สูตรขนม สูตรอาหาร อาชีพรายได้เสริม ประกาศฟรี โฆษณาฟรี Career Articles Extra Income
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

Drop Down MenusCSS Drop Down MenuPure CSS Dropdown Menu

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส อุดมด้วยคุณค่าโภชนาการ -1

การเก็บ "หน่อไม้ฝรั่ง" ส่งขายทั้งตลาดภายในประเทศและส่งออกไปยังเพื่อนบ้าน
เกษตรกรชาวไร่ต้องตกแต่งตัดโคนที่แข็งแก่ออกทิ้ง เพื่อให้สวยงาม ดูแล้วน่ากิน
ซึ่งหลังรวบรวมผลิตผลเสร็จ จะเหลือ "โคนแข็ง" อยู่ เหลือทิ้งกลายเป็นขยะมากมาย
เพื่อลดปริมาณขยะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นสาเหตุทำให้โลกร้อน น.ส.จันทร์จีรา ทองร้อยยศ นักศึกษาชั้นปีที่ 4
ภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) ธัญบุรี
จึงนำมาแปรรูปเป็น "หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส"

จันทร์จีรา บอกกับ "ทำได้ ไม่จน" ว่า ในหน่อไม้ฝรั่ง มีคุณสมบัติช่วยขับปัสสาวะ
มีวิตามิน B 3 บำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น และจากการที่พบเห็นว่าโคนหน่อไม้ฝรั่งในชุมชน
หลังตกแต่งเสร็จแล้วจะมีเหลือทิ้งจำนวนมาก รู้สึกเสียดาย อีกทั้งราคาซื้อขายค่อนข้างแพง
จึงคิดว่าน่าจะนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ในรูปแผ่นปรุงรส
เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ของกลุ่มคนที่ชอบทานของขบเคี้ยวเล่นในยามว่าง

หน่อไม้ฝรั่ง

ขั้นตอนกรรมวิธีการทำนั้นไม่ยุ่งยาก เริ่มจากนำโคนหน่อไม้ส่วนที่ตัดทิ้ง 500 กรัม มาล้างน้ำให้สะอาด
เลือกเอาเฉพาะที่ยังมีสีเขียวมาปอกเปลือกเอาส่วนที่แข็งออก จากนั้นนำไปลวกในน้ำร้อนจัดนาน 1-2 นาที
เสร็จแล้วแช่ในน้ำเย็นจัดปล่อยทิ้งไว้
...จากนั้นผัดเครื่องปรุงประกอบด้วย พริกไทยป่น 2.5 กรัม น้ำมันพืช 10 กรัม กระเทียม 15 กรัม
กระทั่งมีกลิ่นหอม จึงใส่เกลือ 5 กรัม น้ำตาล 7.5 กรัม ตักใส่รวมกับหน่อไม้ นำไปปั่นให้เข้ากัน

หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส

เสร็จแล้วนำถุงพลาสติกขนาด 12 x 18 นิ้ว ซึ่งทาด้วยน้ำมันพืช นำไปรีดเป็นแผ่นบางๆ ให้สม่ำเสมอกัน
แล้วแกะออกเป็นแผ่น นำไปอบลมร้อนในอุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 5 ชั่วโมง
นำมาตัดเป็นแผ่นขนาด 1.5-1 นิ้ว
เพียงเท่านี้ก็จะได้ หน่อไม้ฝรั่งแผ่นปรุงรส ซึ่งมีลักษณะเหมือนสาหร่ายแผ่น ที่ขายตามท้องตลาด
...แล้วยังอุดมด้วยคุณประโยชน์ด้านโภชนา ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน ลดปริมาณคอเลสเทอรอลในเส้นเลือด
เพราะมีการปรุงแต่งกลิ่นรสชาติจากสมุนไพร ทั้งกระเทียมและพริกไทย
ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย หากรับประทานในปริมาณมาก

ใครที่สนใจทำไว้สำหรับกินเล่นในครอบครัว
หรือจะทำขายเพื่อ "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้" ก็ไม่จนเงินใช้อย่างแน่นอน
สามารถกริ๊งกร๊างสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 08-1362-7269 ในวันและเวลาที่เหมาะสม.


รายงานโดย เพ็ญพิชญา เตียว
ข้อมูลโดย : http://www.thairath.co.th

Read More...


ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว’ สูตรนี้ขายดี-ไม่เหมือนใคร

‘ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว’ สูตรนี้ขายดี-ไม่เหมือนใคร-1


ปลาร้า” อาหารประจำถิ่นชาวอีสานนั้น นับวันยิ่งไม่ธรรมดา
อาหารที่มีทั้งโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ ชนิดนี้ ผู้ที่ไม่ใช่คนอีสานก็ทานเป็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อประกอบกับมีคนอีสานกระจายอยู่ทุกทิศทั่วไทย อาชีพผลิตและจำหน่ายปลาร้าจึงยิ่งทำได้แพร่หลาย
ซึ่งวันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” ก็มีข้อมูลมานำเสนอ...

จากการร่วมคณะของ สสส.ไปดูศูนย์เรียนรู้ชุมชนเกษตรรักษาสิ่งแวดล้อม
ตามแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะมุสลิมไทย (สสม.) ที่ฉะเชิงเทรา ช่วงที่ว่างจากโปรแกรมหลัก
ทางทีม “ช่องทางทำกิน” ก็ลองสำรวจตรวจสอบในพื้นที่
ก็ไปพบผู้มีอาชีพทำปลาร้าขายรายหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “ลัดดา รังประเสริฐ” ซึ่งทำ “ปลาร้าข้าวคั่ว
ขายเป็นธุรกิจย่อยๆ สามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย

ลัดดาเล่าว่า ปลาร้าข้าวคั่วสูตรที่ทำขายนี้เป็นแบบฉบับของต้นตระกูล จะไม่ค่อยเหมือนที่ไหน
และการทำขายก็จะเน้นขายเป็นตัวแห้งๆ ไม่ได้เป็นน้ำๆ
โดยเจ้าของสูตรปลาร้าข้าวคั่วสูตรนี้ทำขายมานานกว่า 15 ปีแล้ว
ซึ่งเดิมทีเดียว ก็ยังไม่ได้ยึดอาชีพทำปลาร้าข้าวคั่วขายอย่างจริงจัง ในตอนแรกนั้นเป็นแม่ค้าขายปลาสด
ทั้งจับมาขายและรับมาขาย ขายในตลาดสด ซึ่งช่วงนั้นก็ถือว่าพอขายได้ พอมีรายได้เลี้ยงครอบครัว

หลังจากยึดอาชีพขายปลาสดอยู่หลายปี ภายหลังก็เริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายปลาสดกันมากขึ้น
ทำให้มีคู่แข่งทางการตลาดมากขึ้น รายได้เริ่มน้อยลง จนตนเองเริ่มมีปัญหาทางด้านการเงินในครอบครัว
จึงเริ่มที่จะมองหาช่องทางทำกินใหม่ๆ มองหาสินค้าใหม่ๆ มาขายแทนปลาสด

“ก็เริ่มมองหาสินค้าที่จะมาขายเสริม ก็คิดได้ว่าเรามีสูตรการทำปลาร้าข้าวคั่วจากรุ่นปู่รุ่นย่า
ก็เลยลองทำออกไปวางขาย ปรากฏว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี
จึงตัดสินใจยึดการทำปลาร้าข้าวคั่วขาย เป็นอาชีพหลักแทนการขายปลาสด ซึ่งก็ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
จนปัจจุบันครอบครัวอยู่กันได้สบายๆ เพราะปลาร้า”

ลัดดายังบอกอีกว่า “ปลาร้านั้น ทำได้ไม่ยากเกินความสามารถ เริ่มทำใหม่ๆ ก็ลองทำเป็นธุรกิจแบบเล็กๆ ไปก่อน
พอเริ่มมีลูกค้ามากขึ้น มีเงินทุนเพิ่ม ค่อยเริ่มขยายกิจการ


‘ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว’ สูตรนี้ขายดี-ไม่เหมือนใคร-2

สำหรับอุปกรณ์หลักๆ ที่ใช้ทำปลาร้าข้าวคั่ว ก็มี โอ่งดินเผา, ไม้ไผ่, ผ้ายาง, มีด เป็นต้น

ส่วนวัตถุดิบที่จำเป็นๆ ก็คือ เกลือเม็ด, ข้าวคั่ว ขณะที่ปลาชนิดที่ลัดดาใช้ทำปลาร้านั้น จะใช้ปลายี่สก
เป็น “ปลายี่สกเพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่มีเนื้อเยื่อ ก้างนิ่มและก้างน้อย เหมาะที่จะใช้ทำ

ขั้นตอนและวิธีทำปลาร้าข้าวคั่วสูตรนี้ เริ่มจากนำปลายี่สกมาทำการล้างด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด
จากนั้นก็ทำการขอดเกล็ด ตัดครีบหลังและครีบหางออก ทำการผ่าท้องเอาไส้และขี้ปลาออก
แล้วก็แล่ปลาแผ่ออก จากนั้นจึงนำไปล้างน้ำเปล่าให้สะอาดอีกครั้ง หลังจากทำความสะอาดปลาแล้ว
ก็นำปลามาคลุกกับเกลือเม็ดให้ทั่วถึงทุกตัวในอัตราส่วนปลา 1 ตัน ต่อเกลือเม็ด 300 กิโลกรัม
และจึงนำไปใส่ในโอ่งดินเผาให้เต็มโอ่ง ใช้ผ้ายางปิดให้มิดชิด หมักทิ้งไว้ราว 7 วัน

โอ่งที่ใช้หมักนั้น อย่าลืมว่าต้องล้างทำความสะอาดก่อน หมักเกลือได้ระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้ว
ตามสูตรนี้ก็จะนำปลาขึ้นมาทำการคลุกเคล้ากับข้าวคั่วในอัตราส่วนปลา 1 ตัน ต่อข้าวคั่ว 200 กิโลกรัม
เมื่อคลุกเคล้าข้าวคั่วจนทั่วทุกตัวแล้ว ก็นำลงไปใส่ในโอ่งดินเผา ใช้ผ้ายางคลุมปิดให้มิดชิด
ใช้ไม้ไผ่ขัดด้านบนอีกขั้น เพื่อให้ฝาปิดแน่นขึ้น เพื่อเป็นการกันแมลงวันเข้าไปตอมและวางไข่
หมักทิ้งไว้อีกประมาณ 1 เดือน ก็สามารถนำขึ้นมาบรรจุใส่ถุงขายได้

ที่สำคัญหลังจากหมักปลาลงในโอ่งแล้วจะต้องฉีดน้ำสะอาดบนโอ่งวันละ 2 ครั้ง เพื่อป้องกันแมลงวันมาวางไข่
เพราะเวลาหมักปลาลงในโอ่ง น้ำหมักในโอ่งจะล้นขึ้นมาตามขอบโอ่ง เป็นตัวล่อแมลงวัน
ปลาร้าสูตรนี้จะไม่หมักปลากับข้าวคั่วเลย จะหมักกับเกลือก่อน แล้วถึงหมักกับข้าวคั่วอีกครั้ง
สูตรนี้จะไม่ทำให้เนื้อปลาเละ ที่สำคัญในการผสมเกลือต้องให้ได้ความเค็มมากพอ
แล้วจะทำให้ได้ปลาร้าที่รสชาติดีและปลาไม่เน่า” เจ้าของสูตรบอก

การทำปลาร้าข้าวคั่วของลัดดานั้น จะทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยทำครั้งละประมาณ 2.5 ตัน ต้นทุน
ในการทำนั้นอยู่ที่ตันละประมาณ 24,000 บาท โดยจะขายได้ในราคากิโลกรัมละ 60 บาท

ใครสนใจ “ปลาร้ายี่สกข้าวคั่ว” สูตรของลัดดา อยากลองซื้อไป รับประทานหรือจะสั่งไปจำหน่ายต่อ
ติดต่อได้ที่ หมู่ 17 ต.ดอนฉิมพลี อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา โทร. 0-3858-5134, 08-6883-6170
ส่วนใครอยู่ในพื้นที่อื่นๆ ที่มีปลามาก อยากจะลองทำปลาร้ายขายดูบ้าง ก็ลองไปฝึกฝนฝีมือกันดู !!.


--จบ--

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน
ข้อมูลโดย : เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 10 ม.ค. 2552--

ที่มา :
http://www.dailynews.co.th
http://www.udclick.com

Read More...


