สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

ชวนชิม "ขาหมู" สูตรเด็ด ลิ้มรสน้ำชาแท้ตำรับญี่ปุ่น

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

หลังจากวิกฤติน้ำท่วมผ่านไปแล้ว สิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ก็คือ ผมอยากจะเขียนถึงร้านที่ถูกน้ำท่วม เพราะเขาจะได้ฟื้นตัวกลับมาทำอาหารที่อร่อยให้พวกเราได้กินกันเหมือนเดิม โดยวันนี้ผมจะเขียนถึงร้านอร่อยสองร้านด้วยกัน

ร้านแรกที่ผมจะพาไปกินอยู่ที่เมืองทองธานีครับ เป็นร้านข้าวขาหมูที่อร่อย ชื่อว่า ร้านขาหมูเมือง ทอง คงไม่ต้องบอกนะครับว่าจะมีอะไรให้กินบ้าง อย่างแรกที่เข้าร้านมาแล้วต้องสั่ง ก็คือ คากิ ซึ่งมีให้กินแน่ ๆ แล้วคากิของเขาไม่ได้มันอย่างเดียวนะครับ แต่ทั้งมันและนุ่ม รสชาติดี เมื่อกินเข้าไปแล้วเหมือนจะละลายในปากของเราเลยครับ

จากนั้น มี หมูกรอบ ที่อร่อยมาก หนังของหมูกรอบจะไม่ฟูครับ เกือบเหมือนของฮ่องกงเลย เมื่อกินขาหมู ก็ต้องกินกับข้าว ฉะนั้นเวลาไปกิน ผมจะสั่งข้าวมาเป็นจาน ๆ เลย แล้วก็สั่งกับ มีทั้งคากิ หมูกรอบ ขาหมู แล้วก็จะมีแกงจืดด้วย

สิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องไม่ลืมนะครับว่าที่นี่เขามี หน่อไม้ต้มกระดูกหมู ที่อร่อยมาก ๆ ด้วย โดยมากแล้วจะเป็นผมที่กินอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นเขาไม่รู้ว่าอาหารจานนี้อร่อยแค่ไหน รสชาติเข้มข้นดีครับ หน่อไม้ของเขาเป็นหน่อไม้ที่กรอบแล้วก็มัน ความมันของหน่อไม้จะคล้าย ๆ มันแกว แต่จะมีรสชาติที่ดีกว่ามาก

มีอาหารอีกอย่างหนึ่ง บางคนอาจจะไม่ทราบว่าที่นี่เขามี กวย จั๊บน้ำข้น ให้กินด้วย ต้องไปกินนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้หากวยจั๊บน้ำข้นอร่อย ๆ ยากมาก แต่ร้านนี้เขาทำได้ดี ขนาดไม่มีสิ่งที่ผมชอบ นั่นคือลิ้นหมู เพราะทางร้านบอกว่าสมัยนี้คนเขาไม่กินลิ้นหมูกันก็ตาม แต่เพื่อน ๆ คงทราบดีนะครับว่าความสม่ำเสมอของอาหารและรสชาติของเขาเหมือนเดิมมาตลอด เพราะเขาทำแบบครอบครัว ไม่ต้องจ้างเชฟมาทำ ช่วยกันทำมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมมีความสุขครับ เวลามีการถ่ายทำโทรทัศน์ที่บ้าน ผมจะส่งคนไปซื้อขาหมู กวยจั๊บน้ำข้น และหน่อไม้ต้มกระดูกหมู แต่ไม่ได้ซื้อเป็นข้าวขาหมูมานะครับ จะซื้อแยกกัน

ถ้าเพื่อน ๆ ผ่านไปแถวนั้น อย่าลืมแวะไปชิมกันนะครับ ร้านจะอยู่ด้านหน้าซอยที่เข้าไปมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้วจะอยู่ซ้ายมือ อาจจะหาที่จอดรถยากเล็กน้อย เพราะต้องจอดตามข้างทาง ที่ร้านจะไม่มีที่จอดรถ

อีกร้านหนึ่งที่ผมจะพูดถึง เขามีหลายสาขาในกรุงเทพฯ (รู้สึกว่าจะมีประมาณ 8 สาขา) ยังไงก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดในเว็บไซต์ของเขาอีกทีนะครับว่ามีสาขาอยู่ที่ ไหนบ้าง

ร้านที่ผมพูดถึงนี้เป็นร้านน้ำชา ชื่อว่า ชาโฮ เป็นร้านขายน้ำชาแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ มีน้ำชาหลายชนิดที่น่ากิน เขามีเมนูให้เลือกเยอะแยะ แต่ผมจะพูดถึงชาที่ผมชอบมากก่อนแล้วกันนะครับ นั่นก็คือ มัตฉะ ซึ่งทำมาจากชาเขียว เป็นชาที่แพงที่สุดในร้านเลย รู้สึกว่าจะราคาราว ๆ 380 บาท

ผมได้ดื่มมัตฉะถ้วยเดียวนะครับ ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ใครเมามาแล้วดื่มมัตฉะเข้าไป 380 บาท หายเมาเลยครับ โดยจะต้องกินกับขนมดังโงะชาเขียวครับ อร่อยมาก ที่นี่เขามีผงชาขายด้วยนะครับ ตั้งแต่ราคาแพงที่สุด มีคุณภาพดีไปจนถึงราคาไม่แพง แต่คุณภาพก็ดีเช่นกัน

ส่วนขนม เขาทำเองหลายอย่าง แต่ขนมที่ผมชอบมากมีอยู่ 2 อย่าง คือ ขนมดังโงะ และ เค้กเครป กับซอสช็อกโกแลต ซึ่งเป็นแป้งแผ่นบาง ๆ กลม ๆ แล้วเอาวิปปิ้งครีมมาใส่ระหว่างชั้น แล้วหั่นมาเป็นชิ้นสามเหลี่ยม เสิร์ฟกับช็อกโกแลต กินกับน้ำชา อร่อยมากเลยครับ

ที่นี่มี ชาเขียวลาเต้ และ ชาเขียวกับช็อกโกแลตขาว ซึ่งเมื่อคุณกินเข้าไปแล้วจะเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ เสียก่อน แล้วค่อยแวะไปจิบน้ำชาและของหวานแก้เลี่ยนที่ร้านชาโฮก็ได้นะครับ รสชาติของเขาได้มาตรฐานทุกสาขาเลยครับ.
ต้มยำขาหมูเยอรมัน - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุง
-น้ำเปล่า 1ลิตร
-ขาหมูเยอรมันทอดแล้วหั่นเป็นชิ้น 500กรัม
-ข่าทุบ 3-4แว่น
-ตะไคร้หั่นท่อนทุบ1ต้น
-ใบมะกรูดฉีก 2-3ใบ
-พริกขี้หนูบุบ 10เม็ด
-น้ำปลา 3-5ช้อนโต๊ะ
-น้ำมะนาว 3-5ช้อนโต๊ะ
-เห็ดภูฏาน 100กรัม
-ผักชีใบเลื่อย 1/4ถ้วยตวง
-ผักชีเด็ดเป็นใบ 1/4ถ้วยตวง
-พริกขี้หนูแห้งทอดตามต้องการ
วิธีทำ

1. นำหม้อใส่น้ำเปล่า ตั้งไฟให้เดือด ใส่ขาหมูลงไปเคี่ยวจนนุ่มให้น้ำมีกลิ่นหอมของขาหมู

2. ใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดฉีก  และพริกขี้หนูบุบ (ถ้าชอบเผ็ด) ลงไปต้มให้หอม ใช้เวลาประมาณ 30-60 วินาที

3. ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำมะนาว

4. ใส่เห็ดภูฏานลงไป ต้มให้เดือดอีกครั้ง ชิมรสให้ออก เปรี้ยว เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ใส่ผักชีใบเลื่อย ผักชีเด็ดใบ และพริกขี้หนูแห้งทอด เสิร์ฟกับข้าวสวยร้อน ๆ
กวยจั๊บ - ชิมให้เป็น
เมื่อตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยเห็นกวยจั๊บน้ำใส อาจจะเป็นเพราะว่าคนเรานั้นเริ่มจะขี้เกียจ ทำให้สมัยนี้ก็เลยเอาเส้นกวยจั๊บไปแช่น้ำแล้วก็ต้มจนกระทั่งเส้นนุ่ม แล้วเอามาสะเด็ดน้ำทำเหมือนก๋วยเตี๋ยว จากนั้นก็เอาน้ำใส ๆ ใส่เข้าไป ใส่เครื่องแค่นี้ก็เสร็จแล้ว

ซึ่งความจริงแล้วกวยจั๊บน้ำใสจะไม่มีทางอร่อยเท่ากวยจั๊บน้ำข้นได้เลย เพราะกวยจั๊บน้ำข้นจะต้องต้มจนกระทั่งแป้งเละ และตัวน้ำซุปของน้ำกวยจั๊บเองก็ต้องต้มจนกระทั่งข้น สีจะออกคล้ำ ๆ น้ำตาลดำ ๆ นิด ๆ และเครื่องที่จะใส่นั้นสำคัญมาก โดยเครื่องในหมูที่เราใส่เข้าไปนั้นจะต้องทำให้สะอาด ซึ่งจะต้องทำเป็น เพราะถ้าล้างไม่เป็น เครื่องในจะมีกลิ่นเหม็นคาว ไข่ต้มสี   คล้ำ ๆ ก็เช่นกัน ต้องหั่นเป็นเสี้ยวมา และที่สำคัญต้องมีเต้าหู้ด้วย เครื่องต้องครบ

ผมยังบ่นกับที่ร้านเลยว่า ทำไมไม่มีลิ้นให้ผมกิน เขามีหมูกรอบ ตับ ไต ไส้พุง ทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไม่มีลิ้น เพราะว่าโลกของเราเปลี่ยนไปแล้ว อย่าลืมนะครับว่าจะชิมให้เป็นต้องรู้ว่าแท้จริงแล้วอาหารนั้นจะต้องมีอะไร ใส่เข้าไปบ้าง ทำให้กวยจั๊บเมื่อก่อนอร่อยกว่านี้ครับเพราะว่าครบเครื่องจริง ๆ และจะต้องเป็นน้ำข้นถึงจะเป็นกวยจั๊บของจริงที่มีมาแต่โบราณครับ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


ชวนชิมหลากเมนู ''อาหารอีสาน'' อร่อยครบรส...แซบถึงใจ

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

คุณเอี๊ยดกับผมเป็นเพื่อนกันมานานมากตั้งแต่ผมกลับจากเมืองนอกใหม่ ๆ คุณเอี๊ยดมีร้านหอยทอด ผัดไทย และอีกหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมีหลายสาขาพอสมควร โดยแม่ครัวของคุณเอี๊ยดเป็นคนที่ทำอาหารได้อร่อยมาก ผมลองชิมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว

และผมมีเพื่อนที่อยู่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเขาทำอาหารอีสานได้อร่อยมาก มีร้านอยู่ที่ขอนแก่นด้วย พอเขามากรุงเทพฯ ผมเลยแนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน คุณเอี๊ยดจึงขอซื้อสูตรอาหารจากเพื่อนผมมาทำร้านอาหารที่ ถนนรัตนาธิเบศร์ ผมเลยตั้งชื่อร้านให้ว่า เอี๊ยดตำแหลก

ที่ร้านนี้มีอะไรกินบ้าง ผมขอเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังนะครับ อย่างแรกมี ปลาทับทิมเผา ที่ยัดไส้ด้วยสมุนไพรต่าง ๆ แล้วเอาเกลือทา จากนั้นจึงนำไปย่างไม่ให้ปลาแห้งจนเกินไป อร่อยมากครับ เนื้อปลานุ่ม เพราะได้ปลาที่สด ซึ่งจะทำให้ได้รสชาติที่หวานครับ

คอหมูย่าง ที่นี่อร่อยมาก เพราะเนื้อนุ่มเหลือเกินครับ แต่ผมขอพูดเรื่องน้ำจิ้มสักเล็กน้อยที่นี่มีน้ำจิ้มหลายอย่างเหลือเกินครับ มีทั้งแจ่ว น้ำจิ้มซีฟู้ด แจ่วมะเขือเทศ

อย่างเมื่อเขาเอาปลาเผามาเสิร์ฟ ก็จะมีน้ำจิ้มแจ่วมาให้ และมีมะเขือเผามาให้ด้วยครับ ของแปลกที่เขานำมาให้ผมกิน มีทั้ง ผักเคียงที่เยอะมากมาย รวมทั้ง ข้าวเหนียวที่ห่อมาอย่างสวยงามน่ากินมาก นอกจากจะมีปลาทับทิมเผาแล้ว ยังมี ปลาช่อนนึ่ง เสิร์ฟกับแจ่วมะเขือเทศและแจ่วธรรมดาด้วย ผมกินอย่างสนุก สนานเลยครับ

