพราะจะทำให้เมื่อนำมาห่อไส้แล้วแตกไม่สวยงาม

เมื่อเตรียมแป้งแล้ว ต้องเก็บในภาชนะมิดชิด หรือนำผ้าขาวบางมาคลุม ป้องกันไม่ให้โดนลม เพราะจะทำให้แป้งแห้งและแข็ง

วิธีทำไส้หมู
1.คลุกเคล้าหมูสับกับซีอิ๊วขาว พริกไทย ต้มหอม กระเทียม ขิงสับ ให้เข้าเครื่อง จากนั้นนำมาใส่เป็นไส้เกี๊ยว
2.สำหรับวิธีห่อนั้น ให้ใส่ไส้ไว้ที่ตรงกลางของแผ่นแป้งที่เตรียมไว้ ประมาณ 1 ช้อนชา จากนั้นให้พับครึ่งแผ่นแป้ง แล้วจับจีบที่มุมทั้งสองข้างให้สวยงาม จากนั้นนำไปลวกให้สุก พร้อมเสิร์ฟกับจิ๊กโฉ่ว หรือจะนำเกี๊ยวที่ลวกเสร็จไปทอดก็ได้อีกหนึ่งรสชาติขอขอบคุณเจ้าของบทความ : พุสดี สิริวัชระเมตตา

Read More...


ติ่มซำประจำบ้าน ตอน ซาลาเปาเกี๊ยวซ่า

จะจบเรื่องติ่มซำประจำบ้านไว้เพียงเท่านี้เห็นจะไม่ได้ เพราะเราเริ่มสูตรติ่มซำง่ายๆ ที่ควรมีติดบ้านเอาไว้โชว์ฝีมือ มีตั้งเเต่ขนมจีบ ขนมผักกาด สาหร่ายห่อกุ้ง ขนมปังหน้ากุ้ง หมูนึ่งไข่เค็ม ฯลฯ เเต่ยังขาดจานสำคัญที่ทุกคนต้องนึกถึงเมื่อทานติ่มซำ นั่นก็คือ ซาลาเปา

ผู้เขียนเองเคยทำซาลาเปากับเขาอยู่ไม่กี่ครั้ง สูตรซาลาเปาที่มีอยู่ ไม่ถึงกับอร่อยอะไร จึงอยากลองสูตรใหม่ๆ ได้เข้าไปเปิดดูตามบล็อกของนักทำอาหารตัวจริงเเละมือสมัครเล่น บางท่านผู้เขียนต้องขอเเสดงความนับถือ เพราะรวบรวมเอาสูตรเด็ดๆ ของซาลาเปาเอาไว้มากมาย อย่างผู้เขียนเปิดเข้าไปดูของคุณหมูปุ๊ คุณเเมงเม่า รวมทั้งชาวต่างชาติไม่ว่าจะเป็นสูตรฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน สรุปเเล้วผู้เขียนเลยดึงเอาสูตรของคุณนุสที่คุณหมูปุ๊นำมารวบรวมไว้ เพราะเล็งดูเเล้วท่าทางจะเหนียวนุ่มเข้ากับสูตรที่ผู้เขียนตั้งใจไว้ทดลองทำ ดู ปรับให้เข้ากับรสชาติที่ตั้งใจไว้ ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว

เเหมถึงเเม้ผู้เขียนไม่มีสูตรซาลาเปาเป็นของตนเอง เเต่ก็มีสูตรไส้ที่เเกะมา อร่อยน่าเป็นเจ้าของนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า ผู้เขียนมีโอกาสพาลูกๆ ทั้งสี่คนไปเที่ยวดิสนีย์ซี ด้านในมีร้านลักษณะคล้ายกับตู้คอนเทนเนอร์ขนาดเล็ก ขายอาหารรับประทานง่ายๆ สอดคล้องกับบรรยากาศในเเต่ละย่านในดิสนีย์ซี เช่น ในโซน Lost River Delta จะมีฮอตด็อก รสชาติไปทางอาหารเม็กซิกันเข้ากับบรรยากาศ ในโซน Cape Cod มีซาลาเปาสีขาวสลับชมพูเข้มดูคล้ายห่วงยาง พวกเราชิมกับเกือบทุกร้าน ติดใจที่สุด คือ ร้านตรงเเถวๆ Mysterious Island โซนนี้จะมีเรื่องราวของโลกใต้ทะเล จึงมีร้านขายซาลาเปารูปร่างคล้ายๆ กับเรือดำน้ำ พอกินเข้าไปเป็นเเป้งสีขาวของซาลาเปาห่อเกี๊ยวซ่า ที่ด้านในมีหมูสับหอมรสขิงน้อยๆ รสเข้มข้นอยู่ หอมกลิ่นซอสอยู่