เมี่ยงลาว-หน้าตั้ง ข้าวตัง คุณยายอุดม

เมี่ยงลาว-หน้าตั้ง ข้าวตัง คุณยายอุดม

ข้าวตังเมี่ยงลาว-ข้าวตังหน้าตั้ง เป็นอาหารว่างไทยโบราณที่นับวันจะหาทานได้ยากเต็มที
เช่นเดียวกับผู้ชำนาญอาหารชนิดนี้ก็นับวันจะหาได้ยากเช่นกัน
เพื่อเป็นการอนุรักษ์อาชีพนี้ ทางคอลัมน์ “ช่องทางทำกิน
จึงได้ไปสัมภาษณ์ขอข้อมูลเกี่ยวกับข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง มาให้ผู้อ่านได้ทราบกัน
คุณยายอุดม การสมใจ วัย 74 ปี ซึ่งยึด อาชีพขายข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง มานานกว่า 40 ปี เล่าว่า
ก่อนหน้ามีอาชีพขายข้าวโพดต้ม, ขนมต้มแดง-ต้มขาว ฯลฯ
ต่อมาเพื่อนที่ทำงานในกรมศิลปากรได้สอนการทำข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้งให้
ตั้งแต่บัดนั้นจึงได้ยึดอาชีพนี้เลี้ยงครอบครัวมาตลอด

ปัจจุบันคุณยายอุดมยังคงหาบข้าวตังขาย อยู่ที่หน้าศาลาว่าการ กทม.
และลูกๆ กับลูกสะใภ้อีก 3 คน ก็หาบข้าวตังขายตามสถานที่ต่าง ๆ
อาทิ หน้าร้านเป็ดย่างพูลสิน วัดตรีทศเทพ, หน้าร้านเป็ดย่างจิ๊บกี่ นางเลิ้ง และหน้าโบสถ์วัดมกุฏกษัตริยาราม
ซึ่งหากหมดรุ่นลูกรุ่นนี้ไปแล้วคงไม่มีใครสืบทอดต่ออีก

เรามาดูกันสิว่า....ข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง มีวิธีการทำอย่างไร...??
เริ่มที่ ข้าวตังดิบ ต้องสั่งซื้อมาจากต่างจังหวัด ราคา กก. ละ 85 บาท เหตุที่แพงเพราะว่าหายาก
แหล่งที่ทำข้าวตังดิบนั้น จะมาจากสถานที่ที่
ต้องหุงข้าวแบบเช็ดน้ำในปริมาณมากๆ โดยตักข้าวส่วนบนออกไป
ส่วนข้าวที่ติดก้นหม้อหรือก้นกระทะนั้นจะปล่อยให้แห้งกรอบสนิท และข้าวนั้นจะร่อนออกมาเอง
ซึ่งเรียกว่า
ข้าวตังดิบ นั่นเอง
ข้าวตังดิบนี้คุณยายอุดมเริ่มซื้อมาทำขายตั้งแต่ราคา กก. ละ 7 บาท จนปัจจุบัน ราคา กก. ละ 85 บาท
ซึ่งในแต่ละวันต้องใช้ 8-10 กก. โดยข้าวตังดิบที่ซื้อมาจะมีลักษณะเป็นแผ่นใหญ่ๆ สีขาวขุ่น
ซึ่งก่อนอื่น
จะต้องทอดเป็นอันดับแรก โดยตั้งกระทะ ใส่น้ำมันท่วม ไฟแรงจัด
ความร้อนนั้นต้องมาจากเตาฟืนหรือเตาถ่าน ข้าวตังจึงจะอร่อยได้รสชาติจริงๆ
ซึ่งหากทอดด้วยเตาแก๊สรสชาติของข้าวตังนั้นจะไม่อร่อยเลย


การทอดนั้นต้องทอดด้วยความรวดเร็ว
เพราะเมื่อใส่ข้าวตังดิบลงไปในกระทะแล้ว ข้าวตังจะฟูเหลืองกรอบขึ้นมาทันที
พลิกทอดข้าวตังอีกด้าน เพื่อให้สุกเหมือนกัน
จากนั้นก็นำขึ้นมาพัก ให้สะเด็ดน้ำมันเสียก่อนที่จะนำลงไปบรรจุถุงพลาสติกเตรียมไว้
ในปริมาณถุงละ 200-300 กรัม ข้าวตังดิบ 1 กก. เมื่อทอดสุกแล้วน้ำหนักจะหายไปราว 300 กรัม

เมี่ยงลาว
มีลักษณะเป็นเม็ดๆ เรียงรายอยู่ในถาด โรยหน้าด้วยพริกขี้หนูสดสีเขียว-สีแดง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทานคู่กับข้าวตัง


การทำเมี่ยงลาวก็ตั้งกระทะ เทน้ำมันลงไปไม่ต้องมาก ใช้ไฟร้อนปานกลาง (เน้นใช้เตาฟืนหรือเตาถ่าน)
จากนั้นใส่ขิงแก่โขลกละเอียด 500 กรัม ตามด้วยหอมแดงโขลกละเอียด 500 กรัม ลงไปเคี่ยวให้เข้ากัน
จากนั้นค่อยๆ เทถั่วป่น 4 กก. ลงไปผัดให้เข้ากัน ปรุงรสหวานเค็มตามใจชอบ ผัดกวนไปเรื่อยๆ จนงวดแห้ง
ซึ่งขั้นตอนการกวนนั้นจะต้องใช้ไฟอ่อน จากนั้นนำขึ้นมาพักไว้

เตรียมใบผักกาดดอง
ล้างให้สะอาดประมาณ 2 น้ำ แล้วนำไปนึ่งให้สุก เตรียมไว้

จากนั้นมาถึงขั้นตอนการห่อเมี่ยงลาว
นำใบผักกาดดองมาพับเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตักเมี่ยงลาวลงไปบนใบผักกาดดอง
จากนั้นห่อใบผักกาดดองปิดเมี่ยงให้เรียบร้อย ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมด เรียงใส่ถาดให้สวยงาม
โรยด้วยพริกขี้หนูสด หรือบรรจุใส่ถุงพลาสติก 6 ชิ้น เพื่อขายคู่กับข้าวตังในราคาชุดละ 20 บาท

ต่อมาเป็น หน้าตั้ง
ตั้งหม้อใช้ไฟแรง เทหัวกะทิ 1 กก. ลงไปเคี่ยวผสมกับขิงแก่โขลกละเอียด 500 กรัม
และหอมแดงโขลกละเอียด 500 กรัม เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมทั้ง 3 อย่างเข้ากันเป็นอย่างดี
เคล็ดลับสำคัญคือจำเป็นต้องให้ไฟนั้นร้อนอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจะต้องคอยหมั่นเติมฟืนหรือถ่านอยู่เรื่อยๆ
เมื่อส่วนผสม 3 อย่างเข้ากันได้ที่แล้ว ค่อยๆ เทถั่วป่น 2 กก. ลงไปเคี่ยวในหม้อด้วย คอยกวนไปเรื่อยๆ อย่าหยุดมือ
ปรุงรสด้วยน้ำตาล+เกลือ เพื่อให้มีรสชาติ ในขั้นตอนการเคี่ยวนี้ ถั่วป่นจะติดกันเป็นก้อน
แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเวลาที่ยกขึ้นมาจากเตาแล้ว ก่อนที่จะบรรจุลงถุงนั้นต้องกวนไปเรื่อยๆ
โดยต้องคอยบี้ให้ถั่วแตกออกมา แล้วตักบรรจุลงถุงๆ ละ 1 กระบวย มัดปากถุงให้เรียบร้อย
ขายคู่กับข้าวตัง ชุดละ 20 บาท ยังมีหน้ามะพร้าว ขูดมะพร้าวทึนทึก ออกมาเป็นฝอยๆ
จากนั้นบรรจุลงถุงพลาสติคพอประมาณ

นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมน้ำตาลทรายผสมงาดำคั่วบรรจุใส่ถุงเล็กๆ ไว้ต่างหาก
หรือน้ำตาลเปล่าๆ ไม่ผสมงา สำหรับคนที่ไม่ชอบงาดำ ขายคู่กับข้าวตังในราคาชุดละ 20 บาทเช่นกัน

สำหรับใครที่สนใจอยากลองไปสอบถาม หรืออยากอุดหนุน ข้าวตังเมี่ยงลาว-หน้าตั้ง-หน้ามะพร้าว
ของคุณยายอุดม การสมใจ วัย 74 ปี คนนี้ ไปกันได้ที่หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ถนนดินสอ
คุณยายจะวางหาบขายบริเวณหน้าร้านมนต์นมสดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-20.00 น.

นอกจากข้าวตังหน้าต่างๆ แล้ว ยังมี เมี่ยงคำ
ว่างๆ ก็ช่วยไปอุดหนุนคุณยายกันหน่อยนะ !!.

สุภารัตน์ ยอดสิริวิชัยกุล : รายงาน
ข้อมูลโดย เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 22 มิ.ย. 2546
ภาพถ่ายโดย Soonthorn O.K.Nation
ที่มาของภาพจาก http://forum.thaidvd.net
ที่มาของข้อมูล : http://library.dip.go.th

Read More...


ข้าวแกงปักษ์ใต้ ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ

'ข้าวแกงปักษ์ใต้' ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ-1

อาหารปักษ์ใต้” ได้ชื่อว่าเป็นอาหารที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะตัว เป็นที่ชื่นชอบและนิยมของคนไทยจำนวนมาก
เพราะมีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อนถึงพริกถึงเครื่องสมุนไพรเอามากๆ

ชนิดที่ว่าน้ำแกงเข้มข้น ทั้งเค็ม เปรี้ยว เผ็ด เด็ดถึงใจกันเลยทีเดียว
หลายคนเมื่อใดที่นึกถึงเมนู อาหารปักษ์ใต้ อย่างพวกแกงเหลือง, แกงไตปลา, คั่วกลิ้งแล้วละก็
อดที่จะน้ำลายสอที่มุมปากไม่ได้ ทำให้นึกอยากกินอาหารปักษ์ใต้ขึ้นมาทันที
วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีเทคนิคการทำอาหาร ร้าน “ข้าวแกงปักษ์ใต้” มาแนะนำ
เพื่อพิจารณาเป็นอีกช่องทางอาชีพ...

อนัญญา เที่ยงน้อย หรือคุณกุ้ง เจ้าของร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดี (นครศรีธรรมราช )
เนื่องจากเป็นคนที่แพ้ผงชูรส เวลาไปทานอาหารนอกบ้านเจอร้านที่ใส่ผงชูรสทำให้แพ้ ท้องอืด ปากชา
ไม่สบายทุกทีไป ประกอบกับเป็นคนชอบทำกับข้าวมาตั้งแต่เด็ก และคุณแม่สอนทำอาหารพื้นบ้านชาวใต้
จึงมีความคิดที่จะทำร้านอาหารปลอดผงชูรส และนำผักพื้นบ้านที่หากินในกรุงเทพฯไม่ได้
มาให้ชาวใต้ได้กินกันถึงในกรุง ซึ่งอาหารใต้ส่วนใหญ่มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้านเป็นส่วนประกอบหลัก
จึงดีต่อสุขภาพ

คุณกุ้งบอกว่า ด้วยความตั้งใจอยากมีร้านอาหารปักษ์ใต้เป็นของตัวเอง
ประกอบกับได้รู้จักเจ้าของร้านบิ๊กแอ็ปเปิ้ลที่มีพื้นที่เหลืออยู่ จึงขอเช่าทำร้านอาหารอย่างที่ได้ตั้งใจไว้

จึงเกิดร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดีขึ้น

วัตถุดิบที่ใช้ สั่งตรงจากบ้านเกิดโดยให้น้องชายส่งขึ้นรถทัวร์มาทุกเช้า
เช่น ใบเหลียง, มันขี้หนู, ใบลาน้ำ, ใบมันปู ส่วนเนื้อสัตว์จะสั่งจากร้านที่คัดเกรด
หลังจากได้วัตถุดิบมาแล้ว ผัก จะทำการล้างด้วยน้ำยาล้างผักและน้ำส้มสายชู จนกว่าจะสะอาดจริงๆ
ใบที่ไม่สวยก็จะคัดทิ้ง หลังจากนั้นถึงจะนำมาให้ลูกค้ารับประทาน

สำหรับเมนูอาหารของร้านที่ลูกค้ามาต้องสั่งทานเพราะหารับประทานยาก
เช่น ใบเหลียงผัดไข่ แกงเหลืองมันขี้หนูปลากะพง, ปลาแดง-ปลากระบอกทอดขมิ้น, ขนมจีนเส้นสด-น้ำยาใต้,
คั่วเนื้อข่าอ่อน, กุ้งต้มกะทิหน่อไม้อ่อน, คั่วกลิ้งหมู , น้ำพริกแมงดา, ต้มส้มปลากระบอก, ผัดเผ็ดสะตอกุ้ง เป็นต้น
'ข้าวแกงปักษ์ใต้' ชื่อได้-มีสูตรดี-มีอาชีพ-2

เมนูพระเอกของร้านที่จะแนะนำคือ ใบเหลียงผัดไข่ เป็นอาหารจานผัดที่ดูธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดา
และอีกหนึ่งเมนูโปรดชาวใต้ ปลาแดงทอดขมิ้น ซึ่งเมนูนี้คุณกุ้งบอกว่าจะใช้ปลาทะเลอื่นๆ ก็ได้

อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำร้านข้าวแกงปักษ์ใต้นั้น ต้องเตรียมให้ครบครัน
ที่ขาดไม่ได้คือครกหิน นอกนั้นก็เป็นพวกเขียง, มีด, ช้อน, ส้อม, ทัพพี, หม้อหลายๆ ขนาด, กะละมัง, กระทะ,
เตาแก๊ส, เตาถ่าน, ตะแกรง, หม้อต้มน้ำซุป, ถาด เป็นต้น

วิธีทำ “ใบเหลียงผัดไข่” วัตถุดิบก็มี... ใบเหลียง, ไข่ไก่, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาล, น้ำมันรำข้าว, น้ำปลา, กระเทียม
การทำเริ่มจากล้างใบเหลียงให้สะอาด นำมาหั่น ทุบกระเทียมดีๆ ให้พอแตก จากนั้นตั้งกระทะใช้ไฟปานกลาง
ใส่น้ำมันรำข้าวเล็กน้อย ใส่กระเทียมที่เตรียมไว้ลงไปผัดพอหอม ตอกไข่ใส่ลงไป
คั่วให้เกือบจะสุกแล้วนำใบเหลียงที่หั่นเตรียมไว้ใส่ตามลงไป ผัดกลับไปกลับมาสองสามครั้ง
ปรุงรสด้วยน้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาล พอผักสลด ตักขึ้นใส่จาน เป็นอันเสร็จ ขายในราคาจานละ 40 บาท
ต้นทุนเฉพาะวัตถุดิบประมาณ 60%

วิธีทำ “ปลาแดงทอดขมิ้น”
วัตถุดิบที่ใช้... ปลาแดงขนาดพอเหมาะ, ขมิ้นชัน, กระเทียม, เกลือ
การทำเริ่มจากคัดปลาสดๆ ขนาดพอดี นำขมิ้นชันกับกระเทียมดีๆ ใส่ครกโขลกเข้าด้วยกันพอหยาบๆ
แบ่งเป็นสองส่วน นำส่วนหนึ่งไปหมักปลาที่เตรียมไว้ กับน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ทิ้งไว้หนึ่งชั่วโมง
จากนั้นนำปลาไปทอดใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ทอดจนเหลืองสวย นำขึ้นใส่จาน
นำขมิ้นโขลกที่เหลือไปทอดน้ำมันอุ่นๆ พอเหลืองกรอบ ตักไปราดบนตัวปลา จัดแต่งให้สวยงาม พร้อมขาย
ราคาตัวละ 40 บาท ทุนวัตถุดิบประมาณ 60%

แต่ละวันเมนูข้าวแกงจะมีประมาณ 20 อย่าง สลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก็ต้องมีเมนูเด็ดยืนพื้นไว้ส่วนหนึ่ง
เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา ต้มส้มปลากระบอก หมูผัดกะปิ แกงคั่วหอยขม แกงหมูมะเขือพวง ฯลฯ
รวมถึง ใบเหลียงผัดไข่, ปลาแดงทอดขมิ้น

ราคาขายนั้น ถ้าเป็นข้าวแกงราด กับข้าว 1 อย่าง ราคา 30 บาท, ราด 2 อย่าง 40 บาท, แกงถ้วย 40 บาท,
ขนมจีนน้ำยากะทิ-น้ำยาป่า ชุดละ 30 บาท พร้อมผักเคียง หรือผักเหนาะจานใหญ่ๆ มากมาย
ซึ่งก็ถือว่าไม่สูง เมื่อเทียบกับคุณภาพอาหาร และผักที่บางอย่างหากินไม่ได้ในกรุงเทพฯ

คุณกุ้งบอกว่า กำไรไม่มาก เพราะต้นทุนสูง แต่ก็อยากให้ลูกค้าทานอาหารที่มีคุณภาพดี
เน้นความสะอาดและสดใหม่ และที่สำคัญรสชาติอาหารไม่เพี้ยนจากสูตรของชาวใต้ ซึ่งเหล่านี้คือ “จุดขาย”

ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้จันดี (นครศรีธรรมราช) ของคุณกุ้งอยู่ตรงสี่แยกเกษตร-นวมินทร์ ตัดถนนสุคนธ์สวัสดิ์
ด้านซ้ายของร้านบิ๊กแอ็ปเปิ้ล เปิดบริการเวลา 08.00-15.00 น. หยุดทุกวันจันทร์ เบอร์โทรฯ คุณกุ้ง 08-9798-4555
ทั้งนี้ ร้าน “ข้าวแกงปักษ์ใต้” ก็นับเป็นทางเลือกหนึ่งของอาชีพขายอาหารที่น่าสนใจ.


เชาวลี ชุมขำ เรื่องและภาพ
ข้อมูลโดย : http://www.dailynews.co.th

ที่มาของภาพ :
http://www.refer2rich.com
http://www.bloggang.com

Read More...


ขายขนมวุ้นเป็นอาชีพเสริม ไม่ยากอย่างที่คิด

ขายขนมวุ้นเป็นอาชีพเสริม ไม่ยากอย่างที่คิด

หากพูดถึงขนมเนื้อนิ่มๆ ใส อย่าง วุ้น คนส่วนใหญ่คงนึกถึงแต่วุ้นกะทิ
หรือหากเป็นสมัยก่อนที่ผู้เฒ่าผู้แก่รู้จักดี และนิยมทำก็จะเป็นวุ้นไข่ หรือวุ้นสังขยา
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวุ้นอะไร หลายๆ คนคงเคยชิมเคยทำกันมาบ้างแล้ว แล้วขนมที่ชื่อวุ้นนี้ก็ทำได้ไม่ยาก
จะหาวัสดุอุปกรณ์ในการทำก็ง่าย ราคาไม่แพง อีกทั้งเป็นขนมที่นิยมบริโภคกันอยู่ทั่วไป
ซึ่งเป็นข้อที่ยืนยันได้ว่า อาหารชนิดนี้ “ขายได้” แน่นอน

ในปัจจุบัน เราจะพบการทำวุ้นที่ดัดแปลงรูปแบบไปมาก อย่างที่เรียกกันว่า วุ้นเค้ก
ซึ่งก็เป็นวุ้นกะทินิยมทำสลับชั้นแล้วใช้พิมพ์รูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสัตว์รูปผลไม้ ดอกไม้แปลกๆ ใบไม้
ทั้งเป็นพิมพ์กด และพิมพ์ที่หล่อออกมาเป็นรูป
และนอกจากตัววุ้นอย่างเดียวแล้ว เรายังสามารถใส่ผลไม้บางชนิดลงไปด้วย ช่วยเพิ่มรสชาติของวุ้นให้ดีขึ้น
เช่น สามารถผสมกับโยเกิร์ต หรือผสมผลไม้ตามฤดูกาลอย่างสับปะรด ขนุน

โดยกรรมวิธีในการผลิตวุ้น ก็ไม่แตกต่างจากกรณีที่เป็นตัววุ้นล้วนๆ ส่วนต้นทุนการผลิตวุ้นนั้นก็ยังไม่สูงมาก
วัตถุดิบที่มีราคาสูงก็มีแต่เฉพาะตัวผงวุ้นเท่านั้น เพราะเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงแรกที่ทำขายอาจจะได้กำไรไม่มากนัก
แต่หากทำรูปแบบให้น่าสนใจ ยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นไปเอง
นอกจาก รูปแบบที่น่าสนใจแล้ว ผู้ที่คิดจะผลิตวุ้นเพื่อขาย ต้องสนใจในเรื่องการบรรจุหีบห่ออีกด้วย
เพื่อให้ได้วุ้นที่น่ารับประทาน เป็นที่สะดุดตา

ในส่วนกระบวนการทำวุ้นนั้น เริ่มต้นอาจจะต้องรู้จัก ช้อนตวง เสียก่อน
เพราะการทำวุ้นต้องเคร่งครัดกับอัตราส่วนผสมต่างๆ ช้อนตวงมีขายตามร้านทั่วไป
และมีข้อแนะนำว่า ช้อนตวงชนิดสแตนเลส จะได้ขนาดถูกต้องกว่าแบบที่เป็นพลาสติก

ช้อนตวงส่วนใหญ่จะขายเป็นชุดมี 4 ขนาดด้วยกัน
คือ ขนาด 1 ช้อนโต๊ะ, 1 ช้อนชา, ครึ่งช้อนชา และ 1 ใน 4 ช้อนชา

นอกจากช้อนตวง ยังมี ถ้วยตวง สำหรับตวงวัตถุดิบที่เป็นของแข็ง เช่น น้ำตาล แป้ง
มีขนาด 1 ถ้วยตวง, ครึ่งถ้วยตวง, 1 ใน 3 ถ้วยตวง และ 1 ใน 4 ถ้วยตวง


การทำวุ้น
เริ่มต้น โรยผงวุ้นลงในน้ำตามส่วน คือ ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 2 ถ้วยครึ่ง หรือ 3 ถ้วย
ถ้าไม่ใช้น้ำแต่เป็นกะทิก็เหมือนกัน ถ้าใช้เกินกว่านี้ วุ้นเมื่อเป็นตัวจะนุ่มไม่ค่อยอร่อย
เมื่อโรยผงวุ้นในน้ำแล้วสัก 1 นาที ให้วุ้นดูดน้ำให้เต็มที่ จึงนำไปตั้งไฟให้เดือดด้วยไฟปานกลาง
อาจจะใส่สี ใส่กลิ่น ใส่น้ำตาลทรายค่อนถ้วยตวง รสชาติจะไม่หวานจัด
แต่จะใส่มากหรือน้อยกว่านี้เล็กน้อยตามแต่ความชอบ ถ้าชอบหวานก็ใส่มากกว่านี้
เมื่อวุ้นเดือด เคี่ยวต่อสัก 5 นาที ก็เทลงพิมพ์ได้แล้ว

พิมพ์ทำวุ้น มีหลากหลายรูปแบบ หาซื้อได้ตามร้านอุปกรณ์เค้กทั่วไป

ในกรณีที่ทำเป็นวุ้นหลายๆ ชั้น เมื่อเทชั้นหนึ่งแล้วต้องรอให้ชั้นนั้นอยู่ตัวพอดี
คือ ให้เซตตัวประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แล้วค่อยหยอดอีกชั้นลงไป
ตอนแรกๆ อาจจะหัดหยอดวุ้นกะทำให้ชำนาญก่อน คือวุ้นชั้นหนึ่งกะทิชั้นหนึ่ง จนกว่าจะเชี่ยวชาญ
จากนั้นเมื่อชำนาญดีแล้วจึงค่อยเทแบบที่เป็นสีสลับชั้นกัน คือเมื่อเทวุ้นซ้อน 2 ชั้น แล้วสีจะไม่ซึมเข้าผสมกัน
เพราะว่าแต่ละชั้นยังไม่อยู่ตัว หรือเทแล้วแต่ละชั้นไม่ติดกัน เพราะแห้งเกินไปกลายเป็นขนมชั้น
จากนั้นจึงค่อยมาเทวุ้นแต่ละชั้นเป็นสีสลับกัน

ที่สำคัญ ต้องนำเข้าตู้เย็น เพราะถ้าไม่อยู่ตู้เย็นวุ้นจะคืนตัว

ในช่วงแรกจะทำวุ้นอย่างเดียวก่อนก็ได้
ต่อไปเมื่อมีความชำนาญมากขึ้น ก็สามารถดัดแปลงเพิ่มเติมวัตถุดิบผสมลงไปได้ เช่น ใส่เมล็ดแมงลัก ฝอยทอง
หรืออาจจะเป็นลูกชุบ ทองหยิบ ทำให้หน้าตา รสชาติของวุ้นแตกต่างออกไป อาจจะเป็นผลไม้รวมกระป๋อง
ผลไม้สด แต่ถ้าจะใส่แตงโมคงต้องลดน้ำที่เป็นส่วนผสมของวุ้นลงเล็กน้อย เพราะว่าในแตงโมก็มีน้ำเช่นกัน
ใส่นมสดก็ได้ หากใส่นมจืดวุ้นก็จะกลายเป็นเต้าฮวยไป

อย่างไรก็ตาม การผสมวัสดุอะไรลงไป ควรจะต้องทดลองดูว่าใส่อะไร เท่าไหร่ สูตรเป็นอย่างไรก่อนทุกครั้ง

ตัวอย่างการทำวุ้นไข่ เริ่มต้นด้วย
วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำ 2 ถ้วยครึ่ง
น้ำตาลทราย ¾ ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 1 ฟอง
สีผสมอาหารสีเหลืองไข่
กลิ่นมะลิ

ดำเนินการตามกระบวนการ ใส่วุ้นในน้ำ พอวุ้นดูดน้ำ ตั้งไฟเคี่ยว เติมน้ำตาล เติมกลิ่นมะลิเพื่อกลบกลิ่นไข่
นำไข่ 1 ฟอง ตีพอเข้ากันไม่ถึงกับฟู เมื่อเคี่ยววุ้นจนเดือดปุดๆ แล้ว เทไข่ให้กระจายให้ทั่ว เคี่ยวต่อจนไข่สุก
ถ้าวุ้นไม่เดือด ระวังไข่จะคาว และเวลาโรยไข่ให้ยกไข่สูงๆ เมื่อไข่สุกก็เทลงพิมพ์