จากนั้น มี ไก่บ้านทอดน้ำปลา อร่อยมากเช่นกันครับ ผมนั่งแทะอยู่คนเดียวเลย เนื้อไก่รสชาติไม่เค็มเกินไป รวมทั้ง เนื้อกับหนังยังกรอบอยู่เลยครับ แต่เนื้อไก่ของเขาจะเหนียวนิด ๆ สู้ฟันเล็กน้อย  แล้วต้องกินกับขนมจีนนิดหนึ่งนะครับถึงจะอร่อย

ตามมาด้วยส้มตำซึ่งเป็นเมนูที่ขาดไม่ได้ มีทั้ง ส้มตำไทย ส้มตำลาว และ ส้มตำปูม้า เรื่องส้มตำไม่ต้องพูดอะไรมากครับ อร่อย แซบที่ครกครับ ถ้าใครไม่ชอบกินรสเผ็ดมาก ตอนสั่งต้องบอกเขาด้วยนะครับ เพราะเดี๋ยวจะกินกันไม่ได้ เพราะแม่ครัวที่นี่จะตำรสชาติจัดจ้านครับ

เมนูโปรดของผมจริง ๆ ก็คือ ตำแหลกผลไม้  ทำไมถึงเรียกว่าตำแหลกผลไม้ ทราบหรือไม่ครับ ก็เพราะเขาเอาผลไม้ต่าง ๆ มาตำแหลกแบบทางภาคอีสาน ถ้าเป็นผมจะใส่ปูกับปลาร้าเข้าไปด้วย แต่ที่ร้านใส่แต่ปลาร้าเท่านั้นครับ  ตำได้อร่อยมาก เป็นเมนูเพื่อสุขภาพด้วยนะครับ เพราะปลาร้าเขาต้มมาเป็นอย่างดี ไม่ต้องกลัวเรื่องพยาธิครับ

อาหารอีสานเป็นสิ่งที่ผมชอบมากเลย แต่คนไทยมักจะบอกว่าอย่ากินอะไรหวาน ซึ่งความจริงแล้วในอาหารอีสานไม่มีอะไรหวาน เลยนะครับ ฉะนั้นถ้าไปที่ร้านเอี๊ยดตำแหลกจะมีของหวาน ๆ อยู่เหมือนกัน เช่น ส้มตำไทย ก็ต้องหวานหน่อยหนึ่ง ซึ่งจริง ๆ จะต้อง เปรี้ยว เค็ม หวาน เท่า ๆ กัน แต่ถ้าไปสั่งส้มตำลาว ก็คงต้องไปบอกให้เขาใส่น้ำตาลด้วย เพราะส้มตำลาว จะไม่มีน้ำตาลใส่เลยเด็ดขาดครับ ใครไม่ถนัดรสชาติแบบนั้นก็ต้องบอกพนักงานตอนที่เขามารับรายการอาหาร แต่ถ้าใครที่ชอบรสชาติแท้ ๆ ก็ไม่ต้องบอกอะไร สั่งแต่ชื่ออาหารที่อยากกินครับ

ส่วนตำแหลกผลไม้จะมีความหวานอยู่ในตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องใส่น้ำตาลเข้าไป เขาต้องใช้พริกแห้งในการตำจะได้เผ็ด แซบ อร่อย ส่วนส้มตำปูควรจะเป็นแบบ
ไทย ๆ เพราะผมว่าส้มตำปูแบบอีสานไม่ค่อยอร่อย ตรงนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะครับ

ลองแวะไปดู ร้านนี้มีอาหารมากมายหลายอย่างให้ได้เลือกชิมกัน แต่ผมเพียงเรียนให้ทราบนิดเดียวว่าไก่บ้านทอดน้ำปลาของเขาอร่อยมากครับ  ส่วนอาหารประเภทตำต่าง ๆ สุดยอด เรื่องน้ำจิ้มของเขายิ่งดีใหญ่เลยนะครับ มีให้เลือกหลายอย่าง อร่อยมากครับ และผมก็ชอบมากด้วย เพราะฉะนั้นอยากจะเชิญชวนเพื่อน ๆ ให้ลองไปชิมกันครับ.
ชิมให้เป็น
คนส่วนมากชอบเข้าใจผิดว่า อาหารอีสาน อย่างแจ่ว จะต้องทำให้ถูกปากคนกรุงเทพฯ หรือคนที่ไม่ใช่คนที่มาจากภาคอีสาน ความจริงแล้วต้องไปถามคนอีสานดูนะครับว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าชิมให้ เป็น ผมขอบอกเลยว่าแจ่วนั้นทำจากอะไรบ้าง

ความจริงแล้ว จะมีน้ำปลาหรือปลาร้า พริกแห้งหรือพริกป่นก็ได้นะครับ รวมทั้ง น้ำส้มมะขาม (น้ำมะขามเปียก) หรือจะเป็นมะนาวก็ได้ครับ ต้องมีต้นหอมด้วย บางครั้งจะใส่ใบสะระแหน่ หรือผักชีใบเลื่อยเข้าไปด้วยสักเล็กน้อย จากนั้นผสมให้เข้ากันแล้วก่อนยกเสิร์ฟก็ค่อยโรยข้าวคั่ว ไม่ใช่โรยแล้วแช่ไว้นาน ๆ นะครับ เพราะจะทำให้ข้าวคั่วอืดได้

หลายคนสงสัยที่ผมไม่ได้เอ่ยขึ้นมาเลยก็คือ น้ำตาล ใช่หรือไม่ครับ ความจริงแล้ว แจ่วจะไม่มีน้ำตาลนะครับ และรสชาติก็ไม่ควรจะหวานด้วย เดี๋ยวคนอีสานเขาจะหาว่าคนกรุงเทพฯ กินไม่เป็นเด้อ ผมเองก็คิดเหมือนคนอีสาน เพราะคนกรุงเทพฯ กินไม่เป็น ชอบใส่น้ำตาล

แต่ถ้าอยากจะใส่น้ำตาล ก็ใส่ได้ตามใจชอบ เพราะคนเราชอบกินรสชาติไม่เหมือนกัน  แต่ผมเองก็ยังอยากให้ลองกินแบบอีสานดูนะครับ ผมว่ารสชาติแซบกว่ากันตั้งเยอะ รวมทั้งจะได้ชิมให้เป็นด้วยนะครับ
ซุปปูแบบจีน - เข้าครัวกับหมึกแดง
เครื่องปรุง
-น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
-ต้นหอมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
-ขิงสับ 1 ช้อนชา
-เห็ดหูหนูสับหยาบ 30 กรัม
-หน่อไม้จีน 30 กรัมซอยเป็นเส้น
-เนื้อปู 50 กรัม
-น้ำซุป 1 ลิตร
-จิ๊กโฉ่  พอประมาณ
-ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น 1 ช้อนชา
-พริกไทยขาวป่น 1/2 ช้อนชา
-พริกไทยดำป่น 1/2 ช้อนชา
-แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
-ไข่ไก่ 2 ฟอง
- น้ำมันงา 2 ช้อนชา
- เนื้อปูเป็นก้อน สำหรับโรยหน้า
- ใบผักชี สำหรับโรยหน้า
วิธีทำ

1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไป พอร้อนใส่ต้นหอมสับ ขิงสับลงไป ผัดพอหอม

2. ใส่เห็ดหูหนูสับหยาบ หน่อไม้จีนซอยเป็นเส้น และเนื้อปูลงไปผัดให้เข้ากัน

3. เติมน้ำซุปลงไป ต้มให้เดือด

4. ปรุงรสด้วย จิ๊กโฉ่ ซีอิ๊วขาว เกลือป่น พริกไทยขาวป่น พริกไทยดำป่น คนให้เข้ากัน

5. ชิมรสให้ออก เปรี้ยว เค็ม ๆ และหวานจากผักและน้ำซุป

6. ในชามผสม ใส่แป้งมันผสมกับน้ำซุป คนให้แป้งละลาย แล้วเทลงไปในหม้อซุป คนให้เข้ากัน ต้มพอเดือดและซุปข้นขึ้น

7. ตอกไข่ใส่ชามผสม ตีพอเข้ากัน แล้วเทไข่ลงไปในหม้อ พักไว้ประมาณครึ่งนาที แล้วคนให้ไข่แตกกระจายให้ทั่ว และเป็นเส้น ๆ ใส่น้ำมันงาลงไป คนพอเข้ากัน ปิดไฟ

8. ตักซุปใส่ถ้วย แต่งหน้าด้วยเนื้อปูเป็นก้อน ใบผักชี เสิร์ฟกับจิ๊กโฉ่
ความอร่อย     ความสะอาด     คุณภาพของวัตถุดิบ   การบริการ    ราคา ความเผ็ด
ที่อยู่ : 35/37-38 ถ.รัตนาธิเบศร์ ต.บางกระสอ
อ.เมือง นนทบุรี  11000
โทรศัพท์ : 0-2969-9959
เวลาเปิด :  เปิด  10.00–22.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ที่ 4 ของเดือน
*มีห้องสำหรับจัดเลี้ยง*
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


หอมน่าชิม ซี่โครงหมูทอดใบมะกรูด อร่อยเคียงคู่ปลาทูฟูผัดพริกขิง

.
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยบอกเอาไว้ว่า จะเขียนถึงร้านอาหารที่ถูกน้ำท่วมเพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ไปอุดหนุนเขา เพื่อเขาจะได้มีกำลังใจทำอาหาร
อร่อย ๆ ให้เราทาน วันนี้จึงอดไม่ได้ที่จะพูดถึงร้าน เจ้น้อยกระโทก ซึ่งเขามีสาขาแรกอยู่ที่โคราช ผมไปกินบ่อยครั้งเหลือเกิน และผมก็เพิ่งจะทราบว่าที่จังหวัดปทุมธานี ย่านเมืองเอกก็มีร้านเจ้น้อยกระโทกเหมือนกัน เป็นอีกสาขาหนึ่งครับ  ผมไปกินก่อนที่น้ำจะท่วม ซึ่งก็หลายเดือนมาแล้ว แต่ผมเพิ่งจะเขียนให้ในช่วงนี้ ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ครับ

ร้านนี้อร่อยเหมือนที่โคราชเลยครับ แต่ว่าเขาไม่ได้มีอาหารหลากหลายเหมือนที่โคราชนะครับ แต่ในละแวกนั้นคนก็รู้จักร้านของเขากันพอสมควร วันที่ไปผมได้กิน ซี่โครงหมูทอดใบมะกรูด ซึ่งเขาเอาไปหมักกับซอสอะไรไม่รู้เหมือนกันและเอาไปทอด แต่ทอดไฟไม่แรงนักนะครับ แต่เขาคงหมักนานเหมือนกัน เพราะเมื่อผมชิมดูแล้ว เนื้อนุ่มและอร่อยมาก ใช้ได้เลยครับ ผมเป็นคนที่ชอบแทะกระดูกด้วย เคี้ยวมันดีครับ

นอกจากนั้นยังมีอาหารพิเศษให้ผมทานอีก เป็น ปลาทูฟูผัดพริกขิง ต้องเรียนตามตรงนะครับว่า สำหรับใครที่อยากจะทำแบบนี้ คือ ปลาทูสมัยนี้ราคาไม่ได้ถูกเลยที่จะเอามาทำเป็นปลาทูฟู อาหารจานนี้จึงมีราคาค่อนข้างแพงสักเล็กน้อย แต่ต้องบอกว่ารสชาติอร่อยและหอมมากเลยครับ

จานต่อมาเป็น ปลากะพงทอดน้ำปลา ซึ่งปลากะพงนั้นเขาทอดได้ดีจริง ๆ ครับ เพราะว่าเขาไม่ทอดจนกระทั่งแห้งเกินไป เวลากินต้องเอาน้ำปลาผสมกับน้ำมันร้อน ๆ ครับ เอาไปราดบนปลา ที่นี่เขาเสิร์ฟกับยำมะม่วงด้วยนะครับ แต่ผมไม่กินกับยำมะม่วง ผมกินกับพริกน้ำ ปลาของโปรดของผม เมื่อกินเข้าไปแล้วผมมีความสุขมากเลยครับ

ส่วน แกงขี้เหล็ก มีอยู่ 2 ที่เท่านั้นครับที่ผมชอบกิน ถ้าในกรุงเทพฯ คือ ร้านนี้ครับ กับอีกร้านหนึ่ง คือ ร้านนัดพบ ตรงถนนพิบูลสงครามใกล้ ๆ กับสะพานพระราม 5 ซึ่งที่ร้านเจ้น้อยกระโทกนี่ แกงขี้เหล็กอร่อยมาก แต่ไม่แน่ใจวันนั้นที่ผมกินเป็นแกงขี้เหล็กหมูย่างหรือเปล่า อร่อยมากเลยครับ