จริงๆ เเล้วซาลาเปาที่ญี่ปุ่นรสชาติเเตกต่างจากบ้านเราพอสมควรอยู่ เอกลักษณ์ของไส้ซาลาเปาเเบบคาวมักจะมีกลิ่นของสาเก ขิง ซีอิ๊วญี่ปุ่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นไส้หมู ไส้ไก่ หรือเเม้เเต่ไส้เนื้อ ก็จะเป็นเนื้อผัดซอสเเละหอมใหญ่ คล้ายๆ ที่โปะลงบนข้าวหน้าเนื้อสไตล์ญี่ปุ่น เคยเห็นเเถวๆ ย่านที่เลี้ยงวัว Hida ขุนสีดำ คุณภาพเนื้อดีเยี่ยม ร้านเล็กๆ เเถวๆ นั้น จึงมีซาลาเปาไส้เนื้อวัวผัดซอส เรียกว่า Hida Beef Bun อร่อยสุดยอด


ไส้ซาลาเปาสไตล์ญี่ปุ่นนี้มักจะมีความฉ่ำอยู่สูง ไม่ได้ฉ่ำเเบบมี “มันหมู” เป็นก้อนๆ เเบบซาลาเปาจีน หมูสับที่ผู้เขียนใช้มีปริมาณมันหมู เเบบปกติ ไม่ได้ใช้เเบบมันมากกว่าปกติเเต่อย่างใด เรียกว่าซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาเเบบไหนก็ใช้เเบบนั้น เเต่ฉ่ำด้วยส่วนผสมที่เคล้าลงไปด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นซอสญี่ปุ่น เหล้าสาเก ยังมีส่วนผสมของเเป้งมัน เเละไข่ขาว ใช้เพื่อให้เนื้อหมูเกาะกันเเบบหลวมๆ เมื่อเติมส่วนผสมที่มีของเหลวลงไป สำคัญที่สุด คือ มีกะหล่ำปลีที่ผ่านการดึงเอาน้ำขมๆ ออกจากกะหล่ำปลี โดยการใช้เกลือหมักไว้สักครู่ กะหล่ำปลีเมื่อสุกเเล้วจะให้ความนุ่มเเละกลิ่นเฉพาะให้กับไส้หมูของเรา นอกนั้นเป็นส่วนผสมที่เพิ่มกลิ่นรสที่ชัดๆ อย่างหัวหอม ต้นหอม เเละเห็ดหอม เพิ่มความหนุบหนับ ทุกอย่างลงเครื่องนวดผสมด้วยหัวตีใบไม้ให้เหนียว ก่อนปั้นเป็นก้อนๆ ไส้หมูสับสไตล์นี้รับประทานเพียงคำเดียว ทำให้นึกถึงเกี๊ยวซ่าสไตล์ญี่ปุ่นเลย
ผู้เขียนค้นพบวิธีหนึ่งที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เเละซาลาเปาของเราอร่อยขึ้น โดยปั้นไส้หมูเป็นก้อนๆ หรือรูปร่างที่เราต้องการ จากนั้นเรียงใส่จานเเล้วนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 1-2 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดก้อน อย่างที่เห็นในรูป ผู้เขียนใช้เวลาเพียง 90 วินาที เพื่อทำให้ทั้ง 12 ลูกสุกประมาณ 80% รอให้เย็นสนิทเเล้วนำมาห่อเเป้ง จะช่วยให้เนื้อหมูของเราสุกไปพร้อมกับๆ เเป้งได้ง่ายๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะสุกหรือไม่สุก ที่สำคัญระดับความร้อนของไมโครเวฟช่วยให้เนื้อหมูของเราเด้งดึ๋ง กำลังดี หากบ้านไหนไม่มีไมโครเวฟจะนึ่งก็ได้ไม่ว่ากัน เเต่การันตีว่าไมโครเวฟ “เวิร์ก” จริงๆ

ขั้นตอนการทำเเป้งซาลาเปา หากเคยทำขนมปังมาเเล้วไม่ยากเลย ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องผสม เเต่ต้องมีกล้ามเเขนที่เเข็งเเรง เพราะขนาดใช้เครื่องก็นวด 15-20 นาที ได้ที่ความเร็วต่ำที่สุด หากใช้เครื่องช่วงเเรกๆ เเป้งจะติดขอบโถมากมาย เเต่เมื่อนวดได้ที่เเป้งจะเกาะรวมกันเป็นก้อนเนียน โถตีจะสะอาดไม่มีคราบเเป้งเลย เมื่อเเป้งเนียนยืดหยุ่นดีเเล้ว พักเเป้งครั้งเเรกต้องพักให้ได้ที่ เพื่อเพิ่มปริมาณยีสต์ให้เหมาะสม สังเกตว่าเเป้งจะต้องฟูขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อพักเรียบร้อยก็ตัดเป็นก้อนที่ต้องการก่อนจะนำไปห่อ
กรรมวิธีการห่อไม่มีอะไรมาก เคล็ดลับที่ต้องบอกต่อคือ ทุกครั้งที่มีการคลึงก้อนเเป้ง ต้องมีการพักเเป้งไม่ต่ำกว่า 5 นาที เพื่อให้โครงสร้างโปรตีนในเเป้งคลายรูปร่างออก จะปั้นหรือจะห่อก็จะง่าย เเป้งไม่หดตัวกลับมา