ตัวอย่างการทำวุ้นมะพร้าว
เนื้อมะพร้าวอ่อนต้องหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เริ่มต้นทำโดยการใช้ผงวุ้นใส่ในน้ำมะพร้าวแล้วเคี่ยว
เติมน้ำตาลพอได้ที่ ลดไฟให้อ่อนลง ใส่กะทิลงไป เคี่ยวจนเดือดรุมๆ ปิดไฟ
แล้วใส่เนื้อมะพร้าวอ่อนชิ้นเล็กๆ ลงไปจากนั้นจึงตักหยอดพิมพ์


หมายเหตุ :
ในเรื่องของการทำวุ้น สิ่งที่สำคัญ คือ วัตถุดิบ
เป็นต้นว่า วุ้นต้องเลือกยี่ห้อที่จะนำมาใช้ เพราะแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติทางเคมีในการดูดน้ำ
ซึ่งผู้บริโภคจะรู้สึกได้เมื่อตอนรับประทาน จะติดใจหรือไม่ติดใจ วัตถุดิบวุ้นเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ


สำหรับกะทิ ควรจะเป็นกะทิทีคั้นจากมะพร้าวสด ๆ ทางที่ดีควรจะคั้นเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องคั้นจากมะพร้าวที่ขูดขาว ไม่มีร่องรอยของกะลาดำๆ ติดมาด้วย
เพราะกะทิที่คั้นมาได้จะหอม หากใช้กะทิที่สำเร็จรูปรสชาติจะไม่ค่อยดี



การลงทุนทำวุ้น ใช้เงินไม่มาก ประมาณ 400-500 บาท เท่านั้น เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่มีอยู่ในครัวเรือนอยู่แล้ว

สำหรับผู้ที่คิดจะทำวุ้นเพื่อการจำหน่าย เริ่มต้นควรหาตลาดก่อน ว่าจะขายอย่างไร ตรงไหน
ดูกลุ่มลูกค้าว่าชอบวุ้นแนวไหน เพราะวุ้นมีสีสวยน่ารับประทาน อาจจะทำไว้หลายๆ แบบให้เลือก


เมื่อทำให้ไปเลือกดูพิมพ์ ถ้ามีกลุ่มลูกค้าเด็กหรือวัยรุ่น อาจจะใช้พิมพ์รูปสัตว์ ผลไม้ เพราะจะดูน่ารัก
อาจจะมีไม้หรือส้อมเล็กๆ ใส่ลงไปด้วย เพื่อสะดวกในการรับประทาน

รสชาติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อาจจะต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม เนื้อสัมผัสที่ดี
ถ้ามีร้านใหญ่หรือสามารถรับสั่งทำได้ อาจจะทำวุ้นเป็นชั้นๆ อันนี้จะได้ราคาดี
หรืออาจจะฝากขายตามร้านชำ ร้านขนมตามซูเปอร์มาร์เก็ต อันนี้ต้องขึ้นกับความสามารถในการติดต่อไปวางสินค้า

ถ้าจะวางตามซูเปอร์มาร์เก็ตต้องดูหีบห่อให้มิดชิด ต้องป้องกันการปนเปื้อน ให้ดูน่ารับประทาน
และควรบอกอายุการเก็บด้วย

วุ้นต้องอยู่ในตู้เย็น จะอยู่ได้ 1 สัปดาห์ ถ้าเกินจากนั้น แม้วุ้นจะไม่เสียแต่รับประทานไม่อร่อย
แล้ววุ้นจะค่อยๆ คืนตัว คือคายน้ำออกมา รสชาติเปลี่ยน มีกลิ่นหืน
ที่ว่าแช่ในตู้เย็นนี้ แช่ช่องธรรมดา อุณหภูมิประมาณ 8-10 องศา กำลังดี แช่แล้วรับประทานหวานชื่นใจ
ถ้าไม่แช่เย็นจะไม่อร่อยเลย

ช่วงที่จะขายวุ้นได้ดีที่สุด คือ ช่วงเทศกาลปีใหม่ส่งเป็นของขวัญแทนเค้ก
ซึ่งเราสามารถทำให้รูปร่างหน้าตาให้ออกสวยงามเหมือนเค้กได้ เพราะจะมีพิมพ์หลายรูปแบบให้เลือก
ซึ่งมีเทคนิคต้องหาความชำนาญในการหยอดพิมพ์ให้ออกมาเป็นรูปกลุหลาย รูประฆัง
สามารถตัดเป็นชิ้นๆ เหมือนเค้กได้


ข้อมูลโดย : http://www.bunditcenter.com
ภาพจาก : http://www.fotosearch.com
ที่มา :
http://www.raidai.com
http://www.udclick.com

Read More...


ซุปหน่อไม้ แอบแหวกแนว เมนูข้างถนนถูกปากไฮโซ

นันทนา ฤๅชัยสา เจ้าของร้าน พร้อมคุณแม่ที่คอยมาช่วยอยู่ข้างๆ เสมอ
นันทนา ฤๅชัยสา เจ้าของร้าน พร้อมคุณแม่ที่คอยมาช่วยอยู่ข้างๆ เสมอ

ขึ้นชื่อว่าซุปหน่อไม้ เมนูที่ขาดไม่ได้ในปาร์ตี้ส้มตำของใครหลายๆ คน
ซึ่งต้องมีส้มตำ ไก่ย่าง และข้าวเหนียวเป็นตัวชูโรง แต่สำหรับซุปหน่อไม้ เป็นเพียงเมนูเสริม เพื่อความอร่อย
หรือทำให้อาหารอีสานมื้อนั้นสมบูรณ์ขึ้น แต่คงจะยากที่ใครคิดจะทำซุปหน่อไม้ขายเพียงอย่างเดียว
เพราะเป็นเมนูที่หารับประทานได้ทั่วไป และต้องรับประทานร่วมกับเมนูอื่น
ดังนั้นหากไม่มีจุดขายที่ชัดเจน หรือรสชาติไม่โดดเด่นพอธุรกิจคงจะอยู่ยาก
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็ถูกนำมากับใช้กับร้านซุปหน่อไม้ริมถนนสุรวงศ์ ที่พยายามสร้างความแตกต่าง
จนปัจจุบันมีลูกค้าอุดหนุนไม่ขาดสาย นำจัดใส่ถุงอย่างต่ำวันละ 100 ชุด ไม่พอขาย

ซุปหน่อไม้ที่ยำเสร็จพร้อมรับประทาน
ซุปหน่อไม้ที่ยำเสร็จพร้อมรับประทาน

จากเด็กสาวที่เรียนจบอนุปริญญาด้านนิเทศน์ศิลป์ ราชภัฎพระนคร
หันมาเอาดีทางด้านการเป็นแม่ค้าขายซุปหน่อไม้ ที่มีลูกค้าหลากหลายระดับ
รวมทั้งระดับไฮโซ ที่โทรมาสั่งให้จัดไว้เป็นชุดๆ และขับรถมารอรับ ทำให้ในปัจจุบันรายได้ดังกล่าว
สามารถนำมาเลี้ยงครอบครัวได้อย่างไม่ขัดสน จากเงินเริ่มต้นธุรกิจเพียง 2,000 บาท

นันทนา ฤๅชัยสา เจ้าของร้านซุปหน่อไม้ บนถนนสุรวงศ์ เล่าว่า
ตนเองในช่วงที่เรียนก็ทำงานด้านงานออกแบบตกแต่งภายในไปด้วย เพื่อหารายได้ให้กับครอบครัว
รวมทั้งเป็นทุนการศึกษา โดยงานแรกที่ทำคือ ออกแบบโลโก้ให้กับมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง
จนกระทั่งเรียนจบก็แต่งงาน แต่เพียงไม่นานพ่อของสามีป่วยเป็นมะเร็ง ทำให้นันทนาตัดสินใจลาออก
มาคอยรับส่งพ่อของสามีจากบ้านย่านดอนเมืองไปส่งที่โรงพยาบาลราชวิถี
และส่งแม่ของตนเองไปขายล็อตเตอรี่ ที่หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสุรวงศ์
ซึ่งวิถีชีวิตเป็นอย่างนี้มาประมาณกว่า 1ปี จนกระทั่งพ่อสามีจากไป ก็กลับมาช่วยแม่ขายล็อตเตอรี่
อาชีพที่แม่ทำมานานกว่า 35 ปี แต่เมื่อคู่แข่งเยอะขึ้น ประกอบกับโดนลูกค้าโกงเงินทอนอยู่บ่อยครั้ง
จึงคิดเลิกขาย ซึ่งทั้งคู่ก็เริ่มมองหาอาชีพใหม่

ร้านตั้งอยู่ริมถนนสุรวงศ์ ผู้คนสัญจรพลุกพล่าน
ร้านตั้งอยู่ริมถนนสุรวงศ์ ผู้คนสัญจรพลุกพล่าน

ในช่วงนั้นญาติของพ่อที่อาศัยอยู่ที่อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง มีหน่อไม้ที่ขึ้นชื่อ
จากความอ่อนของหน่อไม้และความสดใหม่ จึงลองนำมาทำเป็นซุปหน่อไม้
โดยคิดเพียงต้องการแหวกแนวซุปหน่อไม้ที่จะใช้หน่อไม้ปี๊บ มีความเหนียว
ทำให้บางครั้งรับประทานซุปหน่อไม้ไม่อร่อย จึงลองนำหน่อไม้อ่อน มาลองทำดู
ก็รู้สึกว่าได้รสชาติของซุปหน่อไม้ที่แตกต่างจากที่เคยรับประทานมา

ช่วงเวลา 11.00 น. ลูกค้าเริ่มทยอยมาอุดหนุน
ช่วงเวลา 11.00 น. ลูกค้าเริ่มทยอยมาอุดหนุน

“เมื่อเราได้ลองผิดลองถูกในการนำหน่อไม้จากเกาะคา มาทำเป็นซุปหน่อไม้ที่มีกลิ่นหอมจากข้าวคั่ว
และพริกป่นที่คั่วเอง ไร้กลิ่นหมักดองของหน่อไม้ปี๊บ ก็ทำให้ได้รสชาติของซุปหน่อไม้ที่แปลกใหม่
พร้อมทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาด หรือสารพิษตกค้างจากหน่อไม้ปี๊บ
สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ทำเลที่แม่ขายล็อตเตอรี่ เปลี่ยนมาขายซุปหน่อไม้แทน
ซึ่งครั้งแรกใช้หน่อไม้สดประมาณ 10 กก. แต่เมื่อนำมาทำขายจริงจะเหลือหน่อไม้สดที่หั่นพร้อมนำไปยำ
ประมาณ 10 กก. ซึ่งก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า อาศัยปากต่อปากจากคนในละแวกเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือแม้แต่บริษัททัวร์ ที่ลูกทัวร์ชาวสิงคโปร์ก็เป็นลูกค้าประจำ
โดยมักซื้อไปเป็นของฝากนำขึ้นเครื่องไปอยู่เสมอกว่า 100 ชุด”


รับรองความสดใหม่ และรสชาติที่ต้องลิ้มลอง
รับรองความสดใหม่ และรสชาติที่ต้องลิ้มลอง

แม้จะเป็นเพียงแค่ซุปหน่อไม้ แต่สามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวมีกินมีใช้
สามารถเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวได้ทุกคน ถือว่าไม่ธรรมดา
ซึ่งเคล็ดลับความสำเร็จของธุรกิจนี้ เจ้าของร้านก็ไม่ได้ปกปิดสูตรแม้แต่อย่างใด แต่เน้นไปที่วัตถุดิบที่ต้องทำเอง
เน้นความสดใหม่ และมีใจบริการลูกค้า ต้องพยายามจำรสชาติของลูกค้าแต่ละคนให้ได้
รวมถึง มีการยำสดทุกจาน ขายในราคาชุดละ 20-30 บาท ที่มีทั้งนำไปยำเอง และพร้อมรับประทาน
โดยร้านนี้ไม่มีที่นั่ง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะรู้ดี และโทรสั่งล่วงหน้า

ส่งผลให้ไม่เกินเที่ยงวัน ซุปหน่อไม้ที่ทำไว้เป็นชุดกว่า 100 ชุด ทยอยหมดลง
และที่ทำสดที่เตรียมไว้ก็ลดน้อยลงเช่นกัน เปิดขายในวันอังคาร-วันศุกร์

หน่อไม้สดต้มสุก เตรียมนำไปปรุงให้ลูกค้า ซึ่งเป็นหน่อไม้ที่เตรียมไว้ต่างหาก
นอกเหนือจากที่จัดไว้ 100 ชุดในแต่ละวัน

นอกจากเมนูซุปหน่อไม้ที่ขึ้นชื่อแล้ว นันทนายังทำเมนูอื่นๆ ขายควบคู่กันไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริกกะปิมะม่วง ขนมจีนแกงไตปลา ห่อหมก และปลาทอดขมิ้น เป็นต้น
ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ กลัวลูกค้าเบื่อกับเมนูเดิมๆ ซึ่งเมนูใหม่เหล่านี้ก็มีการคัดสรรวัตถุดิบจากแหล่ง
ไม่ว่าจะเป็น กะปิ พริกแกงไตปลา ก็นำมาจากทางภาคใต้ ซึ่งพี่สะใภ้เป็นผู้จัดส่งมาให้

ซุปหน่อไม้ที่หลายคนมองข้ามไม่คิดจะทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง
มาวันนี้สร้างรายได้ไม่แพ้มนุษย์เงินเดือนที่ทำงานตามออฟฟิศ แต่ต่างกันตรงที่ความภาคภูมิใจ
เพราะเป็นอาชีพที่เกิดมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของตนเอง รวมถึงมีความเป็นอิสระและได้เป็นนายตัวเอง

น้ำพริกกะปิมะม่วง ที่เป็นกะปิใต้
น้ำพริกกะปิมะม่วง ที่เป็นกะปิใต้

***สนใจติดต่อ 08-6991-5899 หน้าตั้งแยู่ฝั่งเดียวกับร้านจิมทอมป์สัน หน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาสุรวงศ์***


จาก อาชีพแก้จน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ที่มา : http://www.manager.co.th

Read More...