ยังมี ยำหมูย่างกระเทียมโทน เขาใช้หอมแดงและหอมแขกมาทำครับ จึงมีชิ้นใหญ่ดูสวยงาม น่ากินมาก  กลิ่นก็หอมน่ารับประทาน เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

ถ้าไปร้านนี้ เมนูที่ขาดไม่ได้ ต้องสั่งมากิน ก็คือ น้ำพริกปลาร้าผัดแห้ง ครับ โดยน้ำพริกปลาร้าที่เขาเอามาให้ผมกินนั้น ผมต้องกินคลุกกับข้าวร้อน ๆ ไม่กินกับข้าวเหนียวเพราะกลัวอ้วนครับ แต่ว่าขอลองเล็กน้อย เพราะมีน้ำพริกปลาร้าที่อร่อย ต้องปั้นข้าวเหนียวกินกับมือนะครับถึงจะอร่อย

มี วุ้นเส้นผัดดอกขจร อาหารจานนี้ผมไม่เคยกินเลย แต่เขาผัดได้อร่อยมาก วุ้นเส้นไม่เละ ยังเป็นเส้น ๆ อยู่เลยครับ สิ่งที่ประหลาดใจที่สุดที่ผมได้กินในวันนั้น เขาบอกเป็น ต้มจืดเกี้ยมไฉ่กระดูกหมูรสแซบ ผมจึงถามกลับไปว่าแล้วอย่างนี้จะเป็นต้มจืดได้อย่างไร

วิธีทำก็คือ เขาจะเอาเกี้ยมไฉ่มาทำให้เค็มก่อน เพราะเกี้ยมไฉ่โดยปกติจะมีรสเปรี้ยว จากนั้น เขาจะเอามาใส่แล้วทำเป็นต้มยำ โดยใส่ซี่โครงหมูเข้าไปในนั้น ต้มไปจนกว่าจะเข้ากันแล้วใส่ทั้งพริกสดและพริกแห้งทุบครับ เมื่อผมลองชิม อยากบอกว่าอร่อยเหลือเกินครับ

ร้านนี้ทำอาหารได้อร่อยจริง ๆ ครับ ไม่รู้ว่าจะติเขาตรงไหนดี ทำให้ผมเขียนชิมให้เป็นยากขึ้นครับ เพราะไม่รู้จะพูดถึงอาหารอะไรดี อย่างไรก็ตาม น้ำที่ท่วมก็แห้งแล้ว เพื่อน ๆ ที่อยู่แถวเมืองเอกหรือแถวอื่นถ้ามีโอกาสไปแถว ๆ นั้น ลองแวะไปชิมได้นะครับ เขามีบริการส่งถึงบ้านด้วย ใครที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นเขาทำอาหารตามสั่งส่งไปให้ได้เลยครับ ซึ่งที่นั้นทุกคนก็รู้จักร้านนี้กันดี

ร้านนี้มี 2 ชั้น และเป็นครัวเปิด  ถ้าไปตอนอากาศเย็น ๆ แล้วนั่งชั้นบน สั่งเบียร์เย็น ๆ มาดื่ม หรือจะจิบไวน์ไปด้วย ผมว่าบรรยากาศดีมาก ๆ ครับ  อย่าลืมแวะไปนะครับ  และหวังว่าเมื่อน้ำแห้งทุกสิ่งทุกอย่างคงเรียบร้อย กลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันนะครับ.
ปลาดุกฟู - ปลาทูฟู - ชิมให้เป็น
การที่เราจะรู้ถึงลักษณะของปลาดุกฟูว่า ปลาดุกฟูนี้ทำมาจากอะไร ความจริงแล้ว เขาจะเอาเนื้อปลาดุกที่เอาไปย่างหรือเผาแล้วใช้ส้อมขูดเนื้อปลาให้ออกมาเป็น ชิ้นเล็ก ๆ แล้วเอาไปทอดกับน้ำมันให้ฟูขึ้นมาและมีความกรอบ 

แต่ถ้าเป็นปลาทูฟูก็ต้องเอาปลาทู ซึ่งอาจจะเป็นปลาทูนึ่งหรือปลาทูสดก็ได้นะครับ ถ้าเป็นปลาทูนึ่งจะเค็มเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นปลาทูสดต้องเอาไปย่าง แล้วเอาไปทำให้ฟูโดยการทอดเสียก่อน  ที่ร้านนี้เขาใช้ปลาทูเพราะว่าเขาอยากให้คนกินได้กลิ่นหอม ๆ ครับ

หลังจากนั้น เขาจะทำน้ำแกง เรียกว่า น้ำพริกขิง  ซึ่งใช้เครื่องแกงแดง น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ถั่วฝักยาว เอาไปผัดจนกระทั่งเหนียว จากนั้น เอาปลาทูฟูที่ทอดเสร็จเรียบร้อยแล้วลงไปรวน เป็นการทำที่จะยังคงไว้ซึ่งความกรอบ เพราะว่าน้ำตาลจะเคลือบทำให้ปลาทูยังกรอบอยู่

นี่คือความเข้าใจในวิธีการทำว่ารสชาติของอาหารที่ทำควรจะเป็นอย่างไร แล้วทำไมถึงได้อร่อยนัก นั่นเป็นเพราะความหอม และความเค็มของปลาทู รวมทั้งรสชาติของเครื่องแกงที่ใส่เข้าไป ฉะนั้น ต้องรู้วิธีการทำที่ถูกต้อง ถึงจะชิมให้เป็นอย่างไรครับ.
เข้าครัวกับหมึกแดง - ขนมจีนน้ำยาเห็ด
เครื่องปรุง เครื่องแกง
- พริกแห้งแช่น้ำให้นุ่มแล้ว 9 เม็ด

- กระเทียม 1  หัว

- หอมแดง 5  หัว

- กระชายซอย 1/4 ถ้วยตวง

- ข่าซอย 3  แว่น

- ตะไคร้หั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ

- ผิวมะกรูดหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ

- เนื้อปลาช่อนต้มสุกแล้ว 1/2 ถ้วยตวง

- เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ

1. โขลกพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง กระชาย ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด เนื้อปลาช่อนต้มสุกแล้วและเกลือ เข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักออกพักไว้
เครื่องปรุงน้ำยาเห็ด

- เครื่องแกงที่โขลกไว้ 4 ช้อนโต๊ะ

- หัวกะทิ 1/2 ถ้วย

- หางกะทิ 2 ถ้วย

- ใบมะกรูดฉีก 2 ใบ

- เห็ดหอมญี่ปุ่น 80 กรัม

- น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

- น้ำตาลปี๊บ 1  ช้อนโต๊ะ

- เกลือ 1     ช้อนชา

- ขนมจีน 200 กรัม

- ผักกาดดองซอย 80  กรัม

- ถั่วงอก 80 กรัม

- ถั่วฝักยาวซอย 80 กรัม

- ใบแมงลัก 50   กรัม
วิธีทำ

1. นำเครื่องแกงที่โขลกไว้ ลงผัดกับหัวกะทิในหม้อ (ใช้ไฟอ่อน) ผัดจนกะทิแตกมัน แล้วใส่หางกะทิที่เหลือลงไปต้มจนเดือด ใส่ใบมะกรูดฉีกลงไป

2. พอน้ำแกงเดือด ใส่เห็ดหอมญี่ปุ่นลงไป ปรุงรส ด้วยน้ำปลา น้ำตาล เกลือ ออกรสเค็มนำหวานตาม   นิด ๆ และรอจนน้ำแกงเดือดอีกรอบปิดไฟ พักไว้

3. จัดขนมจีนลงจานเสิร์ฟและผักที่เตรียมไว้ ผักกาดดองซอย ถั่วงอก ถั่วฝักยาวซอย ใบแมงลัก แล้วนำขนมจีนน้ำยาที่ทำไว้ราด เสิร์ฟร้อน ๆ

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : หมึกแดง
www.mcdangguide.com

Read More...


‘เมนูปลานิล’ สูตรใหม่ ๆ น่าทำขาย

.
.
.
.
 
 
 






ทั้งนี้ เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และเป็นการส่งเสริมการบริโภคปลานิลที่เป็นอาหารโปรตีนชั้นดี ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายในการนำปลานิลมาปรุงอาหารรับประทาน ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ทำการคิดค้นเมนูปลานิลเมนูใหม่ ๆ ที่สามารถเปลี่ยนเนื้อปลาธรรมดา ๆ ให้เป็นเมนูที่สุดพิเศษเทียบเท่ากับเมนูปลาราคาแพง
ผศ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า เมนูที่คิดขึ้นตอนนี้มีอยู่ 2  เมนูคือ “ปลานิลนึ่งน้ำมะกรูด” และ “ข้าวม้วนปลานิลปรุงรสสมุนไพร” โดยทั้ง 2 เมนูนี้มีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยากอะไรมากนัก คนทั่วไปสามารถทำกันเองได้ในครอบครัว ซึ่งนอกจากจะอร่อยแล้วยังได้คุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน  และก็ยังสามารถนำสูตรไปปรับทำขายเป็นอาชีพได้
หลายคนอาจคิดว่าเนื้อปลานิลมีกลิ่นคาว แต่จริง ๆ แล้วปลาทุกชนิดล้วนมีกลิ่นคาวทั้งนั้น เพียงแต่ในการนำมาประกอบอาหารก็จะต้องมีวิธีการและเคล็ดลับเพื่อดับกลิ่นคาว ซึ่ง 2 เมนูปลานิลที่ว่ามาข้างต้นนั้น ใช้ “มะกรูด” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงที่เป็นสมุนไพรของไทย มาดับกลิ่นคาว และสามารถเพิ่มรสชาติอาหารให้แปลกใหม่ไม่จำเจอีกด้วย ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำหลัก ๆ ก็เป็นอุปกรณ์เครื่องครัวที่สามารถหาได้จากในครัวเรือนทั่วไป
“ปลานิลนึ่งน้ำมะกรูด” ส่วนผสมประกอบด้วย... ปลานิล แล่เอาแต่เนื้อ 300 กรัม, หน่อข่าอ่อน 10  หน่อ, น้ำมะกรูด 2 ช้อนโต๊ะ, เกลือป่น ฝ ช้อนชา ขั้นตอนการทำเริ่มจากปลอกหน่อข่าอ่อน  ใช้มีดซอยที่หัวข่าบาง ๆ  จากนั้นแล่ปลานิลเอาแต่เนื้อให้เป็นชิ้นยาวบาง ๆ แล้วนำมาพันที่ข่าอ่อน เสร็จแล้วผสมน้ำมะกรูดกับเกลือให้เข้ากัน ราดลงที่เนื้อปลาที่พันข่าอ่อนแล้ว นำไปนึ่งราว 10 นาที ก็พร้อมเสิร์ฟกับน้ำจิ้ม รับประทานกับผักนึ่ง เช่น ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ฟักทอง บวบ
สำหรับ “สูตรน้ำจิ้ม” ส่วนผสมก็มี... พริกชี้ฟ้าแดงสับ  1  ช้อนชา, ต้นผักชีหั่น  1  ช้อนโต๊ะ, น้ำต้มสุก  2  ช้อนโต๊ะ, น้ำมะกรูด 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย  1 ช้อนโต๊ะ, เกลือ 1  ช้อนชา เมื่อเตรียมส่วนผสมเรียบร้อย ก็ให้นำน้ำตาลทราย เกลือ และน้ำมะกรูด ผสมคนให้เข้ากันก่อน จากนั้นใส่พริกชี้ฟ้าแดงสับ ต้นผักชีหั่น และน้ำต้มสุกเล็กน้อย คนให้ส่วนผสมข้ากันอีกครั้ง  ชิมให้ได้ 3 รส เปรี้ยว-เค็มหวาน น้ำจิ้มนี้ก็ใช้ราดที่เนื้อปลานิลพันข่าอ่อนที่นึ่งสุกแล้ว จากนั้นก็รับประทานได้เลย
ถัดมาเป็นเมนู “ข้าวม้วนปลานิลปรุงรสสมุนไพร”  ส่วนผสมที่ใช้ก็มี...   ข้าวกล้องหุงสุก  2 ถ้วย, เนื้อปลานิลนึ่งเอาแต่เนื้อ ฝ ถ้วย, หอมแดงซอย  2  ช้อนโต๊ะ, ตะไคร้ซอย  2  ช้อนโต๊ะ, ขิงอ่อนซอย 1  ช้อนโต๊ะ, พริกชี้ฟ้าซอย  1  เม็ด, ใบมะกรูดซอย  2  ใบ, ผักชีเด็ดใบ  1  ต้น, น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำมะขามเปียก  3 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา  2  ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว
1 ช้อนโต๊ะ และแผ่นสาหร่าย โดยวิธีทำเริ่มจากทำน้ำปรุงรสก่อน... นำน้ำตาลปี๊บ, น้ำมะขาม, น้ำปลา ใส่หม้อยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดก็ยกลงใส่น้ำมะนาวชิมรสให้เข้มข้นจัดจ้านเพื่อดับคาว แล้วตั้งพักไว้ จากนั้นนำเนื้อปลานิลนึ่งสุก หอมแดง ตะไคร้ ขิง พริกชี้ฟ้า ใบมะกรูด ที่ซอยไว้แล้ว ใส่ลงภาชนะ นำน้ำปรุงรสที่ทำเตรียมไว้ใส่ คลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยใบผักชี พักไว้
ต่อไปเป็นขั้นตอนการม้วนข้าว ขั้นตอนนี้เหมือนกับการห่อซูชิ ต้องมีอุปกรณ์ช่วย 1 อย่างคือเสื่อม้วนข้าวญี่ปุ่น การม้วนเริ่มจากนำแผ่นสาหร่ายวางลงบนเสื่อม้วนข้าว แล้วตักข้าวกล้องที่หุงเตรียมไว้ประมาณ 1 ทัพพีใส่ลงบนแผ่นสาหร่ายด้านล่างหรือด้านคนม้วน เกลี่ยข้าวให้ทั่วเกือบ ฝ ของพื้นที่แผ่นสาหร่าย  ตักส่วนผสมปลาที่คลุกเตรียมไว้มาใส่เป็นแนวตามขวาง ม้วนข้าวให้เป็นก้อนกลมจากนั้นใช้มีดคม ๆ ตัดข้าวม้วนสาหร่ายออกเป็นชิ้น ๆ ตามขนาดที่ต้องการ
“เคล็ดลับการเตรียมปลาไม่ให้มีกลิ่นคาว” ผศ.พงศ์ศักดิ์บอกว่า ควรนำปลาไปทาเกลือก่อน จากนั้นเช็ดให้แห้ง มีดที่ใช้ทำต้องคม ตอนแล่เนื้อปลาต้องคอยเช็ดมีดตลอดเพื่อจะทำให้ได้เนื้อปลาที่ออกมาสวยงามและ ไม่มีกลิ่นคาว