อย่าลืมพักเเป้งครั้งที่ 2 ให้พอดี กะดูประมาณ 30 นาที เเป้งจะเบาฟู กดเบาๆ จะหยุ่นๆ คล้ายฟองน้ำ เพราะโพรงเเป้งเต็มไปด้วยอากาศ บอกไว้สักนิดว่า ผู้เขียนเคยพลาดพักเเป้งหลังจากห่อไม่นานพอ นึ่งซาลาเปาออกมาได้เเป้งเเบนๆ เเละเหลวเป๋วไม่อร่อยเลย ครั้งถัดมา พักได้ที่ ซาลาเปาฟูนุ่มเชียว ตอนนึ่งอย่าลืมให้น้ำเดือดจัดสักหน่อย หากน้ำเดือดน้อยๆ ไอน้ำไม่มากพอ ผิวเเป้งซาลาเปาจะเเฉะไม่อร่อย
หลังจากทำซาลาเปาประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี รู้สึกสนุกสนานขึ้นมาก จัดเเจงเตรียมทำซาลาเปาไส้ถัดมาทันที จะเป็นไส้อะไรมาดูกันฉบับหน้าคะ


ซาลาเปารสเก๊ยวซ่า
สูตรเเป้งซาลาเปา ขออนุญาตให้เครดิตจาก Bloggang ของคุณหมูปุ๊ เเป้งสูตรนี้ผู้เขียนลองทำครั้งเเรก เเล้วลองปรับจากสูตรต้นตำรับอีกเล็กน้อย เพื่อให้ทำได้ง่ายขึ้นอีกนิด ส่วนไส้ทำไม่ยาก รสอร่อย ต่างจากรสชาติที่คุ้นเคย รับประกันความอร่อย

ส่วนผสมสำหรับเเป้ง

ส่วนที่ 1 เเป้งสปอนจ์
เเป้งสาลี บัวเเดง 530 กรัม
น้ำเปล่า 400 กรัม
ยีสต์ 1.5 ช้อนโต๊ะ

ส่วนที่ 2 เเป้งโด
เเป้งสาลี บัวเเดง 220 กรัม
ผงฟู 1.5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 150 กรัม
เกลือป่น 0.75 ช้อนชา
เนยขาว 120 กรัม

วิธีทำ
ผสมเเป้งส่วนที่ 1 เข้าด้วยกัน ปิดฝาพักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง ร่อนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน ยกเว้นเนยขาว ร่อนให้เข้ากัน
เมื่อผ่านไป 1 ชั่วโมง ส่วนผสมจะฟูขึ้นคล้ายฟองน้ำ เทเเป้งส่วนที่ 2 ที่ร่อนไว้เเล้วลงไป นวดให้ส่วนผสมพอจับตัวกันเป็นก้อนเเน่นๆ ฝุ่นเเป้งขาวๆ เกือบไม่มีเเล้ว จึงค่อยเติมเนยขาวลงไปจนหมด นวดด้วยเครื่องหรือมือ จนส่วนผสมไม่ติดมือ หรือถ้าใช้เครื่องนวดหัวตะขอ เเป้งโดจะต้องเนียนไม่ติดกับโถตี ถ้ายังติดอยู่เเสดงว่าต้องนวดต่ออีกนิดหนึ่ง
พักเเป้งไว้ประมาณ 1.5 ชั่วโมง ในโถตีสะอาดมีฝาปิด เเละอยู่ในอุณหภูมิห้องที่ไม่ติดเเอร์ หากติดเเอร์หรืออากาศเย็น จะใช้เวลานานกว่าเดิมสักนิด สังเกตดูเมื่อใช้นิ้วจิ้มลงบนเเป้งจะบุ๋มลงไปเเละค่อยๆคลายตัวขึ้น อีกข้อสังเกตคือ เเป้งโดจะพองขึ้นเป็นสองเท่า
เทเเป้งลงบนพื้นโต๊ะที่สะอาดเรียบ ใช้กำปั้นกดเเป้งไล่อากาศออก คลึงเป็นก้อน พักไว้ 5 นาที เเล้วตัดก้อนเเป้งเป็นก้อนขนาด 30 กรัม พักก้อนเเป้งไว้อย่างน้อย 15 นาที ก่อนนำมาห่อไส้