ก๋วยเตี๋ยวสุขภาพ' ต้มยำไข่ลวกใบตำลึง..ดึงลูกค้า

ผู้คนในยุคปัจจุบันนี้หันมาให้ความสำคัญในเรื่องของอาหารการกินในเชิงสุขภาพ กันมากขึ้น หลายคนจะเน้นอาหารเพื่อสุขภาพ สะอาดปลอดภัย ปลอดสารพิษ ซึ่งจุดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการนำมาประกอบอาชีพขายอาหาร อย่างเมนู “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลวกใบตำลึง” ที่ทีม “ช่องทางทำกิน” นำมาเล่าสู่...

ศิษฐา คุณาลัย เป็นเจ้าของร้านก๋วย เตี๋ยวเพลินพุง เจ้า ตัวเล่าว่าที่มาเปิดร้านก๋วย เตี๋ยวก็เพราะว่าเป็นคนที่ชอบทานก๋วยเตี๋ยว มักจะตระเวนทานก๋วยเตี๋ยวตามร้านต่าง ๆ จึงมีความคิดที่จะเปิดร้านเอง และหลังจากเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็คิดสูตรก๋วยเตี๋ยวของตัวเองขึ้นมา จนได้เป็นสูตร “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลวกใบตำลึง” รวมทั้งมีแม่ครัวที่มีฝีมือในการทำอาหารเวียดนาม จึงตัดสินใจขายอาหารเวียดนามควบคู่ไปด้วย

“อาหารของร้านจะมีรส ชาติที่เน้นเป็นแบบของเราเอง และที่สำคัญร้านเราสร้างจุดเด่นด้วยการเน้นใช้ผักปลอดสารพิษเป็นวัตถุดิบ ตำลึงที่ใช้นั้นเราจะปลูกเองเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นผักที่ปลอดสารพิษจริง ๆ และตอนนี้เราก็กำลังดำเนินการสร้างแปลงผักปลอดสารพิษ ผักไฮโดรโปนิกส์ จะปลูกเองใช้เอง ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดต้นทุนได้แล้ว ยังมั่นใจได้ว่าผักนั้นปลอดสารพิษจริง ๆ” ศิษฐากล่าว

สำหรับสูตรก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลวกใบตำลึงนั้น ทางเจ้าของร้าน บอกว่า การ ทำก็เริ่มจากนำเส้นก๋วยเตี๋ยวไปทำการลวกกับใบตำลึง และลวกหมูชิ้น จากนั้นก็ใส่ชามพักรอไว้ แล้วมาทำน้ำต้มยำโดยนำน้ำซุปใส่ชาม ใส่หมูสับคลุกเคล้าให้หมูสุก จากนั้นใส่น้ำพริกเผา ถั่วลิสงคั่วทุบพอหยาบ ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว คลุกให้เข้ากัน เทใส่ลงในชามที่ทำเส้นเตรียมไว้ ใส่กากหมู และใส่ไข่ลวกลงไป เท่านี้ก็เรียบร้อย

“เส้นก๋วยเตี๋ยว ถ้าเป็นเส้นเล็กจะใช้เส้นจันท์ เพราะ เวลาลวกออกมาแล้วจะได้เส้นที่เหนียวนุ่มกว่าเส้นสด ไข่ลวกนั้นจะต้องลวกให้เป็นแบบยางมะตูม ส่วนรสชาติของก๋วยเตี๋ยวนั้นจะต้องกลมกล่อม ออก 3 รส คือ เปรี้ยว เค็ม หวาน ซึ่งที่สำคัญคือก๋วยเตี๋ยวจะอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำซุป”

นอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว ทางร้าน ยังเผยสูตร “สลัดเวียดนาม” ซึ่งการทำก็เริ่มจากทำน้ำสลัด โดยวัตถุดิบที่ใช้ก็มี ไข่ต้ม ใช้เฉพาะไข่แดง 5 ฟอง, มายอง เนส 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ, น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ, น้ำปลา 5 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันพืชเล็กน้อย วัตถุดิบตามสัดส่วนนี้สามารถทำน้ำสลัดได้ประมาณ 1 ลิตร ซึ่งน้ำสลัดนั้นไม่ควรทำไว้เยอะ ๆ ข้ามคืน ควรทำใช้แบบวันต่อวัน ใกล้หมดก็ทำเพิ่มใหม่

วิธีทำน้ำสลัด นำไข่แดงใส่ลงไปในหม้อหรือกะละมังที่ใช้ผสมทำน้ำสลัด ทำการยีไข่แดงให้ละเอียดก่อน นำส่วนผสมทั้งหมดคือ มายอง เนส, น้ำตาลทราย, น้ำส้มสายชู, น้ำปลา และน้ำมันพืช ใส่ลงไป จากนั้นก็ทำการตีด้วยแรงมือให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จนได้น้ำสลัดที่ออกเป็นสีเหลือง เท่านี้ก็ใช้ได้

การขายเป็นสลัดเวียดนาม ขั้นตอนก็เริ่มที่การเตรียมผัก ได้แก่ ผักสลัด ผักกาดหอม มะเขือเทศหั่น หอมใหญ่หั่น ใส่ลงบนจานที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำหมูยอหั่น ไข่ต้มหั่นเป็นแว่น ๆ ใส่ลงบนผักอีกที โรยด้วยหอมเจียวและขึ้นฉ่ายหั่น ราดด้วยน้ำสลัดที่ทำเตรียมไว้ เท่านี้ก็เรียบร้อย

ทั้งนี้ สำหรับที่ร้านนี้ เมนู “เส้นหมี่หมูย่าง” ก็เป็นอีกเมนูที่ลูกค้าชื่นชอบ ซึ่งทางร้านเผยสูตรว่า เริ่มจากการนำเส้นหมี่ขาวไปทำการลวกให้สุก แล้วนำมาคลุกกับกระเทียมเจียวเล็กน้อยให้เส้นหมี่หอม จากนั้นใส่ลงในชามที่เตรียมไว้ แล้วก็นำผักต่าง ๆ ได้แก่ ถั่วงอก, ใบโหระพา, แตงกวาหั่นชิ้นเล็ก, ผักกาดหอมหั่นชิ้นเล็ก, ผักชีฝรั่งหั่นชิ้นเล็ก, แครอทและ ไช้เท้าหั่นชิ้นเล็ก ใส่ลงไปบริเวณขอบชามเส้นหมี่ แล้วจึงนำหมูย่างที่หั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่ทับลงบนเส้นหมี่ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มเปาะเปี๊ยะ เท่านี้ก็ได้อีกหนึ่งเมนู

ราคา ขายอาหารของร้านนี้ สำหรับ “ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ลวกใบตำลึง” รวมถึง “สลัดเวียดนาม” และ “เส้นหมี่หมูย่าง” ราคาคือ 45 บาท ซึ่งนอกเหนือจากนี้ที่ร้านนี้ยังมีเมนูอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ ก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม เปาะเปี๊ยะสด-ทอด เปาะเปี๊ยะแฮมชีส เป็นต้น โดยทั้งหมดนั้น “จุดขายคือเพื่อสุขภาพ”

ร้านอาหารเมนู สุขภาพ ร้านเพลินพุงของศิษฐา ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 107 (ซอยแบริ่ง) เข้าไปเกือบสุดซอยที่จะไปทะลุถนนศรีนครินทร์ ร้านจะอยู่ขวามือ ถ้าเข้าทางถนนศรีนครินทร์ เข้าซอยประมาณ 200 เมตร ร้านอยู่ขวามือ ร้านเปิดตั้งแต่ 09.00-20.30 น. เบอร์โทรศัพท์คือ 08-8323-0404 ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีกกรณีตัวอย่าง “ช่องทางทำกิน” ขายอาหาร ที่ “ชูเมนูสุขภาพ” ดึงลูกค้าได้อย่างน่าสนใจ.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ รายงาน
สุพัตรา เมตะศิ









Credit : http://www.dailynews.co.th/

Read More...


'สาเกเชื่อม' ทำง่ายๆขายไม่ธรรมดา



ขนมไทยผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมานาน มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการกินของคนไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน แม้ขนมบางชนิดจะสูญหายไปจากความนิยมแล้ว แต่ขนมไทยประเภทของ “เชื่อม” นั้นยังคงอยู่ ซึ่งการเชื่อมยังเป็นการถนอมอาหารของคนไทยโบราณ สามารถนำผลไม้หลายชนิดมาทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน”  มีสูตรความอร่อยของการเชื่อมผลไม้ที่ชื่อว่า “สาเก” มาแนะนำเป็นแนวทางอาชีพ การขาย “สาเกเชื่อม” .....  
                     
อัญชลี จันทอง หรือ “ป้าแดง” เจ้าของร้านขนมเชื่อมและขนมไทยโบราณ ที่ตลาดน้ำบางคล้า   อ.บางคล้า  จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังว่า มีอาชีพค้าขายมานานมากแล้ว โดยก่อนหน้านั้นได้ขายของมาหลายอย่าง เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าฮวย ขายตอนเช้า ๆ  และเปลี่ยนมาทำขนมไทยและของเชื่อมขายประมาณ 10 ปีแล้ว เพราะเห็นว่าที่ตลาดบางคล้ายังไม่มีใครขาย ซึ่งก็มีขนมเชื่อมหลายชนิด เช่น สาเกเชื่อม จาวตาลเชื่อม  พุทราจีนเชื่อม   มะตูมเชื่อม  รากบัวเชื่อม  มันเชื่อม  เผือกเชื่อม ฯลฯ แล้วพัฒนาเพิ่มสินค้าขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า เช่น แปะก๊วย- มะพร้าวอ่อน, ขนมจ้าง, บ๊ะจ่าง, ขนมเทียนแก้ว  แต่ที่ขายดีที่สุดของร้านก็คือ “สาเกเชื่อม” และจาวตาลเชื่อม
   
“โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบทำขนมและชอบทานพวกเผือก มัน สาเก จาวตาล ฟักทอง อยู่แล้ว เลยอาศัยความชอบและใจรักในการทำขนมมาเป็นแรงบันดาลใจให้ลงมือทำขายเป็นอาชีพ ความรู้ก็ไม่ได้ไปเรียนวิธีการทำจากที่ไหน แต่อาศัยวิธีสังเกตคนรอบตัวที่ทำเป็น และนำมาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองหลาย ๆ ครั้ง ทำเองชิมเองจนทุกอย่างลงตัว ก่อนจะนำแจกจ่ายให้คนรอบข้างลองชิม ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะได้รับคำชมจากทุกคน จากนั้นจึงกล้าทำขาย ยึดหลักทำแบบกินกันในบ้าน เน้นคุณภาพ”    
   
ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำให้ป้าแดงสามารถทำขนมเชื่อมขายเป็นอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวมาจนถึง ปัจจุบันนี้ กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นวัยกลางคนและผู้สูงอายุ เพราะของพวกนี้เป็นของที่ทานมาตั้งแต่โบราณ แต่เด็กสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ป้าแดงอยากขายของพวกนี้ให้คนรุ่นใหม่รับประทานกันมาก ขึ้น
   
อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำ “สาเกเชื่อม” นั้น ก็มี กระทะทอง, เตาแก๊ส หรือเตาถ่าน, กะละมัง, หม้อสเตนเลสขนาดใหญ่, ถาด, ทัพพี, เขียง, ผ้าขาวบาง และเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ ให้หยิบยืมเอาจากในครัวได้วัตถุดิบ ก็ใช้... สาเก พันธุ์ข้าวเหนียว, น้ำตาลทราย, น้ำมะนาว, น้ำปูนใส, กะทิ, แป้งข้าวเจ้า, เกลือ, ใบเตย