“เมนูปลานิลสูตรใหม่” ทั้ง 2 สูตรที่ว่ามานี้ ถือเป็นอีกทางเลือกของผู้บริโภคสมัยใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพด้วย รวมถึงอาจถูกใจผู้ที่ชื่นชอบข้าวม้วนสาหร่ายแบบญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดี สำหรับผู้ที่รู้จักนำไปฝึกทำ ต่อยอดดัดแปลงตามความเหมาะสม และหากใครต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ต้องการติดต่อ ผศ.พงศ์ศักดิ์ ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-9600-0993  หรือที่คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โทร.0-2549-4990-2
...............................................................................................................................
คู่มือลงทุน...เมนูปลานิลสูตรใหม่
ทุนเบื้องต้น ขึ้นอยู่กับรูปแบบการลงทุน
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 60% ของราคาขาย
รายได้  ตั้งราคาขายให้มีกำไรราว 40%
แรงงาน  1-2 คนขึ้นไป
ตลาด  ย่านขายอาหาร, ย่านชุมชน
จุดน่าสนใจ จุดขายคือเมนูสุขภาพสูตรใหม่

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี ชุมขำ  : เรื่อง / วรัญญู  เหมือนเดช : ภาพ

Read More...


ข้าวแช่ชาววัง ทำเงินชื่นใจคลายร้อน

.
.
.
.
 
 

คอลัมน์ “ช่องทางทำกิน” วันนี้ ทางทีมงานมีสูตร “ข้าวแช่ชาววัง” จากงานวัฒนธรรมสัญจร “สืบสาน ตำนานข้าวแช่ (ชาววัง) เมืองเพชร วัฒนธรรมผสมไทย-มอญ ที่ลงตัว” ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 24-25 ก.พ. ที่ จ.เพชรบุรี มาฝากกัน โดยข้าวแช่นี้เป็นอีกหนึ่งอาหารยอดนิยมในช่วงฤดูร้อน ใครฝึกฝนฝีมือจนทำได้อร่อย ก็อาจสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ...
 
คุณยายพันธ์ทิพ ศุภจิต วัย 84 ปี ซึ่งสันทัดกรณีเรื่อง “ข้าวแช่ชาววัง” ให้ความรู้ว่า การทำข้าวแช่นั้นต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ หม้อ กระทะ ซึ้ง กระชอน ผ้าขาวบาง ฯลฯ หากซื้อเต็มชุดก็น่าจะใช้งบราว 5,000 บาทขึ้นไป

วิธีทำข้าวแช่ เริ่มที่ทำ “ข้าวสุกที่ใช้ทำข้าวแช่” โดยหุงข้าวด้วยน้ำมาก ๆ (ปัจจุบันใช้ข้าวหอมมะลิ) พอข้าวสุกเป็น “ตากบ” คือยังเป็นไตแข็งข้างในเมล็ด ก็นำมาเทลงกระชอน ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นก็นำไปแช่ในน้ำเย็น แล้ว “ขัดข้าว” โดยใช้มือสองข้างกอบข้าวขึ้นมาสีกันไปมา หรือใช้นิ้วมือถูข้าวไปมาบนตะแกรง ขัดเมล็ดข้าวอย่างเบามือ ให้เมล็ดข้าวเกลี้ยงเกลา ล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งจนเห็นว่าน้ำที่ล้างใสดีแล้ว จึงเทข้าวเกลี่ยลงบนผ้าขาว แล้วนำไปนึ่งให้สุกอีกทีหนึ่ง

ต่อไปเป็นการทำ “น้ำข้าวแช่” นำน้ำเปล่ามาอบด้วยเทียนควั่น, ดอกกระดังงา, ดอกมะลิ, ดอกชมนาด และดอกกุหลาบมอญ อย่างน้อย 1 คืน โดยน้ำที่อบจนหอมนี้ให้เก็บในโถกระเบื้องหรือหม้อดินที่มีฝาปิดสนิท เพื่อเก็บกลิ่นหอมไว้

“กับข้าวแช่” จะมีหลายอย่างคือ ลูกกะปิทอด เป็นหัวใจสำคัญของข้าวแช่ชาววัง ข้าวแช่ของใครมีฝีมือก็พิจารณากันที่ลูกกะปิทอดนี่เอง นอกจากนี้ก็มี พริกหยวกสอดไส้, ปลายี่สกผัดหวาน, หมูสับกับปลากุเลา (หรือปลาเค็ม) และที่ลืมไม่ได้เลยสำหรับการทำข้าวแช่คือ ผักสดแกะสลัก ซึ่งกับข้าวแช่ส่วนใหญ่เป็นของทอด ก็จะต้องมีผักที่ให้กลิ่นหอม และออกรสเปรี้ยวและขื่นนิด ๆ ไว้ตัดรส อาทิ แตงกวา, กระชาย, ต้นหอม และพริกชี้ฟ้าสด

สำหรับการทำ ลูกกะปิทอด ส่วนประกอบหลัก ๆ ตามสูตรนี้ก็มี กระชาย 7 ราก, ตะไคร้ 2 ต้น, ข่า 5 แว่น, ผิวมะกรูด 1 ช้อนชา, รากผักชี 1 ช้อนชา, หอมแดง 9 หัว, กระเทียม 10 กลีบ, กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ, เนื้อปลาดุกย่าง 1 ตัว, ปลาฉลาดย่าง 2 ตัว, น้ำปลา และน้ำตาล อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ไก่ 3 ฟอง, แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำก็โขลกกระชาย ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด รากผักชี หอมแดง กระเทียม ให้ละเอียด ใส่กะปิ เนื้อปลา โขลกให้เข้ากัน ผัดกับหัวกะทิในกระทะใบใหญ่ด้วยไฟอ่อน ๆ ให้หอม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ผัดจนแห้ง ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เล็ก ๆ ให้เท่ากัน พักไว้ ตอกไข่ใส่ภาชนะ ตีไข่ให้แตก ใส่แป้ง คนให้เข้ากัน นำกะปิที่ปั้นไว้มาชุบ แล้วนำไปทอดให้เหลือง เป็นอันเสร็จ

พริกหยวกสอดไส้ ตามสูตร ใช้หมูสับ 500 กรัม, กุ้งสับ 10 ตัว, กระเทียมพริกไทยโขลกรวมกัน 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 1.5 ช้อนชา, ไข่ไก่ 5 ฟอง และพริกหยวกกับหมูสับพอประมาณ วิธีทำเริ่มจากเคล้าหมู กุ้ง กระเทียม พริกไทย ให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ตอกไข่ 1 ฟองลงไปผสม ปั้นเป็นแท่งยาว ทอดจนสุก แล้วนำไปใส่ในพริกหยวกที่คว้านไส้ออก นึ่งในลังถึงที่น้ำเดือด 5 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น บีบน้ำออกให้หมด พักไว้ ตอกไข่ที่เหลือ ตีพอแตก ใช้มือชุบไข่แล้วโรยไปมาในกระทะที่ตั้งไฟอ่อน ใส่น้ำมันพอลื่น พอไข่สุกก็ลอกเป็นชิ้น ๆ ใช้ห่อพริกให้รอบ ทำจนครบจำนวนพริกหยวกที่เตรียมไว้

ปลายี่สกผัดหวาน ส่วนประกอบคือเนื้อปลายี่สก และน้ำตาลทราย วิธีทำนำเนื้อปลายี่สกผัดกับน้ำตาลจนเหนียวหนึบ แล้วใช้ปลายส้อมตะกุยแบ่งเป็นคำ จะได้เนื้อปลาเป็นปุย หอมกลิ่นน้ำตาล เคี้ยวสนุกปาก หรือมีอีกเทคนิคหนึ่งคือ ย่างปลายี่สกให้สุกเสียก่อน แล้วยีให้เนื้อเป็นปุย จากนั้นจึงนำไปผัด ต้องผัดให้เหนียวจนปั้นเป็นก้อนได้ถึงจะอร่อย แต่อย่าผัดนานเกินไป จะแข็ง ซึ่งกับข้าวแช่ชนิดนี้เป็นต้นตำรับแบบฉบับข้าวแช่เมืองเพชรบุรี

หมูสับกับปลาเค็ม ส่วนประกอบมี เนื้อหมูติดมัน, ปลาเค็ม, กระเทียม และไข่ไก่ วิธีทำใช้เนื้อหมูติดมันสับละเอียดมาคลุกผสมกับเนื้อปลาเค็มทอดสุกที่ยี เตรียมไว้ ใส่กระเทียมสับปรุงรสให้มีรสเค็มนำ แล้วจึงปั้นเป็นก้อน เล็ก ๆ ก่อน จากนั้นก็นำไปชุบไข่แล้วทอด กับข้าวแช่ชนิดนี้ให้รสเค็มตัดรสกับข้าวแช่อื่น ๆ ที่ให้รสหวานนำ

นอกจากนี้ก็อาจจะมี เนื้อเค็มฝอย ด้วย วิธีทำคือใช้เนื้อเค็มปิ้งให้สุก ฉีกเป็นเส้นฝอย ๆ แล้วนำไปผัดกับน้ำตาลจนแห้ง โรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อวัว ก็เปลี่ยนเป็น “หมูฝอย” แทน

สำหรับวิธีรับประทานข้าวแช่ เริ่มจากนำข้าวใส่น้ำลอยดอกไม้ให้สัดส่วนน้ำมากกว่าข้าว ใส่น้ำแข็งเล็กน้อยพอชื่นใจ เวลาตักกับข้าวใส่ปากแล้วตักข้าวแช่ตามก็จะได้รสชาติทั้งเย็นฉ่ำ และอร่อยกลมกล่อม

ราคาขายข้าวแช่นั้น ในท้องตลาดขายชุดละประมาณ 35 บาทขึ้นไป ซึ่งในแต่ละชุดจะมีข้าวสุก, น้ำข้าวแช่ และกับข้าว 4-5 อย่างประกอบกัน ซึ่งคุณยายพันธ์ทิพบอกว่า หากจัดชุดข้าวแช่แบบเต็มเครื่องราคาจะอยู่ที่ชุดละประมาณ 150-170 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบ (ไม่รวมทุนอื่น ๆ) ชุดละประมาณ 50-70 บาท โดยต้นทุนวัตถุดิบข้าวแช่นั้นไม่สูง แต่การทำให้อร่อยก็ต้องใช้ฝีมือ ใช้ความพิถีพิถัน และใช้เวลาในการทำนาน จึงสามารถตั้งราคาขายได้สูงพอสมควร
 
ที่ว่ามาก็เป็นสูตรการทำ “ข้าวแช่ชาววัง” จากการให้ข้อมูลของ คุณยายพันธ์ทิพ ศุภจิต ใครสนใจก็ลองนำไปฝึกฝนฝีมือกันดู ซึ่งอาจจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ดีก็ได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนอย่างตอนนี้.

 ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล

Read More...


ขนมเปี๊ยะ ไม่มีหน้าร้านก็ขายได้

.
.
.
.
 
 



อาชีพอิสระที่ทำงานอยู่กับบ้าน แล้วส่งงานไปตามสถานที่ต่าง ๆ หลายคนอยากทำ แต่คนที่จะทำอย่างนี้ได้นั้นก็ต้องมีฝีมือ กรณีนี้ก็รวมถึงอาชีพการทำขนมขายด้วย อย่างการทำ “ขนมเปี๊ยะ” นี่ก็อยู่ในข่าย ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีข้อมูลมานำเสนอให้ลองพิจารณากัน...

กบ-นวรัตน์ กิจชนะถาวร น้องสาวคุณติ๋ม ผู้ทำขนมเปี๊ยะ “เปี๊ยะ by ปิ่งปิ่ง” เล่าให้ว่า ทางครอบครัวถนัดทำอาหาร พอมาถึงรุ่นหลังก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร พี่สาวกับพี่เขยที่ทำขนมเปี๊ยะขายก็มีอาชีพรับส่งเด็กนักเรียนมานานนับสิบปีแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ยังทำอยู่ แต่เพราะหลังส่งเด็กตอนเช้าก็จะมีช่วงว่าง กว่าจะถึงเวลารับเด็กอีกที ซึ่งอาจจะเพราะซึมซับจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ประกอบกับเป็นคนชอบกินและชอบทำ ช่วงกลางวันทั้งสองจึงมักจะช่วยกันทำขนม ทำของกินเตรียมไว้ให้ลูกหลาน และเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนฝูงพี่น้องและคนรอบข้างได้ชิมกัน จนเขาติดใจต้องออกปากขอซื้อ และสั่งทำเพื่อเอาไปเป็นของฝากของขวัญให้เพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง แล้วก็พูดกันปากต่อปาก จนต้องทำขายในที่สุด

“ทำขนมเปี๊ยะที่บ้านแล้วส่งไปขายตามร้านกาแฟและร้านขนมมาหลายปีแล้ว ไม่ได้มีหน้าร้านเป็นของตัวเอง เพราะลำพังขนมเปี๊ยะอย่างเดียวคงไม่พอที่จะจัดหน้าร้านให้สวยงามและชวนซื้อ แต่ขนมเปี๊ยะที่ทำขายกันก็แตกต่างจากขนมเปี๊ยะทั่วไป ทั้งตัวแป้งและไส้ที่หอม รสชาติกลมกล่อมเข้ากันพอดี เป็นสูตรเฉพาะที่พี่สาวและพี่เขยคิดทำขึ้นมา วัตถุดิบที่ใช้จะเลือกคุณภาพเกรดเอ ทุกวันจะมีออร์เดอร์จากหน่วยงานและบริษัทต่าง ๆ สั่งไปใช้ในงานอบรมสัมมนา เป็นอาหารว่างทานกับน้ำชากาแฟ บ้างก็จะสั่งจัดเป็นกระเช้าและกล่องเพื่อใช้เป็นของฝากของขวัญช่วงเทศกาล”

แม้กระบวนการทำขนมเปี๊ยะจะค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยาก แต่กบซึ่งรับหน้าที่เป็นฝ่ายการตลาด บอกว่า ถึงจะทำไม่ง่ายแต่ขนมเปี๊ยะของที่บ้านก็จะทำกันใหม่สดทุกวัน และสามารถเก็บไว้ได้หลายวัน จะทำไส้เดียวคือถั่วกวน-ไข่เค็ม และจะแพ็กใส่กล่องแบบที่สามารถใส่ในไมโครเวฟได้ เพราะต้องการเน้นให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า

เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำ “ขนมเปี๊ยะ” จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ทั่วไป

ส่วนผสมที่ใช้การทำตัวแป้งขนมเปี๊ยะ หลัก ๆ ก็มี... แป้งสาลีอเนกประสงค์, น้ำมันพืช, เกลือ, น้ำสะอาด

สำหรับส่วนผสมของไส้ ก็มี... ถั่วเขียวซีก, น้ำตาลทราย, น้ำกะทิ, ไข่เค็ม และไข่แดง

ขั้นตอนการทำก็เหมือนกับการทำขนมเปี๊ยะทั่ว ๆ ไป ก่อนอื่นจะต้องมี “แป้งใน” กับ “แป้งนอก” เริ่มจากต้องนวด “แป้งใน” ก่อน ซึ่งเป็นการนวดผสมระหว่างแป้งสาลี 1 กก. และน้ำมันพืช หรือเนย 400 กรัม เมื่อนวดจนเข้ากันแล้ว ให้แบ่งแป้งออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ ขนาดหัวแม่มือ เตรียมไว้

ในส่วนของ “แป้งนอก” เป็นการผสมระหว่างแป้งสาลี 1.5 กก., น้ำมันพืช 800 กรัม, น้ำตาลทราย 300-400 กรัม, เกลือนิดหน่อย และน้ำเปล่า 1,100 กรัม นวดด้วยเครื่องให้เข้ากันจนแป้งเนียน แล้วปั้นออกมาเป็นก้อน ๆ ขนาดเท่ากับหัวแม่มือ เช่นเดียวกับแป้งใน

“ไส้ถั่วกวน” ใช้ถั่วเขียวผ่าซีก 1 กก. แช่น้ำ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าแช่น้ำร้อนได้จะดีมากเพราะถั่วจะนิ่ม) แล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นบดให้ละเอียด และกวนกับน้ำตาลทราย 700-800 กรัม และกะทิอีก 400 กรัม จนเข้ากัน ส่วน “ไข่เค็ม”
นั้น ใช้ไข่แดงจากไข่เป็ดเค็มนำไปนึ่งให้สุกอีกที

การทำเป็นขนมเปี๊ยะ นำแป้งในและแป้งนอกที่ปั้นเป็นก้อนกลมมารีดออกเป็นแผ่น ๆ วางทับซ้อนกัน โดยแป้งนอกห่อแป้งใน รีดแล้วพับ พับแล้วรีด เพื่อให้เกิดชั้นขึ้นมา เมื่อได้ชั้นตามสมควรแล้วก็ใส่ไส้ถั่วและไข่เค็ม

ใส่ไส้แล้วก็ห่อแป้งปิดให้เรียบร้อย นำเข้าเตาอบ ที่ความร้อน 250 องศาฯ ราว 10 นาที นำออกมาทาไข่แดง แล้วนำเข้าอบต่ออีก 20 นาที ขนมจะสุกได้ที่ จะออกมาเป็นสีเหลืองนวล น่ารับประทาน

ผึ่งให้เย็นด้วยการเป่าพัดลม ก่อนจะแพ็กใส่กล่อง

จากสูตรแป้งขนมเปี๊ยะข้างต้น เป็นสูตรคร่าว ๆ ของการผสมแป้ง ซึ่งในการทำขายนั้น เมื่อนวดแป้งออกมาแล้ว แบ่งสูตรแป้งออกเป็นส่วนละ 550 กรัม จะปั้นเป็นขนมเปี๊ยะได้ประมาณ 120 ชิ้น

ราคาขายนั้น กล่องใหญ่ 22 ชิ้น 140 บาท กล่องเล็ก 13 ชิ้น 80 บาท และกล่องจิ๋ว 4 ชิ้น 25 บาท โดยต้นทุนเฉพาะในส่วนวัตถุดิบจะประมาณ 60% ของราคาขาย

ใครสนใจขนมเปี๊ยะ “เปี๊ยะ by ปิ่งปิ่ง” ต้องการติดต่อกับกบ หรือคุณติ๋ม ซึ่งครอบครัวยังมีการทำ “เค้กกล้วยหอม” ส่งขายด้วย ก็ติดต่อได้ที่ โทร.08-6615-9775 หรือ 08-1777-4266 ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกรณีศึกษา “ช่องทางทำกิน” เกี่ยวกับการทำขนมขาย โดยไม่ต้องลงทุนเปิดร้านเอง ฝึกฝีมือดี ๆ ทำ “ขนมเปี๊ยะ” ขาย ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ขายได้!!.

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : www.dailynews.co.th)

Read More...


“ถ้วยฟูสมุนไพร” ต่อยอดภูมิปัญญาสร้างเงิน

.
.
.
.
 
 
 



แม้ “ขนมถ้วยฟู” จะเป็นขนมธรรมดาที่มีมาแต่โบราณ และยุคนี้ก็ยังหารับประทานได้ไม่ยาก แต่ผู้ประกอบการขายขนมรายนี้ก็ใช้ขนมถ้วยฟูนี้สร้างรายได้ได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการสืบสานคุณค่าต่อยอดภูมิปัญญารุ่นต่อรุ่น พัฒนาสูตรเป็น “ขนมถ้วยฟูสมุนไพร” จนขนมถ้วยฟูกลายเป็นสินค้าโอทอปที่มีชื่อเสียง เป็นอีก “ช่องทางทำกิน” กรณีศึกษาน่าสน...
                               
ป้อ-ฐาปนี กิจแก้วมรกต และ บีม-ภาคภูมิ เพียรรัตน์พิมล คู่รักหนุ่มสาว เป็นผู้รับช่วงของบ้านขนมมรกต จ.สระแก้ว โดยป้อเล่าให้ฟังว่า สูตรขนมถ้วยฟูสมุนไพร เป็นสูตรของอาม่า คุณแม่เป็นคนนำมาสืบทอดพัฒนาปรับปรุงสูตรให้แตกต่างจากสูตรโบราณ ใช้สีต่าง ๆ ที่มาจากธรรมชาติ และใส่กะทิลงไปเพื่อเพิ่มความหอมมันอร่อย แต่ยังคงความเหนียวนุ่มและรสชาติกลมกล่อมของความเป็นโบราณอยู่ นี่เป็นขนมงานมงคล ช่วงเทศกาลงานบุญจะมีออร์เดอร์มาก

“ป้อเรียนจบการโรงแรม เช่นเดียวกับบีม ทำงานหาประสบการณ์อยู่หลายเดือน ก็ไม่ชอบ ไม่อิสระ แถมเงินเดือนที่ได้ก็นิดเดียว คุณแม่เลยแนะนำว่าให้ลองทำขนมขายมั้ย เพราะมันเป็นธุรกิจของเราเอง เป็นเจ้านายตัวเอง ได้เงินดี อยากหยุดวันไหนก็หยุดได้ ตั้งแต่เล็กจนโตป้อก็อยู่กับขนมถ้วยฟูมาตลอด เรียกว่าเราทำเป็นทุกกระบวนการ อีกทั้งส่วนตัวก็ชอบขายของ ก็เลยสนใจอยากจะมาขยายสาขาที่กรุงเทพฯ เพราะคุณแม่มีลูกค้าที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว ส่วนแฟนก็มีความคิดเหมือนกัน จึงออกจากงานมาช่วยกันทำขนมขาย มาต่อยอดขนมถ้วยฟูสมุนไพร”

บีมเสริมว่า ขนมถ้วยฟูที่ทำขายนั้น ไม่ได้ทำประชาสัมพันธ์อะไรเลย อาศัยการบอกต่อของลูกค้า ซึ่งก็คิดว่าสิ่งที่ทำให้ลูกค้าซื้อขนมจำนวนมากคือรสชาติที่กลมกล่อม อร่อยแตกต่างจากเจ้าอื่น ใช้วัตถุดิบที่คัดคุณภาพดี โดยใช้แป้งสดโม่เองทุกวัน ใช้สีธรรมชาติ ไม่ใส่สารกันบูดและไม่ใส่ผงฟู จะทำแป้งเชื้อข้าวหมากเอง ขนมจะอร่อยเหนียวนุ่ม

ขนมถ้วยฟูสีขาวจะเป็นสูตรโบราณที่ไม่ใส่สี ส่วนขนมสีชมพูสีที่ใช้ได้จากเปลือกไม้ฝาง, สีเหลืองได้จากเนื้อตาล, สีม่วงได้จากดอกอัญชัน, สีเขียวได้จากใบเตยหอม

อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการทำขนมถ้วยฟู หลัก ๆ ก็มี... เตาแก๊สสำหรับนึ่งขนม, ลังถึงขนาดใหญ่, เครื่องโม่แป้งไฟฟ้า, หม้อหลายขนาด, ถาด, กะละมัง, กระบวย, ผ้าขาวบาง, ทัพพี, ถ้วยตะไลใบเล็ก, กระด้ง เป็นต้น

ส่วนผสมในการทำ “ขนมถ้วยฟูสมุนไพร” ตามสูตรนี้ก็มี ข้าวสารคัดพิเศษ, น้ำตาลทราย, หัวกะทิสด, แป้งเชื้อข้าวหมาก, น้ำลอยดอกมะลิสด, เทียนอบขนม และเนื้อตาลยีเรียบร้อยแล้ว น้ำใบเตยหอมคั้นเข้มข้น น้ำดอกอัญชันคั้นเข้มข้น เปลือกไม้ฝาง สำหรับใช้แต่งสีขนม

ขั้นตอนการทำ เริ่มจากนำข้าวสารมาซาวล้าง นำขึ้นใส่ภาชนะ ใส่น้ำสะอาดให้ท่วมแช่ทิ้งไว้ค้างคืน จากนั้นจึงนำไปโม่ แล้วตั้งทิ้งไว้ให้แป้งตกตะกอน รินน้ำใส ๆ ข้างบนทิ้ง เทน้ำแป้งใส่ถุงแป้ง ทับน้ำให้แป้งแห้งพอหมาด ๆ ก็จะได้ก้อนแป้งข้าวเจ้าสด พักไว้ นำน้ำกะทิมาผสมกับน้ำตาลทรายตั้งไฟพอละลาย ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำขึ้นตั้งไฟอีกสักครู่ ยกลงตั้งพักไว้ให้เย็น ระหว่างนั้นนำแป้งเชื้อข้าวหมากมาบดละเอียด แล้วนวดผสมกับแป้งข้าวเจ้าสดที่ทำไว้ และนวดผสมเข้ากับน้ำหัวกะทิทีละน้อยจนนุ่มมือและเนียนเข้ากันดี จึงเติมกะทิที่เหลือทั้งหมดเพื่อเป็นการคลายตัวเนื้อแป้งขั้นต่อไป จัดแบ่งแป้งเป็นส่วน ๆ ตามจำนวนสีที่จะใช้ ใส่สีแต่ละสีตามแป้งแต่ละส่วน นวดให้สีผสมกลมกลืนกับเนื้อแป้งเชื้อ จากนั้นก็นำแป้งที่นวดผสมเสร็จแล้วเทใส่ภาชนะที่มีฝาปิด นำไปตั้งพักไว้ในที่ที่มีแดดส่องหรือที่อุ่น ๆ ประมาณ 4-5 ชั่วโมง เพื่อรอให้แป้งขึ้นตัว ทั้งนี้ การทำขนมถ้วยฟูแบบโบราณต้องใจเย็น ๆ ต้องรอจนแป้งขึ้น จนเป็นฟองปุด ๆ (ขนมถ้วยฟูสมัยใหม่จะย่นย่อเวลาหมักแป้งด้วยการใส่ผงฟูบ้าง ยีสต์บ้าง)
เตรียมลังถึงสำหรับนึ่ง ใส่น้ำประมาณ 3/4 ของลังถึง ตั้งไฟให้น้ำเดือด นำลงมาเรียงถ้วยตะไลให้ระยะห่างพอดี อย่าให้เบียด มิฉะนั้นขนมจะไม่สวย ต้องให้ไอน้ำขึ้นมาในลังถึงได้ทั่ว ยกขึ้นตั้งไฟให้น้ำเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีให้ถ้วยร้อน จากนั้นจึงยกลงเพื่อจะนำส่วนผสมแป้งที่ได้ที่ดีแล้วใส่ถ้วย โดยใช้ทัพพีคนแป้งเบา ๆ  ตักใส่กระบวยหยอดใส่ถ้วยตะไลเกือบเต็ม ก่อนจะวางเรียงบนลังถึง นำขึ้นนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 5 นาที  แล้วลดไฟลงนึ่งต่ออีก 10  นาที  ขนมจะสุกพอดี ยกลง นำถ้วยขนมแช่ในภาชนะที่มีน้ำเย็นเพื่อสะดวกต่อการแคะ ขนมจะออกมาหน้าตาสวยงามน่ารับประทาน

ป้อและบีมร่วมกันบอกว่า ความอร่อยของขนมถ้วยฟูอยู่ที่ความสดใหม่ ความนุ่มเหนียวของเนื้อขนม กลิ่นหอม และรสชาติที่กลมกล่อม โดย “ขนมถ้วยฟูสมุนไพร” เจ้านี้ จะจัดขายเป็นกล่อง กล่องหนึ่งมี 10 ถ้วย ราคา 25 บาท โดยมีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% ของราคา
     
บ้านขนมมรกต อยู่ที่ซอยอุดมโชค (บางศรีเมือง 18) จ.นนทบุรี นอกจากขนมถ้วยฟูแล้วก็ยังมีขนมน้ำดอกไม้ด้วย โดยตั้งโต๊ะขายอยู่ที่ท่าน้ำนนท์ใกล้ร้านเกาเหลาติดป้ายรถเมล์ตั้งแต่เช้า ถึงบ่าย และวันพฤหัสฯจะมีขายที่กรมป่าไม้ วันศุกร์มีขายที่กรมประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รวมถึงรับสั่งทำ-รับสั่งทำขายส่งด้วย โดยต้องสั่งล่วงหน้า 1 วัน ซึ่งใครต้องการติดต่อป้อและบีมก็ติดต่อได้ที่ โทร. 08-8185-3650 และ 08-8092-1898 ทั้งนี้ ยุคนี้เป็นยุคที่ขนมอนุรักษ์ได้รับความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งก็รวมถึงขนมถ้วยฟู และยิ่งมีการพัฒนาต่อยอด ก็สามารถจะเป็น “ช่องทางทำกิน” ที่ไม่ธรรมดาได้.
   
(ชมคลิปวิดีโอ ช่องทางทำกิน ได้ที่ www.dailynews.co.th)
ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี ชุมขำ เรื่อง / วรัญญู เหมือนเดช ภาพ

Read More...


‘ไส้กรอก(อีสาน)เนื้อ’ สร้างเงินด้วยสูตรพลิกแพลง

.
.
.
.



“ไส้กรอกอีสาน” เป็นอาหารเลื่องชื่อที่ไม่เพียงนิยมเฉพาะภาคอีสานเท่านั้น  หากแต่ยังได้รับความนิยมจากคนทั่วทุกภาค การทำไส้กรอกอีสานขายจึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ ซึ่งหากใครทำขายโดยพลิกแพลงไส้กรอกอีสานให้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเองขึ้นมา ก็น่าจะยิ่งน่าสนใจ อย่างเช่น “ไส้กรอกเนื้อ” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอในวันนี้...
.....................................................................................
ชนิตา มินยา ซึ่งทำผลิตภัณฑ์ ไส้กรอกเนื้ออิสลาม  ขาย เล่าให้ฟังถึงที่มาของอาชีพนี้ว่า ความจริงแล้วเธอมีอาชีพเป็นแม่บ้าน เลี้ยงดูลูกสาวและลูกชายอยู่กับบ้าน แต่พอลูกเริ่มโตค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เธอจึงเริ่มทำอาชีพเสริมเพื่อช่วยเหลือครอบครัวด้วยการขายลูกชิ้นปิ้งอยู่ แถวถนนรามคำแหง กำไรจากการขายลูกชิ้นก็พอจะได้ค่ากับข้าวในแต่ละวัน ต่อมาเธอก็คิดเพิ่มสินค้าให้มีความหลากหลายให้เป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า จึงคิดจะทำไส้กรอกเนื้อขายในสไตล์อิสลาม เพราะคิดว่าน่าจะไปได้ดี เพราะไม่ค่อยมีคนทำขาย จึงได้ทดลองทำ
ในการทำนั้นก็ดัดแปลงปรับปรุงพลิกแพลงจากสูตรไส้กรอกอีสาน จนได้เป็นสูตรเฉพาะของตัวเอง  แล้วให้เพื่อนบ้าน คนในครอบครัว ช่วยกันชิมและติชม จนรสชาติอยู่ตัวคงที่จึงเริ่มทำขาย ทำให้ที่ร้านมีลูกค้าเพิ่มขึ้น   “เมื่อจะทำแล้วก็ต้องทำให้ ก็ทำไส้กรอกเนื้อสูตรที่ตัวเองดัดแปลงขึ้นขายมาประมาณ 2  ปีแล้ว โดยขายควบคู่ไปกับลูกชิ้นปิ้ง ขายอยู่แถวสะพานลอยที่หน้าปาก ซอยรามคำแหง 184   รายได้ก็พออยู่พอกินสำหรับครอบครัว แต่ตอนหลังมาประสบปัญหาเรื่องสถานที่ขาย ที่มักจะถูกไล่ บางวันทำของออกไปแล้วไม่มีที่ขาย ก็ไม่มีรายได้ ของก็เสียหาย จึงคิดหาช่องทางขายทางอื่น ด้วยการทำขายส่ง อาศัยว่าแม้จะกำไรน้อยหน่อย แต่ขายได้ปริมาณมากหน่อย ก็พอจะอยู่ได้ไม่เดือดร้อน นอกจากไส้กรอกเนื้อแล้ว ก็ยังมีไส้กรอกวุ้นเส้นที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย ปัจจุบันนอกจากจะทำขายเองแล้ว ก็ส่งขายที่ตลาดมีนบุรี และละแวกใกล้เคียง” ชนิตากล่าว      
สำหรับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำไส้กรอก หลัก ๆ ก็มี เครื่องยัดไส้หรือเครื่องกรอกไส้, ถาด, ตาชั่ง, เตาถ่าน, หม้อ, กะละมัง, มีด, เขียง, กรรไกร, เชือกป่านหรือเชือกฝ้าย และเครื่องมือเบ็ดเตล็ดจากในครัว
ส่วนผสม “ไส้กรอกเนื้อ” ตามสูตรนั้นหลัก ๆ ก็มี เนื้อวัวอย่างดี 1ฝ กิโลกรัม, มันพื้นท้อง 2 กิโลกรัม, กระเทียม  2 กิโลกรัม, พริกไทยป่น 2 ขีด, ข้าวสุก, รากผักชีสับ, เกลือ, ไส้เทียม และสีผสมอาหารนิดหน่อย   ขั้นตอนการทำ “ไส้กรอกเนื้อ” เริ่มการนำเนื้อและมันพื้นท้องมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปเข้าเครื่องบดรวมกันให้พอหยาบ ๆ  ตั้งพักเตรียมไว้ จากนั้นให้นำกระเทียมมาบดทั้งเปลือกให้ละเอียด แล้วเติมข้าวสุกที่เตรียมไว้ตามลงไปในกระเทียมบด จากนั้นทำการคลุกเคล้าให้ทั่ว ก่อนจะนำไปใส่ลงในเนื้อบดที่เตรียมไว้
เติมเกลือ พริกไทย รากผักชีตามลงไป ใช้มือเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันให้ทั่ว แล้วนวดรวมกันประมาณ  15  นาที ระหว่างนวดส่วนผสมให้เหยาะสีผสมอาหารลงไปนิดหน่อย เพื่อให้มีสีสันน่ารับประทาน
เมื่อนวดส่วนผสมได้ที่แล้ว ก็นำส่วนผสมที่ได้ไปใส่ถุงพลาสติก  ผูกปากให้แน่น นำไปใส่ไว้ในถังพลาสติกทิ้งไว้ 1 คืน พอเช้าก่อนจะนำไปกรอกใส่ไส้ ก็นำไส้เทียมมาล้างเอาเกลือออก แช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ไส้เทียมเกิดความยืดหยุ่น  เสร็จแล้วขยำล้างไส้เทียมให้สะอาดอีกรอบ ก่อนจะนำไปใช้กรอกไส้    
ขั้นตอนการกรอกไส้  นำอุปกรณ์ที่จะใช้มาเตรียมให้พร้อม มีกรรกไกร ถาด เชือกป่าน นำส่วนผสมที่ทำเตรียมไว้ใส่ลงในเครื่องยัดไส้ นำไส้เทียมใส่ตรงก๊อกเปิด-ปิดเพื่อทำการกรอกส่วนผสมลงไปในไส้ เมื่อกรอกเสร็จแล้วใช้เชือกมัดเป็นปล้องขนาดยาว 5 นิ้ว ก่อนจะนำไปตามแดด หากต้องการให้มีรสชาติเปรี้ยวน้อย ก็ตากทิ้งไว้  1 ชั่วโมง ถ้าต้องการเปรี้ยวมากก็ให้ตากแดดนาน 2-3 ชั่วโมง ก่อนจะนำไปจำหน่าย ทั้งแบบปลีกและส่ง
ชนิตายังบอกอีกว่า ไส้กรอกเนื้อนี้หากนำมาย่างขายเองก็จะต้องมีเครื่องเคียงด้วย ได้แก่ กะหล่ำปลี ขิง และพริกขี้หนู ที่สำคัญคือไส้กรอกเนื้อที่ทำจะไม่ใส่สารกันบูด แต่เน้นใช้วัตถุดิบที่ใหม่ สะอาด สำหรับราคาขาย ถ้าย่างขายเองขายชิ้นละ 12 บาท ส่วนราคาขายส่งชิ้นละ  6  บาท ซึ่งทั้งสองรูปแบบเมื่อเฉลี่ยแล้วก็มีต้นทุนวัตถุดิบประมาณ 50% ของราคา
.....................................................................................
ใครสนใจ “ไส้กรอกเนื้อ” เจ้านี้ ต้องการไปอุดหนุน อยากลองรับประทานอาหารอีสานสไตล์อิสลามรูปแบบนี้ ก็ไปได้ที่ปากซอยรามคำแหง 184 กรุงเทพฯ หรือต้องการสั่งไปจำหน่ายต่อเป็น “ช่องทางทำกิน” อีกขั้นหนึ่ง ก็ติดต่อสอบถามกับ ชนิตา ได้ที่ โทร.08-4154-8820  
.....................................................................................
คู่มือลงทุน...ไส้กรอกเนื้อ
ทุนเบื้องต้น ประมาณ 7,000 บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ประมาณ 50% ของราคา
รายได้  6 บาท และ 12 บาท / ชิ้น
แรงงาน  1 คนขึ้นไป
ตลาด  ชุมชน ตลาด ส่งร้านอาหาร
จุดน่าสนใจ พลิกแพลงสร้างจุดขายใหม่