สำหรับไส้หมูเกี๊ยวซ่า
หมูบดหยาบ ติดมันเยอะหน่อย 4 ถ้วยตวงพูน
ต้นหอม ซอยละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
หัวหอม สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
เห็ดหอม เเช่น้ำจนนุ่ม สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงขูดละเอียด บีบน้ำออกจนหมด 2 ช้อนชา
เเป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะพูน
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วญี่ปุ่น โชยุ 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 3 ใน 4 ช้อนชา
ไข่ขาว 2 ช้อนโต๊ะ
กะหล่ำปลีซอยละเอียด 2 ถ้วย
เกลือ 1 หยิบมือ สำหรับกะหล่ำปลี
โรยเกลือประมาณ 1 หยิบมือลงบนกะหล่ำปลี เคล้าให้เข้ากัน พักไว้ เมื่อน้ำในกะหล่ำปลีออกมา ล้างด้วยน้ำสะอาดให้หายเค็ม เเล้วบีบน้ำออกให้หมด เเล้วสับให้มีขนาดเส้นไม่ยาวนัก ประมาณ 2 ซม.
ผสมนวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นวดให้เหนียวสำหรับผู้เขียน ชอบใช้หัวตีใบไม้ในการนวดผสมส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน เนื้อหมูจะดึ๋งดั๋งมาก หากส่วนผสมเย็นๆ
ปั้นเป็นก้อนๆ ขนาดประมาณ 40 กรัม เรียงใส่จานกระเบื้องไว้ ได้ประมาณ 30-35 ลูกได้
คลุมจานกระเบื้องด้วยฟิล์มพลาสติกห่ออาหาร เเล้วนำเข้าไมโครเวฟครั้งละ 8-10 ลูกต่อจาน ใช้ความร้อนสูงสุดประมาณ 90-120 วินาที หมูจะสุกประมาณ 80-90% พักไว้ให้เย็นสนิท

วิธีห่อ
เเผ่ก้อนเเป้งที่ชั่งไว้ ขนาดลูกละ 30 กรัม ให้หนาสัก 0.5 ซม. วางก้อนหมูที่เย็นเเล้วลงไป ค่อยๆ รวบดึงทีละช่อขึ้นมา จนครบรอบเส้นรอบวง ทำให้ได้เป็นทีละจีบ เม้มบริเวณจีบให้เเน่น วางเรียงบนกระดาษขาว
คลุมผ้าขาวบางชุบน้ำ บิดหมาดๆ พักเเป้งไว้ 30-40 นาที หรือจนจับดูเเป้งพองๆ คล้ายฟองน้ำ ไม่หนัก
ตั้งน้ำเดือดไฟเเรง นึ่งซาลาเปาประมาณ 10-12 นาที พักไว้ให้คลายความร้อนลงสักนิด ก่อนเสิร์ฟ
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ :โดย...สีวลี ตรีวิศวเวทย์

Read More...


‘สุกี้แห้งทะเล’ ปรุงโชว์ช่วยเพิ่มจุดขาย





ยุคปัจจุบัน เพราะคนต้องทำงานแข่งกับเวลา ทำอะไรจึงต้องการความสะดวกและรวดเร็ว เรื่องอาหารการกินก็พึ่งอาหารจานเดียวหรืออาหารจานด่วนมากเพราะไม่ยุ่งยากใน การจัดเตรียมทำ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีการเลือกรับประทานเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนกัน มากขึ้น ซึ่ง “สุกี้” ก็กำลังเป็นอาหารจานด่วนที่หลายคนชื่นชอบ เพราะเป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่มีผักเป็นส่วนประกอบมาก และวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูล “สุกี้แห้งทะเล” มานำเสนอให้พิจารณากัน...

“พิมพร รอดคำแหง” หรือ “คุณหมู” เจ้าของร้านข้าวผัดปูเมืองทอง สาขา 2 เล่าว่า ต้นตำรับข้าวผัดปูเมืองทองคือ คุณสมบูรณ์ ปิยะทับทิม ที่เกิดแนวคิดนำอาหารภัตตาคารมาลงข้างทางให้คนทั่วไปมีโอกาสกินอาหารเหลา บ้าง จึงคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดี สะอาด มาทำข้าวผัดที่มีมาตรฐานรสชาติอาหารขาย และคุณสมบูรณ์ต้องการให้มีอาหารในร้านเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างเพื่อเป็นตัว เลือกให้ลูกค้า จึงชักชวนตนเองซึ่งมีฝีมือในการทำอาหารหลายอย่างมาทำร่วมกัน

“เปิดตัวที่ข้าวผัดปูและกระเพาะปลา ได้รับการตอบรับดีมาก ๆ ก็มานั่งคิดกันว่าน่าจะขยายสาขาเพื่อรองรับลูกค้า และที่สำคัญคือต้องเพิ่มเมนูอาหารทานเล่นและเมนูเพื่อสุขภาพให้กับลูกค้า บ้าง สรุปกันได้ที่เมนูหมูสะเต๊ะ กุ้งอบวุ้นเส้น และ สุกี้แห้งทะเล สูตรโบราณดั้งเดิมของอาม่า ผัดสไตล์จีนโบราณ จะแห้ง มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อมเข้ากันพอดีกับน้ำจิ้มเต้าหู้ยี้สูตรเด็ดที่ปรุงขึ้นมาเองตาม สูตรโบราณ รสชาติจัดจ้านด้วยกระเทียม พริก และหอมเต้าหู้ยี้”