ขั้นตอนการทำ  “สาเกเชื่อม” ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการเลือกสาเกที่ไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป เมื่อได้สาเกขนาดเหมาะที่ต้องการ นำผลสาเกมาผ่าตามความยาวของผล ให้ได้ 4  ซีก  คว้านเอาไส้หรือแกนกลางออกทิ้ง ปอกเปลือกออกให้หมด เอาน้ำมะนาวมาทาผิวสาเกที่เป็นสีเขียวให้ทั่ว เพื่อไม่ให้เนื้อสาเกดำเวลาเชื่อม เสร็จแล้วจับสาเกแต่ละซีกคว่ำลง  แล้วหั่นขวางผลเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1 นิ้ว นำชิ้นสาเกที่หั่นเตรียมไว้ไปแช่ในน้ำปูนใส ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง (เวลาเชื่อมจะได้ไม่เละ)  ล้างน้ำสะอาด แล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการเชื่อม นำน้ำสะอาดใส่กระทะทอง ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือนิดหน่อย  ใบเตยหั่น ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดยกลงมากรองด้วยผ้าขาวบาง เสร็จแล้วนำน้ำเชื่อมที่ได้เทใส่กลับกระทะทองใบเดิม  ยกขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง ใส่สาเกลงไปต้มด้วยไฟอ่อน ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ (ขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานหน่อย) ระหว่างเคี่ยวต้องหมั่นช้อนฟองทิ้ง เคี่ยวไปจนน้ำเชื่อมซึมเข้าเนื้อสาเก และน้ำเชื่อมงวดต้องให้น้ำเชื่อมชุ่มเนื้อสาเก หมั่นใช้ทัพพีตักน้ำเชื่อมราดหรือคอยกลับข้างชิ้นสาเกให้แช่น้ำเชื่อมอย่าง ทั่วถึง เมื่อเชื่อมสาเกได้ที่ดีแล้วยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น สาเกเชื่อมจะมีความอิ่มตัวตลอด เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สาเกเชื่อมที่ได้จะมีลักษณะใสเป็นเงาน่ารับประทาน เก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้เป็นสัปดาห์ นำออกมาอุ่นรับประทานร้อน ๆ ก็ได้
   
เทคนิคในการเชื่อมสาเก ป้าแดงบอกว่า การเชื่อมต้องใจเย็น และพิถีพิถัน เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมซับเข้าไปในเนื้อ ทำให้มีความเหนียว  นุ่ม อร่อย มีความหอมโดยธรรมชาติ และวัตถุดิบที่ใช้ต้องใหม่ คุณภาพดี   
   
ราคาขาย “สาเกเชื่อม”  ถุงเล็ก 4 ชิ้น ราคา 30 บาท ถุงใหญ่ ครึ่งกิโลกรัม ราคา 70  บาท                            
   
สนใจขนมไทย สนใจ “สาเกเชื่อม” ของป้าแดง วันธรรมดาจะขายอยู่ที่ตลาดบางคล้า ใกล้ร้านเซเว่นฯ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะขายอยู่ที่ตลาดน้ำบางคล้า เบอร์ติดต่อป้าแดงคือ โทร. 08-3828-9387, 08-6892-8398 ซึ่งอาชีพนี้ก็ยังสามารถทำขายตามที่ลูกค้าสั่งเพื่อนำไปใช้ในงานเทศกาล งานบุญ งานมงคลต่าง ๆ ได้ด้วย.

เชาวลี ชุมขำ/จิตสุภา เรืองประเสริฐ
credit : www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content

Read More...


นิตยาไก่ย่าง....ไขเคล็ดลับ สร้างความยั่งยืน

       “ร้านอาหาร” เป็นธุรกิจประเภทท๊อปฮิตติดอันดับต้นๆ ของคนที่ต้องการจะก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ เป็นเพราะคนทั่วไปคิดว่าร้านอาหารเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ทำอาหารอร่อยขึ้นมานิดหน่อยก็คิดว่าสามารถเปิดร้านได้แล้ว แต่ “นิตยาไก่ย่าง” ไม่ได้คิดอย่างนั้น ทำให้ในเวลา 10 ปีสามารถขยายมาได้ถึง 8 สาขาแล้วในวันนี้ และยังคงได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า แม้ว่าอาหารไทยจะมีการแข่งขันสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ล่าสุด “นิตยาไก่ย่าง” ต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่คือ “คน” โดยเฉพาะคนที่อยู่ในส่วนของการทำครัวที่ไม่สามารถหาได้ทันกับการเปิดสาขา ใหม่ที่วางแผนไว้แล้วว่าจะเปิดในเร็วๆ นี้ ทำให้ต้องมองหาทางออกใหม่และหันมาพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส
      
       แต่สำหรับคนที่ต้องการจะเปิดร้านอาหาร หรือมีร้านอาหารอยู่แล้วแต่ขยายสาขาไม่ได้ “รวีรัตน์ ลักษณวิสิษฐ์ กันตจินดา ” ผู้หญิงเก่งที่บุกเบิกและผลักดัน “นิตยาไก่ย่าง” มีสูตรเด็ดในการสร้างธุรกิจร้านอาหารที่พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้วมาแบ่งปัน และยังทำให้เห็นว่า “มุมมอง” และ”วิธีติด” เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจรุ่งหรือร่วงได้ง่ายๆ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารที่ต้องการเติบโต
      
       ๐ เริ่มต้นอย่างไรให้อยู่รอด ?
      
       คำพูดที่บอกว่า “เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” น่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ประกอบการอยากรู้มากขึ้นว่า แล้วจะทำอย่างไรให้การเริ่มต้นนั้นดีอย่างที่ว่า สำหรับธุรกิจร้านอาหาร รวีรัตน์ บอกว่า ต้องถามตัวเองว่ามีความพร้อมในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ คือในข้อแรก รสชาติของอาหารต้องมาก่อน ต้องถามตัวเองก่อนว่ามีความพร้อมในเรื่อง รสชาติของอาหารหรือไม่ ? อย่างเชื่อมั่นกับรสชาติของตัวเองเกินไป ด้วยการสำรวจลูกค้าเป้าหมายก่อน ซึ่งทำแบบเล็กๆ ก็ได้ ถ้าคนที่ชิมรับประทานต่อไปได้เรื่อยๆ ก็น่าจะถือว่าสอบผ่าน
      
       ข้อสอง การบริการ ต้องมีใจรักพร้อมจะทำให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งจะให้ได้ผล ผู้บริหารต้องมีความรักให้พนักงานก่อน โดยเฉพาะในเรื่องของการให้เกียรติกัน เพราะการที่เขาได้รับเกียรติ จะทำให้เขารู้จักการให้เกียรติคนอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งลูกค้า และหมายถึงการบริการที่สุภาพเรียบร้อย
      
       ข้อสาม ความสะอาด เพราะในปัจจุบันนี้หมดยุคที่ลูกค้าจะรับประทานโดยไม่สนใจเรื่องความสะอาด เพราะทุกคนมีความรู้มากขึ้น สุขอนามัยจึงเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับ“นิตยาไก่ย่าง” นอกจากในเรื่องการปรุงอาหารที่เน้นเรื่องนี้มาก ในการบริการลูกค้า ยังมีการให้ช้อนกลางที่โต๊ะเพื่อให้ลูกค้าหยิบใช้สะดวกตามต้องการ
      
       ข้อสี่ สถานที่ ต้องสะดวกสบาย เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกค้าต้องการ ข้อห้า ราคา ต้องสมเหตุสมผลเพื่อลูกค้าจะได้คิดว่าการมาที่ร้านคุ้มกว่าการทำเองที่บ้าน ข้อหก วัตถุดิบ ต้องมีแหล่งที่มีคุณภาพมากว่าคนอื่นและได้ราคาที่ถูกกว่า จะเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการทำธุรกิจ
      
       ข้อเจ็ด ความมีโชคดี ดูเหมือนจะเป็นองค์ประกอบที่ควบคุมไม่ได้ แต่ตัวอย่างคือ ความบังเอิญของร้านแรกที่รัตนาธิเบศน์ เปิดอยู่ใกล้กับออฟฟิศของหมึกแดง - หม่อมหลวงศิริเฉลิม สวัสดิวัตน์ ซึ่งมารับประทานกับพ่อ-ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ แล้วชอบ ทำให้อาหารของร้านนิตยาไก่ย่างได้รับเชลล์ชวนชิม และมีการเขียนแนะนำให้มารับประทาน แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การกำชับให้พนักงานระลึกอยู่เสมอว่า ทุกคนที่ชื่นชมนิตยาไก่ย่างแล้วนำไปบอกต่อมีความสำคัญมีพระคุณต่อร้าน และมีชื่อเสียง เพราะฉะนั้น การที่จะไม่ทำให้คนเหล่านั้นเสียชื่อ คือการที่ต้องเอาใจใส่ต่ออาหารและการบริการอย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการไม่ผิดหวัง
      
       และข้อแปด เมื่อทุกอย่างพร้อม ลงมือทำแบบเล็กๆ ก่อน เพื่อดูผลตอบรับของลูกค้า ถ้าลูกค้าไม่กลับมา ให้กลับไปดูที่จุดเริ่มต้นคือ รสชาติของอาหาร เพราะอาหารเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด
       ๐ทำอย่างไรจึงจะขยายได้ ?
      
       1.เมื่อลูกค้ามาซ้ำและมีการพาลุกค้าใหม่ๆ มาหรือบอกต่อ และมาจากที่ไกลๆ 2. มีบุคลากรเพียงพอ ซึ่งการที่จะผูกใจพนักงานให้อยู่ด้วยนั้นมีความสำคัญ สำหรับที่นี่ การให้ “ความใส่ใจและเข้าถึงได้ง่าย” ทำมให้เขารู้สึกอุ่นใจและมีที่พึ่งมีความสำคัญมาก เพราะพนักงานส่วนมากมาจากต่างจังหวัดห่างไกลครอบครัว นอกจากนี้ “การให้ค่าของความเป็นคน” ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าต้อยต่ำ เมื่ออยู่ที่นี่ได้ทำให้ชักชวนกันมาทำงานหลายเป็นผลดี ช่วยมีคนพอที่จะขยายสาขาได้
      
       อีกทั้ง ต้องมี “ทีมที่ดี” โดยเฉพาะในส่วนของการบริหารจัดการ ซึ่งที่นี่ชักชวนให้หลานมาทำงานด้วยกันและให้เป็นหุ้นส่วนเพื่อจะได้มีความ เป็นเจ้าของร่วมกัน เพราะการจะบริหารคนเดียวย่อมจะไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงในทุกเรื่องที่เกี่ยว ข้องกับการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของร้านการบริการ เรื่องของอาหารการครัว เรื่องการเงิน ฯลฯ และไม่สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้แน่ ที่สำคัญอีกเรื่องคือ “การโกงหรือคอรัปชั่น” ซึ่งเมื่อไม่มีเรื่องนี้แล้วจะทำให้สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง
      
       แต่การที่จะทำให้ทีมงานอยากอยู่ร่วมกันนั้น ยังมีเคล็ดลับที่ต้องรู้อีกนั่นคือ “การทำงานอย่างมีความสุข” ด้วยการมองในความเป็นจริงและยอมรับว่า ทุกคนเกิดมาต้องเลี้ยงชีพซึ่งหมายถึงการทำงาน เมื่อต้องมาทำงานจึงต้องเลือกที่จะมีความสุขกับการทำงาน เพราะเมื่อมีวิธีคิดแบบนี้แล้ว ย่อมจะทำให้ทุกคนหาวิธีที่จะทำงานให้มีความสุข เช่น และการอยู่ที่นี่นอกจากเป็นหุ้นส่วนยังเป็นหลาน ขณะที่การไปทำงานที่อื่น ก็เป็นเพียงพนักงานคนหนึ่งเท่านั้น แต่ข้อสำคัญคือการเปลี่ยนคนอื่นเป็นเรื่องยากกว่าการเปลี่ยนตัวเอง เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนตัวเองและทำอย่างที่อยากให้คนอื่นทำกับเราน่าจะเป็นหลักยึดที่ดี ใช่หรือไม่ แต่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานต้องระลึกว่าเงินที่ได้ทุกบาททุก สตางค์มาจากลูกค้า เพราะฉะนั้น การดูแลลูกค้าจึงสำคัญที่สุด
      