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : เชาวลี  ชุมขำ : เรื่อง / จามิกรณ์  ศรีคำ : ภาพ

Read More...


ไอศกรีมสมุนไพร(2) ชื่ออัญมณี-ดีต่อสุขภาพ

.
.
.

 
 
 
 
   
เมื่ออาทิตย์ที่ 22 เม.ย. 2555 “ช่องทางทำกิน” ได้นำเสนอข้อมูล “ไอศกรีมสมุนไพร” ที่ตั้งชื่อตามอัญมณี ดีต่อสุขภาพ สูตรของคณาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ไปแล้ว 2 สูตรคือ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร) และ เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว) อาทิตย์ที่ 29 เม.ย.นี้มาต่ออีก 3 สูตร ตามที่แจ้งไว้ ดังนี้...
......................................................................
3 สูตรไอศกรีมสมุนไพรวันนี้ ประกอบด้วย... บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) ซึ่งอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ในการทำก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วคือ ถังปั่นไอศกรีม เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และอุปกรณ์สำหรับชั่งตวง เครื่องชั่งน้ำหนัก ถ้วยตวงน้ำ ถ้วยตวงของแห้ง เป็นต้น ซึ่งที่ต้องใช้ทั้งเครื่องชั่งน้ำหนัก และถ้วยตวงควบคู่กัน ก็เพราะส่วนผสมบางอย่างต้องใช้ในปริมาณสัดส่วนที่แน่นอน
ไอศกรีม บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง) สีเหลือง ส่วนผสมไอศกรีม 1 กก.  มีฟักทองนึ่ง 130 กรัม, น้ำกะทิ 760 กรัม, น้ำตาลทรายขาว 30 กรัม, น้ำตาลปี๊บ 45 กรัม, เกลือ 1 กรัม, หางนมผง 30 กรัม, สารคงตัว 4 กรัม (อาทิ เจลาติน)  และไข่แดง (ไข่ไก่เบอร์ 2) 1 ฟอง
วิธีทำ  คั้นมะพร้าวขูดขาวให้ได้น้ำกะทิ 760 กรัม ผสมกับน้ำตาลปี๊บ และเกลือ ตั้งไฟที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส ในอีกด้านก็ผสมหางนมผง น้ำตาลทรายขาว และสารคงตัวเข้าด้วยกัน แล้วจึงค่อย ๆ เติมลงในน้ำกะทิที่ตั้งไฟ คนจนละลายเข้ากันดี อุ่นให้ได้อุณหภูมิประมาณ 65 องศาเซลเซียส เสร็จแล้วนำเข้าเครื่องปั่น ใส่ไข่แดง ปั่นต่อด้วยความเร็วสูงสุด นาน 1 นาที เพื่อให้ส่วนผสมเป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นเทใส่หม้อสแตนเลส  ยกขึ้นตั้งไฟเพื่อพาสเจอร์ไรซ์ ตั้งไฟให้ได้อุณหภูมิประมาณ 80 องศาเซลเซียส นาน 2 นาที  แล้วรีบนำไปแช่เย็นจัด บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จากนั้นจึงนำออกมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม เพิ่มเนื้อไอศกรีมด้วยเนื้อฟักทองนึ่ง จากนั้นนำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
ต่อไปเป็นไอศกรีม มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ) สีเทา ส่วนผสมไอศกรีมขนาด 1 กก. ประกอบด้วย งาดำคั่ว บดหยาบ 25 กรัม, นมถั่วเหลือง รสหวาน 840 กรัม, นมผง 36 กรัม, สารคงตัว 4 กรัม (อาทิ เจลาติน) และน้ำตาลทราย 120 กรัม
วิธีทำ นำนมถั่วเหลืองขึ้นตั้งไฟแบบหม้อตุ๋น คนด้วยทัพพีสแตนเลส จนได้อุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส ในอีกด้านก็เตรียมส่วนผสม (ของแห้ง) ได้แก่ นมผง สารคงตัว และน้ำตาลทราย ผสมให้ส่วนผสมกระจายตัวทั่วกันดี จากนั้นจึงเติมส่วนผสมของแห้งนี้ลงไปในนมถั่วเหลืองที่ตั้งไฟ คนให้ละลายเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วนำมาใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่นนาน 1 นาที จากนั้นนำไปพาสเจอร์ไรซ์ โดยการอุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ  80 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 นาที แล้วรีบนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที  บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น เสร็จแล้วก็นำออกมาปั่นด้วยเครื่องปั่นไอศกรีม เพิ่มเนื้อไอศกรีมด้วยงาดำคั่วบด คนให้เข้ากับไอศกรีมอย่างเบามือ แล้วนำเข้าแช่ในช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
อีกสูตรคือไอศกรีม ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) สีแดง ส่วนผสมไอศกรีมขนาด 1 กก. ประกอบด้วย น้ำลูกหม่อน 497 กรัม, นมสด 397 กรัม, น้ำตาลทราย 50 กรัม, น้ำผึ้ง 50 กรัม และสารคงตัว 6 กรัม (อาทิ เจลาติน)
วิธีทำ ผสมน้ำผึ้งกับนมสด ตุ๋นที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ใส่สารคงตัวที่ผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทราย คนให้ละลาย อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส แล้วนำขึ้นมาใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุดปั่น 1 นาที เสร็จแล้วนำไปพาสเจอร์ไรซ์ โดยการตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา  2  นาที  แล้วรีบนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที  บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จากนั้นนำออกมาผสมกับน้ำลูกหม่อนที่แช่เย็น แต่งรสเปรี้ยวเล็กน้อย สุดท้ายนำมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม แล้วนำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
ทั้งนี้ ทางอาจารย์ที่ให้ข้อมูลมาบอกว่า ไอศกรีมตามสูตรดังกล่าวนี้ จากการใช้ส่วนผสมที่เน้นคุณค่าของสมุนไพร มีส่วนผสมของนมสดหรือผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนน้อย ก็ทำให้จัดเป็นกลุ่มไอศกรีมที่มีไขมันค่อนข้างต่ำ
สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในการทำไอศกรีม 2 กก. หากบรรจุถ้วยขนาด 4 ออนซ์ จะบรรจุได้ประมาณ 40 ถ้วย มีต้นทุนรวมประมาณไม่เกิน 16 บาท ส่วนราคาขายนั้นสามารถตั้งได้ที่ราคาถ้วยละ 20-25 บาท แล้วแต่ทำเลในการขาย
......................................................................
แฟน “ช่องทางทำกิน” ที่สนใจ “ไอศกรีมสมุนไพร” สูตรของสาขาวิชาเทคโนโลยีและการจัดการความปลอดภัยของอาหาร  คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2287-9722 ในวันและเวลาราชการ

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
..................................................
คู่มือลงทุน...ไอศกรีมสมุนไพร
ทุนอุปกรณ์    ประมาณ 10,000  บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 16 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์
รายได้  20-25 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์
แรงงาน  1-2 คนขึ้นไป
ตลาด  ชุมชน, สถานศึกษา, สำนักงาน
จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพใช้เป็นจุดขายที่ดีได้

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.dailynews.co.th/

Read More...


ไอศกรีมสมุนไพร(1)ชื่ออัญมณี-ดีต่อสุขภาพ

.
.
.