คุณหมูบอกว่า ที่ร้านมีนโยบายปรุงอาหารแบบโชว์ให้เห็น ปรุงเสร็จก็เสิร์ฟทันทีจานต่อจานไม่มีการทำไว้ก่อน เพื่อให้สดใหม่ทั้งวัตถุดิบและการปรุง และแม้ราคาข้าวของจะแพงขึ้น แต่อาหารที่ร้านยังราคาปกติ คุณภาพเหมือนเดิม เช่น เนื้อปูเป็นก้อน คุณภาพดี กุ้งตัวโต ปลาหมึกสด ซึ่งจากจุดนี้ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นจนขยายร้านเป็น 4 สาขา โดยสาขา 1 อยู่ที่ซอยแจ้งวัฒนะ 14 (08-1646-3296), สาขา 2 เกษตร-นวมินทร์ (08-2972-0880), สาขา 3 อยู่ที่ถนนลาดพร้าว (08-1344-2862) และสาขา 4 อยู่ที่พหลโยธิน-เกษตร (08-1348-7080) เปิดบริการตั้งแต่เวลา 15.00-22.00 น. ทุกวัน

สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ทำ “สุกี้แห้งทะเล” สูตรโบราณ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวทั่วไปคือ เตาแก๊ส, กระทะบาง, ตะหลิว, กะละมัง, มีด, เขียง เป็นต้น ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำก็มี กุ้งสด, ปลาหมึกสด, ปลาหมึกแห้ง, ผักกาดขาว, ผักบุ้งจีน, ขึ้นฉ่าย, วุ้นเส้น, ไข่ไก่สด, น้ำมันหอย, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาลทราย, กระเทียม และน้ำมันพืช

ขั้นตอนการทำสุกี้แห้งสูตรโบราณ ก่อนอื่นต้องทำน้ำจิ้มสุกี้ก่อน ส่วนผสมก็มี...เต้าหู้ยี้สีแดง, พริกขี้หนูสด, พริกแห้งคั่ว, กระเทียมสด, กระเทียมดอง, น้ำมะนาว, น้ำกระเทียมดอง, เกลือ, น้ำตาลทราย, น้ำต้มสุก, น้ำมันงา และงาขาว

หลังเตรียมเครื่องปรุงเสร็จแล้วให้นำพริกขี้หนูสด พริกแห้งคั่ว กระเทียมสด มาโขลกรวมกันหรือจะปั่นก็ได้ เสร็จแล้วใส่ในโถปั่นใบใหญ่ ใส่ส่วนผสมที่เหลืออย่างเต้าหู้ยี้ เกลือ น้ำมะนาว น้ำตาลทรายลงไป ยกเว้นน้ำมันงากับงาขาว ปั่นส่วนผสมให้ละเอียด แล้วเทใส่หม้อตั้งไฟให้เดือด ชิมรสตามชอบ ยกลงมาเติมน้ำมันงากับงาขาว ก็เป็นอันเสร็จ

การทำสุกี้แห้ง นำผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ต้นหอม และขึ้นฉ่าย มาล้างให้สะอาด นำขึ้นให้สะเด็ดน้ำ หั่นเป็นท่อนขนาดยาวประมาณ 2 นิ้ว ตั้งพักไว้ก่อน ปลาหมึกแห้งนำมาล้างแล้วหั่นขนาดตามต้องการ ส่วนปลาหมึกสดดึงหัวและขี้ออกแล้วลอกหนังออกให้หมด ล้างให้สะอาดอีกครั้งแล้วบั้งที่ตัวหมึกให้เป็นลาย หั่นเป็นชิ้นตามชอบ กุ้งตัวโต ๆ นำมาแกะเปลือกผ่าหลังเอาไส้ดำออก ส่วนวุ้นเส้นแช่น้ำให้นิ่มเตรียมไว้

ต่อไปเป็นขั้นตอนการผัด ตั้งกระทะใบใหญ่ ใส่น้ำมันพืช พอกระทะร้อนใส่กุ้งสด ปลาหมึกสด ปลาหมึกแห้ง ลงไปผัดรวมกัน ต่อยไข่ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวเขี่ยไข่แดงให้แตก ตามด้วยใส่วุ้นเส้นและน้ำซุปลงไปเล็กน้อย ผัดไปมาด้วยไฟแรง 4-5 ครั้ง จึงใส่ผักกาดขาว ผัดพอผักกาดขาวสลดสักนิด ก็ใส่ผักบุ้งจีน ต้นหอม และขึ้นฉ่ายตามลงไป ปรุงรสด้วยน้ำมันหอยและซีอิ๊วขาวนิดหน่อย ผัดไปมาจนผักสลดพอแห้ง ก็ตักขึ้นใส่จาน พร้อมเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มรสจัดจ้านแต่กลมกล่อม

ราคาขาย “สุกี้แห้งทะเล” สูตรโบราณ ร้านนี้อยู่ที่จานละ 40 บาท มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% จากราคา

ใครสนใจอยากจะไปลองชิมความอร่อยของอาหารร้านนี้ ก็ไปกันได้ตามสาขาที่ระบุไว้แต่ตอนต้น ซึ่งนอกจากขายที่ร้านแล้ว ร้านนี้ยังมี “ช่องทางทำกิน” เพิ่มเติมในรูปแบบรับสั่งทำไปใช้ในงานต่าง ๆ หรือจะสั่งไปส่งตามสำนักงานก็มีบริการ โดยคิดค่าส่งตามระยะทาง ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดา ใครที่ได้ไอเดียทำกินก็ลองฝึกฝนเพื่อทำขาย...อย่ารอช้า!!