       ในเรื่องของปัญหา สำหรับผู้บริหารต้องรู้ว่ามีหน้าที่แก้ปัญหาอยู่แล้ว การหันหน้าคุยกันและไม่เครียดจึงเป็นวิธีการที่ดี และในบางปัญหายังไม่จำเป็นต้องแก้เพราะเวลาจะเป็นตัวช่วย ขณะเดียวกัน การให้รางวัล เช่น พาไปต่างประเทศ ทำให้รู้สึกได้ว่าเห็นความสำคัญและภูมิใจกับการทำงานที่นี่ว่าได้มีโอกาสที่ ดีไม่น้อยกว่าที่อื่น นอกจากนี้ ยังมีการให้สวัสดิการต่างๆ เช่น ค่าเล่าเรียนลูก เงินกู้ยืมเมื่อจำเป็น เป็นต้น เช่นเดียวกัน วิธีการพูดต้องใช้จิตวิทยาโดยเฉพาะในส่วนของพนักงานเพื่อทำให้เรื่องเครียด กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับและนำไปสู่การพัฒนาได้ เช่น การทดสอบอาหาร มักจะเปรียบเปรยให้ขำๆ อย่างเช่น หน้าตาดีแต่นิสัยยังคบไม่ได้ หรือหน้าตาไม่ดีนิสัยยังไม่ดีอีก เฉดหัวออกไป ฯลฯ
      
       ในขณะที่ สามีซึ่งทำธุรกิจปั๊มน้ำมันเป็นอีกคนใกล้ชิดที่เข้ามามีส่วนช่วยดูแลกิจการ ทำให้มีหลักคิดว่า ต้องแบ่งบทบาทหน้าที่ชัดเจนไม่ทำในเรื่องเดียวกัน เพราะหากเกิดปัญหาคนที่อยู่กับปัญหานั้นด้วยกันจะมองปัญหาคล้ายกัน แต่คนนอกจะมองแตกต่างและให้ข้อคิดที่ดีได้ ทำให้ทั้งชีวิตคู่ที่เป็นเรื่องส่วนตัวหรือครอบครัวกับเรื่องของการทำงาน เดินไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น
      
       นอกจากนี้ ในการมีหลายสาขา “ระบบครัวกลาง” เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด เพื่อให้พนักงานที่ร้านทำน้อยที่สุด เช่น น้ำส้มตำ น้ำพริกแกง และน้ำหมัก ส่วนระบบอื่นๆ ต้องมีเช่นกัน เพื่อให้การบริหารและการบริการมีคุณภาพมากที่สุด เช่น การวางบิล การตัดจ่ายั้ทำจากส่วนกลางแล้วจึงกระจายไปตามสาขาต่างๆ
       ๐ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
      
       แม้ว่าในตอนนี้จะมีอุปสรรคในเรื่องของคนทำครัว เพราะนอกจากจำนวนเมนูที่มีมากถึง 200 รายการทำให้ยากที่จะจำ ขณะที่ เด็กสมัยนี้ต่างจากสมัยก่อน เพราะไม่มีพื้นฐานการครัวจากบ้านมาก่อน และไม่ชอบงานครัวเท่าไรนักเพราะไม่คุ้นเคยและมองว่าเป็นงานหนักทั้งร้อนและ ละเอียด ทำให้สาขาใหม่ที่วางแผนไว้ว่าจะเปิดในเร็วๆ นี้ที่วัชรพลต้องหยุดชะงักลง
      
       แต่มีความคิดที่จะใช้แรงงานต่างด้าวเพราะมีความจำเป็น เพื่อแก้ปัญหานี้ เพราะในการทำอาหาร อยู่ที่ทักษะประสบการณ์ไม่ใช่ความรู้หรือวุฒิการศึกษา โดยเฉพาะที่อย่างยิ่งที่ผ่านมา การได้คนทำครัวที่ไม่มีความรู้เรื่องการทำอาหารมาก่อนกลับเป็นข้อดี เหมือนกับแก้วเปล่า สามารถใส่น้ำเข้าไปได้เต็มที่ ตรงกันข้ามกับ คนที่เก่งหรือเป็นมืออาชีพแล้ว จะมีความเชื่อในตัวเองสูงมากและไม่ยอมทำตาม ยกตัวอย่าง เคยจ้างพ่อครัวเงินเดือน 2 กว่าบาท แต่ต้องให้ทำงานแบบพนักงานเงินเดือน 8 พันบาท ซึ่งกลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ และทำให้ไม่เคยคิดจ้างพ่อครัวแม่ครัวที่เก่งแล้วอีกเลย
      
       “ในเรื่องของคน พนักงานที่สำคัญที่สุดคือครัวต้องตั้งหลักให้ได้ก่อน ถ้าจุดนี้พร้อมจุดอื่นไม่ยาก เพราะหาคนเข้าไปทำครัวยากมาก และโดยส่วนตัวทำอาหารไม่เป็น แต่เป็นคนกินของดีเป็น เพราะชอบรับประทานมาก เพราะฉะนั้น การเป็นคนที่มีประสบการณ์กินมากเป็นเหมือนตัวแทนของลูกค้า จะรู้ว่าลูกค้าอยากได้แบบไหน”
      
       อย่างไรก็ตาม ในจังหวะนี้ จึงวางแผนใหม่ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับการทบทวนพื้นฐานทุกเรื่องในร้าน ด้วยการเจาะลึกลงไปในเรื่องต่างๆ เช่น อาหารจะมีการทดสอบรสชาติมากขึ้น การบริการ สถานที่ รวมทั้ง การปรับเปลี่ยนเมนูด้วยการตัดเมนูที่ขายได้น้อย มีความยุ่งยากในหารปรุงมากเกินไป เพราะในตอนนี้ในส่วนของเมนูส้มตำมีมากถึง 40 รายการ การลดจำนวนลงเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการมากขึ้น
      
       นอกจากนี้ ยังเร่งพัฒนาสินค้าใหม่คือ ไก่ย่างพร้อมทานที่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่เก็บไว้ได้นานด้วยการแช่แข็งถึง 6 เดือน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงโรงาน คาดว่าจะเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้า หลังจากที่ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีการออกไก่ย่างสูตรพริกเขียวหวาน จากเดิมที่มีไก่ย่างสูตรดั้งเดิมซึ่งมีจุดขายอยู่ที่ความเป็นไก่บ้านและรส ชาติเข้มข้น จึงมองว่าการออกสินค้าใหม่จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยตอบสนองความต้องการของ ลูกค้าได้ดีขึ้น และเป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจอีกด้วย แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงก็ตาม ธุรกิจยังต้องพัฒนาต่อไปบนพื้นฐานของความยั่งยืน
      
       ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์

Read More...


'ผลไม้กวน'เดิมๆแต่ก็ขายได้ตลอด

 
 
การ แปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นการเพิ่มมูลค่า และก็เป็นอีกรูปแบบ “ช่องทางทำกิน” ซึ่งจากงานสื่อมวลชนสัญจร มา’ยอง OTOP จ.ระยอง ศูนย์ของฝากคุณภาพเยี่ยมแห่งภาคตะวันออก เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีการแนะนำเกษตรกรที่นำผลไม้มาแปรรูปเป็น “ผลไม้กวน” สร้างอาชีพได้อย่างน่าสนใจ วันนี้เราลองมาดูกัน...

ละออ สุวรรณสว่าง ประธานกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสาวน้อย 45  อ.บ้านค่าย จ. ระยอง  เล่าว่า ที่กลุ่มแปรรูปผลไม้ทุกชนิด ได้แก่ สับปะรด กล้วย มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร โดยผลไม้ 3 อย่างแรกจะเป็นผลไม้ประจำที่ใช้ในการแปรรูป ส่วนอีก 3 อย่างหลังจะแปรรูปตามฤดูกาล ตามผลผลิตที่ออกในช่วงนั้น ๆ โดยผลิตภัณฑ์ของกลุ่มถือเป็นอันดับต้น ๆ ของผลิตภัณฑ์แปรรูปในจังหวัดระยอง ซึ่งเมื่อก่อนทำกันเยอะ แต่รายที่จะอยู่รอดได้ก็ต้องมีตลาดให้การยอมรับ

“เริ่มมาจากสับปะรดกวนก่อน ซึ่งเป็นผลไม้ที่ปลูกแซมในสวนยางพารา และส่งขายให้โรงงาน แต่เมื่อไม่ได้เกรด ก็ต้องขนกลับบ้าน ด้วยความเสียดายของจึงคิดมาแปรรูปเป็น สับปะรดกวน สูตรก็คิดเองทำเองทั้งหมด มาจนบัดนี้ก็ 20 ปีมาแล้ว มีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น และมีการจ้างงานในหมู่ลูกหลานสมาชิกด้วย” ป้าละออเล่า

สับปะรดกวนมีการทำแยกย่อยเป็น 5 ชนิด คือ สับปะรดกวน, สับปะรดกะทิ, ทอฟฟี่สับปะรด, สับปะรดบ๊วย, สับปะรดแก้ว และยังมี กล้วยกวน แยกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ กล้วยกวน, กล้วยกวนสามรส เป็นอีกสินค้าหลักของกลุ่มที่ขายดิบขายดี ซึ่งป้าละออมาบอกถึงการทำให้ฟัง เริ่มกันที่อุปกรณ์ที่ใช้ ก็เป็นเครื่องครัวทั่ว ๆ ไป อาทิ เตาแก๊ส กระทะสเตนเลส หรือกระทะทองเหลือง ไม้พาย มีดเขียง ถาด ฯลฯ ซึ่งถ้าไม่ใช้เครื่องจักรอย่างเครื่องสไลซ์ หรือเครื่องกวน ก็ใช้ทุนอุปกรณ์ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป (แล้วแต่ขนาดกิจการ) หากใช้เครื่องก็จะต้องมีงบประมาณมากอีกหน่อย

สูตรสับปะรดนั้น เริ่มที่ สับปะรดกวน ใช้เนื้อสับปะรด 5 กก. เมื่อได้สับปะรดมาแล้ว นำไปล้างให้สะอาด ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด เข้าเครื่องสไลดซ์หรือสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ กวนกับน้ำตาลทราย 1.5 กก. แบะแซ 2 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ นำลงกวนในกระทะทองเหลือง หรือกระทะสเตนเลสก็ได้ โดยตั้งกระทะให้ร้อน ใส่เนื้อสับปะรดลงไป ใส่น้ำตาล แบะแซ และเกลือลงไป กวนให้เข้ากัน การกวนนี้จะใช้เครื่องกวนก็ได้ หรือกวนด้วยมือก็ได้ ถ้าเป็นเครื่องกวนจะใช้เวลากวน 1 ชั่วโมง หากใช้มือกวนจะต้องใช้เวลานานขึ้นอีก 30 นาที กวนเหนียวได้ที่เสร็จแล้ว ยกขึ้นผึ่งไว้ให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ขาย โดยขาย กก.ละ 70 บาท โดยมีกำไร กก.ละประมาณ 15-20 บาท

สับปะรดกะทิ ใช้สับปะรดที่กวนเสร็จแล้ว 5 กก. กวนกับกะทิ 5 กก. และน้ำตาลทรายอีก 1 กก. กวนให้เข้ากัน จนเหนียวได้ที่ เสร็จแล้วผึ่งไว้ให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขาย กก.ละ 100 บาท มีกำไรประมาณ 20 บาท

ทอฟฟี่สับปะรด ใช้เนื้อสับปะรดกวน 5 กก. กะทิ 5 กก. น้ำตาลปี๊บ 3 กก. แบะแซ 3 กก. เนย 1.5 กก. และนมข้น 4 กระป๋อง กวนให้เข้ากันจนเหนียว ผึ่งให้อุ่น หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กขนาดเม็ดทอฟฟี่ ห่อพลาสติก และกระดาษสี ๆ ขาย กก.ละ 120 บาท  ส่วน สับปะรดบ๊วย และ สับปะรดแก้ว ทำเหมือนกัน คือ ใช้เนื้อสับปะรดกวน 10 กก. แบะแซ 2 กก. และน้ำมะนาว 15 ลูก กวนให้เข้ากัน ซึ่งจะกวนนานกว่าปกติ 1 ชั่วโมง จากนั้นนำออกผึ่ง พอใกล้เย็น ตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ขนาดเล็กกว่าเม็ดทอฟฟี่เล็กน้อย แล้วนำไปคลุกผงบ๊วย (หากทำเป็นสับปะรดบ๊วย) หรือคลุกพริกเกลือ (หากทำเป็นสับปะรดแก้ว)  ขาย กก.ละ 80-120 บาท (แล้วแต่รูปแบบบรรจุภัณฑ์) กำไรก็ประมาณ 20%

สำหรับ กล้วยกวน และ กล้วยสามรส ก็มีวิธีทำที่ไม่ยาก เริ่มที่กล้วยกวน ใช้กล้วยสุกแบบใดก็ได้ 10 กก. น้ำตาลทราย  2 กก. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ แบะแซ 2 กก. และ/หรือ นมสด 5 กระป๋อง, นมข้น 4 กระป๋อง, กะทิ 5 กก. (เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง) กวนให้เข้ากัน ผึ่งให้เย็น แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขาย กก.ละ 100 บาท ส่วนกล้วยสามรส ใช้กล้วยกวน 10 กก. แบะแซ 3 กก. น้ำมะขามเปียก 1 ถ้วย น้ำมะนาว 15 ลูก กวนให้เข้ากันจนเหนียว จากนั้นผึ่งให้ใกล้เย็น ตัดเป็นชิ้นเล็กขนาดเล็กกว่าเม็ดทอฟฟี่เล็กน้อย นำไปคลุกพริกและเกลือ แล้วใส่บรรจุภัณฑ์ ขายกก.ละ 80-120 บาท (แล้วแต่รูปแบบบรรจุภัณฑ์) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกล้วยจะมีกำไรประมาณ 40%

นอกจากสับปะรดและกล้วยแล้ว ที่กลุ่มฯนี้ยังแปรรูป มะละกอ ขนุน กระท้อน แก้วมังกร ซึ่งเป็นผลไม้ตามฤดูกาลด้วย สนใจเรื่องผลไม้กวนของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรสาวน้อย 45  ติดต่อ ป้าละออ สุวรรณสว่าง ได้ที่ 7/1 หมู่ที่ 4 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โทร. 0-3864-1046 และ 08-7124-9422  ป้าละออยินดีต้อนรับ.