หน้าร้อนแบบนี้ ของหวาน ๆ เย็น ๆ ขายดี และ “ไอศกรีม” ก็เป็นหนึ่งในของหวานเย็นที่ผู้คนนิยม วันนี้ทาง “ช่องทางทำกิน” จะนำเสนอข้อมูล “ไอศกรีมสมุนไพร” ที่ตั้งชื่อตามอัญมณีที่มีคุณค่า สูตรของสาขาวิชาเทคโนโลยี และการจัดการความปลอดภัยของอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดย รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา  สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ  สุธรรมรักษ์ ให้ลองพิจารณากัน...
.........................................
ไอศกรีมสมุนไพรที่ตั้งชื่อตามอัญมณีดังกล่าวนี้ มีการจำแนกการรับประทานตามหมู่โลหิตสำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพด้วย  โดยประกอบด้วยไอศกรีม 5 รส ได้แก่ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร), เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว), บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) ซึ่งทางอาจารย์ได้บอกว่า ผลิตไอศกรีมดังกล่าวนี้เนื่องจากไอศกรีมทั่วไปประกอบด้วยเนื้อ นม เนย  อยากจะทำไอศกรีมไขมันต่ำ แต่มีคุณค่าทางอาหาร จึงมาลงตัวที่ไอศกรีมสมุนไพร
อุปกรณ์การทำ หลัก ๆ ก็มี ถังปั่นไอศกรีม เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และอุปกรณ์สำหรับชั่งตวง เครื่องชั่งน้ำหนัก ถ้วยตวงน้ำ ถ้วยตวงของแห้ง ซึ่งที่ต้องใช้ทั้งเครื่องชั่งน้ำและถ้วยตวง ก็เพราะส่วนผสมบางอย่างต้องใช้ในสัดส่วนที่แน่นอน
สำหรับสูตรการทำไอศกรีมสมุนไพร มาดูกันที่ ไพฑูรย์ (ไอศกรีมเชอร์เบท อัญชัญ ตะไคร้ สมุนไพร) สีน้ำเงิน-ม่วง ซึ่งต้องใช้ น้ำตะไคร้สมุนไพร ซึ่งประกอบด้วยตะไคร้ (บุบพอแตก) 100 กรัม, สะระแหน่ 200 กรัม ดอกอัญชันแห้ง 100 กรัม น้ำสะอาด 2 ลิตร  ทำเป็นน้ำตะไคร้สมุนไพรโดยต้มน้ำพอเดือด ปิดไฟ ใส่ตะไคร้ ดอกอัญชัญแห้ง และใบสะระแหน่ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หรือทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงกรอง พักไว้  นอกจากนี้ยังมีส่วนผสม น้ำส้มแขก ใช้ส้มแขก 20 กรัม น้ำสะอาด 500 กรัม ต้มน้ำพอเดือด ใส่ส้มแขกต้มต่อไปให้เดือดประมาณ 10 นาที ปิดไฟตั้งทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอง ส่วนผสมสำหรับทำไอศกรีมไพฑูรย์ 1 กก. ใช้น้ำตะไคร้สมุนไพร 398 กรัม, น้ำส้มแขก 100 กรัม, วิปปิ้งครีม 100 กรัม, นมสด 199 กรัม, น้ำตาลทราย 199 กรัม, สารคงตัว 199 กรัม (อาทิ เจลาติน ซื้อตามร้านเคมีภัณฑ์สำหรับไอศกรีม)
วิธีทำ ชั่งตวงส่วนของน้ำตาลทราย สารคงตัว (ของแห้ง) รวมกันไว้แล้วพักไว้ จากนั้นชั่งหรือตวงส่วนผสมวิปปิ้งครีม นมสด น้ำตะไคร้สมุนไพร (ของเหลว) ตามส่วน ยกเว้นน้ำส้มแขก เทลงในหม้อสแตนเลสมีด้ามจับ ตั้งไฟแบบหม้อตุ๋น  คนด้วยทัพพีสแตนเลส  ใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงเติมส่วนผสมของแห้งที่เตรียมไว้ลงไป คนให้เข้ากันจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน  ตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ  65 องศาฯ เสร็จแล้วยกลงจากเตา แล้วจึงเติมน้ำส้มแขก จากนั้นค่อย ๆ เทส่วนผสมทั้งหมดลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้  ใช้ความเร็วสูงสุดปั่นนาน 1 นาที  แล้วนำไปพาสเจอร์ไรซ์โดยการตุ๋นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาฯ นาน 2 นาที เสร็จแล้วนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที  บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น  แล้วจึงนำมาปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนเป็นไอศกรีม นำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จขั้นตอน
มีข้อสังเกตว่า นมจะเป็นลิ่มเมื่อผสมกับกรด แต่จะกระจายและละลายตัวดีเมื่อปั่นด้วยเครื่องปั่นของเหลว ดูกันต่ออีกสูตรคือ ไอศกรีมสมุนไพร เขียวส่อง (ไอศกรีมเชอร์เบท สะระแหน่ มะนาว) สีเขียว ซึ่งส่วนผสมต้องใช้น้ำสะระแหน่ เตรียมสะระแหน่ 400 กรัม น้ำสะอาด 2 ลิตร ต้มน้ำพอเดือด ปิดไฟ ใส่ใบสะระแหน่ ทิ้งไว้ 15 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรอง ทั้งนี้ ส่วนผสมไอศกรีมเขียวส่อง 1 กก. ก็มี น้ำสะระแหน่ 460 กรัม, น้ำมะนาว 60 กรัม, นมสด 369 กรัม, น้ำผึ้ง 60 กรัม, น้ำตาลทราย 46 กรัม และสารคงตัว 5 กรัม วิธีทำ นำน้ำผึ้งใส่ในนมสด ตั้งไฟแบบตุ๋น ที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส ใส่สารคงตัวที่ผสมเข้ากันดีกับน้ำตาลทราย คนให้ละลาย อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 65 องศาฯ เสร็จแล้วผสมกับน้ำมะนาวและน้ำสะระแหน่ จากนั้นนำลงปั่นด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ใช้ความเร็วสูงสุด ปั่น 1 นาที จึงนำไปพาสเจอร์ไรซ์โดยการอุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิ 80 องศาฯ 2 นาที แล้วนำไปแช่ให้เย็นจัดทันที บ่มไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงในตู้แช่เย็น จึงแต่งรสด้วยการเติมน้ำเชื่อมและน้ำมะนาว จากนั้นก็นำไปปั่นในเครื่องปั่นไอศกรีมจนได้ลักษณะไอศกรีมเชอร์เบท แล้นำเข้าแช่ช่องแข็งเพื่อบ่มอีกอย่างน้อย 1 คืน เป็นอันเสร็จ
ทั้งนี้ ทางอาจารย์ที่ให้ข้อมูลมาบอกว่า ไอศกรีมตามสูตรดังกล่าวนี้ จากการใช้ส่วนผสมที่เน้นคุณค่าของสมุนไพร มีส่วนผสมของนมสดหรือผลิตภัณฑ์นมเป็นส่วนน้อย ก็ทำให้จัดเป็นกลุ่มไอศกรีมที่มีไขมันค่อนข้างต่ำ
สำหรับต้นทุนวัตถุดิบในการทำไอศกรีม 2 กก. หากบรรจุถ้วยขนาด 4 ออนซ์ จะบรรจุได้ประมาณ 40 ถ้วย มีต้นทุนรวมประมาณไม่เกิน 16 บาท ส่วนราคาขายนั้นสามารถตั้งได้ที่ราคาถ้วยละ 20-25 บาท แล้วแต่ทำเลในการขาย
.........................................
ใครสนใจ “ไอศกรีมสมุนไพร” ดังที่ว่ามาข้างต้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ รศ.อรวรรณ เคหสุขเจริญ, อาจารย์อาฒยา สันตกุล, อาจารย์เบญจวรรณ สุธรรมรักษ์ โทร.0-2287-9722 ในวันและเวลาราชการ หรือที่ โทร.08-1485-3588 (อ.อาฒยา), 08-9529-0262 (อ.เบญจวรรณ) และในวันอาทิตย์ที่ 29 เม.ย. 2555 หน้า “ช่องทางทำกิน” ก็จะนำสูตรไอศกรีมสมุนไพรอีก 3 สูตรคือ บุษราคัม (ไอศกรีมกะทิสด ฟักทอง), มุกดาหาร (ไอศกรีมนมถั่วเหลือง งาดำ), ทับทิม (ไอศกรีมเชอร์เบท ลูกหม่อน) มานำเสนอกันต่ออีกตอน...

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : รายงาน
.........................................
คู่มือลงทุน...ไอศกรีมสมุนไพร
ทุนอุปกรณ์   ประมาณ 10,000  บาทขึ้นไป
ทุนวัตถุดิบ ไม่เกิน 16 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์
รายได้  20-25 บาท / ถ้วย 4 ออนซ์
แรงงาน  1-2 คนขึ้นไป
ตลาด  ชุมชน, สถานศึกษา, สำนักงาน
จุดน่าสนใจ เพื่อสุขภาพใช้เป็นจุดขายที่ดีได้

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.dailynews.co.th/

Read More...


คลุกเคล้า ขลุกขลิก 'ครองแครงคาราเมล'



 ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.thairath.co.th/content/life/249418

Read More...


เชฟหน้าใหม่ 'เด็กสวนดุสิต' แชมป์ฟู้ดสไตลิสต์

 
 

''cookatainment เปลี่ยนเพลงให้เป็นจาน'' คอนเซปต์เก๋ ๆ โดนใจ แต่หลายคนคงงง ๆ ว่ามันคืออะไร....??

เปลี่ยนเพลงให้เป็นจานเป็นคอนเซปต์ของเวทีแข่งขันทำอาหารแนวใหม่ “ฟู้ดสไตลิสต์ คุกกิ้ง แดนซิ่ง คอนเทสต์ 2011” ที่เป็นการผสมผสานอาหาร และดนตรี ซึ่งถือเป็นศาสตร์แห่งศิลปะ สร้างกระแสการประกวดการทำอาหารอย่างสร้างสรรค์ เพิ่มสีสัน และความบันเทิง โดยใช้ดนตรี และเสียงเพลงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์อาหารดี ๆ ซึ่งถือว่าเป็นการร่วมสร้าง “คุกกิ้งโชว์” ในรูปแบบใหม่ ๆ และเน้นส่งเสริมให้เกิดเชฟหน้าใหม่ ๆ มาประดับวงการอาหารในเมืองไทย โดยบริษัท ฟู้ดโปรเจ็ค (สยาม) จำกัด และนิตยสารฟู้ดสไตลิสต์

และงานนี้เราก็ได้เชฟหน้าใหม่ เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะโรงเรียนการเรือน แขนงธุรกิจภัตตาคาร และร้านอาหารแบบเร่งด่วน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ภายใต้ชื่อ ทีม “อร่อย Around” ประกอบด้วย น.ส.เกศกนก สมุทรอัษฎงค์, น.ส.ประณยา โฉมศรี และนายธนวัฒน์ เพ็ญสุวรรณ โชว์ฝีมือเหนือคู่แข่งคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองด้วยธีม “สำนึกรักบ้านเกิด” ผ่านบทเพลง “โอ้ละหนอ My love ของ เบิร์ด-ธงชัย” ที่มีสำเนียงการร้อง จังหวะและการนำเครื่องดนตรีของภาคใต้มา
ใช้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของสมาชิกทั้ง 3 คนกับเมนูอาหารจานหลักที่มีชื่อว่า Nasi Dagang หรือ ข้าวมันซี่โครงแกะอบ ซึ่งประยุกต์มาจาก “ข้าวมันแกงไก่” อาหารที่ชาวมุสลิมทางใต้นิยมรับประทานกันเป็นอาหารหลัก และมีคุณค่าทางอาหารสูง จึงมีแนวคิดว่า “ซี่โครงแกะ” น่าจะสามารถนำมาประยุกต์แทนเนื้อไก่ได้ และแรงบันดาลใจของเมนูนี้เกิดจากสมาชิกภายในทีมถึง 2 คนที่มีพื้นเพมาจากภาคใต้ และเคยได้รับประทานมาก่อนนั่นเอง
ส่วนเมนูของหวานคือ Coconut Gratin with rice noodles sweets หรือ กาแตงกะทิลอดช่อง เป็นการนำขนมหวานของไทย “ลอดช่องน้ำกะทิ” มาผสมผสานกับขนมจากประเทศฝรั่งเศส โดยมีเคล็ดลับที่สำคัญคือ การตีไข่ขาวให้ขึ้นฟู ให้มีลักษณะคล้ายเมอแรงค์ (ขนมหวานที่ทำด้วยชาขาวปั่นกับน้ำตาล) จนสามารถชนะใจเหล่าคณะกรรมการคว้าถ้วยรางวัลเกียรติยศ และประกาศนีย บัตรจากสมาคมพ่อครัวไทย พร้อมทุนการศึกษาอีกจำนวนหนึ่ง3 เยาวชนคนเก่ง บอกว่า ดีใจ และภูมิใจมากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ซึ่งน้องทั้งสามคนได้ร่วมแข่งขันตามเวทีต่าง ๆ ที่มหา วิทยาลัยได้จัดขึ้น ทำให้ได้พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อย ๆ และรางวัลนี้เปรียบเสมือนสิ่งตอบแทนสำหรับการสนับสนุน และแรงใจจากอาจารย์ทุกท่านที่คอยให้คำปรึกษา ครอบครัวที่คอยให้กำลังใจน้อง ๆ เสมอมา รวมถึงมีส่วนกระตุ้นให้มีแรงบันดาลใจในการคิดค้น และสร้างสรรค์อาหารในเมนูแปลกใหม่อีกด้วย
“สำหรับการแข่งขันในเวทีนี้ พวกเราใช้เวลาตั้งแต่ก่อนน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปี 2554 ในการฝึกฝน ด้วยการรวมตัวกันในช่วงปิดภาคเรียน วันหยุด หรือหลังเลิกเรียน เริ่มต้นจากการช่วยกันคิด ช่วยกันแชร์ว่าเราจะทำเมนูอะไร จากนั้นก็ฝึกฝน และทดลองทำ นำข้อแนะนำจากอาจารย์ รวมถึงประสบการณ์จากการได้ฝึกงานในโรงแรมมาใช้ ซึ่งสิ่งที่พวกเราคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับทีมเราคือ การได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทำในทุก ๆ ขั้นตอน ซึ่งถือว่าลงตัวที่สุดสำหรับทีมเรา”
น้อง ๆ ทีม “อร่อย Around” ทิ้งท้ายให้แนวคิดดี ๆ อีกว่า “คนที่สนใจในการทำอาหาร หรืออยากจะเป็นเชฟ อย่างแรกที่ต้องมีคือ ใจรัก เมื่อเรารู้สึกรักในสิ่งที่ทำ เราก็จะมีความพยายามในการศึกษา การค้นคว้าหาความรู้อยู่เสมอ ต้องสร้างวินัยให้เกิดกับตนเอง มีความขยัน อดทน และต้องกล้าที่จะริเริ่ม และทดลองคิดค้นสิ่งใหม่ รวมถึงการหาประสบการณ์จากเวทีการประกวดแข่งขันต่าง ๆ เพื่อฝึกฝน และพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพราะนอกจากเราจะต้องแข่งขันกับคนอื่นแล้ว ยังต้องแข่งขันกับตัวเองอีกด้วย”น้อง ๆ รุ่นใหม่พยายามค้นหาตัวเองให้เจอ มุ่งมั่น เอาจริงเอาจังในสิ่งที่ชอบ ไม่นานก็จะประสบความสำเร็จเหมือนน้องทั้งสามคนนี้!!
นภาพร พานิชชาติ
napapornp@dailyners.co.th

ขอขอบคุณเจ้าของบทความ : http://www.dailynews.co.th/article/2567/9787

Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.