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี ชุมขำ เรื่อง / จามิกร ศรีคำ ภาพ

Read More...


''ฉู่ฉี่ปลาแดง'' เนื้อนุ่มรสกลมกล่อม หอม อร่อย 'ทอดมันปลากราย'

 
 
ผมยังอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี นะครับ ตอนที่น้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยาในจังหวัดอุทัยธานี ถนนที่ขนาบแม่น้ำอยู่ก็ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ ร้านอาหารที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่สามารถทำมาหากินได้ ที่ตลกก็คือเรือที่เขาทำเป็นร้านอาหารลอยขึ้นมาสูงกว่าบ้านของเขาเสียอีก ครับ

อาทิตย์นี้ผมจึงอยากจะพาไปชิมอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ร้านนัมเบอร์ไนน์ ซึ่งแปลว่าเบอร์ 9 เจ้า ของร้านเขาชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผมฟัง ผมก็ได้ประสบการณ์และความรู้หลายต่อหลายอย่างจากที่นี่ อาทิ การผูกเรือต้องผูกกับต้นไม้ที่สูงเพราะเวลาน้ำมาแล้วจะเชี่ยวพอสมควร  ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเรือก็จะลอยหายไปเลย

ช่วงน้ำท่วม ที่ร้านนี้ลำบากมากครับ ผมจึงอยากจะเชิญชวนให้เพื่อน ๆ ที่แวะไปเที่ยวที่จังหวัดอุทัยธานีได้ไปกินอาหาร เพื่อจะได้ช่วยฟื้นฟูกิจการให้กับพวกเขา ช่วยให้เพื่อน ๆ ของผมที่อยู่จังหวัดอุทัยธานีมีความสุขด้วยครับ เขาจะได้ไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากสังคมนะครับ

สำหรับร้านนี้ แน่นอนครับวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารจะต้องมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา เขาจะมีปลาที่มาจากแม่น้ำ และที่นี่มีเห็ดต่าง ๆ หลายอย่างอีกด้วย ผมเริ่มกินเล่นด้วย ยำเห็ดสามอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วยเห็ดโคนและเห็ดอีก 2 อย่างซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว ต้องขอโทษด้วยครับ เขาเอาเห็ดไปลวกแล้วถึงเอามายำแบบน้ำใส ซึ่งการกินเห็ดจะช่วยทำให้การย่อยดี รสชาติอร่อย ไม่เลี่ยนจนเกินไป

ตามมาด้วย ต้มยำปลาลึง ซึ่งจะคล้าย ๆ กับปลาบึก แต่ตัวเล็กกว่า ปลาที่นี่สดมากครับ วิธีการทำต้มยำของเขาทำง่าย ๆ เป็นน้ำใส ใส่หม้อไฟเสิร์ฟมาให้เรากินกัน รสชาติกำลังดี ปรุงได้ดีเป็นรสต้มยำที่กลมกล่อม ไปครั้งนั้นผมนั่งกินบนเรือครับ แต่ความจริงผมอยากจะล่องเรือกินข้าวและดูวิวไปด้วย ทว่าผมมีเวลาไม่พอ

ระหว่างนั้นผมก็ถามเขาว่า ฟากตรงกันข้ามน้ำท่วมหรือเปล่า ได้รับคำตอบว่าท่วมครับ ผมก็ถามกลับไปถึงความเป็นอยู่ในช่วงที่น้ำท่วมก็ได้บรรยากาศสนุก ๆ ดีครับ เพราะมีทั้งเรื่องเศร้าและเรื่องสนุก

หลังจากนั้น เขาเอา ทอดมันปลากราย มาให้ผมกิน ผมว่าที่นี่เนื้อปลาสดดีมากครับ เพราะทอดมันปลากรายของเขา นุ่ม เหนียว อร่อย เด้ง ๆ ดีครับ

จากนั้นมี เจ้าพระยาทอดกรอบ คือ ปลาเนื้ออ่อนเอามาทอดกรอบ กินได้ทั้งตัวเลยครับ เพราะทอดได้กรอบมากครับ ไม่ใช้ไฟแรง ส่วนน้ำจิ้มของเขาเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ด
ยิ่งทำให้อาหารจานนี้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ยังมี ปลาแรดสมุนไพร เพราะที่จังหวัดอุทัยธานีเป็นเมืองปลาแรดครับ โดยที่นี่เขาเลี้ยงปลาแรดในกระชังกัน เพราะน้ำริมแม่น้ำของเขาสะอาดมากพอ ซึ่งแต่ละตัวเป็นปลาตัวใหญ่มาก บางตัวหนัก 2 กิโลกรัมยังมีเลยนะครับ โดยเขาจะเอาปลาแรดมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยม ลูกเต๋าแล้วเอาไปทอดให้กรอบนอกนุ่มใน เสร็จแล้วราดด้วยซอสสมุน ไพร กลายเป็นยำสมุนไพรต่าง ๆ คล้ายกับเมี่ยงครับ แต่ราดลงไปบนตัวปลาเลย อร่อยดี สำหรับจานนี้เดี๋ยวผมจะพูดในชิมให้เป็นด้วย