 

 



 

สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : เรื่อง-ภาพ


Read More...


'ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง' อีกหนึ่งแปรรูปขายคล่อง

 

เก็บตกจากงานสื่อมวลชนสัญจร มา’ยอง โอทอป จ.ระยอง ระหว่าง 25-26 มี.ค. ที่ผ่านมา อีกอาชีพที่ทีม ’ช่องทางทำกิน“ เก็บข้อมูลมาให้ลองพิจารณากันคือ การแปรรูปปลาหมึกเป็น ’ปลาหมึกปรุงรส“ แบบต่าง ๆ เป็นอาหารว่างทานเล่นที่หลายคนโปรดปราน และก็เป็นอาชีพที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ทำออกจำหน่ายรายนี้...
  
มงคล ไตรรัตน์จรัสพร เป็นหัวเรือใหญ่ในการทำ “ปลาหมึกปรุงรส” ขาย โดยใช้ชื่อแบรนด์ เปี๊ยก ปลาหมึก ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อใน ต.บ้านเพ จ.ระยอง โดย เปี๊ยก ปลาหมึก ดำเนินการเป็นวิสาหกิจชุมชนด้านผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งชื่อเปี๊ยกก็มาจากชื่อเล่นของหัวเรือใหญ่ผู้ริเริ่มก่อตั้ง ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการอาหารทะเลมานานกว่า 30 ปี
   
เปี๊ยก-มงคลเล่าว่า แต่เดิมก็ไม่ได้ทำธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เคยค้าขายอะไหล่รถยนต์มาก่อน ซึ่งจุดเริ่มต้นของการก้าวมาสู่ธุรกิจทำปลาหมึกแปรรูปคือมีลูกค้าชาวญี่ปุ่น ต้องการปลาหมึกแปรรูปจากประเทศไทย เพราะได้มาสำรวจพื้นที่แหล่งผลิตปลาหมึกในประเทศไทย พบว่าที่ย่านบ้านเพมีปลาหมึกที่นำมาแปรรูปแล้วรสชาติดี
   
“ลูกค้าญี่ปุ่นแนะนำให้ทดลองทำปลา หมึกแปรรูปในรูปแบบย่างสุกส่งไป โดยทางญี่ปุ่นบอกว่ายินดีรับซื้อของเราทั้งหมดในช่วงเริ่มต้น พร้อมกับให้คำแนะนำในเรื่องของวิธีการผลิต และแนะนำเครื่องจักรที่จะเข้ามาช่วยในการผลิตด้วย แต่ปัญหาของการส่งออกปลาหมึกแปรรูปไปญี่ปุ่นคือลูกค้าต้องการให้ทุกส่วนอยู่ ครบทั้งตัว ทั้งหัว และหนวด ซึ่งถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งขาดหายไป ไม่สมบูรณ์ ราคาก็จะถูกลดลงมาครึ่งหนึ่ง ก็เป็นปัญหาทำให้ขาดทุนในบางลอตที่ส่งไป
   
ในระยะหลัง ๆ จึงเริ่มหันมาทำปลาหมึกขายในประเทศมากขึ้น ทำปลาหมึกปรุงรสในแบบต่าง ๆ ขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวระยอง ภายใต้แบรนด์ เปี๊ยก ปลาหมึก” มงคลกล่าว
   
ปัจจุบันปลาหมึกปรุงรสเจ้านี้ได้พัฒนาสูตรการทำออกมาหลายชนิดหลายแบบ ได้แก่ ปลาหมึกชุบน้ำจิ้ม ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง ปลาหมึกอบแห้ง-อบกรอบ ปลาหมึกฝอย ปลาหมึกหยอง ปลาหมึกทอดฉาบน้ำตาล-ฉาบน้ำเชื่อม ซึ่งแต่ละแบบก็ขายดีพอ ๆ กัน โดยการขายก็มีทั้งขายแบบตักและแบบบรรจุซอง
   
มงคลบอกว่า ปลาหมึกที่ใช้ทำปลาหมึกแปรรูป คือ “ปลาหมึกกล้วย” ทุกขนาด คือเล็ก-กลาง-ใหญ่ แต่ที่นำมาแปรรูปมากคือ ขนาดกลางและเล็ก ส่วนขนาดใหญ่ส่วนมากจะเข้าไปอยู่ ในร้านซีฟู้ดมากกว่าที่จะถูกนำมาแปรรูป
   
สำหรับสูตรปลาหมึกที่จะนำมาฝากกันวันนี้คือ ’ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง“ ซึ่งเป็นปลาหมึกที่ขายดีในตลาดนักท่องเที่ยว กรรมวิธีเริ่มที่นำปลาหมึกกล้วยขนาด 4-6 นิ้ว มาผ่า และล้างให้สะอาด จากนั้นนำตากแดด ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในขั้นตอนนี้มีเพียงแค่กะละมัง มีด และตะแกรงตากแห้ง โดยขั้นตอนการตากแดดครั้งแรก ใช้แดด 2 แดด

จากนั้นนำปลาหมึกมาย่างให้สุก แล้วนำไปบดให้ยืดด้วยเครื่องบด ขั้นต่อไปก็นำไปชุบน้ำจิ้ม แล้วนำไปตากแดดอีกครั้ง โดยครั้งนี้ตากประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วถึงจะนำไปเข้ากระบวนการอบ หรืออบแห้ง-อบกรอบ

น้ำจิ้มนั้น มงคลบอกว่า ถ้าใช้ปลาหมึก 30 กก. สูตรน้ำจิ้มจะใช้น้ำ 45-50 ลิตร, น้ำตาลทราย 12 กก., น้ำผึ้งขวดขนาด 700 ซีซี 1 ขวด, นมสด 1 กระป๋อง, เนย 200 กรัม, พริก (บด) 500 กรัม, กระเทียม (บด) 250 กรัม เคี่ยวให้เข้ากัน
   
เมื่อตากปลาหมึกครั้งที่ 2 ประมาณ 3 ชั่วโมง ครบตามเวลาแล้ว ก็นำไปเข้ากระบวนการอบ ด้วยความร้อน 100 องศาเซลเซียส ซึ่งจะมีเครื่องอบโดยเฉพาะ โดยขนาดเครื่องที่เจ้านี้ใช้อยู่ราคา 100,000 กว่าบาท  ทั้งนี้ การอบธรรมดาจะใช้เวลา 15 นาที  ถ้าเป็นกระบวนการอบกรอบใช้เวลา 2 ชั่วโมง จากนั้นก็ใส่บรรจุภัณฑ์พร้อมจำหน่าย
   
’ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง“ ขายราคา 300 บาท/กก. หาก เป็นแบบอบกรอบ ราคา กก.ละ 600 บาท เพราะการอบกรอบน้ำหนักจะหายไปครึ่งต่อครึ่ง ส่วนต้นทุนวัตถุดิบนั้นหลัก ๆ ก็จะอยู่ที่ราคาปลาหมึก ซึ่งมีขึ้นมีลง โดยหลังจากหักต้นทุนวัตถุดิบทั้งหมด รวมทั้งหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว จะมีกำไรสุทธิประมาณ 10% ของราคาขาย
       
มงคลบอกอีกว่า ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวที่ขายตามร้าน ก็มีวิธีการทำคล้ายกับอบน้ำผึ้งตามที่ว่ามาข้างต้น แต่เปลี่ยนตรงที่สูตรน้ำจิ้ม คือเพิ่มแบะแซลงไปประมาณ 18-20 ลิตร เพื่อให้น้ำจิ้มเหนียวมากขึ้น และอบระยะเวลาสั้นลง คือ 3-5 นาที ก็นำใส่ถุงขาย โดยราคาขายก็ขายราคา กก.ละ 300 บาทเช่นกัน
  
ใครสนใจเรื่องการแปรรูปปลาหมึก สนใจผลิตภัณฑ์ปลาหมึกแปรรูป ต้องการติดต่อ มงคล ไตรรัตน์จรัสพร หรือ เปี๊ยก ปลาหมึก ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 08-1628-3304 ซึ่ง ’ช่องทางทำกิน“ รายนี้ก็เป็นอีกกรณีศึกษาการ ’นำวัตถุดิบเด่นในพื้นที่มาสร้างอาชีพ“ ได้อย่างน่าสนใจ.

คู่มือลงทุน....ปลาหมึกอบน้ำผึ้ง

ทุนอุปกรณ์    ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ

ทุนวัตถุดิบ    ไม่เกิน 90% ของราคา

รายได้    ราคา 300 บาท / กก.  

แรงงาน    ขึ้นอยู่กับขนาดกิจการ

ตลาด    ย่านอาหาร, ร้านของฝาก    

จุดน่าสนใจ    มีผู้นิยมรับประทานทั่วไป


Read More...




----------------

ปรับปรุง
รายการบทความทั้งหมด



การบำรุงรักษารถยนต์เบื้องต้น



ร้านค้าเคลื่อนที่ ใช้ รถบรรทุกขนาดเล็กมาดัดแปลง



รวมบทความอาชีพ เสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม



รวมบทความงานฝีมือ-สิ่งประดิษฐ์ รายได้เสริม



ทองม้วน thong muan ; rolled wafer





MASK รุ่นสายคล้องคอ







MASK รุ่นสายคล้องคอ. ��รุ่นนี้เป็นที่นิยมใช้กันมาก #ขายดีมาก
ทำจากผ้าคอตตอนแท้ 100%  ไม่ผสม เนื้อผ้านุ่ม 
3 ชั้น. สวมใส่พอดีกับใบหน้า ไม่เจ็บหู มีสายคล้องคอปรับได้
เวลาถอดออก ไม่ต้องกลัวลืม เพราะถอดแล้วคล้องคอไว้ได้
บรรจุในถุงซิปฟรอย์อย่างดี
ราคาชิ้นละ. 59. บาท. ไม่รวมส่ง 
มีหลายสีให้เลือกนะคะ   สนใจทักแชทขอดูสีผ้าได้นะคะ
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน หรือ สนใจสั่งไปจำหน่าย 
มีเรทราคาส่งค่ะ

-> id line : noeyhorm_06
#มีวางจำหน่ายหน้าร้านชานมไต้หวันมาราชาสาขาจรัญ44


ร้านมาราชาชานมไข่มุก สาขาจรัญสนิทวงศ์ 44
● รับบัตรสะสมครบ 10 แก้ว แลกรับฟรี 1 แก้ว
● สั่งเดลิเวอรีผ่าน LINE MAN, Foodpanda ,GET ...ถึงมือปั๊บพร้อมดื่มปุ๊บ!
● อัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ รสชาติใหม่ ตลอดเวลา
● มีเมนูให้เลือก 40 กว่าเมนู : https://bit.ly/2Z9iqV0






























































เลือกช่องทางติดต่อและรับข่าวสารบริการหลังการขาย
ฟอร์ด พลปิยะอยุธยาและฟอร์ด พลปิยะวังน้อย

--------------------------------------------------------------------------------------------
แคมเปญ-โปรโมทชั่น อะไหล่ฟอร์ด อัพเดททางออนไลน์และปรับปรุงข้อมูลออนไลน์
อะไหล่ฟอร์ด อะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่รถยนต์ฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ดแท้ ร้านขายอะไหล่รถฟอร์ด ขายอะไหล่รถฟอร์ด อะไหล่ฟอร์ด
 
Option

รวมบทความอาชีพเสริม หลากไอเดียวิธีหารายได้เสริม หาอาชีพเสริมอิสระทำเงิน สร้างอาชีพอิสระงานฝีมือ แนะนำการสร้างรายได้เสริมทำเงินด้วยการขายสินค้าหรือขายของเป็นอาชีพเสริม อิสระงานฝีมือ แนะแนวธุรกิจ อาชีพเสริม อาชีพแก้จน อยากจะมีรายได้เสริมนอกเหนือจากงานประจำ บล๊อกจัดทำขึ้นเป็นวิทยาทานเพื่อเผยแผ่ความรู้อันจะเป็นไปเพื่อบุญกุศล ขอให้ทุกท่านที่มีส่วนร่วมในบทความของบล๊อกนี้ จงได้รับอานิสงฆ์ด้วยเทอญ.