มาที่นี่ทีไรถ้าผมไม่ได้กิน ฉู่ฉี่ปลาแดง ต้องร้องไห้แน่เลย เพราะปลาแดงที่นี่อร่อยเหลือเกิน เขาใช้ปลาสด ๆ เอาไปรวนในเครื่องแกงฉู่ฉี่ จนน้ำแกงฉู่ฉี่สุกพอดี ๆ รสชาตินุ่ม หวาน เค็มเล็กน้อย กำลังดีครับ แถมยังได้ความหวานของเนื้อปลาด้วย ผมถึงรู้ว่าปลาสดแค่ไหน สำหรับจานนี้ ผมกินเปล่า ๆ ได้เลย ไม่ต้องกินข้าว แค่นี้ผมก็มีความสุขมากครับ

ในเรือของเขามีการจัดเลี้ยงพาขึ้นเรือ กินไปชมวิวไปด้วยนะครับ แล้วก็พากลับ เพราะฉะนั้นถ้าใครไปอุทัยธานียังมีอะไรแปลก ๆ ให้ทำ มีการนั่งเรือกินอาหารชมบรรยากาศ และอาหารก็อร่อยด้วยครับ

อย่าลืมนะครับว่าทุกคนที่จังหวัดอุทัยธานีกำลังรอผู้มาเที่ยวอยู่ ซึ่งผมก็จะไปที่ร้านแห่งนี้อีกครั้งเหมือนกันครับ ผมเขียนให้ร้านนี้ในเดือนนี้หวังว่าน้ำคงจะยังไม่มาอีกครั้งนะครับ เพราะถ้าปีนี้ถูกน้ำท่วมอีกต้องแย่แน่ ๆ เลย.
ปลาแรดบั้งทอดยำมะม่วงดิบ - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุงปลาแรดบั้งทอด
- ปลาแรดขอดเกล็ดเอาไส้ 500กรัมออกล้างทำความสะอาด
- น้ำปลา   2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันปาล์ม สำหรับทอด
วิธีทำ

1. นำปลาแรดมาทำความสะอาดแล้วบั้งทั้งสองข้าง พักไว้ในชามผสม ใส่น้ำปลาคลุกเคล้าให้เข้ากัน พักทิ้งไว้ 5 นาที

2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปให้ร้อน นำปลาแรดที่หมักไว้ลงไปทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน

3. ตักปลาที่ทอดสุกแล้วลงในจาน เสิร์ฟพร้อมกับยำมะม่วงดิบ
เครื่องปรุงยำมะม่วงดิบ
-พริกขี้หนูเขียวและแดงสับ    10 เม็ด
-น้ำปลา       2–3 ช้อนโต๊ะ
-น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
-น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
-มะม่วงสับเป็นเส้น ๆ 1/4 ถ้วยตวง
-หอมแดงซอย 3 หัว
-ต้นหอมซอย 2 ต้น
-ผักชีใบเลื่อยซอย 2 ต้น
-ผักชีซอย 1 ต้น
วิธีทำ

1. ในชามผสม ใส่พริกขี้หนูเขียวและแดงสับ น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว ผสมให้เข้ากัน เพื่อทำน้ำยำ

2. ใส่มะม่วงสับ หอมแดงซอย ต้นหอมซอย ผักชีใบเลื่อยซอย ผักชีซอย ผสมให้เข้ากัน ชิมรสชาติให้ออก เปรี้ยว เค็ม หวาน

3. ตักยำมะม่วงลงในถ้วย เสิร์ฟกับปลาแรดที่ทอดไว้
ปลาแรดทอดสมุนไพร - ชิมให้เป็น
การที่เราจะเอาปลาแรดมาทำเป็นยำ ต้องเอาเนื้อปลาแรดมาหั่นเป็นลูกเต๋าเสียก่อน เพราะเวลากินจะได้กินได้สะดวก ไม่ต้องเสียเวลาฉีกกันอีก จากนั้นนำไปชุบแป้งทอดแล้วทอดไม่ต้องใช้ไฟแรงนะครับ ใช้ไฟกลาง ๆ เมื่อทอดเสร็จแล้วก็นำขึ้นจากกระทะพักไว้

ส่วนน้ำยำจะต้องมีความเข้มข้นและแซบพอสมควร จึงจะเข้าเนื้อกลมกล่อม ไม่ใช่แค่หวาน ๆ เปรี้ยว ๆเค็ม ๆ  เพราะว่าเนื้อปลาจะอมรสชาติไปเกือบหมด ทำให้ไม่ได้รสชาติของน้ำยำเลย

เวลาไปกินต้องชิมให้เป็นนะครับ ถ้ารสชาติไม่อร่อยจะได้บอกเขาได้ว่าทำไมถึงไม่อร่อย ไม่อร่อยเพราะขาดอะไรที่ร้านจะได้รู้ว่าเราก็ทำเป็นเหมือนกัน สำหรับปลาแรดทอดสมุนไพรของที่ร้านนี้ใช้ได้ครับ แต่ยังไม่อร่อยสุด ๆ เพราะว่าน้ำยำนั้นยังไม่เข้มข้นมากพอที่จะซึมเข้าไปในชิ้นปลาแต่ละชิ้น ถ้าน้ำยำเข้มข้นกว่านี้ก็จะได้รสที่ดีและกลมกล่อม สั่งปลาแรดทอดสมุนไพรครั้งต่อไป ต้องลองชิมดูนะครับว่าน้ำยำของร้านที่ไปกินนั้นเป็นอย่างไร เพื่อน ๆจะได้ชิมให้เป็นอย่างไรครับ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com


Read More...


น้ำพริกปลาป่น-ปลาร้าสับ






ผู้ เขียนถามแม่บ้านว่า อันที่จริง 'บอง' นี่ก็ใส่ปลาร้าตั้งแยะ แต่ก็ไม่ยักเรียกว่าน้ำพริกปลาร้า ถ้ายังงั้นทางอีสานก็ต้องมีอาหารสักชนิดสิที่เรียกว่าเป็น 'น้ำพริกปลาร้า' จริงๆ ของเขา

คำตอบของแม่บ้านชาวอีสานของผู้เขียนทำให้คนฟังปวดหัวใจค่ะ

เพราะเขาบอกว่า 'มีสิคะ ทำไมจะไม่มี แต่น้ำพริกปลาร้าที่คุณๆ ทางภาคกลางเรียกขานกันนั้น ทางภาคอีสานเราเรียกกันว่าน้ำพริกปลาป่นค่ะ'






ตำรา น้ำพริกปลาป่น ของเขาใกล้เคียงกันกับ 'บอง' ค่ะ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากปลาร้าปลาช่อนเป็นปลาร้าอะไรก็ได้ เป็นต้นว่า ปลาร้าปลากระดี่ก็ใช้ได้ แต่ต้องนำมาตั้งไฟจนเนื้อปลาเปื่อยดีแล้ว กรองเอาก้างทิ้งไป เก็บแต่น้ำปลาร้าเอาไว้ใช้แล้วก็เปลี่ยนจากปลากรอบมาเป็นปลาช่อนย่าง



ส่วน พริกนั้น คุณจะใช้พริกขี้หนูป่นหรือพริกชี้ฟ้าเผาไฟจนสุกแล้วลอกเปลือกออก ก่อนนำมาโขลกปนกับเครื่องที่ให้ไว้ก็ได้ทั้งสองชนิดค่ะ แต่ผักที่ใช้รับประทานกับน้ำพริกปลาป่นนั้น ส่วนมากเขาจะใช้ผักต้ม คุณจะใช้ผักบุ้งต้ม บวบงู ดอกแค ยอดกวางตุ้ง กะหล่ำปลี ฯลฯ ก็ได้ทั้งสิ้นค่ะ

ยังมีผักอีสานอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งคุณบางคนอาจจะเคยพบในป่าภาคอีสาน เป็นช่อสีม่วงอ่อน งามระทดระทวยน่ารักจนอยากจะตัดเอามาปักแจกัน คนอีสานเรียกผักชนิดนี้ว่าดอกกระเจียวค่ะ

เมื่อเร็วๆ นี้ ผู้เขียนได้ไปพบดอกไม้ชนิดนี้ที่สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง ดอยช้างมูบ จังหวัดเชียงราย เชื่อไหมคะว่าอากาศอันหนาวเย็นเต็มไปด้วยหมอกและไอน้ำ ทำให้ดอกไม้ชนิดนี้มีช่อโตขนาดเท่ากับลำแขนของผู้ชายเชียวค่ะ ผักชนิดนี้ละที่แม่บ้านแกบอกว่า พอมันแทงยอดออกมาอ่อนๆ ยังมีใบอ่อนห่อหุ้มอยู่ เขาก็จะไปตัดเอามาต้มจิ้มกับน้ำพริกปลาป่น อร่อยนัก

ปลาร้าสับ

ตําราอาหารทั้งสองชนิด คือทั้งบองและน้ำพริกปลาป่น คุณสามารถปรุงแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น รับประทานได้หลายวัน

แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นใช้เครื่องสด คือ หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดหั่นฝอย (สดคือไม่ต้องเผาไฟค่ะ)

นำมาโขลกให้แหลก

ส่วนปลาร้าก็นำมาสับให้ละเอียดก่อนใส่ลงไปในครกด้วย

เติมพริกขี้หนูแห้งป่นละเอียด

คลุกเคล้ากันให้ดี

ใช้รับประทานกับผักสด

น้ำพริกรายการสุดท้ายนี้ เขาเรียกว่า 'ปลาร้าสับ' ค่ะ

ตกลงไปๆ มาๆ ก็เลยให้ตำราน้ำพริกภาคอีสานคุณๆ เสียตั้งสามชนิดเลยนะคะ

แซ่บบ่?


ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สุคนธ์ จันทรางศุ

Read More...


ร้าน อี่ โภชนา ยังคงกลิ่นอายร้านอาหารแบบสมัยก่อน

.



Read More...


เส้นจันท์ผัดปู สูตรโบราณยังทำเงินดี


 


Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.